Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กรมการท่องเที่ยวรับรอง 5 ชุมชนเชียงรายได้ CBT Standard หนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น

เชียงรายยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยว 5 ชุมชนคว้า “CBT Thailand Standard” ควบคู่สนามบินแม่ฟ้าหลวงติดตั้งสะพานเทียบอากาศยานใหม่ 2 ตัว ตอกย้ำ “คุณภาพ–ความปลอดภัย–ความยั่งยืน”

เชียงราย, 14 พฤศจิกายน 2568 – เช้าตรู่ฤดูหนาวเมื่อม่านหมอกปกคลุมแนวดอย แสงอาทิตย์ค่อย ๆ คลี่คลุมทุ่งนาสีทองและหมู่บ้านที่ขนาบด้วยกาแฟบนไหล่เขา จังหวัดเชียงรายประกาศ “ข่าวดีที่จับต้องได้” ให้กับภาคการท่องเที่ยวท้องถิ่น—5 ชุมชนท่องเที่ยวในพื้นที่พิเศษของเชียงรายผ่านการรับรองมาตรฐานการท่องเที่ยวโดยชุมชน (CBT Thailand Standard) ประจำปีงบประมาณ 2568 จากกรมการท่องเที่ยว ในห้วงเวลาเดียวกัน ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เดินหน้ายกระดับโครงสร้างสำคัญ โดย รื้อถอนและติดตั้งสะพานเทียบอากาศยานใหม่จำนวน 2 ตัว ภายใต้กระบวนการ Safety Risk Management (SRM) ตามมาตรฐานและคู่มือการดำเนินงานสนามบินอย่างเคร่งครัด

ภาพรวมดังกล่าวสะท้อน “สองเสาหลัก” ของการพัฒนาปลายทางคุณภาพ—มาตรฐานชุมชน ที่เข้มแข็ง และ มาตรฐานสนามบิน ที่ปลอดภัย—ทำให้ห่วงโซ่ประสบการณ์การเดินทางของผู้มาเยือน “มั่นใจได้ตั้งแต่ล้อแตะรันเวย์จนถึงหน้าบ้านชุมชน”

CBT Thailand Standard จากใบรับรองสู่ “สัญญาคุณภาพ” ของชุมชน

มาตรฐานการท่องเที่ยวโดยชุมชน CBT Thailand Standard ของกรมการท่องเที่ยวคือ “เครื่องมือยกระดับคุณภาพ” ที่ให้ชุมชนเป็นศูนย์กลาง (community-led) เพื่อพัฒนา การบริหารจัดการ–บริการ–ความปลอดภัย–วัฒนธรรม–สิ่งแวดล้อม อย่างสมดุล เป้าหมายไม่ใช่เพียงการต้อนรับผู้มาเยือน แต่คือการรับประกันว่าการท่องเที่ยวจะ “ทิ้งร่องรอยดี” ให้ชุมชน ทั้งในมิติรายได้ อัตลักษณ์ และระบบนิเวศ

รายชื่อชุมชนเชียงรายที่ผ่านการรับรอง (พ.ศ. 2568)

  • อำเภอแม่สาย
    • วิสาหกิจชุมชนกลุ่มท่องเที่ยวดอยผาหมี
    • วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเที่ยวดอยผาหมี
  • อำเภอแม่จัน
    • วิสาหกิจชุมชนวิถีไทย วิถียอง สันทางหลวง
    • วิถีไทย วิถียอง บ้านสันทางหลวง
  • อำเภอเชียงแสน
    • วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเมืองเชียงแสน
  • อำเภอเมืองเชียงราย
    • วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี บ้านเมืองรวง ตำบลแม่กรณ์

คำสำคัญของมาตรฐาน (Key Themes)

การบริหารจัดการที่ดี, เศรษฐกิจท้องถิ่นเข้มแข็ง, คงอัตลักษณ์วัฒนธรรม, รักษาสิ่งแวดล้อม, และ บริการ–ความปลอดภัยได้มาตรฐาน — 5 หัวใจนี้ทำให้ “การต้อนรับ” ของชุมชนกลายเป็น “ระบบคุณภาพที่ตรวจสอบได้” ไม่ใช่เพียงมิตรไมตรีแบบปากต่อปาก

เมื่อเรื่องเล่าท้องถิ่นถูกยกระดับด้วยมาตรฐาน

  • ดอยผาหมี – แม่สาย ภูมิทัศน์ชายแดน กาแฟบนไหล่ดอย และวัฒนธรรมอาข่า

ชุมชนบนไหล่ดอยที่เห็นเส้นขอบฟ้ากั้นไทย–เมียนมา โดดเด่นด้วยวิถีกาแฟคุณภาพและพิธีกรรมชุมชนอาข่า เมื่อได้รับการรับรองมาตรฐาน CBT การจัดการเส้นทางเดินป่า มัคคุเทศก์ท้องถิ่น อาหารพื้นถิ่น และระบบความปลอดภัย จึงถูกยกขึ้นเป็น “มาตรฐาน” ที่สื่อสารร่วมกันระหว่างผู้ให้บริการ–ผู้มาเยือน–หน่วยงานกำกับดูแล

  • วิถียอง สันทางหลวง – แม่จัน หัตถกรรม–เกษตรปลอดภัย–ธรรมาภิบาลชุมชน

อัตลักษณ์ “ไทยอง” ถ่ายทอดผ่านผืนผ้าและครัวท้องถิ่น เชื่อมโยงกับเกษตรปลอดภัยและระบบชุมชนเข้มแข็ง การยกระดับมาตรฐานเปิดทางให้กิจกรรมเรียนรู้ (workshop) และเส้นทางวัฒนธรรมรองรับผู้คนได้ “มากขึ้นอย่างยังยืน” โดยยังคงความแท้จริงของวิถีเดิม

  • เมืองเชียงแสน – ริมโขง จากมรดกประวัติศาสตร์สู่ประสบการณ์สร้างสรรค์

เมืองโบราณที่ผสาน “จิตวิญญาณล้านนา–สายน้ำโขง–ประวัติศาสตร์การค้า” ลงในกิจกรรมร่วมสมัย เช่น เส้นทางวัดเก่า เวิร์กช็อปงานสร้างสรรค์ อาหารถิ่น และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ มาตรฐาน CBT ช่วยจัดวาง “ลำดับเรื่องเล่า” ให้สื่อสารกับผู้มาเยือนอย่างเป็นระบบ และปลอดภัย

  • บ้านเมืองรวง – ต.แม่กรณ์ เมืองเชียงราย OTOP นวัตวิถี–เศรษฐกิจหมุนเวียน

การจัดการขยะของชุมชนถูกต่อยอดเป็นนวัตกรรม “ดินบ้านเมืองรวง” กิจกรรมศึกษาดูงาน/CSR และศูนย์เรียนรู้ด้านคุณภาพชีวิต เน้น “สะอาด–เป็นระเบียบ–เรียนรู้ได้จริง” สอดรับ CBT ในเสาหลักสิ่งแวดล้อม–เศรษฐกิจท้องถิ่น–บริการ

สาระสำคัญร่วม มาตรฐานทำให้ “ความดีงามที่มีอยู่แล้ว” กลายเป็น “ระบบที่ทุกคนเข้าใจร่วมกัน”—ตั้งแต่วิธีรับแขก ความปลอดภัยกิจกรรม แผนฉุกเฉิน สุขอนามัยอาหาร ไปจนถึงสื่อความหมายสองภาษา

 ด้านอากาศยาน สะพานเทียบอากาศยานใหม่ 2 ตัว – คุณภาพประสบการณ์เริ่มที่ “ประตูเมือง”

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย อยู่ระหว่างดำเนินงาน รื้อถอน–ติดตั้งสะพานเทียบอากาศยานใหม่จำนวน 2 ตัว ซึ่งเป็น Change Management ที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานภาคพื้นและการสัญจรของผู้โดยสารโดยตรง จึงต้อง ประเมินความเสี่ยง–กำหนดมาตรการควบคุม–สื่อสาร–ฝึกอบรมบุคลากร–ติดตามผล ตามกระบวนการ Safety Risk Management (SRM) และคู่มือการดำเนินงานสนามบิน

ความหมายเชิงระบบของงานนี้

  • ความปลอดภัยมาก่อน กำหนดเขตกั้น–ป้ายเตือน–แผนจราจรภาคพื้น–ขั้นตอนขึ้นลงเครื่องที่รัดกุม
  • คุณภาพการให้บริการ ยกระดับความสะดวก ลดจุดคอขวด เพิ่มความเชื่อมั่นด้านเวลา (on-time performance)
  • เชื่อมโยงสู่ชุมชน “การเดินทางที่ราบรื่น” ที่สนามบิน คือจุดเริ่มต้นของ “ความประทับใจ” ก่อนถึงชุมชน CBT

เมื่อ “ประตูเมือง” (สนามบิน) ลงทุนในความปลอดภัย–คุณภาพ พร้อมกับ “หมู่บ้านปลายทาง” (ชุมชน) ลงทุนในมาตรฐาน–สิ่งแวดล้อม–วัฒนธรรม เศรษฐกิจท่องเที่ยวเชิงคุณภาพของเชียงรายจึงมี “รางวิ่งคู่” ที่ประสานกันได้จริง

ทำไม “มาตรฐาน” จึงสำคัญต่อเศรษฐกิจชุมชน

  1. ความเชื่อมั่น = รายได้ที่ยั่งยืน
    มาตรฐานช่วยให้ผู้ซื้อทัวร์/องค์กร/นักท่องเที่ยวต่างชาติ “มั่นใจล่วงหน้า” ว่าประสบการณ์ได้คุณภาพ–ปลอดภัย–เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โอกาสรับกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ (จ่ายต่อหัวสูง อยู่ยาว เรียนรู้ลึก) จึงเพิ่มขึ้น
  2. การคุ้มครองอัตลักษณ์ = ความต่างที่มีมูลค่า
    CBT ไม่ใช่แค่ “ไปเที่ยวบ้าน” แต่คือ “ไปเรียนรู้ระบบคุณค่า” ของวัฒนธรรม–ทรัพยากร–ผู้คน มาตรฐานจึงทำหน้าที่เป็น “รั้ว” ป้องกันการบิดเบือนอัตลักษณ์เพื่อการค้า
  3. บริการ–ความปลอดภัย = ใบอนุญาตสู่ตลาดสากล
    มาตรฐานด้านความปลอดภัยและบริการทำให้ชุมชนพร้อมรับข้อกำหนดตลาดสากลและกลุ่มองค์กร (เช่น study tour, CSR, MICE ชุมชน)

กล่องข้อมูล (FACT BOX) CBT Thailand Standard – จังหวัดเชียงราย (พ.ศ. 2568)

  • แม่สาย ดอยผาหมี (2 วิสาหกิจชุมชน)
  • แม่จัน วิถียองสันทางหลวง (2 หน่วย)
  • เชียงแสน เมืองเชียงแสน (1 วิสาหกิจชุมชน)
  • เมืองเชียงราย บ้านเมืองรวง ต.แม่กรณ์ (1 วิสาหกิจชุมชน)

สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย – โครงการปัจจุบัน

  • งาน รื้อถอน–ติดตั้ง สะพานเทียบอากาศยาน 2 ตัว
  • กรอบ Change Management + Safety Risk Management (SRM)
  • เป้าหมาย ความปลอดภัย–ความสะดวก–ความตรงเวลา

ข้อเสนอเชิงนโยบาย–การขยายผล

  • แผนสื่อสาร “เส้นทางมาตรฐาน” ทั้งจังหวัด
    จัดทำแผนสื่อสารเชื่อม สนามบิน–เมือง–ชุมชน CBT เป็น “เส้นทางคุณภาพ” เดียวกัน พร้อมข้อมูลภาษาไทย–อังกฤษ (capacity ต่อวัน, วิธีจอง, แนวปฏิบัติความปลอดภัย, มารยาทชุมชน)
  • Open Data & Dashboard ชุมชน
    เผยแพร่ข้อมูลเปิดด้านกิจกรรม–รองรับนักท่องเที่ยว–มาตรการสิ่งแวดล้อม–ข้อควรปฏิบัติ ช่วยผู้ประกอบการวางแผน ลด “โอเวอร์โหลด” และเสริม “ความโปร่งใส”
  • Upskill ความปลอดภัย–สิ่งแวดล้อม–ภาษา–ดิจิทัล
    ต่อยอดทักษะมัคคุเทศก์ท้องถิ่น แผนฉุกเฉิน กิจกรรมที่เป็นมิตรต่อกลุ่มเปราะบาง และทักษะด้านภาษา/การสื่อสารดิจิทัล เพื่อรองรับตลาดพรีเมียมและความหลากหลายของผู้มาเยือน
  • Circular Economy ในทุกชุมชน
    ยกระดับบทเรียนจาก บ้านเมืองรวง ให้เป็นโมดูลฝึกอบรมเรื่อง “ขยะสู่มูลค่า”–นวัตกรรมชุมชน ลดการปล่อยของเสีย และสร้างรายได้เสริม
  • กลไกติดตาม–ประเมินผล (Quarterly Review)

    ตั้งคณะทำงานจังหวัดติดตาม ตัวชี้วัด CBT รายไตรมาส (เศรษฐกิจ, สังคม, สิ่งแวดล้อม, ความพึงพอใจนักท่องเที่ยว) เพื่อให้มาตรฐาน “มีชีวิต” และ “ปรับปรุงต่อเนื่อง”

มุมมองจากโซ่อุปทานท่องเที่ยว เมื่อ “มาตรฐาน” เป็นภาษากลาง

  • นักท่องเที่ยว ได้ “สัญญาคุณภาพ” ตั้งแต่ลงเครื่องถึงหมู่บ้าน
  • ผู้ประกอบการ มี “กรอบปฏิบัติ” ชัดเจน ขยายธุรกิจบนฐานคุณภาพ
  • หน่วยงานรัฐ/ท้องถิ่น ใช้ “ตัวชี้วัดเดียวกัน” ในการประเมิน–สนับสนุน
  • ชุมชน ได้ “อำนาจต่อรอง” สูงขึ้น เพราะคุณภาพและมาตรฐานคือสินทรัพย์ร่วม

การที่ 5 ชุมชนของเชียงราย ผ่านการรับรอง CBT Thailand Standard ในปีงบประมาณ 2568 พร้อม ๆ กับการยกระดับ สะพานเทียบอากาศยาน 2 ตัว ที่สนามบินแม่ฟ้าหลวง ไม่ใช่เพียงเหตุบังเอิญของเวลา แต่คือ “แผนที่เดียวกัน” ของการพัฒนาที่มองเห็น “คุณภาพและความปลอดภัย” เป็นแกนกลางเดียวกัน หากจังหวัดสามารถทำให้ “ภาษาเดียวของมาตรฐาน” ไหลลื่นจากประตูสนามบินสู่ปลายทางในหมู่บ้าน เชียงรายจะยืนอยู่ในตำแหน่ง “ปลายทางคุณภาพอย่างยั่งยืน” ที่ ใครมาเยือนก็มั่นใจ ใครอยู่จึงภาคภูมิใจ และใครเกี่ยวข้องก็เติบโตไปด้วยกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมการท่องเที่ยว (Department of Tourism)
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

มุมไบ–เชียงราย บินตรงใกล้จริง! IndiGo เล็งเปิดเส้นทาง หนุนอินเดียเที่ยวไทยพุ่ง

IndiGo เล็งเปิดบินตรง “มุมไบ–เชียงราย” ปักธงเมืองรองไทย หนุนนักท่องเที่ยวอินเดียแตะหลักหลายล้าน–ดัน CEI สู่ “ประตูภาคเหนือ”

เชียงราย, 28 กันยายน 2568 — กระแสข่าวจากเพจ Hflight ซึ่งเชี่ยวชาญข่าวด้านท่องเที่ยวและการบิน รวมรีวิวสายการบิน โรงแรม ร้านอาหารและท่องเที่ยว และทั้งฝั่งหน่วยงานกำกับดูแลการบินของไทยและรายงานสื่อกระแสหลัก สะท้อนภาพเดียวกันว่า IndiGo (รหัส 6E) สายการบินขนาดใหญ่ที่สุดของอินเดีย กำลังพิจารณาเปิด “เส้นทางตรง มุมไบ (BOM)–เชียงราย (CEI)” ภายใต้ยุทธศาสตร์บุก Secondary Cities ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเพิ่มทางเลือกการเดินทางให้ชาวอินเดียที่กำลังซื้อสูงและเพิ่มศักยภาพรายได้ท่องเที่ยวให้ไทย โดยมี “เชียงราย” เป็นหนึ่งในจุดหมายที่ถูกหยิบขึ้นหารือกับ CAAT อย่างเป็นทางการ และถูกระบุชื่อร่วมกับ อุดรธานี สุราษฎร์ธานี และหาดใหญ่ ในแผนสำรวจเส้นทางใหม่ของสายการบินจากอินเดียรายนี้วันนี้ด้วย

จากห้องประชุมกำกับดูแล สู่หน้าต่างโอกาสของเมืองเหนือ

ต้นสัปดาห์นี้ ผู้บริหาร IndiGo ได้เข้าพบ พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการ CAAT เพื่อหารือความเป็นไปได้ของเส้นทางตรงสู่เมืองรองไทยหลายแห่ง โดยโพสต์ของ CAAT ระบุชัดถึง “ความประสงค์ขยายเส้นทางบินมายังประเทศไทย” พร้อมยกตัวอย่างเมืองเป้าหมายเชิงระบบที่ไม่ใช่แค่กรุงเทพฯ–ภูเก็ต แต่เป็นสนามบินภูมิภาคที่ไทยต้องการกระจายรายได้ท่องเที่ยวอย่างแท้จริง ซึ่งในลิสต์นั้น เชียงราย ถูก “ปักหมุด” เป็นหนึ่งในตัวเลือกสำคัญ

ในเชิงนโยบาย สัญญาณดังกล่าวสอดรับกับความพยายามของรัฐบาลไทยในการ “ดึงตลาดอินเดีย” ให้ขยายตัวต่อเนื่อง หลังปี 2024 ททท. ประกาศความสำเร็จ “ต้อนรับนักท่องเที่ยวอินเดียคนที่ 2,000,000” ที่สุวรรณภูมิ และปี 2025 แม้ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมของไทยจะอ่อนตัวลงบ้าง แต่บทบาทของตลาดอินเดียยังถูกประเมินว่าเป็น “แรงขับเคลื่อนหลัก” ที่สามารถชดเชยได้ในหลายช่วงฤดูกาล

ทำไม “BOM–CEI” มีเหตุผล ลดเวลาบินมากกว่า 50% ชนะทั้งเวลา–ความสะดวก

ปัจจุบัน การเดินทางจาก มุมไบ–เชียงราย ต้อง “ต่อเครื่องอย่างน้อย 1 ครั้ง” ส่วนใหญ่ผ่าน กรุงเทพฯ (BKK/DMK) ใช้เวลารวม อย่างต่ำราว 9 ชั่วโมง ขณะที่กรณี “บินตรง” ตามระยะทางจริงของเส้นทางนี้ ใช้เวลาบินประมาณ 3 ชั่วโมง 45 นาที–4 ชั่วโมง เท่านั้น หมายถึง “ผู้โดยสารประหยัดเวลาเดินทางได้มากกว่าครึ่งหนึ่ง” ความแตกต่างเรื่องเวลาเช่นนี้เป็นตัวแปรหลักที่กระตุ้นการตัดสินใจในตลาด Point-to-Point โดยเฉพาะนักเดินทางพักผ่อน กลุ่ม MICE และงานแต่งงานปลายทาง ที่ให้ความสำคัญกับความแน่นอนของตารางและการบริหารงบประมาณต่อหัว

ในเชิงฝูงบิน IndiGo ใช้ตระกูล Airbus A320neo/A321neo เป็นแกนหลักของโมเดลต้นทุนต่ำ (LCC) การนำเครื่องลำตัวแคบที่ประหยัดเชื้อเพลิงมาบินช่วงระยะกลาง (ประมาณ 2,800–2,900 กิโลเมตร) ทำให้โครงสร้างต้นทุนต่อหน่วย (CASM) ต่ำเพียงพอที่จะตั้ง “ราคาเปิดตลาด” แข่งขันได้ ขณะเดียวกันยังสามารถรักษามาตรฐานเวลาหมุนกลับเครื่อง (turnaround) ที่รวดเร็วตามสูตรสำเร็จของ LCC ได้ด้วย

บทพิสูจน์ “Go-Beyond” เปิดกระบี่แล้วถึงคิวเมืองรองถัดไป

ไทม์ไลน์ปี 2025 แสดงให้เห็นว่า IndiGo ไม่ได้พูดถึงเมืองรองไทยไว้ลอย ๆ แต่ “ทำจริง” มาแล้วกับการเปิดเส้นทางตรงจาก มุมไบ/บังกาลอร์–กระบี่ เมื่อเดือนมีนาคม–เมษายน 2025 ตามข่าวและเอกสารเผยแพร่ของสายการบินเอง ความสำเร็จนี้ทำให้โมเดล “เมืองรองไทย” ของ IndiGo มีเคสอ้างอิง และเพิ่มความเชื่อมั่นว่าเชียงรายสามารถเดินตามรอยได้ หากตัวแปรฝั่งโครงสร้างพื้นฐานสนามบินและอุปสงค์ตลาดขาเข้ารองรับเพียงพอ

เชียงรายพร้อมแค่ไหน AOT อนุมัติลงทุน 5.7 พันล้าน–ตั้งเป้าเพิ่มศักยภาพระยะยาว

ด้าน ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI) ผู้บริหาร AOT อนุมัติ “โครงการอาคารผู้โดยสารใหม่” วงเงิน 5.7 พันล้านบาท และวางพิมพ์เขียวให้พื้นที่ MRO ราว 50 ไร่ เพื่อเสริมขีดความสามารถรองรับเที่ยวบินระหว่างประเทศและกิจกรรมการบินที่ซับซ้อนกว่าเดิมในอนาคตอันใกล้ การเดินเครื่องลงทุนดังกล่าว แม้ต้องใช้เวลาพอสมควร คือ “สัญญาณบวก” ต่อสายการบินที่กำลังชั่งน้ำหนักเส้นทางใหม่ในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

เศรษฐศาสตร์ของเส้นทาง ความต้องการที่ถูกกักอยู่ และสิทธิประโยชน์ผู้บุกเบิก

ฐานตลาดอินเดีย ไปไทย “มีของจริง” รองรับอย่างชัดเจนปี 2024 แตะ 2 ล้านคน ส่วนปี 2025 แม้ภาพรวมต่างชาติของไทยลดลงตามฤดูกาลและภาวะเศรษฐกิจ แต่ตัวเลขกลางปีสะท้อนว่าตลาดอินเดียยังขยายได้ดี และยังเป็นเป้าหมายในเชิง “คุณภาพรายได้ต่อหัว” สำหรับจุดหมายปลายทางใหม่ ๆ ของไทย หากเปิดบินตรงที่สะดวกกว่า

นอกจากนั้น เส้นทาง BOM–CEI ยังให้อานุภาพ First-Mover Advantage แก่ IndiGo เพราะ ยังไม่มีคู่แข่งบินตรง ในตลาดนี้ สายการบินจึงสามารถ “ออกแบบผลิตภัณฑ์และราคา” ได้ยืดหยุ่นกว่าการชนบนเส้นทางหลักที่มีผู้เล่นหนาแน่น เช่น มุมไบ–กรุงเทพฯ ทั้งฝั่ง FSC และ LCC การเริ่มด้วยความถี่ 3–4 เที่ยว/สัปดาห์ ปรับตามฤดูกาลท่องเที่ยวเหนือ (พฤศจิกายน–มีนาคม) จะช่วยจัดการ Load Factor และ Yield ในปีแรกได้อย่างระมัดระวัง

ผลประโยชน์ชุมชน จาก “เมืองผ่าน” สู่ “จุดหมาย” ของอินเดีย

เมื่อเส้นทางตรงเปิดใช้งาน เชียงราย จะเปลี่ยนสถานะจาก “เมืองที่ต้องต่อเครื่อง” เป็น “จุดหมายปลายทาง” ของนักเดินทางอินเดียอย่างเต็มตัว เครือโรงแรม รีสอร์ต ผู้ประกอบการท่องเที่ยว และ MICE ในภาคเหนือจะได้รับอานิสงส์โดยตรง ทั้งงานประชุม–ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม–งานแต่งปลายทาง ขณะที่ห่วงโซ่ท่องเที่ยวตั้งแต่ร้านอาหาร แหล่งท่องเที่ยวเชิงชุมชน ไปจนถึงผู้ให้บริการขนส่งท้องถิ่น จะมีโอกาสเชื่อมโยงกับ “ตลาดอินเดีย” ที่มีค่าใช้จ่ายต่อทริปค่อนข้างสูงเมื่อเทียบตลาดมวลชนอื่น

ความท้าทายที่ต้องจัดการ ภาคพื้น CEI–การสื่อสารตาราง–ฤดูกาลท่องเที่ยว

อย่างไรก็ดี ความสำเร็จของเส้นทางใหม่ขึ้นกับ “สามเงื่อนไข” สำคัญ

  1. ความพร้อมภาคพื้นสนามบิน แม้ AOT จะลงทุนขยาย CEI แล้ว แต่ในระยะเริ่มต้นจำเป็นต้องจัดการช่องตรวจคนเข้าเมือง/ศุลกากร/บริการโหลดกระเป๋าให้ไหลลื่นตามมาตรฐาน LCC เพื่อให้เวลาหมุนกลับเครื่องสั้นที่สุด (ตรงนี้ต้องออกแบบร่วมกันระหว่างสายการบิน–ผู้ให้บริการภาคพื้น–AOT)
  2. การสื่อสารตารางบินและโปรฯ เปิดตลาด กลยุทธ์ราคาช่วงเปิดเส้นทางต้อง “ชัดและต่อเนื่อง” เพื่อย้ายพฤติกรรมจากการต่อเครื่องผ่านกรุงเทพฯ สู่การใช้ไฟลต์ตรง รวมถึงความร่วมมือการตลาดกับ ททท. และพันธมิตร MICE ในอินเดีย
  3. ฤดูกาลท่องเที่ยภาคเหนือพีคช่วงปลายปี–ไตรมาสแรก การบริหารความถี่/ขนาดเครื่องบินช่วงนอกฤดู (พ.ค.–ก.ย.) ต้องใช้ Yield Management และรายได้เสริมบนเที่ยวบิน (Ancillary) มาช่วยพยุงผลประกอบการ

ตัวเลขที่ “บอกเรื่อง” บริบทการท่องเที่ยวปี 2025 และโอกาสของเส้นทาง

  • นักท่องเที่ยวต่างชาติรวม ไทยช่วงมกราคม–กันยายน 2025 ลดลงราว 7.44% YoY อยู่ที่ 23.45 ล้านคน รัฐบาลหั่นคาดการณ์ทั้งปีเหลือ 33 ล้านคน แปลว่า “พื้นที่ว่าง” ในการกระตุ้นตลาดใหม่ยังมีอยู่มาก และตลาดอินเดียถูกวางบทบาทให้ช่วยอุดช่องว่างนี้ในเชิงนโยบาย 
  • อินเดีย–ไทย ปี 2024 แตะ 2 ล้านคน (เหตุการณ์ฉลอง 16 ธ.ค. 2024) คือฐานอุปสงค์ที่พิสูจน์แล้ว หากเพิ่มจุดหมายปลายทางที่บินตรงอย่าง เชียงราย ศักยภาพจะขยายได้ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพรายได้

คำกล่าวอ้างอิงเชิงนโยบาย (พิเศษ)

รายงานของสื่อไทยวันนี้ระบุท่าทีของ CAAT หลังการหารือว่า IndiGo “มองเมืองรองไทย” เพื่อช่วยผลักดันยอดนักท่องเที่ยวอินเดียเกิน 2 ล้านคน/ปี อย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันโพสต์ทางการของ CAAT ยืนยันการเข้าพบของผู้บริหาร IndiGo และทิศทางการหารือเชิงบวกต่อ Udon Thani, Surat Thani, Hat Yai, Chiang Rai ซึ่งสอดคล้องกับกรอบยุทธศาสตร์ “กระจายรายได้ท่องเที่ยวสู่ภูมิภาค” ของไทยในระยะต่อไป

“CEI ยังเล็กไปหรือไม่” และ “AOT จะทันหรือเปล่า”

คำถามยอดฮิตคือ CEI จะรองรับไฟลต์ระหว่างประเทศประจำเพิ่มขึ้นได้แค่ไหน คำตอบเชิงโครงสร้างคือ “AOT อนุมัติแผนขยาย 5.7 พันล้าน” แล้ว และได้วางแนวทางพัฒนา MRO เสริมความมั่นคงด้านเทคนิคการบินในระยะยาว แม้ก่อสร้างจริงต้องใช้เวลา แต่สำหรับเฟสเปิดเส้นทางแรก ๆ การบริหารจัดการฝั่ง ภาคพื้น–ตรวจคนเข้าเมือง–ศุลกากร ให้สอดรับเวลาหมุนเครื่องของ LCC จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่า CEI พร้อม “รับแขกจากมุมไบ” แค่ไหนและนี่คือจุดที่หน่วยงานในพื้นที่กับสายการบินต้อง “ล็อกแผนร่วมกัน” ให้เร็วที่สุด

ข้อเสนอเชิงปฏิบัติ (สำหรับทุกฝ่าย)

  • IndiGo เริ่มด้วยความถี่ 3–4 เที่ยว/สัปดาห์ กำหนดเวลาออกจาก BOM เช้ามืด–ถึง CEI ช่วงสาย เพื่อให้ผู้โดยสาร “เที่ยวได้เต็มวัน” และจัดโปรแกรม Joint Marketing กับ ททท./TCEB เจาะกลุ่ม Leisure + MICE + Destination Wedding
  • AOT/ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จัด Dedicated Lanes ตม./ศุลกากร และข้อกำหนดภาคพื้นสำหรับ LCC (SLA เวลาออก–เข้า–โหลดสัมภาระ) ช่วงเปิดเส้นทาง พร้อมสื่อสาร Passenger Journey ให้ชัดบนทุกช่องทางสนามบิน
  • CAAT พิจารณา “มาตรการจูงใจค่าธรรมเนียม” ระยะ 12–24 เดือนแรกสำหรับเส้นทางเมืองรอง และคงความต่อเนื่องมาตรการอำนวยความสะดวกด้านวีซ่า/ดิจิทัลอไรวัล เพื่อคงแรงส่งตลาดอินเดีย

“มุมไบ–เชียงราย” ไม่ใช่เพียงเส้นตรงบนแผนที่ แต่คือ “สะพานเศรษฐกิจ–วัฒนธรรม” ระหว่าง ภาคเหนือของไทย กับ มหานครการเงินของอินเดีย ถ้าทุกตัวแปรเครื่องบินที่เหมาะสม ราคาที่เข้าถึงได้ ภาคพื้นสนามบินที่พร้อม และนโยบายสนับสนุนถูกจัดวางอย่างถูกที่ถูกเวลา เส้นทางนี้จะเปลี่ยน เชียงราย จาก “เมืองที่ต้องต่อเครื่อง” สู่ “จุดหมายปลายทาง” ของชาวอินเดียอย่างแท้จริง และช่วยขับเคลื่อนตัวเลขท่องเที่ยวไทยในปีที่ความผันผวนสูงให้กลับมามีทิศทางที่มั่นคงมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • CAAT
  • IndiGo
  • Hflight
  • Thai/International Aviation News
  • TAT Newsroom & สื่ออินเดีย
  • Reuters
  • Flight-time reference
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ทอท. ผงาดเวที ICAO “ดร.สมชนก” นำคณะทำงานยกระดับมาตรฐานสนามบินเอเชีย-แปซิฟิก

ทอท.ผงาดเวทีบินสากล—“นาวาอากาศตรี ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์” ขับเคลื่อนคณะทำงาน ICAO ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ยกระดับมาตรฐานสนามบินไทยสู่ระดับโลก

เชียงราย, 21 กันยายน 2568 — ยามเช้าที่หมอกบางโอบล้อมแนวเทือกเขาเหนือสุดของสยาม เสียงเดินเครื่องของรถบริการภาคพื้นบนรันเวย์ “แม่ฟ้าหลวง–เชียงราย” ดังเป็นจังหวะ งานทุกชิ้นที่สนามบินต้อง “เป๊ะ” ในระดับเซนติเมตร ตั้งแต่ตำแหน่งหลุมจอดไปจนถึงความกว้างเส้นสีเหลืองบนพื้นคอนกรีต เพราะมาตรฐานความปลอดภัยทางการบินวันนี้ไม่ได้หยุดอยู่ที่ “ทำตามคู่มือ” แต่กำลังยกระดับสู่ “ออกแบบมาตรฐานร่วมกัน” ในเวทีนานาชาติ—และคนไทยกำลังอยู่หน้าห้องประชุมคุมทิศ

บนเวทีนั้นคือ นาวาอากาศตรี ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานมาตรฐานท่าอากาศยานและการบิน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) และผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย ผู้ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่ ประธานคณะทำงาน Asia/Pacific Aerodrome Design and Operations Task Force (AP-ADO/TF) ภายใต้องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ต่อเนื่องในช่วงการประชุมวาระล่าสุดของคณะทำงานชุดนี้ ซึ่งมีสาระสำคัญว่าด้วย “มาตรฐาน” และ “ข้อแนะนำพึงปฏิบัติ (SARPs)” สำหรับการ วางแผน-ออกแบบ-ปฏิบัติการท่าอากาศยาน ให้เท่าทันความเสี่ยงและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในโลกการบินที่เปลี่ยนเร็ว (เช่น ระบบไฟส่องสว่าง, เส้นเครื่องหมาย, ระยะห่างไฟขอบทางวิ่ง, มาตรฐานพื้นที่ปลอดภัยปลายรันเวย์ RESA ฯลฯ) โดยยึดกรอบแกนกลางจาก ICAO Annex 14 Volume I: Aerodrome Design and Operations ซึ่งเป็น “คัมภีร์สนามบิน” ของโลกการบินพลเรือนยุคใหม่

จากเจ้าภาพ “เวทีเทคนิค” สู่ผู้นำความคิดของภูมิภาค

บทบาทของไทยไม่ได้เกิดจาก “คำประกาศ” แต่สะสมจาก “การทำจริง” หลายปีติดต่อกัน—เชียงราย ในฐานะสนามบินภูมิภาค ได้รับความเชื่อมั่นให้เป็นเจ้าภาพประชุม AP-ADO/TF ติดต่อกัน และถูกใช้เป็น “สนามเรียนรู้จริง” ให้ผู้แทนจากนานาชาติลงพื้นที่ดูการปฏิบัติการ airside ก่อนถอดบทเรียนเชิงมาตรฐานในห้องประชุม กว่า 13 ประเทศเข้าร่วมเมื่อครั้งประชุมปี 2567 ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเป็นสถานที่หลัก โดยมี นาวาอากาศตรี ดร.สมชนก ทำหน้าที่ประธานคุมวาระอย่างต่อเนื่อง สะท้อนความไว้วางใจของภาคี ICAO ในระดับภูมิภาคที่มีต่อประเทศไทยและทอท. ในเชิงเนื้อหาและการประสานความร่วมมือข้ามประเทศ

น้ำหนักของเวทีนี้ไม่ใช่ “พิธีการ” แต่คือการไล่แก้โจทย์ยาก ๆ ที่สนามบินทั่วโลกกำลังเผชิญ เช่น ค่าความคลาดเคลื่อน (tolerance) ของขนาด-ระยะ-ตำแหน่ง เส้นเครื่องหมายบนพื้นผิว และ การติดตั้งไฟส่องสว่าง ซึ่งหากมาตรฐานใน Annex 14 กำหนดไม่ชัดหรือไม่สอดคล้องกันระหว่างหัวข้อ อาจทำให้สนามบินตีความต่างกันและเกิดความเสี่ยงได้ เอกสารทำงานล่าสุดจากการประชุม AP-ADO/TF/6 (ก.พ. 2568, ลังกาวี) นำเสนอการเปรียบเทียบมาตรฐาน Annex 14 กับแนวปฏิบัติของ FAA สหรัฐฯ และ CAA สหราชอาณาจักร เพื่อตกผลึกค่าคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ในทางปฏิบัติ (เช่น ±5%) เพื่อให้เกิด “ภาษาเดียวกัน” ทั้งภูมิภาค—นี่คือชิ้นงานเชิงเทคนิคที่ไทยอยู่แถวหน้าในการขับเคลื่อนร่วมกับคณะทำงานภูมิภาค

ทำไม “เก้าอี้ประธานคณะทำงานเชิงเทคนิค” จึงสำคัญต่อไทย

  1. จากผู้รับมาตรฐาน สู่ผู้ร่วมกำหนดมาตรฐาน – การมี ประธานคณะทำงาน อยู่ในมือ ทำให้เสียงของไทย “ได้ยิน” ตั้งแต่ยกร่างจนถึงเสนอแก้ไขข้อความใน Annex 14 เมื่อเจอปัญหาจริงในสนามบินไทย เราสามารถยกกรณีศึกษาเข้าสู่วาระภูมิภาคได้โดยตรง ส่งผ่าน “บทเรียนจากภาคปฏิบัติ” สู่ถ้อยคำมาตรฐานสากลที่ทุกประเทศต้องอ้างอิง
  2. ลดต้นทุนความไม่แน่นอน – มาตรฐานที่ชัดเท่ากันทั้งภูมิภาค ช่วยให้การออกแบบ-ก่อสร้าง-บำรุงรักษาโครงสร้างสนามบินเป็นไปในแนวเดียวกัน ลดความเสี่ยงในการตีความต่าง ช่วย “ลดต้นทุนรวม” ของระบบการบินและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาว (ทั้งฝั่งสนามบินและสายการบิน) เพราะทุกฝ่ายวางแผนบนฐานกติกาเดียวกัน
  3. เสริมสถานะฮับการบินของประเทศ – ไทยกำลังลงทุนขยายโครงสร้างพื้นฐานสนามบินหลักและภูมิภาค วาระนี้ต้องอาศัย “ความน่าเชื่อถือด้านมาตรฐานความปลอดภัย” เป็นใบอนุญาตทางสังคม (social licence) และเป็นคำตอบแก่นักลงทุน-สายการบิน การที่ผู้บริหารทอท. ขึ้นนำเวทีเทคนิคของ ICAO/เอเชีย-แปซิฟิก จึงช่วยยืนยันว่า “ไทยไม่ได้แค่ตามมาตรฐาน แต่ช่วยกันเขียนมาตรฐาน”

“งานช่างละเอียด” ที่เปลี่ยนอนาคตสนามบิน

หากเปิดเอกสารทำงาน AP-ADO/TF/6 จะเห็นว่าการประชุมไม่ได้คุย “กว้าง ๆ” แต่ไล่ถึงระดับมิลลิเมตรของเส้นสีบนรันเวย์ และ “ระยะดวงไฟ” ที่ต้องคงที่เพื่อช่วยนักบินในสภาวะทัศนวิสัยต่ำ ประเด็นที่หยิบมาถก ได้แก่

  • ค่าความคลาดเคลื่อนของเครื่องหมายพื้นผิว (runway/taxiway markings): ข้อเสนอให้กำหนด tolerance ที่ชัดเจน (เช่น ความกว้างเส้นกึ่งกลางทางขับ 0.15 เมตร อนุโลมคลาดเคลื่อนเล็กน้อย) เพื่อความสม่ำเสมอระหว่างสนามบิน ลดความเสี่ยงจากการตีความ Annex 14 ต่างกันในแต่ละรัฐ
  • ไฟส่องสว่างภาคพื้น (airfield ground lighting): เสนอการทบทวนระยะห่างไฟขอบทางวิ่ง-ทางขับที่ยอมรับได้ เพื่อให้แน่ใจว่าระบบไฟ “พาเครื่องบิน” ได้อย่างเที่ยงตรงแม้หมอกหนา ฝนหนัก หรือเที่ยวบินกลางคืน—หัวใจของความปลอดภัยและความต่อเนื่องทางปฏิบัติการ
  • ความสอดคล้องของถ้อยคำใน Annex 14: ชี้ “จุดไม่สอดคล้อง” บางข้อที่อาจสร้างความสับสน เช่น การตีเส้นกึ่งกลางทางขับ-เครื่องหมายจุดสิ้นสุดรันเวย์-ระบบไฟนำร่อน และเสนอให้ ICAO ปรับปรุงถ้อยคำให้เป็นเอกภาพมากขึ้น เพื่อให้ทุกสนามบินทำงานบนฐานกติกาเดียวกัน (one interpretation)

สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนรายละเอียดเชิง “ช่าง” แต่ผลลัพธ์คือ ความปลอดภัยเชิงระบบ ที่สัมผัสได้: ลดความคลาดเคลื่อนในการมองเห็น-การนำร่อน เพิ่มความมั่นใจของสายการบิน และเปิดพื้นที่ให้สนามบินภูมิภาค—อย่างเชียงราย—ก้าวสู่บทบาทเครื่องยนต์เศรษฐกิจของเมืองและกลุ่มจังหวัดเหนือบนได้อย่างมีมาตรฐานรองรับ

น้ำหนักทางยุทธศาสตร์ ไทยในบทบาท “พี่เลี้ยง” ของภูมิภาค

การขับเคลื่อนของ AP-ADO/TF ยังสอดรับกับเจตนารมณ์ ICAO “No Country Left Behind” ที่ต้องการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยให้ทั่วถึงทั้งภูมิภาค ผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้-ฝึกอบรม-พัฒนาเอกสารคำแนะนำ—บทบาท “ประธานคณะทำงาน” จึงไม่ใช่แค่คุมประชุม แต่คือการสร้างเครือข่ายความช่วยเหลือทางเทคนิคกับรัฐสมาชิก เพื่อให้ทุกสนามบินเดินไปข้างหน้าด้วยกัน ลด “ช่องว่างมาตรฐาน” ที่อาจกลายเป็นความเสี่ยงข้ามพรมแดนในระบบการบินที่เชื่อมต่อกันทั้งภูมิภาค

“เชียงราย” ห้องทดลองมาตรฐานจริง

ความต่อเนื่องที่เชียงรายได้เป็นเจ้าภาพและเวทีเรียนรู้เชิงปฏิบัติ ช่วยให้ผู้แทนจากต่างประเทศ “เห็นของจริง” ตั้งแต่ขั้นตอนปฏิบัติ airside ไปจนถึงการจัดการผู้โดยสาร-สัมภาระ-ระบบความปลอดภัย—ก่อนกลับเข้าห้องประชุมเพื่อกลั่นมาตรการที่ทำได้จริง ไม่ใช่เพียงถ้อยคำสวยงามในเอกสาร การที่ ผู้อำนวยการสนามบิน คนเดียวกันรับบท “ประธานคณะทำงาน” ต่อเนื่องหลายวาระ ช่วยเชื่อมโลกของ “มาตรฐานบนกระดาษ” เข้ากับ “โลกจริงบนรันเวย์” อย่างไร้รอยต่อ นี่คือเหตุผลที่เครือข่าย ICAO ในภูมิภาคมองไทยเป็นแหล่ง “องค์ความรู้จากภาคปฏิบัติ” ที่แบ่งปันได้

สิ่งที่ไทยควรทำ “ต่อจากนี้”

  1. ตั้งระบบถ่ายทอดองค์ความรู้เข้าข้างใน – ทุกบทเรียนและข้อเสนอเชิงเทคนิคจาก AP-ADO/TF ควรถูก “ดึงเข้าองค์กร” อย่างเป็นระบบ สู่คู่มือ-มาตรฐานปฏิบัติของทอท. ครอบคลุมสนามบินทั้ง 6 แห่ง เพื่อลด “ช่องว่างความรู้” ระหว่างสนามบินใหญ่กับสนามบินภูมิภาค
  2. เป็นผู้เสนอนวัตกรรมมาตรฐานใหม่ – สนับสนุนทีมผู้เชี่ยวชาญไทยจัดทำ เอกสารทำงาน (Working Paper) ยกประเด็นใหม่ ๆ เข้าสู่เวทีภูมิภาค เช่น แสงสะท้อนจากแผงโซลาร์เซลล์ใกล้เขตการบิน, ผลกระทบของโดรนต่อการออกแบบเขตปลอดสิ่งกีดขวาง, หรือการใช้ข้อมูลสภาพผิวรันเวย์แบบเรียลไทม์กับการจัดการความเสี่ยง—จากนั้นผลักต่อสู่การปรับภาษา Annex 14 ในขั้นถัดไป
  3. รักษาความต่อเนื่องการเป็นเจ้าภาพ – การเสนอตัวจัดประชุม/เวิร์กช็อป ICAO/APAC อย่างต่อเนื่อง จะตอกย้ำบทบาทไทยในฐานะ “ศูนย์กลางความเชี่ยวชาญสนามบิน” ของภูมิภาค และเปิดโอกาสให้บุคลากรไทยได้ฝึกมือกับโจทย์ระดับเอเชีย-แปซิฟิกอย่างสม่ำเสมอ

มาตรฐานที่ดี = ความปลอดภัยที่จับต้องได้ = ความเชื่อมั่นที่แปรเป็นโอกาสเศรษฐกิจ

มาตรฐาน Annex 14 ไม่ใช่ศัพท์เทคนิคที่ไกลตัวผู้โดยสาร—มันคือ “ความปลอดภัยที่จับต้องได้” ตั้งแต่เส้นสีที่เห็นยันขอบรันเวย์ไปจนถึงไฟทางขับที่พาเครื่องไปถึงหลุมจอดอย่างแม่นยำ ยิ่งมาตรฐานชัด-ตีความตรงกันทั้งภูมิภาค ยิ่งลด “จุดเสี่ยง” ที่อาจนำไปสู่อุบัติการณ์ ยิ่งสร้างความเชื่อมั่นแก่สายการบินในการเปิด/เพิ่มความถี่เส้นทาง ทั้งหมดนี้แปลตรงไปสู่ ต้นทุนประสิทธิภาพ ที่ดีขึ้นของสนามบิน และ โอกาสทางเศรษฐกิจ ของเมืองและประเทศ—โดยเฉพาะสนามบินภูมิภาคอย่างเชียงรายที่กำลังถูกวางบทบาทเป็น “ประตูเศรษฐกิจภาคเหนือบน”

ในแง่นี้ เก้าอี้ประธานคณะทำงานของ นาวาอากาศตรี ดร.สมชนก จึงมีนัยมากกว่าตำแหน่งส่วนบุคคล แต่คือ หลักหมุด ที่ตอกย้ำว่า “ไทยพร้อมและสามารถ” เป็นผู้นำความคิดในเวทีมาตรฐานสากล ขณะเดียวกันก็รับฟัง-ดึงองค์ความรู้กลับมาขับเคลื่อนการยกระดับสนามบินในประเทศอย่างเป็นระบบ

เมื่อสนามบินไทย “ออกแบบอนาคต” ร่วมกับโลก

โลกการบินหลังโควิดฯ กำลังโตกลับอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนกติกา เช่น เทคโนโลยีการนำร่อน, ระบบไฟส่องสว่างอัจฉริยะ, เครื่องบินประหยัดพลังงานรุ่นใหม่, โดรน, และข้อมูลสภาพรันเวย์แบบเรียลไทม์ มาตรฐาน Annex 14 จึงต้องถูก “รีเฟรช” ต่อเนื่องให้ทันเทคโนโลยีและความเสี่ยงใหม่ ๆ เวที AP-ADO/TF ทำหน้าที่เป็น ห้องทดลองนโยบายเทคนิค ระดับภูมิภาค ก่อนป้อนข้อเสนอไปสู่การแก้ไขภาคผนวก (amendment) ในระดับสภา ICAO สิ่งที่ไทยได้—นอกจากชื่อชั้น—คือ โอกาสเรียนรู้ก่อน ปรับใช้ได้เร็วกว่า และ “ออกแบบสนามบิน” บนข้อมูลจริงที่ช่วยให้การลงทุนคุ้มค่า-ปลอดภัย-เป็นสากล

“บทบาทของเราบนเวทีสากลไม่ได้จบที่การประชุม แต่จะเริ่มต้นใหม่ทุกครั้งที่เรานำมาตรฐานกลับมาปรับใช้ในสนามบินไทย—จากเส้นสีบนพื้นรันเวย์ ไปจนถึงไฟดวงสุดท้ายปลายทางขับ ทุกจุดมีเหตุผลทางความปลอดภัยรองรับเสมอ”
— มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญท่าอากาศยาน (สรุปสาระจากเอกสารและถ้อยคำในวงประชุม AP-ADO/TF/6)

เมื่อเรื่องมาตรฐานไม่ใช่ภารกิจของ “กฎระเบียบ” อย่างเดียว แต่คือ “สัญญาประชาคม” ว่าผู้โดยสารทุกคนจะขึ้น-ลงได้อย่างปลอดภัยในทุกเที่ยวบิน การที่ไทยมี “มือ” อยู่บนพวงมาลัยเวทีนี้ จึงเท่ากับได้อยู่ “หัวขบวน” ของการออกแบบอนาคตสนามบินเอเชีย-แปซิฟิก และนั่นหมายถึงการแปลงมาตรฐานให้เป็นความพร้อมของเมืองและโอกาสใหม่ของเศรษฐกิจฐานรากในที่สุด

สรุปสาระสำคัญ

  • นาวาอากาศตรี ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ จากทอท. ทำหน้าที่ ประธานคณะทำงาน AP-ADO/TF ของ ICAO/เอเชีย-แปซิฟิก ต่อเนื่องในช่วงการประชุมล่าสุด (การประชุมครั้งที่ 5-6) ตอกย้ำความไว้วางใจต่อไทยในเวทีมาตรฐานสากลด้านท่าอากาศยาน
  • เวที AP-ADO/TF/6 (ก.พ. 2568, ลังกาวี) เดินหน้า “ปิดจุดเสี่ยงจากความไม่สอดคล้องเชิงมาตรฐาน” โดยเฉพาะค่าความคลาดเคลื่อนของเส้นเครื่องหมายและระบบไฟส่องสว่างภาคพื้น เพื่อให้ทุกสนามบินทำงานบนกติกาเดียวกันทั้งภูมิภาค
  • ฐานความรู้หลักยึด ICAO Annex 14 Volume I ที่เพิ่งมีการพัฒนาต่อเนื่องในระดับสภา ICAO เพื่อให้เท่าทันเทคโนโลยีและความเสี่ยงยุคใหม่—มาตรฐานที่ดี = ความปลอดภัยที่จับต้องได้ = ความเชื่อมั่นที่แปรเป็นโอกาสเศรษฐกิจของประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ICAO Asia/Pacific – AP-ADO/TF/6 Working Paper
  • ICAO Asia/Pacific – AOP SG/9, WP/08
  • International Civil Aviation Organization (ICAO)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (MFU)
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

AOT ปั้นเชียงราย ยกระดับสนามบินแม่ฟ้าหลวง สู่ฮับการบินระดับโลก

“AOT เดินหน้าพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย รองรับ 6 ล้านผู้โดยสารต่อปีในปี 2576 สู่มาตรฐาน World Class”

เชียงราย, 1 กรกฎาคม 2568 – บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ครบรอบ 46 ปี ประกาศเป้าหมายยกระดับท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย จากเดิมที่รองรับผู้โดยสาร 3 ล้านคนต่อปี สู่ 6 ล้านคนต่อปี คาดว่าแผนการขยายโครงสร้างพื้นฐานจะแล้วเสร็จภายในปี 2576 เสริมศักยภาพเมืองเชียงรายสู่ศูนย์กลางการบินและประตูท่องเที่ยวภาคเหนือ ตอบรับการเติบโตของผู้โดยสาร-เศรษฐกิจและภาคบริการภายใต้แนวคิด “World Class Hospitality” และคุณภาพการบริการมาตรฐานสากล 

AOT บริหารท่าอากาศยานหลัก 6 แห่งของประเทศไทย ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (เดือนตุลาคม 2567 – พฤษภาคม 2568) มีผู้โดยสารใช้บริการท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งรวม 88.53 ล้านคน เพิ่มขึ้น 9.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 54.24 ล้านคน เพิ่มขึ้น 10.8% และผู้โดยสารภายในประเทศ 34.29 ล้านคน เพิ่มขึ้น 6.9% ขณะที่มีเที่ยวบิน 544,590 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 10.9% แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 308,777 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 12.5% และเที่ยวบินภายในประเทศ 235,813 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 8.9% นอกจากนี้ AOT ได้ประมาณการปริมาณการจราจรทางอากาศในปีงบประมาณ 2569 (เดือนตุลาคม 2568 – กันยายน 2569) คาดว่าจะมีผู้โดยสารรวมกว่า 130 ล้านคน เที่ยวบินรวมกว่า 859,000 เที่ยวบิน และคาดว่าจะมีจำนวนสินค้าและไปรษณียภัณฑ์ (Cargo) ประมาณ 1.64 ล้านตัน

เดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน-รองรับการเติบโต

จากสถิติ 8 เดือนแรกปีงบประมาณ 2568 ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งภายใต้ AOT รองรับผู้โดยสารรวมกว่า 88.53 ล้านคน เพิ่มขึ้น 9.2% เที่ยวบินกว่า 544,590 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 10.9% ขณะที่ปีงบประมาณ 2569 คาดยอดผู้โดยสารทั่วประเทศทะลุ 130 ล้านคน เที่ยวบินรวมกว่า 859,000 เที่ยวบิน แนวโน้มนี้สะท้อนความต้องการเดินทางและศักยภาพการเติบโตของเชียงรายในฐานะจุดยุทธศาสตร์

AOT วางแผนพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงให้รองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเท่าตัว โดยจะเร่งก่อสร้างขยายอาคารผู้โดยสาร เพิ่มพื้นที่บริการ สิ่งอำนวยความสะดวก โซนพักผ่อน สนามเด็กเล่น โซนชาร์จไฟและพื้นที่นวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้เดินทางทุกกลุ่มอย่างครบวงจร และเน้นย้ำมาตรฐานความปลอดภัย ความสะอาด และบริการที่เหนือระดับ

AOT กับบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจและนวัตกรรม

นอกจากบทบาท “ประตูสู่ประเทศ” AOT ยังเดินหน้าสร้างรายได้ใหม่ ๆ เช่น โครงการเชิงพาณิชย์ ศูนย์ซ่อมบำรุง MRO โรงแรม Terminal Attraction และ Logistics Hub ซึ่งมีนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศสนใจเข้าร่วมกว่า 28 โครงการแล้ว ส่งเสริมระบบเศรษฐกิจและโอกาสการจ้างงานในภูมิภาค

สำหรับสนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย มีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการภาคเหนือ ซึ่งในอนาคตจะสามารถรองรับทั้งสายการบินระหว่างประเทศ เพิ่มปริมาณเที่ยวบินและผู้โดยสาร ช่วยดึงดูดเม็ดเงินเข้าสู่เชียงรายและเมืองเศรษฐกิจรอบข้าง สร้างโอกาสให้ท้องถิ่นเติบโตอย่างมั่นคง

บทวิเคราะห์และความท้าทาย

การขยายสนามบินเชียงรายไม่ใช่แค่เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน แต่เป็นการวางรากฐานอนาคตเมืองเชียงรายสู่การเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ หากแผนนี้สำเร็จตามเป้าหมาย จะเปลี่ยนโฉมการเดินทางของคนไทยและชาวต่างชาติในภูมิภาคเหนืออย่างสิ้นเชิง พร้อมเชื่อมโยงเมืองเชียงรายกับตลาดโลก ท้าทายสำคัญคือการบริหารจัดการเพื่อคงคุณภาพบริการในขณะที่การใช้งานสนามบินเพิ่มขึ้น การลงทุนและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนจะเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)
  • ศูนย์เรียนรู้การบริหารจัดการสินค้าเกษตรเชียงราย
  • กระทรวงคมนาคม
  • รายงานสถิติสายการบิน/ผู้โดยสาร 2568-2569
  • ข่าวประชาสัมพันธ์ AOT (1 กรกฎาคม 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

AOT ปั้นไทยฮับบินภูมิภาค รุกเปิดเส้นทาง สู่ประตูเชียงราย

AOT รุกปั้นไทยสู่ศูนย์กลางการบินภูมิภาค เปิดเวทีประชุม IATA พร้อมขยายเส้นทางบิน เชื่อมเชียงราย-สิงคโปร์ รอปลดล็อกเที่ยวบินตรงไทย-อเมริกา

แคนาดา, 19 มิถุนายน 2568 –  รายงานจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด หรือ AOT ในโลกของอุตสาหกรรมการบินที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ได้แสดงบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายการเป็น Aviation Hub ของภูมิภาค ล่าสุด นายเอนก ธีระวิวัฒน์ชัย รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานยุทธศาสตร์ และคณะกรรมการจัดสรรเวลาของประเทศไทย (Slot Coordination Committee) ได้เป็นตัวแทนเข้าร่วมการประชุมจัดสรรเวลาการบินของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA Slot Conference) ครั้งที่ 156 ณ เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 การประชุมนี้นับเป็นหนึ่งในเวทีที่สำคัญที่สุดของอุตสาหกรรมการบินโลก มีผู้แทนจากท่าอากาศยานกว่า 300 แห่ง สายการบินกว่า 250 สาย และผู้แสดงสินค้าจากทั่วโลกกว่า 1,300 คน

ก้าวสำคัญสู่ฤดูหนาว 2568/2569 – พัฒนาเครือข่ายการบิน สู่มาตรฐานสากล

วัตถุประสงค์หลักของการประชุมครั้งนี้ คือการสนับสนุนการจัดสรรเวลาการบิน (Slot) สำหรับฤดูหนาว 2568/2569 เพื่อให้กำหนดการบินของสายการบินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามมาตรฐานสากล AOT ได้ใช้เวทีนี้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและเจรจาความร่วมมือกับท่าอากาศยานและสายการบินชั้นนำ อาทิ ท่าอากาศยานนานาชาติ San Francisco, British Airways, Air Canada, Alaska Airlines, Norse Atlantic Airlines, Air New Zealand และ Virgin Australia Airlines เพื่อต่อยอดเครือข่ายการบินเชื่อมต่อระหว่างประเทศ ขยายโอกาสด้านการท่องเที่ยว การค้า และเศรษฐกิจของไทย

เจรจา FAA ปลดล็อกบินตรงไทย-อเมริกา จุดเปลี่ยนเชื่อมโลกตะวันตก

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ AOT ได้หารือกับท่าอากาศยานนานาชาติ San Francisco คือการเตรียมความพร้อมรองรับเส้นทางบินตรงระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกา ภายหลังที่ FAA (Federal Aviation Administration) ของสหรัฐอเมริกา ประกาศเลื่อนระดับความปลอดภัยของการบินไทยกลับสู่ Category 1 ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นระดับนานาชาติ เปิดทางสายการบินไทยกลับเข้าสู่เครือข่ายเส้นทางบินข้ามทวีปอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนในการดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวและนักลงทุนจากสหรัฐฯ เข้าสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“Scoot” เตรียมบินตรงสิงคโปร์-เชียงราย พร้อมบินตรงเชียงราย-มาเลเซียปลายปี

ไฮไลต์สำคัญสำหรับชาวเชียงรายและภาคเหนือ คือแผนการเจรจากับสายการบิน Scoot จากสิงคโปร์ เตรียมเปิดเส้นทางบินตรง สิงคโปร์-ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ภายในปลายปี 2568 เพื่อรองรับกระแสท่องเที่ยว เมืองรอง สู่ตลาดนานาชาติแบบไร้รอยต่อ นอกจากนี้ จากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้คาดว่ายังจะมีเส้นทางใหม่ “เชียงราย-กัวลาลัมเปอร์” ที่สายการบินไทยแอร์เอเชีย เคยเปิดให้บริการ เมื่อเริ่มวันที่ 2 พฤศจิกายน 2567 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 สัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน (อังคาร พฤหัสบดี เสาร์) ที่ผ่านมา ถือเป็นหารเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางระหว่างสองประเทศได้สะดวกยิ่งขึ้น

การขยายเครือข่ายเส้นทางบินใหม่ๆ นี้ ไม่เพียงแต่สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างศักยภาพท่าอากาศยานเชียงรายให้เป็นประตูหลักสู่ภาคเหนือของไทย ในการรองรับการเดินทางระหว่างประเทศ และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม

ไทยเตรียมรับบทเจ้าภาพ IATA Slot Conference ครั้งที่ 158 – สะท้อนศักยภาพการบริหารจัดการท่าอากาศยาน

AOT ยังเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม IATA Slot Conference ครั้งที่ 158 ในวันที่ 9-11 มิถุนายน 2569 ณ ศูนย์ประชุมเซ็นทาราแกรนด์ บางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ กรุงเทพฯ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 39 ปีที่ไทยได้มีโอกาสจัดเวทีสำคัญระดับโลกนี้ นอกจากจะเปิดโอกาสให้ประเทศไทยแสดงศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานท่าอากาศยานแล้ว ยังเสริมบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางการบินของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกอย่างแท้จริง

วิเคราะห์และบทสรุป

ความเคลื่อนไหวของ AOT บนเวที IATA Slot Conference สะท้อนความพร้อมและยุทธศาสตร์การพัฒนาท่าอากาศยานไทยสู่มาตรฐานสากล โดยเฉพาะในมิติของการจัดสรรเวลาการบิน เพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐาน และขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศ ขณะเดียวกันยังช่วยกระจายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสู่ภูมิภาค โดยเฉพาะ “เชียงราย” ที่กำลังเติบโตเป็นศูนย์กลางใหม่ของการบินและการท่องเที่ยวภาคเหนือ

คาดว่าการเปิดเส้นทางบินใหม่ เชียงราย-กัวลาลัมเปอร์ และ เชียงราย-สิงคโปร์ ในช่วงปลายปีนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ไม่เพียงแต่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการลงทุนในพื้นที่ แต่ยังยกระดับภาพลักษณ์ของเชียงรายบนเวทีนานาชาติ สู่เป้าหมาย “ศูนย์กลางการบินภูมิภาค” ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)
  • สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

AOT กำไรพุ่ง! รับท่องเที่ยวฟื้น สนามบินเชียงรายร่วมด้วยทำโตขึ้น

AOT รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกปีงบ 2568 กำไรสุทธิ 5,344.30 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่อง

กรุงเทพฯ, 14 กุมภาพันธ์ 2568 – บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT รายงานผลประกอบการในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม – ธันวาคม 2567) โดยมีกำไรสุทธิ 5,344.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.12% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 17,906.01 ล้านบาท เติบโต 13.41% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและนโยบายส่งเสริมของภาครัฐ พร้อมตั้งเป้ายกระดับท่าอากาศยานไทยให้ติด 1 ใน 20 ท่าอากาศยานที่ดีที่สุดในโลกภายใน 5 ปี

ผลประกอบการและการเติบโตของรายได้

ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เปิดเผยว่า ในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบ 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิ 5,344.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 781.27 ล้านบาท หรือ 17.12% จากปีก่อน ขณะที่รายได้รวมเพิ่มขึ้น 13.41% อยู่ที่ 17,906.01 ล้านบาท ซึ่งรายได้หลักมาจาก:

  • รายได้จากกิจการการบิน 8,804.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.41% จากปีก่อน เนื่องจากปริมาณเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเที่ยวบินระหว่างประเทศ
  • รายได้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการการบิน 8,859.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.65% จากปีก่อน
  • ค่าใช้จ่ายรวม 10,353.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.73% จากปีก่อน

การเติบโตของปริมาณผู้โดยสารและเที่ยวบิน

สำหรับปริมาณผู้โดยสารในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบ 2568 ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ได้แก่ สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, เชียงใหม่, แม่ฟ้าหลวง เชียงราย, ภูเก็ต และหาดใหญ่ มีจำนวนผู้โดยสารรวม 33.62 ล้านคน เพิ่มขึ้น 16.41% แบ่งเป็น:

  • ผู้โดยสารระหว่างประเทศ 20.85 ล้านคน
  • ผู้โดยสารภายในประเทศ 12.77 ล้านคน
  • เที่ยวบินรวม 204,549 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 14.78%

ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของปริมาณผู้โดยสารมาจาก การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว นโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจของภาครัฐ และช่วงวันหยุดยาวของนักท่องเที่ยวจีน (Golden Week) ซึ่งช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจากตลาดระยะไกลและระยะใกล้

กลยุทธ์พัฒนาท่าอากาศยานไทยสู่ระดับโลก

AOT มีแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบการให้บริการของสนามบินทั้ง 6 แห่ง โดยเน้น การยกระดับคุณภาพมาตรฐานสู่ระดับสากล รวมถึงพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้เป็นศูนย์กลางการบินระดับโลก ผ่านโครงการสำคัญ ได้แก่:

  • โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 (SAT-1) เพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารจาก 45 ล้านเป็น 65 ล้านคนต่อปี
  • การสร้างระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (APM) และทางวิ่งเส้นที่ 3
  • โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 3 เพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารจาก 30 ล้านเป็น 50 ล้านคนต่อปี
  • โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานท่าอากาศยานเชียงใหม่, ภูเก็ต, เชียงราย และหาดใหญ่

เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อประสบการณ์เดินทางที่ดียิ่งขึ้น

AOT ได้นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้เพื่อเพิ่มความสะดวกและลดระยะเวลาการเดินทางของผู้โดยสาร เช่น:

  • ระบบเช็กอินอัตโนมัติและการตรวจสอบใบหน้า (Biometric Identification)
  • ระบบตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (ABC) รองรับ E-passport กว่า 90 ประเทศ
  • ระบบการจัดการข้อมูลเที่ยวบินแบบ A-CDM
  • ระบบประตูทางออกขึ้นเครื่องอัตโนมัติ (SBG)

เป้าหมายสู่ท่าอากาศยานสีเขียวและ Net Zero Carbon

AOT ดำเนินงานโดยคำนึงถึง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามมาตรฐานสากล เช่น DJSI, GRI และ PDPA นอกจากนี้ สนามบินของ AOT ยังได้รับ Airport Carbon Accreditation ครบทุกแห่ง พร้อมตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็น Net Zero ภายในปี 2587

ความสำเร็จระดับนานาชาติ

อาคาร SAT-1 ของ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้รับรางวัล ท่าอากาศยานสวยที่สุดในโลก 2567″ จาก Prix Versailles ของ UNESCO ซึ่งสะท้อนถึงการออกแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

บทสรุป

AOT ยังคงเดินหน้าพัฒนา ท่าอากาศยานไทยให้เป็นศูนย์กลางการบินระดับโลก และตั้งเป้าผลักดันท่าอากาศยานไทยให้ติด 1 ใน 20 ท่าอากาศยานที่ดีที่สุดในโลกภายใน 5 ปี พร้อมสนับสนุนการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) (AOT)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ทอท.เร่งขยายสนามบิน รับนักท่องเที่ยวพุ่งปี 2568

การท่องเที่ยวไทยฟื้นตัว นักท่องเที่ยวรัสเซีย-ฝรั่งเศสเพิ่มขึ้น ขณะตลาดเอเชียชะลอตัว

กรุงเทพฯ, 11 กุมภาพันธ์ 2568 – นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่าภาคการท่องเที่ยวของไทยยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวตลาดระยะไกล (Long-haul Market) ซึ่งมีอัตราเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น 4.15% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นำโดย ตลาดรัสเซียและฝรั่งเศส ที่เพิ่มขึ้นสูงถึง 41.53% จากปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ การส่งเสริมตลาด จำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น และการเข้าสู่ช่วงปิดเทอมของยุโรป (School Holiday)

อย่างไรก็ตาม ตลาดนักท่องเที่ยวระยะใกล้ (Short-haul Market) กลับมีแนวโน้มชะลอตัวลงหลังเทศกาลตรุษจีน โดยเฉพาะ นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น อุบัติเหตุทางอากาศ ความไม่แน่นอนทางการเมือง และค่าเงินที่ผันผวน ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดในสัปดาห์นี้อยู่ที่ 837,407 คน ลดลงจากสัปดาห์ก่อน 109,551 คน (-11.57%) คิดเป็นค่าเฉลี่ยนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทย 119,630 คนต่อวัน

5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย

  1. มาเลเซีย – 134,912 คน
  2. จีน – 114,930 คน
  3. รัสเซีย – 55,948 คน
  4. เกาหลีใต้ – 41,579 คน
  5. อินเดีย – 37,406 คน

นักท่องเที่ยวจาก อินเดีย และ รัสเซีย มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 11.75% และ 1.06% ตามลำดับ ขณะที่ จีน (-35.37%), มาเลเซีย (-21.01%), และเกาหลีใต้ (-9.42%) มีจำนวนลดลง

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเดินทางในสัปดาห์ถัดไป

กระทรวงการท่องเที่ยวฯ คาดการณ์ว่าปริมาณนักท่องเที่ยวจะทรงตัว โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นการเดินทาง ได้แก่

  • โครงการ Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025
  • มาตรการ Ease of Traveling เช่น ยกเว้นบัตร ตม.6 ที่ด่านทางบก
  • การส่งเสริมความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีน
  • การเพิ่มจำนวนเที่ยวบินของสายการบิน

รายได้จากการท่องเที่ยวไทยแตะ 234,958 ล้านบาท

ข้อมูล ณ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 ระบุว่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 9 กุมภาพันธ์ 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวสะสม อยู่ที่ 4,804,876 คน สร้างรายได้ 234,958 ล้านบาท โดย 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวสะสมสูงสุด ได้แก่

  1. จีน – 825,617 คน
  2. มาเลเซีย – 617,631 คน
  3. รัสเซีย – 330,628 คน
  4. เกาหลีใต้ – 263,572 คน
  5. อินเดีย – 232,828 คน

คมนาคมเตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยวฤดูร้อน 2568

นายสุริยะ จึงรุ่งเรือง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ช่วง 30 มีนาคม – 26 ตุลาคม 2568 ซึ่งเป็น ตารางบินฤดูร้อน คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเตรียมแผนรองรับที่สนามบินต่าง ๆ เพื่อให้การเดินทางเป็นไปอย่างรวดเร็วและปลอดภัย

สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) รายงานว่า

  • สนามบินสุวรรณภูมิ รองรับ 1,930 เที่ยวบิน/วัน จัดสรรแล้ว 1,202 เที่ยวบิน/วัน (+16.36%)
  • สนามบินดอนเมือง รองรับ 1,222 เที่ยวบิน/วัน จัดสรรแล้ว 745 เที่ยวบิน/วัน (-2.74%)
  • สนามบินเชียงใหม่ รองรับ 444 เที่ยวบิน/วัน จัดสรรแล้ว 240 เที่ยวบิน/วัน (+17.65%)
  • สนามบินภูเก็ต รองรับ 424 เที่ยวบิน/วัน จัดสรรแล้ว 340 เที่ยวบิน/วัน (+7.59%)

เพิ่มเที่ยวบิน รองรับผู้โดยสาร 7.88 ล้านคนในฤดูร้อน 2568

กรมท่าอากาศยาน (ทย.) คาดการณ์จำนวนเที่ยวบินทั้งหมด 27,077 เที่ยวบิน แบ่งเป็น

  • เที่ยวบินภายในประเทศ – 25,395 เที่ยวบิน (+6.67%)
  • เที่ยวบินระหว่างประเทศ – 1,682 เที่ยวบิน (+43.28%)
  • จำนวนผู้โดยสาร7,887,295 คน (+10.52%)

นายสุริยะเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานเร่งพัฒนาระบบอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยเพื่อทำให้ประเทศไทยเป็น ศูนย์กลางการบินของอาเซียน ภายใน 5 ปีข้างหน้า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE