Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

มหากฐิน มหากุศล เชียงราย 2567 พลังศรัทธาไทย วัดแสงแก้วโพธิญาณ

พิธีทอดกฐินสามัคคี ประจำปี 2567 “มหากฐิน มหากุศล” ณ วัดแสงแก้วโพธิญาณ

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม 2567 เวลา 15.30 น. วัดแสงแก้วโพธิญาณ ตำบลเจดีย์หลวง อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ได้จัดพิธีทอดกฐินสามัคคีประจำปี พ.ศ. 2567 ภายใต้ชื่อ “มหากฐิน มหากุศล” โดยมีพระมหาสุบรรณ มหาคัมภีโร เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงและเจ้าคณะอำเภอแม่สรวย เป็นประธานในพิธีทอดกฐิน ส่วนพระภาวนารัตนญาณวิ (ครูบาอริยชาติ อริยจิตฺโต) เจ้าอาวาสวัดแสงแก้วโพธิญาณ เป็นผู้รับการถวายกฐิน โดยมีพุทธศาสนิกชน ศิษยานุศิษย์ และคณะศรัทธาที่นับถือวัดแสงแก้วโพธิญาณเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง สะท้อนถึงความศรัทธาอันลึกซึ้งในพระพุทธศาสนาและในประเพณีทอดกฐินสามัคคี

ความสำคัญของพิธีทอดกฐิน

การทอดกฐิน หรือการกรานกฐินเป็นหนึ่งในกิจกรรมทางพระวินัยที่พระภิกษุสงฆ์พึงกระทำร่วมกันภายในระยะเวลาที่กำหนดในแต่ละปี ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 การทอดกฐินมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญในการส่งเสริมความสามัคคีในหมู่คณะสงฆ์ รวมถึงการช่วยเหลือพระภิกษุที่มีจีวรชำรุดหรือขาดแคลนด้วย โดยการถวายผ้ากฐินนี้จะถูกจัดเป็นสังฆทาน กล่าวคือ การถวายแก่คณะสงฆ์ทั้งหมดโดยไม่เจาะจงแก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง เมื่อผ้ากฐินได้รับการถวาย พระภิกษุในวัดนั้น ๆ จะนำผ้ามาอุปโลกน์หรือการมอบให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งในคณะสงฆ์เพื่อใช้งาน ซึ่งการทอดกฐินของพุทธศาสนิกชนจึงถือว่าเป็นการทำบุญที่มีอานิสงส์สูง และเป็นประเพณีที่สำคัญของคนไทยในพุทธศาสนาอย่างยิ่ง

วัตถุประสงค์ของพิธีทอดกฐินสามัคคี

การทอดกฐินนอกจากจะเป็นการบำเพ็ญบุญส่วนตัวและร่วมบุญกับหมู่คณะแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมการประสานงานและการรวมพลังในชุมชน โดยผู้มาร่วมพิธีจะได้ร่วมกันบำเพ็ญบุญสร้างกุศลที่ช่วยสนับสนุนคณะสงฆ์ให้สามารถดำเนินกิจวัตรและปฏิบัติธรรมได้อย่างราบรื่น ในปีนี้การทอดกฐินสามัคคีจัดขึ้นภายใต้ชื่อ “มหากฐิน มหากุศล” ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของบุญกุศลอันใหญ่ยิ่งที่ผู้ร่วมงานทุกคนได้มีส่วนร่วมในการถวาย

บรรยากาศของพิธีและความศรัทธาของชุมชน

ภายในงานมีประชาชนจากหลายพื้นที่เดินทางมาร่วมพิธีอย่างหนาแน่น ทั้งชาวบ้านในอำเภอแม่สรวยและจังหวัดใกล้เคียงที่มีความศรัทธาในครูบาอริยชาติ อริยจิตฺโต เจ้าอาวาสวัดแสงแก้วโพธิญาณ ทำให้บรรยากาศของพิธีเป็นไปด้วยความสงบและศรัทธา โดยทุกคนที่มาร่วมงานต่างตั้งใจฟังการสวดมนต์และการเทศน์จากครูบาอริยชาติ ซึ่งท่านได้กล่าวถึงความสำคัญของการบำเพ็ญกุศลและการรักษาความสามัคคีในหมู่คณะ นอกจากนี้ท่านยังให้ข้อคิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอย่างสมถะและการบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น

การสนับสนุนจากหน่วยงานวัฒนธรรม

พิธีทอดกฐินสามัคคีครั้งนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานวัฒนธรรมของจังหวัดเชียงราย โดยนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้นางวนิดาพร ธิวงศ์ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม และนายสุพจน์ ทนทาน นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ เข้าร่วมพิธีถวายผ้ากฐินสามัคคีวัดแสงแก้วโพธิญาณในครั้งนี้อีกด้วย เพื่อเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมกิจกรรมทางศาสนาที่สำคัญของชุมชน การสนับสนุนของหน่วยงานเหล่านี้ช่วยเพิ่มคุณค่าทางวัฒนธรรมและศาสนาในชุมชน ทำให้ประเพณีการทอดกฐินยังคงดำรงอยู่และเติบโตไปอย่างต่อเนื่องในแต่ละปี

การอนุเคราะห์ภิกษุและการสนับสนุนคณะสงฆ์

การทอดกฐินยังมีส่วนสำคัญในการช่วยเหลือพระภิกษุที่ขาดแคลนหรือมีจีวรที่ชำรุด การถวายผ้ากฐินในแต่ละปีจะช่วยให้พระสงฆ์ที่ได้รับการอุปโลกน์สามารถนำจีวรไปใช้ในการประกอบกิจของสงฆ์ได้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ การสนับสนุนนี้ยังช่วยให้วัดสามารถบำรุงและซ่อมแซมอาคารสถานที่ของวัดและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในกิจการทางศาสนา ทำให้วัดแสงแก้วโพธิญาณและวัดอื่น ๆ ในชุมชนสามารถดำเนินการสอนธรรมะและปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างต่อเนื่อง

บทสรุป: บุญใหญ่ของชาวพุทธในวันทอดกฐินสามัคคี

พิธีทอดกฐินสามัคคี ณ วัดแสงแก้วโพธิญาณประจำปี 2567 นี้ เป็นอีกครั้งที่ชาวพุทธได้มีโอกาสบำเพ็ญบุญร่วมกันเพื่อสร้างกุศลอันยิ่งใหญ่ การทำบุญทอดกฐินไม่เพียงแต่เป็นการสนับสนุนคณะสงฆ์เท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความสามัคคีและความผูกพันในชุมชน รวมถึงการร่วมแรงร่วมใจกันทำบุญให้แก่คณะสงฆ์ ซึ่งเป็นการสืบสานประเพณีที่สืบทอดมาหลายยุคหลายสมัย อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่มีความตระหนักถึงคุณค่าของการทำบุญและการรักษาประเพณีวัฒนธรรมที่สำคัญของชาวพุทธไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สนง.วัฒนธรรม เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ส่งมอบพื้นที่ ‘เชียงราย’ ฟื้นฟู หลังน้ำลด ร่วมใจช่วยประชาชน

การส่งมอบพื้นที่ฟื้นฟูเชียงรายหลังอุทกภัย: ความช่วยเหลือจากกองทัพไทยเพื่อการฟื้นฟูสู่ระยะที่สอง

การฟื้นฟูเชียงรายหลังเหตุการณ์อุทกภัยใหญ่

ในวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมานายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เป็นประธานในพิธีส่งมอบพื้นที่ที่ได้รับการฟื้นฟูจากเหตุการณ์อุทกภัยให้กับหน่วยงานท้องถิ่น เพื่อดำเนินการฟื้นฟูระยะที่สองต่อไปที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

ความสำคัญของการฟื้นฟูระยะที่สอง

การฟื้นฟูในระยะที่สองนี้จะเน้นที่การซ่อมแซมและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้มีความแข็งแรง เพื่อเตรียมความพร้อมในอนาคตหากเกิดภัยพิบัติอีกครั้ง รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่หลังเหตุการณ์น้ำลด เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและความมั่นคงในพื้นที่เชียงราย

ภารกิจและการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน

การฟื้นฟูครั้งนี้ได้มีการสนับสนุนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ ซึ่งรวมถึงการจัดตั้งโรงครัวเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย การกู้บ้านเรือนและชุมชนที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงการทำความสะอาดเส้นทางคมนาคมให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติอย่างรวดเร็ว

กองทัพไทย: ผู้สนับสนุนการฟื้นฟูที่แข็งแกร่ง

บทบาทของกองทัพไทยในภารกิจนี้โดดเด่นอย่างยิ่ง ด้วยการสนับสนุนกำลังพล อุปกรณ์และความช่วยเหลืออย่างครบถ้วน การตักดินโคลนออกจากบ้านเรือน การทำความสะอาดถนน ตลอดจนการสร้างบ้านน็อคดาวน์เพื่อรองรับผู้ประสบภัยที่บ้านเสียหายอย่างหนัก

การฟื้นฟูและการส่งมอบที่เสร็จสมบูรณ์ 100%

ในพิธีส่งมอบพื้นที่ นายภูมิธรรม ได้มอบป้ายสัญลักษณ์ให้แก่นายกเทศมนตรีตำบลแม่สายและตำบลเวียงพางคำ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการฟื้นฟูที่สำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย โดยในครั้งนี้มีการช่วยฟื้นฟูบ้านเรือนจำนวน 819 หลังจากที่ได้รับผลกระทบ และครัวเรือนผู้ประสบภัยยังได้รับการสนับสนุนวัสดุและอุปกรณ์ต่างๆ เช่น จักรเย็บผ้า เก้าอี้ตัดผม เพื่อใช้ในการประกอบอาชีพ

การฟื้นฟูระยะที่สอง: การพัฒนาเชิงโครงสร้างและส่งเสริมการท่องเที่ยว

หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจฟื้นฟูในระยะแรก การฟื้นฟูระยะที่สองจะเน้นด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน และส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่เชียงราย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวกลับมาเยือนอีกครั้ง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่และสร้างงานให้กับประชาชนในระยะยาว

บทสรุป: ก้าวไปข้างหน้าเพื่ออนาคตที่มั่นคง

การช่วยเหลือและความเอื้อเฟื้อจากกองทัพไทยและทุกภาคส่วนในการฟื้นฟูครั้งนี้ เป็นสัญลักษณ์แห่งความสามัคคีที่ช่วยให้ชาวแม่สายได้กลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง พร้อมกันนี้รัฐบาลยังได้ยืนยันว่าภาครัฐจะไม่ทอดทิ้งผู้ประสบภัย โดยจะทำงานต่อไปเพื่อให้ชาวเชียงรายได้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ตำรวจเชียงรายทลายแก๊งอันธพาล ก่อเหตุป่วนเมืองเสียหาย

ตำรวจเชียงรายทลายแก๊งอันธพาล ก่อเหตุป่วนเมือง ทำร้ายทรัพย์สินและประชาชน

ทลายแก๊งวัยรุ่นอันธพาล ก่อเหตุรุนแรงกลางเชียงราย

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2567 ตำรวจจังหวัดเชียงรายทลายแก๊งอันธพาลที่ก่อเหตุรุนแรง โดยกลุ่มวัยรุ่นรวมตัวขับขี่รถจักรยานยนต์ไม่ต่ำกว่า 20 คัน ขับป่วนเมือง ทำลายทรัพย์สินและขว้างปาวัตถุเสียงดังบริเวณถนนพหลโยธิน ตั้งแต่แยกบ้านเด่นถึงทางเลี่ยงเมืองเชียงราย

เจ้าหน้าที่เร่งตรวจสอบและจับกุม หัวหน้าแก๊งวัยรุ่น

หลังเหตุเกิดที่หน้าโรงเรียนเม็งรายมหาราช เมื่อเวลา 00.45 น. วันที่ 24 ต.ค. พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผบก.ภ.จว.เชียงราย ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.อานันท์จักร์ กนกนพวัชร์ ผกก.สภ.บ้านดู่ และ พ.ต.ต.ณัฐวุฒิ แก้วสืบ สว.สส.สภ.บ้านดู่ เข้าติดตามกลุ่มผู้ก่อเหตุจนพบหัวหน้าแก๊ง นายเวฟ (นามสมมุติ) เยาวชนอายุ 15 ปี จากหมู่บ้านท่าสาย ต.ท่าสาย อ.เมือง จ.เชียงราย

ตรวจค้นอาวุธ อุปกรณ์อันตรายในบ้านพัก

ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจค้นบ้านพักที่มีการรวมตัวของกลุ่มวัยรุ่น พบอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ 1 กระบอก สนับมือ 1 อัน และมีดจำนวนมากซุกซ่อนอยู่ภายในบ้าน จึงควบคุมตัวนายเวฟและเพื่อนอีก 2 คน พร้อมของกลาง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

ตำรวจเชิญผู้ปกครองอบรมปรับทัศนคติ

ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญผู้ปกครองและกลุ่มวัยรุ่นที่ก่อเหตุเข้าร่วมการอบรมและปรับทัศนคติเพื่อป้องกันการกระทำผิดซ้ำ และทำประวัติ พร้อมกำชับให้ผู้ปกครองช่วยดูแลพฤติกรรมของเยาวชน

ความผิดทางกฎหมายที่กลุ่มวัยรุ่นเผชิญ

สำหรับความผิดที่พบในเบื้องต้น ได้แก่ การทำลายทรัพย์สิน ทำร้ายร่างกายผู้อื่น สร้างความรบกวนเสียงดังในที่สาธารณะ และพกพาอาวุธในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร นอกจากนี้ ยังผิดตามพระราชบัญญัติความสะอาด และพระราชบัญญัติจราจรทางบก โดยจะติดตามผู้เกี่ยวข้องมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

ประชาชนที่พบเห็นการกระทำผิดสามารถแจ้งตำรวจภูธรจังหวัดเชียงรายได้ที่สายด่วน 191

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ทุ่มงบ 12,000 ล้านบาท ให้เชียงราย ใช้ 5 ปี เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงลุ่มแม่น้ำโขง

ทุ่มงบ 12,000 ล้านบาท ให้เชียงราย ใช้ 5 ปี เป็นศุนย์กลางเชื่อมโยงลุ่มแม่น้ำโขง

การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ: เน้นจังหวัดเชียงรายและงบประมาณที่ได้รับการสนับสนุน

ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ : NEC

ประเทศไทยกำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายประการ ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ เช่น การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี การเข้าสู่สังคมสูงวัย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลง การลงทุนหดตัว การส่งออกลดลง ภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบรุนแรง นักท่องเที่ยวลดลง ธุรกิจต้องปิดกิจการเป็นจำนวนมาก เกิดวิกฤตการว่างงาน ปัจจัยสนับสนุนการพัฒนาในระบบเศรษฐกิจถดถอย

จากสถานการณ์ดังกล่าว ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ทั้งในระดับท้องถิ่น ภูมิภาค และระดับประเทศ โดยการนำแนวคิด BCG Model มาใช้เป็นกรอบการพัฒนา ซึ่งประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลักคือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว สอดรับกับกระแสความยั่งยืนของการพัฒนาเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน

โดยภาคเหนือ (NEC) เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยโมเดล BCG ด้วยจุดเด่นด้านทรัพยากรการท่องเที่ยว ทรัพยากรชีวภาพ และภูมิปัญญาท้องถิ่น การพัฒนา NEC ด้วยโมเดล BCG จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน จึงมีแนวคิดในการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (Northern Economic Corridor: NEC – Creative LANNA) ต่อยอดทุนทางวัฒนธรรม ซึ่งประกอบไปด้วย 4 จังหวัด ขับเคลื่อนด้วย 4 อุตสาหกรรมหลัก ดังนี้

  1. จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ ของภาคเหนือ
  2. จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีพื้นที่ที่ติดกับชายแดน ทำให้มีจุดเด่นด้านการค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้าน
  3. จังหวัดลำพูน ซึ่งเป็นแหล่งที่ตั้งของอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมส่งออก และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
  4. จังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงของการขนส่งระหว่างภาคกลางและภาคเหนือ

การพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ: โอกาสใหม่ของการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี การเข้าสู่สังคมสูงวัย หรือการระบาดของโรคโควิด-19 ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ อย่างไรก็ตาม การพัฒนา ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (Northern Economic Corridor: NEC) ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถกลับมาเติบโตทางเศรษฐกิจได้อีกครั้ง

วิสัยทัศน์ของระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ

การพัฒนา NEC มีเป้าหมายหลักในการยกระดับเศรษฐกิจภาคเหนือผ่านโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ซึ่งเน้นการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นและภูมิปัญญาชาวบ้านในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ โดยการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียวเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อน

การยกระดับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์

ภาคเหนือมีจุดเด่นด้าน อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ โดยเฉพาะในด้านวัฒนธรรมล้านนา การพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์จะช่วยยกระดับมูลค่าสินค้าและบริการในพื้นที่ รวมถึงเชื่อมโยงความเป็นล้านนากับสื่อดิจิทัล นอกจากนี้ NEC ยังมีการผลักดันให้เป็นศูนย์กลางการผลิตสร้างสรรค์ผ่านการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล

การพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร

อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร ถือเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจภาคเหนือ NEC มีแผนที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ให้มีความยั่งยืนมากขึ้นผ่านการประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ รวมถึงการสนับสนุนการเกษตรแบบยั่งยืนและเกษตรอัจฉริยะ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตรไทยในระดับโลก

การพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและสุขภาพ

ภาคเหนือมีศักยภาพทางการท่องเที่ยวและสุขภาพที่สูง ด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงามและเงียบสงบ NEC ได้วางแผนที่จะยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพให้มีมาตรฐานระดับโลก โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมกับนักท่องเที่ยวที่ต้องการการดูแลสุขภาพ

การยกระดับอุตสาหกรรมดิจิทัล

NEC มีการส่งเสริม อุตสาหกรรมดิจิทัล โดยเฉพาะในด้านการผลิตสื่อสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวอัจฉริยะ ภาคเหนือถูกวางให้เป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลที่จะดึงดูด Digital Nomads จากทั่วโลก อีกทั้งยังมีการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรและการท่องเที่ยว

เชียงราย: ประตูสู่ความเจริญทางเศรษฐกิจภาคเหนือ

จังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในจังหวัดหลักที่ถูกกำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (Northern Economic Corridor: NEC) ที่มีการพัฒนาตามแนวทางเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) เพื่อยกระดับศักยภาพด้านเศรษฐกิจในภูมิภาคผ่าน 4 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ อุตสาหกรรมเกษตร อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และอุตสาหกรรมดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดเชียงรายได้รับการสนับสนุนงบประมาณสำหรับโครงการสำคัญในพื้นที่

โครงการสำคัญในจังหวัดเชียงราย

หนึ่งในโครงการหลักที่ได้รับการผลักดันในจังหวัดเชียงรายคือโครงการ “Gateway to LMC (Lancang-Mekong Cooperation)” ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเชียงรายให้เป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกในกลุ่ม LMC โดยเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในด้านการค้า การขนส่ง และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม

การสนับสนุนงบประมาณในจังหวัดเชียงราย

จากข้อมูลที่ได้รับมา จังหวัดเชียงรายได้รับการจัดสรรงบประมาณผ่านกองทุนวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายของ NEC โดยงบประมาณเหล่านี้ถูกใช้ในการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก โครงสร้างพื้นฐาน และการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนตามกรอบ BCG Model

ประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

การพัฒนาจังหวัดเชียงรายภายใต้โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น และสร้างงานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนความยั่งยืนในระยะยาว ทั้งนี้ยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการลงทุนจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ

การบริหารจัดการในพื้นที่

การขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือในจังหวัดเชียงราย ดำเนินการผ่านการร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานในคณะทำงาน และใช้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีส่วนร่วมของหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมจังหวัด ซึ่งจะช่วยผลักดันการพัฒนาให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้

สรุป

โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ โดยเน้นจังหวัดเชียงราย เป็นโครงการที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการสนับสนุนงบประมาณและการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันในระดับภูมิภาคและระดับโลก เชียงรายจึงเป็นพื้นที่ที่ควรจับตามองในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย

 

การพัฒนา ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC) เป็นโอกาสสำคัญที่ประเทศไทยจะสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจผ่านการใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG โดยเฉพาะในด้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เกษตรและอาหาร ดิจิทัล และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งจะไม่เพียงแต่ช่วยกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น แต่ยังส่งเสริมความยั่งยืนในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติกู้ระบบประปาเชียงรายหลังน้ำท่วม

 

เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2567 ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) พร้อมคณะ ได้ลงพื้นที่ตรวจติดตามการปรับปรุงระบบจ่ายน้ำของการประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงราย เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วม ทำให้ไม่สามารถจ่ายน้ำให้กับประชาชนในพื้นที่ตั้งแต่เวลา 15.30 น. ของวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา โดยมี นายทวีศักดิ์​ สุขก้อน​ ผู้จัดการการประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงราย​ ได้รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการฟื้นฟูระบบประปา รวมถึงแผนการบริหารจัดการที่กำลังดำเนินอยู่

ดร.สุรสีห์ ได้กล่าวถึงความสำคัญของการฟื้นฟูระบบจ่ายน้ำ โดยได้กล่าวว่า หลังจากที่นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้ลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์น้ำที่จังหวัดเชียงรายเมื่อวันที่ผ่านมา ทางสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้ถูกมอบหมายให้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อเร่งกู้คืนระบบประปาให้กลับมาใช้งานได้อย่างรวดเร็ว โดยในการประชุมวานนี้ มีการขอความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน เช่น กรมทรัพยากรน้ำ กองทัพพัฒนาภาคที่ 3 กรมชลประทาน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรมทางหลวง เพื่อจัดหาเครื่องสูบน้ำเร่งระบายน้ำออกจากบ่อพักของการประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงราย ซึ่งทางกรมทางหลวงยังได้สนับสนุนรถน้ำเพื่อให้บริการน้ำสะอาดแก่โรงพยาบาลในพื้นที่จังหวัดเชียงรายเป็นการชั่วคราว

ในขณะนี้ทางการประปาส่วนภูมิภาคกำลังระดมกำลังเร่งฟื้นฟูระบบ โดยเฉพาะในส่วนของระบบไฟฟ้าที่จะทำให้ระบบปั๊มน้ำสามารถกลับมาทำงานได้ ดร.สุรสีห์ ได้คาดการณ์ว่าการจ่ายน้ำจะสามารถเริ่มได้ในช่วงเย็นของวันนี้ โดยเริ่มต้นที่พื้นที่ใกล้เคียงกับการประปาส่วนภูมิภาคเชียงรายก่อน อย่างไรก็ตาม สำหรับการจ่ายน้ำในพื้นที่เมืองเชียงรายทั้งหมด อาจต้องใช้เครื่องส่งน้ำที่มีกำลังสูง ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการเร่งติดตั้ง คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในคืนนี้หรืออย่างช้าในวันพรุ่งนี้ ทั้งนี้หากระบบส่งน้ำประปาพร้อมใช้งาน การประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงรายจะเร่งดำเนินการจ่ายน้ำให้กับประชาชนโดยเร็วที่สุด

สำหรับมาตรการที่ได้ดำเนินการในขณะนี้ การประปาส่วนภูมิภาคเชียงรายยังได้จัดส่งรถน้ำเคลื่อนที่ไปให้บริการน้ำสะอาดแก่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น ขณะเดียวกัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่อย่างใกล้ชิด โดยหากมีเหตุการณ์ใดๆ เพิ่มเติมหรือระบบส่งน้ำเกิดปัญหา การประปาจะเร่งดำเนินการแก้ไขทันที เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้น้ำประปาได้อย่างสะดวกและปลอดภัย

ด้านการประปาส่วนภูมิภาคยังได้แสดงความขอบคุณต่อความร่วมมือของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงชุมชนที่ให้ความร่วมมือในการอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วม โดยขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถรับทราบข้อมูลและเตรียมตัวได้ทันท่วงที

การฟื้นฟูระบบน้ำประปาในครั้งนี้ ถือเป็นภารกิจสำคัญในการดูแลชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย และเป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดจากเหตุอุทกภัยที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง

ทั้งนี้ หาก กปภ.เชียงราย ดำเนินการจ่ายน้ำแล้ว ถ้าพบเห็นท่อน้ำแตกในเขตอำเภอเมืองเชียงราย แจ้งได้ที่การประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงราย 053-711655

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News