Categories
NEWS UPDATE

หน่วยไซเบอร์ทหารเผย กัมพูชาใช้แฮกเกอร์เกาหลีเหนือ

เผยปฏิบัติการไซเบอร์รุกคืบ หน่วยงานความมั่นคงไทยจับตา “แฮกเกอร์เกาหลีเหนือ” ร่วมกัมพูชา โจมตีระบบไทย – ผบ.ไซเบอร์ทหารชี้งบ 97 ล้านเน้นรับมือภัยคุกคามยุคดิจิทัล

เชียงราย, 1 กรกฎาคม 2568 – ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา ล่าสุดประเด็นการโจมตีทางไซเบอร์กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง เมื่อหน่วยงานความมั่นคงของไทยเปิดเผยต่อสาธารณชนถึงการตรวจพบการเคลื่อนไหวของแฮกเกอร์ชาวเกาหลีเหนือที่ร่วมมือกับกลุ่มในกัมพูชา เพื่อโจมตีเป้าหมายในประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ปัญหาความมั่นคงในภูมิภาคยังคงอยู่ในภาวะอ่อนไหว

เผยความร่วมมือ “แฮกเกอร์เกาหลีเหนือ-กัมพูชา” เจาะระบบไทย

ข้อมูลที่เปิดเผยโดยวาสนา นาน่วม นักข่าวสายทหารชื่อดัง PPTV ระบุว่า พลโท ชาติชาย ชัยเกษม ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการไซเบอร์ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ได้ชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2568 ว่ามีหลักฐานชี้ชัดถึงการใช้แฮกเกอร์จากเกาหลีเหนือที่ทำงานร่วมกับกลุ่มในกัมพูชา โจมตีระบบของไทย โดยรูปแบบและความเชื่อมโยงยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นการจ้างงานส่วนตัวหรือเป็นความร่วมมือในระดับรัฐระหว่างสองประเทศ

พลโท ชาติชาย กล่าวย้ำว่า “หน่วยบัญชาการไซเบอร์ทหาร” ก่อตั้งเมื่อ 1 ตุลาคม 2567 ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อบูรณาการความร่วมมือด้านไซเบอร์ในกองทัพและระหว่างหน่วยงานความมั่นคงในประเทศ รวมถึงตำรวจไซเบอร์ โดยมีภารกิจสำคัญคือ การปกป้องระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ทั้งที่เชื่อมโยงกับอินเทอร์เน็ตและไม่เชื่อมโยงอินเทอร์เน็ต เพื่อรับมือกับรูปแบบสงครามยุคใหม่

งบ 97 ล้านบาท สร้างเกราะป้องกันไซเบอร์ระดับชาติ

ในการนำเสนองบประมาณปี 2569 ต่อสภาผู้แทนราษฎร หน่วยบัญชาการไซเบอร์ทหารได้ขอใช้งบประมาณ 97 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ เน้นการป้องกัน-แก้ไขปัญหาเว็บไซต์และระบบต่างๆ ของหน่วยงานภาครัฐที่ถูกโจมตี รวมถึงการค้นหาตัวผู้โจมตีและจัดส่งข้อมูลให้ตำรวจไซเบอร์ดำเนินการออกหมายจับ ดำเนินคดี และตอบโต้ตามความเหมาะสม

พลโท ชาติชาย เปิดเผยอีกว่า การโจมตีทางไซเบอร์เกิดขึ้นต่อเนื่องทุกวัน โดยเป้าหมายหลักมักเป็นหน่วยงานพลเรือน รัฐบาล และโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งทีมงานไซเบอร์ทหารประกอบด้วยวิศวกรโปรแกรมเมอร์ OT Security Expert ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการคุ้มครองความมั่นคงทางดิจิทัล

“เราไม่ได้นำงบไปทำ IO (Information Operation) เพราะไซเบอร์ทหารเป็นนักเทคนิคมืออาชีพ ไม่เกี่ยวกับ IO ที่เน้นสร้างคอนเทนต์หรือแนวคิด ซึ่งส่วนนี้เยาวชนหรือบุคคลทั่วไปก็สามารถทำได้ แต่การป้องกันโครงสร้างพื้นฐานของประเทศจำเป็นต้องใช้ทักษะขั้นสูง” พลโท ชาติชายกล่าว

วิกฤตไซเบอร์กับยุทธศาสตร์มั่นคงไทย

ความร่วมมือระหว่างแฮกเกอร์เกาหลีเหนือและกลุ่มในกัมพูชา สะท้อนแนวโน้มของ “สงครามยุคใหม่” ที่รัฐไม่จำเป็นต้องเคลื่อนทัพหรือใช้อาวุธร้ายแรง แต่สามารถสร้างความเสียหายหรือความวุ่นวายผ่านไซเบอร์สเปซ ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีเว็บไซต์ ขโมยข้อมูล หรือทำลายความน่าเชื่อถือของหน่วยงานรัฐ

รายงานจากหน่วยงานความมั่นคงของไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พบว่ากลุ่มแฮกเกอร์จากเกาหลีเหนือเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูงและเคยโจมตีเป้าหมายทั่วโลก เช่น กลุ่ม Lazarus ที่มีประวัติโจมตีระบบการเงิน, สถาบันการเงิน, หน่วยงานรัฐ และโครงสร้างพื้นฐานในหลายประเทศ รวมถึงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในขณะที่ไทยกำลังพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ผลักดันโครงการเมืองอัจฉริยะ การสร้างเกราะป้องกันไซเบอร์ระดับชาติและการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อป้องกันปัญหาการโจมตีที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ

บทสรุปและข้อวิเคราะห์

การเปิดเผยของหน่วยบัญชาการไซเบอร์ทหารต่อสาธารณะในครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณเตือนสำหรับภาครัฐและภาคเอกชนให้ตระหนักถึงภัยไซเบอร์และร่วมกันเสริมสร้างมาตรการป้องกัน ความร่วมมือระหว่างแฮกเกอร์ระดับนานาชาติและกลุ่มในภูมิภาคถือเป็นภัยคุกคามใหม่ที่อาจนำไปสู่ผลกระทบต่อความมั่นคงแบบไร้ขีดจำกัด

ในขณะเดียวกัน การลงทุนในบุคลากรและเทคโนโลยีด้านไซเบอร์ ตลอดจนการยกระดับศักยภาพของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเป็นหัวใจสำคัญของยุทธศาสตร์ความมั่นคงยุคใหม่ที่ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • PPTV, รายงานข่าวโดยวาสนา นาน่วม
  • คณะกรรมาธิการงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร
  • กองบัญชาการไซเบอร์ทหาร กองทัพไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

K Cement สัญลักษณ์ความร่วมมือ ไทย-กัมพูชา สู่ Net Zero

ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา K Cement สัญลักษณ์แห่งความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม

กัมพูชา, 25 พฤษภาคม 2568 – ในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาได้กลายเป็นตัวอย่างของความร่วมมือที่ไม่เพียงแต่ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังคำนึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาสังคม บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG ภายใต้แบรนด์ “K Cement” ซึ่ง ตัว K ในภาษาอังกฤษย่อมาจากคำว่า “Khmer”  กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของความสัมพันธ์นี้ ด้วยการลงทุนที่ยาวนานกว่า 33 ปีในกัมพูชา ซึ่งไม่เพียงสร้างงานและรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่น แต่ยังนำเทคโนโลยีสีเขียวมาใช้เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

รากฐานแห่งความสัมพันธ์

ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 หลังจากที่กัมพูชาเริ่มฟื้นตัวจากยุคเขมรแดงและเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติ SCG ได้ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในบริษัทไทยรายแรกที่มองเห็นศักยภาพของประเทศนี้ ในปี 1992 SCG ได้เริ่มต้นด้วยการจัดตั้ง SCG Trading เพื่อนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยและสร้างเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายในกัมพูชา การเคลื่อนไหวในครั้งนั้นไม่เพียงแต่เป็นการขยายธุรกิจ แต่ยังเป็นการวางรากฐานความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันซับซ้อน

การลงทุนของ SCG ในกัมพูชาเริ่มต้นจากความท้าทาย พื้นที่ที่เคยเป็นสมรภูมิในยุคเขมรแดงเต็มไปด้วยทุ่นระเบิดและความเสียหายจากสงคราม การพัฒนาพื้นที่เพื่อตั้งโรงงานจึงต้องเผชิญกับความยากลำบาก ตั้งแต่การเคลียร์พื้นที่จากระเบิดไปจนถึงการจัดการน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มต่ำ อย่างไรก็ตาม SCG ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการลงทุนระยะยาว โดยมองเห็นโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจและชุมชนท้องถิ่นควบคู่ไปกับการรักษาสภาพแวดล้อม

การลงทุนของ SCG และบทบาทด้านสิ่งแวดล้อม

ในปี 2004-2005 คณะกรรมการของ SCG ได้ตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่ด้วยการก่อสร้างโรงงานปูนซิเมนต์แห่งแรกในกัมพูชา ภายใต้แบรนด์ “K Cement” ซึ่งย่อมาจากคำว่า “Khmer” ที่แสดงถึงความเป็นท้องถิ่นและการยอมรับจากชุมชนกัมพูชา โรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ในจังหวัดกำปอด และเริ่มผลิตปูนซิเมนต์ในปี 2007 ด้วยมูลค่าการลงทุนราว 200-300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปัจจุบัน SCG มีการลงทุนในกัมพูชาคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนในต่างประเทศของ SCG ที่มีมูลค่ารวม 390,000 ล้านบาท โดยกัมพูชาครองอันดับสาม รองจากเวียดนามและอินโดนีเซีย

วัฒนชัย คล้ายจินดา ผู้บริหารฝ่ายการบัญชีการเงิน และการลงทุน เอสซีจี กัมพูชา เปิดเผยว่า การลงทุนของ SCG ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงผลกำไร แต่ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและการผลิตปูนซิเมนต์คาร์บอนต่ำ SCG ได้นำเทคโนโลยีขั้นสูงมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ (Operation Eco-Efficiency) ผ่านแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ การฟื้นฟูทรัพยากรน้ำ และการฟื้นฟูป่าและระบบนิเวศ

“ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกของเรา” นายวัฒนชัยกล่าวในระหว่างการนำเสนอที่ห้องประชุม Central Control Room (CCR) ของโรงงาน “เรามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมปูนซิเมนต์คาร์บอนต่ำ และมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero และ Nature Positive โดยมีการลงทุนในนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนและส่งเสริมความยั่งยืนในทุกมิติ”

SCG ยังได้พัฒนาโครงการที่เกี่ยวข้องกับชุมชน เช่น การปลูกป่าชดเชย การจัดการขยะ และการมอบทุนการศึกษาให้กับเยาวชนในกัมพูชา เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาและพัฒนาทรัพยากรบุคคล การดำเนินงานเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างความไว้วางใจและความสัมพันธ์อันดีกับชุมชนท้องถิ่น

ความท้าทายและโอกาส

การลงทุนของ SCG ในกัมพูชาไม่ได้ปราศจากความท้าทาย โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจกัมพูชาเผชิญกับความผันผวนจากผลกระทบของโควิด-19 และการลดลงของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดยเฉพาะจากจีน ซึ่งเป็นแหล่งลงทุนหลักของกัมพูชา ในปี 2019 อุตสาหกรรมการพนันออนไลน์ที่เคยเฟื่องฟูในเมืองสีหนุวิลล์ถูกสั่งห้ามโดยรัฐบาลกัมพูชา ส่งผลให้ชาวจีนจำนวนมากที่เข้ามาลงทุนในภาคนี้ถอนตัวออกไป ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ทำให้การท่องเที่ยว ซึ่งคิดเป็น 12% ของ GDP ในปี 2019 ได้รับผลกระทบอย่างหนัก

อย่างไรก็ตาม SCG ได้ปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับวิกฤต โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการ เช่น การทำงานจากทุกที่ (Work From Anywhere) และการใช้แนวปฏิบัติ Bubble & Seal เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้ K Cement ยังสนับสนุนคู่ค้าและชุมชนด้วยการจัดหาอุปกรณ์ป้องกัน เช่น หน้ากากอนามัยและแอลกอฮอล์ รวมถึงช่วยเหลือคู่ค้าที่ประสบปัญหาการเงินเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้

ในด้านสิ่งแวดล้อม K Cement ได้ริเริ่มโครงการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในกัมพูชาเพื่อทำการสำรวจและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่รอบโรงงาน เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินงานจะไม่ทำลายระบบนิเวศ

สะพานสู่ความยั่งยืน

การลงทุนของ SCG ในกัมพูชาไม่เพียงแต่เป็นการขยายธุรกิจ แต่ยังเป็นการสร้างสะพานเชื่อมความเข้าใจระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาในด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน การที่ SCG เลือกใช้แบรนด์ K Cement แทนการใช้ชื่อแบรนด์ที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยโดยตรง แสดงถึงความเคารพต่อวัฒนธรรมและความรู้สึกของชาวกัมพูชา ในด้านเศรษฐกิจ SCG ได้สร้างงานให้กับชาวกัมพูชากว่า 700 ตำแหน่ง โดยมีพนักงานชาวไทยเพียง 20-25 คน ซึ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในท้องถิ่น การลงทุนของ SCG ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยเฉพาะในจังหวัดกำปอต เปลี่ยนจากพื้นที่นาข้าวรกร้างกลายเป็นชุมชนที่มีร้านค้าและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นหลังจากการตั้งโรงงาน

ด้านสิ่งแวดล้อม การที่ SCG เป็นผู้นำในการผลิตปูนซิเมนต์คาร์บอนต่ำในกัมพูชาได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม แม้ว่าความตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมในกัมพูชาจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ SCG ได้แสดงบทบาทผู้นำด้วยการนำเทคโนโลยีสีเขียวมาใช้ และส่งเสริมแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งอาจเป็นแรงบันดาลใจให้บริษัทอื่น ๆ ในกัมพูชาและภูมิภาคอาเซียนปฏิบัติตาม

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในอนาคตยังคงอยู่ โดยเฉพาะการแข่งขันจากโรงงานปูนซิเมนต์ของจีน แผ่นดินใหญ่ที่เน้นกลยุทธ์ด้านราคา ประกอบกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนในกัมพูชา SCG จึงต้องรักษาจุดแข็งในด้านคุณภาพและความยั่งยืน เพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาดที่ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 30% และขยายโอกาสในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น สนามบินใหม่ในพนมเปญและเสียมเรียบ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

จากข้อมูลของ SCG และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกัมพูชา

  • มูลค่าการลงทุนของ SCG ในกัมพูชา 15,000 ล้านบาท คิดเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนในต่างประเทศทั้งหมด 390,000 ล้านบาท
  • จำนวนพนักงานในกัมพูชา 700 คน (90% เป็นชาวกัมพูชา) และพนักงานชาวไทย 20-25 คน
  • การลดการปล่อยคาร์บอน ปูนซิเมนต์คาร์บอนต่ำของ SCG ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 30% เมื่อเทียบกับปูนซิเมนต์ทั่วไป
  • การฟื้นฟูพื้นที่ป่า SCG ได้ปลูกต้นไม้ชดเชยในกัมพูชากว่า 10,000 ต้นตั้งแต่ปี 2015 และมีแผนปลูกเพิ่มในปี 2025 ร่วมกับสถานทูตไทย
  • การจัดการขยะ โรงงานของ SCG ในกัมพูชาสามารถนำขยะมาใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนได้ถึง 15% ของพลังงานที่ใช้ในกระบวนการผลิต
  • GDP ของกัมพูชา คาดการณ์เติบโต 4.8% ในปี 2023 ตามข้อมูลของรัฐบาลกัมพูชา และ 5.3% ตาม SCB EIC และ 5% ตาม Asian Development Ban

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCG)
  • SCG Cambodia
  • กระทรวงเศรษฐกิจและการเงินกัมพูชา
  • SCB Economic Intelligence Center (SCB EIC)
  • Asian Development Bank
  • สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

นายกฯ ลุยสระแก้ว! ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ “ไม่จบไม่เลิก”

นายกฯ ย้ำเดินหน้าปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ “ไม่จบ ไม่เลิก” ลงพื้นที่ชายแดนสระแก้ว

ตรวจด่านคลองลึก อรัญประเทศ ติดตามมาตรการสกัดอาชญากรรมข้ามชาติ

กรุงเทพฯ, 27 กุมภาพันธ์ 2568 – นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เตรียมลงพื้นที่ ด่านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ตรงข้ามกับบ้านปอยเปต ประเทศกัมพูชา ในวันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อตรวจสอบมาตรการปราบปราม แก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมออนไลน์ พร้อมร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการสกัดกั้นปัญหาให้หมดไปจากสังคมไทย

ผู้นำรัฐบาลพร้อมคณะลงพื้นที่ หารือมาตรการสกัดอาชญากรรมข้ามแดน

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีจะเดินทางพร้อมคณะรัฐมนตรีและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อาทิ:

  • นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
  • นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
  • นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
  • นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

โดยนายกรัฐมนตรีจะประชุมหารือที่ กองทัพบก ร.12 พัน.3 รอ. ใน อ.อรัญประเทศ เพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินมาตรการและเยี่ยมชมศูนย์คัดแยกเหยื่อขบวนการคอลเซ็นเตอร์

เดินหน้าปิดช่องทางอาชญากรรม ดำเนินมาตรการเข้มงวด

ภายหลังจากการประชุม นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไป ด่านพรมแดนบ้านคลองลึก ตรวจสอบมาตรการที่รัฐบาลมีคำสั่งให้ งดส่งน้ำมันเชื้อเพลิงและตัดกระแสไฟฟ้าในพื้นที่ชายแดน ทั้งฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกของประเทศ เพื่อลดการสนับสนุนกิจกรรมผิดกฎหมายของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ

ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ ตลาดเบญจวรรณ อ.อรัญประเทศ เพื่อตรวจสอบการลดกำลังส่งสัญญาณการสื่อสาร และมาตรการ ตัดสายสัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต ในบริเวณสถานีรถไฟคลองลึก ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของขบวนการคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ

ไม่จบ ไม่เลิก” นายกฯ ยืนยันมาตรการต้องเข้มข้นจนกว่าปัญหาจะหมดไป

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า มาตรการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น จนกว่าปัญหาจะหมดสิ้นไปจากสังคมไทย “รัฐบาลไทยจะไม่ยอมให้ขบวนการคอลเซ็นเตอร์หรือรูปแบบการหลอกลวงใด ๆ กลับมาแผ่ขยายในประเทศอีก” นายจิรายุ กล่าว

สถิติและข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับอาชญากรรมออนไลน์

  • ปี 2567 มีการร้องเรียนเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์มากกว่า 300,000 รายการ
  • ความเสียหายจากการฉ้อโกงทางโทรศัพท์และออนไลน์สูงถึง 12,000 ล้านบาท
  • รัฐบาลสั่งตัดไฟฟ้าและสัญญาณโทรศัพท์ในพื้นที่เป้าหมายกว่า 50 จุดทั่วประเทศ
  • มีการจับกุมผู้ต้องหาเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์กว่า 2,500 รายในปีที่ผ่านมา

นายกรัฐมนตรีและทีมงานคาดหวังว่าการดำเนินมาตรการในครั้งนี้จะสามารถลดจำนวนอาชญากรรมข้ามชาติ และฟื้นฟูความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในสังคมไทยในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

ไทย-จีน-ลาว-พม่า-กัมพูชา-เวียดนาม 6 ประเทศ แม่น้ำโขง ปราบยาเสพติด

 

เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สปป.ลาว เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมความร่วมมือปราบปรามยาเสพติดในประเทศลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ ที่เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ซึ่งได้เชิญทางป.ป.ส.ประเทศไทย เข้าร่วม พร้อมกับผู้แทน ประเทศจีน เมียนมา เวียดนาม และ ประเทศกัมพูชา

 

พลตรี คำกิ่ง ผุยหล้ามะนีวง รองรัฐมนตรีกระทรวงป้องกันความสงบ สปป.ลาว เป็นประธานกล่าวต้อนรับและเปิดประชุม
โดยการจัดการประชุมครั้งนี้เพื่อแสดงความร่วมมือของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ซึ่งจัดขึ้นเนื่องในโอกาสวันต่อต้านยาเสพติดสากล 26 มิถุนายน 2567 และเป็นการกระชับมิตรภาพ ความสามัคคี และความร่วมมือในการต่อต้านยาเสพติด ในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขงทั้ง 6 ประเทศ
 
 
พลตรี คำกิ่ง ผุยหล้ามะนีวง กล่าวว่า เมื่อเดือนที่ผ่านมา การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสของประเทศต่างๆ ได้ร่วมกันจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการควบคุมยาเสพติดในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-31 พฤษภาคม 2567 ที่นครเวียงจันทน์ สปป. ลาว และ มีคณะผู้แทนของเราเข้าร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการประชุมด้วย ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าปัญหายาเสพติดถือเป็นอันตรายร้ายแรงและได้แพร่กระจายไปอย่างกว้างขวางจากเมืองสู่ชนบทในระดับต่างๆ
 
 
จนเป็นสาเหตุของเกิดปัญหาความยากจนและอาชญากรรมประเภทต่างๆ ในสังคม จำนวนคดียาเสพติด นักโทษ ผู้ติดยา รวมทั้งจำนวนยาเสพติดแต่ละประเภทมีเพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะเดียวกันการเคลื่อนย้าย ขนส่ง ค้าขาย และผลิตยามีลักษณะเป็นเครือข่ายมีวิธีการหลายรูปแบบที่ซับซ้อน
 
 
“สปป.ลาวและประเทศที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำของเราได้รับผลกระทบโดยตรงและเผชิญกับปัญหายาเสพติด ปัจจุบันยาเสพติดมีผลกระทบร้ายแรงต่อทุกเพศทุกวัยและทุกชนชั้นทั่วทั้งสังคม ตั้งแต่นักเรียนนักศึกษา ผู้ค้า คนงาน คนว่างงาน ไปจนถึงข้าราชการจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นต้นเหตุของปรากฏการณ์ที่ทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และสังคมถดถอย ส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมือง ตลอดจนความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของสังคม” พลตรี คำกิ่ง กล่าว
 
 
หลังจากนั้นที่ประชุมได้ให้ผู้แทนทั้ง 6 ประเทศ ได้กล่าวถึงปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหายาเสพคิดของตนเอง และจะได้รวบรวมข้อมูลของแต่ล่ะประเทศเพื่อนำไปสู่การร่วมมือกันแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
All NEWS UPDATE

“รองโจ๊ก” นำคณะพบ ผบ.ตร.กัมพูชา ส่ง 22 หมายจับสำคัญ ให้ช่วยเร่งรัดจับกุม

 

เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2567 พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้นำคณะ ศูนย์พิทักษ์เด็กสตรีครอบครัวป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เข้าพบผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกัมพูชา เพื่อพบปะ แลกเปลี่ยนความสัมพันธ์อันดีที่มีต่อกันมายาวนานในการป้องกันและปราบปรามตามแนวชายแดน และมีกำหนดการจะนัดประชุมหารือในวันพรุ่งนี้ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกัมพูชา

 

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติบอกว่าประเด็นสำคัญที่จะมาติดตามในวันนี้ก็คือขอให้ทางการกัมพูชาเร่งรัดติดตามความคืบหน้ากรณีหมายจับในคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การหลอกลวงลงทุน และการค้ามนุษย์ โดยในครั้งนี้ได้นำเอกสารสำคัญเกี่ยวกับหมายจับ ผู้ต้องหา 22 คนสำคัญ หรือ เรดโนติส มาส่งมอบให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกัมพูชาเพื่อขอให้เร่งรัดดำเนินการจับกุมผู้ต้องหาสำคัญให้กับประเทศไทยเพื่อจะนำไปขยายผลในการดำเนินคดี

 

หมายแดง หรือ Red Notice มีความหมายยังไง? 

หมายแดง หรือ Red Notice ของ Interpol นั้น ความจริงแล้วไม่ใช่หมายจับ อีกทั้ง INTERPOL เองก็ไม่มีอำนาจบังคับให้ประเทศสมาชิกจับผู้ที่มีหมายแดงติดตัว ในกรณีการจับกุมผู้ต้องหา การตัดสินใจจับหรือไม่จับเป็นอำนาจของประเทศ 100% หากตัดสินใจไม่จับก็ไม่ผิดกฎของ Interpol แต่อย่างใด 

 

อย่างไรก็ตาม ตามกฎของ Interpol เอง ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าหมายแดงไม่ใช่หมายจับ (It is not an international arrest warrant) ฉะนั้นแล้วประเทศที่เจอผู้ที่มีหมายแดงติดตัวจะจับหรือไม่จับบุคคลผู้นั้นก็ได้ เนื่องจาก Interpol ไม่ได้มีอำนาจอะไรที่จะบังคับประเทศสมาชิกว่าต้องจับผู้ที่มีหมายแดง (INTERPOL cannot compel any member country to arrest an individual who is the subject of a Red Notice)

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถานีโทรทัศน์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News