Categories
ENVIRONMENT

สวนนงนุชพัทยาสร้างประวัติศาสตร์โลก เพาะมะพร้าวทะเลผลแฝดสำเร็จ มูลค่าทะลุล้าน!

สวนนงนุชพัทยา สร้างประวัติศาสตร์โลก เพาะ “มะพร้าวทะเล” ผลแฝดสำเร็จ มูลค่าทะลุล้าน สะท้อนภารกิจอนุรักษ์พืชหายากระดับสากล

ชลบุรี, 21 กรกฎาคม 2568 – เมื่อแสงแรกของวันที่ 17 กรกฎาคม ส่องผ่านใบปาล์มใหญ่ในบริเวณสวนนงนุชพัทยา จังหวัดชลบุรี นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนแห่งนี้ ยืนเตรียมพร้อมสำหรับภารกิจสำคัญที่อาจเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์การอนุรักษ์พืชหายากของโลก ในมือเขาถือเครื่องมือสำหรับการปลอกเปลือกที่ละเอียดอ่อน เพื่อเปิดเผยความลึกลับที่ซ่อนอยู่ภายในผล “มะพร้าวทะเล” อันล้ำค่า

สิ่งที่เกิดขึ้นในเช้าวันนั้น ไม่เพียงแต่เป็นการเก็บเกี่ยวผลผลิตธรรมดา แต่เป็นการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ของวงการพฤกษศาสตร์โลก เมื่อทีมผู้เชี่ยวชาญดำเนินการปลอกเปลือกมะพร้าวทะเลจำนวน 9 ลูกอย่างพิถีพิถัน พวกเขาได้พบกับสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในธรรมชาติ – เมล็ดแฝดจากผลหนึ่งในจำนวนนั้น ทำให้ได้เมล็ดพันธุ์รวมทั้งสิ้น 10 เมล็ด แทนที่จะได้เพียง 9 เมล็ดตามธรรมชาติ

ความสำเร็จครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ แต่ยังส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล เมื่อเมล็ดมะพร้าวทะเลแต่ละเมล็ดมีมูลค่าสูงถึงกว่า 100,000 บาท การได้เมล็ดเพิ่มจากเมล็ดแฝดทำให้มูลค่ารวมของการเก็บเมล็ดในครั้งนี้พุ่งทะลุ 1 ล้านบาท กลายเป็นหนึ่งในความสำเร็จทางการเงินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การอนุรักษ์พืชหายากของประเทศไทย

จากความฝันสู่ความจริงเส้นทางแห่งการอนุรักษ์ที่ยาวนาน

เรื่องราวของความสำเร็จครั้งนี้เริ่มต้นจากวิสัยทัศน์อันยาวไกลของสวนนงนุชพัทยา ในฐานะสวนพฤกษศาสตร์ระดับนานาชาติที่ได้รวบรวมพันธุ์ไม้จากทั่วโลกมากกว่า 18,000 ชนิด สวนแห่งนี้ได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับ “มะพร้าวทะเล” หรือ “มะพร้าวแฝด” (Lodoicea maldivica) ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นปาล์มพันธุ์พิเศษที่หายากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก

มะพร้าวทะเลมีถิ่นกำเนิดเฉพาะบนหมู่เกาะเซเชลส์ในมหาสมุทรอินเดีย และได้รับการบันทึกในกินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ดว่าเป็นพืชที่มีเมล็ดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยเมล็ดที่สามารถมีน้ำหนักได้มากถึง 30 กิโลกรัม และผลที่สามารถหนักได้ถึง 42 กิโลกรัม ทำให้มันเป็นผลไม้ที่หนักที่สุดและใหญ่ที่สุดในอาณาจักรพืช

ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการอนุรักษ์มะพร้าวทะเลคือวงจรชีวิตที่ช้าเป็นพิเศษ โดยธรรมชาติแล้ว พืชชนิดนี้ต้องใช้เวลานานถึง 60 ปี จึงจะเริ่มออกผล และต้องรออีก 7 ปี ให้ผลสุกเต็มที่ ก่อนเพาะต่ออีก 2 ปี จึงจะเห็นต้นอ่อน หากนับรวมแล้ว การได้เห็นต้นมะพร้าวทะเลแต่ละต้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่ต้องใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตของมนุษย์

นวัตกรรมที่เปลี่ยนโลก ย่นเวลาจากธรรมชาติลงครึ่ง

แต่ด้วยความรู้ความเชี่ยวชาญและการดูแลอย่างใกล้ชิดของทีมงานสวนนงนุชพัทยา ภายใต้การนำของนายกัมพล ตันสัจจา สิ่งที่เป็นไปไม่ได้กลายเป็นเป็นไปได้ พวกเขาสามารถเร่งวงจรชีวิตของมะพร้าวทะเลให้ออกผลได้ภายในเวลาไม่เกิน 30 ปี ซึ่งเป็นการย่นระยะเวลาจากธรรมชาติลงได้มากกว่าครึ่ง

“สิ่งที่เราทำได้วันนี้ ไม่ใช่แค่การเก็บเกี่ยวผล แต่เป็นการพิสูจน์ว่าประเทศไทยสามารถเป็นผู้นำด้านการอนุรักษ์พืชหายากระดับโลกได้” นายกัมพลกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “การที่เราพบเมล็ดแฝดในครั้งนี้ ถือเป็น ‘ปรากฏการณ์อันน่าทึ่ง’ ที่สะท้อนถึงความสำเร็จของการดูแลและฟื้นฟูพันธุ์พืชหายากอย่างแท้จริง”

ปัจจุบันสวนนงนุชพัทยาสามารถขยายพันธุ์มะพร้าวทะเลรวมทั้งต้นกล้าได้แล้วกว่า 229 ต้น ตอกย้ำถึงความสำเร็จและก้าวยิ่งใหญ่ของวงการพฤกษศาสตร์ไทยที่ก้าวสู่เวทีโลกได้อย่างภาคภูมิ

อัญมณีแห่งเซเชลส์ ความมหัศจรรย์ทางชีวภาพที่ต้องอนุรักษ์

เพื่อให้เข้าใจถึงความสำคัญของความสำเร็จครั้งนี้ จำเป็นต้องย้อนกลับไปทำความรู้จักกับ “อัญมณีแห่งเซเชลส์” อย่างใกล้ชิด มะพร้าวทะเล หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Lodoicea maldivica เป็นปาล์มสายพันธุ์เฉพาะถิ่นที่พบได้เฉพาะบนเกาะปราสลินและเกาะคูริเยอส์ในหมู่เกาะเซเชลส์เท่านั้น

ความโดดเด่นของปาล์มชนิดนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงความหายาก แต่ยังรวมถึงรูปทรงที่แปลกตาและมักถูกมองว่าคล้ายมนุษย์ โดยเฉพาะด้านหนึ่งที่คล้ายบั้นท้ายของผู้หญิง ได้เป็นแรงบันดาลใจให้ชื่อทางพฤกษศาสตร์โบราณว่า Lodoicea callipyge ซึ่งหมายถึง “บั้นท้ายที่สวยงาม”

ลักษณะเฉพาะที่น่าทึ่งประการหนึ่งคือกลไก “การดูแลจากพ่อแม่” (parental care mechanism) โดยใบขนาดใหญ่รูปกรวยของปาล์มจะทำหน้าที่ดักจับน้ำฝนและของเสียอินทรีย์ต่างๆ นำพาทรัพยากรเหล่านี้ลงสู่ฐานของลำต้นเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่อุดมด้วยสารอาหาร ซึ่งช่วยรับประกันการเจริญเติบโตของลูกปาล์ม

บทบาทในระบบนิเวศ มากกว่าความสวยงาม

มะพร้าวทะเลไม่ได้เป็นเพียงสิ่งมหัศจรรย์ทางพฤกษศาสตร์ แต่ยังเป็นชนิดพันธุ์หลัก (keystone species) ที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลของระบบนิเวศบนเกาะเซเชลส์ ป่าปาล์มที่เป็นเอกลักษณ์ของมะพร้าวทะเลเป็นที่อยู่อาศัยและสนับสนุนความหลากหลายทางชีวภาพของสายพันธุ์เฉพาะถิ่นที่อุดมสมบูรณ์

นกหายากอย่างนกแก้วดำเซเชลส์และนกปรอดเซเชลส์ใช้ป่าแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัย ขณะที่สัตว์เลื้อยคลานอย่างจิ้งจก Phelsuma sundbergi กินละอองเกสรของปาล์มมะพร้าวทะเลเป็นอาหารหลัก รวมถึงหอยทากเฉพาะถิ่นอย่างหอยทากมะพร้าวทะเล (Stylodonta studeriana) การอนุรักษ์มะพร้าวทะเลจึงไม่ใช่เพียงการรักษาชนิดพันธุ์เดียว แต่เป็นการปกป้องระบบนิเวศบนเกาะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งระบบ

เส้นทางประวัติศาสตร์ จากตำนานสู่การอนุรักษ์

ในอดีต มะพร้าวทะเลถูกปกคลุมไปด้วยความลึกลับและตำนานเล่าขาน การค้นพบเมล็ดของมันลอยไปติดชายฝั่งห่างไกลทำให้เกิดความเชื่อว่ามันเติบโตบนต้นไม้ใต้น้ำใน “ป่าที่ก้นมหาสมุทรอินเดีย” รูปทรงที่แปลกประหลาดของมันได้สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดตำนานต่างๆ รวมถึงความเชื่อว่าต้นไม้เพศผู้และเพศเมีย “ร่วมรักกันอย่างเร่าร้อนในคืนพายุ”

นายพลชาร์ลส์ จอร์จ กอร์ดอน เคยเชื่อว่าวัลเล เดอ แม ในเซเชลส์คือ “สวนเอเดนดั้งเดิม” และมะพร้าวทะเลคือ “ผลไม้ต้องห้าม” ในอดีต เมล็ดของมะพร้าวทะเลมีค่าสูงมากในฐานะของหายากและมีคุณสมบัติทางเวทมนตร์ จนปรากฏในราชสำนักทั่วเอเชีย ยุโรป และตะวันออกกลาง

อย่างไรก็ตาม เมื่อแหล่งกำเนิดที่แท้จริงของมันถูกเปิดเผยในปี 1768 ความต้องการที่จะแสวงหาผลประโยชน์อย่างรวดเร็วได้นำไปสู่การเก็บเกี่ยวมากเกินไปและการทำลายป่าอย่างมหาศาล ทำให้มูลค่าของเมล็ดลดลงอย่างรวดเร็ว

ความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์ จากเซเชลส์สู่ไทย

เซเชลส์มีความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์มะพร้าวทะเลมานานกว่าหนึ่งศตวรรษ โดยรัฐบาลเซเชลส์ได้ซื้อฟง เฟอร์ดินานด์ (Fond Ferdinand) ซึ่งเป็นเขตรักษาพันธุ์ขนาด 122 เฮกตาร์ในปี 1895 เพื่อปกป้องประชากรปาล์มมะพร้าวทะเล และในปี 1979 ได้มีการออกพระราชกฤษฎีกาการจัดการมะพร้าวทะเล เพื่อกำหนดมาตรการคุ้มครองทางกฎหมายเพิ่มเติม

ปัจจุบันมะพร้าวทะเลได้รับการคุ้มครองภายใต้กฎหมายการอนุรักษ์ระดับชาติที่เข้มงวด และถูกจัดอยู่ในสถานะ “เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์” (Vulnerable) โดยสหภาพระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) มูลนิธิหมู่เกาะเซเชลส์ (SIF) มีบทบาทสำคัญในการจัดการถิ่นที่อยู่สำคัญของมะพร้าวทะเล รวมถึงวัลเล เดอ แม (Vallée de Mai) ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก

ผลกระทบต่ออนาคต บทเรียนและความหวัง

ความสำเร็จของสวนนงนุชพัทยาในการขยายพันธุ์มะพร้าวทะเล รวมถึงการค้นพบเมล็ดแฝดในครั้งนี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความก้าวหน้าอย่างยิ่งในการอนุรักษ์นอกถิ่นกำเนิด (ex-situ conservation) และสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามระดับโลกในการปกป้องและฟื้นฟูพันธุ์พืชหายาก

การที่สวนนงนุชพัทยาสามารถย่นระยะเวลาการออกผลของมะพร้าวทะเลจากธรรมชาติได้อย่างมีนัยสำคัญ แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญด้านพฤกษศาสตร์และการจัดการที่ได้มาตรฐานสากล ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดีในการสร้างความมั่นคงทางชีวภาพให้กับพืชพรรณที่เปราะบาง

ความสำเร็จครั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนลogy การอนุรักษ์พืชหายากกับนานาชาติ โดยเฉพาะกับเซเชลส์และประเทศอื่นๆ ที่มีความท้าทายคล้ายกัน

ความยั่งยืน

เพื่อสานต่อความสำเร็จและยกระดับการอนุรักษ์พันธุ์พืชหายากให้ยั่งยืนยิ่งขึ้น ผู้เชี่ยวชาญเสนอแนะแนวทางดังนี้

การวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง: สวนพฤกษศาสตร์และสถาบันวิจัยในประเทศไทยควรได้รับการสนับสนุนให้ทำการวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับชีววิทยาการสืบพันธุ์ของมะพร้าวทะเลและพืชหายากอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขยายพันธุ์และการอนุรักษ์

การแลกเปลี่ยนความรู้ระดับนานาชาติ: ควรส่งเสริมการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และข้อมูลองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์พืชหายากระหว่างประเทศไทยกับเซเชลส์และประเทศอื่นๆ เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่แข็งแกร่ง

การให้ความรู้แก่สาธารณะ: ควรมีการจัดกิจกรรมเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของมะพร้าวทะเลและพืชหายากอื่นๆ ให้กับสาธารณชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความตระหนักและปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

การสนับสนุนแหล่งทุน: ภาครัฐและเอกชนควรพิจารณาสนับสนุนงบประมาณและทรัพยากรเพิ่มเติมให้กับโครงการอนุรักษ์พืชหายาก เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

มรดกสำหรับอนาคต

เมื่อแสงแดดยามบ่ายส่องลงมาบนใบปาล์มมะพร้าวทะเลที่สวนนงนุชพัทยา เมล็ดแฝดที่เพิ่งค้นพบเมื่อไม่กี่วันก่อนกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเพาะงอกที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ ความสำเร็จครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นการเสริมสร้างคุณค่าทางวิชาการและบทบาทของประเทศไทยในฐานะผู้ร่วมอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของโลก

มะพร้าวทะเลที่เติบโตในสวนนงนุชพัทยาวันนี้ อาจเป็นความหวังสำคัญในการรักษาสายพันธุ์หายากนี้ไว้ให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชม และเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการอนุรักษ์ที่มาพร้อมกับความรู้และความมุ่งมั่น สามารถสร้างความมหัศจรรย์ที่เปลี่ยนโลกได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การให้สัมภาษณ์ของ นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา (วันที่ 17 กรกฎาคม 2568)
  • กินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ด (Guinness World Records): การบันทึกมะพร้าวทะเลเป็นพืชที่มีเมล็ดใหญ่ที่สุดในโลก
  • Seychelles Tourist Office: “The Mysterious Coco de Mer – The Jewel of Seychelles”
  • สหภาพระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN): สถานะการอนุรักษ์ Lodoicea maldivica
  • มูลนิธิหมู่เกาะเซเชลส์ (Seychelles Islands Foundation): ข้อมูลการอนุรักษ์และจัดการถิ่นที่อยู่ของมะพร้าวทะเล
  • องค์การยูเนสโก (UNESCO): ข้อมูลแหล่งมรดกโลก วัลเล เดอ แม (Vallée de Mai)
  • สวนนงนุชพัทยา: เอกสารและข้อมูลประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับความสำเร็จในการขยายพันธุ์พืชและบทบาทในฐานะสวนพฤกษศาสตร์นานาชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

Soft Power สุขภาพนำร่อง! เชียงรายเปิด “Wellness City” ตอบรับเมกะเทรนด์โลก

เชียงรายกับ Soft Power ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวและสุขภาพสู่ระดับโลก

เชียงราย, 20 กรกฎาคม 2568  – เมื่อโลกเข้าสู่ยุคแห่งการแข่งขันด้วยพลังอ่อน (Soft Power) การที่จังหวัดเชียงรายกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญในการเปลี่ยนผ่านจาก “เมืองท่องเที่ยว” สู่ “เมืองแห่งสุขภาพ” (Wellness City) อาจเป็นบทตอบของความต้องการตลาดโลกที่กำลังหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาวะและการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพมากขึ้น

ผลสำรวจจากสถาบันศิโรจน์ผลพันธินร่วมกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ที่เพิ่งเปิดเผยเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2568 ได้ส่องแสงให้เห็นถึงศักยภาพที่ไทยพึงมีในการใช้ Soft Power เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ธุรกิจสุขภาพ ความงาม และการดูแลสุขภาพแบบไทย” ที่ได้คะแนนสูงสุดถึง 58.24% ในฐานะ Soft Power ที่มีศักยภาพสูงสุดในการผลักดันเศรษฐกิจไทยในอนาคต

การสำรวจครั้งนี้ดำเนินการกับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,128 คน ทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 15-18 กรกฎาคม 2568 ผ่านทั้งแบบสำรวจออนไลน์และการสำรวจภาคสนาม ซึ่งผลที่ได้มิเพียงแต่สะท้อนถึงความคิดเห็นของประชาชนไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องชี้ทิศทางการพัฒนายุทธศาสตร์ Soft Power ของประเทศในระยะยาวด้วย

จากฝันสู่ความเป็นจริงของ Wellness City

ในขณะที่ผลสำรวจชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของธุรกิจสุขภาพบนระดับชาติ เชียงรายกลับเป็นจังหวัดที่กำลังนำเครื่องในทางปฏิบัติ ด้วยการเปิดตัว “Chiang Rai Wellness City 2025” อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นผู้นำทัพในการขับเคลื่อนโครงการครั้งสำคัญนี้

“เชียงรายเมืองแห่งสุขภาพ 2025 (Chiang Rai Wellness city bolet)” ไม่ใช่เพียงแค่สโลแกนหรือแนวคิดเท่านั้น แต่เป็นโครงการที่มีการออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Trail) ที่ครอบคลุม 2 เส้นทางหลัก โดยเส้นทางที่ 2 จะผ่าน “น้ำพุร้อนป่าตึง – ร้านชอบ บราสเซอรี่ เชียงราย – ชุมชนโป่งแดง – น้ำพุร้อนห้วยทรายขาว” ซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนและกรุ๊ปทัวร์นักท่องเที่ยวจาก 17 จังหวัดภาคเหนือ กว่า 200 คน

ความพิเศษของเชียงรายในฐานะ Wellness City ไม่ได้อยู่เพียงแค่การมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม หากแต่อยู่ที่การผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่น ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และการพัฒนาแนวคิดสมัยใหม่เข้าด้วยกัน “เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพด้าน Wellness หรือสุขภาวะเพียบพร้อมที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย ทั้งในแง่ภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม สังคม และจิตวิญญาณ” ตามที่นักวิชาการชี้ให้เห็น

เมื่อ Soft Power พบกับธุรกิจมูลค่าหลายล้านล้าน

หากมองในมุมของการตลาดโลก ธุรกิจสุขภาพและเวลเนส (Health & Wellness) กำลังเป็นเทรนด์ที่มาแรงที่สุดในช่วงทศวรรษนี้ โดยมูลค่าตลาดสุขภาพและเวลเนสของไทยมีขนาดใหญ่มากอยู่ที่ราว 1.5 ล้านล้านบาทในปี 2562 คิดเป็น 8% ของ GDP ไทย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงขนาดของตลาดที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน

ยิ่งไปกว่านั้น ตลาดโลกด้านนี้มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากมูลค่า 5.6 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2022 มีแนวโน้มที่จะเติบโตไปจนถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2025 การเติบโตนี้มาจาก 4 เมกะเทรนด์สุขภาพ ได้แก่ การก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ พฤติกรรมการใส่ใจสุขภาพที่เพิ่มขึ้น การเข้าถึงเทคโนโลยีสุขภาพ และความตื่นตัวเรื่องการป้องกันโรคมากกว่าการรักษา

สิ่งที่น่าสนใจคือ คนไทยกว่า 45.39% หันมาใส่ใจด้านสุขภาพมากขึ้น ทั้งด้านการออกกำลังกายและด้านการบริโภคอาหาร ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแม้แต่ในตลาดภายในประเทศ ความต้องการด้านนี้กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ยุทธศาสตร์ Soft Power จากท้องถิ่นสู่เวทีโลก

ผลสำรวจครั้งนี้ได้เผยให้เห็นถึงความคิดเห็นของประชาชนไทยเกี่ยวกับแนวทางการใช้ Soft Power เป็นยุทธศาสตร์หลักในการสร้างภาพลักษณ์และความได้เปรียบในเวทีโลก โดยอันดับ 1 คือ “การส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยและเทศกาลระดับโลก” ด้วยสัดส่วน 70.78% ตามมาด้วย “การส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น อาหาร แฟชั่น ดนตรี ภาพยนตร์” 68.12% และ “การใช้สื่อดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์เผยแพร่ความเป็นไทยสู่โลก” 57.64%

สิ่งที่น่าสังเกตคือ การท่องเที่ยวยังคงเป็นจุดแข็งหลักที่ประชาชนไทยมองว่าสามารถนำไปใช้เป็น Soft Power ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เมื่อมองในมุมของศักยภาพในการสร้างรายได้ในอนาคต ธุรกิจสุखภาพกลับกลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของทัศนคติและความต้องการของตลาด

เชียงรายในฐานะพื้นที่ที่มีศักยภาพทั้งด้านการท่องเที่ยวและสุขภาพ จึงกลายเป็นตัวอย่างที่ดีของการนำ Soft Power มาใช้ในทางปฏิบัติ โดยไม่ได้แยกทั้งสองเรื่องออกจากกัน แต่เชื่อมโยงให้เป็นหนึ่งเดียวในรูปแบบของ “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ”

บทบาทมหาวิทยาลัยและนักศึกษาขุมพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง

ผลสำรวจยังได้เจาะลึกถึงบทบาทของสถาบันการศึกษาในการขับเคลื่อน Soft Power ซึ่งประชาชนเห็นว่ามหาวิทยาลัยไทยควร “เป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม Soft Power” 61.08% “เป็นเวทีแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม จัดนิทรรศการ การแสดง งานเทศกาลวัฒนธรรมไทย” 59.40% และ “เปิดหลักสูตรหรือวิชาเกี่ยวกับ Soft Power ไทย” 51.24%

สำหรับนักศึกษา ประชาชนเห็นว่าควร “เป็นผู้เผยแพร่วัฒนธรรมไทยผ่านกิจกรรมต่าง ๆ” 64.18% “มีส่วนร่วมในงานวิจัยหรือโครงการด้าน Soft Power ร่วมกับมหาวิทยาลัย” 62.50% และ “เป็นนักสร้างสรรค์เนื้อหา (content creator) ที่เชื่อมโยงความเป็นไทยกับโลก” 58.33%

ในบริบทของเชียงราย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายที่มีคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม กำลังมีบทบาทสำคัญในการผลิตบุคลากรที่สามารถรองรับการเป็น Wellness City “นักศึกษาเป็นผู้มีทักษะ มีความสามารถในศาสตร์ของตัวเองเป็นอย่างดี พัฒนาต่อยอดได้ สู่การเป็นมืออาชีพ” ตามปณิธานของสถาบัน

ความท้าทายและโอกาสในอนาคต

แม้ว่าภาพรวมจะดูในแง่บวก แต่ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่มีอยู่ เมื่อถามถึงศักยภาพของมหาวิทยาลัยไทยในการขับเคลื่อน Soft Power ให้เกิดผลกระทบระดับนานาชาติ ประชาชนส่วนใหญ่ 43.97% เห็นว่า “มีศักยภาพในบางสาขา แต่ยังต้องพัฒนาเพิ่มเติม” ขณะที่ 29.08% เห็นว่า “มีศักยภาพและควรได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง”

สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อถามถึงความร่วมมือระหว่างประเทศ ประชาชนอยากเห็น “หลักสูตรความร่วมมือระดับนานาชาติ” 65.72% “การร่วมวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้าน Soft Power” 56.66% และ “การผลิตบุคลากรคุณภาพให้กับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์” 54.53%

สำหรับเชียงราย การเป็น Wellness City ที่ประสบความสำเร็จจะต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่นกับมาตรฐานสากล การพัฒนาบุคลากรที่มีความรู้ทั้งด้านการท่องเที่ยวและสุขภาพ รวมถึงการสร้างระบบนิเวศที่รองรับนักท่องเที่ยวที่มาเพื่อสุขภาวะในระยะยาว

วิเคราะห์ผลกระทบและแนวโน้มอนาคต

การที่เชียงรายเลือกใช้ Soft Power ในรูปแบบของ Wellness City นั้น มีทั้งจุดแข็งและความเสี่ยงที่ควรพิจารณา

จุดแข็งหลักอยู่ที่การมีทรัพยากรธรรมชาติที่เอื้ออำนวย วัฒนธรรมล้านนาที่เป็นเอกลักษณ์ และตำแหน่งที่ตั้งที่เป็นประตูสู่อาเซียน ซึ่งทำให้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งจากในประเทศและต่างประเทศได้

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญอยู่ที่การสร้างมาตรฐานการบริการที่สอดคล้องกับความคาดหวังของตลาดนานาชาติ การพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะด้าน และการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว

หากดูจากแนวโน้มตลาดโลก การเติบโตของธุรกิจ Wellness Tech ที่ผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับการดูแลสุขภาพ จะเป็นโอกาสสำคัญที่เชียงรายสามารถนำมาประยุกต์ใช้ เพื่อสร้างความแตกต่างและเพิ่มมูลค่าให้กับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

จากวิสัยทัศน์สู่การปฏิบัติ

การสำรวจของสถาบันศิโรจน์ผลพันธินและสวนดุสิตโพลครั้งนี้ ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความคิดเห็นของประชาชนไทยเกี่ยวกับ Soft Power เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องยืนยันว่าทิศทางที่เชียงรายกำลังดำเนินการอยู่นั้นสอดคล้องกับความต้องการของตลาดและสังคม

ความสำเร็จของ “เชียงรายเมืองแห่งสุขภาพ” จะไม่ได้วัดจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน การอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น และการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่

ในยุคที่การแข่งขันระหว่างประเทศไม่ได้อยู่เพียงแค่ในเรื่องของ Hard Power เท่านั้น แต่รวมถึง Soft Power ที่สามารถสร้างอิทธิพลและดึงดูดใจได้ การที่เชียงรายเลือกใช้ธุรกิจสุขภaวะเป็นจุดยืน อาจเป็นตัวอย่างที่สำคัญของการนำ Soft Power ของไทยไปใช้ในทางที่สร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ

เส้นทางสู่การเป็น Wellness City ที่แท้จริงยังมีอีกยาวไกล แต่เมื่อมองจากความพยายามที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รวมถึงการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ทำให้เชื่อได้ว่าเชียงรายมีโอกาสที่จะกลายเป็นแบบอย่างของการใช้ Soft Power ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่นสู่ระดับสากลได้อย่างแท้จริง

สรุปผลได้ สำรวจ “บทบาทมหาวิทยาลัยไทยกับ Soft Power”

“สถาบันศิโรจน์ผลพันธิน” ร่วมกับ “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชน ทั่วประเทศ เรื่อง “บทบาทมหาวิทยาลัยไทยกับ Soft Power” กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,128 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 15-18 กรกฎาคม 2568 สรุปผลได้ ดังนี้

1. ประชาชนคิดว่าประเทศไทยควรใช้ Soft Power เป็นยุทธศาสตร์หลักในการสร้างภาพลักษณ์และความได้เปรียบในเวทีโลกได้อย่างไร

  • อันดับ 1 ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยและเทศกาลระดับโลก 70.78%
  • อันดับ 2 ส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น อาหาร แฟชั่น ดนตรี ภาพยนตร์ 68.12%
  • อันดับ 3 ใช้สื่อดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์เผยแพร่ความเป็นไทยสู่โลก 57.64%

2. Soft Power เรื่องใดที่ประชาชนเห็นว่ามีศักยภาพสูงสุดในการผลักดันเศรษฐกิจไทยในอนาคต


  • อันดับ 1 ธุรกิจสุขภาพ ความงาม และการดูแลสุขภาพแบบไทย 58.24%
  • อันดับ 2.ดนตรี ศิลปะ แฟชั่น และภาพยนตร์.55.85%
  • อันดับ 3 ศิลปิน-นักออกแบบร่วมสมัย และอุตสาหกรรมดิจิทัลครีเอทีฟ.53.63%

3.ประชาชนคิดว่า “มหาวิทยาลัยไทย” ควรมีบทบาทอย่างไรในการพัฒนา Soft Power ของประเทศ

  • อันดับ 1 เป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม Soft Power 61.08%
  • อันดับ 2 เป็นเวทีแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม จัดนิทรรศการ การแสดง งานเทศกาลวัฒนธรรมไทย 59.40%
  • อันดับ 3 เปิดหลักสูตรหรือวิชาเกี่ยวกับ Soft Power ไทย 51.24%

4. ประชาชนคิดว่า “นักศึกษาไทย” ควรมีบทบาทอย่างไรในการส่งเสริม Soft Power ของประเทศ

  • อันดับ 1 เป็นผู้เผยแพร่วัฒนธรรมไทยผ่านกิจกรรมต่าง ๆ 64.18%
  • อันดับ 2 มีส่วนร่วมในงานวิจัยหรือโครงการด้าน Soft Power ร่วมกับมหาวิทยาลัย 62.50%
  • อันดับ 3.เป็นนักสร้างสรรค์เนื้อหา (content creator) ที่เชื่อมโยงความเป็นไทยกับโลก 58.33%


5. ประชาชนคิดว่ามหาวิทยาลัยไทยมีศักยภาพที่จะขับเคลื่อน Soft Power ให้เกิดผลกระทบในระดับนานาชาติหรือไม่

  • อันดับ 1 มีศักยภาพในบางสาขา แต่ยังต้องพัฒนาเพิ่มเติม 43.97%
  • อันดับ 2 มีศักยภาพและควรได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง 29.08%
  • อันดับ 3 ศักยภาพยังไม่เพียงพอ ควรเน้นสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ 20.66%
    อันดับ 4 ยังไม่สามารถประเมินได้ 6.29%

6. ประชาชนอยากเห็นความร่วมมือด้านใดมากที่สุดระหว่างมหาวิทยาลัยไทยกับต่างประเทศในการพัฒนา Soft Power

  • อันดับ 1 มีหลักสูตรความร่วมมือระดับนานาชาติ 65.72%
  • อันดับ 2 ร่วมวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้าน Soft Power 56.66%
  • อันดับ 3 ผลิตบุคลากรคุณภาพให้กับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ 54.53%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สถาบันศิโรจน์ผลพันธิน และสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, ผลสำรวจ “บทบาทมหาวิทยาลัยไทยกับ Soft Power” วันที่ 15-18 กรกฎาคม 2568
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย, โครงการ “เชียงรายเมืองแห่งสุขภาพ 2025”
  • ThaiPublica, บทความ “พัฒนาเชียงรายให้เป็น Wellness City แห่งแรกของไทย”
  • Nakorn Chiang Rai News, “ผู้ว่าฯ เชียงรายนำทัพเปิด Wellness Trail ครั้งแรก!”
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FOOD

ตำนานเชียงราย! ภัตตาคารยูนนานฝ่าวิกฤต สร้างรสชาติแท้รับปีทองไทย-จีน

“ภัตตาคารยูนนาน หัวใจที่ไม่ยอมแพ้ของทายาทรุ่นสอง สร้างตำนานอาหารจีนยูนนานแท้ที่เชียงราย ในปีทองแห่งมิตรภาพไทย-จีน

เชียงราย, 19 กรกฎาคม 2568 – ในปีที่ไทยและจีนเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต 50 ปี ที่ขนานนามว่า “ปีทองแห่งมิตรภาพ” (Golden Year of Friendship) มีเรื่องราวหนึ่งที่สะท้อนถึงพลังแห่งการฟื้นคืนและความแข็งแกร่งของสายสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมไทย-จีน ผ่านหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ของ “นิธิพงษ์ เสรีวิชยสวัสดิ์” ทายาทรุ่นที่ 2 ของ “ภัตตาคารยูนนาน” ร้านอาหารจีนยูนนานเก่าแก่คู่เมืองเชียงรายกว่า 35 ปี ที่ประสบความสำเร็จในการดำรงรสชาติแท้และวัฒนธรรมจีนท่ามกลางวิกฤตการณ์ต่างๆ

วิกฤตที่หลอมรวมจิตวิญญาณบทพิสูจน์ความมุ่งมั่นแบบครอบครัว

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2563-2564 ถือเป็นช่วงเวลาที่ทดสอบความอดทนของธุรกิจอาหารทั่วโลก ภัตตาคารยูนนานก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น “ร้านต้องปิดให้บริการนานถึง 2 เดือน รายได้หดหายไปเกือบทั้งหมด แต่ค่าใช้จ่ายยังคงเดิม” คุณนิธิพงษ์เล่าถึงสถานการณ์ในวันนั้นด้วยความทรงจำอันหนักหนา

แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในช่วงวิกฤตนี้ คือการจัดการที่สะท้อนถึงแก่นแท้ของความเป็นครอบครัว “ผมพยายามช่วยกันประคับประคองพนักงานเท่าที่ทำได้ บางคนให้ช่วยปรับปรุงร้าน หรือช่วยจัดส่งอาหารเดลิเวอรี่ ส่วนคนที่ไม่สะดวกก็ต้องให้พักงานไปก่อน บางคนก็ขอกลับบ้านไปทำสวน พอสถานการณ์ปกติก็กลับมาทำงานด้วยกันครับ”

ไม่นานหลังจากสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย ภัตตาคารต้องเผชิญกับอีกหนึ่งบททดสอบครั้งใหญ่ คือวิกฤตน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในเชียงราย “หลังจากน้ำลด ร้านเราใช้เวลาประมาณ 1 เดือนกว่าจะกลับมาเปิดได้ปกติครับ เพราะต้องซ่อมแซมหลายอย่าง ทั้งอุปกรณ์ในครัว พื้นร้าน และระบบไฟฟ้าที่เสียหายทั้งหมดเลยครับ”

ความท้าทายที่มาพร้อมกับวิกฤตน้ำท่วมนี้ กลับเป็นช่วงเวลาที่ทีมงานแสดงออกถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวอย่างชัดเจน “ช่วงนั้นพนักงานที่ได้รับผลกระทบก็ให้กลับบ้านไปซ่อมแซม ทำความสะอาดบ้าน ส่วนคนที่ไม่ได้รับผลกระทบก็มาช่วยกันทำความสะอาดและซ่อมร้านด้วยกันครับ”

เชียงรายประตูสู่มิตรภาพไทย-จีนและศูนย์กลางวัฒนธรรมยูนนาน

การเลือกเชียงรายเป็นฐานของภัตตาคารยูนนานไม่ใช่เรื่องบังเอิญ คุณนิธิพงษ์อธิบายว่า “เริ่มจากความชอบทำอาหารและความหลงใหลในอาหารจีนของคุณพ่อ ประกอบกับเชียงรายเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ในตัวเอง ทั้งภูมิประเทศที่สวยงาม วัฒนธรรมที่หลากหลาย และประชากรที่เปิดกว้างต่อสิ่งใหม่ๆ”

ในบริบทของปี 2568 ซึ่งเป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน เชียงรายได้รับการยอมรับในฐานะจุดยุทธศาสตร์สำคัญของความร่วมมือไทย-จีน ตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายภาสกร บุญญะลักษณ์ เคยกล่าวว่า “ภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย ตั้งอยู่ในตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่จะได้รับประโยชน์จากโอกาสต่างๆ”

จังหวัดเชียงรายมีประวัติศาสตร์ความเชื่อมโยงกับชุมชนชาวจีนยูนนานมายาวนาน และในปัจจุบันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระเบียงเศรษฐกิจสำคัญภายใต้โครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ของจีน ซึ่งเป็นโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับจีน

ถอดรหัสเอกลักษณ์ความแตกต่างของอาหารยูนนานที่ไม่เหมือนใคร

อาหารยูนนานมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากอาหารจีนภาคอื่นๆ อย่างชัดเจน คุณนิธิพงษ์อธิบายว่า “อาหารยูนนานมีรสชาติที่กลมกล่อมแต่ชัดเจน มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น การใช้สมุนไพรจีน การหมักดอง และกลิ่นหอมของพริกแห้งหรือผักพื้นบ้านที่หาได้จากแถบยูนนาน”

เมนูเด็ดที่เป็นตัวแทนของร้าน คือ “ขาหมูน้ำแดงยูนนาน” ซึ่งคุณนิธิพงษ์อธิบายกรรมวิธีการทำด้วยความภาคภูมิใจว่า “เมนูนี้สะท้อนรากวัฒนธรรมการกินของชาวจีนยูนนานได้อย่างลึกซึ้ง เราใช้เวลาตุ๋นนานหลายชั่วโมงจนหนังและเนื้อเปื่อยนุ่ม รสชาติกลมกล่อม หอมสมุนไพร และเสิร์ฟพร้อมหมั่นโถวนึ่ง อร่อยกลมกล่อมมากครับ”

ในด้านการคัดเลือกวัตถุดิบ ภัตตาคารยูนนานนำเสนอแนวทางการผสมผสานระหว่างความเป็นสากลกับการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น “เรานำเข้าวัตถุดิบบางตัวจากจีน เช่น พริกหอม และเครื่องเทศบางชนิด แต่เราก็ผสมผสานกับวัตถุดิบท้องถิ่นของเชียงรายด้วย เช่น ผักสด เนื้อสด และเครื่องเทศ เพราะเราอยากสนับสนุนเกษตรกรในพื้นที่ด้วย”

บรรยากาศวัฒนธรรมส่งผ่านประสบการณ์จีนผ่านทุกรายละเอียด

การเข้าใจถึงความสำคัญของ “ประสบการณ์รวม” ทำให้ภัตตาคารยูนนานให้ความสำคัญกับการตกแต่งและบรรยากาศอย่างมีเอกลักษณ์ “ร้านตกแต่งสไตล์จีน โดยเน้นโทนสีแดงและทองซึ่งสื่อถึงความมั่งคั่งและเจริญรุ่งเรืองตามความเชื่อของชาวจีน เสริมด้วยประติมากรรมมังกรและหงส์ที่คุณพ่อให้ช่างท้องถิ่นปั้นด้วยมืออย่างประณีต ซึ่งอยู่คู่กับร้านมานานกว่า 35 ปี กลายเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยม”

คุณนิธิพงษ์มองว่าการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าไม่ได้จำกัดอยู่แค่รสชาติอาหารเท่านั้น “ผมอยากให้ลูกค้ารู้สึกถึงรสชาติอาหารจีนแท้ๆ และการได้มาทานอาหารที่ให้ความรู้สึกเหมือนทานอยู่ที่บ้าน แล้วใช้เวลาร่วมกับครอบครัวในมื้ออาหารสุดพิเศษ รวมถึงการต้อนรับแบบเป็นกันเอง และเรื่องราวของอาหารแต่ละจานครับ”

การปรับตัวสู่ยุคใหม่ตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่

ในยุคที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและคุณค่าทางโภชนาการ คุณนิธิพงษ์ได้พัฒนาเมนูใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าว “ทางร้านจึงได้เพิ่มเมนูสุกี้ยูนนาน ซึ่งเป็นอาหารที่เน้นผัก และใช้ไก่ดำในการต้มซุป ช่วยบำรุงร่างกาย เป็นเมนูที่อยากให้สายสุขภาพได้ลองครับ”

การปรับตัวนี้สะท้อนถึงความเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง และความสามารถในการสร้างสมดุลระหว่างการรักษาอัตลักษณ์ดั้งเดิมกับการตอบสนองความต้องการใหม่ๆ

โอกาสทางธุรกิจในปีทองแห่งมิตรภาพ

ในบริบทของปี 2568 ที่ประเทศไทยและจีนกำหนดให้เป็น “ปีทองแห่งมิตรภาพ” คุณนิธิพงษ์มองเห็นทั้งโอกาสและความท้าทายที่ชัดเจน “ความท้าทายหลักคือการทำให้คนรู้จักและเข้าใจอาหารจีนยูนนาน เพราะบางคนอาจไม่คุ้นเคย แต่ในขณะเดียวกัน นี่ก็เป็นโอกาสที่ดีมาก เพราะเชียงรายเป็นเมืองที่เปิดรับวัฒนธรรมใหม่ๆ ถ้าทำให้ดี คนจะบอกต่อกันเองครับ”

การที่รัฐบาลไทยและจีนได้ลงนาม “ข้อตกลงร่วมระหว่างรัฐบาลราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมและการสร้างชุมชนไทย-จีนที่มีอนาคตร่วมกัน” ส่งผลให้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

บทบาทของภาคธุรกิจเอกชนในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ไทย-จีน

เรื่องราวของภัตตาคารยูนนานสะท้อนถึงบทบาทสำคัญของภาคเอกชนในการสร้างสะพานเชื่อมวัฒนธรรม ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด “people-to-people connectivity” ที่เป็นหนึ่งในเสาหลักสำคัญของโครงการ Belt and Road Initiative

จากการศึกษาของนักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พบว่าชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลในภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย กลายเป็นกลุ่มศูนย์กลางสำคัญที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนในพื้นที่ภายใต้โครงการ Belt and Road Initiative

มรดกแห่งรสชาติและแรงบันดาลใจสำหรับผู้ประกอบการ

“อยากชวนทุกท่านมาเปิดใจลองอาหารยูนนานครับ หวังว่าทุกคนจะได้ประสบการณ์ใหม่ๆ และความอบอุ่นเหมือนได้ไปประเทศจีนจริงๆ” คุณนิธิพงษ์กล่าวทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มที่สะท้อนถึงความมั่นใจในอนาคตของกิจการ

เรื่องราวของภัตตาคารยูนนานไม่ใช่เพียงเรื่องราวของร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่เป็นตัวอย่างของการสานต่อมรดกวัฒนธรรม การปรับตัวเผชิญวิกฤต และการเป็นส่วนหนึ่งของการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ไทย-จีนในระดับรากหญ้า ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของความเข้าใจและความร่วมมือระหว่างสองประเทศ

ในปีที่ทั้งไทยและจีนเฉลิมฉลอง 50 ปีแห่งมิตรภาพ เรื่องราวของคุณนิธิพงษ์และภัตตาคารยูนนานเป็นเครื่องยืนยันว่า ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างสองประเทศไม่ได้เกิดขึ้นจากการเจรจาระดับรัฐบาลเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดจากการปฏิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจในระดับชุมชน ที่สั่งสมมาอย่างต่อเนื่องนานหลายทศวรรษ

17 กุมภาพันธ์ 2568 หลิวจงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะ ประเทศจีน เข้ามาที่ภัตตาคารยูนนาน เชียงราย

ข้อมูลติดต่อ:

  • ภัตตาคารยูนนาน
    นิธิพงษ์ เสรีวิชยสวัสดิ์
    211/6 ถ.แควหวาย ต.รอบเวียง
    อ.เมือง จ.เชียงราย 57000
    โทร. 086-429-7949 , 053-713-263, 053-714-992

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Yunnan Restaurant ภัตตาคารยูนนาน
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย กระทรวงมหาดไทย
  • กรมการจีนโพ้นทะเล กระทรวงการต่างประเทศ
  • สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
  • สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP)
  • สถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์
  • ศูนย์ศึกษาจีน คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  • สำนักข่าวสินหัว (เอเชียพลัส)
  • องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • หอการค้าไทย-จีน
  • สมาคมผู้ประกอบการไทยเชื้อสายจีน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

ภัยพิบัติถล่มภูชี้ฟ้า! ดินสไลด์ตัดขาดถนน 1093 แขวงทางหลวงเร่งกู้ หินยักษ์ขวาง

ภัยพิบัติถล่มภูชี้ฟ้าดินสไลด์ตัดขาดถนน 1093! แขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2 เร่งกู้สถานการณ์ เปิดเส้นทาง 1 เลนแล้ว หินยักษ์หนักเท่าตึก 3 ชั้นรอเคลียร์!

เชียงราย, 14 กรกฎาคม 2568 – ภูชี้ฟ้า จังหวัดเชียงราย หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่โหยหาความงามของทะเลหมอกยามเช้าตรู่ ต้องเผชิญกับสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งสำคัญ เมื่อฝนกระหน่ำหนักส่งผลให้เกิดดินสไลด์ขนาดใหญ่ พัดพาก้อนหินยักษ์และต้นไม้ลงมาขวางถนนหลวงหมายเลข 1093 เส้นทางหลักสู่ยอดภูชี้ฟ้า ทำให้การสัญจรถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิงเป็นเวลาหลายชั่วโมง

นายอนุศิลป์ ตันหล้า หัวหน้าหน่วยบำรุงทางภูชี้ฟ้า แขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2 เปิดเผยความคืบหน้าล่าสุดของการแก้ไขสถานการณ์ที่ท้าทายนี้ ซึ่งไม่เพียงส่งผลกระทบต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยว แต่ยังเผยให้เห็นถึงความเปราะบางทางธรณีวิทยาของพื้นที่ที่มีความสำคัญทางการท่องเที่ยวแห่งนี้

นายอนุศิลป์ ตันหล้า หัวหน้าหน่วยบำรุงทางภูชี้ฟ้า แขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2

การรับมือกับหินยักษ์ภารกิจข้ามเดือนและความท้าทายทางธรณีวิทยา

ทันทีที่ได้รับแจ้งเหตุ เจ้าหน้าที่จากแขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2 ได้ระดมกำลังและเครื่องจักรหนักเข้าพื้นที่ ร่วมกับทหารจากกองกำลังผาเมือง และความร่วมมือจากชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อเร่งดำเนินการตัดต้นไม้และเคลียร์ดินที่สไลด์ลงมา เบื้องต้นสามารถเปิดเส้นทางการสัญจรได้แล้ว 1 ช่องจราจร บรรเทาความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านและนักท่องเที่ยวที่ยังคงติดค้างได้ในระดับหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญคือก้อนหินขนาดมหึมาที่ตกลงมาขวางถนน ซึ่งมีขนาดประมาณ 3-4 เมตร สูง และ 2-3 เมตร กว้าง ตามรายงานจากพื้นที่ หรือตามการประเมินของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่ระบุว่าสูงถึง 10 กว่าเมตร กว้าง 6-8 เมตร ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไข

สถานการณ์หินยักษ์ที่ขวางเส้นทางเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย นายอนุศิลป์ยืนยันว่า จากการประเมินเบื้องต้น ก้อนหินดังกล่าวมีขนาดใหญ่และน้ำหนักมากเกินกว่าที่จะสามารถใช้รถเครนยกออกไปได้ทั้งหมด ทางแขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2 จึงได้ประสานงานเพื่อนำรถแบคโฮติดหัวเจาะเข้ามาดำเนินการสกัดก้อนหินให้เป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายออกไป

“เรากำลังประสานงานกับรถแบคโฮติดหัวเจาะเพื่อขึ้นมาดำเนินการ ตอนนี้ก็เปิดให้รถผ่านได้ 1 ช่องจราจรไปก่อน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวบ้าน” นายอนุศิลป์ กล่าวถึงแผนการดำเนินงานในระยะสั้น

คาดการณ์ว่ากระบวนการนี้อาจต้องใช้เวลาดำเนินการอย่างน้อย 1 สัปดาห์หากสามารถใช้เครนยกได้ แต่หากต้องทำลายหินเป็นชิ้นเล็ก อาจใช้เวลานานถึง 1 เดือน เนื่องจากยังพบหินขนาดใหญ่อื่นๆ อีก 2-3 ก้อนในบริเวณใกล้เคียง

ผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานและแผนการซ่อมแซม

นอกจากก้อนหินยักษ์แล้ว ยังพบรอยแยกบนผิวถนนยาวประมาณ 20 เมตร ซึ่งเกิดจากแรงกระแทกของหินที่ตกลงมา เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ประเมินแล้วว่ายังไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้งานในระยะสั้น รถยนต์และรถจักรยานยนต์ยังสามารถผ่านไปมาได้ แต่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ

อย่างไรก็ตาม การซ่อมแซมในระยะยาวเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับผิวจราจรและโครงสร้างพื้นฐานบริเวณดังกล่าว จำเป็นต้องรอการอนุมัติงบประมาณการก่อสร้างก่อน ซึ่งอาจใช้เวลาในการดำเนินการระบบราชการตามปกติ

เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเตือนผู้ขับขี่ให้ใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อผ่านบริเวณดังกล่าว และติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสภาพเส้นทางอย่างสม่ำเสมอ

ถนนหมายเลข 1093 จากยุทธศาสตร์การรบสู่เส้นทางท่องเที่ยวอันงดงาม

ถนนหมายเลข 1093 ไม่ได้เป็นเพียงเส้นทางสัญจรธรรมดา แต่ยังเป็นเส้นทางประวัติศาสตร์ที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อภูมิภาคนี้ ในอดีตตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 ถึง พ.ศ. 2527 ถนนเส้นนี้เคยเป็น “ถนนสายยุทธศาสตร์ทางการรบ” ที่ใช้ในการปราบปรามการเคลื่อนไหวของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.) การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนประชาชนและเจ้าหน้าที่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระบรมราชินีนาถในปี พ.ศ. 2525 ได้นำมาซึ่งสันติภาพและการพัฒนาชุมชนตามแนวชายแดนในที่สุด

ปัจจุบัน ถนน 1093 ได้เปลี่ยนบทบาทจากถนนแห่งความขัดแย้งมาเป็น “ถนนสายยุทธศาสตร์ทางการท่องเที่ยว” อย่างสมบูรณ์ เส้นทางที่ทอดยาวคดเคี้ยวไปตามแนวเทือกเขาดอยผาหม่นนี้ เป็นแกนหลักที่เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ภูชี้ฟ้า ภูชี้ดาว ภูชี้เดือน ดอยผาหม่น และดอยผาตั้ง ซึ่งแต่ละแห่งล้วนมีทิวทัศน์อันงดงามของทะเลหมอก พระอาทิตย์ขึ้น และแนวเทือกเขาสลับซับซ้อนทั้งฝั่งไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว รวมถึงแม่น้ำโขงที่ไหลเป็นแนวกั้นดินแดน

การเดินทางจากตัวเมืองเชียงรายสู่ภูชี้ฟ้า สามารถทำได้หลายเส้นทาง โดยเส้นทางหลักที่แนะนำคือผ่านอำเภอเทิง ใช้ทางหลวงหมายเลข 1020, 1021, 1155 และ 1093 ระยะทางรวมประมาณ 110-112 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.5-3 ชั่วโมง แม้ถนนส่วนใหญ่จะเป็นลาดยางสภาพดี แต่ช่วงท้ายของเส้นทางเมื่อเข้าใกล้ภูชี้ฟ้าจะเริ่มคดเคี้ยวและชันมาก ผู้ขับขี่ควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในหน้าฝนที่ถนนอาจลื่นได้

ธรณีวิทยาภูชี้ฟ้าความงามที่ซ่อนเร้นและความเสี่ยงจากธรรมชาติ

เหตุการณ์ดินสไลด์ครั้งนี้เป็นเครื่องย้ำเตือนถึงความเปราะบางทางธรณีวิทยาของภูชี้ฟ้า ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกหล่อหลอมมาจากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาอันยาวนานและซับซ้อน ภูชี้ฟ้ามีลักษณะเป็นหน้าผาชันที่เกิดบนเขาเควสตา ซึ่งเป็นภูมิประเทศที่ลาดเอียงตามแนวเอียงของชั้นหินที่รองรับอยู่ข้างใต้

หินในบริเวณนี้ประกอบด้วยกลุ่มหินตะกอนและหินตะกอนกึ่งหินแปร ซึ่งมีอายุทางธรณีกาลเก่าแก่มาก ย้อนไปราว 355-250 ล้านปี หรืออยู่ในยุคคาร์บอนิเฟอรัส-เพอร์เมียน ชนิดหินหลักที่พบในภูชี้ฟ้าได้แก่ หินปูน, หินฟิลไลต์, หินชีสต์, หินทรายแป้ง, หินทราย, หินกรวดมน และหินดินดาน

การมีซากดึกดำบรรพ์จำพวกเซฟาโลพอด, ฟอแรม, แบรคีโอพอด และออสทราคอดในหินเหล่านี้ ช่วยยืนยันอายุและสภาพแวดล้อมการกำเนิดของหิน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสภาพแวดล้อมทางทะเล ภูมิประเทศที่เป็นเอกลักษณ์ของภูชี้ฟ้า ทั้งรูปทรงคล้ายนิ้วชี้ฟ้าและหน้าผาที่สูงชัน ล้วนเป็นผลมาจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก โดยเฉพาะการที่แผ่นเปลือกโลกอินเดียชนกับแผ่นเปลือกโลกยูเรเซียเมื่อประมาณ 40 ล้านปีที่แล้ว

การทำความเข้าใจประวัติทางธรณีวิทยาอันเก่าแก่และซับซ้อนนี้ ไม่เพียงเพิ่มมิติทางความรู้ให้กับการท่องเที่ยว แต่ยังช่วยให้เราตระหนักถึงความเสี่ยงที่มาพร้อมกับความงามของธรรมชาติ

ข้อเสนอเชิงนโยบายและการรับมือในระยะยาว

เหตุการณ์ดินสไลด์ครั้งนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการวางแผนและบริหารจัดการพื้นที่ท่องเที่ยวที่มีความเปราะบางทางธรณีวิทยาอย่างยั่งยืน เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างความปลอดภัยให้กับทั้งนักท่องเที่ยวและชุมชนท้องถิ่น

การสำรวจและประเมินความเสี่ยงเชิงรุกจึงมีความสำคัญ โดยจำเป็นต้องจัดทำแผนที่ธรณีวิทยาและธรณีเทคนิคโดยละเอียด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมทรัพยากรธรณี ควรทำงานร่วมกับแขวงทางหลวงและหน่วยงานท้องถิ่น เพื่อจัดทำแผนที่แสดงพื้นที่เสี่ยงดินสไลด์ รอยเลื่อน และโครงสร้างทางธรณีวิทยาที่อาจเป็นอันตรายในบริเวณถนน 1093 และพื้นที่ภูชี้ฟ้าทั้งหมด

การติดตั้งระบบเตือนภัยล่วงหน้าก็เป็นสิ่งที่ควรพิจารณา โดยติดตั้งระบบตรวจวัดปริมาณน้ำฝน ความชื้นในดิน และการเคลื่อนตัวของมวลดินในพื้นที่เสี่ยง เพื่อให้สามารถแจ้งเตือนและอพยพประชาชนได้ทันท่วงทีในกรณีที่คาดว่าจะเกิดดินสไลด์ ควบคู่ไปกับการตรวจสอบสภาพพื้นที่และโครงสร้างพื้นฐานอย่างสม่ำเสมอ

มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่สำคัญ ได้แก่ การเสริมความมั่นคงของไหล่ทางและลาดชัน การปรับปรุงระบบระบายน้ำ และการจัดทำแผนฉุกเฉินและเส้นทางเลี่ยง หน่วยงานท้องถิ่นและแขวงทางหลวงควรร่วมกันจัดทำแผนฉุกเฉินสำหรับการรับมือกับภัยพิบัติ และประชาสัมพันธ์เส้นทางเลี่ยงที่ปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวและชาวบ้านทราบ

การให้ความรู้และสร้างความตระหนักแก่ประชาชน ผ่านการเผยแพร่ข้อมูลความเสี่ยงและข้อควรปฏิบัติ รวมถึงการฝึกอบรมชาวบ้านในการรับมือภัยพิบัติ จะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างชุมชนที่มีความพร้อมรับมือกับภัยธรรมชาติ

สถานการณ์ปัจจุบันและการติดตามข่าวสาร

ขณะนี้ ทหารจากกองกำลังผาเมืองได้เข้าร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นและชาวบ้านเพื่อช่วยเคลียร์ทางหลวง 1093 ที่กิโลเมตรที่ 68 บริเวณบ้านร่มฟ้าทอง และ ด้วยการสนับสนุนจากแขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2 ได้นำเครื่องจักรเข้ามาช่วย และขณะนี้สามารถเปิดเส้นทางให้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ผ่านได้ 1 ช่องจราจรแล้ว

การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าจากการสไลด์ของหินยักษ์เป็นภารกิจเร่งด่วนที่ต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมาก แต่การวางแผนเชิงรุกและนโยบายที่ครอบคลุมในระยะยาวจะเป็นหัวใจสำคัญในการปกป้องทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และความงดงามทางธรรมชาติของภูชี้ฟ้าให้คงอยู่คู่กับประเทศไทยต่อไป

นักท่องเที่ยวที่วางแผนเดินทางไปภูชี้ฟ้าควรติดตามข่าวสารและสภาพเส้นทางอย่างสม่ำเสมอ ใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ และพิจารณาเส้นทางเลี่ยงในกรณีที่มีความจำเป็ต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • นายอนุศิลป์ ตันหล้า หัวหน้าหน่วยบำรุงทางภูชี้ฟ้า แขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2
  • Chiang Rai Times – “Landslide Blocks The Road Heading To Phu Chi Fa In Chiang Rai” (14 กรกฎาคม 2568)
  • รายงานจากพื้นที่โดยเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและชาวบ้านบริเวณเกิดเหตุ
  • กองกำลังผาเมือง (Pha Muang Task Force)
  • แขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2, กรมทางหลวง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

ผู้ว่าฯ เชียงรายนำทัพเปิด Wellness Trail ครั้งแรก! ส่งเสริมสุขภาพและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

ผู้ว่าเชียงรายนำทัพเปิดเส้นทาง Wellness Trail ครั้งแรก ส่งเสริมสุขภาพและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 13 กรกฎาคม 2568 – ขณะที่ขบวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม “ผู้ว่าเชียงราย พาเที่ยว เพื่อสุขภาพ” ครั้งที่ 1 สู่เส้นทางแห่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เปี่ยมด้วยประวัติศาสตร์และความหมายต่อชาวเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำคณะลงพื้นที่เพื่อเปิดตัวโครงการ Chiang Rai Wellness City 2025 อย่างเป็นทางการ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพควบคู่ไปกับการยกระดับเศรษฐกิจชุมชนในพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่ พญาเม็งราย ขุนตาล และเทิง

การเดินทางเพื่อสุขภาพและชุมชน

ในเวลา 08.00 น. คุ้มพญาเม็งรายกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ไม่เพียงแต่เน้นการดูแลสุขภาพ แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงวิถีชีวิตท้องถิ่นเข้ากับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน คณะผู้เข้าร่วม ซึ่งประกอบด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย นายเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย นายอำเภอทั้งสามพื้นที่ และหน่วยงานราชการ ได้รับการต้อนรับด้วยการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านที่สะท้อนความงดงามของล้านนา ผู้มาเยือนยังได้สัมผัสผลิตภัณฑ์ชุมชนที่เปี่ยมด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น แชมพูจากอัญชัน น้ำผึ้งจากบ้านสวนพอเพียง กล้วยอบธัญพืช และสมุนไพรพอกเข่า ซึ่งล้วนเป็นตัวอย่างของการนำทรัพยากรท้องถิ่นมาสร้างมูลค่าเพิ่ม

“เราต้องการให้เชียงรายเป็นมากกว่าแค่จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว แต่เป็นเมืองที่มอบสุขภาพที่ดีและความยั่งยืนให้กับทั้งนักท่องเที่ยวและชุมชน” นายชรินทร์กล่าวขณะเดินชมบูธผลิตภัณฑ์ชุมชน

จากคุ้มพญาเม็งราย คณะเดินทางต่อไปยังบ้านทุ่งรุ่งอรุณ The Local Khuntan ในอำเภอขุนตาลเมื่อเวลา 10.00 น. ที่นี่ ชาวบ้านได้แบ่งปันเรื่องราวของการปลูกและแปรรูปโกโก้ ซึ่งกลายเป็นสินค้าภายใต้แบรนด์ “ARAMP อารัมภ์” ความสำเร็จของชุมชนนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาอัตลักษณ์ท้องถิ่น แต่ยังเป็นตัวอย่างของการสร้างรายได้จากเกษตรแปรรูปที่ยั่งยืน

ในช่วงบ่าย คณะมุ่งหน้าสู่ไร่รื่นรมย์ อำเภอเทิง ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านเกษตรอินทรีย์และพลังงานสะอาด ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสประสบการณ์การทำน้ำสมุนไพรออร์แกนิคและการเลี้ยงผึ้งอย่างยั่งยืนผ่านกิจกรรม DIY ที่สร้างความประทับใจและจุดประกายไอเดียให้ผู้มาเยือน

การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพและความยั่งยืน

โครงการ Chiang Rai Wellness City 2025 เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาลที่กำหนดให้ปี 2568 เป็น “ปีทองแห่งการท่องเที่ยว” โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเมืองรองให้เป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจ เส้นทาง Wellness Trail ไม่เพียงแต่ส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีผ่านการเดินทางและกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ แต่ยังช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่นผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์

“การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเป็นแนวโน้มที่กำลังได้รับความนิยมทั่วโลก และเชียงรายมีศักยภาพทั้งในด้านทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น” นายเสริฐ ไชยยานันตา กล่าว “เราต้องการให้ทุกคนที่มาเยือนได้รับทั้งความสุขและสุขภาพที่ดี พร้อมกับช่วยให้ชุมชนมีรายได้ที่ยั่งยืน”

ผลลัพธ์การก้าวสู่เมืองแห่งสุขภาพ

กิจกรรมในครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเส้นทาง Wellness Trail ที่จะจัดต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2568 โดยคาดว่าจะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนผ่านการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและบริการด้านการท่องเที่ยว จากข้อมูลย้อนหลัง ปี 2566 เชียงรายมีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 46,773.91 ล้านบาท และมีนักท่องเที่ยวกว่า 6.1 ล้านคน การเปิดตัวเส้นทาง Wellness Trail นี้คาดว่าจะช่วยผลักดันรายได้ให้สูงกว่า 50,000 ล้านบาทในปี 2568 โดยเฉพาะเมื่อรวมกับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การขยายพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสนามบินแม่ฟ้าหลวง

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญอยู่ที่การรักษาความยั่งยืนของทรัพยากรท้องถิ่นและการจัดการจำนวนนักท่องเที่ยวเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตชุมชน การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น การโปรโมทผ่านแพลตฟอร์ม OTA และการพัฒนาระบบจองท่องเที่ยวออนไลน์ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อสูง เช่น กลุ่มที่สนใจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและประสบการณ์ท้องถิ่น

มองไปข้างหน้าเพื่อโอกาสและความยั่งยืน

การเปิดตัวเส้นทาง Wellness Trail เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับเชียงรายให้เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก โครงการนี้ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์เทรนด์การท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพและความยั่งยืน แต่ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกให้กับจังหวัดในฐานะเมืองที่ผสานสุขภาพ วัฒนธรรม และธรรมชาติได้อย่างลงตัว การจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสนับสนุนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและชุมชน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เชียงรายก้าวสู่การเป็น Wellness City อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย. (2566). รายงานสถิติการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ปี 2566.
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.). (2568). แผนปฏิรูปการท่องเที่ยว 5 ปี (2568-2573).
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา. (2568). นโยบายปีทองแห่งการท่องเที่ยวและกีฬา 2568.
  • ไร่รื่นรมย์. (2568). รายงานกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรอินทรีย์ อำเภอเทิง.
  • บ้านทุ่งรุ่งอรุณ The Local Khuntan. (2568). ข้อมูลผลิตภัณฑ์โกโก้และการท่องเที่ยวชุมชน.
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย. (2568). แผนพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสนามบิน.
  • สิงห์ปาร์คเชียงราย. (2568). รายละเอียดการจัดงานเทศกาลบอลลูนนานาชาติ 2568.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

‘ดาวทะเลแห่งป่าดิบ’ คืนชีพในป่าเชียงราย! พืชหายากโผล่หลังเงียบหายศตวรรษ

การกลับมาของ ‘ดาวทะเลแห่งป่าดิบ’ Heterostemma brownii พืชหายากโผล่กลางป่าเชียงราย หลังเงียบหายกว่าศตวรรษ – จุดเปลี่ยนเร่งอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพ

เรื่องเล่าบนผืนป่าลึกปรากฏการณ์ฟื้นคืนของพืชลึกลับที่หลายคนคิดว่าสาบสูญ

เชียงราย, 10 กรกฎาคม 2568 – กว่าร้อยปีที่โลกพฤกษศาสตร์จารึกชื่อ “Heterostemma brownii” หรือ ‘ดาวทะเลแห่งป่าดิบ’ ไว้บนรายชื่อสิ่งมีชีวิตหายากอย่างเงียบงัน จนกระทั่งในปี 2562 ความหวังใหม่ก็ถือกำเนิดอีกครั้งจากการค้นพบของ ดร.วรนาถ ธรรมรงค์ นักอนุกรมวิธานพืช สำนักวิจัยและอนุรักษ์ องค์การสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ (QSBG) และทีมงาน ซึ่งออกสำรวจผืนป่าดิบชื้นในจังหวัดเชียงราย ด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นว่าธรรมชาติยังคงมีความลับซุกซ่อนอยู่

“มันเหมือนเราค้นพบขุมทรัพย์ที่คิดว่าสาบสูญไปแล้ว” ดร.วรนาถกล่าวถึงความรู้สึกขณะเผชิญกับดาวทะเลแห่งป่าดิบครั้งแรก พืชชนิดนี้ในอดีตมีรายงานเฉพาะในไต้หวัน จีน และเวียดนาม โดยมีการค้นพบครั้งสุดท้ายตั้งแต่ปี พ.ศ. 2449 (ค.ศ. 1906) การพบ H. brownii ในไทยครั้งนี้จึงเป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันการกระจายพันธุ์ในประเทศไทยและประเทศลาวเป็นครั้งแรก

ภาพถ่ายและข้อมูลเชิงลึกจากการค้นพบครั้งนี้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Thai Forest Bulletin (Botany) ปี 2563 และเผยแพร่ต่อสาธารณชนโดย QSBG ผ่านโซเชียลมีเดียเมื่อ 10 กรกฎาคม 2568 จุดประกายความสนใจในแวดวงวิทยาศาสตร์และกลุ่มอนุรักษ์ทั่วประเทศทันที

เสน่ห์แห่ง “ดาวทะเล” บนม่านมอสป่าดิบ

‘Heterostemma brownii’ จัดอยู่ในวงศ์ดอกรัก (Apocynaceae) เป็นไม้เลื้อยเนื้ออ่อนที่พบเฉพาะในป่าดิบชื้นระดับความสูง 500-1,100 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ลักษณะดอกมีความโดดเด่น กลีบดอกสีเหลืองสดใส 5 แฉกแต้มจุดประแดง และกระบังรอบสีแดงเข้ม 5 แฉกกลางดอก คล้ายดาวทะเลกลางป่ามืด ยิ่งเมื่ออวดโฉมท่ามกลางฤดูฝนในเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม พื้นที่ป่าดิบจึงงดงามราวเทพนิยาย

แม้จะค้นพบดอกอันสมบูรณ์ แต่นักวิจัยยังไม่พบผลหรือเมล็ดของ H. brownii จากตัวอย่างที่เก็บรวบรวม นี่คือช่องว่างทางวิทยาศาสตร์ที่จำเป็นต้องเร่งศึกษาเพิ่มเติม เพื่อเข้าใจวงจรชีวิต กระบวนการสืบพันธุ์ และเงื่อนไขที่เอื้อต่อการกระจายพันธุ์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญต่อการวางแผนอนุรักษ์ระยะยาว

ความเปราะบางและการไม่ถูกประเมินสถานะ เงื่อนปมของการอนุรักษ์

  1. brownii นับเป็นพืชหายากอย่างแท้จริง และยังไม่มีการประเมินสถานะความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์อย่างเป็นทางการในบัญชีแดงของ IUCN สาเหตุหลักคือข้อมูลที่ยังไม่เพียงพอและการปรากฏตัวอย่างจำกัดตลอดศตวรรษที่ผ่านมา

“การไม่มีสถานะอนุรักษ์ทำให้พืชชนิดนี้ตกอยู่ในความเสี่ยงต่อภัยคุกคามโดยตรงและอ้อม” ดร.วรนาถกล่าว โดยภัยที่น่ากังวล ได้แก่

  • การสูญเสียถิ่นที่อยู่: การขยายพื้นที่เกษตรกรรม ตัดไม้ผิดกฎหมาย และอุตสาหกรรมที่รุกรานพื้นที่ป่า
  • การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ: ทำให้อุณหภูมิและปริมาณฝนผันผวนจนระบบนิเวศที่อ่อนไหวอย่าง H. brownii ปรับตัวไม่ทัน
  • มลพิษและชนิดพันธุ์ต่างถิ่น: เคมีเกษตรและการบุกรุกของพืชต่างถิ่นส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพของป่าและพันธุ์ไม้หายาก
  • การโจรกรรมชีวภาพ: การลักลอบนำพันธุ์พืชหายากไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์โดยไม่ได้รับอนุญาต

ภัยเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการบูรณาการอนุรักษ์ H. brownii เข้ากับยุทธศาสตร์การปกป้องป่าดิบโดยรวม

ต้นแบบความมุ่งมั่นในงานอนุรักษ์ไทย

องค์การสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ (QSBG) จังหวัดเชียงใหม่ ดำรงบทบาทศูนย์กลางของการวิจัยและอนุรักษ์พืชหายากในไทย QSBG ไม่เพียงเก็บรวบรวมพืชพันธุ์ไว้ในสวนและพิพิธภัณฑ์พืชเท่านั้น แต่ยังเน้นงานอนุกรมวิธานและโครงการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อปิดช่องว่างความรู้และขยายผลสู่นโยบายอนุรักษ์ระดับประเทศ

ความสำเร็จในการค้นพบ H. brownii อีกครั้ง ตอกย้ำถึงศักยภาพของทีมวิจัย QSBG และเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น Singapore Botanic Gardens และนักวิทยาศาสตร์จากลาวที่ร่วมศึกษาเส้นทางการกระจายพันธุ์ของพืชชนิดนี้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ก้าวต่อไปเพื่อ “ดาวทะเลแห่งป่าดิบ”

  1. ประเมินสถานะอนุรักษ์อย่างเป็นทางการ: เร่งสำรวจข้อมูลเพื่อจัดอันดับในบัญชีแดงของ IUCN อาจพิจารณาสถานะ “ข้อมูลไม่เพียงพอ” เพื่อกระตุ้นการเก็บข้อมูลอย่างจริงจัง
  2. วิจัยเชิงลึกทางชีววิทยา: สำรวจวงจรชีวิต กระบวนการสืบพันธุ์ และความต้องการด้านนิเวศวิทยาเพื่อเตรียมแผนฟื้นฟูทั้งในธรรมชาติและนอกพื้นที่
  3. ปกป้องถิ่นที่อยู่: ร่วมมือกับหน่วยงานรัฐและท้องถิ่น ป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่า และผลักดันมาตรการคุ้มครองเฉพาะบริเวณที่พบ H. brownii
  4. สร้างเครือข่ายภูมิภาค: ขยายความร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์จากจีน ลาว ไต้หวัน เวียดนาม เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด
  5. รณรงค์ให้ความรู้ชุมชน: ถ่ายทอดคุณค่าและความสำคัญของระบบนิเวศป่าดิบและ H. brownii สู่เยาวชนและชาวบ้าน สนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่ยั่งยืน ควบคู่กับการอนุรักษ์

 “ดาวทะเลแห่งป่าดิบ” – จากตำนานสู่ความหวังใหม่ของป่าไทย

การค้นพบ Heterostemma brownii Hayata อีกครั้งในประเทศไทย คือตัวอย่างที่ชี้ชัดว่าธรรมชาติยังมีเรื่องราวซ่อนเร้นอีกมากมาย และความหลากหลายทางชีวภาพยังมีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงของระบบนิเวศและคุณภาพชีวิตมนุษย์

การดำเนินนโยบายอนุรักษ์ที่เข้มข้นและต่อเนื่อง คือหนทางเดียวที่จะรักษาพืชพันธุ์ล้ำค่านี้ไว้ให้เป็นสมบัติของป่าฝนไทยสืบไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เพจสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
  • ดร.วรนาถ ธรรมรงค์ | สำนักวิจัยและอนุรักษ์ QSBG
  • Thammarong, W., Raksa-chat, S., & Rodda, M. (2020). Thai Forest Bulletin (Botany), 48(2), 114–117.
  • IUCN Red List: International Union for Conservation of Nature’s Red List
  • The Plant List (2013) | http://www.theplantlist.org/
  • IPNI (International Plant Names Index)
  • Global Biodiversity Information Facility (GBIF)
  • คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เมืองแห่งชาและกาแฟ เชียงรายยกระดับกาแฟไทยสู่เวทีโลก สร้างมูลค่าพันล้าน

เชียงรายผงาด! ศูนย์กลางกาแฟโลก ผนึกกำลังรัฐ-เอกชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยั่งยืน

เชียงราย, 9 กรกฎาคม 2568 – เชียงรายก้าวสู่ผู้นำกาแฟระดับโลก ด้วยสายพันธุ์-แบรนด์-นวัตกรรมครบเครื่อง กำลังก้าวเข้าสู่บทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางกาแฟระดับโลก ด้วยความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ พันธุ์กาแฟอาราบิก้าคุณภาพสูง การส่งเสริมจากภาครัฐ และการเติบโตของธุรกิจเอกชน ตั้งแต่ฟาร์มปลูกกาแฟจนถึงแบรนด์ร้านกาแฟระดับประเทศ

การขับเคลื่อนเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ ด้วยแนวนโยบาย “เมืองแห่งชาและกาแฟ” ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2565 ส่งผลให้เชียงรายกลายเป็นโมเดลเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ผสานเกษตรกรรม การท่องเที่ยว และนวัตกรรมเข้าไว้ด้วยกันอย่างยั่งยืน

ตลาดกาแฟโตไม่หยุด “เชียงราย” ตัวแปรสำคัญขับเคลื่อนประเทศ

จากข้อมูลการวิเคราะห์ตลาดปี 2567-2568 พบว่าตลาดกาแฟไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มสูงถึง 3-5 เท่าของกาแฟทั่วไป และเชียงรายกลายเป็นจังหวัดที่ครองบทบาทสำคัญในห่วงโซ่การผลิตนี้

กาแฟ GI อย่าง “ดอยตุง” และ “ดอยช้าง” เป็นเครื่องการันตีคุณภาพระดับประเทศ สอดรับกับแบรนด์ใหม่ที่เติบโตเร็ว เช่น 1:2 Coffee ที่เน้น “คุณภาพดี ราคาจับต้องได้” และขยายสาขาทั่วประเทศกว่า 50 แห่ง กลายเป็นตัวแบบสำเร็จในการต่อยอดผลิตภัณฑ์จากท้องถิ่นสู่สเกลชาติ

เทศกาลกาแฟทั่วเชียงราย ยกระดับเมืองแห่งประสบการณ์กาแฟ

เชียงรายไม่ได้เป็นเพียงแหล่งผลิตกาแฟเท่านั้น แต่ยังสร้าง “ประสบการณ์” ให้กับนักท่องเที่ยวผ่านงานเทศกาลตลอดปี 2568 ดังนี้

  • Tea & Coffee Central CEI 25–29 มิ.ย. 2568 ณ เซ็นทรัล เชียงราย
  • Eastern Lanna Tea & Coffee 25–28 ก.ค. 2568
  • Brewtopia ไร่แม่ฟ้าหลวง 17–20 ส.ค. 2568
  • TEDxChiangRai 23 ส.ค. 2568 (เจาะลึกองค์ความรู้และนวัตกรรมกาแฟ)
  • CCL Coffee Journey by TCEB 26–28 ส.ค. 2568

ภายในงานมีการแข่งขัน Latte Art ชิงแชมป์บาริสต้ามือทอง เวิร์คช็อปคั่วบด การชิมกาแฟเชิงลึก (cupping) และกิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ ที่มีเป้าหมายกระตุ้นเศรษฐกิจภาคเหนือด้วยเม็ดเงินหมุนเวียนมากกว่า 700 ล้านบาทต่อปี

นวัตกรรม-วิจัย อาวุธลับสร้างความต่างสู่เวทีโลก

เชียงรายไม่เพียงแต่ผลิตกาแฟคุณภาพสูง หากแต่ยังลงทุนวิจัยอย่างต่อเนื่อง โดยกรมวิชาการเกษตรพัฒนาสายพันธุ์ “เชียงราย 1” และ “เชียงราย 2” ให้เหมาะกับภูเขาสูงโดยเฉพาะ

นอกจากนี้ยังมีการสร้างต้นแบบ “จมูกอิเล็กทรอนิกส์” ที่สามารถวิเคราะห์รสชาติเฉพาะของกาแฟแต่ละสายพันธุ์ และงานวิจัยลดปริมาณคาเฟอีนในกาแฟได้มากถึง 93.12% โดยไม่สูญเสียรสชาติ ถือเป็นการตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ

ภาครัฐรวมพลังทุกภาคส่วน ยกระดับเมืองกาแฟ

การยกระดับ “เชียงรายเมืองแห่งชาและกาแฟ” ไม่ได้เกิดขึ้นจากหน่วยงานเดียว แต่เกิดจากการผนึกกำลังของภาครัฐ ภาควิชาการ และชุมชน ได้แก่

  • จังหวัดเชียงราย ตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายตั้งแต่ปี 2565
  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สนับสนุนทุนวิจัยด้านกาแฟ
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และ ราชภัฏเชียงราย ร่วมจัดกิจกรรมการศึกษา สัมมนา และหลักสูตรกาแฟ
  • สมาคมกาแฟพิเศษไทย ช่วยประสานเครือข่ายระดับประเทศและต่างประเทศ

การสนับสนุนนี้ครอบคลุมตั้งแต่การรับรองมาตรฐาน (GMP, HACCP, GAP) ไปจนถึงการขยายพื้นที่ผลิตแบบ Organic Thailand ที่ช่วยผลักดันกาแฟเชียงรายสู่ตลาดพรีเมียมได้อย่างมั่นคง

ความท้าทายที่ต้องรับมือ โอกาสแฝงในวิกฤต

แม้เชียงรายจะมีศักยภาพมหาศาล แต่ก็ยังเผชิญกับหลายปัจจัยท้าทาย

  • สภาพภูมิอากาศแปรปรวน ทำให้ผลผลิตผันผวนและต้นทุนสูงขึ้น
  • การแข่งขันจากกาแฟนำเข้า ที่มีต้นทุนต่ำกว่าในบางตลาด
  • การรับรู้ในระดับโลก กาแฟไทยยังไม่เป็นที่รู้จักในบางภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นโอกาสใหม่ เช่น การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงกาแฟ ผสานไร่กาแฟกับฟาร์มสเตย์ โรงคั่ว และร้านกาแฟท้องถิ่นในรูปแบบ Coffee Trail ซึ่งไม่เพียงสร้างรายได้จากการขายเมล็ด แต่ยังเพิ่มรายได้ผ่านการท่องเที่ยวและการให้บริการประสบการณ์กาแฟโดยตรง

ข้อเสนอเชิงกลยุทธ์ สู่อนาคตกาแฟยั่งยืน

  1. เกษตรกรและผู้ผลิต
    • รวมกลุ่มในรูปแบบสหกรณ์หรือวิสาหกิจชุมชน
    • พัฒนาผลิตภัณฑ์กาแฟพิเศษที่มีมาตรฐาน
    • ใช้นวัตกรรมเพิ่มมูลค่า ลดต้นทุน และรักษาสิ่งแวดล้อม
  2. ผู้ประกอบการและธุรกิจ
    • สร้างแบรนด์ที่มีเรื่องราว
    • ขยายช่องทางออนไลน์และส่งออก
    • พัฒนาโมเดลธุรกิจที่เข้าถึงได้ง่ายและแตกต่าง
  3. ภาครัฐและนโยบาย
    • ขยายผลแผน “เมืองแห่งชาและกาแฟ” ให้เป็นนโยบายระดับชาติ
    • สนับสนุนทุนวิจัย แพลตฟอร์มประชาสัมพันธ์ และการเข้าถึงเงินทุน
    • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบขนส่ง บรรจุภัณฑ์ และลอจิสติกส์

เชียงรายไม่ใช่แค่แหล่งปลูกกาแฟ แต่คือเมืองแห่งอนาคต

เชียงรายกำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟไม่ใช่แค่เรื่องของการเกษตร แต่คือการออกแบบเศรษฐกิจอย่างชาญฉลาด ที่เชื่อมโยงผู้ผลิต นวัตกรรม วัฒนธรรม และการท่องเที่ยวเข้าด้วยกัน

หากเดินตามแนวทางอย่างต่อเนื่อง เชียงรายจะไม่ใช่แค่ “เมืองแห่งชาและกาแฟ” ของไทย แต่จะเป็นหนึ่งใน “จุดหมายกาแฟระดับโลก” ที่สร้างทั้งรายได้ ความยั่งยืน และความภาคภูมิใจให้กับคนในพื้นที่อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
  • กรมวิชาการเกษตร
  • สมาคมกาแฟพิเศษไทย
  • งานวิจัย “จมูกอิเล็กทรอนิกส์วิเคราะห์กาแฟ GI” ปี 2567
  • รายงานการตลาด Specialty Coffee ปี 2567 โดย TCEB และ Cluster Coffee Lab
  • บันทึกการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเมืองแห่งชาและกาแฟ จังหวัดเชียงราย (3 พ.ค. 2565)
  • CCL Chiangrai Coffee Lovers
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

เชียงราย 2568 สู้ภัยน้ำ-ฝน บททดสอบรับมือโลกเดือด

สถานการณ์น้ำและการจัดการภัยพิบัติเชียงราย ปี 2568 ภัยฝน-ภัยน้ำ กับบททดสอบความพร้อม

เชียงราย, 7 กรกฎาคม 2568 – หลังฝนตกหนักต่อเนื่องในหลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงราย กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย) รายงานความคืบหน้าในการช่วยเหลือประชาชนและบทเรียนสู่การยกระดับการจัดการทรัพยากรน้ำและภัยพิบัติ ในปีที่ความผันผวนของสภาพภูมิอากาศและคุณภาพน้ำกำลังกลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายทั้งภาครัฐและชุมชน

พายุฝนถล่ม – ผลกระทบพื้นที่และการช่วยเหลือ

ในช่วงค่ำวันที่ 5 กรกฎาคม 2568 พื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย แม่ฟ้าหลวง เวียงชัย พาน เทิง พญาเม็งราย แม่จัน และแม่ลาว เผชิญฝนตกหนักและลมกระโชกแรง ส่งผลให้ในหลายจุด โดยเฉพาะบ้านด้ายหนองหล่ม ต.เวียงชัย อ.เวียงชัย เกิดเหตุเสาไฟฟ้าโค่นล้มถึง 3 ต้น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเร่งซ่อมแซมอย่างต่อเนื่องเพื่อคืนระบบไฟฟ้าโดยเร็ว

ขณะที่ในเขตเทศบาลนครเชียงราย มีน้ำท่วมขังหลายจุด อาทิ ห้าแยกพ่อขุน ชุมชนศรีทรายมูล ชุมชนสันป่าก๊อ ชุมชนสันคอกช้าง และชุมชนบ้านใหม่ เทศบาลระดมเจ้าหน้าที่และเครื่องจักรช่วยระบายน้ำ คาดว่าสถานการณ์จะกลับสู่ปกติภายในวันที่ 6 กรกฎาคม ทั้งนี้ ปภ.จังหวัดเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมเครื่องมือและกำลังพลตลอด 24 ชั่วโมง โดยประชาชนสามารถแจ้งเหตุผ่านสายด่วนนิรภัย 1784 ได้ทุกเวลา

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศฝนปีนี้ไม่เหมือนเดิม

การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศจากอิทธิพลโลกร้อนส่งผลให้รูปแบบและปริมาณฝนในเชียงรายปี 2568 แตกต่างจากอดีต กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าเดือนกรกฎาคมจะมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60-80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากในบางช่วง สร้างความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำและริมฝั่งแม่น้ำสายหลัก เช่น แม่น้ำกกและแม่น้ำโขง

ตารางสรุปปริมาณฝนและแนวโน้มอากาศ (เมษายน-กรกฎาคม 2568)

เดือน

ปริมาณฝน (มม.)

วันฝนตก (วัน)

อุณหภูมิสูงสุด (°C)

หมายเหตุ

พฤษภาคม

180-230

13-15

34-36

ฝนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

มิถุนายน

130-170

16-19

33-35

เริ่มฝนตกชุก ร้อยละ 40-60

กรกฎาคม

(เฉลี่ย 191.4)*

60-80% ของพื้นที่

29-34

ฝนตกหนัก-หนักมากบางแห่ง

*ข้อมูลค่าเฉลี่ยย้อนหลัง เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาไม่ได้ระบุตัวเลขแน่ชัดสำหรับปีนี้

โครงสร้างภูมิประเทศ – จุดแข็ง จุดเปราะบาง

จังหวัดเชียงรายมีภูมิประเทศที่ซับซ้อน ทั้งพื้นที่ราบ (60%) ริมลุ่มแม่น้ำกก อิง สาย จัน ลาว และแม่น้ำโขง และภูเขาสูง (37%) ที่เป็นแหล่งต้นน้ำสำคัญ อ่างเก็บน้ำและเขื่อนหลัก ได้แก่ เขื่อนแม่สรวย (ความจุ 73 ล้าน ลบ.ม.) มีน้ำต้นทุนเกือบเต็มความจุในต้นปี 2568 ซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็งสำหรับรองรับภัยแล้งและการเพาะปลูกฤดูฝน แต่โครงสร้างแบบนี้เองที่ทำให้พื้นที่ลุ่มต่ำเปราะบางต่ออุทกภัยเมื่อต้องรับมือกับฝนตกหนักในระยะเวลาสั้นๆ

คุณภาพน้ำปัญหาซ้อนปัญหาบนวิกฤตภัยธรรมชาติ

แม่น้ำกก แม่น้ำโขง และแม่น้ำสาย พบปัญหาปลามีตุ่มผิดปกติจากสารเคมีปนเปื้อนและโลหะหนัก หน่วยงานรัฐบางแห่งยืนยันว่ายังใช้น้ำได้เพื่อเกษตรกรรม แต่ยังมีการแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากแม่น้ำกกในบางพื้นที่ ขณะที่เกษตรกรและชุมชนเรียกร้องให้จัดหาแหล่งน้ำทางเลือกและเน้นการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง

บทเรียนจากอดีตเชียงรายในวังวนอุทกภัย-ภัยแล้ง

ปี 2567 เชียงรายประสบอุทกภัยใหญ่ช่วงเดือนกันยายน ฝนตกหนักเกิน 200 มม. ทำให้น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง ส่งผลให้ 56,469 ครัวเรือนและพื้นที่เกษตรกรรมกว่า 18,587 ไร่ ได้รับความเสียหาย มีผู้เสียชีวิต 14 ราย ขณะที่ปี 2566 ก็มีน้ำท่วมซ้ำจากอิทธิพลของพายุดีเปรสชัน “ยางิ” เหตุการณ์เหล่านี้ตอกย้ำความเปราะบางของจังหวัดและแนวโน้มความถี่ของสภาพอากาศสุดขั้วที่เพิ่มขึ้นจากผลกระทบโลกร้อน

มาตรการจัดการน้ำและภัยพิบัติความพร้อมและข้อจำกัด

  • กรอบยุทธศาสตร์และการบริหารจัดการน้ำ

สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้ขับเคลื่อน 9 มาตรการรับมือฤดูฝนปี 2568 ร่วมกับกรมชลประทานและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เน้นติดตามสถานการณ์น้ำ เตรียมเครื่องมือช่วยเหลือ ปรับแผนการจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำ และตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในช่วงฉุกเฉิน

ระดับจังหวัด มีแผนปฏิบัติการภัยพิบัติ 4 ระยะ ได้แก่ การป้องกันและลดผลกระทบ, การเตรียมความพร้อม, การจัดการในภาวะฉุกเฉิน และการฟื้นฟู ซึ่งทุกระยะต้องการความร่วมมือและทรัพยากรที่พร้อมรับสถานการณ์เฉพาะหน้า

งบประมาณและการพัฒนาแหล่งน้ำ

ปี 2568 มีการจัดสรรงบประมาณพัฒนาแหล่งน้ำรวมกว่า 10,000 ล้านบาทในระดับชาติ เพื่อปรับปรุงระบบน้ำดิบ เพิ่มประสิทธิภาพอ่างเก็บน้ำ ฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหายจากอุทกภัย โดยเชียงรายได้รับงบฯ เร่งด่วน 111 ล้านบาท สำหรับโครงการฟื้นฟูใน อ.พาน แต่การเบิกจ่าย-เยียวยา ยังมีความล่าช้า และต้องการโมเดลบริหารจัดการที่คล่องตัวกว่านี้

ผลกระทบและความท้าทายปี 2568 วิเคราะห์สถานการณ์และความพร้อม

  • ผลกระทบต่อการเกษตรและชุมชน

น้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำสูง แต่เกษตรกรต้องเผชิญโจทย์ใหม่ คือคุณภาพน้ำที่ปนเปื้อน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อผลผลิต-ประมงน้ำจืด และความปลอดภัยผู้บริโภค ภัยน้ำท่วมยังคงเป็นปัญหาในพื้นที่ลุ่มต่ำ และอาจเกิดซ้ำหากฝนตกหนักติดต่อกันในเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน

  • ผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานและสังคมเมือง

ฝนหนักสร้างความเสียหายต่อถนน สะพาน ระบบประปาและสาธารณูปโภค เมืองเชียงรายต้องเน้นเพิ่มประสิทธิภาพระบบระบายน้ำและการสื่อสารแจ้งเตือนล่วงหน้า พร้อมวางระบบขนส่งและอพยพที่พร้อมรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน

  • คุณภาพน้ำ เงื่อนไขความมั่นคงใหม่

การสื่อสารข้อมูลคุณภาพน้ำต้องมีความชัดเจน โปร่งใส และเข้าถึงได้ โดยเฉพาะในชุมชนริมน้ำและพื้นที่เกษตรกรรม หากขาดการแจ้งเตือนที่ถูกต้อง อาจนำไปสู่ความเสียหายทางสุขภาพและเศรษฐกิจโดยไม่รู้ตัว

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายมุ่งสู่การจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

  1. พัฒนาระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยแบบเรียลไทม์ โดยติดตั้งโทรมาตรวัดระดับน้ำทั้งในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขง ให้ข้อมูลล่วงหน้าเพื่อเตรียมรับมือกับน้ำท่วมฉับพลันและน้ำหลาก
  2. ยกระดับการสื่อสารและสร้างแพลตฟอร์มข้อมูลน้ำแบบบูรณาการ ที่รายงานทั้งปริมาณและคุณภาพน้ำ พร้อมคู่มือและคำแนะนำต่อชุมชน
  3. ส่งเสริมธรรมาภิบาลน้ำที่ปรับตัวได้ กระจายอำนาจให้องค์กรปกครองท้องถิ่นและชุมชนมีบทบาทบริหารจัดการน้ำและงบประมาณเฉพาะหน้า
  4. เร่งรัดการจัดสรรและเบิกจ่ายงบประมาณ เพื่อช่วยเหลือ ฟื้นฟู และพัฒนาโครงสร้างน้ำและภัยพิบัติอย่างทันท่วงที
  5. ขยายความร่วมมือข้ามหน่วยงานและประเทศ โดยเฉพาะระบบเตือนภัยข้ามแดนเมียนมา-ไทย สำหรับลุ่มน้ำกกและโขง
เชียงรายบนเส้นทางบริหารจัดการน้ำในยุคใหม่

จังหวัดเชียงรายกำลังเผชิญบททดสอบใหม่ในการบริหารจัดการน้ำในสภาวะอากาศสุดขั้วและคุณภาพน้ำที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น แม้จะมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน แต่การขาดงบประมาณและระบบข้อมูลที่ทันสมัยคืออุปสรรคสำคัญ การยกระดับระบบแจ้งเตือน การสื่อสาร และการลงทุนใน “โครงสร้างพื้นฐานแบบอ่อน” ร่วมกับการบูรณาการแผนรับมือภัยพิบัติข้ามภาคส่วน จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่นคงน้ำอย่างยั่งยืนและลดผลกระทบต่อชุมชนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย)
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • กรมชลประทาน
  • สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย
  • ข้อมูลจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
  • ศูนย์ข่าวภัยพิบัติและงานวิจัยภาคเหนือ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ หรูหรากลางขุนเขา

ลักชัวรีกลางขุนเขา” ที่คุณเอื้อมถึงได้ — เปิดประสบการณ์พักผ่อนสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ณ อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ เชียงราย ลดสูงสุด 35% กับข้อเสนอ ‘Exclusive Resident Offer’ วันนี้ถึง 31 ตุลาคม 2568 เท่านั้น

ณ ชายแดนแห่งธรรมชาติอันเงียบสงบของประเทศไทย บริเวณ “สามเหลี่ยมทองคำ” ที่แม่น้ำโขงหลอมรวมวัฒนธรรมสามชาติ อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ แคมป์ช้าง แอนด์ รีสอร์ท เชียงราย ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่แห่งการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์สุดหรู ที่พร้อมให้คนไทยและผู้พำนักในประเทศไทย ได้พักผ่อนท่ามกลางป่าเขาอย่างมีสไตล์ ในราคาที่จับต้องได้ พร้อมกิจกรรมระดับเวิลด์คลาสที่รวมอยู่ในแพคเกจ

จากรีสอร์ทบนยอดเขาที่เงียบสงบท่ามกลางป่าฝนอันอุดมสมบูรณ์ สู่อาณาจักรที่พักสุดเอ็กซ์คลูซีฟ — ข้อเสนอสุดพิเศษนี้ไม่ได้เพียงมอบความหรูหรา แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจในการเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์ ธรรมชาติ และวัฒนธรรมผ่านประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร

 

ประสบการณ์ “เหนือระดับ” ที่ยากจะลืมเลือน

ในยุคที่การท่องเที่ยวไม่ใช่แค่การพักผ่อน แต่คือการสร้างประสบการณ์ชีวิตที่มีความหมาย อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ เชียงราย จึงได้เปิดตัวแพคเกจ “Exclusive Resident Offer” สำหรับผู้พำนักในประเทศไทยโดยเฉพาะ ให้คุณสัมผัสประสบการณ์ระดับโลกได้ในราคาสุดคุ้ม พร้อมส่วนลดสูงสุดถึง 35% สำหรับห้องพักทุกประเภท

แพคเกจนี้ประกอบด้วย:

  • แพคเกจ 3 วัน 2 คืน เริ่มต้นที่ 60,000++ บาท พร้อมรับสิทธิ์เลือก 1 กิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟฟรี
    • Canopy Dining — รับประทานอาหารเหนือทิวเขา บนกระเช้าลอยฟ้า พร้อมวิวแม่น้ำโขงและชายแดน 3 ประเทศ
    • Sky Bike Adventure — ปั่นจักรยานบนสายสลิงท่ามกลางแมกไม้ สัมผัสความสูง 40 เมตรเหนือพื้นดิน
  • แพคเกจ 4 วัน 3 คืน เริ่มต้นที่ 90,000++ บาท รับสิทธิ์พักฟรี 1 คืนที่ Jungle Bubbles — โดมแก้วสุดหรูกลางป่า ให้คุณนอนมองดาว เคียงข้างโขลงช้าง พร้อมเลือกกิจกรรมพิเศษเพิ่มอีก 1 รายการ

ราคาดังกล่าวรวมสิทธิพิเศษ เช่น อาหารเช้า อาหารเย็น และบริการต่าง ๆ ที่จะทำให้คุณรู้สึกราวกับเป็นแขกวีไอพีตลอดระยะเวลาการเข้าพัก

ท่ามกลางธรรมชาติ พร้อมหัวใจของการอนุรักษ์

สิ่งที่ทำให้อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ แตกต่างจากรีสอร์ททั่วไป ไม่ได้อยู่แค่ในงานบริการระดับห้าดาว แต่คือการที่รีสอร์ทแห่งนี้ผสานแนวคิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนไว้ในทุกมิติ — โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความสำคัญกับ “ช้าง”

รีสอร์ทแห่งนี้เป็นที่ตั้งของศูนย์อนุรักษ์ช้างเอเชีย ที่มุ่งเน้นให้ช้างอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างมีความสุข และปราศจากการทารุณกรรม นักท่องเที่ยวสามารถร่วมกิจกรรมเชิงอนุรักษ์ เรียนรู้พฤติกรรมของช้างอย่างใกล้ชิด และสัมผัสถึงความผูกพันระหว่างคนกับสัตว์ที่ลึกซึ้งเกินคำบรรยาย

การได้เข้าพักที่นี่จึงไม่ได้เป็นเพียงการซื้อประสบการณ์ แต่ยังเป็นการสนับสนุนการอนุรักษ์สัตว์และสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

แรงบันดาลใจจากใจกลาง “สามเหลี่ยมทองคำ”

บริเวณสามเหลี่ยมทองคำมีทั้งเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และภูมิศาสตร์ที่น่าทึ่ง หลายคนอาจรู้จักในฐานะอดีตแหล่งค้าฝิ่น แต่วันนี้พื้นที่แห่งนี้กลับกลายเป็น “จุดเชื่อมโยงใหม่” ของการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ที่ส่งเสริมความเข้าใจระหว่างวัฒนธรรม พร้อมเปิดมุมมองใหม่ของภาคเหนือที่มากกว่าแค่ความสวยงามของธรรมชาติ

รีสอร์ทอนันตราสามเหลี่ยมทองคำ ได้รับรางวัลระดับนานาชาติทั้งในด้านความหรูหรา ความยั่งยืน และการให้บริการ เช่น

  • รางวัล World Travel Awards: Asia’s Leading Luxury Lodge
  • การรับรองจาก Travelife Gold Certification ด้านความยั่งยืน
  • การรับรองจาก Elephant Welfare Association ด้านสวัสดิภาพสัตว์

ทั้งหมดนี้สะท้อนความมุ่งมั่นของแบรนด์อนันตราในการเป็น “จุดหมายปลายทางแห่งคุณค่า” ที่ทั้งยั่งยืนและน่าจดจำ

จองก่อน คุ้มก่อน – โอกาสพักผ่อนที่ดีที่สุดของปี

โปรโมชั่น “Exclusive Resident Offer” นี้เปิดให้จองตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สำหรับการเข้าพักระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 31 ตุลาคม 2568 เท่านั้น ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือจองโดยตรงได้ที่โทร. 053-784-084 หรือ  เว็บไซต์ www.anantara.com/th/golden-triangle-chiang-rai

สรุป: หากคุณมองหาประสบการณ์การพักผ่อนที่ไม่ใช่แค่การ “พัก” แต่คือการ “เชื่อมโยง” กับธรรมชาติ ชุมชน และตัวตนของคุณเอง — อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบที่สุดในปีนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Anantara Golden Triangle Official Website: Exclusive Residents Offer
  • Thailand Travel News: “Luxury in the Wild: Why Anantara Golden Triangle Redefines Eco-Luxury”, 2024
  • Travelife Sustainability Certification Directory
  • Elephant Welfare Association Accreditation (EWA), 2023
    (จัดทำโดยทีมข่าว นครเชียงรายนิวส์)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เชียงรายชู ‘Healing Mind Camping’ ดึงนักท่องเที่ยวสายสุขภาพ สัมผัสธรรมชาติบำบัด

เชียงรายเปิดประสบการณ์ “Chiang Rai Healing Mind Camping” ดันเมืองสุขภาพ ต่อยอดท่องเที่ยวเชิงสุขภาวะ

เชียงราย, 27 มิถุนายน 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าเปิดประสบการณ์ใหม่แห่งการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาวะและจิตใจด้วยกิจกรรม “Chiang Rai Healing Mind Camping” ตอกย้ำการเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Chiang Rai Wellness City) โดยมีสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย เป็นเจ้าภาพหลักในการจัดงาน ณ WorldGrow Organic Farm ตำบลโป่งผา อำเภอแม่สาย พื้นที่เกษตรอินทรีย์ท่ามกลางธรรมชาติอันงดงามที่ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวสายแคมป์ปิ้งและคนรักสุขภาพ

ก้าวสำคัญ… เชียงรายสู่เมืองแห่งสุขภาพ

กิจกรรม Chiang Rai Healing Mind Camping ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญภายใต้โครงการ “พัฒนาเชียงรายเป็นเมืองแห่งสุขภาพ (Chiang Rai Wellness City)” โดยเน้นการสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ผสานสุขภาพกาย ใจ และความสัมพันธ์ของผู้คนเข้าไว้ด้วยกัน โดยในพิธีเปิดงานได้รับเกียรติจากนายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน ร่วมด้วยตัวแทนหน่วยงานรัฐ เอกชน ชุมชนท้องถิ่น และกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งในและนอกพื้นที่จำนวนกว่า 100 คน

กิจกรรมดังกล่าวยังเป็นการประชาสัมพันธ์ศักยภาพของเชียงรายในฐานะเมืองแห่งการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) พร้อมส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก และสนับสนุนผู้ประกอบการในท้องถิ่นให้เข้มแข็งผ่านกิจกรรมที่ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพของโลกยุคใหม่

จุดเด่นของกิจกรรม “Chiang Rai Healing Mind Camping”

จุดเด่นสำคัญของกิจกรรมในปีนี้ อยู่ที่การออกแบบประสบการณ์ให้ผู้เข้าร่วมได้ “สัมผัสธรรมชาติอย่างแท้จริง” พร้อมเสริมสร้างสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ โดยกิจกรรมที่จัดขึ้น ได้แก่

  • Walk Rally เดินป่าระยะใกล้ สัมผัสเส้นทางธรรมชาติ อากาศบริสุทธิ์ริมขอบแดนเหนือ
  • กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นรอบกองไฟ การพูดคุยแลกเปลี่ยน หรือ Workshop ด้านสุขภาวะที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดจากชีวิตประจำวัน
  • กิจกรรมแข่งขันเมนูเด็ด ครัวชาวแคมป์ เปิดโอกาสให้แต่ละกลุ่มสร้างสรรค์เมนูสุขภาพจากวัตถุดิบท้องถิ่น
  • กิจกรรม CSR เพื่อสังคม รวมพลังสร้างจิตสำนึกและความรับผิดชอบร่วมกันต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม
  • กิจกรรมมินิคอนเสิร์ตจากศิลปิน อย่าง “อภิมรมย์” และ “วรินทร์” ที่มาสร้างความบันเทิงและผ่อนคลายบรรยากาศให้แก่ผู้ร่วมงาน

ทุกกิจกรรมถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้หลีกหนีความวุ่นวายในเมืองใหญ่ มาสู่บรรยากาศที่เอื้อต่อการผ่อนคลาย ได้ฝึกสมาธิ รู้จักตนเองมากขึ้น และได้รับแรงบันดาลใจดีๆ ในการดูแลสุขภาพกายใจอย่างยั่งยืน

บทเรียนและแรงบันดาลใจใหม่… เพื่อสุขภาพที่ยั่งยืน

ผู้จัดกิจกรรมตั้งเป้าให้ “Chiang Rai Healing Mind Camping” ไม่ใช่เพียงกิจกรรมท่องเที่ยว แต่เป็น “ประสบการณ์” ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนเห็นความสำคัญของสุขภาพแบบองค์รวม ส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมชีวิตประจำวันให้หันมาใส่ใจตนเองและสังคมมากขึ้น

การผสมผสานความหลากหลายของกิจกรรม ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และความสัมพันธ์กับผู้อื่น จะช่วยให้ผู้เข้าร่วมเกิดแรงจูงใจ และพร้อมเปลี่ยนแปลงตนเองสู่เป้าหมายการมีชีวิตที่สมดุลและมีสุขภาพดีต่อไปในระยะยาว

ผลกระทบในระดับพื้นที่และทิศทางการพัฒนา

ความสำเร็จของกิจกรรมในปีนี้ นอกจากจะเสริมสร้างภาพลักษณ์ “เมืองแห่งสุขภาพ” ให้กับเชียงรายแล้ว ยังเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการขยายตลาด Wellness Tourism ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตสูงทั่วโลก ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระดับชุมชน เกิดการจ้างงานและสร้างรายได้หมุนเวียนในท้องถิ่น

จังหวัดเชียงรายตั้งเป้าเดินหน้าพัฒนาและจัดกิจกรรม Wellness Tourism อย่างต่อเนื่อง พร้อมประสานงานกับทุกภาคส่วน เพื่อสร้างแบรนด์เชียงรายให้เป็น “จุดหมายปลายทางสุขภาพ” ของประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • งานประชาสัมพันธ์ WorldGrow Organic Farm
  • Chiangrai Wellness City
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News