
“น้ำกกปนเปื้อนตะกั่ว” ลุกลาม 18 หมู่บ้าน กปภ.ทุ่ม 2 พันล้านย้ายแหล่งน้ำดิบ—ตั้งคำถามย้ายไปใช้น้ำโขง ปลอดภัยจริงหรือไม่? จังหวัดเร่งวางแผนสำรอง–ชุมชนท่องเที่ยวต้นน้ำขาดทุนทะลุล้าน
เชียงราย, 12 ตุลาคม 2568 — วิกฤตคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำกกขยับจาก “สัญญาณเตือน” สู่ “ภาวะต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด” เมื่อ ผลตรวจของกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันการพบ สารตะกั่วเกินค่ามาตรฐาน ใน ประปาหมู่บ้าน 18 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ อำเภอเมือง เวียงชัย เวียงเชียงรุ้ง แม่จัน ดอยหลวง และเชียงแสน ขณะที่ การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ประกาศแผนแก้ปัญหาระยะยาว วงเงินรวมกว่า 2,000 ล้านบาท เพื่อ “ย้ายแหล่งน้ำดิบ” ออกจากพื้นที่เสี่ยง โดยโครงการหลักแบ่งเป็น สายแม่สาย (ย้ายไปใช้น้ำดิบจากแม่น้ำโขง ผลิตน้ำที่ อ.เชียงแสน งบประมาณ 916 ล้านบาท คาดเสร็จปี 2570) และ สายเชียงราย (เปลี่ยนไปใช้น้ำจากโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่ลาว งบประมาณที่เตรียมเสนอ 1,000 ล้านบาท ในปีงบฯ 2571)
อย่างไรก็ดี การตัดสินใจ “ย้ายไปใช้น้ำโขง” จุดกระแสคำถามตามมา เนื่องจาก ข้อมูลคุณภาพน้ำบางช่วงจากกรมควบคุมมลพิษและคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) เคยชี้ถึงการพบ โลหะหนักเกินมาตรฐาน บางตัวในแม่น้ำโขง “ต่อเนื่องในบางช่วงเวลา” ส่งผลให้ภาคประชาชน–ผู้ประกอบการ–ชุมชนริมโขงกังวลว่า การเปลี่ยนแหล่งน้ำ อาจ “ย้ายปัญหา” มากกว่าจะ “ยุติปัญหา” ทว่า ฝ่ายจังหวัด โดย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ย้ำว่า มีแผนสำรอง โดยเตรียม ต่อท่อสู่น้ำดิบจากแม่น้ำคำ ซึ่ง กรมชลประทาน ได้งบประมาณก่อสร้าง อ่างเก็บน้ำใหม่ แล้ว และเมื่อโครงการของ กปภ. เชื่อมต่อน้ำดิบจากแหล่งใหม่เสร็จ จะสามารถ ขยายพื้นที่บริการ ให้ครอบคลุมชุมชนตามแนวท่อส่งน้ำได้ทันที
ข้อมูลทางสถิติและคุณภาพน้ำ
- ผลการตรวจพบสารตะกั่วเกินมาตรฐาน: 18 หมู่บ้าน (ตุลาคม 2568)
- แนวโน้มการเพิ่มขึ้น: มิถุนายน 2568 = 4 หมู่บ้าน → กรกฎาคม 2568 = 6 หมู่บ้าน → ตุลาคม 2568 = 18 หมู่บ้าน
- ความเสียหายทางเศรษฐกิจ (ผู้ประกอบการ 10 ราย): สูญเสีย 1,006,090 บาท (ปี 2568)
- จำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุดในช่วงสงกรานต์: 12,000 คนต่อวัน
- งบประมาณโครงการแก้ไข: 2,000 ล้านบาท (2 โครงการ)
ชีวิตที่ถูกคร่าด้วยสารตะกั่ว วิกฤตน้ำประปา 18 หมู่บ้านเชียงราย ต้นเหตุปัญหาและการเปิดเผยครั้งแรก
เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 สถานการณ์มลพิษในแม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย ได้ถูกแสงสว่างเปิดเผยต่อสาธารณชน หลังจากนายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน ได้โพสต์ข้อมูลผลการตรวจน้ำประปาหมู่บ้านริมแม่น้ำกกที่ดำเนินการโดยกระทรวงสาธารณสุข ผลการตรวจพบว่าน้ำประปา 18 หมู่บ้านมีสารตะกั่วเกินค่ามาตรฐาน ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่กลายเป็นระเนาะระนาดในวงการสาธารณะ
ความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่นี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย สารตะกั่วที่ปะปนอยู่ในน้ำที่ผู้คนใช้ในกิจกรรมประจำวันของพวกเขา เช่น การแปรงฟัน ล้างหน้า และล้างอาหาร ถือเป็นภัยอนัตรายต่อระบบประสาท ระบบหลอดเลือด และระบบภูมิคุ้มกันของรางกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กๆ ที่ความเสี่ยงต่อการสะสมสารตะกั่วในร่างกายจะสูงกว่ามากเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่
หมู่บ้านที่ประสบปัญหาครอบคลุมเขตพื้นที่กว้างใหญ่ที่สำคัญของจังหวัดเชียงราย รวมถึง หมู่ 2, 3, 4 ตำบลแม่ยาว และหมู่ 3, 4 ตำบลดอยฮาง ในอำเภอเมือง ตลอดจนหมู่บ้านในตำบลรอบเวียง ตำบลเวียงเหนือ ตำบลดงมหาวัน ตำบลท่าข้าวเปลือก ตำบลหนองป่าก่อ และตำบลศรีดอนมูล ที่ท่ืดเดินเข้าไปในอำเภออื่นๆ เช่น เวียงชัย เวียงเชียงรุ้ง แม่จัน ดอยหลวง และเชียงแสน

ความร้ายแรงที่เพิ่มขึ้นทีละเดือน สัญญาณเตือนที่ไม่ได้ยินสะท้อน
สิ่งที่น่าวิตกกังวลยิ่งกว่านั้น คือการที่จำนวนหมู่บ้านที่พบปัญหาสารตะกั่วเกินมาตรฐานไม่ได้หยุดนิ่ง แต่กลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกเดือน ในเดือนมิถุนายน 2568 มีเพียง 4 หมู่บ้านที่มีค่าสารตะกั่วเกินมาตรฐาน แต่ถึงเดือนกรกฎาคมของปีเดียวกัน ตัวเลขนี้ได้ทวีเท่าตัวเป็น 6 หมู่บ้าน และเมื่อถึงเดือนตุลาคม จำนวนนี้ได้พุ่งขึ้นไปถึง 18 หมู่บ้าน
แนวโน้มการเพิ่มขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปของปัญหานี้สะท้อนให้เห็นถึงความลึกซึ้งของสถานการณ์ที่มีอยู่ภายใต้พื้นผิว มันไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด แต่เป็นปัญหาที่ค่อยๆ ก้าวหน้าไปโดยระบบสาธารณสุขและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องดูเหมือนจะกำลังสวมหน้ากากว่า “ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี”
นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ โจมตีการไม่ทำหน้าที่ของภาครัฐว่า “รัฐมนตรีและหลายหน่วยงาน พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า น้ำกกไม่ปนเปื้อนและสารหนูต่ำกว่ามาตรฐานแล้ว ตรวจไม่พบสารหนูแล้ว โดยคำพูดเหล่านี้สะท้อนถึงความไม่ใส่ใจในปัญหาอย่างชัดเจน” เขาเน้นว่าประชาชนในพื้นที่กำลังใช้น้ำเป็นพิษในการแปรงฟัน ล้างหน้า ล้างผัก ล้างอาหารและภาชนะที่จะใช้รับประทาน โดยที่ภาครัฐไม่ทำอะไรเลย ทั้งๆ ที่ผลตรวจก็กองวางอยู่ตรงหน้า
แผนแก้ไขระยะยาวของ กปภ. ทุ่ม 2 พันล้านบาท ย้ายแหล่งน้ำดิบ
การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ได้ตอบสนองต่อวิกฤตการณ์นี้ด้วยแผนการแก้ไขปัญหาอย่างกว้างขวาง โดยนายจักรพงศ์ คำจันทร์ ผู้ว่าการ กปภ. เปิดเผยว่า องค์กรได้วางแผนลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาทในสองโครงการหลักเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำดิบปนเปื้อนในระยะยาว
โครงการที่หนึ่ง กปภ. สาขาแม่สาย
กปภ. สาขาแม่สายได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างสถานีผลิตน้ำประปาแห่งใหม่ที่อำเภอเชียงแสน ด้วยงบประมาณลงทุน 916.094 ล้านบาท โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนของแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก โดยการเปลี่ยนมาใช้น้ำดิบจากแม่น้ำโขงแทน ปัจจุบัน สถานีผลิตน้ำแห่งใหม่นี้คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2570 (พ.ศ. 2570) และจะส่งน้ำประปาไปยังอำเภอแม่จัน อำเภอห้วยไคร้ และอำเภอแม่สาย ซึ่งจะสามารถให้บริการประชาชนได้เพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำในปัจจุบันและรองรับการขยายตัวของชุมชนในอนาคต
โครงการที่สอง กปภ. สาขาเชียงราย
สำหรับ กปภ. สาขาเชียงราย ซึ่งปัจจุบันใช้น้ำดิบจากแม่น้ำกก องค์กรได้ตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้แหล่งน้ำใหม่เพื่อลดความเสี่ยง โดยการประสานกับกรมชลประทานเพื่อขอใช้น้ำจากโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่ลาว ที่ตั้งอยู่ในอำเภอแม่ลาว โครงการนี้จะมีการก่อสร้างสถานีผลิตน้ำแห่งใหม่เพื่อส่งน้ำประปามายังตัวเมืองเชียงราย และคาดว่าจะใช้งบประมาณลงทุนราว 1,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างขออนุมัติจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาล โดยคาดหวังว่าจะเสนองบประมาณในปีงบประมาณ 2571
ข้อกังวลใหม่ แม่น้ำโขงเป็นแหล่งน้ำที่แท้จริงหรือ?
อย่างไรก็ตาม แนวทางการแก้ไขของ กปภ. กลับเพิ่งเกิดวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย เพราะผลการตรวจคุณภาพน้ำของกรมควบคุมมลพิษและคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ได้พบว่าแม่น้ำโขง ซึ่งจะกลายเป็นแหล่งน้ำดิบใหม่ของ กปภ. นั้น ก็มีสารโลหะหนักปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานมาอย่างต่อเนื่อง
ความขัดแย้งนี้เปิดเผยให้เห็นถึงปัญหาที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า มลพิษในแม่น้ำกดมิใช่เพียงปัญหาในท้องถิ่น แต่เป็นอาการของวิกฤตน้ำในวงกว้างที่ขยายทั่วพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง ปัญหาการปนเปื้อนของสารโลหะหนักเกินมาตรฐานในแม่น้ำโขงนั้นมีพื้นฐานมาจากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นจากเหมืองในประเทศพม่า ที่อยู่เหนือขึ้นไปในแม่น้ำโขง หรือจากกิจกรรมอื่นๆ ในลุ่มแม่น้ำ
แผนสำรองและแนวทางการป้องกันของจังหวัด
นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เข้ามาชี้แจงเรื่องการปนเปื้อนในแม่น้ำโขงว่า กปภ. ได้เตรียมแผนสำรองไว้แล้ว โดยจะมีการต่อท่อไปยังแหล่งน้ำดิบในแม่น้ำคำ ซึ่งกรมชลประทานได้รับการอนุมัติงบประมาณสำหรับสร้างอ่างเก็บน้ำแห่งใหม่แล้ว แม้ว่ากำหนดเวลาสิ้นสุดโครงการนี้ยังไม่ชัดเจน
สำหรับปัญหาการปนเปื้อนสารตะกั่วในน้ำประปาชุมชน (นอกพื้นที่บริการของ กปภ.) รองผู้ว่าราชการกล่าวว่าได้มอบหมายให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเข้าตรวจและเฝ้าระวังคุณภาพน้ำทุกเดือน และจะเข้าไปดูแลแก้ไขทันที นอกจากนี้ เมื่อโครงการเชื่อมต่อน้ำดิบจากแหล่งใหม่ของ กปภ. แล้วเสร็จ จะสามารถขยายพื้นที่บริการไปยังชุมชนต่างๆ ตามแนวท่อส่งน้ำได้ทันที
นายจักรพงษ์ ผู้ว่าการ กปภ. ยืนยันว่าแม้ว่าน้ำดิบจะมีสารปนเปื้อน แต่ กปภ. สามารถผลิตน้ำประปาและควบคุมคุณภาพน้ำเพื่อให้ประชาชนสามารถใช้อุปโภคบริโภคได้อย่างมั่นใจ โดยได้นำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการกำจัดสารปนเปื้อนและปรับปรุงคุณภาพน้ำ พร้อมทั้งมีการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างสม่ำเสมอ

วิกฤตเศรษฐกิจขนานไป ชุมชนท่าตอนพังยับ
นอกเหนือจากความเสี่ยงต่อสุขภาพ วิกฤตการณ์แม่น้ำกกได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจที่หนักหน่วงต่อชุมชนท้องถิ่นอย่างรุนแรง โดยเฉพาะบ้านแก่งทรายมูล ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่เคยเป็นตัวจุดโฟกัสของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ข้อมูลจากการสำรวจของมูลนิธิร่มโพธิ์ สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต และอาจารย์สืบสกุล กิจนุกร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เปิดเผยถึงระดับความเสียหายที่แท้จริง ในปี 2567 ผู้ประกอบการ 10 ราย ในชุมชนบ้านแก่งทรายมูล มีจำนวนซุ้มอาหารรวม 214 ซุ้ม ทำให้เกิดรายได้รวม 2,902,450 บาท หลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ (ค่าจ้างทำซุ้ม วัสดุอุปกรณ์ พนักงาน แม่ครัว ค่าเช่าสถานที่ ค่าซื้อของเข้าร้าน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ) จำนวน 2,109,432 บาท พวกเขายังคงมีกำไรถึง 947,000 บาท
แต่สถานการณ์พลิกแพลงอย่างมหาวิบัติเมื่อวิกฤตการณ์ปนเปื้อนในแม่น้ำกกเกิดขึ้น ในปี 2568 จำนวนซุ้มลดลงเหลือเพียง 170 ซุ้ม ต้นทุนรวมยังคงอยู่ที่ 1,120,090 บาท แต่รายได้จากการขายของลดลงโหรดน้อยเหลือแค่ 114,000 บาท ผลสุดท้าย ผู้ประกอบการเหล่านี้ประสบภาวะขาดทุนถึง 1,006,090 บาท ในปีเดียว
ตัวเลขนี้ยังเป็นเพียงตัวอย่างจากผู้ประกอบการ 10 รายในจุดเดียวเท่านั้น ถ้าคำนวณรวมทั้งพื้นที่อำเภอแม่อายที่มีจุดทำซุ้มอาหารเกือบ 4 จุด มีผู้ประกอบการไม่ต่ำกว่า 150 ราย มูลค่าความเสียหายที่รวบรวมได้นี้คิดเป็นเพียงร้อยละ 7 ของจำนวนผู้ประกอบการทั้งหมดในอำเภอแม่อาย สถานการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่า มูลค่าความเสียหายจริงนั้นสูงกว่าตัวเลขอย่างมาก

ทำลายห่วงโซ่เศรษฐกิจที่สร้างมาหลายสิบปี
บ้านแก่งทรายมูล เคยเป็นสถานที่ที่หลั่งไหลไปด้วยชีวิต โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเป็นจำนวนมหาศาล เพราะเสน่ห์ของธรรมชาติลำน้ำกกที่ร่มรื่นสวยงาม แง่งหิน และน้ำใสไหลเย็น ช่วงเทศกาลสงกรานต์ แม่น้ำกกจะกลายเป็นแหล่งรวมตัวของมนุษย์จากหลายพื้นที่ เคยมีนักท่องเที่ยวสูงสุดถึง 12,000 คนต่อวัน
ห่วงโซ่เศรษฐกิจของชุมชนที่สร้างขึ้นมาอย่างยาวนานตั้งแต่ทศวรรษ 2510 ครอบคลุมผู้คนหลากหลายกลุ่ม ไม่เพียงแต่ผู้ประกอบการร้านอาหารและซุ้มอาหาร แต่ยังรวมถึงผู้ขายวัสดุทำซุ้ม แรงงาน พนักงานเสิร์ฟ แม่ครัว ผู้ค้าเล็กน้อย แม่ค้าเร่ และแม่นายจ้างที่บ้าน นอกจากนี้ยังมีเด็กนักเรียนที่ได้ประกอบอาชีพในหน้าซุ้มเป็นรายได้เสริมในช่วงวันหยุดเทศกาล
แต่ปัจจุบันนี้ ชาวบ้านไม่กล้าลงน้ำ ใช้น้ำ หรือหาปลาในแม่น้ำกก ความเสน่ห์ที่เคยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้หลั่งไหลเข้าสู่ท่าตอนหายไปเสีย นักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปเกือบทั้งหมด และภาพลักษณ์การท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงามของพื้นที่ก็หายไปพร้อมกัน
เสียงร้องขอความช่วยเหลือที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง
ปัญหาที่ผ่านเข้ามาแล้ว เหลือเพียงคำถามเดียวที่หลายผู้ประกอบการ หลายครอบครัวในชุมชนต่างหวังจะฟัง ใครจะเข้ามาช่วยเหลือ? ทางมูลนิธิร่มโพธิ์ และสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ร่วมกับอาจารย์สืบสกุล กิจนุกร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้กำลังดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างละเอียด
ห้องเรียนองค์กรเหล่านี้เตรียมยื่นเรื่องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เข้ามาพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน แต่จากเหตุการณ์ดังกล่าว เสียงเรียกร้องความเป็นธรรมและความช่วยเหลือเหล่านี้ยังคงอยู่ในห้องอพยพของการไม่ได้ยินในวงการราชการ
สถานการณ์น้ำประปา 18 หมู่บ้านปนเปื้อนสารตะกั่วในเชียงรายนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องเทคนิคเกี่ยวกับคุณภาพน้ำดิบ แต่เป็นปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของประชาชน ชุมชน และเศรษฐกิจท้องถิ่นที่กำลังทรุดโทรมอยู่ เราต้องรอดูว่าระบบราชการจะเดินหน้าหรือล่มสลายในการจัดการวิกฤตการณ์ที่ชีวิตของมนุษย์กำลังหันคว่ำ
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- กระทรวงสาธารณสุข (ผลการตรวจน้ำประปาหมู่บ้าน)
- การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) – แผนแก้ไขปัญหาระยะยาวและระยะเร่งด่วน
- สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
- กรมควบคุมมลพิษ (ผลการตรวจคุณภาพน้ำแม่น้ำโขง)
- คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC)
- กรมชลประทาน (โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่ลาว)
- สำนักราชการจังหวัดเชียงราย
- มูลนิธิร่มโพธิ์ (การสำรวจความเสียหายทางเศรษฐกิจ)
- สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต (การสำรวจความเสียหายทางเศรษฐกิจ)
- มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (ผ่านอาจารย์สืบสกุล กิจนุกร)
- นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชน จังหวัดเชียงใหม่ (ผู้เปิดเผยปัญหา)
- นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
- นายจักรพงศ์ คำจันทร์ ผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค