Categories
WORLD PULSE

กรรมการผู้จัดการหญิงญี่ปุ่นเพิ่ม 8.4% พร้อมเป้าหมาย Womenomics ปี 2030

กรรมการผู้จัดการหญิงในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นสู่ 8.4% แต่ยังห่างไกลเป้าหมาย Womenomics

เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า Teikoku Databank บริษัทวิจัยในญี่ปุ่น ได้เผยผลสำรวจบริษัทในประเทศกว่า 1.19 ล้านแห่ง พบว่า สัดส่วนของกรรมการผู้จัดการหญิงในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นเป็น 8.4% ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจาก 4.5% ในปี 1990 โดยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีสัดส่วนกรรมการผู้จัดการหญิงสูงสุดที่ 17.4% ตามด้วยธุรกิจบริการ 11.3% และธุรกิจค้าปลีก 11.1%

บทบาทของกรรมการผู้จัดการหญิงในบริษัทเล็กมีแนวโน้มสูงกว่า

จากการสำรวจพบว่า สัดส่วนกรรมการผู้จัดการหญิงในบริษัทขนาดเล็ก (มียอดขายต่ำกว่า 50 ล้านเยน) อยู่ที่ 11.9% ขณะที่บริษัทขนาดใหญ่ (ยอดขาย 10,000 ล้านเยนขึ้นไป) มีเพียง 2% โดย Tracy Gopal ผู้ก่อตั้ง Third Arrow Strategies ให้ความเห็นว่า “การเป็นผู้นำในบริษัทเล็กต่างจากบริษัทใหญ่ที่ต้องดึงดูดบุคลากรหญิงให้มากขึ้น ไม่เช่นนั้นจำนวนผู้หญิงในองค์กรญี่ปุ่นจะลดลง”

การเปลี่ยนแปลงของค่านิยมและนโยบาย Womenomics

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีค่านิยมชายเป็นใหญ่ โดยผู้ชายมักมีบทบาทในการทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ขณะที่ผู้หญิงดูแลบ้านและลูก แต่จากปัญหาสังคมผู้สูงอายุและการขาดแคลนแรงงาน อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น Shinzo Abe ได้ริเริ่มนโยบาย Womenomics ในปี 2013 เพื่อกระตุ้นให้ผู้หญิงเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น

เป้าหมาย Womenomics ในปี 2030

Womenomics มีเป้าหมายลดความเหลื่อมล้ำทางเพศ โดยตั้งเป้าว่าในปี 2030 ญี่ปุ่นต้องมีสัดส่วนผู้หญิงในตำแหน่งผู้จัดการอย่างน้อย 30% จากข้อมูลล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2024 ผู้หญิงในตำแหน่งผู้จัดการมีสัดส่วนเพียง 10.9% แม้จะเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกที่ทะลุ 10% แต่ยังคงห่างไกลจากเป้าหมาย

มาตรการเพื่อผลักดันความเท่าเทียมทางเพศ

รัฐบาลญี่ปุ่นและบริษัทต่างๆ ได้ร่วมกันดำเนินมาตรการหลากหลาย เช่น

  • ปรับชั่วโมงการทำงานให้ยืดหยุ่น
  • สนับสนุนผู้หญิงที่มีลูกให้กลับมาทำงาน
  • ส่งเสริมให้ผู้ชายช่วยเลี้ยงดูบุตร
  • ยกเลิกการกำหนดเพศในใบสมัครงาน

อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นยังคงต้องใช้เวลาและความพยายามร่วมกันจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างความเท่าเทียมในตลาดแรงงาน และทำให้ผู้หญิงมีบทบาทที่สำคัญในทุกระดับองค์กร

อ้างอิง

  • 8.4% of Japanese companies led by women in 2024
  • Female Managers in Japan Remain Few and Far Between

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Japantimes / The modern office: Japanese business practices have come a long way since the 1980s, when many books about working in the country were written. | GETTY IMAGES

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
WORLD PULSE

ญี่ปุ่นเผชิญปัญหาผู้เสียชีวิตโดดเดี่ยว พุ่งสูงเกือบ 4 หมื่นคนในครึ่งปีแรก

 

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2567 ประเทศญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับวิกฤตทางสังคมที่น่ากังวล เมื่อรายงานจากสำนักข่าวเอ็นเอชเค (NHK) ของญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 มีผู้เสียชีวิตในบ้านอย่างโดดเดี่ยวสูงถึง 37,227 คน จากจำนวนศพทั้งหมด 102,965 ศพที่ถูกส่งมาชันสูตร ซึ่งคิดเป็นกว่า 30% ของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด โดยศพเหล่านี้เป็นผู้ที่ใช้ชีวิตตามลำพัง ไม่มีครอบครัวหรือผู้ดูแล และบางรายใช้เวลามากกว่า 1 เดือนกว่าจะมีผู้มาพบศพ

รายงานระบุว่ากว่า 70% ของผู้เสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเหล่านี้เป็นผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 85 ปี ขึ้นไป จำนวน 7,498 คน และผู้ที่มีอายุระหว่าง 75 ถึง 79 ปี อีก 5,920 คน และอายุระหว่าง 70 ถึง 74 ปีอีก 5,635 คน ทั้งนี้ สถิติที่น่าตกใจเพิ่มเติมคือจำนวนผู้เสียชีวิตกว่า 3,936 คน ถูกพบหลังจากผ่านไปมากกว่า 1 เดือน และยังมีอีกไม่ต่ำกว่า 130 คน ที่ศพถูกพบหลังจากเสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 1 ปี

การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้เสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวสะท้อนถึงปัญหาสังคมผู้สูงอายุในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรสูงอายุมากที่สุดในโลก จากรายงานของสหประชาชาติ แม้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะพยายามแก้ไขปัญหานี้มาอย่างต่อเนื่อง แต่การจัดการกลับเป็นเรื่องที่ท้าทายและยากลำบาก

นอกจากปัญหาผู้สูงอายุที่เสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวแล้ว ญี่ปุ่นยังเผชิญกับปัญหาอัตราการเกิดที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยิ่งทำให้วิกฤตสังคมผู้สูงอายุนั้นรุนแรงขึ้น โดยผลสำรวจของรัฐบาลญี่ปุ่นเผยว่า ในช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายนของปีนี้ มีทารกเกิดใหม่เพียง 350,074 คน ลดลง 5.7% จากช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว นับว่าเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์

สถานการณ์นี้ยิ่งสร้างความกังวลต่ออนาคตของญี่ปุ่น โดยสถาบันวิจัยประชากรและความมั่นคงทางสังคมแห่งชาติของญี่ปุ่นได้คาดการณ์ว่า จำนวนผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป จะเพิ่มขึ้นเป็น 10.8 ล้านคนภายในปี 2050 หรืออีกประมาณ 26 ปีข้างหน้า และในปีเดียวกัน คาดว่าจะมีผู้ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเพิ่มขึ้นถึง 23.3 ล้านคน

นอกจากญี่ปุ่นแล้ว ประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีนและเกาหลีใต้ก็กำลังเผชิญกับปัญหาลักษณะเดียวกัน โดยจีนพบว่าประชากรลดลงสวนทางกับอัตราการเกิดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1961 ขณะที่เกาหลีใต้ในขณะนี้ได้กลายเป็นประเทศที่มีอัตราการเกิดต่ำที่สุดในโลกแล้ว

รายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติของญี่ปุ่นเตรียมที่จะยื่นเรื่องไปถึงรัฐบาลญี่ปุ่นเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาผู้สูงอายุที่เสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวนี้ และหวังว่ารายงานนี้จะช่วยสร้างความตระหนักถึงวิกฤตประชากรสูงอายุที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นในญี่ปุ่น

ทั้งนี้ ปัญหาการเกิดของประชากรและการเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวไม่เพียงแต่เป็นปัญหาของญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่มีสังคมสูงอายุและอัตราการเกิดที่ลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวเอ็นเอชเค (NHK)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

‘ไทย’ มี “ร้านอาหารญี่ปุ่น” 5,751 ร้าน ขึ้นแท่นอันดับ 6 ของโลก

 

จากการสำรวจขององค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) กรุงเทพฯ พบว่า ร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยมีจำนวน 5,751 ร้าน เพิ่มขึ้น 426 ร้าน หรือ 8% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ถ้าเทียบกับภาพรวมทั่วโลก ไทยถือเป็นประเทศที่มีจำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นมากเป็น อันดับ 6 ของโลก ตามหลัง จีน (78,760 ร้าน), สหรัฐอเมริกา (26,040 ร้าน), เกาหลีใต้ (18,210 ร้าน), ไต้หวัน (7,440 ร้าน) และ เม็กซิโก (7,120 ร้าน)

 

แม้ว่าจำนวนร้านจะเพิ่มขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ 5 จังหวัดปริมณฑล และต่างจังหวัด แต่ในปริมณฑลและเมืองใหญ่ในต่างจังหวัดมีจำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเมื่อเปรียบเทียบจำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นในปี 2561 และปี 2566 พบว่า

 

  • ร้านอาหารญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น 5 เท่า
  • 5 จังหวัดปริมณฑลเพิ่มขึ้น 2.2 เท่า
  • ต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น 2.5 เท่า
  • รวมทั้งประเทศเพิ่มขึ้น 1.9 เท่า

อย่างไรก็ตาม หากวิเคราะห์ตามประเภทร้านอาหารพบว่า มีทั้งการขยายตัวและการหดตัว โดยประเภทร้านอาหารที่เติบโต ได้แก่

 

  • ร้านราเมง
  • ร้านสุกี้ยากี้
  • ร้านชาบู
  • ร้านอิซากายะ
  • ร้านเนื้อย่าง (ยากินิกุ)

ส่วนประเภทร้านที่จำนวนลดลงคือ ร้านซูชิ ซึ่งเป็นประเภทของร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีจำนวนร้านมากที่สุด โดยมีจำนวนลดลงมากกว่าจำนวนร้านที่เพิ่มขึ้น โดยรวมแล้ว ลดลง 4.1% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปัญหา การแข่งขัน ทั้งจากร้านอาหารญี่ปุ่นด้วยกัน และร้านอาหารประเภทอื่นที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเผชิญกับความท้าทายของ ต้นทุนวัตถุดิบอาหารและค่าแรงที่ปรับตัวสูงขึ้น

 

“ร้านซูชิในกรุงเทพฯ ยังเติบโตขึ้น แต่ที่ปิดตัวเยอะจะเป็นในต่างจังหวัด ส่วนหนึ่งเป็นประในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีร้านซูชิเปิดใหม่เยอะทำให้มีการแข่งขันสูงขึ้น อีกทั้งลักษณะเฉพาะของร้านซูชิยังใช้ของสด ทำให้ถ้าขายไม่ได้ก็จะเกิดการสูญเสีย ทำให้การทำธุรกิจร้านซูชิจึงมีข้อจำกัด” คุโรดะ จุน ประธานเจโทร กรุงเทพฯ กล่าว

 

จากการสำรวจในปี 2566 เมื่อแยกจำนวนร้านที่เปิดดำเนินการอยู่แบ่งตำมระดับราคาอาหารเฉลี่ยต่อหัว พบว่า ระดับราคาอาหารเฉลี่ยต่อหัว 101 – 250 บาท มีจำนวนมากที่สุด (2,040 ร้าน) รองลงมาคือ ระดับราคา 251 – 500 บาท (1,333 ร้าน) ตามด้วยราคา กว่า 100 บาท (691 ร้าน) และราคา 501 – 1,000 บาท (690 ร้าน) ซึ่งมีจำนวนร้านใกล้เคียงกัน

 

เมื่อแยกตามพื้นที่ ระดับราคาอาหารเฉลี่ยต่อหัว 101 – 250 บาทมีจำนวนมากที่สุด รองลงมาคือ ระดับราคา 251 – 500 บาท ทั้งในกรุงเทพฯ 5 จังหวัดปริมณฑลและต่างจังหวัด อันดับต่อมาสำหรับพื้นที่กรุงเทพฯ ได้แก่ ระดับราคา 501 – 1,000 บาท ส่วนพื้นที่ปริมณฑลและต่างจังหวัด ได้แก่ ระดับราคาต่ำกว่า 100 บาท

 

ในด้านของยอดขายและจำนวนลูกค้าพบว่า ฟื้นตัว 80 – 90% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด โดยการรับประทานอาหารนอกบ้านของผู้บริโภคชาวไทยกลับสู่สภาพช่วงก่อนโควิดแล้ว และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติกำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แม้จะยังกลับไปไม่ถึงระดับช่วงก่อนโควิด

 

 

ที่น่าสนใจคือ ปี 2565 เป็นช่วงที่ยังไม่สามารถเดินทางไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นได้ ส่งผลให้ผู้บริโภคชาวไทยหันมารับประทานอาหารญี่ปุ่นในประเทศ แต่ปี 2566 ผู้บริโภคชาวไทยสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นได้แล้ว ส่งผลให้ผู้บริโภคชาวไทยสามารถไปรับประทานอาหารญี่ปุ่นในประเทศญี่ปุ่นได้อีกครั้ง

 

ปัจจุบัน ไทยถือเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน ที่นำเข้าวัตถุดิบจากญี่ปุ่น และถือเป็นอันดับ 8 ของโลก มีมูลค่าการนำเข้าที่ 465 ล้านเยน ดังนั้น การเชิญชวนให้ร้านอาหารญี่ปุ่น รวมถึงร้านอาหารประเภทอื่น ๆ ในต่างจังหวัดมาใช้วัตถุดิบอาหารจากญี่ปุ่นจึงเป็นสิ่งสำคัญ ทำให้ปีที่ผ่านมา เจโทร กรุงเทพฯ ได้จัดกิจกรรมเชิงรุกในต่างจังหวัด เช่น จัดงานแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นร้านอาหารและร้านค้าปลีกในจังหวัดเชียงใหม่, ขอนแก่นและจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งเป็นการจัดงานแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจเฉพาะในต่างจังหวัดครั้งแรก

 

“ต้องยอมรับว่าจากกรณีการปล่อยน้ำที่ผ่านการบำบัดจากโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะลงสู่มหาสมุทร ทำให้การส่งออกวัตถุดิบอาหารญี่ปุ่นได้รับผลกระทบ เพราะจีนที่เป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ได้ระงับการนำเข้า แต่สำหรับไทยยังคงมีการนำเข้าตามปกติ เพราะไทยมีมาตรการการตรวจสอบอยู่แล้ว โดยที่ผ่านมาไทยนิยมนำเข้าปลาซาบะ, ปลาซาดีน แต่ปีนี้เรามีแผนจะนำเสนอหอยเชลล์ (หอยโฮตาเตะ) และปลาคัตสึโอะมากขึ้น”

 

 

คุโรดะ ย้ำว่า แม้จะไม่มีการคาดการณ์ว่า ร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยจะอิ่มตัวเมื่อไหร่ แต่เชื่อว่า ยังมีที่ว่างที่จะเติบโตได้ แม้ว่าจำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยจะมากสุดเป็นอันดับ 6 ของโลก แต่ถ้าวัดจาก จำนวนเฉลี่ยต่อจำนวนประชากร ไทยถือเป็นอันดับ 4 ของโลก แปลว่ายังมีช่องว่างให้เติบโตโดยในปีนี้ ทางเจโทรพบว่า มีร้านอาหารในญี่ปุ่นหลายรายที่สนใจมาเปิดสาขาในไทย โดยส่วนใหญ่เป็นร้านราเมง แกงกะหรี่ เป็นต้น

 

“แม้จะมีอุปสรรคบางประการ เช่น พฤติกรรมผู้บริโภค การออกแบบเมนูที่เหมาะกับคนไทย แต่อาหารญี่ปุ่นยังคงได้รับความนิยมจากคนไทย แต่เชื่อว่าแนวโน้มในอนาคตจะมีความหลากหลายมากขึ้น และจะแพร่หลายมากขึ้นในจังหวัดท่องเที่ยวและจังหวัดที่มีประชากรเยอะ ๆ ซึ่งเรามองว่า ร้านอาหารญี่ปุ่นไม่จำเป็นต้องนำเสนอรสชาติหรือเมนูต้นฉบับเสมอไป แต่เราอยากเห็นการนำไปปรับให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภคไทย”

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : positioningmag

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENTERTAINMENT

ทริปพิเศษเมืองอิโต ญี่ปุ่น ตามรอยหนังก่อนฉาย อิโต อินเลิฟ

 

คนชอบเที่ยวบอกดังๆ เลยว่าห้ามพลาด ต้องรีบไปตะลอนเมืองน่ารักสุดชิล ธรรมชาติละลานตา หมู่บ้านเก่าแก่ออนเซ็นติดริมทะเลงามจริง มีประวัติศาสตร์มีตำนานของเทพหลายองค์ ที่ขอพรสมดั่งหวังไว เที่ยวแสนสุขได้ตลอดทั้งปี บรรยายไม่หมด ต้องรีบไปเห็นกับตาเองด่วนๆ ที่เมืองอิโต ญี่ปุ่น

 

สถานที่ถ่ายทำหลักหนังรัก อิโตอินเลิฟ ito inlove นำแสดงโดยพระเอกหล่อใสที่เคยไปเด่นดังที่จีนมาแล้ว แบงค์ นิพนธ์ แย้มเกษม และ ปาล์ม เอมมิกา มานะลอ

  

อิโตอินเลิฟ ito inlove เรื่องราวรักสุดว้าวุ่น ที่จะขยี้อารมณ์รักให้แหลกคาจอ พร้อมตะลุยที่สวยๆ ในเมืองอิโต จังหวัดชิซุโอกะ ญี่ปุ่น แบบจุใจ จุกๆ ทะลุจอ!

 

โดยหนังเรื่องนี้ อิโตอินเลิฟ ito inlove เป็นหนังไทยเรื่องแรกที่ได้รับการสนับสนุนจาก หน่วยงานรัฐบาลท้องถิ่นเมืองอิโตและITO CITY TOURISM DIVISION,ITO CITY TOURISM ASSOCIATION,IZUKYU HOLDING CORPORATION

 

โดยผู้กำกับใหม่ไฟแรง ลี เสรี ยาวงษ์ ผู้บริหาร ลีบราเธอร์ Lee & Brother ลี.เสรี บอก ใจตรงๆ หลายคนบอกว่า ให้หนังออกฉายก่อนดีกว่า ค่อยจะจัดทริปทัวร์ แต่ผมมองว่า อยากให้คนไปอินฟินๆ กันก่อนหนังฉายจะดีกว่า เพราะอิโตเป็นเมืองที่สวยทุกเดือนทั้งปี มีอะไรให้ดูเยอะแยะ โดยเฉพาะใครที่ชอบธรรมชาติ หลงรักการแช่ออนเซ็น รักสงบเสพติดความสุขล้น ไม่ชอบเมืองที่วุ่นวาย ต้องมาเที่ยวให้ได้ที่เมืองอิโต ito ให้ได้ ผมกล้ายืนยัน

 

ผมไปมาแล้วหลายครั้ง ก็สุขสนุกติดใจตลอด เป็นเมืองเล็กๆ แต่น่าเที่ยวไปหมด เลยจัดทริปพิเศษพาไปตามรอยหนัง ตะลอนๆ กันก่อนเลย ใครที่รักญี่ปุ่น ตกสำรวจเมืองอิโต บอกเลยว่า ทริปนี้ห้ามพลาดเด็ดขาด เรารับคนไม่เยอะ เพราะต้องการดูแลให้ดีจริงๆ ส่วนหนังอิโตอินเลิฟ ito inlove  ตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนตัดต่อ และถ่ายทำอีกนิดหน่อยในกรุงเทพ เพื่อโยงเรื่องราวรักไปที่เมืองอิโต ญี่ปุ่น ต่อไป”  

 

 

ห้ามพลาด รีบจองรีบไปร่วมทริปพิเศษอิโตอินเลิฟ ito inlove ติดต่อด่วน 06 41 411 555 หรือแอดไลน์ Line ID : nanoyathai

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อิโตอินเลิฟ ito inlove

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ชวนคนไทยไปฝึกงานญี่ปุ่น พร้อมรับเบี้ยเลี้ยง ครบ 3 ปี รับเงินกว่า 1.5 แสนบาท

วันที่ 8 มิถุนายน 2566 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญต่อการนโยบายพัฒนาฝีมือแรงงานทัดเทียมกับมาตรฐานของนานาชาติ โดยการจัดส่งผู้ฝึกงานให้กับประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้ผู้หางานได้พัฒนาฝีมือ และผู้ฝึกงานยังได้รับเบี้ยเลี้ยงสูงกว่าค่าจ้างที่ได้รับในประเทศ 

 น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า เป็นข่าวดีที่กรมการจัดหางาน เปิดรับสมัครคัดเลือกผู้ฝึกงานเทคนิคในประเทศญี่ปุ่น ประเภทงานอุตสาหกรรมการผลิตและก่อสร้าง ผ่านองค์กร IM Japan ปี 2566 ครั้งที่ 4 จึงขอเชิญชวนผู้สนใจสมัครทางออนไลน์ ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย ตั้งแต่บัดนี้ -18 มิถุนายน 2566 สอบคัดเลือก ณ ศูนย์สอบกรุงเทพมหานคร โดยผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเป็นผู้ฝึกปฏิบัติงานเทคนิคฯ เดือนแรกจะได้รับเบี้ยเลี้ยง 80,000 เยน หรือประมาณ 19,893 บาท ค่าที่พัก ค่าน้ำ-ค่าไฟ ฟรี และเดือนที่ 2 ถึงเดือนที่ 36 จะได้ค่าจ้างไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่กฎหมายญี่ปุ่น และ เมื่อฝึกครบตามกำหนด จะได้รับประกาศนียบัตรรับรองการฝึกงาน และเงินสนับสนุนการประกอบอาชีพจำนวน 600,000 เยน หรือประมาณ  149,170 บาท (อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 5 มิถุนายน 2566) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการประกอบอาชีพเมื่อเดินทางกลับประเทศไทย
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พี่น้องประชาชนที่ประสงค์สมัครคัดเลือกผู้ฝึกงานเทคนิคในประเทศญี่ปุ่น สามารถสมัครสอบได้ที่เว็บไซต์ toea.doe.go.th  โดยจะประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสอบ ในวันที่ 23 มิถุนายน 2566 ทางเว็บไซต์ doe.go.th/prd  หรือเว็บไซต์ doe.go.th/overseas และเพจ facebook : IMthailand  สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน โทร. 0 2245 9428 หรือ สำนักงานจัดหางาน กรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694

“พล.อ.ประยุทธ์เล็งเห็นความสำคัญของการส่งผู้ฝึกงานไปประเทศญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานมากยิ่งขึ้น  ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อนำความรู้กลับมาพัฒนาประเทศ อีกทั้งยังแก้ปัญหาการว่างงานในประเทศได้อีกด้วย”รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ


เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการจัดหางาน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News