Categories
WORLD PULSE

สหรัฐฯ เก็บภาษี 36% ทั่วหน้า! ผลกระทบมหาศาลต่อเศรษฐกิจไทยทุกระดับ

วิกฤตภาษี 36% จากสหรัฐฯ บทเรียนสำคัญและผลกระทบที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับเศรษฐกิจไทย

ประเทศไทย, 8 กรกฎาคม 2568 – มาตรการภาษี “ตอบโต้” สหรัฐฯ กับ 36% ที่เขย่าเศรษฐกิจไทย เช้าวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 โลกธุรกิจไทยตื่นขึ้นมาพร้อมกับข่าวใหญ่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศผ่านโซเชียลมีเดียหลายช่องทาง สหรัฐอเมริกาจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสินค้าไทยทุกประเภทในอัตราสูงถึง 36% มีผล 1 สิงหาคม 2568 นี่คือการยกระดับมาตรการ “ภาษีตอบโต้” หรือ Reciprocal Tariff ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในมาตรการปกป้องตลาดสหรัฐฯ ที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ

ถ้อยแถลงนี้มีผลกระทบทันทีในวงการธุรกิจอุตสาหกรรมส่งออกของไทย ขณะเดียวกันก็กลายเป็นความกังวลของประชาชนทั่วไปที่อยู่ในสายปฏิบัติการหรือแม้แต่ภาคบริการ เพราะแม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว แต่ผลกระทบทางอ้อมจากมาตรการนี้จะแผ่ขยายในวงกว้างและลึกถึงเศรษฐกิจฐานราก

ที่มาและบริบท “ภาษี 36%” – อะไรทำให้ไทยกลายเป็นเป้า?

โดยปกติ สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าไทยตามพิกัดศุลกากรปกติ (เฉลี่ย 0-5%) บางประเภทต่ำถึงศูนย์ บางประเภทในกลุ่มเปราะบางอาจสูงขึ้น แต่ทั้งหมดล้วนเป็นไปตามกติกา WTO หรือข้อตกลงทวิภาคี

มาตรการ 36% รอบนี้แตกต่างโดยสิ้นเชิง เป็นภาษีแบบ “เหมารวม” ครอบคลุมสินค้าทุกประเภท สะท้อนท่าทีใหม่ที่ “แรง” กว่าทุกครั้งในอดีต จุดเริ่มต้นจากนโยบาย “America First” ที่ต้องการลดดุลการค้าขาดดุลกับต่างชาติ โดยอ้างว่าประเทศคู่ค้าเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ สูงเกินควร จึงต้องเรียกเก็บคืนแบบเท่าเทียม สัญญาณนี้หนักแน่นผ่านจดหมายถึงผู้นำ 14 ประเทศ ซึ่งไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ถูกเก็บ 36% พร้อมกัมพูชา ในขณะที่ ลาวและเมียนมา ถูกเรียกเก็บ 40% ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย 25-30% สะท้อนเจตนาชัดว่าต้องการทบทวนความสัมพันธ์ทางการค้าใหม่หมด

จากห่วงโซ่โลกถึงร้านค้าปลีกในเชียงราย

ผลกระทบต่อการส่งออกไทย

  • สหรัฐฯ คือคู่ค้าสำคัญอันดับต้นของไทย คิดเป็นสัดส่วน 15% ของการส่งออกไทย (ปี 2567 มูลค่ากว่า 48,000 ล้านดอลลาร์)
  • สินค้าหลักที่ได้รับผลกระทบตรง: อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนรถยนต์ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยางพารา ฯลฯ
  • การเก็บภาษี 36% ทำให้ต้นทุนสินค้าสูงขึ้นทันที โอกาสแข่งขันกับเวียดนาม เม็กซิโก หรือแม้แต่สินค้าจีนที่อาจเจรจาผ่อนปรนสำเร็จ จะน้อยลง คำสั่งซื้อใหม่จะถูกย้ายฐานไปประเทศอื่น
  • ผลกระทบลูกโซ่: โรงงานขนาดใหญ่ที่ผลิตเพื่อส่งออกอาจลดกำลังการผลิต เลิกจ้างแรงงาน หรือหยุดการขยายการลงทุนโดยตรง (FDI) ในไทย
  • ภาพรวม GDP ไทยปี 2568 อาจหดตัว 0.3-1.2% หากภาษีนี้คงอยู่ยาวเกิน 6 เดือน (ประมาณการโดยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ)

กระทบต่อแรงงานและครอบครัว

  • อุตสาหกรรมส่งออกจ้างงานโดยตรงกว่า 3.5 ล้านคน เฉพาะกลุ่มโรงงานใหญ่รอบ กทม.-ภาคตะวันออก
  • ถ้าเพียง 5% ของแรงงานกลุ่มนี้ว่างงาน จะมีผู้ว่างงานใหม่ 175,000 คน ภายในปีเดียว กดดันหนี้ครัวเรือน-ตลาดแรงงานและระบบเงินกู้ในภูมิภาค

ทบถึงภาคเกษตรและเชียงราย

  • เชียงราย แม้ไม่ใช่ฐานการผลิตหลักของสินค้าส่งออกอุตสาหกรรม แต่เป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรสำคัญ ที่ส่งผลผลิตป้อนโรงงานในภาคกลางและตะวันออก หากโรงงานเหล่านั้นลดคำสั่งซื้อ ราคาสินค้าเกษตรจะตกต่ำ กระทบรายได้เกษตรกรโดยตรง
  • หากคนงานที่กลับภูมิลำเนาเดิม (เช่นจากสมุทรปราการ ชลบุรี) มีรายได้ลดลง ย่อมทำให้กำลังซื้อภายในพื้นที่เชียงรายอ่อนแรง ซ้ำเติมเศรษฐกิจฐานราก

ผลต่อการท่องเที่ยวและบริการ

  • เมื่อรายได้ประชาชนโดยรวมลดลง การเดินทางท่องเที่ยว การใช้บริการในโรงแรม ร้านอาหาร ร้านค้าท้องถิ่นย่อมซบเซาตาม ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง
  • ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในพื้นที่จะลดลง การขยายกิจการใหม่ในจังหวัดชะลอตัว

การค้าชายแดน

  • เชียงรายเป็นประตูโลจิสติกส์ไทย-ลาว-เมียนมา เมื่อเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว การค้าชายแดน, การขนส่ง, ธุรกิจโลจิสติกส์ทั้งขาเข้า-ออกย่อมได้รับผลกระทบตามมา

ไทยควรรับมืออย่างไร?

รัฐบาลต้องเร่งเจรจาและแสวงหาข้อยุติใหม่

  • เร่งเดินหน้าเจรจากับ USTR, ใช้กลยุทธ์ “แลกเปลี่ยน” ลดภาษีสินค้าอเมริกันบางรายการ, เปิดตลาดใหม่ในอาเซียน-ตะวันออกกลาง และเร่งหาพันธมิตรการค้าใหม่รองรับ
  • ต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ลดการพึ่งพาตลาดเดิม พัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะภาคบริการ เกษตรแปรรูป และการท่องเที่ยว

ประชาชนควรบริหารการเงินอย่างรัดกุม

  • มีเงินสำรองฉุกเฉิน 3-6 เดือน ลดภาระหนี้ระยะสั้น สำรวจรายจ่ายอย่างมีวินัย
  • อาชีพเสริม/Reskill คือทางรอดใหม่ ต้องเปิดใจเรียนรู้ทักษะที่ตลาดต้องการหรือสร้างรายได้เสริมผ่านออนไลน์

ธุรกิจท้องถิ่นและเกษตรกรควรขยายตลาดและพัฒนานวัตกรรม

  • ผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคภายในประเทศมากขึ้น และหันมาใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เป็นช่องทางหลัก
  • กลุ่มเกษตรกรอาจรวมกลุ่มผลิต-ขายตรงให้กับผู้บริโภคในเมือง ลดการพึ่งพาโรงงานขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว

ภาครัฐส่วนภูมิภาค

  • เร่งอบรมอาชีพ-Reskill ให้กับแรงงานที่อาจได้รับผลกระทบ สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ
  • จัดกิจกรรมส่งเสริมท่องเที่ยว-ตลาดนัดสินค้าเกษตร เพิ่มโอกาสขายในจังหวัด สร้างแรงจูงใจให้คนไทยท่องเที่ยวภายในประเทศมากขึ้น

วิกฤตภาษี 36% – โจทย์ท้าทายที่คนไทยต้อง “ร่วมมือ” ฝ่าวิกฤต

แม้มาตรการภาษี 36% จากสหรัฐฯ คือความท้าทายทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่สุดในรอบทศวรรษ แต่มันคือบทเรียนสำคัญว่าประเทศที่พึ่งพาการส่งออกและตลาดเดิมมากเกินไปมีจุดเปราะบางสูง โลกใหม่หลังปี 2568 จะยิ่งแข่งกันดุและเปลี่ยนแปลงเร็วยิ่งขึ้น รัฐบาล ภาคธุรกิจ และประชาชนต้องเร่งปรับตัวครั้งใหญ่ ทั้งการต่อรองเจรจา คิดตลาดใหม่ หาช่องทางเสริมรายได้ พร้อมกับวินัยการเงินและนวัตกรรมในชีวิตประจำวัน

วิกฤตนี้หนักหนาแต่ไม่ใช่จุดจบ หากเราร่วมมือกัน สร้างภูมิคุ้มกันใหม่ให้ประเทศและเศรษฐกิจฐานราก สังคมไทยจะผ่านพ้นและยืนหยัดได้อย่างมั่นคง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานนโยบาย “ภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff)” โดยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และ CNBCTV
  • ข้อมูลเศรษฐกิจจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDC)
  • สถิติแรงงานจากกระทรวงแรงงาน
  • รายงานธนาคารแห่งประเทศไทย และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
  • ข้อมูลภาคส่งออกและการคาดการณ์ GDP จากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ (TDRI, EIC)
  • ข่าวการแถลงของนายพิชัย ชุณหวชิร รมว.คลัง (7 ก.ค. 68)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท เริ่มปี 2568 กระตุ้นเศรษฐกิจ

รัฐบาลเตรียมขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท เป็นของขวัญปีใหม่ เริ่ม 1 ม.ค. 2568

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 แหล่งข่าวจากกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า รัฐบาลกำลังเดินหน้าผลักดันนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวันทั่วประเทศ โดยคาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เพื่อต้อนรับปีใหม่ให้กับผู้ใช้แรงงาน ซึ่งถือเป็นการเพิ่มกำลังซื้อและสนับสนุนเศรษฐกิจในภาพรวม

เตรียมจัดตั้งคณะกรรมการค่าจ้างไตรภาคีชุดใหม่

ในขั้นตอนการดำเนินการ กระทรวงแรงงานได้เร่งรัดการจัดตั้งคณะกรรมการค่าจ้างหรือบอร์ดไตรภาคีชุดใหม่ เพื่อทดแทนคณะกรรมการชุดเดิมที่กำลังหมดวาระ โดยจะมีการเสนอรายชื่อกรรมการฝ่ายรัฐที่ยังว่างอยู่ 2 คน ให้กับที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้

ทั้งนี้ รายชื่อที่เสนอจะรวมถึงอดีตผู้บริหารของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งจะถูกแทนที่ด้วยผู้แทนจากกระทรวงการคลัง โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะเป็นนายอัครุตม์ สนธยานนท์ รองปลัดกระทรวงการคลัง และว่าที่อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานคนใหม่ เพื่อร่วมทำงานกับฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง

เป้าหมายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทต่อวัน

กระทรวงแรงงานมีความชัดเจนในการผลักดันนโยบายนี้ โดยตั้งเป้าหมายให้เริ่มใช้ค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทต่อวันทั่วประเทศให้ทันวันที่ 1 มกราคม 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนคาดหวังของขวัญปีใหม่จากรัฐบาล ในขณะเดียวกัน กระทรวงฯ ยังเร่งรัดให้คณะกรรมการค่าจ้างชุดใหม่จัดประชุมในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อสรุปอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสมกับแต่ละจังหวัด

“ตอนนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้รับทราบรายละเอียดทั้งหมดแล้ว และจะเสนอที่ประชุม ครม.ได้ในวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ เพื่อเร่งประชุมคณะกรรมการไตรภาคี โดยคาดว่าจะสามารถสรุปข้อสรุปได้ภายในเดือนธันวาคม 2567” แหล่งข่าวจากกระทรวงแรงงานกล่าว

ข้อยกเว้นสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก

แม้การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ทั่วประเทศ แต่รัฐบาลก็ได้พิจารณาถึงความยืดหยุ่นสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอีที่อาจได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงอย่างรวดเร็ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจึงได้มอบหมายให้มีการช่วยเหลือและให้เวลาธุรกิจกลุ่มนี้ในการปรับตัวก่อน 1 ปี เพื่อให้สามารถรับมือกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นได้

กระบวนการประชุมคณะกรรมการไตรภาคี

หลังจากที่ ครม. เห็นชอบรายชื่อคณะกรรมการที่กระทรวงแรงงานเสนอ คณะกรรมการค่าจ้างจะเริ่มนัดประชุมครั้งแรกในเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งการประชุมอาจต้องมีหลายรอบเพื่อพิจารณารายละเอียดจากคณะอนุกรรมการค่าจ้างระดับจังหวัด

การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้นับเป็นครั้งสำคัญที่รัฐบาลตั้งใจผลักดันเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับแรงงานไทย แต่อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวระบุว่า ยังต้องรอการอนุมัติจากที่ประชุม ครม. ในวันที่ 19 พฤศจิกายน เพื่อให้กระบวนการทั้งหมดเป็นไปตามกฎหมายและสามารถบังคับใช้ได้ทันเวลา

รัฐบาลเร่งเดินหน้าเพื่อให้ทันปีใหม่ 2568

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเผยว่า การปรับขึ้นค่าแรงครั้งนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน ทั้งนี้ คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะสามารถช่วยให้ครัวเรือนมีรายได้เพิ่มขึ้นในช่วงปีใหม่ และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา

สรุปประเด็นสำคัญ

  • รัฐบาลเตรียมขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ เริ่ม 1 มกราคม 2568
  • จัดตั้งคณะกรรมการค่าจ้างไตรภาคีชุดใหม่ เสนอ ครม. พิจารณาวันที่ 19 พฤศจิกายน
  • ขึ้นค่าแรงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมยกเว้นธุรกิจขนาดเล็กเพื่อให้ปรับตัว

FAQs

  1. การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทเริ่มเมื่อไหร่?
    เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568

  2. ทำไมรัฐบาลถึงขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ?
    เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับแรงงานและกระตุ้นเศรษฐกิจ

  3. ธุรกิจขนาดเล็กจะได้รับผลกระทบอย่างไร?
    ธุรกิจขนาดเล็กอาจได้รับการผ่อนผันในการปรับขึ้นค่าแรง เพื่อให้มีเวลาปรับตัว

  4. คณะกรรมการไตรภาคีมีหน้าที่อะไร?
    พิจารณาและกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจ

  5. มาตรการนี้มีผลทั่วประเทศหรือไม่?
    ใช่ แต่มีข้อยกเว้นสำหรับธุรกิจเอสเอ็มอีที่อาจได้รับการผ่อนผัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงแรงงาน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

‘พิพัฒน์’ ลงพื้นที่เชียงราย ให้กำลังใจแรงงานโครงการคืนคนดีสู่สังคม

 
เมื่อวันที่ 17 มีนาคม นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่เยี่ยมพบปะให้กำลังใจแรงงานที่ได้รับการฝึกอาชีพตามโครงการคืนคนดีสู่สังคม ศูนย์ฝึกอาชีพ สร้างงานสร้างรายได้ และให้บริการล้างทำความสะอาดรถยนต์แก่ประชาชนที่มารับบริการ ณ ศูนย์ฝึกอาชีพ สร้างงานสร้างรายได้ เมตตา พระไพศาลประชาทร วิ. วัดห้วยปลากั้ง อ.เมือง จ.เชียงราย โดยมีนายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน นายสมาสภ์ ปัทมะสุคนธ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วม ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
 
 
โดยสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 20 เชียงราย กับวัดห้วยปลากั้ง ที่ได้ฝึกอาชีพให้แก่ผู้ต้องขังที่พ้นโทษ ได้นำความรู้จากการฝึก มาต่อยอดในการประกอบอาชีพ มีงานทำ มีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นายพิพัฒน์กล่าวว่า ในวันนี้ตนพร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงแรงงานลงพื้นที่เชียงรายมาเยี่ยมพบปะกับแรงงานที่ได้รับการฝึกอาชีพตามโครงการคืนคนดีสู่สังคม ที่ศูนย์ฝึกอาชีพ สร้างงานสร้างรายได้ เมตตา พระไพศาลประชาทร วิ. ซึ่งที่นี่ให้บริการล้างทำความสะอาดรถยนต์แก่ประชาชนที่มารับบริการคันละ 50 บาท ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงแรงงานกับวัดห้วยปลากั้ง ที่จะเปิดโอกาสให้แรงงานชั้นดีที่พ้นโทษได้มีงานทำ มีอาชีพ มีรายได้ สามารถประกอบอาชีพหลังจากออกมาสู่สังคม โดยการล้างรถ ฝุ่น โคลน
 

ซึ่งในส่วนนี้ตนจะนำโมเดลดังกล่าวไปต่อยอดขยายผล  พร้อมหารือสถานีบริการน้ำมันเอกชนทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มการจ้างงาน สร้างอาชีพ พร้อมสร้างคุณค่าคืนคนดีสู่สังคมต่อไป นายพิพัฒน์กล่าวต่อว่า จากการลงพื้นที่เชียงรายในครั้งนี้ ยังพบว่าปัจจุบันเชียงรายยังพบปัญหาฝุ่นควันในปริมาณที่สูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ที่สำคัญมีความห่วงใยต่อแรงงานที่ทำงานอยู่ในพื้นที่โดยเฉพาะแรงงานที่ต้องทำงานอยู่ในกลางแจ้ง

จึงได้กำชับให้แรงงานจังหวัด ร่วมมือกับอาสาสมัครแรงงาน (อสร.) จังหวัดเชียงราย 124 คน พบปะกับชาวบ้านในพื้นที่เพื่อรณรงค์ให้ชาวบ้านช่วยกันหยุดเผาป่า ป้องกันฝุ่นควันลดปัญหามลพิษทางอากาศ อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคระบบทางเดินหายใจ นอกจากนี้ เพื่อร่วมสร้างทัศนียภาพให้กลับมาสวยงามเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงแรงงาน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS NEWS UPDATE

ภาครัฐจับมือผู้ประกอบการจัดมหกรรมใหญ่ “Job Expo Thailand 2023”

ภาครัฐจับมือผู้ประกอบการจัดมหกรรมใหญ่ “Job Expo Thailand 2023”

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2566 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ข้อมูลชี้วัดเกี่ยวกับภาคแรงงานได้ปรับตัวดีขึ้นโดยต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เปิดเผยว่าไตรมาส1/66 (ม.ค.-มี.ค.) ทั่วประเทศมีการจ้างงาน 39.6 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  ดีขึ้นทั้งในภาคเกษตร บริการ และอุตสาหกรรม
 
ส่วนผู้ว่างงานมีจำนวน 4.2 แสนคน หรือร้อยละ 1.05 ของผู้อยู่ในกำลังแรงงาน ลดลงเมื่อเทียบกับร้อยละ 1.53 ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่อัตราค่าจ้างโดยเฉลี่ย (อัตราค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นหักด้วยเงินเฟ้อ) เพิ่มขั้นร้อยละ 1.3 เฉพาะค่าจ้างแท้จริงภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 2.8% สะท้อนกำลังการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
 
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า แม้สถานการณ์โดยรวมจะดีขึ้นแต่หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องยังคงขับเคลื่อนแผนงานตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ที่เน้นย้ำว่าต้องสร้างโอกาสการมีงานทำ มีรายได้เพิ่มตามศักยภาพและความสามารถของประชาชนโดยต่อเนื่อง
 
ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 8-10 มิ.ย. 66 กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ได้จัดมหกรรมการจัดหางานครั้งใหญ่ระดับประเทศ “Job Expo Thailand 2023” ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา Hall EH 100 – 102 กรุงเทพฯ  โดยได้รวบรวมงานทั้งในและต่างประเทศมากกว่า 500,000 อัตรา จากสถานประกอบการเกือบ 400 แห่ง ที่จะมีการเปิดรับพนักงานทุกช่วงวัย ทุกระดับวุฒิการศึกษาไว้ในงานเดียว
 
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลจึงขอเชิญชวนผู้ที่กำลังมองหางานและโอกาสใหม่ๆ เข้าร่วมงานในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาใหม่ ผู้ว่างงาน หรือทุกคนที่ต้องการมีงานทำมองหาโอกาสทางการชีพใหม่ๆ และภายในงานยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจจากหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงาน อาทิ การแนะแนวอาชีพ คำปรึกษาด้านอาชีพ การเตรียมความพร้อมเพื่อพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้มีสูงขึ้น
 
มีกิจกรรมการพัฒนาคุณภาพแรงงานในกลุ่มเปราะบาง การให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้แก่ผู้ประกันตน ให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิผู้ประกันตนทุกมาตรา พร้อมเปิดรับสมัครผู้ประกันตนตามมาตรา 40 การให้ความรู้เกี่ยวกับค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน ตลอดจนความรู้เกี่ยวกับกฎหมายพื้นฐานสำหรับแรงงานด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงแรงงาน

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE