Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

เมื่อกาลเวลาพาสุดสาย! รถเมล์สายเชียงราย-เชียงแสน ปิดฉากอาชีพ 5 รุ่นสู่รุ่น เหลือวิ่งเพียง 3 คันในปี 2569

ปิดตำนาน 50 ปี “รถเมล์หวานเย็น” เชียงราย-เชียงแสน เมื่อกฎหมายและกาลเวลาพามาถึง “สุดสาย” ของอาชีพ

เชียงราย, 31 ธันวาคม 2568 — เสียงเครื่องยนต์ที่คุ้นเคยกำลังจะเงียบลงในบ่ายวันสุดท้ายของปี 2568 ท่ามกลางคราบน้ำตาและความผูกพันของผู้โดยสารที่ผ่านมามากกว่าครึ่งศตวรรษ เมื่อรถเมล์สายเชียงราย-เชียงแสนวิ่งเที่ยวสุดท้ายเวลา 14.30 น. นับเป็นจุดจบของอาชีพที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น และเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำคนเชียงรายมาตั้งแต่ยุค “เมล์ขาว” จนกลายเป็น “เมล์เขียว” ในปัจจุบัน

กฎหมายใหม่ที่กำหนดให้รถโดยสารต้องมีอายุไม่เกิน 40 ปี กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้รถเมล์ในตำนานต้องปลดระวางถาวร โดยจาก 13 คันที่ยังให้บริการอยู่ มีถึง 10 คันที่ต้องหยุดวิ่ง เหลือเพียงรถสายสามเหลี่ยมทองคำอีก 3 คันที่จดทะเบียนใหม่กว่าเท่านั้นที่จะยังคงให้บริการต่อไปในปี 2569

จาก “พ่อเลี้ยง” สู่ความทรงจำสุดท้าย

คุณแต๋ม ทิพย์พิมล ชัยวงค์ เจ้าของรถเมล์เบอร์ 445 ย้อนเล่าถึงรากเหง้าของอาชีพที่สืบทอดมาจากพ่อ ว่า ในอดีตรถเมล์คือสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและโอกาสทางเศรษฐกิจ “สมัยพ่อทำอาชีพนี้ ใครมีรถเมล์จะถูกเรียกว่า ‘พ่อเลี้ยง’ เพราะสามารถสร้างเนื้อสร้างตัว ส่งลูกเรียน ซื้อบ้านซื้อที่ดินได้” คุณแต๋มเล่า ในช่วงที่พ่อของคุณแต๋มเริ่มประกอบอาชีพนี้ ยังเป็นยุคของ “เมล์ขาว” ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น “เมล์เขียว” ในภายหลัง ขณะนั้นรถเมล์คือพาหนะหลักเพียงหนึ่งเดียวของชาวบ้าน ทำให้ผู้ประกอบการสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมั่นคง และสร้างฐานะได้จริง

คุณแต๋มเข้ามาช่วยงานครอบครัวตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-2 และรับช่วงต่อจากพ่อ อย่างเต็มตัวเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่ผ่านมา “ตอนที่ผมเข้ามาสืบทอดประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว รถเมล์ยังขายกันในราคาสูงอยู่ เพราะยังถือว่าเป็นอาชีพที่พออยู่ได้” คุณแต๋มระบุ อย่างไรก็ตาม เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป ภูมิทัศน์การเดินทางก็เปลี่ยนตามไปด้วย ผู้โดยสารหันไปใช้รถส่วนตัวและรถตู้มากขึ้น ทำให้รายได้จากการรับส่งผู้โดยสารลดลงอย่างต่อเนื่อง จากจำนวนรถเมล์ที่เคยมีมากถึง 26 คันในอดีต ค่อยๆ ทยอยลดลงจนเหลือเพียง 13 คันก่อนการปิดตำนานในครั้งนี้

กฎหมาย 40 ปี จุดเปลี่ยนที่ยื้อต่อไม่ได้

แม้ผู้ประกอบการจะมีความตั้งใจที่จะวิ่งรถต่อไป แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อกระทรวงคมนาคมออกข้อบังคับใหม่ว่า รถโดยสารที่มีอายุมากกว่า 40 ปี จะไม่ได้รับการต่อทะเบียน

“เราไม่ได้ตัดสินใจเอง แต่เป็นเพราะกฎหมายที่ออกมาจากกระทรวงคมนาคม” คุณแต๋มอธิบาย “เราเป็นแค่ชาวบ้าน ไม่ได้ติดตามกฎหมายหรือทราบรายละเอียดที่ซับซ้อนเหล่านี้”

การรับรู้ถึงกฎหมายฉบับนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันในช่วงต้นปี 2568 เมื่อมีเจ้าของรถคันหนึ่งพยายามต่อทะเบียนในเดือนมีนาคม แต่เมื่อนำรถไปตรวจสภาพที่กรมการขนส่งทางบก ระบบคอมพิวเตอร์แจ้งว่าไม่สามารถต่อทะเบียนได้ เนื่องจากรถมีอายุเกินกว่า 40 ปี

“ตอนนั้นเพิ่งรู้เลยว่ามีกฎหมายแบบนี้” คุณแต๋มเล่า “แม้จะมีการยืดหยุ่นให้ถึง 50 ปีในบางกรณี แต่ทางกรมการขนส่งทางบกและบริษัทขนส่งก็ยึดถืออายุ 40 ปีเป็นหลัก”

รถเมล์ส่วนใหญ่ในสายเชียงราย-เชียงแสนจดทะเบียนมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2514-2515 บางคันรวมถึงรถของคุณแต๋มเองที่จดทะเบียนปี พ.ศ. 2521 ซึ่งตามการคำนวณถ้ายึดอายุ 50 ปี จะยังสามารถวิ่งได้อีก 2-3 ปี แต่เนื่องจากทางการยึดหลักอายุ 40 ปี จึงทำให้รถทั้ง 10 คันต้องหยุดให้บริการในเวลาเดียวกัน มีเพียงรถสายสามเหลี่ยมทองคำ 3 คันเท่านั้นที่รอดพ้น เนื่องจากเป็นรถที่จดทะเบียนใหม่กว่า คือในช่วงปี พ.ศ. 2533-2536 จึงยังสามารถให้บริการต่อไปได้

“คุณแต๋มระบุไม่สามารถวางแผนอนาคตได้ “มันเลยกลายเป็นว่าเราต้องออกจากอาชีพแบบจำใจ”

วิกฤตต้นทุนที่แบกรับ เมื่อรายได้หลักไม่ได้มาจากผู้โดยสาร

การดำเนินธุรกิจรถเมล์ในปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญ ค่าโดยสารที่เคยเป็นเพียง 7 บาทในอดีต ปัจจุบันปรับเพิ่มขึ้นมาเป็น 53 บาทต่อคน แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการครอบคลุมต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก คุณแต๋มเปิดเผยตัวเลขต้นทุนต่อวันว่า ค่าน้ำมันเดินทางไป-กลับอยู่ที่ประมาณ 700 บาท ค่าคิววันละ 330 บาท และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่กรมการขนส่งทางบก 6 บาท รวมถึงค่าจอดรถที่เชียงแสนอีก 20 กว่าบาท รวมต้นทุนต่อวันสูงถึงประมาณ 1,050 บาท

“ถ้าพูดถึงว่ารายได้จากค่าหัว 53 บาทคุ้มไหม ตอบเลยว่าไม่คุ้ม” คุณแต๋มยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “เราอยู่ได้เพราะของฝากที่พอมาช่วยส่วนนี้เวลาที่ผู้โดยสารมีไม่มาก”

ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจคือ รายได้หลักของรถเมล์สายนี้มาจาก “การรับส่งของฝาก” มากกว่ารายได้จากผู้โดยสาร โดยมีค่าบริการรับส่งของฝากขั้นต่ำชิ้นละ 40 บาท ของหนักหรือของขนาดใหญ่อาจมีค่าบริการสูงขึ้นถึง 45-50 บาท ซึ่งเป็นรายได้ส่วนใหญ่ที่ประคองให้อาชีพนี้ยืนหยัดมาได้จนถึงทุกวันนี้

“รายได้จากผู้โดยสารมีแค่บางเที่ยวเท่านั้น” คุณแต๋มอธิบาย “ถ้าไม่ได้ของฝาก เราก็อยู่ไม่ได้จริงๆ”

สถานการณ์ยิ่งทรุดหนักลงในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อจำนวนผู้โดยสารและปริมาณของฝากอย่างหนัก “หลังโควิดมา รายได้ได้แค่พออยู่ได้เท่านั้น” คุณแต๋มกล่าว

การเปรียบเทียบรายได้ระหว่างสมัยรุ่นพ่อกับรุ่นปัจจุบันสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน “สมัยพ่อสามารถสร้างฐานะได้ แต่พอมาถึงรุ่นเรา ก็แค่พออยู่ได้ พอกิน ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนสมัยก่อน” คุณแต๋มสรุป

ผลกระทบต่อชุมชน เมื่อ “เส้นเลือดฝอย” กำลังจะหายไป

การยุติการให้บริการของรถเมล์เชียงราย-เชียงแสนไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่ผู้ประกอบการเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อกลุ่มผู้ใช้บริการที่ยังพึ่งพารถเมล์เป็นพาหนะหลักในการเดินทาง แม้จำนวนผู้โดยสารจะลดลงเนื่องจากผู้คนหันไปใช้รถส่วนตัวและรถตู้มากขึ้น แต่ยังมีกลุ่มผู้โดยสารประจำที่จำเป็นต้องใช้บริการ ได้แก่ ชาวบ้านทั่วไป ผู้สูงอายุ นักเรียน นักศึกษา และแรงงานชาวลาว ที่เดินทางระหว่างเชียงรายกับเชียงแสนเป็นประจำ

“ผู้โดยสารเขาก็ถามว่า ถ้าไม่มีรถแล้ว พวกเขาจะทำยังไง” คุณแต๋มเล่าถึงความกังวลของผู้โดยสาร “เพราะยังมีชาวบ้าน คนแก่ คนเฒ่า เด็ก นักเรียน นักศึกษาที่ต้องใช้บริการอยู่”

การหายไปของรถเมล์ 10 คันจากระบบขนส่งมวลชนในพื้นที่ ในขณะที่เหลือเพียง 3 คันที่ยังให้บริการต่อไป อาจทำให้เกิดปัญหาการเดินทางที่ลำบากขึ้นสำหรับกลุ่มเปราะบางที่ไม่มีทางเลือกอื่น โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วนหรือช่วงที่มีผู้โดยสารจำนวนมาก ความผูกพันระหว่างรถเมล์กับชุมชนสะสมมาตลอดหลายทศวรรษ ผู้โดยสารหลายคนเดินทางกับรถเมล์คันเดียวกันตั้งแต่สมัยเด็กเรียนจนโตเป็นผู้ใหญ่และเกษียณอายุ ทำให้รถเมล์ไม่ได้เป็นเพียงแค่พาหนะ แต่เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำและวิถีชีวิตของคนในพื้นที่

แนวทางการปรับตัว จากรถประจำทางสู่รถโดยสารไม่ประจำทาง

แม้จะต้องจบบทบาทในฐานะผู้ประกอบการรถเมล์ประจำทาง แต่คุณแต๋มและภริยาไม่ได้หมดหวังกับอนาคต พวกเขาวางแผนที่จะนำรถไปประกอบอาชีพในรูปแบบใหม่

“ต่อไปเราจะนำรถไปประกอบอาชีพในลักษณะ ‘รถโดยสารไม่ประจำทาง’ หรือรถรับเหมาแทน” คุณแต๋มระบุ “เรายังยินดีให้บริการทุกท่านในฐานะรถโดยสารไม่ประจำทางต่อไป”

การเปลี่ยนแปลงนี้หมายความว่า รถจะไม่วิ่งตามเส้นทางและตารางเวลาที่กำหนดแบบเดิม แต่จะรับงานเหมาเหมารถตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งที่ผู้ประกอบการหลายรายเลือกใช้เมื่อไม่สามารถดำเนินกิจการรถประจำทางต่อไปได้

“ทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง เดินทางมาจนสุดสายของอาชีพนี้แล้ว” คุณแต๋มกล่าวอย่างยอมรับความเป็นจริง “ต่อไปเราจะก้าวไปสู่อาชีพที่คล้ายกัน ขอแรงและส่งกำลังใจให้เราก้าวต่อไปในสายไหมของเรา”

เก็บรถไว้เป็นมรดก เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รำลึก

สิ่งหนึ่งที่สะท้อนความผูกพันและคุณค่าทางอารมณ์ต่ออาชีพนี้คือ การตัดสินใจของเจ้าของรถหลายคันที่จะไม่ขายรถเพื่อแยกชิ้นส่วน แต่เลือกที่จะเก็บรักษาไว้เป็นมรดกและความทรงจำ

“เราจะเก็บรถเมล์ไว้เป็นความทรงจำ ไม่ขาย” คุณแต๋มระบุอย่างชัดเจน “เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ระลึกถึงตำนานรถเมล์หวานเย็นที่เคยโลดแล่นบนถนนเชียงราย”

เจ้าของรถเมล์เบอร์ 462 และ 445 ต่างก็มีความเห็นตรงกันในเรื่องนี้ พวกเขาต้องการให้รถเหล่านี้เป็นสักขีพยานทางประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวของยุคสมัยหนึ่ง ที่รถเมล์มีบทบาทสำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่

“เก็บไว้ในความทรงจำ ย้ำเตือนทุกๆ ปีว่าเราเคยอยู่ตรงนี้มากกว่า 50 กว่าปี” คุณแต๋มกล่าว

การตัดสินใจนี้สะท้อนให้เห็นว่า อาชีพนี้ไม่ได้เป็นเพียงแหล่งรายได้ แต่เป็นส่วนหนึ่งของเอกลักษณ์ ความภาคภูมิใจ และมรดกที่ต้องการสืบทอดให้กับคนรุ่นหลัง แม้ว่าลูกหลานจะไม่ได้สานต่ออาชีพนี้ในอนาคต

ข้อสังเกตและบทเรียน เมื่อนโยบายสาธารณะพบกับความเป็นจริงของภาคประชาชน

กรณีของรถเมล์เชียงราย-เชียงแสนให้บทเรียนที่สำคัญหลายประการเกี่ยวกับการบริหารจัดการนโยบายสาธารณะ โดยเฉพาะในภาคขนส่งมวลชน ประการแรก คือความจำเป็นในการสื่อสารที่ชัดเจนและทันเวลาระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับผู้ประกอบการรายย่อย การที่กฎหมายมีผลบังคับใช้โดยที่ผู้ประกอบการไม่ได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้าอย่างเป็นทางการ ทำให้พวกเขาไม่มีโอกาสวางแผนการปรับตัวหรือเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลง ประการที่สอง คือความสมดุลระหว่างนโยบายความปลอดภัยกับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม แม้กฎหมายเรื่องอายุรถจะมีวัตถุประสงค์ที่ดีเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร แต่การขาดมาตรการรองรับหรือทางเลือกอื่นทำให้เกิดช่องว่างในการให้บริการขนส่งมวลชน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีทางเลือกจำกัด ประการที่สาม คือการพิจารณาถึงความยั่งยืนของอาชีพในภาคขนส่งมวลชนรายย่อย ตัวเลขที่ว่ารายได้หลักมาจาก “ของฝาก” มากกว่าผู้โดยสาร สะท้อนให้เห็นว่า โมเดลธุรกิจรถเมล์แบบดั้งเดิมอาจไม่สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยค่าโดยสารเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นประเด็นที่ภาครัฐควรพิจารณาในการกำหนดนโยบายและมาตรการสนับสนุน

“การพัฒนาเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่างน้อยหากมองมาดูพวกเราบ้าง” คุณแต๋มกล่าวถึงความรู้สึกของผู้ประกอบการ “ต้นทุนที่สูงกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น มันคุ้มไหม”

คำถามนี้สะท้อนถึงความท้าทายในการดำเนินธุรกิจขนส่งมวลชนขนาดเล็ก ที่ต้องแบกรับต้นทุนสูงแต่มีรายได้จำกัด ท่ามกลางการแข่งขันจากรูปแบบการเดินทางที่หลากหลายมากขึ้น

ภารกิจสุดท้ายและคำอำลาจากใจ

ในบ่ายวันที่ 31 ธันวาคม 2568 เวลา 14.30 น. รถเมล์เบอร์ 462 และ 445 พร้อมด้วยรถอีก 8 คันจะออกเดินทางเที่ยวสุดท้าย เป็นการปิดฉากของภารกิจที่ยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ ข้อความจากเจ้าของรถที่โพสต์ในกลุ่มผู้โดยสารสะท้อนถึงความรู้สึกผสมผสานระหว่างความซาบซึ้ง ความอาลัย และความหวัง

“จบภารกิจสำหรับรถเมล์ของเราวันนี้วันสุดท้ายแล้ว ขอบคุณทุกท่าน” คุณแต๋มเขียน “ขอบคุณทุกท่านที่ใช้บริการเรามาตลอด ไม่มีสิ่งใดตอบแทนนอกจากคำว่าขอบคุณจากใจจริง”

ารอำลาในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการปิดธุรกิจ แต่เป็นการจากลาอาชีพที่ผูกพันกับครอบครัวมาตั้งแต่รุ่นพ่อ “ทำมาตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อมาถึงรุ่นเรา จบที่รุ่นเรา ลูกหลานไม่ได้สานต่อ” คุณแต๋มระบุ

ในข้อความยังมีการขอบคุณเพื่อนร่วมงานและหน่วยงานต่างๆ ที่ทำงานร่วมกันมา “ขอบคุณคุณเพื่อนร่วมงานทุกๆ ท่าน ขอบคุณทีมงานนางฟ้าทางหลวงภูธร เราจะไปอยู่ในจุดใหม่ที่ดีกว่าเดิม”

สำหรับผู้โดยสารที่ต้องการติดต่อใช้บริการรถเมล์ในอนาคต เจ้าของรถแนะนำให้ติดต่อกับรถที่เหลืออยู่ 3 คัน และระบุว่า “หลังจากวันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป อาจจะตอบคำถามอะไรไม่ได้ เพราะไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่วิ่งคิวอยู่ ขออภัยในความไม่สะดวก”

การเลือกวันที่ 31 ธันวาคม เป็นวันสุดท้ายของการให้บริการนั้นมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ “วันสุดท้ายของปี วันสุดท้ายของเดือน และวันสุดท้ายของรถเมล์ 445” คุณแต๋มกล่าว “ต่อไปปีหน้าเราจะก้าวข้ามผ่านมันไปอย่างไร ตอนนี้ขอแค่ตั้งหลักแล้วจะก้าวไปสู่หนทางที่ดีกว่านี้”

มุมมองจากผู้โดยสาร ความผูกพันที่สะสมมา

ผู้โดยสารหลายคนที่ใช้บริการรถเมล์สายนี้มาเป็นเวลายาวนาน แสดงความรู้สึกอาลัยและความกังวลต่อการสูญเสียทางเลือกในการเดินทางหลายคนเล่าว่าพวกเขาเดินทางบนรถเมล์คันเดียวกันมาตั้งแต่สมัยเรียน จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ทำงาน และบางคนก็ใกล้เกษียณอายุแล้ว รถเมล์จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่พาหนะ แต่เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำในช่วงชีวิตที่สำคัญ

พวกเราชาวเมล์เขียวทั้งแม่สายและเชียงแสน บางคันที่หมดสัญญา ขอกราบขอบพระคุณทุกๆ ท่านที่อุดหนุนเรามาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน” ข้อความจากกลุ่มเจ้าของรถระบุ “พรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายของเราแล้วที่เราจะได้รับใช้และบริการท่านผู้โดยสาร”

การเรียกร้องให้ผู้โดยสารมาใช้บริการในวันสุดท้ายนั้นสะท้อนถึงความตั้งใจที่จะปิดฉากอย่างสมเกียรติ “วันนี้และพรุ่งนี้ทุกคันทุกเที่ยวยินดีให้บริการ”

มรดกที่ตกทอด จาก “เมล์ขาว” สู่ “เมล์เขียว”

เมื่อย้อนกลับไปมองประวัติศาสตร์ของรถเมล์สายเชียงราย-เชียงแสน จะเห็นว่ามันสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเศรษฐกิจในภาคเหนือตลอดหลายทศวรรษ ในยุคแรกเริ่ม ซึ่งเป็นช่วงประมาณปี พ.ศ. 2500-2510 รถเมล์ยังเป็น “เมล์ขาว” ขณะนั้นรถเมล์มีบทบาทสำคัญเป็นพาหนะหลักในการเชื่อมโยงชุมชนต่างๆ เข้าด้วยกัน เนื่องจากทางเลือกในการเดินทางยังมีจำกัด การมีรถเมล์ถือเป็นความมั่งคั่งและโอกาสทางเศรษฐกิจที่แท้จริง

ต่อมาเมื่อรถเมล์เปลี่ยนมาเป็น “เมล์เขียว” อุตสาหกรรมขนส่งก็เติบโตขึ้นตามไปด้วย จำนวนรถเพิ่มขึ้นถึง 26 คัน สะท้อนถึงความต้องการใช้บริการที่สูงในช่วงนั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อสังคมพัฒนาและทางเลือกในการเดินทางมีมากขึ้น รถส่วนตัว รถตู้ และรูปแบบการขนส่งอื่นๆ เข้ามามีบทบาทมากขึ้น จำนวนรถเมล์จึงค่อยๆ ลดลง จากจุดสูงสุดที่ 26 คัน ลดลงเหลือ 13 คัน และในที่สุดก็เหลือเพียง 3 คันที่จะให้บริการต่อไปในปี 2569 การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเชียงรายเท่านั้น แต่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ที่รถเมล์ท้องถิ่นต้องเผชิญกับความท้าทายในการแข่งขันกับรูปแบบการเดินทางสมัยใหม่

ตัวเลขที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลง

การวิเคราะห์ตัวเลขช่วยให้เห็นภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

ด้านจำนวนรถ

  • ปี 2500-2520: มีรถเมล์สูงสุดถึง 26 คัน
  • ก่อนโควิด-19: ลดลงเหลือประมาณ 15-16 คัน
  • หลังโควิด-19: เหลือ 13 คัน
  • ปี 2569: จะเหลือเพียง 3 คัน

ด้านค่าโดยสาร

  • อดีต: 7 บาท
  • ปัจจุบัน: 53 บาท (เพิ่มขึ้นกว่า 7 เท่าตัว)

ด้านต้นทุนการดำเนินงานต่อวัน

  • ค่าน้ำมันไป-กลับ: 700 บาท
  • ค่าคิว: 330 บาท
  • ค่าธรรมเนียมและค่าจอด: ประมาณ 20-26 บาท
  • รวมต้นทุนต่อวัน: ประมาณ 1,050 บาท

ด้านอายุรถ

  • รถส่วนใหญ่จดทะเบียนปี พ.ศ. 2514-2521 (อายุ 47-54 ปี)
  • รถที่เหลือ 3 คันจดทะเบียนปี พ.ศ. 2533-2536 (อายุ 32-35 ปี)

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความยั่งยืนของรถเมล์ที่ลดลง โดยเฉพาะเมื่อต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะที่จำนวนผู้โดยสารลดลง ทำให้รายได้หลักต้องพึ่งพาการรับส่งของฝากมากกว่าค่าโดยสาร

คำถามที่ยังค้างคาใจ อนาคตของขนส่งมวลชนในพื้นที่

การปิดตำนานของรถเมล์เชียงราย-เชียงแสนทิ้งคำถามสำคัญหลายประการเกี่ยวกับอนาคตของระบบขนส่งมวลชนในพื้นที่

ประการแรก จะมีการดำเนินการอย่างไรเพื่อให้แน่ใจว่ากลุ่มเปราะบางที่ยังต้องพึ่งพารถเมล์ยังสามารถเข้าถึงบริการขนส่งสาธารณะได้? รถ 3 คันที่เหลืออยู่จะเพียงพอต่อความต้องการหรือไม่?

ประการที่สอง ภาครัฐและบริษัทขนส่งจะมีแผนอย่างไรในการรองรับช่องว่างของการให้บริการที่เกิดขึ้น? จะมีการนำรถใหม่เข้ามาทดแทนหรือจะปล่อยให้ตลาดปรับตัวเอง?

ประการที่สาม บทเรียนจากกรณีนี้จะนำไปสู่การปรับปรุงกระบวนการสื่อสารและการเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ประกอบการรายอื่นที่อาจเผชิญสถานการณ์คล้ายกันในอนาคตหรือไม่?

คำตอบของคำถามเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดว่า อนาคตของระบบขนส่งมวลชนในพื้นที่จะมีทิศทางอย่างไร และจะสามารถรักษาสมดุลระหว่างความปลอดภัย ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ และการตอบสนองความต้องการของชุมชนได้อย่างไร

สิ้นสุดยุคสมัย เริ่มต้นบทใหม่

การปิดฉากของรถเมล์สายเชียงราย-เชียงแสนในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ไม่ได้เป็นเพียงการหยุดวิ่งของรถโดยสารจำนวนหนึ่ง แต่คือการสิ้นสุดของยุคสมัยหนึ่งที่รถเมล์มีบทบาทสำคัญต่อชีวิตผู้คนในพื้นที่

จากจำนวน 26 คันในยุคทองของอาชีพ ลดลงเหลือเพียง 3 คันที่จะให้บริการต่อไป การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการปรับตัวของสังคมที่มีทางเลือกในการเดินทางมากขึ้น ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และนโยบายสาธารณะที่มุ่งเน้นความปลอดภัย สำหรับคุณแต๋มและผู้ประกอบการรายอื่นๆ การจากลาอาชีพที่สืบทอดมาจากรุ่นพ่อนั้นเต็มไปด้วยความซาบซึ้งและความทรงจำ แม้จะต้องปิดบทนี้ลง แต่พวกเขาก็ไม่ได้หมดหวัง ยังคงมีแผนที่จะก้าวต่อไปในรูปแบบใหม่การตัดสินใจเก็บรักษารถไว้แทนที่จะขายทิ้ง สะท้อนถึงคุณค่าที่เหนือกว่าตัวเงิน นั่นคือความภาคภูมิใจในอาชีพและความปรารถนาที่จะให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ถึงประวัติศาสตร์ของชุมชน

“วันสุดท้ายของปี วันสุดท้ายของเดือน และวันสุดท้ายของรถเมล์” คำพูดของคุณแต๋มสรุปความหมายของวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ได้อย่างชัดเจน มันคือจุดจบของบทหนึ่ง และจุดเริ่มต้นของบทใหม่

สำหรับผู้โดยสารและชาวชุมชน รถเมล์เหล่านี้จะยังคงอยู่ในความทรงจำ เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวชีวิตที่ไม่อาจลืมเลือน เป็นพาหนะที่พาพวกเขาไปสู่โรงเรียน ที่ทำงาน และกลับบ้าน เป็นเวลาหลายสิบปี และสำหรับเมืองเชียงราย นี่คือบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง การพัฒนา และความสำคัญของการรักษาสมดุลระหว่างความก้าวหน้ากับการดูแลรักษาสิ่งที่มีคุณค่าต่อชุมชน เสียงเครื่องยนต์ของรถเมล์เบอร์ 462 และ 445 อาจจะเงียบลงในวันนี้ แต่เรื่องราวและมรดกของ “รถเมล์หวานเย็น” จะยังคงอยู่ต่อไป ในหัวใจของผู้คนที่เคยสัมผัส และในรถที่ถูกเก็บรักษาไว้เพื่อบอกเล่าตำนานที่เคยโลดแล่นบนถนนเชียงรายมานานกว่าครึ่งศตวรรษ

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • สัมภาษณ์คุณแต๋ม ทิพย์พิมล ชัยวงค์ เจ้าของรถเมล์เบอร์ 445 สายเชียงราย-เชียงแสน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ย้อนรอยตำนานสุมนมาลาการ สู่พิธีตักบาตรดอกไม้เมืองหนาวและมรดกศิลป์ 9 ราชรถบุษบกเมืองเชียงราย

พลังศรัทธางานเชียงรายดอกไม้งาม ครั้งที่ 22 ชูพิธีตักบาตรดอกไม้และราชรถบุษบกขับเคลื่อนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

เชียงราย, 30 ธันวาคม 2568 – ท่ามกลางสายลมหนาวปลายปีและทิวดอกไม้เมืองหนาวนับล้านดอกที่ผลิบานริมฝั่งแม่น้ำกก “งานเชียงรายดอกไม้งาม ครั้งที่ 22” มิได้เป็นเพียงเทศกาลท่องเที่ยวถ่ายภาพยอดนิยม หากยังกลายเป็นเวทีสำคัญที่สะท้อนพลังศรัทธาทางพระพุทธศาสนาควบคู่ไปกับความวิจิตรของศิลปกรรมล้านนา ผ่าน “พิธีตักบาตรดอกไม้หนึ่งเดียวในล้านนา” และ “ขบวน 9 ราชรถบุษบก” ที่หลายฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่า คือมรดกทางวัฒนธรรมและศิลป์ร่วมสมัยอันทรงคุณค่า ที่มีศักยภาพจะต่อยอดเป็นซอฟต์พาวเวอร์ระดับนานาชาติในอนาคตอันใกล้

พิธีใหญ่ดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อเช้าวันที่ 28 ธันวาคม 2568 ณ สวนสาธารณะหาดนครเชียงราย สถานที่จัดงานหลักของเทศกาล โดยมี นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยนายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย นางรัตนา จงสุทธานามณี ที่ปรึกษาเทศบาลนครเชียงราย คณะผู้บริหาร สมาชิกสภาเทศบาล หัวหน้าส่วนราชการ ตลอดจนประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ เข้าร่วมอย่างเนืองแน่น บริเวณลานหาดทรายริมแม่น้ำกกจึงกลายเป็น “ลานบุญ” ที่เชื่อมประเพณีดั้งเดิมกับภาพลักษณ์ใหม่ของเมืองแห่งศิลปะและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมได้อย่างกลมกลืน

จากตำนาน “นายสุมนมาลาการ” สู่พิธีตักบาตรดอกไม้เมืองหนาว รากเหง้าศรัทธาที่ถูกตีความใหม่ในแบบเชียงราย

พิธีตักบาตรดอกไม้ของชาวเชียงรายในวันนี้ มิได้เกิดขึ้นอย่างไร้ที่มา หากสืบเนื่องจากคติความเชื่อในพระพุทธศาสนาเรื่อง “นายสุมนมาลาการ” มาลาการผู้ดูแลดอกไม้หลวงซึ่งมีศรัทธาแรงกล้า ยอมสละชีวิตตนเองเพื่อถวายดอกมะลิที่เตรียมไว้สำหรับพระราชา นำไปบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแทน ตำนานดังกล่าวถูกยกย่องว่าเป็นตัวอย่างของการบูชาด้วยศรัทธาอันบริสุทธิ์ ไร้เงื่อนไขทางโลก

เชียงรายเลือกที่จะหยิบยืม “หัวใจ” ของตำนานมาสร้างพิธีกรรมใหม่ ให้สอดรับกับบริบทพื้นที่และฤดูกาล ดอกมะลิในตำนานจึงถูกแปลงเป็น “ดอกไม้เมืองหนาว” หลากสีสันที่กำลังบานเต็มที่ในช่วงเทศกาลปลายปี ไม่ว่าจะเป็นดอกทิวลิป เบญจมาศ ซัลเวีย หรือดอกไม้ประดับเมืองหนาวพันธุ์ต่าง ๆ ที่เทศบาลนครเชียงรายปลูกประดับอย่างประณีตทั่วพื้นที่จัดงาน

ดอกไม้เหล่านี้จึงไม่ได้มีความหมายเพียงความสวยงามเพื่อการท่องเที่ยว แต่ถูกยกระดับให้เป็น “ดอกไม้บุญ” ที่ประชาชนและนักท่องเที่ยวจัดเตรียมมาเพื่อตักบาตร ถวายเป็นพุทธบูชา และร้อยรัดความศรัทธาของผู้คนต่างรุ่นวัยเข้าด้วยกัน

พิธีเช้าวันหนาว พระเถรานุเถระ 94 รูป และขบวนศรัทธาริมแม่น้ำกก

ในพิธีวันที่ 28 ธันวาคม 2568 เทศบาลนครเชียงรายได้รับความเมตตาจากพระเถรานุเถระและพระผู้ใหญ่ในจังหวัดเชียงราย นำโดย พระราชวชิรคณี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย (เจ้าอาวาสวัดพระธาตุผาเงา อำเภอเชียงแสน) พระรัตนมุนี ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย วัดพระแก้วพระอารามหลวง พระครูขันติพลาธร รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย (เจ้าอาวาสวัดฝั่งหมิ่น) พระไพศาลประชาทร วิ. (พระอาจารย์พบโชค ติสฺสวํโส เจ้าอาวาสวัดห้วยปลากั้ง) พระภาวนารัตนญาณ วิ. (ครูบาอริยชาติ อริยจิตโต เจ้าอาวาสวัดแสงแก้วโพธิญาณ) พระครูสุธีวรกิจ รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย วัดพระสิงห์ พระครูบาชัยยาปัถพี จากสถานธรรมดอยดวงแก้วสัพพัญญู (อำเภอเวียงป่าเป้า) พร้อมด้วยพระสงฆ์และสามเณรรวมทั้งสิ้น 94 รูป เดินเรียงแถวเป็นขบวนรับบาตรท่ามกลางความสงบสำรวม

ประชาชนจำนวนมากต่างพร้อมใจกันแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสุภาพ บางส่วนสวมชุดพื้นเมือง ผ้าซิ่นลายล้านนา ถือพานดอกไม้เมืองหนาวหลากสีในมือ เพื่อตักบาตรดอกไม้แทนข้าวสารอาหารแห้ง บรรยากาศเช้าวันนั้นจึงมิใช่เพียงพิธีกรรมทางศาสนา หากยังเป็น “ฉากชีวิต” ที่สะท้อนสายใยระหว่างวัด ชุมชน และเมืองท่องเที่ยวได้อย่างชัดเจน

พิธีตักบาตรดอกไม้ดังกล่าวจัดขึ้นอย่างเป็นระบบ ภายใต้แนวคิด “ศรัทธาที่งดงามและเป็นระเบียบ” โดยเทศบาลนครเชียงรายจัดเตรียมพื้นที่ ตลอดจนจุดอำนวยความสะดวกด้านการจราจรและความปลอดภัย เพื่อรองรับทั้งชาวเชียงรายและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาร่วมทำบุญส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ในบรรยากาศเมืองดอกไม้

หัวใจของขบวน 9 ราชรถบุษบก มรดกศิลป์หนึ่งเดียวในล้านนาที่สร้างกว่า 20 ปี

สิ่งที่ทำให้พิธีในเชียงรายแตกต่างจากพื้นที่อื่นอย่างเด่นชัด คือ “ราชรถบุษบก 9 คัน” ที่ถูกขนานนามว่าเป็น “หนึ่งเดียวในล้านนา” ทั้งในแง่จำนวน ความวิจิตร และความหมายเชิงสัญลักษณ์

ราชรถทั้ง 9 คันนี้ ใช้สำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่ศักดิ์สิทธิ์ศิลปะเชียงแสน ซึ่งบรรพชนได้สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคต้นของอาณาจักรล้านนา และถือเป็นมรดกทางศิลปกรรมที่ทรงคุณค่ายิ่ง ขบวนราชรถได้รับการออกแบบและสร้างสรรค์ร่วมกันระหว่างเทศบาลนครเชียงรายกับศิลปินล้านนาหลายรุ่น ใช้ระยะเวลาพัฒนารวมกันยาวนานกว่า 20 ปี

ราชรถแต่ละคันถูกออกแบบให้สะท้อนอัตลักษณ์ของ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน อาทิ ลวดลายศิลปะเชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แพร่ น่าน พะเยา และแม่ฮ่องสอน โดยมีศิลปินชื่อดังระดับชาติและระดับล้านนาเข้ามามีบทบาทในการออกแบบเชิงแนวคิดและรายละเอียดเชิงช่าง เช่น แนวทางการใช้ลวดลายเทวดาปูนปั้น ศิลปะแบบไทใหญ่ และองค์ประกอบลายคำแบบล้านนาโบราณ

แหล่งข่าวจากเทศบาลนครเชียงราย เล่าถึงเบื้องหลังของโครงการนี้ว่า
“เราใช้เวลาเกือบ 10 ปี ในการสร้างราชรถแต่ละคันให้สมบูรณ์ที่สุด เพื่อให้ขบวนนี้เป็นมากกว่าการแห่พระ แต่คือการรวบรวมลมหายใจของช่างศิลป์ล้านนามาประดิษฐานไว้ในที่เดียว”

คำกล่าวดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ราชรถบุษบกไม่ได้เป็นเพียงองค์ประกอบของพิธีกรรม แต่ถูกออกแบบให้เป็น “พิพิธภัณฑ์เคลื่อนที่” ที่แสดงพัฒนาการและความหลากหลายของศิลปกรรมล้านนาในช่วงเวลาร่วมสมัย ภายใต้รูปแบบที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้จริงในพื้นที่สาธารณะ

มุมมองเศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรม จากพิธีบุญสู่กลไกขับเคลื่อนเมืองท่องเที่ยวเชียงราย

หากมองจากมิติทางเศรษฐกิจ งานเชียงรายดอกไม้งามและพิธีตักบาตรดอกไม้–แห่ 9 ราชรถบุษบก มิได้เป็นเพียงกิจกรรมเชิงศาสนาหรือวัฒนธรรม หากยังเป็น “สินทรัพย์เชิงวัฒนธรรม” ที่ช่วยยกระดับภาพลักษณ์และรายได้จากการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงรายอย่างเป็นระบบ

จากข้อมูลสถิตินักท่องเที่ยวในปี 2567 ที่ผ่านมา จังหวัดเชียงรายมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเยือนมากกว่า 6.1 ล้านคน สร้างรายได้หมุนเวียนกว่า 37,000 ล้านบาท ทำให้เชียงรายกลายเป็นหนึ่งในจังหวัดหลักของภาคเหนือด้านการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ไม่เพียงพึ่งพาแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติอย่างภูชี้ฟ้า ดอยแม่สลอง หรือดอยตุง เท่านั้น แต่ยังต่อยอดจุดแข็งด้านศิลปวัฒนธรรมและงานเทศกาลให้เป็น “แม่เหล็ก” ดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่

พิธีตักบาตรดอกไม้และการแสดงขบวนราชรถบุษบกในวันที่ 28 ธันวาคม ซึ่งจัดขึ้นก่อนคืนเคาท์ดาวน์ ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าพื้นที่ล่วงหน้า ช่วยกระจายรายได้สู่ผู้ประกอบการในเขตเทศบาลนครเชียงราย ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร ผู้ประกอบการรถรับส่ง และธุรกิจบริการในย่านเมืองเก่า ข้อมูลจากผู้จัดงานระบุว่า ในช่วงวันดังกล่าว มียอดจองที่พักในเขตเมืองเชียงรายเต็มเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ สะท้อนความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่าง “ศรัทธา–ศิลปะ–เศรษฐกิจ” ของเมืองได้อย่างชัดเจน

นอกจากนี้ การมีขบวนราชรถบุษบกที่ออกแบบอย่างงดงาม ยังช่วยเพิ่มมูลค่าทางภาพลักษณ์บนแพลตฟอร์มออนไลน์ ภาพนิ่งและวิดีโอของพิธีแห่พระและการตักบาตรดอกไม้ ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์จำนวนมาก ช่วยให้เชียงรายถูกจดจำไม่ใช่แค่ “เมืองชายแดน” หรือ “เมืองกาแฟ” แต่ยังเป็น “เมืองมงคลแห่งศิลปวัฒนธรรม” ที่สามารถนำเสนอเรื่องราวได้หลากมิติ

ทำอย่างไรให้ประเพณีไม่ถูกทิ้งไว้แค่ในภาพถ่าย

แม้งานประเพณีจะได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว แต่คำถามสำคัญที่ผู้จัดงานและชุมชนท้องถิ่นต้องเผชิญอยู่เสมอ คือ “จะทำอย่างไรให้ประเพณียังคงมีชีวิต และไม่กลายเป็นเพียงฉากประกอบการท่องเที่ยว?”

ในมุมนี้ งานเชียงรายดอกไม้งาม ครั้งที่ 22 พยายามออกแบบพิธีกรรมและกิจกรรมควบคู่กันไปอย่างมียุทธศาสตร์ โดยเปิดพื้นที่ให้เยาวชน นักเรียน นักศึกษา เข้ามามีส่วนร่วมในหลายมิติ ทั้งในฐานะอาสาสมัครประสานงาน ผู้ร่วมขบวนถือดอกไม้ตักบาตร รวมถึงกลุ่มเยาวชนศิลปินที่มีโอกาสเรียนรู้จากช่างฝีมือล้านนาในการบูรณะและดูแลราชรถบุษบก

ภาพเยาวชนที่ยืนเรียงแถวถือดอกไม้หลากสีเคียงข้างผู้สูงอายุในพิธีตักบาตร จึงสะท้อนมากกว่าความสวยงาม หากยังเป็นสัญญาณของ “การส่งต่อมรดก” จากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่งในระดับโครงสร้างของชุมชน

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวถึงหัวใจของการจัดงานในปีนี้ว่า
“ความงดงามของดอกไม้เป็นเพียงเปลือกนอก แต่เนื้อในที่แท้จริงของงานเชียงรายดอกไม้งามคือศรัทธาและภูมิปัญญา ราชรถบุษบกทั้ง 9 คันนี้คือตัวแทนความภาคภูมิใจที่เราต้องการส่งมอบให้ลูกหลาน เพื่อให้เขาเห็นว่าศิลปะล้านนาสามารถสร้างมูลค่าและคุณค่าให้กับบ้านเกิดได้จริง”

คำกล่าวนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ของเมืองที่ไม่ได้มองงานประเพณีเป็นเพียงกิจกรรมประจำปี แต่เห็นว่าเป็น “โครงสร้างพื้นฐานทางวัฒนธรรม” ซึ่งต้องได้รับการดูแล บริหารจัดการ และต่อยอดไม่ต่างจากโครงสร้างพื้นฐานด้านถนนหนทางหรือระบบคมนาคม

ก้าวต่อไป แห่พระแวดเวียงเจียงฮาย สานต่อบรรยากาศบุญรับปีใหม่ 2569

สำหรับผู้ที่พลาดเข้าร่วมพิธีตักบาตรดอกไม้ในวันที่ 28 ธันวาคม เทศบาลนครเชียงรายยังได้จัดพิธี “แห่พระแวดเวียงเจียงฮาย” ในวันที่ 1 มกราคม 2569 ต่อเนื่อง โดยจะอัญเชิญพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ประดิษฐานบนราชรถบุษบกทั้ง 9 คัน ออกจากพื้นที่สวนสาธารณะหาดนครเชียงราย แห่ไปรอบเขตเมือง เพื่อให้ประชาชนได้สักการะและประกอบพิธีทางศาสนา เป็นสิริมงคลรับศักราชใหม่

ขบวนแห่ดังกล่าวยังทำหน้าที่เป็น “สะพานเชื่อม” ระหว่างพื้นที่จัดงานดอกไม้งามกับย่านเมืองเก่าเชียงราย ช่วยกระจายจำนวนนักท่องเที่ยวสู่ถนนสายประวัติศาสตร์ ย่านวัดสำคัญ และย่านเศรษฐกิจในเมือง ช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อย ร้านอาหารพื้นเมือง และธุรกิจชุมชนมีโอกาสได้รับประโยชน์จากเทศกาลในวงกว้างยิ่งขึ้น

ศิลปะ–ศรัทธา–เศรษฐกิจ สามเสาหลักของ “เมืองดอกไม้มงคล” แห่งล้านนาเหนือ

หากพิจารณาอย่างรอบด้าน พิธีตักบาตรดอกไม้และขบวน 9 ราชรถบุษบกในงานเชียงรายดอกไม้งาม ครั้งที่ 22 มิได้เป็นเพียง “ภาพจำสวยงาม” ของเทศกาลปลายปี หากคือภาพสะท้อนการผสานกันของสามปัจจัยหลัก ได้แก่

  1. ศรัทธาทางพระพุทธศาสนา ที่หยิบยืมตำนานนายสุมนมาลาการมาปรับใช้ในบริบทเมืองดอกไม้
  2. ศิลปะและภูมิปัญญาล้านนา ที่ถูกรวบรวมและถ่ายทอดผ่านราชรถบุษบก 9 คัน อันเป็นมรดกศิลป์ร่วมสมัยที่ยังมีลมหายใจ
  3. เศรษฐกิจการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ที่ช่วยสร้างรายได้และงานให้กับคนในชุมชนอย่างจับต้องได้จริง

เมื่อทั้งสามเสาหลักยืนอยู่บนฐานการบริหารจัดการเมืองที่มองไกลกว่าการจัดงานปีต่อปี เชียงรายจึงมิได้เป็นเพียง “เมืองผ่าน” หากกำลังกลายเป็น “เมืองปลายทาง” ที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาเพื่อสัมผัสทั้งธรรมชาติ ศิลปะ ศรัทธา และวิถีชีวิตของผู้คนอย่างลึกซึ้ง

ในวันที่แสงสุดท้ายของปีเก่าค่อย ๆ ลาลับริมฝั่งแม่น้ำกก เสียงระฆังจากวัดวาอารามในเมืองเชียงรายอาจดังผสานกับเสียงดนตรีจากเวทีเคาท์ดาวน์ แต่ท่ามกลางความคึกคักนั้น “ดอกไม้ในบาตร” และ “ราชรถบุษบก 9 คัน” ยังคงยืนอยู่เป็นสัญลักษณ์เตือนใจว่า เมืองนี้มิได้เติบโตด้วยเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว หากยังยืนอยู่บนรากเหง้าศรัทธาและภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

อย่าทุบถ้าไม่ปรึกษา! บทเรียนจากวัดป่าอ้อร่มเย็น เมื่อความเจริญปะทะงานศิลป์ระดับศิลปินแห่งชาติ

สะเทือนใจเมืองศิลปะเชียงราย กรณีทุบทำลายงานศิลป์วัดป่าอ้อร่มเย็น ศิลปินแห่งชาติ–ศิลปินท้องถิ่นรุดลงพื้นที่ เจรจายุติการรื้อถอน ชูเป็นกรณีศึกษา “อย่าทำลายงานศิลปะโดยไม่ปรึกษา”

เชียงราย, 26 ธันวาคม 2568 – เหตุการณ์ทุบทำลายงานศิลปะภายในวัดป่าอ้อร่มเย็น ตำบลนางแล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย กลายเป็นประเด็นร้อนที่ส่งแรงสะเทือนไปทั้งวงการศิลปะและสังคมออนไลน์ในช่วงปลายปี 2568 หลังมีการเผยแพร่ภาพและคลิปวิดีโอการรื้อถอนกำแพงดินและจิตรกรรมฝาผนังซึ่งสร้างสรรค์โดยศิลปินชื่อดังของจังหวัดเชียงราย จนเกิดคำถามสำคัญต่อแนวทางการอนุรักษ์มรดกทางศิลปวัฒนธรรมในเมืองที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็น “เมืองศิลปะ” ของภาคเหนือ

กรณีนี้เริ่มต้นจากการตัดสินใจของทางวัดที่ต้องการขยายพื้นที่และปรับปรุงอาคารเดิมให้รองรับการใช้ประโยชน์มากขึ้น นำไปสู่การสั่งรื้อถอนบางส่วนของอาคารและผลงานศิลปะโดยไม่ได้มีการหารือกับศิลปินเจ้าของผลงานล่วงหน้า ก่อนที่กระแสวิพากษ์วิจารณ์จะปะทุขึ้นในโลกออนไลน์ และท้ายที่สุดทำให้ศิลปินระดับแถวหน้าของเชียงรายต้องลงพื้นที่ด้วยตนเอง เพื่อยุติความเสียหายที่อาจลุกลามไปมากกว่านี้

ผลงาน “แรไอเทม” กลางวัดของเมืองศิลปะ

ผลงานที่ได้รับความเสียหายภายในวัดป่าอ้อร่มเย็นครั้งนี้ประกอบด้วยผลงานสถาปัตยกรรมกำแพงดินและจิตรกรรมไทยฝาผนังซึ่งถูกระบุจากคนในพื้นที่ว่าเป็น “แรไอเทม” (Rare Item) ของตำบลนางแล ทั้งในแง่คุณค่าทางศิลปะและในฐานะหมุดหมายทางวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงจิตวิญญาณของศิลปินกับชุมชน

กำแพงดินและองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมถูกออกแบบและปั้นโดยอาจารย์สมลักษณ์ ปันติบุญ ศิลปินแห่งชาติ ปี 2567–2568 สาขาประติมากรรมเซรามิก ผู้ก่อตั้ง “บ้านดอยดินแดง” แหล่งเรียนรู้ศิลปะเซรามิกที่เป็นที่รู้จักทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ ขณะที่งานจิตรกรรมไทยฝาผนังภายในอาคารเป็นผลงานของอาจารย์ทรงเดช ทิพย์ทอง อดีตนายกสมาคมขัวศิลปะ หนึ่งในศิลปินสำคัญที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนเชียงรายสู่การเป็นเมืองศิลปะร่วมสมัย

ที่สำคัญคือ ผลงานทั้งสองส่วนนี้ ศิลปินสร้างให้ “โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย” ถือเป็นการอุทิศแรงงานและศักยภาพเชิงศิลป์ให้แก่วัดและชุมชนในฐานะศรัทธาและการทำบุญรูปแบบหนึ่ง จึงไม่ใช่เพียงงานตกแต่งอาคาร แต่เป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือระหว่างศิลปินและสถาบันศาสนาในการยกระดับพื้นที่วัดให้กลายเป็นพื้นที่เรียนรู้ด้านศิลปะและจิตวิญญาณควบคู่กัน

การตัดสินใจรื้อถอน “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” จุดชนวนคำถามใหญ่เรื่องการอนุรักษ์

ต้นตอของเหตุการณ์มาจากความต้องการขยายและปรับปรุงพื้นที่ของวัดเพื่อรองรับการใช้งานที่มากขึ้น รักษาการเจ้าอาวาสวัดป่าอ้อร่มเย็นยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าเป็นการตัดสินใจที่ “รวดเร็วเกินไป” และเป็นผลมาจาก “ความคิดแว้บเดียว” ที่มุ่งเน้นไปที่ประโยชน์ใช้สอยของอาคาร โดยไม่ได้หยุดคิดให้รอบด้านถึงคุณค่าทางศิลปะที่ถูกสร้างไว้

ในคลิปคำชี้แจงต่อหน้าศิลปินและสาธารณชน รักษาการเจ้าอาวาสกล่าวในทำนองว่า ตน “ลืมนึกถึงความงามของศิลปะ” และคิดเพียงว่าเมื่อรื้อถอนแล้ว ต่อไปสามารถ “ขอความเมตตา” จากอาจารย์สมลักษณ์และอาจารย์ทรงเดชให้กลับมาสร้างผลงานใหม่ได้อีก แต่เมื่อมองย้อนกลับไปจึงตระหนักว่า แนวคิดเช่นนี้ทำให้ “ศิลปะเสียหาย” และเป็นสิ่งที่ “คิดไม่ถึงจริง ๆ” ว่าจะนำมาซึ่งผลกระทบทางจิตใจต่อผู้คนจำนวนมากในสังคม

คำยอมรับว่า “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” จากผู้นำทางศาสนาในครั้งนี้จึงสะท้อนช่องว่างที่ยังมีอยู่มากในเรื่องการจัดการและอนุรักษ์งานศิลปะในวัด ซึ่งมักถูกมองเป็นเพียงองค์ประกอบประกอบอาคาร ไม่ใช่มรดกวัฒนธรรมร่วมสมัยที่ต้องได้รับการดูแลอย่างเป็นระบบ

ศิลปินลงพื้นที่แต่เช้ามืด “เบรกทัน” ก่อนความเสียหายลุกลาม

กระแสความไม่พอใจในสังคมเริ่มปะทุขึ้นหลังมีผู้ใช้เฟซบุ๊กเผยแพร่ภาพการทุบกำแพงดินและงานจิตรกรรม พร้อมข้อความสะท้อนความตกใจและสะเทือนใจว่า “ตกใจ ใจหายมาก ร้อนขอบตาหมดเลย มันเป็นเรื่องจริงเหรอ” ภาพเหล่านี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในสื่อออนไลน์ จนดึงดูดความสนใจของคนในวงการศิลปะและประชาชนทั่วไป

อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินชื่อดังชาวเชียงราย เจ้าของวัดร่องขุ่น และบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างภาพจำ “เชียงรายเมืองศิลปะ” เปิดเผยผ่านคลิปวิดีโอว่า เมื่อทราบข่าวในคืนวันที่ 25 ธันวาคม 2568 ตนรู้สึก “ร้อนรน” และคิดในใจว่าผลงานทั้งหมดอาจถูกทุบทำลายไปแล้ว จึงรีบโทรศัพท์หาอาจารย์ทรงเดชและอาจารย์สมลักษณ์ตั้งแต่เวลาประมาณตีสี่ ก่อนจะนัดหมายกันเดินทางมา “เบรก” เหตุการณ์ที่วัดแต่เช้ามืดในวันถัดมา

เมื่อมาถึงพื้นที่ อาจารย์เฉลิมชัยพบว่า งานจิตรกรรมของอาจารย์ทรงเดชบางส่วนถูกทุบไปแล้ว แต่ตัวอาคาร ระเบียง และองค์ประกอบภายนอกจำนวนมากยังคงอยู่ในสภาพเดิม เขาจึงใช้โอกาสนี้ในการพูดคุยกับรักษาการเจ้าอาวาสต่อหน้าศิลปินทั้งสอง และขอให้ “ยุติการทุบและการรื้อถอนทุกอย่างไว้เพียงเท่านี้” พร้อมเสนอให้ใช้โอกาสนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการ “ปรึกษาหารือร่วมกัน” ว่าจะปรับปรุงอาคารอย่างไรโดยยังคงรักษาคุณค่าทางศิลปะให้มากที่สุด

อาจารย์เฉลิมชัยยังกล่าวต่อสาธารณชนอย่างชัดเจนว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ควรถูกใช้เป็น “กรณีศึกษา” หรือ “ตัวอย่างเตือนใจ” ต่อวัดและผู้ดูแลสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศว่า

“อย่าทำ ถ้าจะปรับปรุงหรือรื้ออะไรที่มีงานศิลปะอยู่ ต้องปรึกษาศิลปินเขาก่อน…ความคิดง่าย ๆ ของเรา ถ้าไม่คิดให้รอบด้าน มันนำมาซึ่งความเสียหายที่เอาคืนไม่ได้”

ภาพก่อนถูกรื้อ

จากโบสถ์หนึ่งหลัง สู่คำถามใหญ่ของ “เมืองศิลปะ”

เหตุการณ์ที่วัดป่าอ้อร่มเย็นสะท้อนให้เห็นข้อขัดแย้งที่พบได้ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย นั่นคือ ความตึงเครียดระหว่าง “ความต้องการใช้ประโยชน์พื้นที่ของวัดและชุมชน” กับ “ความจำเป็นในการอนุรักษ์งานศิลปะและมรดกวัฒนธรรม” โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงรายที่แบรนด์ “เมืองศิลปะ” ถูกสร้างขึ้นจากการทำงานของศิลปินและเครือข่ายศิลปะอย่างยาวนาน

ผลงานของอาจารย์สมลักษณ์ ปันติบุญ และอาจารย์ทรงเดช ทิพย์ทอง ไม่ได้มีมูลค่าเฉพาะในตลาดศิลปะ หากแต่มีคุณค่าเชิงสัญลักษณ์ในฐานะงานของศิลปินที่เติบโตจากแผ่นดินเชียงราย และย้อนกลับมาสร้างสรรค์ให้กับวัดในท้องถิ่นของตนเอง การทุบทำลายโดยไม่ปรึกษาศิลปินจึงถูกมองว่าเป็นการ “ตัดขาดสายใย” ระหว่างศิลปิน ชุมชน และศาสนสถานอย่างน่าเสียดาย

ในมุมมองเชิงโครงสร้าง เหตุการณ์นี้ยังสะท้อนข้อจำกัดด้านระบบการคุ้มครองงานศิลปะร่วมสมัยในวัด ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานหรือมรดกทางวัฒนธรรมอย่างเป็นทางการ ทำให้ไม่มีกรอบการกำกับดูแลที่ชัดเจน วัดจำนวนมากจึงใช้ดุลยพินิจภายในตัดสินใจปรับปรุงอาคารตามความจำเป็น โดยไม่ได้มีที่ปรึกษาด้านศิลปะหรือสถาปัตยกรรมเข้ามาร่วมพิจารณาอย่างเป็นระบบ

เสียงสะท้อนและการยอมรับผิด จุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูความเชื่อมั่น

แม้เหตุการณ์ครั้งนี้จะสร้างความสะเทือนใจต่อผู้คนในวงกว้าง แต่การออกมายอมรับอย่างตรงไปตรงมาของรักษาการเจ้าอาวาสว่า “คิดไม่รอบด้าน” และ “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” รวมถึงการยอมยุติการรื้อถอนทันทีเมื่อศิลปินเดินทางมาพูดคุย ถือเป็นก้าวแรกของการฟื้นฟูความเชื่อมั่นระหว่างวัด ศิลปิน และชุมชน

อาจารย์เฉลิมชัยยืนยันต่อสาธารณชนว่า จากนี้ไปจะไม่มีการทุบหรือรื้อถอนเพิ่มเติม และจะให้ศิลปินเจ้าของผลงานคืออาจารย์สมลักษณ์และอาจารย์ทรงเดช เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบแนวทางปรับปรุงอาคาร เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานของวัด ในขณะเดียวกันก็พยายามรักษาและฟื้นฟูคุณค่าทางศิลปะเท่าที่จะทำได้

ท่าทีดังกล่าวส่งสัญญาณสำคัญไปยังวงการศิลปะและสาธารณชนว่า แม้ความเสียหายบางส่วนจะไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขได้ แต่กระบวนการ “รับผิด–ปรับแก้–ร่วมคิด” ที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ อาจกลายเป็นต้นแบบใหม่ของการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างการใช้ประโยชน์พื้นที่และการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมในอนาคต

บทเรียนเชิงนโยบาย จากกรณีศึกษาหนึ่งวัด สู่แนวคิดอนุรักษ์งานศิลป์ระดับจังหวัด

เมื่อพิจารณาในระดับกว้าง เหตุการณ์วัดป่าอ้อร่มเย็นไม่ได้เป็นเพียงปัญหาของวัดหนึ่งแห่ง แต่เป็น “กระจกสะท้อน” ระบบนิเวศศิลปวัฒนธรรมของเชียงรายและประเทศไทยในภาพรวม

ประการแรก กรณีนี้ชี้ให้เห็นความจำเป็นในการมี “กลไกปรึกษาหารือ” ระหว่างวัด ศิลปิน หน่วยงานท้องถิ่น และผู้เชี่ยวชาญด้านอนุรักษ์ ก่อนจะมีการรื้อถอนหรือปรับปรุงพื้นที่ที่มีงานศิลปะคุณค่า ในจังหวัดเชียงรายซึ่งมีวัดและสถานที่สำคัญที่ศิลปินร่วมสมัยสร้างผลงานไว้จำนวนมาก การจัดทำ “ฐานข้อมูลผลงานศิลป์ในวัด” อย่างเป็นระบบ จะช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถประเมินผลกระทบและวางแผนการปรับปรุงอาคารได้อย่างรอบคอบมากขึ้น

ประการที่สอง เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความจำเป็นของการสร้าง “ความรู้เท่าทันด้านศิลปะ” ให้แก่ผู้บริหารวัดและคณะกรรมการศาสนสถาน โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีแบรนด์ด้านศิลปะชัดเจน เช่น เชียงราย การอบรมหรือเวิร์กช็อประหว่างศิลปิน ผู้นำศาสนา และหน่วยงานรัฐ อาจช่วยลดโอกาสเกิดเหตุการณ์ “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” แบบเดียวกันนี้ในอนาคต

ประการที่สาม ในมิติของนโยบายวัฒนธรรมระดับจังหวัด กรณีนี้อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการทบทวนแนวทาง “เชียงรายเมืองศิลปะ” ว่าจะก้าวต่อไปอย่างไรให้สมดุลระหว่างการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ และการดูแลมรดกทางศิลปะที่กระจายอยู่ในวัดและชุมชนต่าง ๆ ทั่วจังหวัด

ปิดฉากด้วยคำเตือน “อย่าทำ” และคำชวน “มาดูด้วยตาตัวเอง”

ท้ายที่สุด อาจารย์เฉลิมชัยใช้เหตุการณ์นี้สื่อสารไปถึงพุทธศาสนิกชนและผู้สนใจงานศิลปะว่า ใครที่เดินทางมาเชียงรายและตั้งใจไปเยือนบ้านดอยดินแดง บ้านของอาจารย์สมลักษณ์ ควรแวะไปชมวัดป่าอ้อร่มเย็นที่ตำบลนางแล ซึ่งอยู่ก่อนถึงดอยดินแดง เพื่อสัมผัสผลงานที่ยังหลงเหลืออยู่ด้วยสายตาตนเอง พร้อมทั้งตระหนักถึงความเปราะบางของงานศิลปะที่อาจหายไปได้ในพริบตาหากขาดการดูแลอย่างเหมาะสม

ในขณะเดียวกัน เขาย้ำอย่างชัดเจนว่ากรณีนี้ควรเป็น “คลิปตัวอย่าง” ให้ทุกวัดและทุกหน่วยงานจำไว้ว่า

“อย่าทำ…อย่าทุบ อย่ารื้อ งานศิลปะทิ้ง โดยไม่คิดและไม่ปรึกษา เพราะความคิดง่าย ๆ แค่ขยายอาคาร หรืออยากให้ใช้ประโยชน์มากขึ้น หากไม่มองถึงคุณค่าทางศิลปะ มันอาจแลกมาด้วยการสูญเสียที่ไม่มีวันย้อนคืน”

เหตุการณ์ที่วัดป่าอ้อร่มเย็นจึงมิได้เป็นเพียงข่าวเศร้าของวงการศิลป์เชียงราย แต่เป็น “บทเรียนร่วมกัน” ของทั้งวัด ศิลปิน ชุมชน และหน่วยงานรัฐ ว่าการรักษามรดกทางศิลปะให้คงอยู่คู่สังคมไทยนั้น ต้องเริ่มจากการมองเห็นคุณค่าบนผืนดินของตนเอง ก่อนที่ผลงานอันล้ำค่าจะกลายเป็นเพียง “ภาพในความทรงจำ” ของผู้ที่เคยได้มีโอกาสเห็นมาก่อนเท่านั้น

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME