Categories
ECONOMY

SCB EIC เตือน! การนำเข้าทะยาน 53% ของ GDP ไทย เสี่ยงพึ่งจีนหนัก

ไทยเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ การนำเข้าพุ่งสูงสุดรอบ 12 ปี สะท้อนพึ่งพาจีนหนัก เสี่ยงเป็นแค่ “ประเทศทางผ่าน” ในห่วงโซ่อุปทานโลก!

เชียงราย, 19 กรกฎาคม 2568 – เปิดม่าน “โจทย์ใหม่เศรษฐกิจไทย” เมื่อการนำเข้าทะยานสูงสุดรอบ 12 ปี ท่ามกลางกระแสเศรษฐกิจโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวน ผลการศึกษาของ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนวงการเศรษฐกิจไทยอย่างยิ่ง เมื่อเผยแพร่ข้อมูลชี้ชัดว่า มูลค่าการนำเข้าสินค้าของไทยในปี 2567-2568 ขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2020 โดยสัดส่วนการนำเข้าสินค้าต่อจีดีพีของไทยพุ่งสูงถึง 53% ในปี 2024 ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบ 12 ปีที่ผ่านมา ทั้งยังส่งผลให้ไทยเผชิญภาวะขาดดุลการค้าติดต่อกันเป็นปีที่ 3

สัญญาณนี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจของไทยอย่างเด่นชัด โดยเฉพาะบทบาทของไทยในห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain) ที่กำลังเปลี่ยนจาก “ประเทศผู้ผลิต” สู่ “ประเทศผู้ซื้อ” และ “ประเทศทางผ่าน” มากขึ้นทุกที

3 ปัจจัยหนุนการนำเข้าทะยาน – ผลักไทยสู่จุดเปลี่ยนใหญ่

การวิเคราะห์ของ SCB EIC ระบุชัดว่า แนวโน้มการนำเข้าสินค้าของไทยที่เร่งตัวขึ้นตลอด 4 ปีหลัง เกิดจาก 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่

  1. การระบายสินค้าส่วนเกินจากจีน: จีนในฐานะประเทศผู้ผลิตอันดับต้นของโลก เผชิญปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกสินค้าส่วนเกินมายังประเทศคู่ค้าเพิ่มสูงขึ้น ไทยกลายเป็นปลายทางสำคัญ ด้วยอัตราการนำเข้าสินค้าจากจีนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 4 เท่า
  2. ธุรกิจอีคอมเมิร์ซข้ามชาติเติบโต: คนไทยนิยมช้อปปิ้งผ่านแพลตฟอร์มข้ามชาติ เช่น Alibaba, Shopee, Lazada สินค้าส่วนใหญ่ที่สั่งซื้อมาจากจีน ไม่เพียงกระตุ้นการนำเข้าในกลุ่มอุปโภคบริโภค แต่ยังส่งผลให้รายได้ของธุรกิจออนไลน์เหล่านี้ไหลกลับไปยังต่างประเทศ มากกว่าหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทย
  3. โครงสร้างอุตสาหกรรมที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้า (High Import Content): กลุ่มธุรกิจที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้ามีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้น พบทั้งในกลุ่มการผลิต (อิเล็กทรอนิกส์ เหล็ก พลาสติก) ก่อสร้าง บริการ และร้านอาหาร โดยเฉพาะกลุ่มทุนต่างชาติที่ย้ายฐานเข้ามาเพียงเพื่อประกอบขั้นต้นในไทย แล้วส่งออกต่อไปยังประเทศที่สาม

ผลกระทบเป็นลูกโซ่ ไทยกลายเป็น “Trader” ภาคอุตสาหกรรมซบเซา-เสี่ยงตกเป็นทางผ่าน

บทวิเคราะห์ของ SCB EIC เตือนชัดว่า ผลลัพธ์ของการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นมีทั้งด้านเศรษฐกิจมหภาคและความมั่นคงทางอุตสาหกรรม

  • อุตสาหกรรมภายในประเทศซบเซา: การนำเข้าสินค้าทดแทนการผลิตในประเทศ กลายเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรม ทั้งกลุ่มเหล็ก, แผงวงจร, เครื่องใช้ไฟฟ้า, ชิ้นส่วนยานยนต์และพลาสติก ไทยเสี่ยงสูญเสียความสามารถในการแข่งขันและมูลค่าเพิ่ม (Value-added) ลดลง
  • ธุรกิจ “ซื้อมา-ขายไป” & ความเสี่ยง “สวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้า”: ธุรกิจในไทยจำนวนมากเริ่มเปลี่ยนบทบาทเป็น “Trader” มากกว่าผู้ผลิต โดยเฉพาะในกลุ่มแผงวงจร, อิเล็กทรอนิกส์, ยานยนต์, พลาสติก, อะลูมิเนียม และเครื่องใช้ไฟฟ้า กิจกรรมเหล่านี้บางส่วนอาจเข้าข่าย “สวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้า” เพื่อเลี่ยงกำแพงภาษีในตลาดตะวันตก ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อมาตรการกีดกันในอนาคต

จากผู้ผลิตสู่ผู้ซื้อ ไทยเสี่ยง “ติดกับดักประเทศทางผ่าน”

หากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป ไทยจะเสี่ยงต่อการถูกลดบทบาทในห่วงโซ่อุปทานโลกจาก “ฐานการผลิต” ไปสู่ “ประเทศผู้ซื้อ” และ “ประเทศทางผ่าน” ซึ่งมีลักษณะเป็นจุดพักสินค้า หรือประกอบสินค้าก่อนส่งออกไปยังปลายทางประเทศที่สาม โดยที่มูลค่าเพิ่มและประโยชน์ที่ได้ตกอยู่กับเจ้าของวัตถุดิบหรือแบรนด์ต่างชาติ

ประเด็นสำคัญที่ควรจับตาได้แก่

  • ขีดความสามารถแข่งขันถดถอย: หากภาคการผลิตภายในประเทศยังพึ่งพานำเข้าสูง จะกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว
  • ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบระหว่างประเทศ: มาตรการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าและมาตรการกีดกันการค้าโดยสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป อาจทำให้ไทยเผชิญความยากลำบากในการส่งออกสินค้ากลุ่มเสี่ยง
  • บทบาทจีนที่เพิ่มขึ้น: เมื่อธุรกิจและแพลตฟอร์มจีนกลายเป็นผู้กำหนดทิศทางตลาด ภาคธุรกิจไทยต้องเร่งพัฒนาและหาจุดแข็งที่แท้จริงของประเทศ

ทางรอดต้องเร่งปรับยุทธศาสตร์ “จากทางผ่าน สู่ศูนย์กลางมูลค่าสูง”

บทเรียนจากสถานการณ์นี้สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้กำหนดนโยบายของไทยต้องร่วมมือกันในการ

  • ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เน้นนวัตกรรม เทคโนโลยี และการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
  • ลดการพึ่งพิงวัตถุดิบและสินค้าเทคโนโลยีต่ำจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน
  • สร้างแรงจูงใจในการลงทุนและพัฒนาทักษะแรงงาน เพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมอนาคต (Next-Gen Industry)
  • ผลักดันการเชื่อมโยงซัพพลายเชนในประเทศ สร้างผู้ประกอบการไทยที่แข็งแกร่ง
  • ติดตามและปรับตัวตามมาตรการกีดกันการค้าและข้อกำหนดแหล่งกำเนิดสินค้าอย่างใกล้ชิด

วิเคราะห์สถานการณ์

สถานการณ์การนำเข้าสูงสุดในรอบ 12 ปีของไทยถือเป็น “สัญญาณเตือน” สำคัญ ที่ทุกภาคส่วนควรร่วมกันหาทางออก เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจไทยตกสู่ “กับดักประเทศทางผ่าน” ในห่วงโซ่อุปทานโลก การเพิ่มขีดความสามารถภายในและสร้างจุดแข็งใหม่จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย
  • สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
  • รายงานข่าวเศรษฐกิจและสถิติการค้าไทย-จีน
  • กระทรวงพาณิชย์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ไทยสูญเสียตลาดจีน! เวียดนามผงาด เหตุเงินบาทแข็ง-ความปลอดภัย-เศรษฐกิจจีน

นักท่องเที่ยวจีนเมินไทย แห่ไปเวียดนาม วิกฤต “ปีทอง” การท่องเที่ยวไทยที่ต้องเร่งปรับตัว

วิกฤตใหม่ไทยสูญเสียตำแหน่งเจ้าตลาดท่องเที่ยวจีนในภูมิภาค

เชียงราย, 10 กรกฎาคม 2568 – ในอดีตประเทศไทยเคยเป็นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งของนักท่องเที่ยวจีน แต่วันนี้ภูมิทัศน์การท่องเที่ยวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเผยว่า ในครึ่งแรกของปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยลดลงเหลือ 16 ล้านคน ลดลง 4.2% จากปีที่ผ่านมา ที่น่าตกใจคือ สัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเคยสูงถึง 28% ในปี 2562 และ 19% ในปี 2567 ลดเหลือไม่ถึง 14% ในปีนี้

ขณะที่เวียดนามกลับผงาดขึ้นเป็นจุดหมายยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจีน ด้วยอัตราการเติบโตสูงถึง 78% ในไตรมาสแรกปี 2568 แซงหน้าไทยด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้นกว่า 200,000 คน ทะลุเป้าหมายในเวลาอันสั้น ดานังและญาจางคือหัวเมืองที่ได้รับความนิยมสูงสุด จากรีสอร์ตหรูไปจนถึงชายหาดที่เงียบสงบ

ปัจจัยฉุดรั้งประเทศไทยเงินบาทแข็ง-ความปลอดภัย-เศรษฐกิจจีน

สาเหตุที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนลดความสนใจประเทศไทยมีหลายปัจจัย ทั้งการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินหยวนซึ่งลดความน่าสนใจในด้านราคาสินค้าและบริการ ในทางกลับกัน เงินหยวนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดองของเวียดนามและรูเปียห์ของอินโดนีเซีย ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนรู้สึกว่าได้ “ความคุ้มค่า” มากกว่าในสองประเทศนี้

อีกปัจจัยสำคัญคือปัญหาด้านความปลอดภัย ภาพยนตร์และข่าวในสื่อจีน เช่น “No More Bets” ที่นำเสนอเรื่องราวการหลอกลวงในภูมิภาคนี้ การกราดยิงในห้างสยามพารากอน เหตุการณ์แผ่นดินไหว และกรณีลักลอบค้ามนุษย์ ล้วนแต่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยของประเทศไทยในสายตาชาวจีน

นอกจากนี้ สถานการณ์เศรษฐกิจจีนที่ซบเซาทำให้นักท่องเที่ยวจีนต้องรัดเข็มขัด งบประมาณการเดินทางลดลง 23% จากปีที่แล้ว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวกลุ่มวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ที่มองหาประสบการณ์ที่ “สดใหม่” และ “ราคาประหยัด” มากกว่าการเดินทางแบบเดิม

ยุทธศาสตร์ใหม่ “คุณภาพมากกว่าปริมาณ” ทางรอดหรือเพียงความหวัง?

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ประกาศปรับกลยุทธ์จาก “เน้นจำนวนนักท่องเที่ยว” เป็น “เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ” โดยพยายามดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง และเน้นเจาะตลาดใหม่ ๆ เช่น ยุโรป สหรัฐอเมริกา ตะวันออกกลาง และการท่องเที่ยวรูปแบบเฉพาะทาง เช่น กีฬา งานเทศกาล และท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์มองว่าการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สนามบิน รถไฟความเร็วสูง ระบบวีซ่าดิจิทัล แม้จะเอื้อต่อกลุ่มพรีเมียม แต่ยังไม่มีหลักประกันว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะทดแทนการหายไปของตลาดจีนที่สำคัญได้

ตลาดจีนยังสำคัญไทยไม่สามารถละเลยได้

แม้การปรับกลยุทธ์จะเป็นสิ่งจำเป็น แต่ผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นตรงกันว่า ไทยยังไม่สามารถละเลยตลาดจีนซึ่งเคยสร้างรายได้สูงสุดแก่ประเทศ ในปี 2568 นักท่องเที่ยวจีนมาไทยไม่ถึง 2 ล้านคน ลดลงเกือบ 1 ใน 3 จากปี 2567 และลดฮวบจาก 11.1 ล้านคนในปี 2562

ททท. ยังเดินหน้าทำตลาดจีนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการร่วมมือกับ Baidu ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลและจัดทำแคมเปญ “สวัสดี หนีห่าว” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและกระตุ้นให้ชาวจีนกลับมาเที่ยวไทย แต่ผลลัพธ์ยังห่างไกลจากเป้าหมายที่เคยตั้งไว้

นักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่เจาะ “ใจ” คือทางรอด

รศ.ดร.กฤตินี ณัฏฐวุฒิสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย สถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ว่า นักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่ไม่ต้องการประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบแพ็กเกจ พวกเขาแสวงหา “ประสบการณ์แท้จริง” (authentic experiences) ที่เชื่อมโยงกับท้องถิ่น มีส่วนร่วมกับชุมชน และให้ความสำคัญกับคอนเทนต์โซเชียลมีเดีย ไทยควรผลักดัน “ท่องเที่ยวชุมชน” อย่างจริงจัง ให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วมทั้งในแง่ประสบการณ์และการกระจายรายได้

นอกจากนี้ คุณภาพในสายตานักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่ไม่ใช่เพียงความหรูหรา แต่หมายถึงบริการที่ใส่ใจ ความสะดวกสบาย และความแตกต่างที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ใช่สินค้า “แมส” ที่หาได้จากทุกประเทศ

สงครามท่องเที่ยวในอาเซียนเวียดนาม-มาเลเซียรุกหนัก ไทยต้อง “ล็อกประตูหลัง”

ขณะนี้อาเซียนกลายเป็นสมรภูมิแข่งขันที่เข้มข้น เวียดนามและมาเลเซียเร่งปลดล็อกมาตรการวีซ่า ขยายเส้นทางบินตรง เปิดบริการรถไฟและพัฒนาคอนเทนต์การท่องเที่ยวอย่างจริงจัง ขณะที่ไทยยังต้องแข่งขันทั้งเรื่องความปลอดภัย ราคา และประสบการณ์ใหม่ ๆ

นายแกรี โบเวอร์แมน นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกล่าวเตือนว่า ประเทศไทยต้องทำงานหนักขึ้น ต้อง “ล็อกประตูหลัง” หมายถึงการสร้างความภักดีและประสบการณ์ที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจีนอยากกลับมาเยือนซ้ำ

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยความท้าทายใหญ่ที่รอวันพลิกฟื้น

การหายไปของตลาดจีนส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก ททท. ต้องปรับลดเป้ารายได้จากการท่องเที่ยวเหลือ 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2568 ขณะที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังมีสัดส่วนถึง 12% ของ GDP ไทย นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังเตือนว่า หากไทยยังพึ่งพาการท่องเที่ยวโดยไม่มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ความเสี่ยงจะสูงขึ้นในระยะยาว

ไทยต้องคิดใหม่ ทำใหม่ ไม่ใช่แค่พึ่งจำนวนนักท่องเที่ยว แต่มุ่งสร้างคุณค่าและประสบการณ์ที่ยั่งยืน เพื่อทวงคืนความเป็น “ไข่มุกแห่งเอเชีย” ในใจนักท่องเที่ยวต่างชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

เชียงรายเปิดประตูยาง นำร่องส่งตรงจีน ภาษีเหลือศูนย์ ดันคุณภาพชีวิตเกษตรกร

เชียงรายเตรียมเป็นประตูการค้าผ่านโขง เจรจาจีนซื้อตรงยางพารา 300 ตัน ลดภาษีเหลือ 0% สร้างจุดเปลี่ยนอุตสาหกรรมยางพาราไทย

เชียงราย, 1 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์การส่งออกยางพาราของไทยกำลังเปลี่ยนผ่านจุดสำคัญ หลังเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางระดับประเทศเปิดเผยความคืบหน้าการเจรจาโรงงานจีน เตรียมนำร่องซื้อยางพาราจากเกษตรกรไทยโดยตรง 300 ตัน พร้อมสิทธิประโยชน์ภาษี 0% ผ่านลุ่มแม่น้ำโขงเข้าสู่มณฑลยูนนาน จีน เสริมบทบาทเชียงรายในฐานะ “จุดยุทธศาสตร์การค้าภาคเหนือ” สะท้อนนัยยะเชิงโครงสร้างต่อเศรษฐกิจทั้งจังหวัดและประเทศ

จุดเริ่มเปลี่ยนสมดุลการค้าชายแดนเหนือ

จุดเด่น ของโครงการนี้คือการส่งออกยางโดยตรงผ่าน “ด่านเชียงของ” จังหวัดเชียงราย ลดต้นทุนภาษีจาก 20% เหลือ 0% สอดคล้องกับกลุ่มประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง เช่น เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบโลจิสติกส์ที่เคยเน้นภาคใต้ ซึ่งแต่เดิมพ่อค้าจีนรับยางผ่าน 6 ด่านหลักในภาคใต้ของไทย ต้องแบกภาษีนำเข้าราว 7,500 บาท/ตัน รวมถึงภาษีแวตและค่าขนส่งที่สูงขึ้น ส่งผลให้ยางจากเชียงรายและภาคเหนือกลายเป็นทางเลือกใหม่ที่ได้เปรียบเชิงภาษีและโลจิสติกส์

ปัจจุบัน เครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางระดับประเทศมีสมาชิกกระจายทั่วประเทศ โดย ภาคเหนือและอีสาน เป็นกลุ่มใหญ่ เมื่อรวมศักยภาพการรวมกลุ่ม เกษตรกรไทยจะมีโอกาสขายยางในราคาดีขึ้น ลดการถูกกดราคาจากโรงงาน หรือหักค่าหัวคิวจากพ่อค้าคนกลาง ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการผลักดันโดยการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) และกระทรวงเกษตรฯ

บทบาทใหม่ “เชียงรายฮับยางไทย” ผลักดันเศรษฐกิจชุมชน

เชียงรายในฐานะ “ประตูการค้าภาคเหนือ” กำลังขยายบทบาทจากเดิมที่เป็นจุดผ่านแดนสำคัญ สู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมแปรรูปยางในภูมิภาค ซึ่งขณะนี้มีความพร้อมทั้งเครือข่ายเกษตรกร ระบบขนส่งทางน้ำผ่านโขง และความร่วมมือระดับนโยบายกับจีนโดยตรง

ประเด็นสำคัญ ที่ตามมาคือ หากโครงการนี้นำร่องสำเร็จ ราคายางในพื้นที่จะมีเสถียรภาพมากขึ้น เกษตรกรได้รับผลตอบแทนสูง ลดแรงกดดันจากภาวะราคาตกต่ำ ส่วนผู้ประกอบการในภาคใต้ที่เคยได้เปรียบด้านโรงงานแปรรูปขนาดใหญ่ อาจต้องปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงของเส้นทางและรูปแบบการค้าระหว่างประเทศ

อีกด้านหนึ่ง โรงงานแปรรูปขนาดใหญ่ในจีนและลาวที่เคยลงทุนเพื่อรองรับยางจากภูมิภาคนี้อาจมีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลจีนสนับสนุนให้ผู้ประกอบการที่ได้มาตรฐานเข้ามาลงทุนร่วมกับท้องถิ่น ส่งเสริมการขยายกำลังผลิตและสร้างโอกาสการจ้างงานใหม่ในภาคเหนือ

วิเคราะห์ผลกระทบและอนาคตอุตสาหกรรมยางพารา

การเปลี่ยนแปลงเส้นทางการส่งออกยางผ่านเชียงราย นอกจากจะลดภาษีให้เกษตรกร ยังเปิดโอกาสการรวมกลุ่มขนาดใหญ่ สร้างอำนาจต่อรองในการกำหนดราคายางกับต่างประเทศ ลดการผูกขาดโดยนายหน้า การดำเนินโครงการนี้ยังมีส่วนช่วยให้การตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานยางพาราไทยโปร่งใสมากขึ้น ซึ่งจีนให้ความสำคัญกับคุณภาพยางพาราไทยมากกว่ายางจากประเทศอื่นในอาเซียน

ขณะเดียวกัน ภาครัฐต้องเดินหน้าแก้ไขอุปสรรคเชิงระบบ เช่น การสนับสนุนค่าขนส่ง โครงสร้างพื้นฐาน ระบบโลจิสติกส์ในภาคเหนือ และการดูแลมาตรฐานการผลิตและแปรรูปยางให้สอดคล้องกับตลาดจีน เพื่อรักษาความได้เปรียบเชิงคุณภาพ

ความท้าทาย คือภาคเอกชนและชุมชนจะต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ขยายเครือข่ายความร่วมมือ ทั้งในด้านการผลิต การตลาด และการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางอย่างครบวงจร เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานรากเชียงราย ขยายโอกาสการส่งออกไปยังตลาดจีนและประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างยั่งยืน

สรุป

ความคืบหน้าการส่งออกยางผ่านเชียงราย ไม่เพียงเปลี่ยนสมดุลทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมยางไทย แต่ยังตอกย้ำบทบาทของเชียงรายในฐานะ “ศูนย์กลางการค้าและโลจิสติกส์ของภาคเหนือ” เปิดประตูใหม่สู่ตลาดจีนโดยตรง เสริมรายได้เกษตรกร กระตุ้นการจ้างงาน และสร้างโอกาสการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ประชาชาติธุรกิจ
  • สำนักงานการยางแห่งประเทศไทย
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • China Daily
  • World Bank Thailand Economic Monitor
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

“ทรัมป์” ลดภาษีให้ “จีน” สงครามการค้าเดือด ‘เอเชีย’ ป่วน

ความตึงเครียดการค้าโลก กลยุทธ์ภาษีศุลกากรของทรัมป์และผลกระทบต่อเอเชีย

สหรัฐอเมริกา, 10 พฤษภาคม 2568 – ในโลกที่ถูกกำหนดโดยความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกันอย่างแน่นแฟ้น การประกาศของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2568 ซึ่งเสนอให้ลดอัตราภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าจีนจากระดับสูงถึง 145% ลงเหลือ 80% ที่ยังคงสูงอยู่ ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งตลาดโลก คำแถลงนี้ได้ผ่านการเผยแพร่บนแพลตฟอร์ม Truth Social ก่อนการเจรจาการค้าที่สำคัญในสวิตเซอร์แลนด์ ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนที่ดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยมีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อเอเชียและทั่วโลก ขณะที่ประเทศต่าง ๆ เตรียมพร้อมรับผลลัพธ์จากการเจรจาครั้งนี้ การผสมผสานระหว่างนโยบายเศรษฐกิจ พันธมิตรระดับภูมิภาค และพลวัตการค้าโลกได้กลายเป็นประเด็นหลัก ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับอนาคตของการค้าระหว่างประเทศ

โลกแห่งความตึงเครียดทางการค้า

ภูมิทัศน์การค้าโลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 2020 ซึ่งถูกกำหนดโดยการเพิ่มภาษีศุลกากร การตอบโต้ด้วยมาตรการต่าง ๆ และการเปลี่ยนแปลงพันธมิตร สหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ ได้ดำเนินนโยบายการค้าที่แข็งกร้าวเพื่อเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจโลก การกำหนดภาษีศุลกากรสูง โดยเฉพาะกับจีน เป็นรากฐานสำคัญของกลยุทธ์นี้ ซึ่งมีรากฐานมาจากความเชื่อของทรัมป์ว่าสหรัฐฯ ถูกเอาเปรียบจากคู่ค้า อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้ไม่ได้ปราศจากผลกระทบ ดังที่เห็นได้จากความวุ่นวายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วทั้งเอเชีย ซึ่งเป็นภูมิภาคที่พึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก

จุดเริ่มต้นของสงครามการค้าสามารถย้อนไปถึงสมัยแรกของทรัมป์ เมื่อมีการกำหนดภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าจีนเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สมดุลทางการค้าและข้อกังวลด้านทรัพย์สินทางปัญญา ในปี 2567 สหรัฐฯ ส่งออกสินค้าไปยังจีนมูลค่า 143.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 4,735,500,000,000 บาท ขณะที่นำเข้าสินค้ามูลค่า 438.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 14,483,700,000,000 บาท ตามข้อมูลจากสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ซึ่งเน้นย้ำถึงความไม่สมดุลทางการค้าที่สำคัญที่เป็นเชื้อเพลิงให้กับวาทกรรมของทรัมป์ การเพิ่มภาษีศุลกากรถึง 145% สำหรับสินค้าจีนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้เพิ่มความตึงเครียด โดยกระตุ้นให้ปักกิ่งกำหนดภาษีตอบโต้ที่เกิน 100% การตอบโต้แบบตาต่อตานี้ ได้รบกวนห่วงโซ่อุปทาน เพิ่มต้นทุนให้กับผู้บริโภค และจุดประกายความกังวลเกี่ยวกับการขาดแคลนสินค้าในตลาดสหรัฐฯ

ในบริบทนี้ การประกาศของทรัมป์เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2568 ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ที่อาจเกิดขึ้น การเสนอลดภาษีเหลือ 80% แม้ว่าจะยังคงเป็นอุปสรรคต่อการค้า แต่บ่งชี้ให้เห็นถึงความพร้อมในการเจรจา แม้ว่าจะเป็นไปในเงื่อนไขที่ยังคงให้ประโยชน์ต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ คำแถลงที่ว่า “ภาษี 80% สำหรับจีนดูเหมือนจะเหมาะสม! ขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีคลัง ” ซึ่งอ้างถึงรัฐมนตรีคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเจรจาที่มีเดิมพันสูงในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งความมั่นคงในความสัมพันธ์ทางการค้าเป็นเป้าหมายสำคัญ อย่างไรก็ตาม ความคลุมเครือว่าอัตรานี้เป็นเป้าหมายระยะยาวหรือเป็นกลยุทธ์การเจรจาได้เพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาดโลก

กลยุทธ์ภาษีศุลกากรของทรัมป์และผลกระทบระดับภูมิภาค

หัวใจของการพัฒนานี้คือกลยุทธ์ภาษีศุลกากรที่กว้างขวางของทรัมป์ ซึ่งไม่ได้มุ่งเป้าไปที่จีนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ ในเอเชียด้วย เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ซึ่งทรัมป์เรียกว่า “วันปลดปล่อย” (Liberation Day) สหรัฐฯ ได้เปิดเผยชุดภาษี “สมน้ำสมเนื้อ” สำหรับคู่ค้าหลัก โดยบางอัตราสูงสุดถูกกำหนดให้กับประเทศในเอเชียตะวันออก เวียดนามเผชิญกับภาษี 46% กัมพูชา 49% และแม้แต่ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงที่ใกล้ชิดและมีดุลการค้ากับสหรัฐฯ ก็ถูกกำหนดภาษี มาตรการเหล่านี้ รวมกับภาษีเดิม 10% สำหรับการนำเข้าทั้งหมด ส่งผลให้อัตราภาษีเฉลี่ยของสหรัฐฯ อยู่ที่ 28% ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2444 ตามข้อมูลจากสภาการต่างประเทศ (Council on Foreign Relations)

เหตุผลที่มุ่งเป้าไปที่เอเชียนั้นมีหลายมิติ เศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกหลายแห่ง รวมถึงเกาหลีใต้ เวียดนาม และไทย ได้นำกลยุทธ์การพัฒนาแบบเน้นการส่งออกมาตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 20 โดยพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ อย่างมากเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต ความพึ่งพานี้ทำให้พวกเขาอ่อนไหวต่อนโยบายการค้าของสหรัฐฯ นอกจากนี้ รัฐบาลของทรัมป์ยังพยายามแก้ไขการปฏิบัติที่เรียกว่า “การย้ายฐานการผลิต” ซึ่งประเทศอย่างเวียดนามประกอบและจัดส่งสินค้าโดยใช้ส่วนประกอบจากจีนเพื่อหลบเลี่ยงภาษีสหรัฐฯ การกำหนดภาษีสูงต่อประเทศเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อขัดขวางการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ของจีนโดยอ้อม

อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้ได้ก่อให้เกิดการต่อต้านเป็นอย่างมาก การลดลงอย่างรวดเร็วของตลาด ตราสารหนี้หลังจากการประกาศ “วันปลดปล่อย” (Liberation Day) บังคับให้ทรัมป์หยุดชะงักภาษีหลายรายการ ยกเว้นภาษีที่กำหนดต่อจีน การหยุดชะงักนี้ ประกาศเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568 เป็นการตอบสนองต่อความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและแรงกดดันจากนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะญี่ปุ่น ซึ่งถือครองหนี้สหรัฐฯ จำนวนมาก แม้จะมีการหยุดชะงักนี้ ภาษีที่เหลืออยู่ได้เพิ่มต้นทุนให้กับผู้บริโภคและบริษัทในสหรัฐฯ โดยมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการขาดแคลนสินค้า เนื่องจากข้อมูลการขนส่งบ่งชี้ถึงการลดลงอย่างมากของสินค้าที่เคลื่อนย้ายจากจีนไปยังสหรัฐฯ

การยกระดับและการเจรจาการประชุมที่สวิตเซอร์แลนด์

การเจรจาการค้าที่กำลังจะเกิดขึ้นในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งถูกกำหนดไว้ในวันนี้ (วันที่ 10 พฤษภาคม 2568) เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการแก้ไขความตึงเครียดเหล่านี้ เจมส์สัน เกียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้เน้นย้ำถึงเป้าหมายในการบรรลุ “ความมั่นคง” เพื่อเป็นรากฐานสำหรับข้อตกลงในอนาคต โดยยอมรับว่าไม่น่าจะมีการทำข้อตกลงการค้าที่ครอบคลุมในระยะสั้น การมีส่วนร่วมของรัฐมนตรีคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงอื่น ๆ ซึ่งจะกำหนดทิศทางของความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีน และมีอิทธิพลต่อพลวัตการค้าโลก

อย่างไรก็ตาม คำแถลงสาธารณะของทรัมป์ทำให้การเจรจามีความซับซ้อน การเรียกร้องให้จีน “เปิดตลาดให้กับสหรัฐฯ” และการยืนยันว่า “ตลาดที่ปิด ไม่ได้ผลอีกต่อไป” สะท้อนถึงจุดยืนที่แข็งกร้าว ซึ่งอาจขัดขวางความคืบหน้า นอกจากนี้การปฏิเสธของเขาก่อนหน้านี้ ในการลดภาษีเพื่อให้จีนมานั่งโต๊ะเจรจา ขัดแย้งกันกับข้อเสนอล่าสุดเกี่ยวกับอัตรา 80% ที่บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ที่อาจลดความตึงเครียดหรือยืดเยื้อสงครามการค้า ความไม่ชัดเจนว่าภาษี 80% เป็นเป้าหมายสุดท้ายหรือเป็นเครื่องมือในการเจรจา ได้เพิ่มความไม่แน่นอน ทำให้ทั้งนักลงทุนและผู้นำธุรกิจ เกิดความระมัดระวังมากขึ้น

ในส่วนของจีนนั้นไม่ได้อยู่นิ่ง สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของจีน เพิ่งเดินทางมาเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงกัมพูชา มาเลเซีย และเวียดนาม ซึ่งนำไปสู่การลงนามในข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจใหม่ เพื่อเสริมสร้างอิทธิพลของจีนในภูมิภาค การเข้าร่วมของปักกิ่งในความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งเป็นกลุ่มการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ยิ่งตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจในเอเชีย ซึ่งสหรัฐฯ พยายามต่อสู้เพื่อแข่งขันนับตั้งแต่ถอนตัวจากกรอบการค้าที่คล้ายคลึงกัน การเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ของจีน เช่น การจำกัดการส่งออกแร่หายากที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นสูงของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการใช้ประโยชน์จากจุดแข็งทางเศรษฐกิจในสงครามการค้าครั้งนี้

การตอบสนองของภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงพันธมิตรของเอเชีย

ผลกระทบของนโยบายภาษีศุลกากรของทรัมป์ ขยายออกไปเกินกว่าความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีน โดยเปลี่ยนแปลงการจัดแนวทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ทั่วทั้งเอเชีย การสำรวจโดยสถาบัน ISEAS-Yusof Ishak ในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ 2568 เผยให้เห็นถึงความนิยมที่เพิ่มขึ้นในหมู่ผู้นำความคิดเห็นในอาเซียนที่ต้องการจัดแนวทางกับจีนมากกว่าสหรัฐฯ ในประเทศไทย 56% สนับสนุนจีน เทียบกับ 44% ที่สนับสนุนสหรัฐฯ ในขณะที่ลาว กัมพูชา และเมียนมาแสดงแนวโน้มที่คล้ายคลึงกัน การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความรู้สึกที่กว้างขึ้นว่า นโยบายการค้าที่คาดเดาไม่ได้ของวอชิงตันบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือในฐานะพันธมิตร

เศรษฐกิจขนาดเล็ก เช่น กัมพูชาและเวียดนาม พยายามลดผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ โดยการเพิ่มการซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ เวียดนาม ซึ่งมีดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นอันดับสามของโลก ได้ลงนามในข้อตกลงการค้าใหม่กับวอชิงตันเพื่อเอาใจทำเนียบขาว อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจขนาดใหญ่มีทางเลือกมากกว่า ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ถือครองหนี้สหรัฐฯ รายใหญ่ ได้ใช้ประโยชน์จากอิทธิพลทางการเงินเพื่อเจรจาลดภาษี ขณะที่ออสเตรเลียและเกาหลีใต้ ซึ่งคาดว่าจะมีรัฐบาลฝ่ายซ้ายในอนาคต กำลังเสริมสร้างความสัมพันธ์กับจีนและสหภาพยุโรป

มาเลเซียและประเทศไทย ซึ่งเผชิญกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจจากภาษีสหรัฐฯ ก็กำลังเพิ่มการมีส่วนร่วมกับปักกิ่ง การส่งเสริมเส้นทางการค้าใหม่ของจีน รวมถึงการเชื่อมโยงระหว่างเอเชียตะวันออกและยุโรปผ่านจีนแผ่นดินใหญ่ มอบโอกาสทางการค้าและการลงทุนทางเลือกให้กับประเทศเหล่านี้ แนวโน้มที่กว้างขึ้นของเศรษฐกิจเอเชียที่กระจายตัวออกจากตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเริ่มต้นในสมัยแรกของทรัมป์ กำลังเร่งตัวขึ้น โดยอาจส่งผลกระทบระยะยาวต่ออิทธิพลของสหรัฐฯ ในภูมิภาค

ความเสี่ยงและโอกาส

กลยุทธ์ภาษีศุลกากรของทรัมป์เป็นการเดิมพันที่มีความเสี่ยงสูงและมีผลกระทบสำคัญต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทั่วโลก การกำหนดภาษีสูงได้รบกวนห่วงโซ่อุปทาน เพิ่มต้นทุน และทำให้ความสัมพันธ์กับพันธมิตรตึงเครียด ขณะที่ล้มเหลวในการลดความไม่สมดุลทางการค้ากับจีนอย่างมีนัยสำคัญ ภาษีที่เสนอ 80% แม้ว่าจะลดลงจาก 145% ยังคงเป็นอุปสรรคและอาจยับยั้งการค้าแทนที่จะส่งเสริม นอกจากนี้ ความคาดเดาไม่ได้ของนโยบายของทรัมป์ ซึ่งเห็นได้จากคำประกาศภาษีที่ผันผวน ได้บ่อนทำลายความเชื่อมั่นในสหรัฐฯ ในฐานะพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่มั่นคง

สำหรับเอเชีย ภาษีเหล่านี้นำเสนอทั้งความท้าทายและโอกาส เศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกเผชิญกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจในทันที แต่การผลักดันให้กระจายตลาดและเสริมสร้างกรอบการค้าในภูมิภาค เช่น RCEP อาจเพิ่มความยืดหยุ่นในระยะยาว การมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันของจีนกับประเทศอาเซียนทำให้จีนสามารถใช้ประโยชน์จากการถอยตัวของสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้จีนกลายเป็นอำนาจทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้ความตึงเครียดเชิงยุทธศาสตร์รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่เช่นทะเลจีนใต้ ซึ่งการมีตัวตนทางทหารของสหรัฐฯ ยังคงเป็นตัวถ่วงดุลอิทธิพลของจีน

การเจรจาที่สวิตเซอร์แลนด์มอบโอกาสในการลดความตึงเครียด แต่ความสำเร็จขึ้นอยู่กับความเต็มใจของทั้งสองฝ่ายในการประนีประนอม สำหรับสหรัฐฯ แนวทางที่สมดุลซึ่งลดภาษีในขณะที่จัดการกับความไม่สมดุลทางการค้าสามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่นในหมู่พันธมิตรและทำให้ตลาดมีเสถียรภาพ สำหรับจีน การเปิดตลาดให้กับสินค้าสหรัฐฯ ตามที่ทรัมป์เรียกร้อง อาจช่วยลดความตึงเครียด แต่ต้องมีการยอมจำนนที่ปักกิ่งอาจลังเล ผลลัพธ์ของการเจรจาเหล่านี้จะกำหนดไม่เพียงแต่การค้าแบบทวิภาคี แต่ยังรวมถึงระเบียบเศรษฐกิจโลกที่กว้างขึ้นด้วย

สู่กระบวนทัศน์การค้าใหม่?

ขณะที่การเจรจาที่สวิตเซอร์แลนด์ใกล้เข้ามา โลกต่างจับตามองเพื่อหาสัญญาณของความคืบหน้า แม้ว่าจะไม่น่าจะมีการทำข้อตกลงการค้าฉบับสมบูรณ์ แต่ขั้นตอนเล็ก ๆ น้อย ๆ สู่ความมั่นคงอาจปูทางไปสู่ข้อตกลงในอนาคต การลดภาษีลงเหลือ 80% อาจบ่งบอกถึงความเต็มใจในการเจรจา แต่ประสิทธิภาพของมันขึ้นอยู่กับว่ามันถูกมองว่าเป็นสัญญาณของการประนีประนอมที่แท้จริงหรือเป็นการดำเนินการในท่าทีที่ก้าวร้าวต่อไป สำหรับเอเชีย ผลลัพธ์จะมีอิทธิพลต่อกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจและการจัดแนวระดับภูมิภาค โดยประเทศอย่างประเทศไทยและเวียดนามต้องรักษาสมดุลอันละเอียดอ่อนระหว่างอิทธิพลของสหรัฐฯ และจีน

ความท้าทายที่ใหญ่กว่าคือการสร้างความไว้วางใจในระบบการค้าโลก ภาษีของทรัมป์ได้เผยให้เห็นจุดอ่อนในรูปแบบเศรษฐกิจที่เน้นการส่งออกของประเทศในเอเชีย ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการประเมินกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจใหม่ การเพิ่มขึ้นของกลุ่มการค้าในภูมิภาคและตลาดทางเลือกนำเสนอเส้นทางสู่ความยืดหยุ่น แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกแตกแยก สำหรับสหรัฐฯ การฟื้นฟูชื่อเสียงในฐานะพันธมิตรที่เชื่อถือได้จะต้องมีนโยบายที่สม่ำเสมอและความมุ่งมั่นต่อความร่วมมือพหุภาคี

โดยสรุป กลยุทธ์ภาษีศุลกากรของทรัมป์ แม้ว่าจะมุ่งปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนแปลงพลวัตการค้าโลกในแบบที่อาจไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของเขา ภาษีที่เสนอ 80% สำหรับจีน ซึ่งเป็นจุดสนใจของการเจรจาที่สวิตเซอร์แลนด์ที่กำลังจะมาถึง สรุปถึงความตึงเครียดและโอกาสของช่วงเวลานี้ ขณะที่ประเทศต่าง ๆ ปรับตัวเข้ากับความเป็นจริงทางเศรษฐกิจใหม่ การผสมผสานระหว่างภาษี การเจรจา และกลยุทธ์ระดับภูมิภาคจะกำหนดอนาคตของการค้าระดับโลก

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

สถิติต่อไปนี้ให้บริบทสำหรับพลวัตการค้าที่กล่าวถึงในบทความนี้:

  1. การค้าสหรัฐฯ-จีน (2567):
    • การส่งออกของสหรัฐฯ ไปยังจีน: 143.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
    • การนำเข้าของสหรัฐฯ จากจีน: 438.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
    • แหล่งที่มา: สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (2567), “ข้อเท็จจริงการค้าสหรัฐฯ-จีน”
  2. ผลสำรวจความคิดเห็นอาเซียน (มกราคม-กุมภาพันธ์ 2568):
    • ประเทศไทย: 56% สนับสนุนจีน, 44% กับสหรัฐฯ
    • ลาว: 51% สนับสนุนจีน, 49% สหรัฐฯ
    • กัมพูชา: 43% สนับสนุนจีน, 57% สหรัฐฯ
    • เมียนมา: 42% สนับสนุนจีน, 58% สหรัฐฯ
    • แหล่งที่มา: สถาบัน ISEAS-Yusof Ishak, “รายงานการสำรวจสถานะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 2568”
  3. อัตราภาษีสหรัฐฯ:
    • อัตราภาษีเฉลี่ยภายใต้ทรัมป์ (2568): 28%
    • อัตราภาษีเฉลี่ยภายใต้ไบเดน (2564-2567): 2%
    • แหล่งที่มา: สภาการต่างประเทศ, “ทำไมเอเชียตะวันออกถึงเป็นเป้าหมายของสงครามภาษีของทรัมป์” (2568)
  4. ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP):
    • คิดเป็น 30% ของ GDP โลกและ 30% ของการค้าโลก
    • แหล่งที่มา: ธนาคารพัฒนาเอเชีย, “RCEP: ตัวเร่งใหม่สำหรับการค้าในภูมิภาค” (2567)

สถิติเหล่านี้เน้นย้ำถึงขนาดของความไม่สมดุลทางการค้าสหรัฐฯ-จีน ความเปลี่ยนแปลงในความนิยมของอาเซียน และความสำคัญทางเศรษฐกิจของกรอบการค้าในภูมิภาค โดยข้อมูลเหล่านี้มาจากแหล่งที่เชื่อถือได้เพื่อให้มั่นใจในความถูกต้องและความน่าเชื่อถือ

บทความโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร Founder สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ และ Business – Group Head MBCS Thailand (Mediabrands Contents Studio)

เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร Co-Founder สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เตือนภัยน้ำกก ผนึกกำลังรับมือ จี้จีนแก้ต้นเหตุ

ภาครัฐ-เอกชน-ชุมชน ร่วมยกระดับเตือนภัยน้ำหลากแม่น้ำกก ปี 2568

เชียงราย, 22 เมษายน 2568 – แม่น้ำกก สายน้ำสำคัญของจังหวัดเชียงราย เป็นทั้งแหล่งชีวิตและความท้าทายสำหรับชุมชนริมฝั่ง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มักนำมาซึ่งอุทกภัยและมลพิษสิ่งแวดล้อม เหตุการณ์น้ำท่วมรุนแรงในปี 2567 ได้ทิ้งร่องรอยความเสียหายทั้งต่อระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตของประชาชน พร้อมกับปัญหาการปนเปื้อนสารพิษในน้ำที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อชุมชน การประชุมเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 ณ เทศบาลตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย จึงเป็นก้าวสำคัญในการรวมพลังภาครัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อพัฒนาระบบเตือนภัยน้ำหลากและแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดนอย่างยั่งยืน

ความเสียหายจากอุทกภัยและมลพิษในปี 2567

ในฤดูฝนปี 2567 แม่น้ำกกเผชิญกับน้ำหลากและโคลนถล่ม ส่งผลกระทบรุนแรงต่ออำเภอเมืองและอำเภอแม่สาย บ้านเรือนเสียหาย พื้นที่เกษตรถูกทำลาย และประชาชนต้องเผชิญกับความสูญเสียทั้งด้านทรัพย์สินและจิตใจ การตรวจพบสารโลหะหนัก เช่น สารหนู ในน้ำกก ได้สร้างความกังวลอย่างมาก ชาวบ้านไม่สามารถใช้น้ำจากแม่น้ำเพื่อการเกษตร การเลี้ยงสัตว์ หรือกิจกรรมประจำวัน เด็กๆ ถูกห้ามเล่นน้ำในช่วงสงกรานต์ และผู้ประกอบการท่องเที่ยว เช่น แพริมน้ำ ขาดทุนหนักจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง

จุดอ่อนของระบบเตือนภัยในอดีต ได้แก่ การขาดข้อมูลปริมาณน้ำที่เพียงพอ การแจ้งเตือนที่ล่าช้า และความไม่เชื่อมั่นของประชาชนต่อความรุนแรงของภัยพิบัติ สาเหตุเหล่านี้ทำให้ชุมชนไม่สามารถเตรียมรับมือได้ทันท่วงที ความเสียหายจึงทวีความรุนแรง นอกจากนี้ การปนเปื้อนสารพิษจากกิจกรรมเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ได้กลายเป็นประเด็นข้ามพรมแดนที่ซับซ้อน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่ายเพื่อแก้ไข

การประชุมเพื่อพัฒนาระบบเตือนภัย

เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 ณ เทศบาลตำบลแม่ยาว ภาคีเครือข่ายจากภาครัฐ เอกชน และชุมชน รวมถึงนางเตือนใจ ดีเทศน์ ประธานเครือข่ายข้อมูลอุทกภัยแม่น้ำกก หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จังหวัดเชียงราย ผู้อำนวยการส่วนอุทกวิทยาที่ 2 เชียงราย กำนันตำบลแม่ยาว และผู้นำชุมชน ได้ร่วมประชุมเพื่อพัฒนาระบบเตือนภัยน้ำหลากสำหรับฤดูฝนปี 2568 การประชุมมุ่งเน้นการสร้างระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลปริมาณน้ำระหว่าง 7 ชุมชนเป้าหมาย ได้แก่ บ้านแก่งทรายมูล/ร่มไทย บ้านใหม่หมอกจ๋าม บ้านผาใต้ (ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่) บ้านจะคือ (ต.ห้วยชมพู) โรงเรียนบ้านผาขวาง บ้านแคววัวดำ (ต.แม่ยาว) และบ้านโป่งนาคำ (ต.ดอยฮาง อ.เมืองเชียงราย)

เป้าหมายคือการพัฒนาระบบที่ช่วยให้ชุมชนรับข้อมูลน้ำได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ เพื่อเตรียมรับมือกับน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้น การประชุมยังมุ่งแบ่งปันข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำโขง เพื่อให้ภาคีเครือข่ายและสาธารณชนตระหนักถึงปัญหามลพิษและผลกระทบข้ามพรมแดน การรวมตัวครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างหน่วยงานต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านน้ำและสิ่งแวดล้อม

การจัดตั้งเครือข่ายข้อมูลอุทกภัยแม่น้ำกก

เครือข่ายข้อมูลอุทกภัยแม่น้ำกก (ค.อ.ก.) เกิดจากความร่วมมือขององค์กรพัฒนาภาคเอกชน โดยมีกิจกรรมหลัก 3 ส่วน:

  1. ติดตั้งเสาวัดระดับน้ำและมาตรวัดระดับน้ำ เพื่อเก็บข้อมูลปริมาณน้ำแบบเรียลไทม์
  2. เสริมศักยภาพชุมชน ผ่านการฝึกอบรมผู้สื่อข่าวอุทกภัยแม่น้ำกก (ผ.อ.ก.) ซึ่งทำหน้าที่สื่อสารข้อมูลน้ำท่วมและแจ้งเตือนภัย
  3. ผสานเครือข่ายข้อมูล ใน 7 ชุมชน เพื่อให้ข้อมูลไหลเวียนทั้งภายในและภายนอกชุมชน

เครือข่ายนี้มุ่งให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการภัยพิบัติ โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง เช่น บ้านผาใต้ ต.ท่าตอน ซึ่งเคยถูกน้ำท่วมและโคลนถล่มในปี 2567 การติดตั้งเครื่องมือวัดระดับน้ำจะช่วยคาดการณ์สถานการณ์ได้ล่วงหน้า และการฝึกอบรมผู้นำชุมชนจะสร้างความเข้มแข็งในการสื่อสารข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ

เสียงสะท้อนจากชุมชนและข้อเรียกร้อง

เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2568 นางเตือนใจ ดีเทศน์ พร้อมทีมงานมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) ลงพื้นที่บ้านผาใต้ ต.ท่าตอน เพื่อรับฟังความกังวลของชาวบ้าน ชาวบ้านหวาดกลัวว่าน้ำกกอาจท่วมซ้ำในฤดูฝนปี 2568 และกังวลต่อสารโลหะหนักในน้ำ ซึ่งกระทบต่อความปลอดภัยในการเกษตรและชีวิตประจำวัน นางจิรภัทร์ กันธิยาใจ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ต.ท่าตอน ระบุว่า “เศรษฐกิจชุมชนเสียหายหนัก แพพัง คนไม่กล้าลงเล่นน้ำ หาปลายาก” ขณะที่นายสุขใจ ยานะ ชาวประมงวัย 72 ปี จากบ้านเชียงแสนน้อย กล่าวว่า “ระดับน้ำกกแปรปรวน ปลาหาย รายได้หดเกือบหมด”

ในวันเดียวกัน ที่ศูนย์การเรียนรู้ CCF ต.ริมกก เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำกก อิง โขง นำโดยนายสมเกียรติ เขื่อนเชียงสา จัดเวทีรับฟังความคิดเห็น ชาวบ้าน ต.ริมกก ร่ำไห้ถึงปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากและสารปนเปื้อน ดร.สืบสกุล กิจนุกร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เสนอให้รัฐบาลเจรจากับจีน เมียนมา และกลุ่มว้า พร้อมชี้ว่ารัฐขาดข้อมูลต้นทางของมลพิษ

ชาวบ้านยื่น 7 ข้อเรียกร้อง:

  1. ตั้งคณะทำงานแก้ปัญหามลพิษข้ามแดนแบบมีส่วนร่วม
  2. เปิดเผยแผนรับมือภัยพิบัติลุ่มน้ำกก-น้ำสาย
  3. สร้างความร่วมมือกับเมียนมาและกลุ่มว้าเก็บตัวอย่างน้ำต้นน้ำ
  4. ตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำจังหวัดเชียงราย
  5. ขยายการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน
  6. เปิดโต๊ะเจรจาระดับประเทศ ไทย-เมียนมา-จีน-กลุ่มชาติพันธุ์
  7. ให้ประชาชนมีบทบาทในคณะกรรมการทุกระดับ

วิเคราะห์ต้นตอปัญหาและความท้าทายข้ามพรมแดน

ปัญหาน้ำท่วมและมลพิษในแม่น้ำกกมีรากฐานจากทั้งปัจจัยภายในและข้ามพรมแดน นางเตือนใจระบุว่า ชาวบ้านในท่าตอนเชื่อว่าน้ำท่วมเกิดจากการเปิดหน้าดินขนาดใหญ่ในรัฐฉาน เพื่อทำสวนยางพารา ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และเหมืองแร่ โดยเฉพาะเหมืองที่ได้รับทุนจากจีน ผศ.ดร.ลลิตา หาญวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพม่า ชี้ว่า การปนเปื้อนสารหนูเกี่ยวข้องกับเหมืองทองและดีบุกในเขตควบคุมของกองทัพสหรัฐว้า (UWSA) ซึ่งเพิ่มสัมปทานเหมืองหลังรัฐประหารในเมียนมา

ดร.ลลิตากล่าวว่า “หน่วยงานไทยบางแห่งหลีกเลี่ยงการระบุว่าเป็นบริษัทจีน ทั้งที่คนในพื้นที่รู้ดี การแก้ปัญหาต้องยอมรับต้นตอและเจรจากับจีนโดยตรง” เธอชี้ว่า การเจรจาในกรอบรัฐต่อรัฐมีข้อจำกัด เนื่องจากพื้นที่รัฐว้าเป็น “รัฐซ้อนรัฐ” ที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลเมียนมา การเจรจากับสภาบริหารแห่งรัฐพม่า (SAC) อาจไม่นำไปสู่ผลลัพธ์ และอาจสร้างความขัดแย้งทางการทูต

กรณีนี้คล้ายกับผลกระทบจากเขื่อนในแม่น้ำโขง ซึ่งขาดธรรมภิบาลสิ่งแวดล้อม ดร.ลลิตาแนะนำให้ไทยกดดันจีนผ่านช่องทางการทูต เพื่อให้บริษัทเหมืองรับผิดชอบ หากรัฐไม่ดำเนินการ ภาคประชาสังคมอาจใช้กฎหมายระหว่างประเทศเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม

แนวทางการแก้ไขและการคลี่คลายปัญหา

การประชุมที่เทศบาลตำบลแม่ยาวเสนอแนวทางแก้ไขทั้งในระดับชุมชนและนโยบาย การติดตั้งเสาวัดระดับน้ำและฝึกอบรมผู้สื่อข่าวอุทกภัยจะช่วยให้ชุมชนเตรียมรับมือน้ำท่วมได้ดีขึ้น การประสานงานระหว่าง 7 ชุมชนจะสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็ง การสนับสนุนจาก ปภ. และส่วนอุทกวิทยาจะเพิ่มความน่าเชื่อถือของระบบเตือนภัย

ในระดับนโยบาย การแก้ปัญหามลพิษจากเหมืองแร่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ นางเตือนใจเสนอให้ไทยเจรจากับจีนเพื่อควบคุมกิจกรรมเหมือง การหารือทวิภาคีจะกดดันให้บริษัทจีนปฏิบัติตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อม ดร.สืบสกุลแนะนำให้ตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำในเชียงราย และขยายการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบกักเก็บน้ำสะอาด จะช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำ

ในระยะยาว การฟื้นฟูระบบนิเวศแม่น้ำกกเป็นสิ่งสำคัญ การปลูกป่าและจัดการที่ดินในพื้นที่ต้นน้ำจะลดการชะล้างดินและมลพิษ การรณรงค์สร้างความตระหนักจะส่งเสริมให้ชุมชนอนุรักษ์แม่น้ำ ความร่วมมือของทุกภาคส่วนจะนำไปสู่การจัดการน้ำที่ยั่งยืนและปกป้องวิถีชีวิตชุมชน

สถิติและแหล่งอ้างอิง

  • อุทกภัยแม่น้ำกก ปี 2567: ความเสียหายในอำเภอเมืองและแม่สาย มูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท กระทบ 15,000 ครัวเรือน
  • การปนเปื้อนสารหนู: ระดับสารหนูในน้ำกกสูงเกินมาตรฐาน 0.01 มก./ลิตร ในพื้นที่ต.ท่าตอน อ.แม่อาย
  • พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมในเชียงราย: 7 อำเภอ 42 ตำบล 218 หมู่บ้าน

มุมมองที่เป็นกลาง

มุมมองฝ่ายสนับสนุนการแก้ปัญหาที่ต้นตอ: การจัดการน้ำท่วมและมลพิษต้องเริ่มจากต้นเหตุ การเจรจากับจีนและควบคุมเหมืองแร่จะลดผลกระทบ การลงทุนในระบบเตือนภัยและน้ำสะอาดเป็นแนวทางจำเป็น
มุมมองฝ่ายที่มองว่าการแก้ปัญหาข้ามพรมแดนซับซ้อน: การเจรจากับจีนและกลุ่มว้ามีข้อจำกัดทางการเมือง การมุ่งแก้ปัญหาภายใน เช่น ระบบเตือนภัยและฟื้นฟูแม่น้ำ อาจปฏิบัติได้จริงกว่า
มุมมองเป็นกลาง: การแก้ปัญหาต้องผสมผสานการจัดการภายในและความร่วมมือระหว่างประเทศ การพัฒนาระบบเตือนภัยและศักยภาพชุมชนจะลดความสูญเสียระยะสั้น การเจรจาข้ามพรมแดนและรณรงค์สิ่งแวดล้อมจะนำไปสู่ความยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ, รายงานคุณภาพน้ำลุ่มน้ำกก ปี 2567, เผยแพร่ 15 ตุลาคม 2567, www.pcd.go.th
  • ปภ.จังหวัดเชียงราย, สรุปความเสียหายจากอุทกภัย ปี 2567, เผยแพร่ 30 กันยายน 2567
  • Mekong River Commission, รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมลุ่มน้ำโขง, เผยแพร่ 10 มีนาคม 2568, www.mrcmekong.org
  • สำนักข่าวชายขอบ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

จีนฟ้องลาว 555 ล้านดอลลาร์ ค้างจ่ายค่าเขื่อนน้ำอู “ไข่มุกแห่งเอเชีย” โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง

จีนฟ้องลาว 555 ล้านดอลลาร์! ค้างจ่ายค่าเขื่อน “ไข่มุกแห่งเอเชีย”

สปป.ลาว , 9 มีนาคม 2568 – บริษัทน้ำอูพาวเวอร์ (Nam Ou Power) ซึ่งเป็นหน่วยงานในเครือของบริษัทพาวเวอร์ไชน่า (PowerChina) ได้ยื่นฟ้องบริษัทการไฟฟ้าลาว (Electricite du Laos – EdL) ต่อศูนย์อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศของสิงคโปร์ (SIAC) เพื่อเรียกร้องค่าใช้จ่ายที่ค้างชำระเป็นจำนวน 555 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อันเนื่องมาจากค่าไฟฟ้าที่เกิดจากโครงการเขื่อนไฟฟ้าน้ำอูทั้ง 7 แห่ง (Nam Ou River Cascade Hydropower) มูลค่าการลงทุนกว่า 2.73 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ข้อพิพาทด้านพลังงานและผลกระทบต่อเศรษฐกิจลาว

บริษัทน้ำอูพาวเวอร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดำเนินการโดยรัฐบาลจีน ได้ดำเนินการก่อสร้างและบริหารเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำอูซึ่งมีความยาว 350 กิโลเมตรในประเทศลาว โครงการดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative) ของจีน ที่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงานและการคมนาคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

แหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องระบุว่าคดีนี้เป็นกรณีแรกของการฟ้องร้องระหว่างหน่วยงานที่ดำเนินการโดยรัฐบาลจีนต่อรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลลาวผ่านกระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงปัญหาทางการเงินที่ลาวกำลังเผชิญ

ที่มาของข้อพิพาทและรายละเอียดทางกฎหมาย

ข้อมูล 6 มีนาคม 2568 พบว่า บริษัทน้ำอูพาวเวอร์ อ้างว่า EdL มีหนี้ค้างชำระเป็นจำนวน 486.27 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 65.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเกิดจากใบแจ้งหนี้รายเดือนที่ออกระหว่างเดือนมกราคม 2020 ถึงธันวาคม 2024 การฟ้องร้องครั้งนี้มีมูลค่ารวมคิดเป็นประมาณ 4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของลาวในปี 2020

เอกสารที่ยื่นต่อ SIAC ยังระบุว่า บริษัทน้ำอูพาวเวอร์เรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเติมอีก 3.02 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจาก EdL ชำระเงินส่วนใหญ่ด้วยสกุลเงินกีบของลาว ทั้งที่ตามข้อตกลงระบุว่าต้องชำระเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างน้อย 85%

ความเชื่อมโยงกับโครงสร้างพื้นฐานจีนในลาว

ลาวเป็นประเทศที่ลงทุนอย่างหนักในโครงการไฟฟ้าพลังน้ำ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะเป็น “แบตเตอรี่แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” (Battery of Southeast Asia) ผ่านการส่งออกพลังงานไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ไทย เวียดนาม และจีน อย่างไรก็ตาม โครงการขนาดใหญ่เหล่านี้รวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว ได้สร้างภาระหนี้สินให้กับประเทศเป็นจำนวนมาก

ในปี 2020 EdL ได้โอนอำนาจการควบคุมส่วนใหญ่ของหน่วยส่งไฟฟ้าไปยังบริษัทไชน่าเซาเทิร์นพาวเวอร์กริด (China Southern Power Grid) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของจีน เนื่องจากภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นประกอบกับวิกฤตเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้รัฐบาลลาวต้องเผชิญกับความยากลำบากทางการเงิน และใกล้เข้าสู่ภาวะผิดนัดชำระหนี้ (Sovereign Default)

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสถานะของลาวในเวทีโลก

ลาวต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงและทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่ลดลงอย่างรวดเร็ว โดยมูลค่าของเงินกีบลาวลดลงเกือบ 60% ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าพุ่งสูงขึ้น และทำให้ประเทศต้องพึ่งพาเงินทุนจากจีนมากขึ้น

นักวิเคราะห์ชาวตะวันตกมองว่าการลงทุนของจีนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานในลาวช่วยเพิ่มอิทธิพลของจีนในประเทศที่มีภาระหนี้สูง อย่างไรก็ตาม จีนได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยยืนยันว่าการลงทุนของตนเป็นไปเพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ

แนวโน้มของคดีและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

ในขณะที่คดีดังกล่าวกำลังอยู่ระหว่างกระบวนการทางอนุญาโตตุลาการในสิงคโปร์ นักวิเคราะห์บางรายมองว่า หาก EdL ไม่สามารถชำระหนี้ได้ อาจนำไปสู่การโอนกรรมสิทธิ์หรือความเป็นเจ้าของของโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของลาวไปยังบริษัทจีน ซึ่งอาจเพิ่มการพึ่งพาจีนในระยะยาว

นอกจากนี้ หากมีการพิจารณาคดีให้บริษัทน้ำอูพาวเวอร์เป็นฝ่ายชนะ ลาวอาจต้องเจรจาปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มเติม หรืออาจต้องขอความช่วยเหลือจากองค์กรทางการเงินระหว่างประเทศ เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) หรือธนาคารโลก (World Bank) เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ

ข้อสรุปและแนวทางข้างหน้า

กรณีพิพาทระหว่างบริษัทน้ำอูพาวเวอร์และการไฟฟ้าลาวเป็นตัวอย่างของความซับซ้อนของโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่มีการลงทุนข้ามชาติ และยังสะท้อนถึงปัญหาทางการเงินที่ลาวกำลังเผชิญในปัจจุบัน

ในระยะสั้น ลาวอาจต้องหาทางออกผ่านการเจรจากับจีนเพื่อลดภาระหนี้ หรือหาทางปรับโครงสร้างทางการเงินเพื่อให้สามารถบริหารจัดการทรัพยากรของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนในระยะยาว อาจจำเป็นต้องมีการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจและนโยบายทางการเงิน เพื่อให้ประเทศสามารถพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น และลดการพึ่งพาเงินทุนจากต่างชาติ

ในขณะที่มุมมองจากฝั่งจีนคือการรักษาความมั่นคงของการลงทุนและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แต่ในมุมของนักวิเคราะห์ตะวันตก อาจเห็นว่าการลงทุนดังกล่าวเป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ของจีนที่ช่วยเสริมสร้างอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นประเด็นที่ยังคงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : reuters

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES WORLD PULSE

จีนยันส่ง 40 อุยกูร์! ไม่ละเมิดสิทธิฯ UNHCR กลัวจีนโกรธ

สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยชี้แจงกรณีส่งตัว 40 ชาวจีนกลับประเทศ

การดำเนินการของรัฐบาลไทยและปฏิกิริยาระหว่างประเทศ

ประเทศไทย, 2 มีนาคม 2568สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความชี้แจงล่าสุดเกี่ยวกับกรณีการส่งตัวชาวจีนจำนวน 40 คนกลับประเทศจีน หลังมีคำถามจากผู้สื่อข่าวและการแสดงความกังวลจากประเทศและองค์กรระหว่างประเทศบางแห่ง โฆษกสถานทูตจีนได้รวบรวมคำถามและให้คำตอบเพื่ออธิบายถึงรายละเอียดของกรณีดังกล่าว

การส่งตัวชาวจีนกลับประเทศและข้อโต้แย้งด้านกฎหมายระหว่างประเทศ

คำถามแรกที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ การส่งตัวชาวจีนที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายจำนวน 40 คนกลับประเทศจีน ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่ โฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีนชี้แจงว่า บุคคลเหล่านี้เป็นผู้ที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ไม่ใช่ผู้ลี้ภัย ดังนั้น การส่งตัวพวกเขากลับประเทศจึงถือเป็นกระบวนการปกติของการบังคับใช้กฎหมายที่สอดคล้องกับหลักมาตรฐานสากล

ทางการไทยและจีนมีหลักฐานยืนยันว่าผู้ถูกส่งตัวไม่ใช่ผู้ลี้ภัย และรัฐบาลไทยดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมายการควบคุมการลักลอบอพยพผิดกฎหมายซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากล ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2567 ประเทศขนาดใหญ่หลายแห่งได้ส่งกลับบุคคลที่เข้าเมืองผิดกฎหมายมากกว่า 270,000 คน

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่วิพากษ์วิจารณ์มองว่า การส่งตัวบุคคลดังกล่าวอาจเป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนและกฎหมายระหว่างประเทศ โดยองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนและรัฐบาลบางประเทศแสดงความกังวลเกี่ยวกับสวัสดิภาพของผู้ถูกส่งตัวหลังเดินทางกลับจีน

ข้อกังวลเรื่องสิทธิมนุษยชนและการปฏิบัติต่อผู้ถูกส่งตัว

บางประเทศและองค์กรระหว่างประเทศตั้งคำถามว่า บุคคลที่ถูกส่งตัวกลับอาจถูกทรมานและละเมิดสิทธิมนุษยชนเมื่อเดินทางถึงจีน ทางสถานทูตจีนตอบว่า รัฐบาลจีนปฏิบัติตามหลักการปกครองโดยกฎหมาย และยึดมั่นในอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน (Convention Against Torture) ที่จีนเป็นภาคีมาตั้งแต่ปี 2529

ทางการจีนยืนยันว่าผู้ที่ถูกส่งตัวกลับได้รับการดูแลและได้กลับสู่ครอบครัวแล้ว นอกจากนี้ รัฐบาลท้องถิ่นของจีนจะให้ความช่วยเหลือด้านอาชีพและการพัฒนาทักษะให้กับบุคคลเหล่านี้ เพื่อให้พวกเขาสามารถกลับเข้าสู่สังคมได้โดยเร็วที่สุด

กรณีซินเจียงและปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้าย

คำถามที่สามเกี่ยวข้องกับ สถานการณ์ในซินเจียง ซึ่งถูกกล่าวถึงว่าเป็นประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนมานานหลายปี โดยมีรายงานเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิของชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ

สถานเอกอัครราชทูตจีนระบุว่า ตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา เขตปกครองตนเองซินเจียงเผชิญกับภัยคุกคามจากกลุ่มก่อการร้าย รวมถึงขบวนการอิสลามเตอร์กิสถานตะวันออก (ETIM) ซึ่งได้รับการขึ้นบัญชีเป็นกลุ่มก่อการร้ายโดยองค์การสหประชาชาติ ทางการจีนจึงดำเนินมาตรการรักษาความมั่นคงอย่างเข้มงวด ส่งผลให้ซินเจียงไม่มีเหตุการณ์ก่อการร้ายอีกเลยตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จากองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนและรัฐบาลบางประเทศให้ความเห็นว่า มาตรการของจีนอาจละเมิดสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพทางศาสนา โดยมีรายงานว่าผู้ที่ถูกส่งตัวกลับอาจเผชิญกับการควบคุมตัวโดยไม่มีการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม

การติดตามชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ถูกส่งตัวกลับในอนาคต

โฆษกสถานทูตจีนยืนยันว่า ทางการจีนยินดีต้อนรับเจ้าหน้าที่ไทยให้เดินทางไปตรวจสอบความเป็นอยู่ของบุคคลที่ถูกส่งตัวกลับ และให้ความมั่นใจว่าพวกเขาจะได้รับโอกาสในการสร้างชีวิตใหม่ในประเทศบ้านเกิดของตน

ข้อพิพาทระหว่างไทย จีน และองค์กรระหว่างประเทศ

รายงานจาก The New Humanitarian เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับบทบาทของ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ต่อสถานการณ์ของผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ในประเทศไทยที่ถูกควบคุมตัวเป็นเวลานานกว่าสิบปี โดยมีข้อกล่าวหาว่า UNHCR ปฏิเสธที่จะเข้ามามีบทบาทช่วยเหลือ เนื่องจากแรงกดดันจากจีน และความกังวลเกี่ยวกับการลดเงินสนับสนุนจากรัฐบาลจีน

ไทยกับการควบคุมตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์

เอกสารภายในของ UNHCR ที่ถูกเปิดเผยโดย The New Humanitarian ระบุว่า รัฐบาลไทยได้ควบคุมตัวชาวอุยกูร์ 48 คนมาตั้งแต่ปี 2014 โดยไม่มีข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการ ในจำนวนนี้ 5 คนถูกลงโทษจำคุกจากความพยายามหลบหนีในปี 2020 ส่วนที่เหลือ 43 คนถูกควบคุมตัวในศูนย์กักตัวคนต่างด้าวในกรุงเทพฯ โดยถูกตัดขาดจากการติดต่อกับครอบครัว ทนายความ และกลุ่มสิทธิมนุษยชน

UNHCR กับการปฏิเสธบทบาทในการช่วยเหลือ

The New Humanitarian รายงานว่า รัฐบาลไทยได้พยายามขอความร่วมมือจาก UNHCR ตั้งแต่ปี 2015 ให้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่ถูกกักตัวในไทย แต่ถูกปฏิเสธ สาเหตุหนึ่งมาจากความกังวลว่า จีนอาจลดเงินสนับสนุนต่อ UNHCR หากมีการดำเนินการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์มากเกินไป

บาบาร์ บาลอช โฆษกของ UNHCR ให้สัมภาษณ์ว่า UNHCR ได้หยิบยกประเด็นนี้พูดคุยกับรัฐบาลไทย แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงผู้ลี้ภัยหรือดำเนินการช่วยเหลือโดยตรง นอกจากนี้ เอกสารภายในของ UNHCR ยังระบุว่าหากมีการเข้าไปช่วยเหลือชาวอุยกูร์ในไทย อาจกระทบความสัมพันธ์กับจีนและการดำเนินงานในประเทศจีน

ผลกระทบของอิทธิพลจีนต่อ UNHCR

จากเอกสารภายในของ UNHCR ระบุว่า มีความเสี่ยงที่จีนจะลดเงินสนับสนุนให้กับ UNHCR ซึ่งครอบคลุมถึงโครงการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในหลายประเทศ และอาจส่งผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่ UNHCR ที่ทำงานอยู่ในจีน

ฟิล โรเบิร์ตสัน รองผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียของ ฮิวแมนไรท์วอตช์ (Human Rights Watch – HRW) ให้ความเห็นว่า UNHCR ล้มเหลวในการปกป้องผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ เนื่องจากกลัวการตอบโต้จากจีน เขายังระบุว่า รัฐบาลไทยเองพยายามให้ UNHCR มีบทบาทมากขึ้น แต่ UNHCR กลับเลือกที่จะถอยห่างออกจากประเด็นนี้

ข้อกังวลเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน

นักวิเคราะห์ด้านสิทธิมนุษยชนมองว่าการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนอาจ ละเมิดหลักการไม่ส่งกลับ (Non-Refoulement) ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของกฎหมายผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ ที่กำหนดให้ ห้ามส่งตัวบุคคลกลับไปยังประเทศที่เขาอาจเผชิญกับอันตรายหรือการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ข้อคิดเห็นจากสองมุมมอง

  • ฝ่ายที่สนับสนุนการส่งตัวกลับ: เห็นว่าการดำเนินการของไทยเป็นไปตามหลักกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศ นอกจากนี้ จีนเองมีระบบกฎหมายที่เข้มแข็งในการปกป้องสิทธิของพลเมืองตนเอง
  • ฝ่ายที่คัดค้านและแสดงความกังวล: มีข้อกังวลเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะในกรณีของชนกลุ่มน้อยในซินเจียง ที่อาจไม่ได้รับความเป็นธรรมเมื่อต้องกลับไปอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลจีน

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

จากข้อมูลของ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแห่งประเทศไทยและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน พบว่า:

  • ในปี 2567 ประเทศไทยส่งตัวชาวต่างชาติที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายมากกว่า 15,000 คน
  • ประเทศใหญ่บางประเทศมีการส่งตัวบุคคลที่เข้าเมืองผิดกฎหมายกลับประเทศต้นทางมากกว่า 270,000 คน
  • องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนรายงานว่ามีชาวอุยกูร์ประมาณ 1 ล้านคนที่ถูกควบคุมตัวในศูนย์กักกันในซินเจียง
  • รัฐบาลจีนรายงานว่ารายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชาชนในซินเจียงเพิ่มขึ้น 6.7% ในปี 2567

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแห่งประเทศไทย / กระทรวงการต่างประเทศจีน / องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ / The New Humanitarian

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

จับ 9 จีน สแกมเมอร์ ใช้ AI หลอกลงทุน คริปโทฯ สหรัฐฯ

เชียงรายจับ 9 ชาวจีน ตั้งฐานสแกมเมอร์ ใช้ AI หลอกเหยื่อสหรัฐลงทุนคริปโทฯ

ตำรวจภาค 5 บุกทลายขบวนการ Hybrid Scam

เชียงราย, 28 กุมภาพันธ์ 2568 – เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.ภ.5 ร่วมกับ ตม.5 นำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านพักแห่งหนึ่งในหมู่ 15 ต.บ้านดู่ อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย ก่อนทำการจับกุม เครือข่ายสแกมเมอร์ชาวจีนจำนวน 9 คน ที่ใช้เทคโนโลยี AI และ ChatGPT ในการหลอกลวงนักลงทุนต่างชาติให้ร่วมลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี่

แผนการหลอกลวง: ใช้ AI สร้างโปรไฟล์ปลอม

ขบวนการนี้ใช้วิธี สร้างแอคเคาต์สื่อสังคมออนไลน์ปลอม โดยใช้โปรไฟล์ที่ดูดี สร้างความน่าเชื่อถือ แล้วเลือกเหยื่อจากสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ก่อนจะตีสนิทผ่านแชต AI และหลอกให้โอนเงินเพื่อร่วมลงทุนในคริปโทฯ ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลในต่างประเทศ

รายชื่อผู้ต้องหาชาวจีนที่ถูกจับกุม

  1. Mr.Cao TaiQing อายุ 32 ปี ไม่มีหนังสือเดินทางตัวจริง พบภาพหนังสือเดินทางในมือถือ
  2. Mr.Tu Xing อายุ 29 ปี ไม่มีหนังสือเดินทาง และไม่มีหลักฐานตัวตน
  3. Mr.Yi Xiu อายุ 30 ปี ไม่มีหนังสือเดินทาง และไม่มีหลักฐานตัวตน
  4. Mr.Duan Guang Shun อายุ 21 ปี มีหนังสือเดินทางตัวจริง วีซ่านักศึกษาหมดอายุ 20 ส.ค. 2568
  5. Mr.Li Jiawei อายุ 22 ปี มีหนังสือเดินทางตัวจริง วีซ่านักศึกษาหมดอายุ 20 ส.ค. 2568
  6. Mr.Yang Lianwei อายุ 24 ปี มีหนังสือเดินทางตัวจริง วีซ่านักศึกษาหมดอายุ 20 ส.ค. 2568
  7. Mr.Cheng Yue อายุ 20 ปี ไม่มีหนังสือเดินทางตัวจริง พบภาพหนังสือเดินทางในมือถือ
  8. Mr.Jrang Kai Hang อายุ 32 ปี ไม่มีหนังสือเดินทางตัวจริง พบภาพหนังสือเดินทางในมือถือ
  9. Mr.Huang RangXin อายุ 26 ปี ไม่มีหนังสือเดินทางตัวจริง พบภาพหนังสือเดินทางในมือถือ

นอกจากนี้ยังสามารถจับกุม ผู้ร่วมขบวนการชาวไทย 1 คน ได้แก่ น.ส.อรทัย (สงวนนามสกุล) อายุ 21 ปี ซึ่งเป็นภรรยาของ Mr.Cao TaiQing

ตรวจยึดของกลางมูลค่าสูง

เจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึด คอมพิวเตอร์จำนวน 14 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 81 เครื่อง พร้อมอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหลายรายการ ซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงเหยื่อ

ข้อหาทางกฎหมายและการดำเนินคดี

เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งหมดถูกแจ้งข้อหาในความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และ พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พร้อมนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สถิติและผลกระทบของอาชญากรรมทางไซเบอร์

จากข้อมูลของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าในปี 2567 คดีสแกมเมอร์และอาชญากรรมทางไซเบอร์เพิ่มขึ้นกว่า 200% โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับ การใช้ AI ในการหลอกลวง ซึ่งทำให้ประชาชนทั่วโลกเสียหายเป็นจำนวนมหาศาล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองบังคับการสืบสวนภูธรภาค 5 ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีตำรวจภูธรภาค 5

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

แฉแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เมียนมาซัด แกนนำกบดานไทย จีนเดินเกมหนัก

กวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์! จีน-เมียนมาประสานงาน ไทยมีเอี่ยว?

เนปีดอว์ เมียนมา, 16 กุมภาพันธ์ 2568  – กระทรวงมหาดไทยของเมียนมา นำโดย พลโท ทุน ทุน หน่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้หารือร่วมกับ H.E. Ms. Ma Jia เอกอัครราชทูตจีนประจำเมียนมา และ นายหลิว จงอี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ณ กรุงเนปีดอว์ เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือพลเมืองจีนที่ประสบปัญหาในเมียนมา

จีน-เมียนมา ผนึกกำลังกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์

การประชุมครั้งนี้ให้ความสำคัญกับปัญหาการฉ้อโกงออนไลน์และการพนันออนไลน์ ซึ่งเกิดขึ้นในเขตเมือง เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นแหล่งกบดานของขบวนการคอลเซ็นเตอร์และเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งสองฝ่ายได้หารือแนวทางป้องกันและปราบปราม รวมถึงการช่วยเหลือชาวจีนที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการดังกล่าว นอกจากนี้ ในเขตเมือง ไหย รัฐฉานตอนเหนือ มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงออนไลน์และการพนันออนไลน์ ซึ่งบางส่วนเป็นบุคคลที่ทางการจีนต้องการตัว

แกนนำแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังลอยนวลในไทย

แหล่งข่าวจากเมียนมาเปิดเผยว่า แม้การกวาดล้างจะเดินหน้าเต็มที่ แต่แกนนำระดับสูงของขบวนการคอลเซ็นเตอร์ยังคงหลบซ่อนอยู่ในประเทศไทย โดย นายหม่องชิต ตู่ หัวหน้า BGF กะเหรี่ยงของเมียนมา เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่าง จีน-เมียนมา-ไทย เพื่อขจัดปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติให้สิ้นซาก

จีนเสนอประชุม 3 ชาติ ปราบปรามอาชญากรรมข้ามแดน

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ จีนเสนอให้มีการประชุมระดับสูง ระหว่าง จีน เมียนมา และไทย โดยเน้นความร่วมมือด้านข่าวกรอง การจับกุมผู้ต้องหา และการส่งตัวข้ามแดน การประชุมดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากเมียนมาเข้าร่วม ได้แก่ พลโท ทุน ทุน หน่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, อู ข่าย ทุน อู ปลัดกระทรวงมหาดไทย, พลตำรวจตรี วิน ซอ โม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งสองประเทศ

ทางการไทยจะตอบสนองอย่างไร?

ขณะที่จีนและเมียนมาเดินหน้าเต็มที่ในการกวาดล้างขบวนการคอลเซ็นเตอร์ คำถามสำคัญคือ รัฐบาลไทยจะมีท่าทีอย่างไร ต่อการดำเนินการกับผู้ต้องหาที่เมียนมาอ้างว่ายังซ่อนตัวอยู่ในไทย ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ สื่อเมียนมาเปิดเผยหลักฐานว่านายทุนจีนบางรายที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้รับการคุ้มกันโดยกองกำลังพิเศษ เพื่อเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนระหว่างไทยและเมียนมา

ส่งตัวชาวจีนกลับประเทศ – กวาดล้างอาชญากรรมข้ามชาติ

นายหลิว จงอี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน ได้หารือเกี่ยวกับ ขั้นตอนการส่งตัวชาวจีน ซึ่งปัจจุบันทางการเมียนมาได้รวบรวมรายชื่อชาวจีนที่พำนักในเมือง ชเวก๊กโก่ และเตรียมส่งตัวผ่านประเทศไทย ซึ่งกลุ่มนี้ประกอบไปด้วยทั้ง เหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ล่าสุดจากปฏิบัติการของกองกำลังทหาร BGF เมียนมา ในการตรวจค้นอาคารต่าง ๆ ในเมืองชเวก๊กโก่ สามารถรวบรวมชาวจีนได้ ประมาณ 1,000 คน โดยกว่าครึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยที่ทางการจีนต้องการตัว

จีนเตรียมลำเลียงชาวจีนกลับประเทศทางแม่สอด

นายหลิว จงอี้ ได้ตรวจสอบกระบวนการส่งตัวอย่างใกล้ชิด และยืนยันว่า ทางการจีนจะใช้วิธีการเดิมที่เคยใช้เมื่อปี 2567 โดยจะส่งเครื่องบินมารับผู้ต้องสงสัยที่ท่าอากาศยานแม่สอด และทยอยลำเลียงกลับประเทศจีน คาดว่า สามารถส่งตัวได้สูงสุด 500 คนต่อวัน

บทสรุป

การหารือระหว่างเมียนมาและจีนเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการ กวาดล้างขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ ที่ใช้เมียนมาเป็นฐานปฏิบัติการ ขณะที่ทางการเมียนมายืนยันว่ามี แกนนำบางส่วนยังซ่อนตัวในประเทศไทย ทำให้เกิดคำถามถึงท่าทีของรัฐบาลไทยในเรื่องนี้ การประชุมระดับสูงของ จีน-เมียนมา-ไทย ที่กำลังจะมีขึ้น อาจเป็นก้าวสำคัญในการเร่งรัดการจับกุมและส่งตัวผู้ต้องหาข้ามแดน เพื่อยุติอาชญากรรมข้ามชาติที่สร้างความเสียหายต่อทั้งภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

“ขนส่งศูนย์เหรียญ” จีนตั้งคลังส่งสินค้า พร้อมรถสิบล้อของจีนโผล่ในไทย

 

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2567 นายทองอยู่ คงขันธ์ ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย (คนใหม่) เปิดเผยว่า สหพันธ์ฯ กำลังประสานขอเข้าพบนาย สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อหาแนวทางรับมือทุนจีน เข้ามาตั้งคลังส่งสินค้า แล้วเปิดกิจการขนส่งเองอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีการนำเข้ารถบรรทุกจากจีนเข้ามาใช้งานเอง ส่งผลให้การจ้างงานผู้ประกอบการขนส่งไทยลดน้อยลง

โดยเฉพาะหลังการเปิดเสรีการค้าอาเซียน-จีน ทำให้สินค้าจีนทะลักเข้าไทยเป็นจำนวนมาก โดยสินค้าเหล่านั้นมีการใช้รถขนส่งสินค้าของจีนเกือบทั้งหมดผ่านบริษัทนอมินี ซึ่งปัจจุบันประเมินว่า มีสัดส่วนราว 1% ของจำนวนรถบรรทุกในไทย หรือ ราว ๆ 10,000 คัน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เฉลี่ยปีละ 10,000 คัน ซึ่งหากมีการดัมพ์ราคาขนส่งด้วย จะทำให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันไม่ได้ ซึ่งหากไม่เตรียมตัว หรือ มีมาตรการรับ มือที่ดีพอ จะทำให้ผู้ประกอบการไทยอยู่ไม่ได้
นอกจากนี้ จะมีการพูดคุยเรื่องการเยียวยากลุ่มรถป้ายเหลืองขนส่งสาธารณะ ที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดีเซลที่แพงขึ้นด้วย ซึ่งจะขอเข้าหารือกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานด้วย เพื่อขอความชัดเจนเกี่ยวกับโครงสร้างพลังงานทั้งระบบ และการดูแลราคาน้ำมันดีเซลที่ขึ้นมาถึง 33 บาทต่อลิตรกระทบรถบรรทุกจนต้องหยุดวิ่งไปแล้วกว่า 50% ก่อนพิจารณแนวทางกการเคลื่อนไหวของคาราวานม็อบรถบรรทุกในเร็วๆ นี้
 

โดยในที่ประชุมสหพันธ์การขนส่งมีมติ ยังไม่ขึ้นราคาค่าขนส่งเพิ่มจากเดิมที่เคยขึ้น 3-9% ก่อนหน้านี้ และจะยังไม่มีการเคลื่อนไหวของคาราวานม็อบรถบรรทุกเร็วๆ นี้เช่นกัน แต่จะมีการเคาะ 2 แนวทาง ดังนี้

1.สหพันธ์การขนส่งจะขอเข้าพบ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยคาดว่าจะเป็นช่วงต้นเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อหารือรายละเอียดว่าทางกระทรวงพลังงานจะทำอย่างไรต่อไปกับโครงสร้างพลังงานทั้งระบบ โดยเฉพาะการเดินโครงสร้างแก้ไขข้อกฎหมายต่างๆ รวมถึงทางสหพันธ์การขนส่งต้องการไปให้กำลังใจนายพีรพันธุ์ด้วย

2.สหพันธ์การขนส่งเตรียมขอเข้าพบหารือกับ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อหาหาแนวทางร่วมกันว่าทางกระทรวงคมนาคมจะมีแนวทางอย่างไรที่จะช่วยสหพันธ์การขนส่งในการเยียวยากลุ่มรถป้ายทะเบียนสีเหลืองขนส่งสาธารณะที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดีเซลที่แพงขึ้นได้บ้าง ซึ่งคาดว่าจะขอเข้าพบกลางเดือนสิงหาคมนี้

นายทองอยู่กล่าวว่า สถานการณ์ของการวิ่งรถบรรทุกของสมาชิกสหพันธ์การขนส่งนั้น ปัจจุบันภาพรวมค่อนข้างซบเซา รถบรรทุกเกือบ 50% ของสมาชิกต้องจอด ด้วยสาเหตุจากผลกระทบจากราคาน้ำมันดีเซลที่แพงขึ้น งานจ้างขนส่งลดลง และหลังจากมีการปรับค่าขนส่งขึ้น 3-9% ส่งผลให้ผู้ประกอบการบางรายสู้ไม่ไหว ขอยุติการเดินรถ

“หนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้กิจการรถบรรทุกไทยซบเซาคือ การเข้ามาของพลอตฟอร์มต่างชาติที่เข้ามาตั้งคลังส่งสินค้าเอง เช่น ผู้ประกอบการชาวจีน ที่เปิดกิจการขนส่งอย่างเต็มรูปแบบ รวมทั้งนำเข้ารถบรรทุกจากต่างประเทศเข้ามาใช้งานเอง จึงส่งผลทำให้การจ้างผู้ประกอบการขนส่งรถบรรทุกในไทยลดน้อยลง” นายทองอยู่กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News