Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ฝนถล่มเชียงราย น้ำป่าหลาก-สะพานขาด รัฐบาลชูแผนบริหารจัดการน้ำรับมือ

เชียงรายเผชิญน้ำท่วมฉับพลัน หลังฝนตกหนักต่อเนื่อง นายกรัฐมนตรีสั่งระดมทุกหน่วยงานเร่งช่วยเหลือ ย้ำต้องจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 27 มิถุนายน 2568 – รายงานข่าวจากหลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงรายเปิดเผยว่า เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางดึกจนถึงเช้าวันนี้ ส่งผลให้เกิดน้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลันในเขตอำเภอพญาเม็งรายและอำเภอเวียงชัย โดยชาวบ้านจำนวนมากต้องรีบขนย้ายทรัพย์สินขึ้นที่สูงเพื่อความปลอดภัย พร้อมมีการเร่งระดมเจ้าหน้าที่ให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ หลังปริมาณน้ำฝนสะสมที่วัดได้บางจุดสูงถึง 298.5 มิลลิเมตร

สถานการณ์น้ำท่วม-น้ำป่าไหลหลากรุนแรงในพื้นที่เสี่ยง

นายอำเภอพญาเม็งรายได้สั่งการให้ปลัดอำเภอ ประสานการทำงานร่วมกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในพื้นที่ เพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบในทันที โดยความเสียหายเบื้องต้นพบว่าสะพานเชื่อมต่อระหว่างหมู่ 4 ตำบลตาดควัน ไปยังหมู่ 1, 5, 16, 17 ตำบลแม่เปา ถูกกระแสน้ำตัดขาด ขณะเดียวกันพื้นที่อยู่อาศัยของประชาชนที่ติดลำห้วยขุนแม่เปาก็ได้รับความเสียหายจำนวนมาก

ขณะที่ปริมาณน้ำฝนที่จุดวัด ณ วนอุทยานน้ำตกตาดสายรุ้ง บ้านป่าสา ตำบลป่าซาง อำเภอเวียงเชียงรุ้ง ในวันนี้ วัดได้ถึง 195 มิลลิเมตร ซึ่งถือเป็นปริมาณที่สูงผิดปกติเมื่อเทียบกับสถิติในรอบหลายปี สร้างความกังวลถึงความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ลุ่มต่ำ

ผู้ว่าราชการจังหวัด-ภาครัฐทุกหน่วยงานลงพื้นที่ช่วยเหลือ

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เขตเชียงราย ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เร่งลงพื้นที่สำรวจความเสียหายและให้การช่วยเหลือแก่ประชาชนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการอพยพผู้ที่ติดอยู่ในจุดเสี่ยงออกไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว การแจกจ่ายถุงยังชีพ อาหาร น้ำดื่ม และอุปกรณ์ยังชีพที่จำเป็น ขณะเดียวกันได้จัดชุดแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเตรียมพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อดูแลผู้ได้รับผลกระทบ โดยมีการประกาศเตือนภัยผ่านทุกช่องทาง รวมถึง Cell Broadcast และการแจ้งข่าวจากในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

นายกรัฐมนตรีสั่งการด่วน-บูรณาการทุกกระทรวงรับมือ

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย ยืนยันการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมสั่งการให้กระทรวงกลาโหม ประสานความร่วมมือช่วยเหลือด้านกำลังพลและอุปกรณ์กับผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เร่งช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงที พร้อมขอให้ อปท. และปภ. เตรียมสิ่งของอุปโภคบริโภค และให้กระทรวงสาธารณสุขเตรียมบุคลากรทางการแพทย์ให้พร้อมรับมือ 24 ชั่วโมง ขณะที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะกรมอุตุนิยมวิทยา เร่งประเมินสถานการณ์และแจ้งข้อมูลให้ประชาชนทราบเป็นระยะ

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า รัฐบาลจะดูแลทุกชีวิตอย่างดีที่สุด พร้อมยืนยันว่าการจัดการน้ำอย่างเป็นระบบเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากนั้นเป็นสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการ โดยรัฐบาลมีแผนงานไว้แล้ว และขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด

วิเคราะห์ปัจจัย-โครงสร้างและแนวโน้มในอนาคต

สถานการณ์น้ำท่วมเชียงรายครั้งนี้ สะท้อนถึงความเปราะบางด้านโครงสร้างพื้นฐานในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะการตัดขาดของสะพานและเส้นทางคมนาคมหลัก ซึ่งสร้างความลำบากให้ประชาชนในการเข้าถึงความช่วยเหลือและการเคลื่อนย้ายสิ่งของ นอกจากนี้ ปริมาณน้ำฝนที่มากผิดปกติอาจเป็นผลจากสภาพอากาศแปรปรวนและภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรับมือกับน้ำท่วมจึงกลายเป็นภารกิจสำคัญของจังหวัดและรัฐบาลกลาง ซึ่งหากดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม ย่อมช่วยลดความเสียหายและความเสี่ยงในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เตือนภัยประชาชน-เฝ้าระวังสถานการณ์ต่อเนื่อง

หน่วยงานด้านอุตุนิยมวิทยายังคงแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงให้เฝ้าระวังน้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลัน และดินโคลนถล่มในช่วงนี้ พร้อมขอความร่วมมือในการติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

แม่สายเร่งสู้ภัยน้ำ สทนช. ลงพื้นที่ติดตามขุดลอก-เสริมแนวป้องกัน

เลขาธิการ สทนช. ลงพื้นที่แม่สาย ติดตามคืบหน้าโครงการขุดลอกลำน้ำสาย-แนวป้องกันน้ำ เตรียมรับมือฤดูฝนปี 2568

เชียงราย, 22 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางความกังวลเรื่องภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในฤดูฝนปีนี้ จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอแม่สาย ได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิดจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช. พร้อมคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ ได้ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าโครงการขุดลอกลำน้ำสาย การก่อสร้างแนวป้องกันน้ำชั่วคราว-กึ่งถาวร และตรวจสอบคุณภาพน้ำในพื้นที่สำคัญริมแม่น้ำสายและลำน้ำรวก โดยมี พล.ท.สิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการ ทหาร และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นร่วมให้ข้อมูลอย่างพร้อมเพรียง

สานภารกิจหลังอุทกภัยรุนแรง – ป้องกันซ้ำรอยน้ำหลากและดินโคลนถล่ม

ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เปิดเผยระหว่างลงพื้นที่ว่า การติดตามครั้งนี้เป็นภารกิจตามข้อสั่งการของนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่เน้นย้ำให้หน่วยงานภาครัฐบูรณาการรับมือฤดูฝนในพื้นที่เสี่ยง โดยแม่สายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญจากบทเรียนอุทกภัยรุนแรงเมื่อปีก่อน โดยเฉพาะปัญหาน้ำหลาก ลำน้ำเปลี่ยนทิศ และดินโคลนถล่ม

“วันนี้ได้ประชุมร่วมกับคณะกรรมการส่วนหน้าติดตามความคืบหน้าขุดลอกลำน้ำสาย-ลำน้ำรวก ซึ่งดำเนินงานโดยความร่วมมือระหว่าง สทนช. และกองทัพบก เพื่อป้องกันน้ำท่วมและบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดซ้ำ คาดว่าการขุดลอกลำน้ำรวกจะเสร็จในกลางเดือนกรกฎาคมนี้ ขณะเดียวกันได้เร่งดำเนินการอุดรูรั่ว ก่อสร้างแนวป้องกันน้ำชั่วคราว-กึ่งถาวร และเตรียม Big Bag สำรอง เพื่อให้ประชาชนปลอดภัยในฤดูฝน” เลขาธิการ สทนช. กล่าว

มาตรการเสริม – เตรียมกำแพงกันน้ำชั่วคราว-เตือนภัยเข้มรับสถานการณ์

จากการประเมินสถานการณ์น้ำในปี 2567 คาดว่าอาจเกิดน้ำล้นข้ามสะพานมิตรภาพไทย–เมียนมาแห่งที่ 1 ได้อีกครั้ง จึงมีการวางแผนก่อสร้างแนวกำแพงกันน้ำชั่วคราวตลอดแนวลำน้ำสายยาวกว่า 200 เมตร พร้อมระบบแจ้งเตือนภัยและมาตรการเฝ้าระวังในฤดูน้ำหลาก

พล.ท.สิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง เสริมว่า “ภารกิจสร้างแนวป้องกันน้ำเป็นไปตามแผนที่กำหนด คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 15 กรกฎาคม 2568 ขณะเดียวกัน กำลังพลและทรัพยากรของกองทัพบกได้ลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย”

ตรวจคุณภาพน้ำแม่สาย-แก้ปัญหาครอบคลุมจุดเสี่ยง

หลังการประชุม คณะ สทนช. ได้ลงเรือสำรวจแนวกั้นน้ำชั่วคราว-กึ่งถาวรที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และตรวจสอบจุดวัดคุณภาพน้ำในพื้นที่แม่สาย ก่อนจะเดินทางต่อไปยังตำบลเกาะช้าง ซึ่งเป็นจุดเสี่ยงภัยอีกแห่งหนึ่ง เช่น บริเวณคันกั้นน้ำขาด และทางหลวงชนบทที่ทรุดตัว เพื่อประเมินความเสี่ยงและหาแนวทางป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น

แผนบูรณาการแม่สาย ป้องกันซ้ำรอยน้ำท่วม

การลงพื้นที่ของเลขาธิการ สทนช. ครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยแม่สายอย่างเป็นระบบ การขุดลอกลำน้ำสาย-รวกและก่อสร้างแนวป้องกันน้ำ เป็นมาตรการเร่งด่วนที่ต้องเดินหน้าควบคู่กับการเตรียมการรับมือระยะยาว เช่น ระบบแจ้งเตือนภัย การสำรอง Big Bag และความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในพื้นที่ หากดำเนินการตามแผนได้สำเร็จ ย่อมช่วยลดผลกระทบซ้ำซากที่ชุมชนเผชิญในช่วงฤดูฝนในอดีต พร้อมวางรากฐานการจัดการภัยพิบัติอย่างยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • กองทัพบก
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กองทัพบกผนึกกำลังอำเภอแม่สาย สู้ภัยดินโคลน เร่งสร้างแนวป้องกัน

เชียงรายเดินหน้าป้องกันดินโคลนน้ำหลาก กองทัพบกร่วมอำเภอแม่สาย เร่งขุดลอกแม่น้ำ-เสริมแนวป้องกันชั่วคราว สร้างภูมิคุ้มกันชุมชนช่วงฤดูฝน

เชียงราย, 22 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางสภาพอากาศฤดูฝนที่ทวีความรุนแรงในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะเขตอำเภอแม่สาย กำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากดินโคลนน้ำหลากและน้ำท่วมฉับพลัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในวงกว้าง จากสถานการณ์ดังกล่าว หน่วยงานทหารกองทัพบก โดยหน่วยทหารช่าง ได้ประสานความร่วมมือกับที่ว่าการอำเภอแม่สาย ขับเคลื่อนโครงการพัฒนาพื้นที่เพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง

เดินหน้า 2 แนวทางหลัก ขุดลอก-เสริมแนวป้องกัน

การบริหารจัดการพื้นที่ในครั้งนี้ถูกแบ่งออกเป็น 2 แนวทางสำคัญ ได้แก่ การขุดลอกดินตะกอนในแม่น้ำสายสำคัญ เพื่อเปิดทางน้ำและลดการท่วมขัง และการเสริมแนวป้องกันชั่วคราวในเขตชุมชนเศรษฐกิจ เพื่อปกป้องประชาชนในพื้นที่เสี่ยงในช่วงรอการก่อสร้างแนวป้องกันถาวรในอนาคต

โดยเฉพาะในส่วนของแม่น้ำรวก ฝั่งไทย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในลำน้ำสายหลักที่มักมีน้ำหลากไหลผ่านและก่อให้เกิดน้ำท่วมในหลายชุมชน ความคืบหน้าการขุดลอกล่าสุดอยู่ที่ 65.91% งานนี้ดำเนินการด้วยความต่อเนื่องแม้จะเผชิญกับสภาพฝนฟ้าคะนอง เพื่อให้สามารถลดปริมาณตะกอน เปิดทางระบายน้ำ ลดความเสี่ยงจากภัยน้ำท่วม และรองรับปริมาณน้ำในฤดูฝนที่กำลังจะถึง

ขณะเดียวกัน โครงการเสริมแนวป้องกันชั่วคราวในเขตชุมชนเศรษฐกิจ ได้เร่งอุดและเสริมความแข็งแรงให้กับแนวป้องกันเดิม เพื่อเพิ่มความมั่นคงก่อนจะมีการก่อสร้างแนวป้องกันถาวรตามแผนยุทธศาสตร์ของกรมโยธาธิการและผังเมือง งานในส่วนนี้มีความคืบหน้าถึง 73.06% แล้ว ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน ลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับบ้านเรือน ผู้ประกอบการ และโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ชุมชน

ทหารช่างลุย 24 ชั่วโมง – ปฏิบัติการกลางฝน

กองกำลังจากหน่วยทหารช่างของกองทัพบกยังคงเดินหน้าปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นช่วงกลางวันหรือกลางคืน ภายใต้สภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย เนื่องจากการเตรียมความพร้อมสำหรับรับมือกับดินโคลนน้ำหลากจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องและเร่งด่วน เป้าหมายสูงสุดคือให้ทุกภารกิจแล้วเสร็จก่อนที่ฝนหนักจะเริ่มส่งผลกระทบที่รุนแรงขึ้นในพื้นที่

ทั้งนี้ ในการปฏิบัติงานแต่ละวัน มีการวางแผนและติดตามผลอย่างใกล้ชิด พร้อมการประชุมระหว่างเจ้าหน้าที่ทหาร ช่างผู้ควบคุมเครื่องจักร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นและปรับแผนงานให้ทันต่อสถานการณ์

ผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชนและเศรษฐกิจ

ความคืบหน้าในการขุดลอกและเสริมแนวป้องกันชั่วคราวในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาความเสี่ยงจากดินโคลนน้ำหลากเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่ ทั้งในแง่ของความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนช่วยลดความเสียหายต่อเศรษฐกิจในเขตชุมชนที่เป็นศูนย์กลางการค้าและการท่องเที่ยวของอำเภอแม่สาย

บทเรียนจากเหตุการณ์น้ำท่วมและดินโคลนไหลหลากในอดีต ทำให้ทุกภาคส่วนในจังหวัดเชียงรายตื่นตัวและให้ความสำคัญกับการจัดการเชิงรุก โดยอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น ทหาร และประชาชน ซึ่งการขับเคลื่อนเชิงรุกในปีนี้คาดว่าจะช่วยลดความสูญเสียและผลกระทบจากภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บทสรุปและวิเคราะห์

จากความร่วมมืออย่างแข็งขันระหว่างกองทัพบกกับที่ว่าการอำเภอแม่สายในครั้งนี้ สะท้อนถึงแนวคิด “ป้องกันดีกว่าแก้ไข” ที่เน้นการบูรณาการแผนงานระยะสั้นและระยะยาวควบคู่กันอย่างเป็นระบบ นำไปสู่เป้าหมายสูงสุด คือความปลอดภัยและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนในทุกพื้นที่เสี่ยงภัยของเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • หน่วยทหารช่างกองทัพบก
  • ที่ว่าการอำเภอแม่สาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

รัฐบาลคุมเข้ม! ตั้งคณะทำงานพิเศษจัดการสารพิษแม่น้ำกก ขจัดความกังวล

นายกรัฐมนตรีติดตามสถานการณ์สารปนเปื้อนในแม่น้ำกกอย่างใกล้ชิด สั่งหน่วยงานรัฐทุกภาคส่วนเร่งดูแลความปลอดภัยประชาชน-ตั้งศูนย์ประสานงานเฉพาะกิจ

เชียงราย, 13 มิถุนายน 2568 –นับตั้งแต่เกิดปรากฏการณ์ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องในเขตรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำกกซึ่งเป็นสายธารหลักเชื่อมต่อระหว่างเมียนมากับภาคเหนือของไทยเพิ่มสูงขึ้นผิดปกติ สถานการณ์นี้นำมาซึ่งความกังวลถึงความเป็นไปได้ในการปนเปื้อนของสารบางชนิดที่อาจมากับกระแสน้ำ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ปลายน้ำของแม่น้ำสายสำคัญดังกล่าว

ล่าสุด นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านทาง Facebook ส่วนตัว ยืนยันว่ารัฐบาลติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิดและความปลอดภัยของประชาชนต้องมาก่อนทุกเรื่อง
“ดิฉันขอยืนยันว่ารัฐบาลติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เรารวบรวมข้อมูลจากรายงานของทุกภาคส่วนทั้งในไทยและเมียนมา รวมถึงข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมของ GISTDA และการลงพื้นที่จริงของเจ้าหน้าที่จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ร่วมกับกองทัพ เพื่อประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด” นายกรัฐมนตรีระบุ

ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ-เดินหน้าเจรจาระดับทวิภาคีและพหุภาคี

ในวันนี้ นายกรัฐมนตรีได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วน ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาความมั่นคงแห่งชาติ และเหล่าทัพ เพื่อวางแผนรับมือในทุกมิติ พร้อมแต่งตั้ง “คณะทำงานด้านเทคนิค” นำโดยรองนายกรัฐมนตรี ประเสริฐ จันทรรวงทอง โดยมี GISTDA กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรฯ และกองทัพ ร่วมเป็นคณะกรรมการหลัก

หนึ่งในภารกิจสำคัญคือการเร่งประเมินสถานการณ์สารปนเปื้อน และเดินหน้าหาแนวทางแก้ไขทั้งในระยะสั้นและยาว โดยเฉพาะในแง่ความมั่นคงด้านน้ำสะอาดของประชาชน และการขับเคลื่อนการเจรจาในระดับทวิภาคีและพหุภาคีกับประเทศเพื่อนบ้านผ่านกลไกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission: MRC) เพื่อสร้างมาตรการรับมือร่วมกัน

นายกรัฐมนตรีระบุว่า “กระบวนการเจรจาอาจใช้เวลา แต่เราต้องรีบแก้ไขผลกระทบต่อสุขภาพพี่น้องประชาชนในระยะสั้นควบคู่กันไป”

ลงพื้นที่ตรวจสอบ-ตั้งศูนย์เฝ้าระวังประสานงานเฉพาะกิจ

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ตั้งศูนย์เฝ้าระวังประสานงานส่วนหน้าในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายทันที เพื่อให้พี่น้องประชาชนมั่นใจในความปลอดภัยของแหล่งน้ำที่ใช้ในการอุปโภคบริโภค และรับมือสถานการณ์อย่างรัดกุม เบื้องต้นได้มีการประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ให้ตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างเข้มงวด ทั้งการสุ่มตรวจสารปนเปื้อน ตลอดจนการเฝ้าระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

พร้อมกันนี้ ยังมีแผนรองรับสถานการณ์หากมวลน้ำจากฝนตกหนักในเมียนมาไหลเข้ามาเพิ่มเติม โดยพิจารณาการสร้างฝายหรือเขื่อนดักตะกอนในระยะยาว ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญในการลดการแพร่กระจายของสารปนเปื้อนและควบคุมคุณภาพน้ำในอนาคต

ย้ำมาตรฐานความปลอดภัยน้ำประปา-แจกเครื่องกรองน้ำครัวเรือน

แม้จะมีความเสี่ยงจากน้ำดิบในลำน้ำกก แต่รัฐบาลยืนยันว่ามาตรการด้านสาธารณูปโภคเพื่อประชาชนจะต้องเข้มงวดสูงสุด น้ำประปาทั้งจากการประปาภูมิภาคและประปาหมู่บ้านในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ จะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด
รวมถึงการกระจายเครื่องกรองน้ำระบบ RO (Reverse Osmosis) ระดับครัวเรือนไปยังพื้นที่เสี่ยงอย่างทั่วถึง ขณะที่ในพื้นที่ห่างไกล การประปาได้เตรียมจุดจ่ายน้ำประปาเคลื่อนที่และติดตั้งแทงค์สำรองน้ำ เพื่อรับประกันว่าประชาชนจะไม่ขาดแคลนน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคบริโภค

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า “ประชาชนจะต้องได้รับความมั่นใจว่าปัญหาดังกล่าวจะไม่กระทบต่อการดำรงชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความปลอดภัยในสุขภาพของพี่น้องประชาชนทุกคน”

การบริหารจัดการวิกฤตการณ์และแนวโน้มข้ามพรมแดน

เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดนและความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในลุ่มน้ำโขงที่มีความเชื่อมโยงทั้งเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การรับมือในระยะสั้นผ่านศูนย์เฝ้าระวัง และการจัดการน้ำสะอาดนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วน ขณะเดียวกัน การดำเนินงานในระยะยาว เช่น การเจรจาระหว่างประเทศและการพัฒนามาตรการโครงสร้างพื้นฐานถือเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

กรณีแม่น้ำกกนี้จึงนับเป็นบทเรียนและจุดเริ่มต้นของการบูรณาการความร่วมมือทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนและรักษาความมั่นคงของสิ่งแวดล้อมไทยต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นายก อบจ.เชียงราย ลุยน้ำท่วมแม่สาย

อบจ.เชียงรายเร่งลงพื้นที่รับมืออุทกภัยแม่สาย น้ำสายล้นตลิ่งท่วมชุมชนบ้านปิยะพร

เชียงราย, 30 พฤษภาคม 2568 – จากอิทธิพลของฝนตกหนักต่อเนื่องตลอดหลายวัน ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำสายเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเกิดภาวะน้ำล้นตลิ่งและไหลเข้าท่วมพื้นที่ชุมชนบ้านปิยะพร ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ทำให้ประชาชนในพื้นที่ประสบปัญหาน้ำท่วมขังในบริเวณบ้านเรือนและพื้นที่เกษตรกรรม

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) พร้อมด้วยคณะทำงาน ประกอบด้วย นายเสน่ห์ ปัญญาดี ที่ปรึกษานายก อบจ.เชียงราย พันจ่าเอกทวีป เชี่ยวสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และเจ้าหน้าที่ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่บ้านปิยะพรอย่างเร่งด่วนเพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วม พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบในเบื้องต้น

กระสอบทราย-กำลังใจ แผนช่วยเหลือด่วนจาก อบจ.เชียงราย

อบจ.เชียงราย ได้ดำเนินการจัดส่งกระสอบทรายให้แก่ประชาชนที่ประสบภัย เพื่อนำไปวางกั้นน้ำบริเวณบ้านพักอาศัยและจุดเสี่ยงของหมู่บ้าน ทั้งยังให้กำลังใจเจ้าหน้าที่จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และอาสาสมัครที่ร่วมลงพื้นที่อย่างไม่ย่อท้อในการควบคุมสถานการณ์อุทกภัยในครั้งนี้

การบูรณาการระหว่างหน่วยงานในพื้นที่

ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ได้รับการต้อนรับจาก ร.ต.อ.เด่นวุฒิ จันต๊ะขัติ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะช้าง พร้อมด้วยผู้นำท้องถิ่น ซึ่งร่วมกันประเมินสถานการณ์น้ำร่วมกับ อบจ.เชียงราย และหารือแนวทางการรับมือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ภัยพิบัติอย่างมีแผนรองรับ

นายก อบจ.เชียงราย ยืนยันว่า อบจ.เชียงรายพร้อมบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานราชการ ทหาร ตำรวจ องค์กรปกครองท้องถิ่น และภาคประชาชน เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างทันท่วงที ลดความเสียหายจากสถานการณ์อุทกภัยให้ได้มากที่สุด

ความเสี่ยงซ้ำซ้อนจากภูมิประเทศและภาวะโลกร้อน

พื้นที่อำเภอแม่สายถือเป็นหนึ่งในจุดเสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซากของจังหวัดเชียงราย เนื่องจากมีลักษณะภูมิประเทศติดแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักที่รับน้ำจากฝั่งประเทศเมียนมาและลุ่มน้ำฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดเชียงราย เมื่อฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องหรือเกิดฝนตกในฝั่งเมียนมา ก็มีโอกาสสูงที่ระดับน้ำจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและล้นตลิ่งดังเช่นครั้งนี้

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นจากภาวะโลกร้อน ส่งผลให้ปริมาณฝนในภาคเหนือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 5-10% ตามรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยา และอาจกระทบต่อแผนบริหารจัดการน้ำในระดับท้องถิ่นที่ยังขาดระบบระบายน้ำถาวรในบางพื้นที่

ความเชื่อมโยงเชิงพื้นที่และผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น

นอกจากบ้านปิยะพร ยังมีพื้นที่ใกล้เคียง เช่น บ้านป่าซาง บ้านเกาะช้าง ที่เริ่มมีรายงานน้ำล้นตลิ่งเบื้องต้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อพื้นที่เกษตรกรรมโดยเฉพาะสวนข้าวโพดและไร่ชาในเขตอำเภอแม่สายตอนบน ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของจังหวัด

อบจ.เชียงราย ได้เตรียมประสานงานกับสำนักงานเกษตรจังหวัดและสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด เพื่อจัดเก็บข้อมูลความเสียหายด้านเกษตรกรรมอย่างเป็นระบบ พร้อมจัดทำรายงานนำเสนอต่อกระทรวงมหาดไทยเพื่อของบประมาณเยียวยาต่อไป

แนวโน้มอุทกภัยต้องใช้ ‘ระบบจัดการ’ ไม่ใช่เพียง ‘การบรรเทา’

แม้การลงพื้นที่อย่างเร่งด่วนของ อบจ.เชียงราย จะช่วยบรรเทาผลกระทบในระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นยังสะท้อนถึงความจำเป็นในการลงทุนด้านระบบป้องกันน้ำท่วมถาวร เช่น การขุดลอกคูคลอง การสร้างเขื่อนป้องกันริมแม่น้ำ และการพัฒนาระบบระบายน้ำในชุมชน

ในระยะยาว จังหวัดเชียงรายจำเป็นต้องเร่งทำแผนป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติแบบองค์รวม พร้อมปรับปรุงระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning System) ให้ทันสมัย เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงสามารถเตรียมตัวรับมือภัยธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในอำเภอแม่สายช่วงวันที่ 25-29 พฤษภาคม 2568: 137 มม. (ที่มา: ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ)
  • ระดับน้ำแม่น้ำสายวันที่ 30 พ.ค. 2568 สูงกว่าระดับตลิ่ง 0.7 เมตร (ที่มา: กรมทรัพยากรน้ำ)
  • พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซากใน อ.แม่สาย: 5 ตำบล 18 หมู่บ้าน (ที่มา: สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย)
  • ความเสียหายเบื้องต้น: บ้านเรือน 46 หลังได้รับผลกระทบ, พื้นที่เกษตรกว่า 130 ไร่ (ที่มา: อบจ.เชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • กรมทรัพยากรน้ำ
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
FEATURED NEWS

ป่อเต็กตึ๊งทุ่ม 511 ล้าน ช่วยเหลือ-รักษา-สร้างชีวิต

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งเปิดผลงานปี 2567 ทุ่มงบ 511 ล้าน ช่วยเหลือประชาชนกว่า 1.4 แสนราย เตรียมเปิดศาลเจ้าไต้ฮงกงหยกขาวภายในปีนี้

กรุงเทพฯ – 26 พฤษภาคม 2568 ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พร้อมคณะกรรมการมูลนิธิ แถลงผลงานประจำปี 2567 โดยระบุว่า มูลนิธิฯ ยังคงยึดมั่นในปณิธาน “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” ตลอดระยะเวลา 115 ปีของการดำเนินงาน โดยในปีนี้ใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้นกว่า 511 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ใช้ 501 ล้านบาท

สามภารกิจหลัก ครอบคลุมการช่วยเหลือทุกมิติ

นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิฯ เปิดเผยว่า งบประมาณกว่า 511 ล้านบาท ถูกจัดสรรเพื่อภารกิจ 3 ด้านหลัก ได้แก่

  1. การช่วยชีวิต: มูลนิธิฯ มีทีมบรรเทาสาธารณภัย อาสากู้ภัย และทีมฌาปนกิจ ซึ่งออกปฏิบัติงานทั่วประเทศ โดยมีสายด่วน 1418 และแอปพลิเคชันรองรับการแจ้งเหตุฉุกเฉิน สถิติปี 2567 มีผู้ขอความช่วยเหลือผ่านสายด่วนมากถึง 140,000 สาย พร้อมให้การช่วยเหลือด้านนิติเวช และรับฝากฝังศพไร้ญาติ ณ สุสานจังหวัดสมุทรสาคร โดยใช้งบรวมกว่า 166 ล้านบาท ครอบคลุมผู้ได้รับการช่วยเหลือกว่า 491,905 ราย
  2. การรักษาชีวิต: มูลนิธิฯ ให้บริการแพทย์สงเคราะห์ชุมชนในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และพื้นที่ห่างไกล สนับสนุนอุปกรณ์การแพทย์แก่โรงพยาบาลขาดแคลน รวมถึงร่วมมือกับโรงพยาบาลหัวเฉียวและคลินิกแพทย์แผนจีนหัวเฉียว โดยใช้งบประมาณกว่า 38.4 ล้านบาท
  3. การสร้างชีวิต: ดำเนินโครงการเพื่อการศึกษา การส่งเสริมอาชีพ และคุณภาพชีวิตกว่า 10 โครงการ เช่น โครงการทุนการศึกษา อบรมวิชาชีพ และสนับสนุนชุมชน งบรวมกว่า 278 ล้านบาท มีผู้ได้รับการสงเคราะห์รวม 956,645 ราย

ผลงานด้านการแพทย์ การศึกษา และศาสนา

แพทย์หญิงมนนภา ขุนณรงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลหัวเฉียว เปิดเผยถึงโครงการช่วยเหลือ 7 โครงการ รวมงบกว่า 29 ล้านบาท โดย 3 โครงการหลัก ได้แก่ การช่วยผู้ป่วยฟอกไต (12 ล้านบาท) การใช้รถ X-Ray Digital Mobile (7.4 ล้านบาท) และโครงการค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยยากไร้ (2 ล้านบาท)

ขณะที่นายอรัญ เอี่ยมสุรีย์ ผู้อำนวยการคลินิกการแพทย์แผนจีนหัวเฉียว เผยว่า คลินิกให้บริการผู้ป่วยรวมกว่า 325,720 รายในปี 2567 ผ่านโครงการหลากหลาย เช่น โครงการสงเคราะห์โรคหลอดเลือดสมอง การแจกสมุนไพร และกิจกรรมสาธารณสุขเชิงรุก

ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.อุไรพรรณ เจนวาณิชยานนท์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ กล่าวถึง 4 มิติเด่น ได้แก่ 1. หลักสูตรใหม่ 3 หลักสูตร 2. รายวิชาบ่มเพาะจิตอาสา 3. งานวิจัยนวัตกรรมเพื่อชุมชน 4. โครงการบริการสังคม 40 โครงการ งบรวมกว่า 30 ล้านบาท

ก่อสร้างศาลเจ้าไต้ฮงกงหยกขาว คืบหน้าเกือบสมบูรณ์

นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ระบุว่า ศาลเจ้าไต้ฮงกงหยกขาว ที่ตั้งอยู่ภายในสวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มีความคืบหน้าโดยรวมแล้วกว่า 96.25% งานโครงสร้างอาคารเสร็จแล้ว 100% และตกแต่งประติมากรรมจีนกว่า 90% โดยคาดว่าจะเปิดให้ประชาชนเข้าสักการะได้ภายในปี 2568

เมื่อวันที่ 19 มกราคม และ 19 พฤษภาคม 2568 มูลนิธิฯ จัดพิธีเบิกเนตรและพุทธาภิเษกศาลเจ้า โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระสังฆราช พร้อมคณะสงฆ์จีนนิกายกว่า 15 รูปเจริญพุทธมนต์ เป็นศูนย์รวมพลังศรัทธาและแลนด์มาร์กใหม่ด้านศาสนาและวัฒนธรรม

สถิติและแหล่งอ้างอิง

  • มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งใช้งบประมาณรวมปี 2567: 511 ล้านบาท
  • ผู้ได้รับการช่วยเหลือรวม: 1,774,270 ราย
  • งบด้านช่วยชีวิต: 166 ล้านบาท (491,905 ราย)
  • งบด้านรักษาชีวิต: 38.4 ล้านบาท
  • งบด้านสร้างชีวิต: 278 ล้านบาท (956,645 ราย)
  • โทรศัพท์สายด่วน 1418: กว่า 140,000 สาย
  • ผู้ป่วยที่รับบริการจากคลินิกแพทย์แผนจีนหัวเฉียว: 325,720 ราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง
  • โรงพยาบาลหัวเฉียว
  • มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์มูลนิธิฯ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

กอ.รมน.เชียงราย เตรียมแผนป้องกันน้ำท่วมแม่สาย

กอ.รมน.เชียงราย จับมือท้องถิ่นเตรียมรับมืออุทกภัยแม่สาย งวดที่ 2 ประจำปี 2568 เดินหน้าวางแผนบูรณาการร่วมทุกภาคส่วน

เชียงราย, 20 พฤษภาคม 2568 – กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) จังหวัดเชียงราย โดย พันโทนิรุธ ณ ลำปาง รองหัวหน้ากลุ่มงานประสานความมั่นคง ร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นในพื้นที่อำเภอแม่สาย เร่งดำเนินการเตรียมความพร้อมในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย งวดที่ 2 ประจำปีงบประมาณ 2568 เพื่อรับมือสถานการณ์อุทกภัยในฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง

จากปัญหาซ้ำซากสู่แนวทางรับมือ: การลงพื้นที่ร่วมภาคีเครือข่าย

เมื่อเวลา 09.30 น. ของวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 กอ.รมน.เชียงราย ลงพื้นที่พบปะประสานการปฏิบัติร่วมกับนายวรรณศิลป์ จีระกาศ ปลัดเทศบาล ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีตำบลแม่สาย เพื่อติดตามสถานการณ์และความคืบหน้าในการเตรียมรับมืออุทกภัยในพื้นที่

กิจกรรมในครั้งนี้ครอบคลุมการตรวจสอบสภาพคลองภายในชุมชน บริเวณบ้านหัวฝาย ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงเกิดน้ำหลากและน้ำท่วมฉับพลัน โดยมีการตรวจความคืบหน้าการขุดลอกและทำผนังกันน้ำที่ดำเนินการโดยทหารช่าง รวมถึงการวางแนวทางในการขจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำและเร่งรัดการเตรียมระบบแจ้งเตือนภัยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

สรุปข้อเสนอและแนวทางแก้ไขปัญหาจากเวทีหารือ

การหารือร่วมระหว่าง กอ.รมน.และเทศบาลตำบลแม่สายได้ข้อสรุปเบื้องต้น ดังนี้:

  1. เทศบาลตำบลแม่สายดำเนินการขุดลอกท่อและคลองภายในชุมชนแล้วจำนวน 4 ครั้งในรอบปีที่ผ่านมา
  2. ปัญหาหลักคือเมื่อตกฝนหนัก มวลน้ำและทรายจากพื้นที่สูงไหลเข้าสู่ทางระบายน้ำ ทำให้เกิดการอุดตันอย่างรวดเร็ว
  3. เทศบาลยังประสบปัญหาด้านงบประมาณในการดูแลรักษาและขุดลอกระบบระบายน้ำอย่างต่อเนื่อง
  4. การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำทางระบายน้ำได้รับการมอบหมายให้ทหารช่างดำเนินการ โดยเทศบาลจะเป็นผู้ประสานงานกับชาวบ้าน
  5. ตลาดสายลมจอย ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำ มีการเช่าพื้นที่ล่วงหน้าในระยะยาว 4-5 ปี โดยแม่ค้ายืนยันไม่ขอย้ายออกและยอมรับความเสี่ยงกรณีเกิดอุทกภัยโดยไม่เรียกร้องค่าเสียหายจากรัฐบาล
  6. เทศบาลมีแผนการแจ้งเตือนและอพยพประชาชนอย่างเป็นระบบหากเกิดเหตุอุทกภัยฉับพลัน
  7. ประชาชนในพื้นที่มีความตื่นตัวและให้ความร่วมมือกับทางราชการเป็นอย่างดี
  8. เทศบาลแม่สายได้ขอประสานกับ กอ.รมน.จังหวัดเชียงราย เพื่อแจ้งหน่วยงานอื่น ๆ ได้แก่ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จว.ชร.), หน่วยทหาร, ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย และฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงราย เพื่อจัดทำแผนรับมืออุทกภัยและซักซ้อมการอพยพให้ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงภัยทั้งหมด

วิเคราะห์ภาพรวมและผลกระทบเชิงระบบ

จากการประเมินโดยเจ้าหน้าที่ กอ.รมน.เชียงราย พบว่าปัญหาอุทกภัยในพื้นที่แม่สายเป็นปัญหาซ้ำซาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มีปริมาณน้ำฝนสูงกว่าค่าเฉลี่ยจากแนวเทือกเขาด้านตะวันตกของอำเภอ ซึ่งทำให้เกิดน้ำหลากรุนแรงและรวดเร็ว

แนวทางที่ได้รับการเสนอจากนักวิชาการท้องถิ่นประกอบด้วยการพัฒนาระบบ Early Warning System (EWS) โดยอาศัยเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ตรวจวัดน้ำฝนและน้ำหลาก รวมถึงการสร้างฝายชะลอน้ำและบ่อพักน้ำในชุมชน เพื่อแบ่งเบาภาระของระบบระบายน้ำหลัก

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

  • จากรายงานของสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ปี 2566 ระบุว่า อำเภอแม่สายมีเหตุอุทกภัยเกิดขึ้น 6 ครั้ง มีประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 3,100 ครัวเรือน และพื้นที่การเกษตรเสียหายมากกว่า 1,800 ไร่
  • รายงานจากเทศบาลตำบลแม่สาย ปี 2567 พบว่าในช่วงฤดูฝน มีการขุดลอกท่อระบายน้ำเฉลี่ยเดือนละ 1 ครั้ง แต่ยังไม่เพียงพอต่อการรองรับปริมาณน้ำฝนที่มากขึ้นทุกปี
  • ศูนย์พยากรณ์อากาศภาคเหนือ กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่า ปี 2568 ภาคเหนือจะมีฝนตกสูงกว่าค่าเฉลี่ย 15% โดยเฉพาะในเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร จังหวัดเชียงราย (กอ.รมน.เชียงราย)
  • เทศบาลตำบลแม่สาย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์พยากรณ์อากาศภาคเหนือ กรมอุตุนิยมวิทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เตรียมพร้อม เชียงรายวางแผน สู้ภัยพิบัติ “น้ำท่วม” ไม่ประมาท

เชียงรายประชุมวางแผนรับมือภัยพิบัติ เน้นเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยง-ซ้อมรับมือ-สื่อสารชัดเจนก่อนวิกฤติ

เชียงราย, 14 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าเชิงรุกประชุมวางแผนบริหารจัดการภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ ภายใต้ความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันความสูญเสียจากอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยมุ่งเน้นการจัดทำแผนเผชิญเหตุล่วงหน้า การซักซ้อมแผนในพื้นที่เปราะบาง และการสื่อสารเตือนภัยแบบเรียลไทม์ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและทั่วถึง

ผู้ว่าฯ นำทีมประชุมกำหนดทิศทางรับมือภัยพิบัติ

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการจัดการภัยพิบัติของจังหวัด โดยมีนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัด นายครรชิต ชมภูแดง หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย และผู้บริหารจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อกำหนดแนวทางเชิงปฏิบัติที่ชัดเจนในการบริหารจัดการภัยพิบัติ โดยเฉพาะอุทกภัย ซึ่งเป็นปัญหาที่จังหวัดเชียงรายเผชิญหน้าในรอบหลายปีที่ผ่านมา

จัดทำแผนเผชิญเหตุครอบคลุมทุกระดับ

ที่ประชุมมีมติให้ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา ภาคความมั่นคง และภาคประชาชน ต้องร่วมมือกันจัดทำแผนเผชิญเหตุอุทกภัยอย่างละเอียด โดยเน้นระดับพื้นที่ให้ครอบคลุมตั้งแต่ชุมชน หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จนถึงระดับจังหวัด

ในแผนดังกล่าว แบ่งพื้นที่เป้าหมายออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่

  1. พื้นที่เปราะบาง ที่ต้องเฝ้าระวังไม่ให้เกิดน้ำท่วม เช่น โรงพยาบาล ศูนย์สุขภาพ หมู่บ้านชุมชนแออัด และเส้นทางคมนาคมสายหลัก
  2. พื้นที่รองรับน้ำ ที่อาจต้องถูกใช้เป็นที่รองรับกรณีเกิดภาวะวิกฤติ เช่น ที่ราบลุ่ม ชุมชนใกล้แหล่งน้ำ หรือพื้นที่โล่งกลางเมือง ซึ่งจะต้องมีแผนรองรับกรณีอพยพ การจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว ระบบสนับสนุนด้านสุขภาพและอาหาร ตลอดจนการประสานงานข้ามหน่วยงานให้พร้อมใช้งานทันที

ฝึกซ้อมแผนให้พร้อมใช้จริง ไม่ต้องรอภัยพิบัติมาก่อน

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้เน้นย้ำว่า “แผนจะไม่มีประโยชน์เลยถ้าไม่มีการฝึกซ้อม” ดังนั้นจึงมีมติให้หน่วยงานต่าง ๆ จัดการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุในพื้นที่เปราะบางเป็นประจำ โดยไม่จำเป็นต้องรอการฝึกขนาดใหญ่ของจังหวัด

การฝึกซ้อมควรครอบคลุมทุกระดับ เริ่มตั้งแต่ระดับชุมชนหรือหมู่บ้านที่มีความเสี่ยง ไปจนถึงการซ้อมแผนในระดับตำบล อำเภอ และศูนย์บัญชาการจังหวัด เพื่อสร้างความคุ้นเคยให้กับเจ้าหน้าที่ ประชาชน และอาสาสมัครในพื้นที่

ระบบเตือนภัยต้องเป็นข้อมูลเรียลไทม์ เข้าใจง่าย เข้าถึงได้

อีกหนึ่งหัวข้อสำคัญที่ถูกหยิบยกในการประชุมครั้งนี้ คือ “ระบบเตือนภัย” โดยมีข้อเสนอให้ทุกหน่วยงานร่วมกันติดตามข้อมูลจากสถานีตรวจวัดน้ำฝนและระดับน้ำท่าทั้งแบบอัตโนมัติและแบบตรวจสอบด้วยคน (manual)

ข้อมูลทั้งหมดต้องถูกรวบรวมและแสดงผลแบบ REAL-TIME พร้อมมีการเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง ทั้งผ่านแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ การแจ้งเตือนผ่านเสียงตามสาย หอกระจายข่าว หรือข้อความ SMS รวมถึงการใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย โดยไม่ใช้ศัพท์ทางเทคนิคมากเกินไป เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าใจและปฏิบัติตามได้ทันท่วงที

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงต้นแบบฝึกซ้อมแผน

เพื่อเป็นต้นแบบของการดำเนินการฝึกซ้อมแผนป้องกันภัยพิบัติ ที่ประชุมมีมติให้ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จัดการฝึกซ้อมในวันที่ 9 มิถุนายน 2568 โดยใช้แผนเผชิญเหตุที่วางร่วมกับหน่วยงานรัฐ พร้อมทดสอบระบบเตือนภัย การอพยพ การช่วยเหลือผู้ประสบภัย และการประสานงานในสถานการณ์วิกฤติอย่างครบวงจร

การฝึกซ้อมครั้งนี้จะเชิญผู้แทนจากหน่วยงานอื่น ๆ มาร่วมสังเกตการณ์และศึกษาแนวทางการจัดการ เพื่อขยายผลสู่ชุมชนและพื้นที่เสี่ยงอื่น ๆ ในจังหวัดเชียงราย

บทสรุปและแนวทางต่อยอด

แนวทางทั้งหมดที่ประชุมเห็นชอบในครั้งนี้ เป็นการกำหนดรากฐานของระบบบริหารจัดการภัยพิบัติแบบบูรณาการ ซึ่งไม่เพียงป้องกันและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต แต่ยังเป็นต้นแบบที่สามารถขยายผลไปยังจังหวัดอื่น ๆ ได้

นายชรินทร์ ทองสุข กล่าวว่า “เราไม่สามารถหยุดฝนได้ แต่เราสามารถหยุดความสูญเสียได้ หากเรามีแผนที่ดีและซ้อมจนเกิดความพร้อมสูงสุด”

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยในจังหวัดเชียงราย: 22 อำเภอ 94 ตำบล (ที่มา: สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย, 2567)
  • จำนวนประชากรในพื้นที่เสี่ยงระดับสูง: ประมาณ 285,000 คน (ข้อมูล: สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567)
  • จำนวนสถานีตรวจวัดน้ำและฝนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย: รวม 137 สถานี (อ้างอิง: กรมชลประทาน, 2566)
  • พื้นที่รองรับน้ำตามแผนจัดการน้ำท่วม: มากกว่า 45 จุดในระดับตำบล (ที่มา: แผนแม่บทบริหารจัดการน้ำ จ.เชียงราย, 2567)

ข่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของจังหวัดเชียงรายในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ โดยยึดหลักการป้องกันล่วงหน้า ซ้อมเพื่อความพร้อม และสื่อสารให้ชัดเจน ซึ่งหากสามารถดำเนินการตามแนวทางนี้ได้อย่างต่อเนื่อง ย่อมช่วยลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้อย่างยั่งยืน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย, 2567
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567
  • กรมชลประทาน, 2566
  • แผนแม่บทบริหารจัดการน้ำ จ.เชียงราย, 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สสน. หนุน อบจ.เชียงราย! วางแผนรับมือน้ำท่วม-ภัยแล้งแบบมืออาชีพ

สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) เข้าหารือกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการน้ำแบบรอบด้าน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อน-ระหว่าง-หลังเกิดภัยพิบัติ

การหารือระดับจังหวัดสู่การวางรากฐานระบบจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

ประเทศไทย, 7 พฤษภาคม 2568 – ณ ห้องรับรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดประชุมหารือสำคัญระหว่างผู้แทนจาก สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) กับ คณะผู้บริหารองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล แนวคิด และเทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการน้ำแบบองค์รวม ครอบคลุมทั้งในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังเกิดภัยพิบัติ

การประชุมครั้งนี้มี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานให้การต้อนรับพร้อมด้วย นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายกฯ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านภัยพิบัติ เข้าร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้โดยละเอียดกับคณะจากสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกและระบบภูมิสารสนเทศที่แม่นยำสำหรับการบริหารจัดการน้ำในระดับพื้นที่

PDOSS กลไกสำคัญสู่การบริหารภัยพิบัติแบบเบ็ดเสร็จ

ในที่ประชุม นางอทิตาธรได้กล่าวถึงนโยบายหลักขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายที่ให้ความสำคัญกับการใช้ ศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (Provincial Disaster One Stop Service: PDOSS) ซึ่งเป็นระบบที่นำมาใช้ในการจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างครบวงจร เพื่อยกระดับศักยภาพในการรับมือกับภัยพิบัติทุกรูปแบบ

PDOSS ทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมข้อมูลด้านภัยพิบัติและสาธารณภัยทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น

  • ระบบเตือนภัยพิบัติแบบเรียลไทม์
  • การจัดการเครือข่ายน้ำและการระบายน้ำ
  • การบริหารไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5)
  • การแจ้งเหตุและรับเรื่องร้องเรียนภัยพิบัติแบบจุดเดียว
  • ระบบเยียวยาผู้ประสบภัยแบบเบ็ดเสร็จ

ระบบดังกล่าวช่วยลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน เพิ่มความรวดเร็วในการเข้าถึงพื้นที่ประสบภัย และเพิ่มความมั่นใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่เป้าหมาย

แผนบริหารจัดการน้ำกลยุทธ์ตั้งรับภัยพิบัติยุคใหม่

หนึ่งในหัวข้อหลักที่ถูกหยิบยกในการหารือครั้งนี้ คือการบริหารจัดการน้ำเชิงป้องกัน ที่ถือเป็นกลไกสำคัญในการลดความรุนแรงของผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน ดินถล่ม หรือภัยแล้ง

การวางแผนล่วงหน้าครอบคลุมตั้งแต่

  • การวิเคราะห์แหล่งน้ำต้นทุน
  • การก่อสร้างเขื่อน ฝาย และอ่างเก็บน้ำ
  • การจัดการเส้นทางระบายน้ำในเขตเมืองและชนบท
  • การใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (GIS) เพื่อคาดการณ์พื้นที่เสี่ยง

นอกจากนี้ยังมีการหารือถึงการใช้ระบบ แบบจำลองน้ำหลาก (Flood Simulation) ร่วมกับแบบจำลองภูมิอากาศ เพื่อให้สามารถเตือนภัยล่วงหน้าและจัดการพื้นที่เสี่ยงได้ล่วงหน้า 3 – 7 วัน

การสร้างความร่วมมือระดับนโยบายและภาคปฏิบัติ

ตัวแทนจากสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำได้แสดงความพร้อมในการสนับสนุนองค์ความรู้ ฐานข้อมูล และระบบเทคโนโลยีสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำในระดับท้องถิ่น โดยเน้นการส่งเสริมการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ และการเชื่อมโยงข้อมูลกับแผนปฏิบัติการระดับจังหวัด

ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่า การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพจะต้องอาศัยความร่วมมือแบบบูรณาการระหว่างภาครัฐระดับชาติ ระดับจังหวัด และภาคประชาชน เพื่อให้เกิดการจัดการอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ความสำคัญของการเตรียมพร้อมในทุกระดับ

การเตรียมความพร้อมก่อนเกิดภัยพิบัติ ไม่เพียงเป็นภารกิจของหน่วยงานเท่านั้น แต่ยังเป็นหน้าที่ร่วมกันของทุกภาคส่วน ซึ่งการจัดทำ แผนรับมือภัยพิบัติรายตำบลและรายหมู่บ้าน กำลังถูกขยายผลอย่างจริงจังในจังหวัดเชียงราย เพื่อให้ชุมชนมีความสามารถในการพึ่งตนเองเบื้องต้น ก่อนการเข้าช่วยเหลือจากหน่วยงานหลัก

ทั้งนี้ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ยังได้ผลักดันโครงการติดตั้งเครื่องวัดระดับน้ำแบบเรียลไทม์ (Real-time water level sensors) ในพื้นที่เสี่ยง เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจแบบทันสถานการณ์ และการแจ้งเตือนประชาชนได้อย่างทันท่วงที

วิเคราะห์แนวโน้มและทิศทางอนาคต

จากข้อมูลด้านการบริหารน้ำและภัยพิบัติของจังหวัดเชียงราย พบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พื้นที่จังหวัดเชียงรายเผชิญกับภัยธรรมชาติต่อเนื่อง โดยเฉพาะในฤดูฝนและฤดูแล้งที่แปรปรวนอย่างรุนแรงจากผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีแนวโน้มของ ความถี่ของน้ำท่วมฉับพลันเพิ่มขึ้น 12% และ อัตราฝนเฉลี่ยต่อปีสูงขึ้นกว่า 20% จากค่าเฉลี่ยในรอบ 30 ปี

ข้อมูลเชิงสถิติเหล่านี้สะท้อนความจำเป็นในการเร่งพัฒนาระบบจัดการน้ำให้ทันต่อสถานการณ์ โดยเฉพาะการปรับตัวเชิงโครงสร้างและการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาท้องถิ่นและแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ในปี 2567 จังหวัดเชียงรายประสบเหตุอุทกภัย รวม 9 ครั้ง กระจายทุกอำเภอหลัก
  • ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากภัยพิบัติในปีเดียวสูงถึง 3,200 ล้านบาท
  • พื้นที่ที่อยู่ในโซนเสี่ยงน้ำท่วมตามแผนที่ GIS ของกรมทรัพยากรน้ำ จำนวน 147 หมู่บ้าน
  • อัตราฝนเฉลี่ยในฤดูฝนปี 2567 อยู่ที่ 1,698 มิลลิเมตร เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ากว่า 17%
    (ที่มา: กรมทรัพยากรน้ำ, สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน), สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย)

สรุป

การหารือระหว่างสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาศักยภาพการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ในภาคเหนือของประเทศไทย ไม่เพียงเสริมสร้างการป้องกันภัยพิบัติอย่างยั่งยืน แต่ยังช่วยส่งเสริมความมั่นคงของชีวิตประชาชนในพื้นที่ ผ่านความร่วมมือระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการบริหารภาครัฐที่มีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ครม.ทุ่มงบหลักล้านบาท เตือนภัยดินถล่ม น้ำป่าเชียงราย

ครม.อนุมัติ 370 ล้านบาท เร่งติดตั้งระบบเตือนภัยดินถล่มและน้ำป่าไหลหลาก

ประเทศไทย, 10 เมษายน 2568 – คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินรวม 370,390,200 บาท เพื่อดำเนินโครงการจัดทำระบบเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยแผ่นดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายในการลดความสูญเสียจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เพิ่มความถี่และความรุนแรงขึ้นทุกปี โดยเน้นพื้นที่เสี่ยงระดับสูงในภาคเหนือและภาคใต้ของประเทศไทย

แนวโน้มธรณีพิบัติภัยในประเทศไทย

จากข้อมูลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ประเทศไทยเผชิญกับภัยดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน สถิติย้อนหลัง 5 ปี (2563-2567) พบว่า มีเหตุการณ์ดินถล่มเฉลี่ยปีละ 110–130 ครั้ง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตสะสมกว่า 270 ราย และบ้านเรือนเสียหายจำนวนมาก โดยพื้นที่เสี่ยงภัยส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตภูเขาและพื้นที่ลาดชันของภาคเหนือและภาคใต้

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักและพายุในหลายพื้นที่ โดยในปี 2567 กรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า ประเทศไทยมีจำนวนวันที่ฝนตกมากกว่า 100 มิลลิเมตรต่อวัน สูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยถึง 27%

สาระสำคัญของโครงการระบบเตือนภัยดินถล่ม

โครงการนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อเสริมสร้างศักยภาพของประเทศในการเฝ้าระวังภัยพิบัติ โดยมีองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน ดังนี้

  1. ติดตั้งระบบตรวจจับมวลดินเคลื่อนตัวและน้ำป่า 120 สถานี

วงเงิน 310,840,000 บาท สำหรับการติดตั้งเครื่องมือในพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มระดับสูงและสูงมาก โดยเครื่องมือจะสามารถตรวจจับความชื้นในดิน การเคลื่อนตัวของชั้นดิน และสัญญาณการทรุดตัว เพื่อส่งสัญญาณเตือนไปยังศูนย์กลางเฝ้าระวัง

  1. พัฒนาระบบสารสนเทศดิจิทัลธรณีพิบัติภัย

วงเงิน 40,351,000 บาท เพื่อจัดทำระบบฐานข้อมูลและแผนที่เสี่ยงภัยในรูปแบบออนไลน์ ครอบคลุมข้อมูลพิกัด ระบบพยากรณ์ ภาพถ่ายดาวเทียม และผลวิเคราะห์ทางธรณีวิทยา เพื่อให้ประชาชน หน่วยงานท้องถิ่น และหน่วยงานภาครัฐเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและโปร่งใส

  1. สร้างเครือข่ายภาคีความร่วมมือในพื้นที่เสี่ยง

วงเงิน 19,199,200 บาท เพื่ออบรมและเสริมสร้างองค์ความรู้ให้แก่ผู้นำชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัคร อสม. และภาคประชาชน ให้มีทักษะในการประเมินความเสี่ยง การอพยพ และการแจ้งเตือน

พื้นที่ดำเนินโครงการครอบคลุม 17 จังหวัดหลัก

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้กำหนดพื้นที่เป้าหมายในการดำเนินโครงการ 17 จังหวัด ได้แก่

  • ภาคเหนือ: เชียงราย, เชียงใหม่, ตาก, แม่ฮ่องสอน, แพร่, น่าน, อุตรดิตถ์, เพชรบูรณ์
  • ภาคใต้: ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร, สุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช, ระนอง, พังงา, กระบี่, ภูเก็ต

โดยการดำเนินการจะใช้ระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่เมษายน 2568 ถึงมีนาคม 2569 โดยคาดว่าหลังจากติดตั้งและทดสอบระบบเสร็จจะสามารถใช้งานได้จริงตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2569

การเชื่อมโยงกับการบริหารจัดการความเสี่ยงในระดับประเทศ

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการนี้จะช่วยยกระดับศักยภาพของประเทศในการบริหารจัดการภัยพิบัติ โดยเน้นระบบแจ้งเตือนล่วงหน้าแบบองค์รวม สนับสนุนการตัดสินใจของผู้ว่าราชการจังหวัด ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ (EOC) และหน่วยงานภาคสนาม ให้สามารถเตรียมความพร้อม อพยพ และช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที

วิเคราะห์ผลกระทบเชิงบวกที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

  • ลดอัตราการเสียชีวิตจากดินถล่มในพื้นที่เป้าหมายลงไม่น้อยกว่า 60%
  • คาดว่าประชาชนกว่า 1.5 ล้านคนจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากระบบเตือนภัยนี้
  • เพิ่มขีดความสามารถขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 300 แห่งทั่วประเทศ
  • ลดค่าเสียหายทางเศรษฐกิจในพื้นที่เสี่ยงกว่า 800 ล้านบาทต่อปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE