Categories
HEALTH

วิกฤตชีวิตใต้น้ำท่วม 6 วัน! แพทย์เตือนเด็กหาดใหญ่เสี่ยงภาวะช็อกสูงจาก “ขาดน้ำ-ขาดอาหาร”

วิกฤตชีวิตใต้น้ำท่วม 6 วัน! แพทย์เตือนเด็กเสี่ยงช็อกสูง “ขาดน้ำ-ขาดอาหาร” หาดใหญ่จมบาดาล

เชียงราย / สงขลา ,30 พฤศจิกายน 2568 – ภาพความทุกข์ยากของผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ไม่ได้จบลงเพียงแค่การสูญเสียบ้านเรือนและทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดที่ยืดเยื้อยาวนานกว่า 5-6 วัน ท่ามกลางน้ำท่วมสูงทะลุชั้น 2 ของบ้านเรือน โดยผู้ประสบภัยจำนวนมากต้องเผชิญกับภาวะ “ขาดน้ำสะอาด-ขาดอาหาร” อย่างต่อเนื่อง ขณะที่การช่วยเหลือยังเข้าไม่ถึงตัวเนื่องจากน้ำเชี่ยวและทีมช่วยเหลือไม่เพียงพอ

สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงยิ่งคือ เด็กเล็กและผู้สูงอายุที่ติดค้างอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าอาจเข้าสู่ภาวะอันตรายถึงชีวิตได้ทุกขณะ หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

ร่างกายเริ่มสู้กับตัวเอง วันที่ 5 ของความทุกข์ทรมาน

นับตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 ที่น้ำเริ่มท่วมเข้าบ้านเรือนในเขตอำเภอหาดใหญ่อย่างรวดเร็ว ผู้คนจำนวนมากไม่ทันหลบหนี ต้องขึ้นไปอาศัยอยู่บนชั้น 2 ของบ้านหรือบนหลังคา แต่ไม่นานน้ำก็ไล่ตามขึ้นมา จนในที่สุดหลายครอบครัวต้อง “แช่น้ำ” อยู่กับระดับน้ำสูงกว่า 2-3 เมตร โดยไม่มีทางหนีออกไปได้อีก

ภัทราพร ตั๊นงาม ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอส ที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เปิดเผยว่า หลายวันที่ผ่านมามีเคสขอความช่วยเหลือจำนวนมากแจ้งผ่านเข้ามาว่า “ขาดน้ำ ขาดอาหาร” มาตั้งแต่วันที่ 2 ของเหตุการณ์ ญาติหลายรายที่อยู่ภายนอกพื้นที่พยายามแจ้งข้อมูลแทน เพราะผู้ประสบภัยเองแบตเตอรี่มือถือหมดแล้ว ติดต่อกันไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์

“ถ้านับเวลา วันนี้ (26 พ.ย.2568) เป็นวันที่ 5-6 ของการแช่น้ำที่ท่วมอยู่ในบ้าน และมีบ้านเรือนจำนวนมากที่น้ำเข้าถึงชั้น 2 แล้ว ทำให้แต่ละครอบครัวต้องแช่น้ำกันอย่างไม่มีทางเลือก” ภัทราพร กล่าว

สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ เมื่อร่างกายต้องอดอาหารและขาดน้ำสะอาดเป็นเวลานาน ร่างกายจะเริ่ม “ต่อสู้กับตัวเอง” โดยใช้พลังงานสำรองที่มีอยู่จนหมด จนกระทั่งอวัยวะสำคัญต่างๆ เริ่มทำงานผิดปกติ และอาจนำไปสู่ภาวะอันตรายถึงชีวิตได้

เด็กเล็ก กลุ่มเสี่ยงสูงสุด ทนได้เพียง 2-5 วัน

แพทย์หญิงอรสุดา สมประสิทธิ์ กุมารแพทย์เฉพาะทางพัฒนาการและพฤติกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย ซึ่งมีประสบการณ์ในการดูแลผู้ประสบภัยพิบัติ ให้ข้อมูลสำคัญที่ทุกฝ่ายควรทราบว่า เด็กเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้

“โดยเฉลี่ยเด็กจะทนต่อการอดอาหารได้น้อยกว่าผู้ใหญ่ คือประมาณ 2-5 วันเท่านั้น เนื่องจากเด็กมีพลังงานสำรองน้อย มีอัตราการเผาผลาญพลังงานที่สูงกว่าผู้ใหญ่ ทำให้เด็กเกิดอันตรายจากภาวะขาดน้ำและอาหาร รวมถึงเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย” แพทย์หญิงอรสุดา อธิบาย

ข้อมูลนี้หมายความว่า เด็กที่ติดอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมหาดใหญ่มาครบ 5-6 วันแล้ว กำลังอยู่ในช่วงวิกฤตที่สุด หากไม่ได้รับอาหารและน้ำสะอาดภายใน 24-48 ชั่วโมงนี้ อาจเข้าสู่ภาวะอันตรายร้ายแรงได้

ที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าคือ เด็กบางรายอาจไม่ได้รับอาหารมาตั้งแต่วันที่ 2 ของเหตุการณ์ ซึ่งหมายความว่าได้อดอาหารไปแล้วมากกว่า 5 วัน เกินกว่าขีดจำกัดที่ร่างกายเด็กจะสามารถทนได้

ขาดน้ำอันตรายกว่าขาดอาหาร 24-48 ชั่วโมงตัดสินชีวิต

แพทย์หญิงอรสุดาเน้นย้ำว่า ในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ “การขาดน้ำ” อันตรายกว่า “การขาดอาหาร” หลายเท่าตัว เพราะน้ำเป็นพื้นฐานของการทำงานของร่างกายมนุษย์ ร่างกายมนุษย์มีน้ำเป็นองค์ประกอบถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ใช้ในการไหลเวียนของเลือด ควบคุมอุณหภูมิร่างกาย การพาพลังงานและออกซิเจนไปสู่อวัยวะต่างๆ รวมถึงการทำงานของอวัยวะสำคัญอย่างไต

“เมื่อร่างกายไม่มีน้ำเพียงพอ ความดันของเลือดจะลดลง ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น ในที่สุดไตจะหยุดทำงาน ยิ่งสำหรับเด็กที่ไตยังไม่แข็งแรงเท่าผู้ใหญ่ การขาดน้ำเพียง 24-48 ชั่วโมง จะทำให้เด็กเข้าสู่ภาวะช็อกจากการขาดน้ำ หรือที่เรียกว่า Hypovolemic Shock ได้” แพทย์หญิงอรสุดา เตือน

พญ.อรสุดา สมประสิทธิ์ กุมารแพทย์เฉพาะทางด้านพัฒนาการและพฤติกรรมเด็ก โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย

สัญญาณเตือนภัยที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องสังเกตในเด็กที่กำลังขาดน้ำ ได้แก่ เด็กร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาไหล ปากแห้ง ปัสสาวะออกน้อยหรือไม่ออกเลย เริ่มมีอาการซึมหรือง่วงผิดปกติ ปลายมือปลายเท้าเย็น และในเด็กเล็กอาจพบอาการกระหม่อมบุ๋มได้ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเด็กกำลังขาดน้ำอย่างรุนแรง

สัญญาณเหล่านี้หมายความว่า เด็กกำลังอยู่ในภาวะอันตราย ต้องได้รับการช่วยเหลือทันที มิฉะนั้นอาจสูญเสียชีวิตได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง

วิธีการรอดชีวิต เมื่อความช่วยเหลือยังไม่มา

ขณะที่รอการช่วยเหลือจากทีมกู้ภัย แพทย์หญิงอรสุดาให้คำแนะนำสำคัญแก่ผู้ที่กำลังติดอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมว่า ควรทำอย่างไรเพื่อยืดอายุการรอดชีวิตให้นานที่สุด

สิ่งสำคัญที่สุดคือ ลดการใช้พลังงาน ให้ได้มากที่สุด โดยควรลดการเคลื่อนไหว อาจนั่งหรือนอนพักให้มากที่สุด รักษาความอบอุ่นของร่างกาย ไม่ให้สูญเสียความร้อนมากเกินไป และที่สำคัญคือ ไม่ควรอยู่ในน้ำเป็นระยะเวลานานๆ เพราะจะทำให้ร่างกายสูญเสียความร้อนและพลังงานเร็วขึ้น

สิ่งที่ห้ามทำอย่างเด็ดขาดคือ ห้ามดื่มน้ำท่วมโดยตรง เพราะน้ำท่วมมีโอกาสปนเปื้อนเชื้อโรคและสารพิษต่างๆ มากมาย อาจทำให้เกิดโรคติดเชื้อทางเดินอาหารหรือโรคร้ายแรงอื่นๆ ตามมา นอกจากนี้ยังห้ามดื่มเครื่องดื่มที่กระตุ้นการขับน้ำ เช่น ชา กาแฟ หรือน้ำอัดลม เพราะจะทำให้ร่างกายขาดน้ำเร็วยิ่งขึ้น

หากมีอาหารฉุกเฉิน สิ่งที่ควรรับประทานได้แก่ ผงเกลือแร่ ORS ที่ละลายด้วยน้ำต้มสุกที่สะอาด น้ำต้มสุก กล้วย ขนมปังแห้ง หรือนมพาสเจอไรด์ แต่ต้องแน่ใจว่าอาหารเหล่านั้นผ่านความร้อนหรือสะอาดปลอดภัยก่อน

สำหรับเด็กเล็กเป็นพิเศษ ห้ามให้นมชงที่มาจากน้ำไม่สะอาดหรือน้ำที่ไม่ผ่านการต้ม และห้ามกินอาหารที่ไม่ผ่านความร้อนโดยเด็ดขาด เพราะเด็กเล็กมีภูมิคุ้มกันต่ำ เสี่ยงติดเชื้อได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่

อันตรายหลังรอดชีวิต ภาวะ Refeeding Syndrome

การรอดชีวิตจากสถานการณ์น้ำท่วมไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยไปตลอด แพทย์หญิงอรสุดาเตือนว่า หลังจากผู้ประสบภัยได้รับการช่วยเหลือแล้ว ยังต้องระวังภาวะแทรกซ้อนที่เรียกว่า Refeeding Syndrome หรือภาวะแทรกซ้อนจากการรับอาหารหลังอดอาหารนาน

“หลังจากร่างกายอดอาหารมาหลายวัน ระบบต่างๆ ในร่างกายจะปรับตัวเข้ากับสภาวะขาดอาหาร หากรับอาหารกลับเข้าไปอย่างรวดเร็วหรือมากเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้” แพทย์หญิงอรสุดาอธิบาย

การฟื้นฟูที่ถูกต้องต้องเริ่มจากการให้น้ำและเกลือแร่ในปริมาณน้อยๆ ก่อน ด้วยการจิบน้ำหรือให้ ORS ทีละน้อย จากนั้นค่อยให้อาหารอ่อนๆ เช่น โจ๊กอ่อน หรือนมเจือจาง ในปริมาณน้อยๆ ตลอดช่วง 48-72 ชั่วโมงแรก

ห้ามเริ่มด้วยอาหารมื้อใหญ่หรือหนักๆ ในคราวเดียว เพราะอาจทำให้ร่างกายรับไม่ไหว นอกจากนี้ยังต้องเฝ้าระวังอาการผิดปกติ เช่น หายใจเร็ว ซึมลง อ่อนแรง หรือเกิดภาวะบวมหลังได้รับความช่วยเหลือ หากพบอาการเหล่านี้ต้องรีบพบแพทย์ทันที

ภัยเงียบทางจิตใจ PTSD หลังรอดชีวิต

นอกจากภยันตรายต่อร่างกายแล้ว แพทย์หญิงอรสุดายังเน้นย้ำให้ติดตามดูแลผลกระทบทางจิตใจของเด็กและผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผู้ที่ผ่านเหตุการณ์ที่มีอันตรายถึงชีวิต หรือได้พบกับความสูญเสียอย่างรุนแรง

ภาวะทางจิตใจที่ต้องเผชิญกับความเครียดและวิตกกังวลอย่างรุนแรงอาจส่งผลต่อเนื่องเป็นโรคเครียดภายหลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนขวัญ หรือ Post Traumatic Stress Disorder (PTSD) ซึ่งมักจะแสดงอาการผ่านทางการฝันร้าย หวาดกลัว หลีกเลี่ยงสิ่งที่เตือนถึงเหตุการณ์น้ำท่วม มีปัญหาอารมณ์และการนอนหลับ พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง แยกตัว อาจแสดงอารมณ์เศร้า หรือก้าวร้าวผิดปกติ

“หากพบอาการเหล่านี้ในเด็กหรือผู้ใหญ่ อย่านิ่งนอนใจ ควรรีบไปพบผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตโดยเร็ว เพื่อได้รับการประเมินและรักษาที่เหมาะสม” แพทย์หญิงอรสุดา แนะนำ

เร่งช่วยก่อนสายเกินไป

ภัทราพร ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอส ที่ติดตามสถานการณ์และได้พูดคุยกับแพทย์หลายท่านที่เคยมีประสบการณ์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยในช่วงวิกฤตน้ำท่วม ต่างประเมินและสรุปสอดคล้องกันว่า สถานการณ์ที่ผู้ประสบภัยขาดน้ำและขาดอาหารมาแล้วอย่างน้อย 5 วัน และยังต้องอยู่ในภาวะแช่น้ำท่วมตัวแบบไม่มีที่ให้หนีพ้นน้ำได้อีก เป็นภาวะวิกฤตและอันตรายถึงชีวิตได้สูงมาก ควรได้รับการช่วยเหลือและดูแลทางการแพทย์อย่างเร่งด่วน

“ถ้าฝ่ายที่เกี่ยวข้องมองไม่เห็นประเด็นนี้ ไม่เร่งสั่งการจัดหาทีมเข้าไปถึงจุดที่ผู้คนกลุ่มนี้อยู่ให้เร็วที่สุด แนวโน้มความเสี่ยงที่จะสูญเสียชีวิตจะเพิ่มมากขึ้น” ภัทราพร เตือน

ขณะนี้ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา (สสจ.สงขลา) กำลังเร่งประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ที่น้ำท่วมหนักและทีมช่วยเหลือยังเข้าไม่ถึง โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์น้ำเชี่ยวและความไม่เพียงพอของทีมช่วยเหลือ ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การเข้าถึงผู้ประสบภัยบางรายล่าช้า สิ่งที่ต้องการเร่งด่วนที่สุดในขณะนี้คือ การเพิ่มจำนวนทีมกู้ภัยและอุปกรณ์ที่จำเป็น เพื่อเข้าถึงผู้ประสบภัยทุกรายก่อนที่จะสายเกินไป

วิกฤตน้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ทดสอบความพร้อมของระบบช่วยเหลือภัยพิบัติของประเทศ แต่ยังเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้เห็นว่า เวลาคือชีวิต สำหรับผู้ประสบภัย โดยเฉพาะเด็กเล็กที่มีเวลาในการรอดชีวิตจำกัดกว่าผู้ใหญ่หลายเท่า

การช่วยเหลือที่รวดเร็ว ถูกต้อง และทั่วถึง จะเป็นตัวกำหนดว่าจะมีชีวิตกี่ชีวิตที่รอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้ไปได้ และจะมีครอบครัวกี่ครอบครัวที่ไม่ต้องสูญเสียคนที่รักไปอย่างน่าเศร้า

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • แพทย์หญิงอรสุดา สมประสิทธิ์ กุมารแพทย์เฉพาะทางพัฒนาการและพฤติกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา (สสจ.สงขลา)
  • มูลนิธิกระจกเงา เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สสจ.เชียงราย จัดตั้งศูนย์ฉุกเฉิน ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม

การประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขในสสจ.เชียงรายหลังพายุไต้ฝุ่น

สถานการณ์อุทกภัยคลี่คลาย

สสจ.เชียงรายได้จัดการประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข หลังจากสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดจากพายุไต้ฝุ่นระลอกแรก ยางิ และซูลิก คลี่คลายลงแล้ว โดยการประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ณ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ผ่านระบบการประชุมออนไลน์

ผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่น

พายุไต้ฝุ่นที่ผ่านมาทำให้ประชาชนในพื้นที่เชียงรายได้รับผลกระทบมากถึงกว่า 63,491 ครัวเรือน เสียชีวิตทั้งหมด 19 ราย และบาดเจ็บกว่า 2,091 ราย นอกจากนี้ยังมีการเสียหายทางโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อมอย่างหนัก

การจัดตั้งทีมปฏิบัติการฉุกเฉิน

ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินฯ ได้จัดตั้งทีมต่าง ๆ ได้แก่ ทีมแพทย์ฉุกเฉิน (MERT/miniMERT), ทีมปฐมพยาบาล, ทีมเยียวยาจิตใจ (MCATT), ทีมเฝ้าระวังและสอบสวนโรค (SRRT/CDCU), ทีมอนามัยสิ่งแวดล้อม (SEhRT) และทีมกู้ชีพ เพื่อให้การดูแลประชาชนเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ทีมงานได้ให้บริการกว่า 38,180 ครั้ง และแจกจ่ายยาและเวชภัณฑ์จำเป็นกว่า 72,426 รายการ

การฟื้นฟูและการดูแลสุขภาพจิต

หลังจากสถานการณ์ฉุกเฉินคลี่คลายลง ศูนย์ฯ ได้เปลี่ยนภารกิจสู่การฟื้นฟูอย่างยั่งยืน โดยยังคงเฝ้าระวังโรคที่อาจเกิดขึ้นหลังน้ำลด เช่น โรคทางเดินหายใจ โรคฉี่หนู และโรคระบบทางเดินอาหาร รวมถึงการดูแลสุขภาพจิตของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

การสนับสนุนจากศูนย์ปฏิบัติการ

นพ.วัชรพงษ์ คำหล้า นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย กล่าวว่าศูนย์ปฏิบัติการได้ร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ อย่างเต็มที่ ตั้งแต่การเฝ้าระวังก่อนเกิดเหตุ จนถึงการดูแลและฟื้นฟูประชาชนที่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ยังขอความร่วมมือจากประชาชนในการทำความสะอาดที่พักอาศัย กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง และรักษาสุขอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคในระยะยาว

สรุปสถานการณ์และการดำเนินงาน

ในการประชุมศูนย์ฯ ได้สรุปสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย น้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่มในจังหวัดเชียงราย โดยพบว่าพายุไต้ฝุ่นระลอกแรกได้เสียชีวิต 5 ราย พายุยางิ 13 ราย และพายุซูลิก 1 ราย รวมทั้งหมด 19 ราย นอกจากนี้ ผู้ได้รับบาดเจ็บจากพายุไต้ฝุ่นระลอกแรก 7 ราย ยางิ 2,067 ราย และซูลิก 17 ราย

การดูแลและฟื้นฟูชุมชน

ศูนย์ฯ ได้เน้นการฟื้นฟูชุมชนให้ประชาชนกลับมามีสุขภาพแข็งแรงและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยสนับสนุนการทำความสะอาดสิ่งแวดล้อมและการดูแลสุขภาพประชาชนอย่างต่อเนื่อง ความห่วงใยจากทีมสาธารณสุขจะยังคงอยู่เคียงข้างประชาชนในทุกย่างก้าว

บทสรุป

การประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขในสสจ.เชียงรายเป็นการยืนยันถึงความพร้อมและความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินทางธรรมชาติ การทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพของทีมงานและหน่วยงานต่าง ๆ ทำให้สามารถช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงทีและต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News