Categories
TOP STORIES

สว. ยื่นเชือด “ทวี” กล่าวหาฮั้วเลือก ผิดอั้งยี่

มงคล” ยื่น ป.ป.ช. สอบ “ทวี-อธิบดีดีเอสไอ” ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง กรณีฮั้วเลือก ส.ว.

รัฐสภา, 28 กุมภาพันธ์ 2568 – นาย มงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้ทำหนังสืออย่างเป็นทางการถึง ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้พิจารณาไต่สวน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรณี ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยเกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหา ฮั้วเลือก ส.ว.” ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิด อั้งยี่และฟอกเงิน

การยื่นเรื่องนี้เป็นไปตาม ความประสงค์ของสมาชิกวุฒิสภา ที่ต้องการให้ ป.ป.ช. พิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่

ที่มาของการร้องเรียน: ข้อกล่าวหาเรื่อง “ฮั้วเลือก ส.ว.”

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) พร้อมคณะ ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายมงคล สุระสัจจะ ขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของ พ.ต.อ.ทวี และ พ.ต.ต.ยุทธนา โดยระบุว่าทั้งสองบุคคลมีพฤติกรรมเข้าข่าย

  • กระทำผิดมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
  • ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ตามมาตรฐานจริยธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ
  • อาจเข้าข่ายความผิดฐานอั้งยี่และฟอกเงิน จากกรณีข้อกล่าวหาการฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา

โดยหนังสือที่ยื่นถึงประธานวุฒิสภาเมื่อวันที่ 27 ก.พ. ได้รับการพิจารณา และ ดำเนินการส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช. ในวันที่ 28 ก.พ. อย่างเร่งด่วน

พ.ต.อ.ทวี – พ.ต.ต.ยุทธนา อาจถูกสอบสวนอย่างละเอียด

กรณีนี้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง และ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ ต้องเผชิญกับการพิจารณาจาก คณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งอาจนำไปสู่การไต่สวนในรายละเอียด และหากพบว่ามีมูลความผิดจริง อาจส่งผลให้ทั้งสองคนต้องรับโทษตามกฎหมายและมาตรฐานทางจริยธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ

มาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ระบุว่า เจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อาจมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท

มาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงของเจ้าหน้าที่รัฐ หากพิสูจน์ได้ว่า ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม อาจนำไปสู่โทษสูงสุดคือ ถูกถอดถอนจากตำแหน่ง และเพิกถอนสิทธิทางการเมือง

ปฏิกิริยาทางการเมืองและผลกระทบต่อการทำงานของรัฐบาล

การยื่นเรื่องสอบสวนในครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนในแวดวงการเมือง โดยเฉพาะในกระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสรรหา ส.ว.

นักวิเคราะห์การเมืองมองว่า กรณีนี้อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดแรงกดดันต่อรัฐบาลและฝ่ายบริหาร เพราะเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับบุคคลระดับสูงในหน่วยงานสำคัญ และหากมีการดำเนินคดี อาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของกระบวนการยุติธรรมของไทย

ขณะที่ สภาวุฒิสภา (ส.ว.) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ อาจมีท่าทีแข็งกร้าวมากขึ้น หากพบว่าข้อกล่าวหานี้มีมูลจริง

แนวโน้มการพิจารณาของ ป.ป.ช. และกระบวนการต่อไป

หลังจากการรับเรื่องจากประธานวุฒิสภา ป.ป.ช. มีอำนาจในการ

  • แต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวน เพื่อสืบสวนข้อเท็จจริง
  • เรียกพยานบุคคลและเอกสารหลักฐาน ที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว
  • ตรวจสอบเส้นทางการเงิน หากพบว่ามีการกระทำที่เข้าข่ายฟอกเงิน
  • เสนอมาตรการลงโทษทางกฎหมายและทางจริยธรรม

กระบวนการไต่สวนของ ป.ป.ช. อาจใช้เวลาหลายเดือนหรือเป็นปี ขึ้นอยู่กับปริมาณหลักฐานและความซับซ้อนของคดี

สถิติที่เกี่ยวข้องกับคดีทุจริตในไทย

  • จำนวนคดีทุจริตที่ ป.ป.ช. รับเรื่องในปี 2567: 6,842 คดี (ที่มา: ป.ป.ช.)
  • จำนวนคดีที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง: 1,253 คดี (ที่มา: ป.ป.ช.)
  • จำนวนคดีที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเลือกตั้ง ส.ว. และ ส.ส.: 187 คดี (ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง – กกต.)
  • คดีที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 157 ที่ ป.ป.ช. ส่งฟ้องในศาลอาญาคดีทุจริต: 82 คดี (ที่มา: ป.ป.ช.)

บทสรุป

กรณีนี้ถือเป็น ประเด็นร้อนทางการเมืองและกระบวนการยุติธรรม ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อ ภาพลักษณ์ของรัฐบาล และ ระบบการตรวจสอบภาครัฐ หาก ป.ป.ช. มีมติรับไต่สวน คดีนี้อาจนำไปสู่ การเปิดโปงขบวนการทุจริตในวงการเมืองระดับสูง อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

รัฐบาลและวุฒิสภาจะต้องจับตา ผลสรุปของ ป.ป.ช. อย่างใกล้ชิด และคาดว่าการพิจารณาคดีนี้ จะเป็นที่จับตามองจากประชาชน และองค์กรต่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสทางการเมืองของไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : รัฐสภา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
NEWS UPDATE

กรมวังผู้ใหญ่ประจำพระองค์ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ติดตามการดำเนินงานตามโครงการราชทัณฑ์ปันสุขฯ ที่จังหวัดเชียงราย

Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ป.ป.ช.เชียงราย ลุยตลาดร้าง 49 ล้าน ประชาชนร้องทิ้งขว้าง เทศบาลยังเงียบ!

ป.ป.ช.เชียงรายร่วมชมรม STRONG ลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการตลาดชายแดนไทย-ลาว หลังถูกปล่อยร้าง

เชียงราย, 26 กุมภาพันธ์ 2568 (Reuters) – สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประจำจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ ชมรม STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริต จังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่เทศบาลตำบลม่วงยาย อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย เพื่อตรวจสอบ โครงการตลาดชายแดนไทย-ลาว ห้วยลึก ที่ใช้งบประมาณ 49.31 ล้านบาทในการก่อสร้าง แต่กลับถูกปล่อยร้าง ไม่มีการใช้งาน

การลงพื้นที่ติดตามและตรวจสอบข้อร้องเรียน

เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 นายกิตติศักดิ์ พิมสาร ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้ นายนั้ง แสงเพชรไพบูรณ์ หัวหน้ากลุ่มงานป้องกันการทุจริต พร้อมด้วย นางวันดี ราชชมภู ประธานกรรมการชมรม STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริต จังหวัดเชียงราย นำคณะกรรมการชมรมลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อร้องเรียนที่ได้รับจากสมาชิกเกี่ยวกับ โครงการตลาดชายแดนไทย-ลาว ห้วยลึก

โครงการก่อสร้างที่ยังไร้การใช้งาน

โครงการดังกล่าวได้รับการก่อสร้างโดยใช้งบประมาณ 49,310,000 บาท แต่จากการตรวจสอบพบว่า ไม่มีการนำมาใช้ประโยชน์ เทศบาลตำบลม่วงยายได้รับการถ่ายโอนโครงการจาก กรมโยธาธิการและผังเมือง เมื่อปี 2567 และแม้จะมีแผนการบริหารจัดการตลาด แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน

ป.ป.ช.ให้คำแนะนำแนวทางแก้ไข

ป.ป.ช.เชียงรายได้เสนอแนะให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งพิจารณานำสิ่งปลูกสร้างที่ได้รับการถ่ายโอนมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงตรวจสอบสาเหตุของความล่าช้าในการดำเนินโครงการ พร้อมทั้งเน้นย้ำให้ทุกฝ่ายมีความโปร่งใสและคุ้มค่าต่องบประมาณที่ใช้จ่าย

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • งบประมาณโครงการก่อสร้างตลาดชายแดนไทย-ลาว ห้วยลึก: 49.31 ล้านบาท (ที่มา: กรมโยธาธิการและผังเมือง)
  • จำนวนโครงการก่อสร้างในเชียงรายที่ได้รับการร้องเรียนเรื่องความล่าช้าและการทุจริตในปี 2567: 12 โครงการ (ที่มา: ป.ป.ช.เชียงราย)
  • ตลาดที่ยังไม่เปิดใช้งานในพื้นที่ภาคเหนือ: มากกว่า 25 แห่ง (ที่มา: กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • ความล่าช้าเฉลี่ยของโครงการภาครัฐในภาคเหนือ: 12-18 เดือน (ที่มา: สำนักงานงบประมาณแห่งชาติ)

สำนักงาน ป.ป.ช.เชียงรายระบุว่า จะยังคงติดตามความคืบหน้าของโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง และเปิดรับแจ้งเบาะแสจากประชาชนผ่านสายด่วน ป.ป.ช. หมายเลข 1205

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE

กรมวังผู้ใหญ่ประจำพระองค์ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ติดตามการดำเนินงานตามโครงการราชทัณฑ์ปันสุขฯ ที่จังหวัดเชียงราย

Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ป.ป.ช. ประเมินความโปร่งใส ปี 67 จ.เชียงราย ได้เฉลี่ย 91.62 คะแนน

 

เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 67 สำนักงาน ป.ป.ช. โดยสำนักประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส จัดงานประกาศผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment : ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 และมอบรางวัล ITA AWARDS 2024 ขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐที่เข้าร่วมการประเมินได้รับทราบและนำผลการประเมินดังกล่าวไปพัฒนา ปรับปรุง และยกระดับให้หน่วยงานภาครัฐของประเทศไทยมีความโปร่งใส และมีการปฏิบัติงานตามหลักธรรมาภิบาล ตลอดจนสื่อมวลชน และสาธารณชนทั่วไป จะได้มีส่วนร่วมในการสะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพในการเปิดเผยข้อมูล และบริการของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อเป็นประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในระบบราชการ และเสริมสร้างให้เกิดกระแสการไม่ทนต่อการทุจริตต่อไป

 

โดยมี พลตำรวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้ประกาศผลการประเมินคุณธรรมฯ และเป็นผู้มอบรางวัล ITA AWARDS 2024 พร้อมทั้ง นายนิวัติชัย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้สัมภาษณ์พิเศษ ในหัวข้อ “สถานการณ์การทุจริตของประเทศไทยในปัจจุบัน : ปัญหาและทางออก” และนายทวิชาติ นิลกาญจน์ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ร่วมให้ข้อมูลเกี่ยวกับการประเมินในหัวข้อ “การควบคุมคุณภาพการประเมิน ITA และการส่งเสริมธรรมาภิบาลในหน่วยงานภาครัฐ” ด้วย

 

พลตำรวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า การประเมิน ITA ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 นี้ มีหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศที่เข้าร่วมการประเมิน ทั้งสิ้น 8,325 หน่วยงาน โดยเริ่มเข้าสู่กระบวนการประเมินตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 และสิ้นสุดการประเมินในวันที่ 30 มิถุนายน 2567 ภายใต้การกำกับดูแลมาตรฐานการประเมินและความถูกต้องน่าเชื่อถือทางวิชาการ โดยผู้แทนหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องและผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ซึ่งผลการดำเนินการที่ผ่านมา ได้รับความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐที่เข้ารับการประเมินทุกหน่วยงานและหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำกับดูแลและขับเคลื่อนการประเมิน ITA เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีส่วนร่วมในการเข้ามามีส่วนร่วมในการตอบแบบวัดการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายใน (แบบวัด IIT) ของบุคลากรภาครัฐ และการตอบแบบวัดการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก (แบบวัด EIT) ของประชาชนที่มาติดต่อหรือรับบริการหน่วยงานภาครัฐ เป็นจำนวนทั้งสิ้น 1,369,235 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 เป็นจำนวนทั้งสิ้น 362,989 คน ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานภาครัฐ จำนวน 461,440 คน และประชาชนผู้มาติดต่อหรือรับบริการหน่วยงานภาครัฐ จำนวน 907,795 คน ซึ่งถือว่ามีผู้เข้ามามีส่วนร่วมในการประเมินเป็นจำนวนมาก ในสัดส่วนที่สามารถสะท้อนผลการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐด้านคุณธรรมและความโปร่งใสได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีความน่าเชื่อถือทางวิชาการเช่นเดียวกันกับการดำเนินการในปีที่ผ่านมา อันจะเป็นข้อมูลสำคัญที่หน่วยงานภาครัฐจะได้นำไปปรับปรุงและพัฒนาหน่วยงานของตนเองได้อย่างเป็นมาตรฐานเดียวกัน

 

โดยผลคะแนนการประเมิน ITA ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ในภาพรวมระดับประเทศ พบว่า มีค่าคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 93.05 คะแนน ซึ่งมีทิศทางแนวโน้นที่ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา 2.86 คะแนน และเมื่อพิจารณาสัดส่วนของหน่วยงานภาครัฐที่เข้ารับการประเมินที่มีคะแนนผลการประเมินในระดับ 85 คะแนนหรือระดับผ่านขึ้นไป พบว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 7,696 หน่วยงาน คิดเป็นสัดส่วน 92.44 % ของหน่วยงานทั้งหมด 8,325 หน่วยงาน โดยเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาถึง 11.50 % และค่าเป้าหมายแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็น (21) การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ที่ได้กำหนดให้คะแนนเฉลี่ยการประเมินคุณธรรมฯ ทุกหน่วยงานในประเทศต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่า 89 คะแนน ซึ่งปรากฎว่าผลการประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 93.05 นั้น ผ่านตามค่าเป้าหมายตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติฯ ที่กำหนดไว้

 

สำหรับผลการประเมิน ITA ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ที่มีคะแนนผลการประเมินสูงสุดในแต่ละกลุ่มหน่วยงาน มีดังต่อไปนี้

  • กลุ่มหน่วยงานของศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ และหน่วยงานในรัฐสภา ได้แก่ สำนักงานศาลปกครอง ได้คะแนน 97.62 คะแนน อยู่ในระดับ “ผ่านดี”
  • กลุ่มส่วนราชการระดับกรม ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ได้คะแนน 99.31 คะแนน อยู่ในระดับ “ผ่านดีเยี่ยม”
  • กลุ่มรัฐวิสาหกิจ ได้แก่ ธนาคารออมสิน ได้คะแนน 98.96 คะแนน อยู่ในระดับ “ผ่านดีเยี่ยม”
  • กลุ่มองค์การมหาชน สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ได้คะแนน 97.02 คะแนน อยู่ในระดับ “ผ่านดี”
  • กลุ่มหน่วยงานอื่นของรัฐ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
    และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ได้คะแนน 97.27 คะแนน อยู่ในระดับ “ผ่านดีเยี่ยม”
  • กลุ่มกองทุน ได้แก่ กองทุนยุติธรรมได้คะแนน 94.54 คะแนน อยู่ในระดับ “ผ่าน”
  • กลุ่มสถาบันอุดมศึกษา ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี ได้คะแนน 98.70 คะแนน อยู่ในระดับ “ผ่านดี”
  • กลุ่มราชการส่วนภูมิภาค (จังหวัด) ได้แก่ จังหวัดแพร่ ได้คะแนน 100 คะแนน อยู่ในระดับ
    “ผ่านดีเยี่ยม”
  • กลุ่มองค์การบริหารส่วนจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้คะแนน 99.73 คะแนน อยู่ในระดับ “ผ่านดีเยี่ยม”
  • กลุ่มเทศบาลนคร ได้แก่ เทศบาลนครเชียงใหม่ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ได้คะแนน 99.47 คะแนน อยู่ในระดับ “ผ่านดีเยี่ยม”
  • กลุ่มเทศบาลเมือง ได้แก่ เทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ได้คะแนน 99.67 คะแนน อยู่ในระดับ “ผ่านดีเยี่ยม”
  • กลุ่มเทศบาลตำบล ได้แก่ เทศบาลตำบลโคกสูงสัมพันธ์ อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น
    เทศบาลตำบลสามขา อำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด และเทศบาลตำบลเมืองไพร อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งได้คะแนนเท่ากันที่ 100 คะแนน อยู่ในระดับ “ผ่านดีเยี่ยม”
  • องค์การบริหารส่วนตำบล ได้แก่ องค์การบริหารส่วนตำบลหนองไข่นก อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี และองค์การบริหารส่วนตำบลเอราวัณ อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส ซึ่งได้คะแนนเท่ากันที่ 100 คะแนน อยู่ในระดับ “ผ่านดีเยี่ยม”

 

รางวัลที่สอง ประเภทรางวัลจังหวัดที่ขับเคลื่อน ITA บรรลุเป้าหมาย ตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติฯ สูงสุด 10 จังหวัด ประจำปีงบประมาณ 2567

  • จังหวัดแรก ได้แก่ จังหวัดนราธิวาส ได้คะแนน 98.79 คะแนน
  • จังหวัดที่ 2 ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี ได้คะแนน 97.93 คะแนน
  • จังหวัดที่ 3 ได้แก่ จังหวัดสิงห์บุรี ได้คะแนน 97.67 คะแนน
  • จังหวัดที่ 4 ได้แก่ จังหวัดแพร่ ได้คะแนน 97.63 คะแนน
  • จังหวัดที่ 5 ได้แก่ จังหวัดสกลนคร ได้คะแนน 97.32 คะแนน
  • จังหวัดที่ 6 ได้แก่ จังหวัดปทุมธานี ได้คะแนน 97.12 คะแนน
  • จังหวัดที่ 7 ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร ได้คะแนน 97.11 คะแนน
  • จังหวัดที่ 8 ได้แก่ จังหวัดบึงกาฬ ได้คะแนน 96.90 คะแนน
  • จังหวัดที่ 9 ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ ได้คะแนน 96.87 คะแนน
  • จังหวัดที่ 10 ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้คะแนน 96.87 คะแนน

 

รางวัลที่สามจะเป็นประเภทรางวัลหน่วยงานที่มีพัฒนาการสูงสุด ในแต่ละประเภท มีทั้งสิ้น
12 รางวัล
 

  • ลำดับที่ 1 กลุ่มรัฐวิสาหกิจ ได้แก่

    บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด 92.37 คะแนน มีคะแนนเพิ่มขึ้น 9.28 คะแนน

  • ลำดับที่ 2 กลุ่มสถาบันอุดมศึกษา ได้แก่

    มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช 90.75 คะแนน มีคะแนนเพิ่มขึ้น 34.25 คะแนน

  • ลำดับที่ 3 กลุ่มส่วนราชการระดับกรม ได้แก่

    สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ 99.31 คะแนน มีคะแนนเพิ่มขึ้น 34.2 คะแนน

  • ลำดับที่ 4 กลุ่มหน่วยงานของศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ และหน่วยงานรัฐสภา ได้แก่

    สถาบันพระปกเกล้า 95.19 คะแนน มีคะแนนเพิ่มขึ้น 4.28 คะแนน

  • ลำดับที่ 5 กลุ่มหน่วยงานอื่นของรัฐ ได้แก่

    สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน 95.92 คะแนน มีคะแนนเพิ่มขึ้น 3.31 คะแนน

  • ลำดับที่ 6 กลุ่มองค์การมหาชน ได้แก่

    สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) 87.99 คะแนน มีคะแนนเพิ่มขึ้น 35.63 คะแนน

  • ลำดับที่ 7 กลุ่มราชการส่วนภูมิภาค (จังหวัด) ได้แก่

    จังหวัดชลบุรี 96.43 คะแนน มีคะแนนเพิ่มขึ้น 10.04 คะแนน

  • ลำดับที่ 8 กลุ่มเทศบาลตำบล ได้แก่

    เทศบาลตำบลบ้านโป่ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ 96.34 คะแนน มีคะแนนเพิ่มขึ้น 50.52 คะแนน

  • ลำดับที่ 9 กลุ่มเทศบาลนคร ได้แก่

    เทศบาลนครรังสิต อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี 98.25 คะแนน มีคะแนนเพิ่มขึ้น 15.58 คะแนน

  • ลำดับที่ 10 กลุ่มเทศบาลเมือง ได้แก่

    เทศบาลเมืองเพชรบุรี อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี 98.29 คะแนน มีคะแนนเพิ่มขึ้น 36.21 คะแนน

  • ลำดับที่ 11 กลุ่มองค์การบริหารส่วนจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี 99.65 คะแนน มีคะแนนเพิ่มขึ้น 7.58 คะแนน
  • ลำดับที่ 12 กลุ่มองค์การบริหารส่วนตำบล ได้แก่

    องค์การบริหารส่วนตำบลหนองจอก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี 95.16 คะแนน มีคะแนนเพิ่มขึ้น 49.61 คะแนน

 

รางวัลสุดท้าย ประเภทรางวัลหน่วยงานส่วนกลางที่มีผลการประเมิน “ผ่านดีเยี่ยม” จำนวนทั้งสิ้น 9 หน่วยงาน

  • ลำดับที่ 1 ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ได้คะแนน 99.31 คะแนน
  • ลำดับที่ 2 ได้แก่ กองทัพเรือ ได้คะแนน 99.21 คะแนน
  • ลำดับที่ 3 ได้แก่ ธนาคารออมสิน ได้คะแนน 98.96 คะแนน
  • ลำดับที่ 4 ได้แก่ การประปานครหลวง ได้คะแนน 98.84 คะแนน
  • ลำดับที่ 5 ได้แก่ องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ได้คะแนน 98.46 คะแนน
  • ลำดับที่ 6 ได้แก่ กรมการศาสนา ได้คะแนน 98.30
  • ลำดับที่ 7 ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ได้คะแนน 97.94 คะแนน
  • ลำดับที่ 8 ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการ โทรคมนาคมแห่งชาติ ได้คะแนน  97.27 คะแนน
  • ลำดับที่ 9 ได้แก่ การยาสูบแห่งประเทศไทย ได้คะแนน 97.22 คะแนน

 

นอกจากการประกาศผลการประเมินแล้ว ภายในงานได้มีการมอบรางวัล ITA AWARDS 2024 ให้กับหน่วยงานภาครัฐที่เข้าร่วมการประเมินคุณธรรมฯ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่หน่วยงานภาครัฐที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจ และมีผลการประเมินตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ให้ความเห็นชอบไว้แล้ว โดยรางวัล ITA AWARDS 2024 มีรางวัลจำนวน 4 ประเภท ได้แก่ ประเภทที่ 1 รางวัลหน่วยงานที่มีผลการประเมินสูงสุด ประเภทที่ 2 รางวัลจังหวัดที่ขับเคลื่อน ITA บรรลุเป้าหมาย ประเภทที่ 3 รางวัลหน่วยงานที่มีพัฒนาการสูงสุด และประเภทที่ 4 รางวัลหน่วยงานส่วนกลางที่มีผลการประเมิน “ผ่านดีเยี่ยม”

 

สำหรับประชาชนและผู้ที่สนใจ สามารถดาวน์โหลดเอกสารและเข้าดูรายละเอียดผลการประเมิน ITA ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 และการประกาศผลการประเมินคุณธรรมฯ และการมอบรางวัล ITA AWARDS 2024 ได้ที่เว็บไซต์ https://itas.nacc.go.th สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส สำนักงาน ป.ป.ช. ทาง Line Official Account : @ITAS ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS TOP STORIES

พบทั่วโลกติดสินบน 2 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 5% ของจีดีพีโลก

 เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2567 ที่โรงแรมสวิสโซเทล สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการทุจริต ร่วมกับหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย พร้อมจัดเสวนาหัวข้อ “การต่อต้านการทุจริตในภาคเอกชนและบทบาทของภาคเอกชนไทย” 

นายนิติพันธุ์ ประจวบเหมาะ รองเลขาธิการ ป.ป ช. กล่าวตอนหนึ่งว่า การคอร์รัปชัน ติดสินบนพนักงานของรัฐเป็นสิ่งที่เลวร้ายสำหรับการทำธุรกิจ ธนาคารโลกประมาณการว่าในแต่ละปีมีค่าใช้จ่ายสำหรับติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วน world economic forum ประมาณการตัวเลขความเสียหายที่เกิดจากการทุจริตอยู่ที่ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5% ของจีดีพีโลก

 

สำหรับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ป.ป.ช. ได้ประสานการทำงานร่วมกับบริษัทต่างชาติ และทำงานร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ขณะเดียวกัน เมื่อเข้ามาแล้วต้องปฏิบัติตามมาตรฐานอนุสัญญาต่อต้านการทุจริต กำหนดให้รัฐภาคีจะต้องออกมาตรการส่งเสริมและป้องกันการทุจริต ส่งเสริมคุณธรรม โดยเฉพาะวัฒนธรรมองค์กรไม่ยอมรับการทุจริต ป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน รวมถึงความรับผิดทางอาญากรณีการทุจริตทั้งจากเจ้าหน้าที่รัฐและเจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศ รวมถึงนิติบุคคลที่มีส่วนร่วมในการทุจริต และให้สัญญาเป็นโมฆะ ทั้งนี้ ป.ป.ช. พยายามแก้ไขกฎหมายให้สามารถเอาผิดซ้ำใน 2 ประเทศอีกด้วย ขณะนี้ไทยมุ่งหวังจะเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาต่อต้านการติดสินบน ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 44 ประเทศ

 

ด้าน นางวีเบกเกอ เลอเซนด์ เลอแวก (Mrs.Vibeke Lyssand Leivag ) ประธานหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย กล่าวว่า หอการค้าต่างประเทศฯ ทำงานในประเทศไทยมา 48 ปีแล้ว มีสมาชิก 36 บริษัท มีเครือข่าย 8,000 – 9,000 บริษัท เพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทย มีเศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคบริการที่เติบโตและยังมีโอกาสในการลงทุนมากมาย ประเทศไทยยังอยู่ในพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ที่สามารถนำไปสู่ตลาดอาเซียนได้ มีมาตรการจูงใจการลงทุนจำนวนมาก แต่โอกาสมาพร้อมกับความท้าทาย ทั้งการแข่งขันในภาคธุรกิจ และระบบราชการไทยที่ซับซ้อน เรื่องเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งที่ผ่านมาจะมีการประท้วง มีการรัฐประหาร ที่จริงรัฐบาลปัจจุบันให้การส่งเสริมการลงทุนจำนวนไม่น้อย แต่สิ่งที่ต้องทำเพิ่มคือการปรับปรุงระบบการศึกษา เพิ่มทักษะการทำงานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมใหม่ๆ นวัตกรรมใหม่ๆ รวมไปถึงการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน โลจิสติกส์และสาธารณูปโภคต่างๆ เพื่อเอื้อต่อการทำธุรกิจ

 

เหตุผลที่กล่าวมาเหล่านี้ มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนและประกอบธุรกิจในประเทศไทย รวมถึงการทุจริตคอร์รัปชันซึ่งมีความเสี่ยงต่อชื่อเสียงไม่น้อย จะเห็นว่าดัชนีการทุจริตไม่ได้มีการพัฒนาขึ้น จากปี 2018 ตกลงจากอันดับที่ 99 มาอยู่ที่ลำดับ 108 จะเห็นว่าการทุจริตคอร์รัปชันทำให้เกิดปัญหาในการประกอบธุรกิจ เกิดความไม่ยุติธรรมหากไม่มีการจ่ายค่าน้ำชา เราอยากมีส่วนร่วมในการก่อให้เกิดความยุติธรรม เป็นธรรมในการประกอบธุรกิจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาครัฐ เอกชน และภาควิชาการจะต้องทำงานร่วมกัน

 

นางกุลภัทรา สิโรดม ประธานกรรมการสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย กล่าวว่า ถ้าบริษัทมีกรรมการที่ดี เราสามารถลดการติดสินบนและการทุจริตลงได้ทั้งในบริษัทและนอกบริษัท รวมถึงทั้งในประเทศและนอกประเทศด้วย ซึ่งสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย ก่อตั้งเมื่อปี 2010 เพื่อป้องกันการคอร์รัปชันโดยสมัครใจ มีการจัดทำหลักสูตรการศึกษาเพื่อต่อต้านการทุจริต อิงตามมาตรฐานนานาชาติ ทำการอบรมการวิเคราะห์และควบคุมลดปัญหาการทุจริตภายในองค์กรของตัวเอง และยังมีโปรแกรมผู้นำจริยธรรมที่พยายามจะช่วยผู้บริหารให้ตัดสินใจเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่างๆ ได้

 

ขณะที่นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ กรรมการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เห็นว่า การสร้างคุณธรรมและค่านิยมต่อเยาวชนไทยในการต่อต้านการทุจริตถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะลดโอกาสการทุจริตในประเทศไทยลงได้ รวมถึงร่วมกับภาครัฐในการส่งเสริมการเปิดเผยการทุจริตทุกประเภท โดยเฉพาะการจัดจัดซื้อจัดจ้างในภาครัฐ การสนับสนุนการผลักดันการบังคับใช้กฎหมายต่างๆ เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ กฎหมายเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ จะทำให้เกิดความโปร่งใสมากขึ้น.

  

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

 NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAMกองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News

MOST POPULAR
FOLLOW ME


Facebook


Times


Instagram


Youtube


Line

NEWS UPDATE
BREAKING NEWS


ข่าวเด่นน่าติดตามวันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม 2566


ข่าวเด่นน่าติดตามวันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม 2566



ข่าวเด่นน่าติดตามวันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม 2566


ข่าวเด่นน่าติดตามวันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม 2566



ข่าวเด่นน่าติดตามวันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2566


ข่าวเด่นน่าติดตามวันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2566

xemeaino


Categories
NEWS UPDATE

MOU ปราบปรามการทุจริต การสอบแข่งขันบรรจุพนักงานส่วนท้องถิ่น ปี 67

 

เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 67 เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุมราชสีห์ กระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานพิธีบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ภาคีเครือข่ายการป้องกัน ต่อต้าน และปราบปรามการทุจริตการสอบแข่งขันท้องถิ่นเพื่อบรรจุบุคคลเป็นข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ประจำปี 2567 โดยมี นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย คือ นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายณรงวิทย์ สุวรรณสิทธิ์ ผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. พลตำรวจตรี ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และนายคำรณ โกมลศุภกิจ ประธานกรรมการกลางการสอบแข่งขันพนักงานส่วนท้องถิ่น (กสถ.) ร่วมลงนาม

 

 

โอกาสนี้ นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทยรักษาการในตำแหน่งอธิบดีกรมที่ดิน นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง นายอุทิศ บัวศรี รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. คณะผู้บริหารระดับสูง และสื่อมวลชน ร่วมงาน นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้กล่าวว่า กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น จะมีการจัดสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่นในปี พ.ศ. 2567 นี้ ซึ่งมีตำแหน่งว่างประมาณ 6,238 อัตรา โดยคาดว่าจะมีผู้สมัครสอบมากกว่า 600,000 คน กระจายไปตามภูมิภาคของศูนย์สอบ และสนามสอบต่าง ๆ ทั่วประเทศ ได้ปรากฏข่าวว่ามีกระบวนการทุจริตการสอบแข่งขันหลายกลุ่ม 
 
 
ดังนั้น เพื่อให้การสอบแข่งขันเพื่อบรรจุบุคคลเป็นข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่นเป็นไปด้วยด้วยความบริสุทธิ์ ยุติธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ จึงได้จัดทำพิธีลงนามทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือภาคีเครือข่ายการป้องกัน ต่อต้าน และปราบปรามการทุจริตการสอบแข่งขันท้องถิ่นเพื่อบรรจุบุคคลเป็นข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ระหว่าง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.) กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) และคณะกรรมการกลางการสอบแข่งขันพนักงานส่วนท้องถิ่น (กสถ.) โดยมีเจตนารมณ์ในการร่วมเป็นภาคีเครือข่ายป้องกัน ต่อต้าน และปราบปรามการทุจริตทุกรูปแบบเกี่ยวกับการสอบแข่งขัน และจะร่วมกันส่งเสริม สนับสนุน เผยแพร่ และประสานงานให้เกิดความร่วมมือกันในการป้องกันการทุจริตการสอบแข่งขัน รวมทั้งรวมตัวกันในการจัดกิจกรรมต่อต้านการทุจริตการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุบุคคลเป็นข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่นด้วย
 
 
“เพื่อแสดงจุดยืนของกระทรวงมหาดไทยในการ จึงมอบนโยบายและแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่น คือ 
 
1. มหาวิทยาลัยที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นหน่วยงานในการจัดสอบแข่งขัน ต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดและรัดกุม เพื่อป้องกันมิให้ข้อสอบและคำตอบรั่วไหลในทุกขั้นตอน หากปรากฏหลักฐานว่ามีการทุจริตที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดสอบ มหาวิทยาลัยต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางวินัย 
 
2. ผู้สมัครสอบแข่งขัน ต้องให้ความร่วมมือ และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติในการสมัครเข้าสอบแข่งขัน หากปรากฏหลักฐานว่ามีการสมยอมให้มีการเรียกรับเงิน เพื่อแลกกับการช่วยเหลือให้เป็นผู้สอบแข่งขันได้ ผู้สมัครสอบต้องถูกปรับให้ตก และถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้สมัครสอบแข่งขันเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่น ไปตลอดชีวิต รวมทั้งต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา อีกด้วย 
 
3. ข้าราชการ ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และท้องถิ่น ห้ามมิให้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในทางใดๆ อันจะส่งผลให้การสอบแข่งขันดังกล่าวมีการทุจริต หรือมีการเรียกรับเงินเกิดขึ้น หากปรากฏหลักฐานว่ามีการกระทำดังกล่าวต้องถูกลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรง 
 
4. บุคคลอื่นใด หรือกลุ่มบุคคลใด หรือสถาบันติวใด หากปรากฏหลักฐานว่ามีส่วนรู้เห็น หรือ ร่วมกระทำการทุจริต หรือเรียกรับผลประโยชน์เพื่อช่วยเหลือให้เป็นผู้สอบแข่งขันได้ ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา ด้วย” นายอนุทินฯ กล่าวเน้นย้ำ
 
 
สำหรับพิธีบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ภาคีเครือข่ายการป้องกัน ต่อต้าน และปราบปรามการทุจริตการสอบแข่งขันท้องถิ่นเพื่อบรรจุบุคคลเป็นข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ประจำปี 2567 ว่า จากกรณีที่ปรากฎข่าวว่ามี
การทุจริตการสอบแข่งขันขึ้น มีการเรียกรับเงินจากผู้สมัครสอบในหลายจังหวัด ประชาชนถูกหลอกจำนวนมาก มีการฟ้องร้อง และเป็นคดีอยู่จำนวนมาก จากนโยบายที่ท่านรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) ที่ต้องการให้การจัดสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่นในครั้งนี้ เป็นไปด้วยความโปรงใส ไร้ทุจริต กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น จึงต้องดำเนินการให้มีมาตรการเพื่อป้องกันการทุจริตในทุกช่องทาง รวมทั้งไม่ให้มีการเรียกรับเงิน เหมือนกับที่ปรากฎเป็นข่าวในอดีตที่ผ่านมา โดยการกำกับดูแลการจัดสอบแข่งขันให้เป็นไปด้วยความสุจริต ยุติธรรม และถูกต้อง ในทุกขั้นตอน 
 
 
ดังนั้น เพื่อให้การสอบแข่งขันบรรจุบุคคลเป็นข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น เป็นไปโดยความบริสุทธิ์ ยุติธรรม โปร่งใส และตรวจสอบได้ จึงได้จัดให้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ฉบับนี้ขึ้น โดยมีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.) กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) และคณะกรรมการกลางการสอบแข่งขันพนักงานส่วนท้องถิ่น (กสถ.) ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ภาคีเครือข่ายการป้องกัน ต่อต้าน และปราบปรามการทุจริตการสอบแข่งขันท้องถิ่นเพื่อบรรจุบุคคลเป็นข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ประจำปี 2567 เพื่อขับเคลื่อนการสอบแข่งขันท้องถิ่นให้ปราศจากการทุจริต ร่วมกันให้คำปรึกษา เสนอแนะแนวทาง รวมถึงการติดตามและประเมินผลในการดำเนินการสอบแข่งขันท้องถิ่น
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองสารนิเทศ สป.มท.

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ป.ป.ช.ชงฟ้องยึดทรัพย์ ส.อบจ. ดำรงตำแหน่ง 7 ปี รวยผิดปกติ 4.6 ล้าน

 

5 กันยายน 2566 สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 5 และสำนักงานป.ป.ช.ประจำจังหวัดพื้นที่ภาค 5 ร่วมแถลงข่าวการดำเนินงานประจำเดือนกันยายน 2566 โดย นายเนติพล ชุมยวง ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดเชียงราย เปิดเผยสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีกล่าวหานายจิรายุ เผ่ากา สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ว่า มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติไม่สัมพันธ์กับรายได้ หรือร่ำรวยผิดปกติ และปัจจุบันนายจิรายุ เผ่ากา ยังคงดำรงตำแหน่งสมาชิสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

จากการไต่สวนข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นายจิรายุ เข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2555 พ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 นายจิรายุ และคู่สมรส มีรายได้ตามแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตั้งแต่ปี 2555-2562 (7 ปี) เป็นจำนวนเงินประมาณ 1,584,309 บาท และไม่ปรากฏว่า นายจิรายุ ประกอบอาชีพเสริมอื่นใด มีรายได้เพียงค่าตอบแทนสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายเท่านั้น

ส่วนคู่สมรสก็ไม่ได้ประกอบอาชีพ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติเกินกว่าฐานะและรายได้ เป็นเงินฝากในบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเชียงราย ประเภทออมทรัพย์ ชื่อบัญชีนายจิรายุ เผ่ากา เปิดบัญชีเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2551 ทางการไต่สวนพบว่า มีรายการเคลื่อนไหวเป็นจำนวนมากเกินกว่าฐานะและรายได้ ซึ่งเป็นลักษณะฝากเงินเข้าบัญชีนอกเหนือจากเงินรายได้ที่ได้รับในตำเหน่งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ช่วงระหว่างที่ดำรงตำแหน่งตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2555 จนถึงเดือนพฤศจิกายน 2561 รวม 63 รายการ เป็นเงินจำนวน 6,466,870 บาท

คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 87/2566 เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2566 พิจารณาแล้วเห็นว่า ทรัพย์สินที่เป็นเงินฝากและเงินที่โอนเข้ามาในบัญชีธนาคารของผู้ถูกกล่าวหา ตามที่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหา จำนวน 63 รายการ เป็นจำนวนเงิน 6,466,870 บาท นั้น มีทรัพย์สินที่มีแหล่งที่มา ซึ่งมิใช่เป็นการมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติหรือร่ำรวยผิดปกติ จำนวน 20 รายการ รวมเป็นเงินจำนวน 1,793,140 บาท กรณีดังกล่าวเห็นว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูล เห็นควรให้ข้อกล่าวหาเป็นอันตกไป

แต่กรณีแหล่งที่มาของทรัพย์สินที่เป็นเงินนำฝากและเงินโอนเข้าบัญชีธนาคารของผู้ถูกกล่าวหา อีกจำนวน 43 รายการ รวมเป็นเงินจำนวน 4,673,730 บาท เป็นกรณีมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ อันมีลักษณะเป็นการร่ำรวยผิดปกติ คำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของผู้ถูกกล่าวหาในกรณีนี้ ฟังไม่ขึ้น ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ที่มีเขตอำนาจ พิจารณาพิพากษาคดี

ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 43 รายการ รวมเป็นเงินจำนวน 4,673,730 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน ตามมาตรา 122 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561

ทั้งนี้ หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติดังกล่าวได้ทั้งหมดหรือบางส่วน ก็ขอให้บังคับเอาแก่ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาด้วย ตามมาตรา 125 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 และแจ้งคำวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุป ไปยังผู้มีอำนาจสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง โดยให้ถือว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าทีตามมาตรา 122 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561

 

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 5 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News