Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ผู้ว่าฯ เชียงรายลงพื้นที่แม่สาย เร่งช่วยน้ำท่วม

ผู้ว่าฯ เชียงรายลงพื้นที่แม่สาย ติดตามการแก้ไขน้ำท่วมและให้กำลังใจผู้ประสบภัย

เชียงราย, 24 พฤษภาคม 2568 – อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เผชิญอุทกภัยครั้งใหญ่จากฝนตกหนักต่อเนื่องตั้งแต่กลางดึกวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ส่งผลให้แม่น้ำสายเอ่อล้นตลิ่ง ท่วมชุมชนและพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญอย่างตลาดสายลมจอย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ติดตามการทำงานของเจ้าหน้าที่บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 และให้กำลังใจประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ขณะที่หน่วยงานทุกภาคส่วนระดมกำลังติดตั้งแนวป้องกันน้ำและสูบน้ำออกจากพื้นที่อย่างเร่งด่วน แม้ว่าสถานการณ์เริ่มคลี่คลายในบางจุด แต่คำเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยายังระบุถึงฝนตกชุกที่อาจยืดเยื้อจนถึงวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ทำให้ทุกฝ่ายต้องเตรียมพร้อมรับมืออย่างต่อเนื่อง

ฝนที่ไม่หยุดและสายน้ำที่ล้นตลิ่ง

ในค่ำคืนของวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ชาวบ้านในอำเภอแม่สายเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติเมื่อเสียงฝนกระหน่ำลงมาอย่างไม่ขาดสาย เมฆฝนหนาที่ยังคงปกคลุมพื้นที่ตอนบนของลุ่มน้ำแม่สาย รวมถึงเขตชายแดนฝั่งเมียนมา ทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำสายเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง น้ำเริ่มล้นตลิ่ง ไหลเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำ ชุมชนบ้านปิยะพร และพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญอย่างตลาดสายลมจอย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าชายแดนที่มีความคึกคัก

ความรุนแรงของน้ำท่วมครั้งนี้ทำให้ถนนหลายสายถูกตัดขาด บ้านเรือนของประชาชนถูกน้ำซัดจนทรัพย์สินเสียหาย และระบบสาธารณูปโภค เช่น น้ำประปาและไฟฟ้า ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ชาวบ้านในชุมชนริมแม่น้ำสาย เช่น บ้านไม้ลุงขน และบริเวณใกล้สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ต้องเผชิญกับน้ำที่ไหลเชี่ยวและโคลนตมที่ทับถมในบ้านเรือน ความหวาดกลัวและความสูญเสียเริ่มครอบงำชุมชน โดยเฉพาะเมื่อหลายครอบครัวต้องอพยพไปยังที่สูงเพื่อความปลอดภัย

เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่สายต้องเผชิญกับน้ำท่วมจากแม่น้ำสาย ในช่วงฤดูมรสุมของปีที่ผ่านมา พื้นที่นี้เคยประสบภัยน้ำท่วมรุนแรงมาแล้ว ทำให้ประชาชนเริ่มตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของแนวป้องกันน้ำและการบริหารจัดการภัยพิบัติในพื้นที่ ความเปราะบางของชุมชนลุ่มต่ำและความท้าทายจากน้ำที่ไหลมาจากฝั่งเมียนมาเป็นประเด็นที่ทั้งชุมชนและหน่วยงานรัฐต้องเผชิญอย่างต่อเนื่อง

การระดมกำลังและการลงพื้นที่ของผู้ว่าฯ

เมื่อสถานการณ์น้ำท่วมทวีความรุนแรง นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ไม่รอช้าที่จะลงพื้นที่เพื่อติดตามการทำงานของเจ้าหน้าที่และให้กำลังใจประชาชน เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดวิกฤตที่น้ำล้นพนังกั้นน้ำ ผู้ว่าฯ ได้ตรวจสอบการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ที่เร่งเสริมแนวป้องกันน้ำด้วยกระสอบทรายและติดตั้งเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ พร้อมสอบถามความต้องการของประชาชนที่ได้รับผลกระทบเพื่อให้การช่วยเหลืออย่างตรงจุด

นายชรินทร์ เปิดเผยว่า แนวผนังกั้นน้ำเดิมที่ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้การป้องกันน้ำท่วมไม่มีประสิทธิภาพเต็มที่ ส่งผลให้น้ำไหลเข้าท่วมพื้นที่สองจุดสำคัญ ได้แก่ บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 และสวนสาธารณะบ้านไม้ลุงขน อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเจ้าหน้าที่สามารถปิดกั้นน้ำที่จุดสะพานมิตรภาพได้สำเร็จ ขณะที่จุดที่สองบริเวณสวนสาธารณะบ้านไม้ลุงขนกำลังเร่งดำเนินการ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณน้ำที่ไหลเข้าสู่ชุมชนได้อย่างมีนัยสำคัญ

ในพื้นที่ที่น้ำเริ่มลดลง เช่น ชุมชนบางส่วนในเขตเทศบาลตำบลแม่สาย มณฑลทหารบกที่ 37 ร่วมกับอาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) ได้เข้าช่วยเหลือประชาชนในการทำความสะอาดบ้านเรือน โดยเคลียร์ตะกอนโคลนและสิ่งกีดขวางออกจากพื้นที่ อย่างไรก็ตาม บริเวณตลาดสายลมจอย ซึ่งเป็นย่านการค้าสำคัญ ยังคงมีน้ำท่วมขังในระดับสูง หน่วยงานต่างๆ จึงเตรียมติดตั้งแนวกระสอบทรายแบบ Big Bag และเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากจุดวิกฤต โดยเฉพาะที่สวนสาธารณะบ้านไม้ลุงขนและตลาดสายลมจอย

นอกจากนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศเตือนว่าภาคเหนือตอนบน รวมถึงจังหวัดเชียงราย จะยังคงมีฝนตกชุกต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ผู้ว่าฯ จึงขอให้ประชาชนยกของขึ้นที่สูง ติดตามข่าวสารจากหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น อำเภอแม่สายได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม โดยมีที่ว่าการอำเภอและเทศบาลตำบลแม่สายเป็นจุดรองรับผู้ประสบภัย พร้อมจัดเตรียมที่พักชั่วคราวและจุดจอดรถเพื่ออำนวยความสะดวก

ในด้านโครงสร้างป้องกันน้ำท่วมถาวร กรมการทหารช่างกำลังดำเนินการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำ ซึ่งปัจจุบันมีความคืบหน้า 27% หากโครงการนี้แล้วเสร็จ คาดว่าจะสามารถปกป้องพื้นที่เศรษฐกิจและชุมชนในแม่สายจากอุทกภัยในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การประชุมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงดำเนินต่อเนื่องเพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วมและประเด็นสารปนเปื้อนในน้ำ โดยเฉพาะในแม่น้ำสาย ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน

เกี่ยวกับคุณภาพน้ำประปาในพื้นที่แม่สาย การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สายได้ตรวจสอบและยืนยันว่าน้ำประปาที่ผลิตสามารถใช้อุปโภคและบริโภคได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม ประชาชนควรหลีกเลี่ยงการดื่มหรือสัมผัสน้ำโดยตรงจากแหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น แม่น้ำสาย จนกว่าสถานการณ์จะปลอดภัย และควรระมัดระวังการสัมผัสน้ำท่วมขังที่อาจปนเปื้อนสารเคมีหรือเชื้อโรค

ความหวังท่ามกลางสายฝน

เมื่อถึงช่วงเย็นของวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 สถานการณ์น้ำท่วมในอำเภอแม่สายเริ่มแสดงสัญญาณของการฟื้นตัว ระดับน้ำในแม่น้ำสายค่อยๆ ลดลงในบางพื้นที่ หลังจากเครื่องสูบน้ำและแนวกระสอบทรายช่วยควบคุมการไหลของน้ำได้ดีขึ้น ชุมชนที่น้ำลดลง เช่น บริเวณใกล้สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 เริ่มมีการเคลียร์พื้นที่และฟื้นฟูบ้านเรือน โดยมีอาสาสมัครและทหารจากมณฑลทหารบกที่ 37 เข้ามาสนับสนุนอย่างเต็มที่

ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่จัดตั้งขึ้นในพื้นที่ช่วยให้การประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น ลดความซ้ำซ้อนในการให้ความช่วยเหลือ และทำให้ทรัพยากรถูกจัดสรรไปยังจุดที่ต้องการมากที่สุด ผู้ประสบภัยที่อพยพไปยังที่ว่าการอำเภอและเทศบาลตำบลแม่สายได้รับการดูแลด้านอาหาร ที่พัก และการตรวจสุขภาพเบื้องต้น ซึ่งช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงวิกฤต

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่น้ำท่วมขัง เช่น ตลาดสายลมจอย ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของชุมชน การเร่งระบายน้ำและฟื้นฟูพื้นที่นี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยให้ผู้ประกอบการกลับมาเปิดร้านและดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ คำเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยาเกี่ยวกับฝนที่อาจตกต่อเนื่องยังเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องจับตา โดยหน่วยงานในพื้นที่มีการเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น

ในระยะยาว การก่อสร้างแนวป้องกันน้ำถาวรโดยกรมการทหารช่างจะเป็นความหวังของชุมชนในการป้องกันน้ำท่วมในอนาคต การประสานงานข้ามพรมแดนกับเมียนมาเพื่อบริหารจัดการลุ่มน้ำสายอย่างบูรณาการ รวมถึงการพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า จะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนแม่สาย

ผลลัพธ์และความท้าทาย

การจัดการน้ำท่วมในอำเภอแม่สายครั้งนี้ประสบความสำเร็จในหลายด้าน ดังนี้:

  1. การตอบสนองอย่างรวดเร็ว การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดและการระดมทรัพยากรจากหน่วยงานต่างๆ ช่วยควบคุมสถานการณ์ได้ทันท่วงที
  2. ความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน การทำงานร่วมกันของมณฑลทหารบกที่ 37 กรมการทหารช่าง การประปาส่วนภูมิภาค และเทศบาลตำบลแม่สาย สร้างความเข้มแข็งในการจัดการภัยพิบัติ
  3. การสนับสนุนชุมชน การจัดตั้งศูนย์อำนวยการและที่พักชั่วคราวช่วยให้ผู้ประสบภัยได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง
  4. การสร้างขวัญกำลังใจ การลงพื้นที่ของผู้นำจังหวัดและการให้กำลังใจประชาชนช่วยลดความตื่นตระหนกและสร้างความเชื่อมั่น

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ยังเผยให้เห็นความท้าทายที่ต้องแก้ไข:

  1. โครงสร้างป้องกันน้ำที่ไม่สมบูรณ์ แนวผนังกั้นน้ำที่ยังไม่แล้วเสร็จเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้เกิดน้ำท่วมในครั้งนี้
  2. ความเสี่ยงจากฝนต่อเนื่อง คำเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยาเกี่ยวกับฝนตกชุกจนถึงวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 อาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
  3. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ตลาดสายลมจอยและผู้ประกอบการในพื้นที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจชายแดนในระยะสั้น
  4. สารปนเปื้อนในน้ำ ความกังวลเกี่ยวกับสารปนเปื้อนในน้ำท่วมขังและแม่น้ำสายยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้:

  • เร่งรัดการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำ เพิ่มงบประมาณและกำลังคนเพื่อให้โครงการแนวป้องกันน้ำถาวรแล้วเสร็จโดยเร็ว
  • พัฒนาระบบเตือนภัยและติดตามสภาพอากาศ ใช้เทคโนโลยี เช่น เซ็นเซอร์วัดระดับน้ำและแอปพลิเคชันแจ้งเตือน เพื่อให้ประชาชนเตรียมตัวล่วงหน้า
  • ฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่น จัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการในตลาดสายลมจอยและให้การสนับสนุนด้านการเงิน
  • ตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง เพิ่มความถี่ในการตรวจคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายและน้ำท่วมขัง เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความรุนแรงของน้ำท่วมและความสำคัญของการจัดการภัยพิบัติ ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ

  1. จำนวนผู้ประสบภัยในอำเภอแม่สาย
    • น้ำท่วมในปี 2567 ส่งผลกระทบต่อประชากรในอำเภอแม่สายกว่า 51,865 ครัวเรือน โดยเฉพาะในชุมชนลุ่มต่ำ
    • แหล่งอ้างอิง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย. (2567). รายงานสถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดเชียงราย.
  2. ความเสียหายทางเศรษฐกิจ
    • น้ำท่วมในแม่สายเมื่อปี 2567 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยเฉพาะในพื้นที่ตลาดสายลมจอย
    • แหล่งอ้างอิง หอการค้าจังหวัดเชียงราย. (2567). รายงานผลกระทบน้ำท่วมต่อเศรษฐกิจชายแดน.
  3. การใช้ทรัพยากรในการจัดการน้ำท่วม
    • ในปี 2567 หน่วยงานในภาคเหนือใช้กระสอบทรายกว่า 100,000 ใบและเครื่องสูบน้ำ 50 ชุดในการจัดการน้ำท่วม
    • แหล่งอ้างอิง: กรมทรัพยากรน้ำ. (2567). รายงานการจัดการภัยพิบัติน้ำท่วมภาคเหนือ.
  4. ความถี่ของน้ำท่วมในแม่สาย
    • อำเภอแม่สายเผชิญน้ำท่วมจากแม่น้ำสายเฉลี่ย 3–4 ครั้งต่อปีในช่วงฤดูมรสุม (กรกฎาคม–ตุลาคม)
    • แหล่งอ้างอิง สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ. (2567). รายงานสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำสาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • มณฑลทหารบกที่ 37
  • กรมการทหารช่าง
  • การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สาย
  • เทศบาลตำบลแม่สาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
FEATURED NEWS

กทม.สั่นสะเทือน! นักวิชาการจี้ปรับระบบเตือนภัยแผ่นดินไหว

ราชดำเนินเสวนา “สังคายนาระบบเตือนภัย” จุดประกายการเตรียมพร้อมรับมือแผ่นดินไหว เสนอยกระดับระบบ Cell Broadcast สู่ระบบแจ้งเตือนพิบัติภัยที่ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม

เชียงราย, 2 เมษายน 2568 – จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อกรุงเทพมหานครและหลายพื้นที่ของประเทศไทยเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 นำไปสู่การจัดเวที “ราชดำเนินเสวนา” ในหัวข้อ สังคายนาระบบเตือนภัย” โดย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เพื่อถอดบทเรียนและหาแนวทางพัฒนา “ระบบเตือนภัยพิบัติ” ให้ทันสมัย ครอบคลุม และสามารถใช้งานได้จริงในเวลาฉุกเฉิน

เวทีวิชาการ ชำแหละปัญหา เตือนภัยไทยยังไม่ทันเวลา

เวทีเสวนาครั้งนี้มีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญหลายท่านร่วมแลกเปลี่ยนความเห็น อาทิ

  • ศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแผ่นดินไหว
  • รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์ภัยพิบัติ ม.รังสิต
  • รศ.ดร.คมสัน มาลีสี อธิการบดี สจล.
  • นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค

เวทีชี้ให้เห็นว่า แม้ประเทศไทยมีระบบแจ้งเตือนแผ่นดินไหว แต่ยังขาดประสิทธิภาพ โดยเฉพาะกรณีแผ่นดินไหวที่เมียนมาส่งผลให้ อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มในเวลาเพียง 7 นาทีหลังเกิดเหตุ แต่การแจ้งเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยามาถึงประชาชนล่าช้ากว่าครึ่งชั่วโมง ส่งผลให้ไม่มีเวลาเตรียมตัวหรืออพยพ

ระบบ Cell Broadcast คือความหวังใหม่ของการเตือนภัย

รศ.ดร.เสรี ย้ำว่า ประเทศไทยควรเร่งพัฒนา ระบบ Cell Broadcast ซึ่งสามารถส่งข้อความแจ้งเตือนผ่านเสาสัญญาณโทรคมนาคมถึงโทรศัพท์มือถือในพื้นที่เสี่ยงได้ทันที ภายใน 1 นาที โดยไม่ต้องขออนุญาตหลายขั้นตอนหรือผ่านระบบ SMS ที่ล่าช้าและจำกัดจำนวนการส่ง

แม้รัฐบาลจะมีแผนเริ่มใช้งานระบบ Cell Broadcast ภายในเดือนกรกฎาคม 2568 แต่ในช่วงระหว่างนี้ต้องมีแนวทางสำรอง เช่น การแจ้งเตือนผ่านโซเชียลมีเดีย ทีวี วิทยุ และการส่ง SMS ทันที โดยไม่ต้องรอผ่าน กสทช.

3 รอยเลื่อนใหญ่ เสี่ยงแผ่นดินไหวกระทบไทย

ศ.ดร.เป็นหนึ่ง ระบุว่า ประเทศไทยได้รับผลกระทบจาก 3 รอยเลื่อนหลัก ได้แก่

  1. รอยเลื่อนจังหวัดกาญจนบุรี – เคยเกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.9 และอาจรุนแรงถึง 7.5
  2. รอยเลื่อนสกาย – ผ่ากลางเมียนมา มีความเคลื่อนไหวสูง
  3. รอยเลื่อนอาระกัน – อาจก่อให้เกิดแผ่นดินไหวขนาด มากกว่า 8.5 ครั้งล่าสุดเมื่อ 260 ปีก่อน

ทั้งนี้ กทม. เป็นพื้นที่ที่มี แอ่งดินอ่อนขนาดใหญ่” ที่สามารถขยายแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวได้ถึง 3-4 เท่า โดยเฉพาะอาคารสูงจะได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากโครงสร้างอาจเกิดการสั่นในจังหวะที่ขยายแรงสั่นสะเทือน

ข้อเสนอ: ตรวจสอบอาคารสูง – เสริมความแข็งแกร่งพื้นที่เสี่ยง

ผู้เชี่ยวชาญเสนอให้ตรวจสอบโครงสร้างอาคารเสี่ยงในกรุงเทพฯ และภาคเหนือ โดยเฉพาะโรงเรียนในเชียงราย ซึ่งอาจไม่ได้ออกแบบให้รองรับแผ่นดินไหวตั้งแต่ต้น ทั้งนี้การเสริมความแข็งแกร่งของอาคารเดิมใช้ค่าใช้จ่ายเพียง 10-20% ของการก่อสร้างใหม่ จึงควรจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสม

ปัจจุบันมีการทดลองติดตั้งอุปกรณ์วัดแรงสั่นสะเทือนที่

  • โรงพยาบาลเชียงราย
  • โรงพยาบาลเชียงใหม่
  • โรงพยาบาลแม่ฟ้าหลวง
  • และเตรียมติดตั้งที่โรงพยาบาลกลาง กรุงเทพมหานคร

อุปกรณ์นี้สามารถแจ้งเตือนสถานะความมั่นคงของอาคารภายใน 5 นาทีหลังเกิดเหตุ

ภาคประชาชน-สภาผู้บริโภค เรียกร้องโปร่งใสและเร่งติดตั้ง

นายอิฐบูรณ์ กล่าวว่า ประเทศไทยต้องทำระบบให้โปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยเฉพาะการใช้งบประมาณที่ระบุว่าใช้กองทุน USO จาก กสทช. กว่า 1,000 ล้านบาท จึงควรเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนรับรู้ และไม่ควรโยนภาระให้ประชาชนรับมือภัยพิบัติด้วยตนเอง

ประชาชนควรรู้วิธีปฏิบัติตัว แต่รัฐต้องจัดทำ ชุดความรู้ความเข้าใจ” อย่างเป็นระบบเช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งสอนเด็กๆ ให้รับมือภัยพิบัติตั้งแต่ระดับประถมศึกษา

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้องกับแผ่นดินไหวในประเทศไทย

จากรายงานของ กรมทรัพยากรธรณี (2566) และ ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ระบุว่า

  • ประเทศไทยเกิดแผ่นดินไหว ขนาด 3.0 ขึ้นไปมากกว่า 70 ครั้งต่อปี
  • กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว ทางอ้อมมากที่สุด เนื่องจากสภาพชั้นดินอ่อน
  • เหตุแผ่นดินไหวที่เมียนมา เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2568 ส่งผลแรงสั่นสะเทือนระดับ 4–5 ในกรุงเทพฯ
  • อาคารสูงในกรุงเทพฯ ที่ไม่ได้ออกแบบตาม พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร ปี 2550 ยังคงมีสัดส่วนสูงกว่าร้อยละ 60

(ที่มา: กรมทรัพยากรธรณี, กรมอุตุนิยมวิทยา, ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ)

บทสรุป: ความเห็นอย่างเป็นกลางจากสองมุมมอง

ฝ่ายหนึ่ง สนับสนุนให้พัฒนาระบบ Cell Broadcast และติดตั้งอุปกรณ์วัดแรงสั่นสะเทือนให้ครอบคลุมทุกพื้นที่เสี่ยง พร้อมเสนอให้รัฐเร่งจัดการโครงสร้างพื้นฐานและเพิ่มมาตรฐานการก่อสร้างอาคารเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของประชาชน

อีกฝ่ายหนึ่ง แม้เห็นด้วยกับการพัฒนาระบบ แต่เสนอให้ดำเนินการอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และไม่ให้ภาระทั้งหมดตกแก่ประชาชนโดยลำพัง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า การเตือนภัยจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อประชาชนเข้าใจวิธีการปฏิบัติตัว และมีเครื่องมือที่เข้าถึงทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม

ข้อเสนอแนะร่วม

  • ปรับระบบเตือนภัยให้เร็วกว่าเดิม โดยใช้เทคโนโลยี Cell Broadcast
  • ตรวจสอบและเสริมความแข็งแกร่งของอาคารสูงและอาคารเรียนในเขตเสี่ยง
  • สร้างแผนฝึกอบรมการรับมือแผ่นดินไหวอย่างเป็นระบบ
  • สร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการกำหนดแนวทางเตือนภัย
  • เปิดเผยการใช้งบประมาณอย่างโปร่งใสต่อสาธารณชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

เมียนมาไหวซ้ำ 169 อาฟเตอร์ช็อก ภาพดาวเทียมเสียหาย

แผ่นดินไหวเมียนมาเผยความเสียหายหนัก GISTDA เปิดภาพดาวเทียม THEOS-2 อาฟเตอร์ช็อกพุ่ง 169 ครั้ง

ประเทศไทย, 30 มีนาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ได้เผยแพร่ภาพถ่ายจากดาวเทียม THEOS-2 ซึ่งบันทึกเมื่อเวลา 10:05 น. ของวันที่ 29 มีนาคม 2568 โดยเปรียบเทียบกับภาพถ่ายก่อนเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในประเทศเมียนมา ผลการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นถึงความเสียหายรุนแรงในหลายพื้นที่ของเมืองมัณฑะเลย์ เมืองสำคัญอันดับสองของเมียนมา โดยพบรอยแยกบนถนน สะพานเส้นทางด่วนสายย่างกุ้ง-มัณฑะเลย์พังถล่ม สะพานอังวะ (Ava Bridge) ซึ่งเป็นสะพานประวัติศาสตร์พังทลายลง รวมถึงการทรุดตัวของสิ่งปลูกสร้าง และรอยแยกตามพื้นที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะบริเวณริมแม่น้ำสายหลักอย่างแม่น้ำอิรวดีและแม่น้ำมิตเงะ

เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 โดยมีศูนย์กลางอยู่ในประเทศเมียนมา ด้วยขนาด 8.2 ริกเตอร์ ที่ระดับความลึกเพียง 10 กิโลเมตร ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความรุนแรงของแผ่นดินไหวส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ไม่เพียงแต่ในเมียนมาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ที่สามารถรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนได้

สถานการณ์อาฟเตอร์ช็อกและการติดตาม

กรมอุตุนิยมวิทยาของประเทศไทยรายงานว่า หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวหลัก เกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดจนถึงวันที่ 30 มีนาคม 2568 มีรายงานการเกิดอาฟเตอร์ช็อกแล้วถึง 169 ครั้ง แม้ว่าขนาดของอาฟเตอร์ช็อกจะค่อย ๆ ลดระดับความรุนแรงลงจนถึงจุดที่ไม่สามารถรับรู้ถึงการสั่นไหวได้ในหลายพื้นที่ แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อเวลา 14:08 น. ตามเวลาประเทศไทย เกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.9 ริกเตอร์ บริเวณทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ห่างจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวหลักประมาณ 332 กิโลเมตร ซึ่งบางจุดในประเทศไทยยังคงรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนได้

กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า สถานการณ์แผ่นดินไหวและอาฟเตอร์ช็อกจะเริ่มคลี่คลายและเข้าสู่ภาวะปกติภายในระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์นับจากนี้ โดยได้มีการเฝ้าติดตามข้อมูลจากเครื่องมือวัดแผ่นดินไหวอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินความเสี่ยงและแจ้งเตือนประชาชนให้ทราบถึงพัฒนาการของสถานการณ์

ความเสียหายในเมืองมัณฑะเลย์จากภาพถ่ายดาวเทียม

ภาพถ่ายจากดาวเทียม THEOS-2 ซึ่งเป็นดาวเทียมสำรวจทรัพยากรของประเทศไทยที่มีความละเอียดสูง ได้บันทึกภาพความเสียหายในเมืองมัณฑะเลย์อย่างชัดเจน โดย GISTDA ระบุว่า ความเสียหายที่ปรากฏในภาพประกอบด้วยรอยแยกขนาดใหญ่บนถนนสายหลักที่เชื่อมต่อเมืองต่าง ๆ สะพานเส้นทางด่วนสายย่างกุ้ง-มัณฑะเลย์ ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการคมนาคมของเมียนมา พังถล่มลงอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ สะพานอังวะ ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยอาณานิคมและมีอายุกว่า 90 ปี ก็พังทลายลงจากแรงสั่นสะเทือน ส่งผลให้การสัญจรข้ามแม่น้ำอิรวดีหยุดชะงัก

นอกเหนือจากโครงสร้างพื้นฐาน ภาพถ่ายดาวเทียมยังเผยให้เห็นการพังทลายของอาคารบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ รวมถึงรอยแยกขนาดใหญ่ตามแนวชายฝั่งแม่น้ำอิรวดีและแม่น้ำมิตเงะ ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านเมืองมัณฑะเลย์ ความเสียหายในบริเวณนี้บ่งชี้ถึงผลกระทบรุนแรงต่อชุมชนที่อยู่อาศัยริมน้ำ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการอพยพและความต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในระยะยาว

การตอบสนองของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ในประเทศไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้รับรายงานว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยมีถึง 57 จังหวัดที่รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือน หน่วยงานได้ประสานงานกับจังหวัดต่าง ๆ เพื่อสำรวจความเสียหายและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะในจังหวัดภาคเหนือ เช่น แม่ฮ่องสอน เชียงราย และเชียงใหม่ ซึ่งอยู่ใกล้กับจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวมากที่สุด

ในส่วนของเมียนมา รัฐบาลทหารของประเทศได้ประกาศภาวะฉุกเฉินในหลายพื้นที่ รวมถึงเมืองมัณฑะเลย์ และเมืองเนปยีดอ ซึ่งเป็นเมืองหลวง และได้ร้องขอความช่วยเหลือจากนานาชาติเพื่อรับมือกับวิกฤตครั้งนี้ องค์การสหประชาชาติ (UN) และหน่วยงานบรรเทาทุกข์ระหว่างประเทศได้เริ่มส่งทีมกู้ภัยและสิ่งของบรรเทาทุกข์เข้าไปยังพื้นที่ประสบภัยแล้ว อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงบางพื้นที่ยังคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากถนนและสะพานที่เสียหาย รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งภายในประเทศที่ยังคงดำเนินอยู่นับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2564

ผลกระทบต่อประชาชนและโครงสร้างพื้นฐาน

จากรายงานเบื้องต้นในเมียนมา ความเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งนี้ครอบคลุมทั้งบ้านเรือนประชาชน วัด โรงพยาบาล และอาคารราชการ โดยเฉพาะในเมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจของเมียนมา ความสูญเสียทางชีวิตยังคงอยู่ในระหว่างการประเมิน แต่คาดว่ามีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก เนื่องจากความหนาแน่นของประชากรและสภาพอาคารที่ไม่ได้รับการออกแบบให้ทนต่อแผ่นดินไหวขนาดใหญ่

ในประเทศไทย แม้ว่าจะไม่มีรายงานความเสียหายรุนแรงเทียบเท่ากับในเมียนมา แต่ประชาชนในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในภาคเหนือและกรุงเทพมหานคร รายงานว่ารับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนอย่างชัดเจน บางพื้นที่ เช่น เขตจตุจักร กรุงเทพฯ มีรายงานอาคารสูงที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างพังถล่มลงมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหาย ซึ่งหน่วยงานท้องถิ่นกำลังเร่งดำเนินการกู้ภัยและประเมินความปลอดภัยของอาคารต่าง ๆ

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝ่าย

เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ได้นำไปสู่การถกเถียงในสองมุมมองหลัก ฝ่ายหนึ่งมองว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในเมียนมา อาจมีสาเหตุมาจากการขาดการเตรียมพร้อมและมาตรฐานการก่อสร้างที่ไม่เพียงพอต่อการรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยชี้ว่าโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สะพานและอาคารต่าง ๆ ไม่ได้รับการออกแบบให้ทนต่อแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ซึ่งอาจสะท้อนถึงปัญหาการบริหารจัดการและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลทหารเมียนมา

ในทางกลับกัน อีกฝ่ายหนึ่งให้เหตุผลว่า แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ เป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงเกินกว่าที่โครงสร้างส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้จะรับไหวได้ ไม่ว่าจะมีการเตรียมพร้อมดีเพียงใด โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยในบริเวณนี้ และความลึกของจุดศูนย์กลางที่เพียง 10 กิโลเมตรยิ่งเพิ่มความรุนแรงของแรงสั่นสะเทือน

จากมุมมองที่เป็นกลาง ข้อสังเกตของทั้งสองฝ่ายมีน้ำหนักในตัวเอง การขาดการเตรียมพร้อมและมาตรฐานการก่อสร้างอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ความเสียหายทวีความรุนแรงขึ้นจริง อย่างไรก็ตาม ความใหญ่ของแผ่นดินไหวครั้งนี้ก็เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุม และอาจเกินขีดความสามารถของโครงสร้างทั่วไปในภูมิภาคนี้ การหาข้อสรุปที่ชัดเจนจึงต้องรอผลการวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาและวิศวกรรม เพื่อชี้ชัดถึงสาเหตุและแนวทางป้องกันในอนาคต โดยไม่ควรตัดสินว่าเป็นความผิดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงด้านเดียวในขณะนี้

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. จำนวนครั้งของแผ่นดินไหวในเมียนมา: จากข้อมูลของ United States Geological Survey (USGS) ตั้งแต่ปี 2550-2567 มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดเกิน 5.0 ริกเตอร์ ในเมียนมาและบริเวณใกล้เคียงรวม 45 ครั้ง โดยครั้งนี้ (2568) เป็นเหตุการณ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในรอบเกือบศตวรรษ (ที่มา: USGS Earthquake Catalog, 2567)
  2. ความเสียหายจากแผ่นดินไหวในประเทศไทย: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานว่า แผ่นดินไหวที่มีผลกระทบในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2550-2567 เกิดขึ้น 12 ครั้ง โดยเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดก่อนหน้านี้คือแผ่นดินไหวขนาด 6.3 ริกเตอร์ ที่จังหวัดเชียงราย เมื่อปี 2557 ซึ่งสร้างความเสียหายแก่บ้านเรือน 1,200 หลัง (ที่มา: รายงานภัยพิบัติ ปภ., 2567)
  3. โครงสร้างพื้นฐานที่เสียหายในเมียนมา: ตามรายงานของ UN Office for the Coordination of Humanitarian Affairs (OCHA) ณ ปี 2566 โครงสร้างพื้นฐานในเมียนมามีความเปราะบางจากความขัดแย้งภายใน โดยร้อยละ 30 ของถนนและสะพานอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมรับภัยพิบัติ (ที่มา: OCHA Myanmar Humanitarian Update, 2566)

สรุป

เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ในเมียนมาได้สร้างความเสียหายอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในเมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งภาพถ่ายจากดาวเทียม THEOS-2 ของ GISTDA ได้เผยให้เห็นถึงความรุนแรงของผลกระทบ ขณะที่อาฟเตอร์ช็อกยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องถึง 169 ครั้ง หน่วยงานทั้งในเมียนมาและประเทศไทยกำลังเร่งดำเนินการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย การค้นหาความจริงและแนวทางป้องกันในอนาคตจะเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดความสูญเสียจากภัยพิบัติครั้งต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • GISTDA
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • USGS
  • UN OCHA
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

‘อนุทิน’ สั่งรับพายุ เตือนผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด

รัฐบาลเตรียมพร้อมรับมือพายุฤดูร้อน 2568 ทั่วประเทศ กำชับช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วน

กระทรวงมหาดไทยสั่งการทุกจังหวัดเฝ้าระวัง แจ้งเตือน และเร่งฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย

ประเทศไทย, 15 มีนาคม 2568 – นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเตรียมพร้อมรับมือพายุฤดูร้อน 2568 ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม โดยกำหนดมาตรการป้องกันและช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

สถิติความเสียหายจากพายุฤดูร้อนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า จากข้อมูลของกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) พบว่า ในช่วงปี 2565 – 2567 มีผู้เสียชีวิตจากพายุฤดูร้อนรวม 44 ราย บ้านเรือนเสียหาย 217,639 หลัง และมีประชาชนได้รับผลกระทบมากถึง 210,186 ครัวเรือน

“พายุฤดูร้อนเป็นภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นซ้ำทุกปี ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงผลผลิตทางการเกษตร แม้ว่าจะไม่สามารถควบคุมธรรมชาติได้ แต่รัฐบาลสามารถ เตรียมความพร้อมเพื่อลดความเสียหายและดูแลประชาชนให้ได้รับความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว” นางสาวไตรศุลีกล่าว

มาตรการเตรียมพร้อมรับมือพายุฤดูร้อน 2568

  1. การเฝ้าระวังและแจ้งเตือนประชาชน
  • ติดตาม พยากรณ์อากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา อย่างใกล้ชิด และแจ้งเตือนประชาชนผ่านทุกช่องทางที่มีประสิทธิภาพ
  • กำชับให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงาน ประสานงานและเผยแพร่แนวทางปฏิบัติตัวให้ปลอดภัย เช่น การป้องกันฟ้าผ่าและวิธีขอความช่วยเหลือจากภาครัฐ
  1. การตรวจสอบสิ่งปลูกสร้างและพื้นที่เสี่ยงภัย
  • ตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของ อาคาร สิ่งก่อสร้าง ป้ายโฆษณา และต้นไม้ขนาดใหญ่ เพื่อลดความเสี่ยงจากการพังถล่ม
  • จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่และเครื่องมือให้พร้อมปฏิบัติงาน เช่น เครื่องจักรกลสาธารณภัย ไฟฉาย เรือท้องแบน และอุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉิน
  1. มาตรการช่วยเหลือหลังพายุสงบ
  • สำรวจความเสียหาย ของบ้านเรือนประชาชน และดำเนินการซ่อมแซมโดยเร็ว
  • เร่งคืนสภาพโครงสร้างพื้นฐาน ที่ได้รับผลกระทบ เช่น ระบบไฟฟ้า ถนน และสะพาน โดยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  • ช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการสำรวจความเสียหาย และให้การช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

แนวทางปฏิบัติกรณีเกิดพายุฤดูร้อน

เมื่อเกิดพายุฤดูร้อนขึ้นในพื้นที่ใด ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงที ดังนี้:

  1. หากมีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ให้หน่วยแพทย์และเจ้าหน้าที่กู้ภัยเข้าช่วยเหลือทันที พร้อมเร่งเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บไปยังโรงพยาบาล
  2. กรณีบ้านเรือนได้รับความเสียหาย ให้กำหนดพื้นที่รับผิดชอบแต่ละหน่วยงาน และส่งทีมปฏิบัติการเข้าไปซ่อมแซมโดยเร็ว
  3. หากโครงสร้างพื้นฐานได้รับความเสียหาย ให้ประสาน การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การทางพิเศษแห่งประเทศไทย กรมทางหลวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งดำเนินการแก้ไข
  4. กรณีผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย ให้หน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ร่วมมือกันสำรวจความเสียหาย และให้ความช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด

ความคิดเห็นจากนักวิชาการและประชาชน

ศาสตราจารย์ ดร.วรพจน์ อินทรฉัตร นักวิชาการด้านอุตุนิยมวิทยา กล่าวว่า “การแจ้งเตือนล่วงหน้าและการเตรียมพร้อมในระดับชุมชนเป็นปัจจัยสำคัญในการลดผลกระทบจากพายุฤดูร้อน ซึ่งภาครัฐควรเน้นการ ใช้เทคโนโลยี AI และข้อมูลจากดาวเทียม เพื่อพยากรณ์ล่วงหน้าที่แม่นยำขึ้น”

ขณะที่ นายสุพจน์ วัฒนาชัย เกษตรกรจากจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า “ที่ผ่านมา เกษตรกรได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อนบ่อยครั้ง หลายพื้นที่ยังขาดการช่วยเหลือที่รวดเร็ว แม้มีมาตรการจากรัฐ แต่ก็ต้องเร่งปรับปรุงขั้นตอนการเยียวยาให้เข้าถึงประชาชนโดยตรงมากขึ้น”

สถิติที่เกี่ยวข้องกับพายุฤดูร้อนในประเทศไทย

  • จำนวนผู้เสียชีวิตจากพายุฤดูร้อน (2565 – 2567): 44 ราย
  • จำนวนบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหาย: 217,639 หลัง
  • จำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ: 210,186 ครัวเรือน
  • ช่วงเวลาที่พายุฤดูร้อนเกิดขึ้นบ่อย: มีนาคม – พฤษภาคม
  • พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดในรอบ 3 ปี: ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ

สรุป:

  • รัฐบาลไทยโดยกระทรวงมหาดไทย ได้กำหนดมาตรการเฝ้าระวัง แจ้งเตือน และช่วยเหลือประชาชนในช่วงพายุฤดูร้อน 2568
  • มาตรการหลัก ได้แก่ การแจ้งเตือนล่วงหน้า, ตรวจสอบสิ่งปลูกสร้าง, จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ และช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างรวดเร็ว
  • นักวิชาการแนะนำให้พัฒนาเทคโนโลยีการพยากรณ์ ขณะที่ประชาชนเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งปรับปรุงกระบวนการเยียวยาให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย / กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ / กรมอุตุนิยมวิทยา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นายกฯ ติดตามช่วยเหลือเชียงราย สั่งเฝ้าระวังอากาศหนาว

นายกฯ สั่งติดตามช่วยเหลือเชียงราย-แม่สาย พร้อมแจ้งเตือนสภาพอากาศแปรปรวน

เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2567 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและโฆษกศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) เปิดเผยว่านายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานส่วนราชการในพื้นที่เชียงรายและแม่สายยังคงตรวจสอบความต้องการช่วยเหลือของประชาชน แม้สถานการณ์น้ำท่วมจะคลี่คลายลงแล้ว โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจและติดตามกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย หรือครอบครัวที่ยังคงต้องการการฟื้นฟูในพื้นที่

ล่าสุด ศปช. ได้รับรายงานจาก นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ว่า สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย (พมจ.เชียงราย) ได้รับการร้องขอจากมูลนิธิกระจกเงาในการเข้าไปช่วยเหลือซ่อมแซมบ้านของนางจันทร์แสง หมื่นยอง อายุ 64 ปี ในชุมชนเกาะทราย อำเภอแม่สาย ซึ่งบ้านได้รับความเสียหายบางส่วนจากอุทกภัยที่ผ่านมา โดยเฉพาะส่วนของประตู หน้าต่าง ห้องครัว และห้องน้ำที่เสียหายอย่างหนัก ขณะนี้ พมจ.เชียงราย และเทศบาลตำบลแม่สายกำลังดำเนินการซ่อมแซมเพื่อสร้างความปลอดภัยให้แก่ผู้พักอาศัย

กรมอุตุฯ แจ้งเตือนอากาศหนาวและฝนตกหนักในหลายพื้นที่

กรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งเตือนถึงสภาพอากาศแปรปรวนในภาคเหนือและภาคอีสาน โดยอุณหภูมิในพื้นที่ดังกล่าวจะลดลงอีก 2–4 องศาเซลเซียส ในขณะที่บริเวณยอดดอยและยอดภูจะมีอากาศหนาวเย็นลง สำหรับภาคกลาง กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน อุณหภูมิจะลดลง 1–3 องศาเซลเซียส และในภาคใต้ตอนล่างจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากในบางพื้นที่ ระหว่างวันที่ 3-4 พฤศจิกายน 2567 โดยจังหวัดที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากฝนตกหนัก ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ระนอง และพังงา

คำแนะนำในการป้องกันสุขภาพและภัยอันตรายจากอากาศหนาว

จากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ประชาชนในภาคเหนือและภาคอีสานควรเตรียมรับมือกับอากาศหนาวเย็นและลมแรง พร้อมทั้งดูแลสุขภาพอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และผู้พิการ ทั้งนี้ อากาศแห้งและลมแรงยังอาจเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดอัคคีภัย จึงควรระมัดระวังการจุดไฟหรือการใช้อุปกรณ์ให้ความร้อน และสำหรับภาคใต้ ควรเฝ้าระวังความเสียหายที่อาจเกิดกับผลผลิตทางการเกษตรเนื่องจากฝนตกหนัก

ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสภาพอากาศและประกาศแจ้งเตือนได้ที่เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา www.tmd.go.th หรือโทรสายด่วนพยากรณ์อากาศ 1182 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News