Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

แผนพัฒนาเวียงหนองหล่ม กรมชลฯ ยืนยันไม่กระทบสิ่งแวดล้อม พร้อมรับฟังชุมชน

กรมชลประทานชี้แจง “เวียงหนองหล่ม” ย้ำไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม—วางแผนแก้ขาดแคลนน้ำด้วยพื้นที่ 2 โซน อนุรักษ์–พัฒนา พร้อมรับฟังความเห็นชุมชน

เชียงราย, 18 กันยายน 2568 — กระแสวิพากษ์วิจารณ์บนสื่อสังคมออนไลน์กรณี “โครงการอนุรักษ์แบบกรมชลฯ คือการทำลายระบบนิเวศพื้นที่ลุ่มน้ำ” จุดประกายให้เกิดคำถามสำคัญต่อทิศทางการจัดการทรัพยากรน้ำของรัฐ โดยเฉพาะโครงการ พัฒนาแก้มลิงเวียงหนองหล่ม อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ซึ่งกำลังอยู่ในกระบวนการวางแผนพัฒนา ล่าสุด กรมชลประทาน (โครงการชลประทานเชียงราย) ออกแถลงชี้แจงย้ำเจตนารมณ์ว่า โครงการไม่ได้ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนหรือพื้นที่คุ้มครองตามกฎหมาย ไม่กระทบสิ่งแวดล้อมในลักษณะรุนแรง และได้กำหนด พื้นที่อนุรักษ์ กับ พื้นที่พัฒนาแหล่งน้ำ อย่างชัดเจนควบคู่การรับฟังความเห็นประชาชน

การชี้แจงครั้งนี้ไม่ใช่เพียง “ตอบโต้กระแส” หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนาสำคัญว่าด้วย สมดุลระหว่างการพัฒนาและการอนุรักษ์ บนพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ราว 14,000 ไร่ ซึ่งมีทั้งความหมายทางนิเวศและความจำเป็นด้านปากท้องของชุมชน

จุดตั้งต้นของปัญหา หนองน้ำตื้นเขิน–กักเก็บน้ำไม่ได้

เวียงหนองหล่มเป็นแอ่งรับน้ำธรรมชาติ เดิมอุดมไปด้วยพืชน้ำและสัตว์น้ำพื้นถิ่น แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเกิด ตะกอนสะสมและวัชพืชปกคลุมหนาแน่น ทำให้ความสามารถในการเก็บกักน้ำถดถอย ส่งผลกระทบต่อ น้ำอุปโภคบริโภคและน้ำเพื่อการเกษตร ในพื้นที่รอบข้าง

สถานการณ์นี้ถูกสะท้อนผ่าน นายกเทศมนตรีตำบลจันจว้า และ ผู้นำชุมชน ที่รวบรวมข้อเท็จจริงและความเดือดร้อนไปยังหน่วยงานรัฐ กระทั่งวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบ กรอบแผนพัฒนา–อนุรักษ์–ฟื้นฟูกว๊านพะเยาและเวียงหนองหล่ม และมอบหมายให้กรมชลประทานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนพัฒนาเชิงระบบเพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำให้ประชาชน

ใจความสำคัญ “ทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำกลับมาทำหน้าที่กักเก็บ–ชะลอน้ำ และเป็นแหล่งน้ำดิบให้ชุมชน โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและวิถีชุมชนดั้งเดิม”

กรอบดำเนินงาน ศึกษาผลกระทบ–แบ่งโซน–รับฟังชุมชน

กรมชลประทานระบุว่า ก่อนกำหนดแนวทางพัฒนา ได้จัดทำ รายงานศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Reconnaissance Study Report) เพื่อตรวจสอบสถานภาพพื้นที่และความเสี่ยงเชิงนิเวศ ผลเบื้องต้นชี้ว่า พื้นที่โครงการไม่ทับซ้อนป่าสงวนแห่งชาติหรือพื้นที่คุ้มครองตามกฎหมาย และ “ไม่มีผลกระทบเชิงนิเวศในลักษณะรุนแรง” หากดำเนินการตามกรอบมาตรการที่กำหนด

เพื่อลดความกังวลและเพิ่มความโปร่งใส โครงการกำหนด 2 โซนหลัก ดังนี้

  1. โซนอนุรักษ์ – พื้นที่ที่ชุมชนร้องขอให้คงสภาพธรรมชาติ เช่น “ป่าโกงกางน้ำจืด” (Freshwater mangrove) ซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์น้ำ–นกน้ำ และพืชเฉพาะถิ่น โซนนี้จะ ไม่นำเครื่องจักรเข้าไปรบกวน และจะมีมาตรการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ–ความหลากหลายชีวภาพอย่างสม่ำเสมอ
  2. โซนพัฒนาแหล่งน้ำ – พื้นที่ที่จะดำเนินการ ขุดลอกตะกอน จัดเก็บพื้นที่รับน้ำ สร้าง อาคารระบายน้ำ–ฝายทดน้ำ–ระบบส่งน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักและกระจายน้ำให้เพียงพอครัวเรือนและเกษตรกรรม โดยคำนึงถึงทางน้ำเดิม แก้มลิงตามธรรมชาติ และการเชื่อมโยงลุ่มน้ำสาขา

นอกจากการแบ่งโซน โครงการยังยืนยันว่ามี เวทีรับฟังความคิดเห็น จากประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่อีกหลายรอบ เพื่อเก็บข้อมูลประกอบการออกแบบในรายละเอียด—ตั้งแต่ระดับระดับน้ำที่เหมาะสม พื้นที่หลบอาศัยสัตว์น้ำ แปลงพืชอาหารของชุมชน ไปจนถึงตำแหน่งพื้นที่สาธารณะ

เวียงหนองหล่ม” ในสายตาชุมชน ความหวังเรื่องน้ำ กับความกังวลเรื่องธรรมชาติ

เมื่อสืบคำบอกเล่าในพื้นที่ พบสองอารมณ์ที่ดำเนินควบคู่กัน—ความหวัง ว่าชุมชนและเกษตรกรจะมีน้ำเพียงพอมากขึ้น ลดต้นทุนขุดบ่อและซื้อน้ำในหน้าแล้ง และ ความกังวล ว่าการก่อสร้างจะกระทบพื้นที่อาหารของสัตว์น้ำและนกน้ำที่ชาวบ้านคุ้นชิน

การออกแบบเชิง “อยู่ร่วม” จึงเป็นโจทย์กลางของกรมชลประทาน นั่นคือ การยอมรับว่าพื้นที่ชุ่มน้ำไม่ใช่แค่อ่างเก็บน้ำ แต่เป็น ระบบนิเวศ ที่ต้องรักษาจังหวะน้ำขึ้น–ลง เส้นทางอพยพของปลา และพืชน้ำที่ทำหน้าที่ ดูดซับสารอาหาร เพื่อคุณภาพน้ำที่ดี

มาตรการเบื้องต้นที่ถูกหยิบยกในการชี้แจง ได้แก่

  • คงพื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญ เป็นเขตอนุรักษ์—งดงานก่อสร้าง–งดเรือเครื่อง–จำกัดการเข้าถึง
  • กำหนดระดับน้ำเชิงนิเวศ (Environmental Flow) ให้ใกล้เคียงสภาพธรรมชาติในฤดูกาลต่าง ๆ
  • ทำแนวกันชน (Buffer) รอบโซนอนุรักษ์ ลดการรบกวนของเสียง–ตะกอน–กิจกรรมท่องเที่ยว
  • ทำทางผ่านสัตว์น้ำ/ช่องเปิด ที่โครงสร้าง เพื่อรักษาการไหลเวียนและการขยายพันธุ์
  • เฝ้าระวังคุณภาพน้ำ–ชีวภาพ ก่อน–ระหว่าง–หลังดำเนินงาน พร้อมเผยแพร่ผลอย่างสม่ำเสมอ

ก้าวย่างนโยบาย จาก “น้ำพอเพียง” สู่ “น้ำอย่างยั่งยืน”

ความสำคัญของเวียงหนองหล่มไม่ได้อยู่แค่พื้นที่ 14,000 ไร่ แต่คือการเป็น ต้นแบบ การจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำของท้องถิ่นที่มีบทบาท “สองหน้าที่”—แก้มลิงรับน้ำ และ ระบบนิเวศอาหาร สำหรับชุมชน

หากการพัฒนาเดินตามกรอบ สองโซน อย่างมีวินัย ผลลัพธ์เชิงเศรษฐกิจ–สังคมที่คาดหวังคือ

  • ความมั่นคงน้ำชุมชน ลดความเสี่ยงน้ำแล้ง น้ำท่วมเฉียบพลัน เพิ่มความเชื่อมั่นการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง
  • ต้นทุนเกษตรลดลง เข้าถึงน้ำใกล้แปลง ลดค่าเครื่องสูบน้ำ–ค่าน้ำมัน และเพิ่มรอบปลูกที่เหมาะสม
  • ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ–เรียนรู้ หากโซนอนุรักษ์รักษาคุณค่าไว้ได้ พื้นที่ศึกษาธรรมชาติ นกน้ำ และพืชน้ำจะกลายเป็นฐานกิจกรรมของโรงเรียน–ชุมชน (โดยไม่รบกวนระบบนิเวศ)
  • ทุนสังคม–สิ่งแวดล้อม เมื่อคนในพื้นที่เห็นประโยชน์จากการรักษาพื้นที่ชุ่มน้ำ ก็มีแรงจูงใจร่วมดูแลในระยะยาว

อย่างไรก็ดี ความยั่งยืนจะเกิดขึ้นจริงได้ต่อเมื่อ การกำกับติดตาม เข้มแข็ง—ทั้งจากรัฐ นักวิชาการ และภาคประชาชน—และมี กลไกสื่อสารข้อมูล ที่ต่อเนื่อง โปร่งใส ตรวจสอบได้

วิเคราะห์เชิงนโยบาย คำตอบของ “สมดุล” อยู่ที่วินัยการปฏิบัติ

การชี้แจงของกรมชลประทานครั้งนี้ตอบโจทย์ หลักการ ได้พอสมควร—ยืนยันไม่อยู่ในเขตคุ้มครอง, ศึกษาผลกระทบเบื้องต้น, แบ่งโซนอนุรักษ์–พัฒนา, รับฟังชุมชน—แต่ ความท้าทาย ยังอยู่ที่ “การลงมือทำ” ที่ต้องรักษาวินัย 4 ประการ

  1. วินัยด้านนิเวศ – การยึดมั่นกรอบโซนอนุรักษ์อย่างเคร่งครัด ไม่ขยายงานก่อสร้างเข้าไปในพื้นที่เปราะบาง แม้ภายหลังจะเกิดแรงกดดันเรื่องประสิทธิภาพกักเก็บน้ำ
  2. วินัยด้านวิศวกรรม–ข้อมูล – ออกแบบระดับน้ำและทางไหลให้สอดคล้องฤดูกาล ขณะที่ เก็บข้อมูลชีวภาพ–คุณภาพน้ำ อย่างต่อเนื่องเพื่อปรับแผนตามหลักฐาน (adaptive management)
  3. วินัยด้านการมีส่วนร่วม – ตั้งคณะกรรมการพื้นที่ที่มี ตัวแทนชุมชน–องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น–นักวิชาการ ร่วมกำกับติดตาม พร้อม แพลตฟอร์มออนไลน์ ที่เผยแพร่ข้อมูลรายไตรมาสให้สาธารณะเข้าถึง
  4. วินัยด้านกฎหมาย–ธรรมาภิบาล – ทุกขั้นตอนต้องสอดคล้องกฎหมายสิ่งแวดล้อม–ผังเมือง–แหล่งน้ำ และเปิดเผยสัญญา–วงเงิน–ผู้รับจ้าง–ผลตรวจรับอย่างโปร่งใส เพื่อป้องกันข้อครหาในอนาคต

เมื่อทั้ง 4 วินัยถูกยึดถือจริง ความขัดแย้ง ระหว่างฝ่ายห่วงนิเวศกับฝ่ายห่วงน้ำกิน–น้ำใช้จะถูกคลี่คลายสู่ พื้นที่กลาง ที่จับต้องได้

เสียงสะท้อนที่ต้องฟัง คำถามเชิงสร้างสรรค์จากสังคม

กระแสในโลกออนไลน์ แม้บางส่วนจะตีความแรง แต่ก็สะท้อนความห่วงใยของสาธารณะต่อพื้นที่ชุ่มน้ำ โครงการเวียงหนองหล่มจึงควรรับ “คำถามสร้างสรรค์” เหล่านี้ไว้ประกอบการดำเนินงาน

  • จะวัดความสำเร็จอย่างไร นอกจากปริมาณกักเก็บน้ำ? ตัวชี้วัดด้านนิเวศ เช่น ชนิดสัตว์น้ำ–นกน้ำที่พบ, พื้นที่พืชน้ำสำคัญ, คุณภาพน้ำเฉลี่ยรายฤดู ควรถูกรายงานคู่กัน
  • กิจกรรมเศรษฐกิจบนพื้นที่ชุ่มน้ำ จะจัดระเบียบอย่างไรไม่ให้รุกล้ำโซนอนุรักษ์? เช่น การเพาะเลี้ยงปลาในกระชัง การท่องเที่ยวเรือถีบ
  • ภาวะน้ำแล้ง–ฝุ่นควัน ภาคเหนือจะถูกบูรณาการแผนอย่างไรกับโครงการนี้? เช่น การใช้พื้นที่ชุ่มน้ำเป็นแหล่งชะลอเถ้าฝุ่น/เพิ่มความชื้นในพื้นที่โดยรอบ
  • เยาวชน–โรงเรียน จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ–ความหลากหลายชีวภาพได้อย่างไร เพื่อสร้างความเป็นเจ้าของร่วม

คำถามเหล่านี้หากได้รับคำตอบผ่าน เวทีสาธารณะ และ รายงานความคืบหน้าเป็นระยะ จะช่วยยกระดับความไว้วางใจ และทำให้โครงการเดินหน้าอย่างมีฉันทามติ

พูดให้ชัด โครงการนี้ “ไม่ใช่การถม–ปิด–ตัดขาดธรรมชาติ”

สารที่กรมชลประทานต้องการสื่อมีอยู่ 3 ประเด็น

  1. ไม่ใช่การปิดพื้นที่ชุ่มน้ำ แต่คือการ ปรับปรุงประสิทธิภาพกักเก็บ ในโซนที่เหมาะสม พร้อม คงพื้นที่อนุรักษ์ ตามที่ชุมชนร้องขอ
  2. ไม่ทับซ้อนป่าสงวน/พื้นที่คุ้มครอง และ ผ่านการศึกษาผลกระทบเบื้องต้น แล้ว
  3. มีกลไกรับฟังความคิดเห็น และจะเดินหน้าอย่างรอบคอบ หลักฐานตั้งต้นคือมติ ครม. ปี 2564 ที่กำหนดให้บูรณาการหน่วยงานหลายส่วน ทั้งการอนุรักษ์และการพัฒนา

ถ้อยแถลงนี้หากแปรเป็น “ภาคปฏิบัติ” อย่างซื่อสัตย์ โครงการเวียงหนองหล่มย่อมเป็นได้ทั้ง แหล่งน้ำหล่อเลี้ยงชุมชน และ ห้องเรียนธรรมชาติ ของเชียงราย

สมดุลที่ต้องทำให้เห็น—ไม่ใช่แค่พูดให้ฟัง

กรณีเวียงหนองหล่มสะท้อนโจทย์ร่วมของสังคมไทย—เราจะพัฒนาทรัพยากรน้ำอย่างไม่ทำลายธรรมชาติได้อย่างไร คำตอบจากเอกสารและเวทีชี้แจงวันนี้ คือ การจัดโซน–การศึกษาผลกระทบ–การมีส่วนร่วมของชุมชน แต่สิ่งที่จะชี้ชัดคือ การลงมือทำอย่างมีวินัยและโปร่งใส ในวันพรุ่งนี้

หากเชียงรายทำสำเร็จ เวียงหนองหล่มจะกลายเป็น ต้นแบบการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำแบบ “สองโซน–สองคุณค่า” ที่ทั้งดูแลปากท้องและรักษาธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็เป็นบทเรียนว่าความไว้วางใจสาธารณะเกิดขึ้นได้จาก ข้อมูลที่เปิดเผย–กลไกตรวจสอบ–และผลสัมฤทธิ์จริง เท่านั้น

“น้ำพอเพียงกับธรรมชาติสมบูรณ์—ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่คือสองด้านของเหรียญเดียวกัน ที่ต้องขัดเกลาให้กลมกลืนด้วยข้อมูลและวินัย”

กล่องข้อมูลโครงการ (Key Facts)

  • ชื่อโครงกา โครงการพัฒนาแก้มลิงเวียงหนองหล่ม พร้อมอาคารประกอบ
  • ที่ตั้ง ตำบลจันจว้า อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
  • ขนาดพื้นที่ ประมาณ 14,000 ไร่ (พื้นที่ชุ่มน้ำธรรมชาติเดิม)
  • ปัญหาหลัก ตื้นเขิน–วัชพืชหนาแน่น ทำให้กักเก็บน้ำไม่ได้เพียงพอ
  • มติ ครม. 18 พฤษภาคม 2564 เห็นชอบกรอบแผนพัฒนาอนุรักษ์–ฟื้นฟูกว๊านพะเยาและเวียงหนองหล่ม
  • กรอบดำเนินงาน ศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Reconnaissance Study), แบ่ง โซนอนุรักษ์ และ โซนพัฒนาแหล่งน้ำ, รับฟังความคิดเห็นประชาชน
  • มาตรการหลัก ขุดลอกในโซนพัฒนา, ก่อสร้างอาคารระบายน้ำ–ฝายทดน้ำ–ระบบส่งน้ำ, จัดทำแนวกันชนและเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ–ความหลากหลายชีวภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมชลประทาน – โครงการชลประทานเชียงราย
  • มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 18 พฤษภาคม 2564
  • เทศบาลตำบลจันจว้า และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

ป่าไทยลด 0.03% สัญญาณเตือนถึงเชียงรายและเศรษฐกิจสีเขียวทั้งภาคเหนือ

เชียงรายเปิดหน้าต่างเศรษฐกิจสีเขียว เมื่อ “ป่าลดลงเพียง 0.03%” สะเทือนโซ่อุปทานทั้งภาคเหนือ และส่งสัญญาณถึงทั้งประเทศ

เชียงราย, 17 กันยายน 2568 — เช้าวันฝนโปรยบาง ๆ ที่ดอยตุง นักท่องเที่ยวหยุดยืนมองทะเลหมอกในมุมเดิม แต่เรื่องเล่าที่เปลี่ยนไปคือสถิติ “พื้นที่ป่าไม้ประเทศไทยปี 2567” ซึ่งชี้ว่าประเทศมีพื้นที่ป่า คิดเป็น 31.46% ของแผ่นดิน หรือ ราว 101.78 ล้านไร่ ลดลงจากปีก่อน –0.03% (หรือ ประมาณ 32,884 ไร่). ตัวเลขเพียงเศษเสี้ยวเปอร์เซ็นต์อาจดูเล็กน้อยในข่าวรายวัน หากมองด้วยสายตาของเศรษฐกิจฐานทรัพยากร โดยเฉพาะเมืองชายขอบอย่าง เชียงราย ที่รายได้ท่องเที่ยว เกษตรบนพื้นที่สูง อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ตลอดจนคุณภาพน้ำต้นลำน้ำกก–อิง ล้วนผูกกับผืนป่า “ความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ” นี้กำลังทดสอบภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจของทั้งจังหวัดและภาคเหนือ

สถิติเชิงโครงสร้าง ทศวรรษที่ป่าเพิ่มไม่ทันป่าที่หายไป

ภาพรวม 10 ปี (พ.ศ. 2558–2567) ประเทศไทยมี “ป่าเพิ่ม” 331,951.68 ไร่ แต่ “ป่าลด” 832,080.72 ไร่ สะท้อนความจริงเชิงโครงสร้างว่า ความพยายามฟื้นฟูยังไล่ไม่ทันแรงกดดันจากการใช้ที่ดินและภัยเสี่ยงเดิม ๆ

เหตุผลของการ “เพิ่มขึ้น” มาจาก

  • การขยายตัวของป่าไม้ตามธรรมชาติ
  • การปลูกป่าเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
  • การปลูกป่าเพื่ออนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ

เหตุผลของการ “ลดลง” ได้แก่

  • การเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ที่ดินจากป่าไปเป็นกิจกรรมอื่น
  • ไฟป่า ซึ่งยังเป็นความเสี่ยงเดิมที่กำเริบซ้ำ
  • โครงการพัฒนาที่ใช้พื้นที่ป่า ซึ่งแม้มีวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจสังคม แต่กระทบ “ทุนธรรมชาติ” ต้นทาง

มุมมองเศรษฐกิจ กระดูกสันหลังรายได้

  1. ต้นทุน–ผลตอบแทนของผืนป่าต่อเศรษฐกิจเชียงราย
    เชียงรายเป็นหนึ่งในฐานเศรษฐกิจท่องเที่ยว–เกษตรคุณภาพของภาคเหนือ โครงข่ายแหล่งน้ำจากพื้นที่ป่าต้นน้ำหล่อเลี้ยงการปลูกชา–กาแฟ–ผลไม้เมืองหนาวและเกษตรอินทรีย์ที่กำลังโตในหุบเขา การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ชุมชนชาติพันธุ์ และเส้นทาง “ซิตี้วอล์กธรรมชาติ” กลายเป็นรายได้กระจายสู่โฮมสเตย์ รถรับจ้าง ร้านอาหารท้องถิ่น และหัตถกรรม. เมื่อป่าหายไปทีละน้อย โซ่อุปทานนี้เผชิญ ต้นทุนแฝง ทั้งความเสี่ยงน้ำหลาก–แล้งยาว คุณภาพอากาศช่วงฤดูร้อน และค่าใช้จ่ายดูแลสุขภาพนักท่องเที่ยวที่สูงขึ้น ซึ่งล้วน “กัดกำไร” แบบไม่ส่งเสียง
  2. ความเสี่ยงไฟป่ากับต้นทุนควัน
    แม้สถิติปีล่าสุดชี้ว่าประเทศลดลงสุทธิเล็กน้อย แต่ ภาคเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่สูงยังแบกรับความเสี่ยงไฟป่าและหมอกควันทุกปี ต้นทุนธุรกิจท่องเที่ยวฤดูแล้ง–ร้อนของเชียงราย (ตั้งแต่ยกเลิกทริป ไปจนถึงประกันสุขภาพนักเดินทาง) แปรผันตาม “จำนวนวันคุณภาพอากาศดี” ซึ่งขึ้นกับความสามารถในการควบคุมไฟป่าและการจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่ป่าและพื้นที่กันชน
  3. โอกาสทางเศรษฐกิจจากป่า
    ในอีกด้าน ป่าที่ “คงอยู่และเพิ่มขึ้น” กำลังกลายเป็นสินทรัพย์เศรษฐกิจใหม่ ทั้ง อุตสาหกรรมท่องเที่ยวยั่งยืน (eco–experience), เกษตร–วนเกษตรมูลค่าสูง (ชา–กาแฟพืชพื้นถิ่น), แนวทาง การชำระค่าสบริการระบบนิเวศ (Payments for Ecosystem Services) และ ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ ที่เริ่มได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการท้องถิ่น. สำหรับเชียงราย เมืองที่แบรนด์ “อากาศดี–ธรรมชาติสวย–วัฒนธรรมเข้ม” คือห่วงโซ่มูลค่าหลัก การรักษาผืนป่าจึงไม่ใช่เรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างเดียว แต่คือ ยุทธศาสตร์สร้างรายได้.
  4. ความสามารถแข่งขันระดับจังหวัด
    ข้อมูลจังหวัดที่ “ป่าเพิ่มขึ้น” เช่น พะเยา น่าน แพร่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และหลายจังหวัดภาคกลาง–ตะวันออก สะท้อนบทเรียนว่าการจัดการป่าแบบมีส่วนร่วมและการวางแผนใช้ที่ดินเชิงพื้นที่ช่วย “อุดรอยรั่ว” ได้จริง จังหวัดที่ทำสำเร็จสามารถต่อยอดสู่ เศรษฐกิจสีเขียว ตั้งแต่สินค้า GI–เชิงวัฒนธรรม ไปถึงท่องเที่ยวโลว์คาร์บอน. เชียงรายซึ่งตั้งอยู่ระหว่างโหนดท่องเที่ยวสำคัญ (ดอยตุง–แม่สาย–แม่ฟ้าหลวง–แม่จัน–แม่สาย) ยิ่งต้องเร่ง “เปลี่ยนความได้เปรียบด้านภูมิประเทศให้เป็นความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ” ผ่านการรักษาผืนป่า

เชียงรายในสมการภาคเหนือ ที่ต้องชัด

แม้รายชื่อจังหวัดที่ “ป่าเพิ่ม” ปีล่าสุดจะไม่ได้ระบุ เชียงราย แต่บริบทของจังหวัดก็นั่งอยู่ใจกลางโจทย์ของภาคเหนือซึ่งยัง สูญเสียพื้นที่ป่ามากที่สุด โดยสรุปภาคเหนือมีพื้นที่ป่าคิดเป็น 63.19% ของทั้งภูมิภาค (ประมาณ 37.95 ล้านไร่) แต่ ลดลงถึง 29,883.91 ไร่ ในปี 2567 — ตัวเลขนี้คือสัญญาณเตือนตรงถึงเชียงรายว่า “ภูมิภาคที่เราอยู่กำลังเสียแต้ม”

สามเหตุผลที่เชียงรายต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ

  • แหล่งน้ำต้นทุนเศรษฐกิจ ลุ่มน้ำกก–อิง–โขงตอนบนรับน้ำจากป่าอนุรักษ์ในอำเภอแม่ฟ้าหลวง แม่สาย แม่จัน ไกลไปถึงแนวชายแดน หากพื้นที่ป่ากันชนบางลง ความเสถียรของน้ำเพื่อเกษตร–ท่องเที่ยว–อุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่มย่อมผันผวน
  • คุณภาพอากาศ = ความเชื่อมั่นท่องเที่ยว รีวิว–การตัดสินใจของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ผูกกับดัชนีอากาศดี (AQI). เมืองที่ควบคุมไฟป่าและควันได้ จะกลายเป็น “เดสติเนชันหน้าร้อน” ของครอบครัว–นักกีฬา–นักเดินป่า ซึ่งใช้จ่ายสูงกว่าค่าเฉลี่ย
  • การเงินสีเขียวกำลังไหลสู่ท้องถิ่น โครงการปลูกป่า/ดูแลเชื้อเพลิง–คาร์บอนเครดิต–ธุรกิจท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ เริ่มมีสถาบันการเงิน–บริษัทรายใหญ่สนับสนุน. เชียงรายที่มีเครือข่ายชุมชนเข้มแข็งสามารถเป็น “พอร์ตโฟลิโอต้นแบบ” ดึงเงินลงทุนสีเขียวเข้าสู่หมู่บ้านหุบเขา

ทางปฏิบัติที่จับต้องได้สำหรับเชียงราย

  • จัด ผังใช้ที่ดินระดับตำบล–ลุ่มน้ำย่อย ที่กั้น “แนวกันชนชุมชน–ป่า” ชัดเจน และกำหนดโควตาเชื้อเพลิงเพลิงไฟ (fuel management) รายฤดูกาล
  • ยกระดับ วนเกษตรมูลค่าสูง (ชา–กาแฟ–แมคคาเดเมีย–ผลไม้เมืองหนาว) ควบคู่มาตรฐานสิ่งแวดล้อม เพื่อวางตำแหน่งราคาพรีเมียม
  • สร้าง เส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ (city walk–ปั่นจักรยาน–เดินป่าเบา ๆ) เชื่อมพิพิธภัณฑ์ ศิลปะร่วมสมัย และวิถีชาติพันธุ์ โดยตั้งเป้าการใช้จ่ายต่อหัวเพิ่มผ่านแพ็กเกจประสบการณ์
  • พัฒนาระบบ ข้อมูลไฟป่า–เชื้อเพลิง แบบเรียลไทม์สำหรับผู้ประกอบการท่องเที่ยว/เกษตร เพื่อวางแผนฤดูกาล–กิจกรรม ลดความเสี่ยงยกเลิกการเดินทา

ภาพใหญ่ที่เชียงรายต้องร่วมขับเคลื่อน

ภาคเหนือระดับภูมิภาคปี 2567 มีสัญญาณผสม — ป่ามากในสัดส่วนพื้นที่ แต่ยัง ลดลงสุทธิ มากที่สุด. เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น

  • ภาคตะวันตก มีป่า 58.82% ของพื้นที่ภูมิภาค และ ลดลง 12,448.71 ไร่
  • ภาคใต้ มีป่า 24.33%, ลดลง 5,224.55 ไร่
  • อีสาน มีป่า 14.89%, ลดลง 732.61 ไร่
  • ภาคตะวันออก มีป่า 21.84%, เพิ่มขึ้น 4,373.59 ไร่
  • ภาคกลาง มีป่า 21.57%, เพิ่มขึ้น 11,032.01 ไร่

บทเรียนของภาคกลาง–ตะวันออกคือ “การจัดการเชิงพื้นที่–สิทธิประโยชน์ทางเศรษฐกิจ” ทำให้ป่ากลับมาได้จริง ทั้งจากการฟื้นตัวธรรมชาติและการปลูกป่าเศรษฐกิจ–อนุรักษ์. ภาคเหนือสามารถยืมเครื่องมือเดียวกัน แต่ต้องเสริมด้วย นวัตกรรมจัดการเชื้อเพลิง–ไฟป่า และทางเลือกทำกินช่วงหน้าแล้ง เพื่อตัดวงจรไฟซ้ำซาก

สัญญาณต่างจังหวัด–บททดสอบมหานคร

ในระดับประเทศ จังหวัดที่ป่าเพิ่มขึ้น ครอบคลุมทั้งเหนือ–กลาง–อีสาน–ตะวันออก เช่น พะเยา น่าน แพร่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ อุทัยธานี ชัยนาท ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง นครปฐม ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา สระแก้ว ชลบุรี ระยอง ชุมพร สตูล หนองคาย บึงกาฬ ชัยภูมิ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด นครราชสีมา บุรีรัมย์ และสุรินทร์ — แสดงให้เห็นว่าการเพิ่มพื้นที่ป่า “ทำได้ในหลายภูมิประเทศ” เมื่อมีเป้าหมายร่วมและเครื่องมือเหมาะสม

อย่างไรก็ตาม ประเทศยังมี สองจังหวัดที่ไม่พบพื้นที่ป่าเลย ได้แก่ นนทบุรี และ ปทุมธานี. นี่คือโจทย์ของมหานครที่ต้องสร้าง สมดุลระหว่างความหนาแน่นเมืองกับพื้นที่สีเขียวสาธารณะ–ป่าเมือง และเชื่อมโยงกับการลดความร้อนเกาะเมือง/คุณภาพอากาศ ซึ่งสุดท้ายสะท้อนกลับไปยังความสามารถดึงดูดนักลงทุน–แรงงานทักษะ

จากกราฟตัวเลขสู่เส้นทางออก

ตัวเลข –0.03% ในปีเดียว อาจไม่ทำให้ระบบเศรษฐกิจล้มครืน แต่ “ทิศทาง 10 ปีที่ป่าลดยังมากกว่าเพิ่ม” คือสัญญาณว่าประเทศต้อง เปลี่ยนเกียร์. สำหรับเชียงราย ปมที่ต้องคลี่คือ “จะเปลี่ยนข้อได้เปรียบจากภูมิประเทศ ให้เป็น ข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน แบบยั่งยืนได้อย่างไร”

แนวทางเชิงยุทธศาสตร์ที่สามารถเดินได้ทันที

  1. วางแผนเศรษฐกิจบนฐานลุ่มน้ำ กำหนดโซนนิ่งกิจกรรมเศรษฐกิจ (เกษตร–ท่องเที่ยว–บริการ) พิงความสามารถของป่าต้นน้ำและอุทกวิทยา แทนการวางแผนตามเส้นแบ่งเขตการปกครอง
  2. ทำข้อตกลง “บริการระบบนิเวศ” ระหว่างเมือง–ดอย ผู้ประกอบการในเมืองร่วมจ่ายค่าดูแลป่า–เชื้อเพลิงผ่านกลไกกองทุนหรือเครดิต เพื่อแลกกับน้ำสะอาด–อากาศดีและแบรนด์เมืองสีเขียว
  3. เร่งมาตรฐานท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ โรงแรม–ทัวร์–คาเฟ่วิวป่าตั้ง KPI ด้านการจัดการขยะ พลังงานหมุนเวียน และการชดเชยคาร์บอน เชื่อมสินค้า GI–วัฒนธรรมชาติพันธุ์
  4. ยกระดับวนเกษตรเป็นอุตสาหกรรมภูมิภาค เชื่อมโซ่อุปทานชา–กาแฟ–ผลไม้เมืองหนาวกับโรงคั่ว–โรงแปรรูป–โลจิสติกส์เย็น เพื่อดันมูลค่าเพิ่มและลดแรงกดดันบุกรุกป่า
  5. ข้อมูลเปิด–แจ้งเตือนไฟป่าแบบใกล้ชิดธุรกิจ ตั้ง “แดชบอร์ดจังหวัด” ให้ผู้ประกอบการวางแผนกิจกรรม–กำลังคน และสื่อสารนักท่องเที่ยวแบบเรียลไทม์

เมื่อ “ป่ากลายเป็นทุน” เศรษฐกิจเชียงราย–ภาคเหนือ–ประเทศไทยจะปิดวงจรดีขึ้น ป่าสมบูรณ์→น้ำ–อากาศดี→ท่องเที่ยว–เกษตรคุณภาพ→รายได้ชุมชน–งบดูแลป่า→ป่ากลับมา. นี่คือสมการที่สร้าง ความมั่งคง–มั่งคั่ง–ยั่งยืน ได้พร้อมกัน

กล่องตัวเลขชวนคิด

  • พื้นที่ป่าประเทศไทย ปี 2567: 31.46% ของประเทศ หรือ ประมาณ 101,785,271.58 ไร่
  • การเปลี่ยนแปลงจากปี 2566: –0.03% (–32,884.18 ไร่)
  • สะสม 10 ปี (2558–2567): ป่า เพิ่ม 331,951.68 ไร่, ป่า ลด 832,080.72 ไร่
  • ภาคเหนือ: ป่า 63.19%, ลด 29,883.91 ไร่ (มากสุด)
  • ภาคกลาง: ป่า 21.57%, เพิ่ม 11,032.01 ไร่ (เพิ่มมากสุด)
  • จังหวัดไร้ป่า: นนทบุรี, ปทุมธานี

“ป่าลดลงเพียง –0.03%” อาจถูกเลื่อนผ่านสายตาในวันยุ่ง ๆ แต่สำหรับเชียงรายที่ยืนอยู่บนหัวใจของเศรษฐกิจสีเขียวภาคเหนือ มันคือคำถามใหญ่ของ รายได้และความน่าอยู่ ในอนาคตอันใกล้. ตัวเลขทศนิยมสองตำแหน่งกำลังบอกเราว่า ถึงเวลาต้องเลิกมองป่าเป็น “ฉากหลังท่องเที่ยว” แล้วเริ่มมองเป็น “สินทรัพย์ทางเศรษฐกิจที่ต้องบริหารแบบมืออาชีพ” — หากทำได้ เมืองปลายทางอย่างเชียงรายจะไม่เพียงรอดจากฤดูหมอกควัน แต่จะกลายเป็น ต้นแบบมหานครสีเขียวของภูมิภาค ที่ทำให้ “ธรรมชาติ” สร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างความภูมิใจให้คนในพื้นที่อย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม: ข้อมูลสัดส่วนและพื้นที่ป่าไม้ปี 2567, การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าไม้ 10 ปี, สถิติรายภูมิภาคและรายจังหวัด
  • มูลนิธิสืบนาคะเสถียร: รายงานสถานการณ์ป่าไม้และสิ่งแวดล้อมไทยปี 2567 และข้อมูลเชิงวิเคราะห์ด้านภัยคุกคาม–ไฟป่า
  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช: ข้อมูลเขตป่าอนุรักษ์ ภัยไฟป่า และมาตรการจัดการเชื้อเพลิง
  • สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.): กรอบนโยบายการพัฒนาคาร์บอนต่ำและบริการระบบนิเวศ
  • องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.): แนวทางท่องเที่ยวเชิงนิเวศ–คาร์บอนต่ำที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ภาคเหนือ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เชียงรายมีศักยภาพ “ดอยลังกาหลวง-ดอยช้าง” ติดท็อปเท็นภูเขาสูงสุดของไทย

เชียงรายชูศักยภาพภูเขา “ดอยลังกาหลวง–ดอยช้าง” ติดท็อปเท็นสูงสุดของไทย (เมื่อจัดจำแนกอย่างรอบด้าน) — เปิดความจริง-คลี่คลายความสับสนของตัวเลขและชื่อสถานที่ พร้อมข้อเสนอให้อัปเดตฐานข้อมูลทางการ

เชียงราย, 16 กันยายน 2568 — เมื่อพูดถึง “ภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย” หลายคนตอบได้ทันทีว่า ดอยอินทนนท์ สูง 2,565 เมตร แต่พอไล่ลำดับถัดไป หลายสำนักกลับให้ตัวเลขและชื่อยอดเขาไม่ตรงกัน—ดอยผ้าห่มปก บางที่ 2,285 เมตร บางที่ 2,296 เมตร, ยอดภูสอยดาว บางที่ 2,102 บางที่ 2,120 เมตร ขณะที่ชื่อ “ดอยช้าง” ก็ยิ่งชวนสับสน เพราะบางแหล่งหมายถึง “ยอดเขา” แต่บางแหล่งหมายถึง “ชุมชนและแหล่งปลูกกาแฟ” ที่ระดับสูงเฉลี่ย 1,000–1,700 เมตร ไม่ใช่ยอด 1,962 เมตรตามลิสต์บางแห่ง

รายงานชิ้นนี้ได้ข้อมูลสารตั้งต้นมาจากเพจ “สุดยอดแห่งสยาม” ทางสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์อยากชวนผู้อ่านสำรวจอย่างเป็นระบบว่า “อะไรจริง อะไรคลาดเคลื่อน” โดยยึดหลักฐานจากหน่วยงานรัฐและเอกสารอ้างอิงที่เชื่อถือได้เป็นแกนหลัก ให้เห็นภาพตั้งแต่นักท่องเที่ยวเชิงผจญภัย และชุมชนท้องถิ่น ใช้ข้อมูลเดียวกันในการวางแผน—ทั้งด้านความปลอดภัย การอนุรักษ์ และการพัฒนาการท่องเที่ยว

ปมสับสน ตัวเลขสูง–ต่ำต่างกันได้อย่างไร

ข้อเท็จจริงที่ยืนยันได้แน่น

  • ดอยอินทนนท์ สูง 2,565 เมตร — เป็นความสูง “ทางการ” ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยืนยันไว้ในเอกสารของกรมอุทยานฯ ว่าดอยอินทนนท์เป็นยอดสูงสุดของประเทศ (เอกสารสำนักอุทยานแห่งชาติ ระบุช่วงความสูงพื้นที่อุทยาน 400–2,565 เมตร และระบุชัดเจนว่าอินทนนท์เป็นยอดสูงสุดของไทย)
  • ดอยผ้าห่มปก ยอดสูงสุดของอุทยานแห่งชาติผ้าห่มปก ระดับ 2,285 เมตร (ข้อมูลหน้าอย่างเป็นทางการของอุทยาน)
  • ดอยหลวงเชียงดาว มีสองค่าที่ถูกใช้งานคู่ขนาน 2,225 เมตร (ใช้กว้างขวางในเอกสารและป้ายสื่อสารของไทย เช่น มูลนิธิสืบนาคะเสถียร) และค่าจากสารานุกรมสากลบางแหล่งที่ลง 2,175 เมตร — สะท้อนปัญหา “ค่ามาตรฐาน” คนละชุดที่ยังไม่ถูกเทียบมาตรฐานร่วมกัน
  • โมโกจู (อุทยานแห่งชาติแม่วงก์) ยืนยันสูงสุดของอุทยานที่ 1,964 เมตร บนหน้าอย่างเป็นทางการของกรมอุทยานฯ (ระบุชัดที่หัวข้อสภาพภูมิประเทศ)
  • ดอยภูคา (จ.น่าน) ระดับสูงสุด 1,980 เมตร อ้างอิงจากหน้าจองที่พัก/แนะนำอุทยานของกรมอุทยานฯ (NPS)

ยอดที่ยืนยันโดยฐานข้อมูลมาตรฐานและสารานุกรม

  • ดอยลังกาหลวง — ยอดสูงสุดของเชียงราย อยู่แนวเทือกลังกา–ขุนแจ ค่าความสูงที่ปรากฏซ้ำมากที่สุดคือ 2,031 เมตร (พบในสารานุกรมภูมิประเทศที่สรุปยอดเด่นของไทย ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลสื่อรัฐ/ท้องถิ่น)

ข้อสังเกตสำคัญ ตัวเลขความสูงที่ “ทางการ” รับรองกับตัวเลขจากฐานข้อมูลแผนที่/ชุมชน (เช่นสารานุกรมออนไลน์หรือฐานข้อมูลภูมิประเทศสากล) อาจต่างกันเพราะ (1) ระบบอ้างอิงระดับทะเล (datums) ต่างชุด, (2) ความละเอียดแบบจำลองภูมิประเทศ (DEM) ต่างความละเอียด และ (3) บางแหล่งนับ “ปุ่มยอด/สันเขาย่อย” เป็นยอดแยก ขณะที่รัฐนับเฉพาะยอดหลัก

ดอยลังกาหลวง, เชียงราย สูง 2,031 เมตร

เคสศึกษาเชียงราย “ดอยลังกาหลวง” ชัดเจน — “ดอยช้าง” ต้องระบุให้ตรง

ดอยลังกาหลวง — เสาหลักเหนือสุด

เชียงรายมีภูมิประเทศซับซ้อนเชื่อมเทือกเขาถนนธงชัยกับสันปันน้ำชายแดน ดอยลังกาหลวงจึงเป็น “เสาหลัก” ที่ยืนเด่นด้วยระดับกว่า 2 กิโลเมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ค่าที่พบซ้ำในแหล่งข้อมูลวิชาการ/สารานุกรมคือ 2,031 เมตร (และสอดคล้องกับสื่อราชการพื้นที่) ทำให้ดอยลังกาหลวงติดหนึ่งใน “คลับ 2,000+ เมตร” ของไทยร่วมกับอินทนนท์ ผ้าห่มปก และภูสอยดาว

แม้หน้าเว็บไซต์กลางของกรมอุทยานฯ จะไม่ได้ลงรายละเอียดความสูงยอดนี้ไว้ชัดเจนเท่าดอยยอดอื่น แต่ข้อมูลเชิงพื้นที่จากสื่อรัฐและชุมชนผู้เดินป่าระบุสอดคล้องกันมาอย่างยาวนาน จุดนี้สะท้อนโจทย์นโยบายสำคัญ—เราควรมีฐานข้อมูลยอดเขาทางการที่อัปเดตและค้นหาได้ง่าย เพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนของตัวเลขในสื่อสาธารณะ

ดอยช้าง, เชียงราย สูง 1,962 เมตร

ดอยช้าง — ชื่อเดียว หลาย “ที่”

ชื่อ “ดอยช้าง” เป็นปมใหญ่ของความสับสน เพราะในเชียงรายมี อย่างน้อย 2–3 จุด ที่ถูกเรียกว่า “ดอยช้าง” ในชีวิตประจำวัน

  1. ดอยช้าง” ในลิสต์ยอดเขาสูง (1,962 เมตร) — บางฐานข้อมูลภูมิประเทศของชุมชนผู้ปีนเขาระบุยอดชื่อ Doi Chang สูง 1,962 เมตร (มีพิกัดชัดเจน) แม้จะไม่ใช่เอกสารราชการ แต่เป็นหลักฐานแผนที่จากชุมชนที่ใช้กันกว้างขวางในแวดวงเดินเขา จึงมีคุณค่าทางข้อมูลเชิงสำรวจ (ควรใช้คู่กับข้อมูลราชการเพื่อความรัดกุม)
  2. ดอยช้าง” แหล่งปลูกกาแฟ–ท่องเที่ยววาวี (1,000–1,700 เมตร) — พื้นที่ บ้านดอยช้าง ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย เป็น “โลเคชันดังระดับโลก” สำหรับกาแฟอาราบิก้า ไม่ใช่ยอดเขา 1,962 เมตร โดยหน่วยงานรัฐด้านเกษตรระดับจังหวัดระบุชัดว่าเขตปลูกอยู่ที่ระดับ 1,000–1,700 เมตร ซึ่งอธิบายความต่างของตัวเลขกับ “ยอดดอยช้าง” ที่โผล่ในลิสต์ภูเขาสูงได้เป็นอย่างดี 
  3. ดอยช้างมูบ” (1,504 เมตร) — จุดชมวิวชายแดนไทย–เมียนมา ทางแม่ฟ้าหลวง/แม่สาย เป็นอีกชื่อที่ใกล้เคียงและทำให้คนทั่วไปเข้าใจปะปนกับ “ดอยช้าง” ในวาวีอยู่บ่อยครั้ง (แม้ความสูงจะต่างกันมาก)

บทเรียนจากดอยช้าง การสื่อสารชื่อภูมิประเทศในสื่อสาธารณะควร “ระบุพิกัด/อำเภอ–ตำบล” ควบคู่เสมอ โดยเฉพาะชื่อสามัญอย่าง “ดอยช้าง/ดอยผาหม่น/ผาหัวช้าง” ที่มีหลายแห่งทั่วยอดดอยของภาคเหนือ

รายชื่อยอดเด่น 

เมื่อ “จัดจำแนก” ด้วยหลักฐานภาครัฐควบคู่กับสารานุกรม/แหล่งข้อมูลมาตรฐาน จะได้ภาพรวมของยอดเด่นดังนี้

  • ดอยอินทนนท์ 2,565 ม. — สูงสุดของไทย (อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ยืนยันในเอกสารกรมอุทยานฯ)
  • ดอยผ้าห่มปก 2,285 ม. — ยอดสูงสุดของอช. ผ้าห่มปกและสูงอันดับ 2 ของประเทศตามสื่อราชการของอุทยานเอง
  • ดอยหลวงเชียงดาว 2,225/2,175 ม. — มีสองค่าที่ใช้จริง (มูลนิธิสืบฯ ระบุ 2,225 ม. ขณะที่สารานุกรมสากลลง 2,175 ม.) จึงควรระบุแหล่งอ้างอิงควบคู่ทุกครั้งที่เผยแพร่
  • ยอดภูสอยดาว 2,120/2,102 ม. — สื่อวิชาการ–สารานุกรมไทยนิยม 2,120 ม. ในขณะที่สื่อไทยบางแห่งใช้ 2,102 ม. (แนะนำให้อ้างแหล่งที่ใช้ตัวเลขอย่างชัดเจนทุกครั้ง)
  • ดอยลังกาหลวง 2,031 ม. — ยอดสูงสุดของเชียงรายตามสารานุกรมภูมิประเทศ (ภาครัฐยังไม่มีหน้าเว็บกลางระบุค่าความสูงนี้อย่างเป็นทางการ)
  • ดอยภูคา 1,980 ม. — อ้างอิงหน้า NPS ของกรมอุทยานฯ
  • โมโกจู 1,964 ม. — ยอดสูงของอช. แม่วงก์ (ข้อมูลทางการ)

หมายเหตุ ชื่ออย่าง “กิ่วแม่ปาน” ซึ่งบางลิสต์นำไปจัดรวมเป็น “ยอด 2,000 เมตร” แท้จริงคือ “เส้นทางศึกษาธรรมชาติ” ใกล้ยอดอินทนนท์ (ไม่ใช่ยอดเขาเอกเทศ) จึงไม่ควรนับเป็นยอดแยกตามธรรมเนียมภูมิประเทศสากล

ทำไม “จัดอันดับ 1–10” ถึงยาก?

เพราะวิธี “นับยอด” ต่างกัน หลายสำนักนับเฉพาะ “ยอดหลัก” (prominence สูง) ขณะที่บางสำนักนับ “สัน/ปุ่ม” ที่สูงเกินเกณฑ์ด้วย จึงทำให้ลำดับ 5–10 ขยับขึ้นลงได้ นี่ยังไม่นับความต่างของฐานข้อมูล DEM/การยึด datum คนละชุด และความคลาดเคลื่อนจากการอ่านค่าสูงสุดของ cell พิกเซล DEM ที่หยาบ–ละเอียดต่างกัน

จังหวัดเชียงราย เป็น 2 ใน 10 ภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย

ดอยลังกาหลวง และ ดอยช้าง ซึ่งเป็นยอดเขาสำคัญของจังหวัดเชียงราย ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 2 ใน 10 ภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย โดย ดอยลังกาหลวง ติดอันดับที่ 5 และ ดอยช้าง ติดอันดับที่ 8

จากข้อมูลล่าสุด ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย 10 อันดับแรก ประกอบด้วย

1 ดอยอินทนนท์, เชียงใหม่ 2,565 เมตร

2 ดอยผ้าห่มปก, เชียงใหม่ 2,285 เมตร

3 ดอยหลวงเชียงดาว, เชียงใหม่ 2,225 เมตร

4 ยอดภูสอยดาว, อุตรดิตถ์ 2,102 เมตร

5 ดอยลังกาหลวง, เชียงราย 2,031 เมตร

6 กิ่วแม่ปาน, เชียงใหม่ 2,000 เมตร

7 ดอยภูคา, น่าน 1,980 เมตร

8 ดอยช้าง, เชียงราย 1,962 เมตร

9 โมโกจู, กำแพงเพชร 1,950 เมตร

10 ดอยม่อนจอง, เชียงใหม่ 1,925 เมตร

ความโดดเด่นของดอยทั้งสองในจังหวัดเชียงรายนี้ นอกจากจะมีความสูงที่ติดอันดับแล้ว ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญและมีทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางไปสัมผัสความงามของธรรมชาติอยู่เสมอ

จากภูมิประเทศสู่การท่องเที่ยว ข้อมูลที่แม่นยำ = ความปลอดภัย + มูลค่าเศรษฐกิจ

ตัวเลขความสูงไม่ใช่เรื่อง “เอาไว้เถียงกันเท่านั้น” แต่มีผลต่อการสื่อสารความปลอดภัยและการบริหารจัดการท่องเที่ยวโดยตรง—ทั้งการประเมินสภาพอากาศ (ลม–ฝน–อุณหภูมิ), เวลาเดิน, ระดับความยากของเส้นทาง, การเตรียมอุปกรณ์ และการจำกัดจำนวนผู้เข้าพื้นที่อนุรักษ์ต่อวัน

  • กรณีโมโกจู (1,964 ม.) อช.แม่วงก์ระบุชัดเจนบนหน้าเว็บว่าเป็นยอดสูงสุดและบอกลักษณะภูมิประเทศ—ข้อมูลนี้ช่วยให้ผู้จัดการท่องเที่ยว/ไกด์กำหนดฤดูกาลเปิด–ปิดเส้นทาง และกำหนดมาตรการความปลอดภัยได้เหมาะสม
  • กิ่วแม่ปาน การสื่อสารให้ถูกต้องว่าเป็น “เส้นทางเรียนรู้” ใกล้ยอดอินทนนท์ ไม่ใช่ยอดเขาเอกเทศ ช่วยตั้งความคาดหวังนักท่องเที่ยวให้เหมาะสม และกระจายคนออกจากจุดเปราะบางทางนิเวศของยอดหลักได้ดีขึ้น
  • ดอยช้าง (วาวี) การยืนยันว่าพื้นที่ปลูกกาแฟอยู่ช่วง 1,000–1,700 เมตร ไม่ใช่ยอด 1,962 เมตร ช่วย “จัดวางผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยว” ให้ถูกที่ถูกทาง (เน้นวัฒนธรรมกาแฟ วิถีชุมชน วิวไร่บนไหล่เขาสูง) แทนการนำเสนอเป็น “จุดพิชิตยอด” ที่อาจเสี่ยงต่อความปลอดภัยและกระทบพื้นที่ป่าโดยไม่จำเป็น 

 ทำ “ฐานข้อมูลยอดเขาทางการ” กลางประเทศ

บทเรียนจากความสับสนของตัวเลขและชื่อสถานที่ชี้ไปที่โจทย์ร่วม 3 ประการ

  1. จัดทำฐานข้อมูล “ยอดเขาทางการ” กลางประเทศ — โดยหน่วยงานแกนกลาง เช่น กรมอุทยานฯ ร่วมกับกรมทรัพยากรธรณี/กรมแผนที่ทหาร เผยแพร่ชุดข้อมูลมาตรฐาน (ชื่อ–พิกัด–ระดับความสูง–prominence) พร้อมอธิบายที่มาของตัวเลขและระบบอ้างอิง (datum/DEM) อย่างโปร่งใส
  2. ระบุ “พิกัด + อำเภอ/ตำบล” ทุกครั้งในสื่อสาธารณะ — โดยเฉพาะชื่อสามัญที่ซ้ำกันในหลายจังหวัด เพื่อลดความเข้าใจผิด (กรณี “ดอยช้าง/ดอยผาหม่น/ดอยผ้าห่มปก–ดอยฝาง” เป็นต้น)
  3. ปรับคู่มือสื่อสารการท่องเที่ยว — แยก “ยอดเขา” ออกจาก “เส้นทาง/จุดชมวิว” ให้ชัดเจน (เช่นกิ่วแม่ปาน) และเน้นความพร้อมด้านความปลอดภัยตามมาตรฐานของแต่ละพื้นที่ (ฤดู–อุปกรณ์–การขออนุญาต–โควตา)

เชียงรายได้อะไรจาก “ข้อมูลที่ตรงกัน”

ในมหากาพย์ “จัดอันดับความสูง” ที่ต่างสำนักลงตัวเลขไม่ตรงกัน เชียงราย ได้รับบทเรียนสำคัญสองชั้น

  • ชั้นแรก—ภาพจำเชิงพื้นที่ ดอยลังกาหลวง 2,031 เมตร คือเสาหลักบนแผนที่ภาคเหนือที่ยืนยันทักษะผจญภัยขั้นสูงของจังหวัด ส่วน ดอยช้าง (วาวี) คือภูมิทัศน์วัฒนธรรมกาแฟระดับโลกที่ต้องเล่าให้ชัดว่าคือ “พื้นที่ไหล่เขา 1,000–1,700 เมตร” ไม่ใช่ยอด 1,962 เมตร เพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวให้ตรงประเด็น—ชุมชนได้ประโยชน์ นักท่องเที่ยวปลอดภัย
  • ชั้นที่สอง—โครงสร้างข้อมูลสาธารณะ ความต่างของตัวเลข ดอยหลวงเชียงดาว (2,225 กับ 2,175) หรือ ภูสอยดาว (2,120 กับ 2,102) สะท้อนความจำเป็นเร่งด่วนของ “ฐานข้อมูลยอดเขาทางการ” ที่ค้นหาได้ง่ายและอ้างอิงได้เหมือนกันทั่วประเทศ เพื่อยุติความสับสนและยกระดับความน่าเชื่อถือของข้อมูลท่องเที่ยว–ความปลอดภัยของไทยในสายตาโลก

ท้ายที่สุด—ตัวเลขคือ “ภาษาเดียวกัน” ระหว่างเจ้าหน้าที่ ผู้ประกอบการ นักเดินป่า และนักท่องเที่ยว หากเราพูดภาษาเดียวกันได้ ความเสี่ยงก็ลดลง โอกาสทางเศรษฐกิจการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพก็เพิ่มขึ้น และธรรมชาติบนสันเขาไทยจะถูกดูแลได้ดีขึ้นด้วยข้อมูลที่เที่ยงตรง

ดอยอินทนนท์, เชียงใหม่ สูง 2,565 เมตร

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช — เอกสารอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ระบุความสูงสูงสุดประเทศ 2,565 เมตร (สำนักอุทยานแห่งชาติ)
  • อุทยานแห่งชาติผ้าห่มปก (กรมอุทยานฯ) — ระบุยอดสูงสุด 2,285 เมตร และสถานะเป็นยอดสูงอันดับสองของไทย
  • อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ (กรมอุทยานฯ) — หน้าอย่างเป็นทางการ ระบุ “โมโกจู” สูง 1,964 เมตร เป็นยอดสูงสุดของอุทยาน (หัวข้อ Topographical features)
  • อุทยานแห่งชาติดอยภูคา (หน้า NPS ของกรมอุทยานฯ) — ระบุความสูงพื้นที่อุทยานและข้อมูลประกอบ (ยอด 1,980 เมตร)
  • มูลนิธิสืบนาคะเสถียร — บทความความรู้ ดอยเชียงดาว (ใช้ค่าความสูง 2,225 เมตรตามสื่อไทย)
  • สารานุกรม/รายการภูเขาไทย (วิกิพีเดียภาษาอังกฤษ “List of mountains in Thailand”) — ใช้ประกอบเทียบค่าที่ต่างกันของยอดเด่น (เช่น ดอยลังกาหลวง 2,031 ม., ดอยหลวงเชียงดาว 2,175 ม., ภูสอยดาว 2,120 ม.) ควรใช้อ้างอิงคู่กับแหล่งราชการทุกครั้ง
  • DNP 1362 (กรมอุทยานฯ)
  • สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย (กระทรวงเกษตรฯ) — บทความแนะนำ ดอยช้าง–ดอยวาวี ยืนยัน “ระดับความสูงพื้นที่ปลูกกาแฟ 1,000–1,700 เมตร” ใช้แยกจาก “ยอดดอยช้าง 1,962 ม.” ในฐานข้อมูลนักปีนเขาได้ชัดเจน
  • ฐานข้อมูลภูมิประเทศชุมชนผู้ปีนเขา (Peakery) — ระบุยอด Doi Chang 1,962 เมตร 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TRAVEL

สวนนงนุชยกระดับ! เปิดอาณาจักรพุทธศิลป์รวมองค์แทนพระพุทธเจ้าจากทั่วโลก

สวนนงนุชพัทยาเปิด “อาณาจักรแห่งการเรียนรู้พุทธศิลป์นานาชาติ” รวมองค์แทนพระพุทธเจ้า หวังปลูกฝังความรู้และศรัทธาให้เยาวชน

พัทยา, 15 กันยายน 2568 — สวนนงนุชพัทยาเดินหน้าวิสัยทัศน์ “อาณาจักรแห่งแหล่งเรียนรู้ครบวงจร” เปิดพื้นที่การเรียนรู้ด้านพระพุทธศาสนาอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการจัดสร้างและรวบรวม “องค์แทนพระพุทธเจ้า” จากหลากหลายประเทศ เพื่อให้ผู้มาเยือนได้ทำความเข้าใจความงดงามของพุทธศิลป์ในบริบทวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ขณะเดียวกันยังย้ำบทบาทสวนนงนุชในฐานะแหล่งท่องเที่ยวเชิงการศึกษาเคียงข้างสวนพฤกษศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม อาหารไทย และสวนสัตว์ปูนปั้น ซึ่งเป็น 5 เสาหลักของแผนพัฒนาเชิงเนื้อหาที่วางไว้

นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ยกเหตุผลสำคัญว่า โครงการนี้ตั้งใจ “ทำให้เด็กๆ เข้าถึงพระพุทธศาสนาในรูปแบบที่น่าสนใจ เข้าใจง่าย และเห็นความงามของพุทธศิลป์จากนานาชาติ” ด้วยความเชื่อว่าการเห็นของจริงในบริบทย่อส่วน จะช่วย “ปลูกฝังความรัก ความศรัทธา และความเข้าใจหลักคำสอนที่ถูกต้อง” ตั้งแต่วัยเยาว์ และติดตัวไปสู่การเรียนรู้ที่ลึกซึ้งขึ้นเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต (อ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารที่สอดคล้องกับข่าวเผยแพร่ล่าสุดของสวนนงนุชพัทยาและสื่อท้องถิ่น)

จาก “สวนสวย” สู่ “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต” โครงเรื่องที่สวนนงนุชอยากเล่า

เรื่องราวเริ่มที่คำถามง่ายๆ ว่า “เราจะทำให้พระพุทธศาสนาน่าสนใจสำหรับเด็กและคนรุ่นใหม่ได้อย่างไร” คำตอบของสวนนงนุชคือการยก “โลกของพุทธศิลป์” มาไว้ในพื้นที่เดียว ให้ผู้ชมเดินผ่านเรื่องเล่าเชิงสัญลักษณ์ รูปทรง และสุนทรียะ จากหลากหลายภูมิภาค แล้วเปรียบเทียบความเหมือนและความต่างด้วยสายตาตนเอง

แนวคิดนี้สอดรับกับทิศทางการเป็น “อาณาจักรแห่งการเรียนรู้ครบวงจร” ของสวนนงนุช ซึ่งมี 5 ด้านหลัก ได้แก่ สวนพฤกษศาสตร์ สวนสัตว์ปูนปั้น ศิลปวัฒนธรรม อาหารไทย และพระพุทธศาสนา โดยด้านสุดท้ายถูกต่อยอดให้ชัดเจนขึ้นผ่าน “องค์แทนพระพุทธเจ้า” ที่ทำหน้าที่เหมือนห้องเรียนภาคสนามกลางแจ้ง ผู้ชมจึงไม่ได้เพียง “ดู” หากแต่ “เชื่อมโยง” ข้อมูลศิลปะ ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์วัฒนธรรมเข้าด้วยกัน (ข้อมูลทิศทางจากเว็บไซต์สวนนงนุชและบทความแนะนำพิพิธภัณฑ์พุทธคุโณปการ)

ความคืบหน้าโครงการ 5 องค์แล้วเสร็จ และ 11 องค์อยู่ระหว่างดำเนินการ

สวนนงนุชระบุว่า ขณะนี้ได้จัดสร้างองค์แทนพระพุทธเจ้าจากนานาชาติแล้ว 5 องค์ ได้แก่

  • พระโพธิสัตว์กวนอิม
  • พระศรีอริยเมตไตรย (อ้างอิงแรงบันดาลใจจากวัดในเกาหลีใต้)
  • พระสังกัจจายน์
  • พระพุทธรูป “เลจุน เซจาร์” จากเมียนมา
  • พระพุทธรูป “ไดบุตสึ” จากญี่ปุ่น

นอกจากนี้ยังมี 11 องค์ อยู่ระหว่างทำงาน ซึ่ง 3 องค์ แรกที่แล้วเสร็จและทยอยเปิดให้ชม ได้แก่ พระพุทธรูปดอร์เดนมา (ภูฐาน), พระโจโวศากยมุนี (ทิเบต) และ พระพุทธรูปแห่งบามิยัน (อัฟกานิสถาน—ในฐานะองค์แทน/การระลึกถึง) รายละเอียดดังกล่าวยืนยันในข่าวเผยแพร่ของสื่อไทยท้องถิ่นและเว็บไซต์ข่าวเชิงสาธารณะ ซึ่งระบุวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็ก เยาวชน และนักท่องเที่ยวเข้าถึงความหลากหลายของพุทธศิลป์โลกในพื้นที่เดียว

“เมื่อได้เห็นความงดงามของพุทธศิลป์จากหลายประเทศ เด็กๆ จะเกิดความรู้สึกชอบ เมื่อเติบโตขึ้นมาจึงเกิดความรักและความศรัทธาในหลักคำสอนที่ถูกต้อง” — นายกัมพล ตันสัจจา (อ้างอิงตามเนื้อหาข่าวประชาสัมพันธ์)

ทำไมต้อง “องค์แทน” บทเรียนเชิงบริบทและการเทียบเคียง

การจัดสร้าง “องค์แทน” มิได้เป็นเพียงการจำลองรูปเคารพ หากคือการ “ย่อโลก” ของคติ ความเชื่อ และรูปแบบศิลป์ที่สะท้อนรากวัฒนธรรมแต่ละภูมิภาคให้มาอยู่ในระยะสายตาเดียวกัน เด็กและผู้ชมจึงสามารถเทียบเคียง “ภาษาศิลป์” ได้โดยตรง ว่าทำไมพระพุทธรูปจากญี่ปุ่นจึงหนักแน่นเรียบง่าย เหตุใดพระโพธิสัตว์ในจีนจึงอ่อนช้อย และเหตุใดรูปเคารพจากหิมาลัยจึงเต็มไปด้วยรายละเอียดเชิงสัญลักษณ์ เมื่อมองผ่านเลนส์นี้ “องค์แทน” กลายเป็นตำราเรียนที่เดินเข้าไปอ่านได้

เปิดเลนส์ดู 3 สัญลักษณ์สำคัญ ภูฐาน–ทิเบต–อัฟกานิสถาน

1) พระพุทธรูปดอร์เดนมา (ภูฐาน) — ความศรัทธาที่โอบล้อมเมืองหลวง

Great Buddha Dordenma ตั้งอยู่บนเนินเขาในทิมพู สร้างด้วย สำริดปิดทอง สูงราว 54 เมตร ก่อสร้างระหว่างปี 2006–2015 ภายในบรรจุพระพุทธรูปขนาดเล็กกว่า หนึ่งแสนองค์ ตามคติศรัทธา การมีอยู่ขององค์พระซึ่งมองเห็นได้เด่นชัดราวคุ้มครองเมืองทั้งเมือง จึงมีนัยทั้งเชิงสัญลักษณ์และทัศนภูมิประเทศที่น่าสนใจต่อการเรียนรู้ด้านภูมิสถาปัตยกรรมศาสนา

2) พระโจโวศากยมุนี (ทิเบต) — ศูนย์กลางศรัทธาที่โยกย้ายมิได้

Jowo Shakyamuni ประดิษฐานในวัดโจกัง เมืองลาซา และถูกยกย่องว่าเป็น “พระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของทิเบต” ความสำคัญอยู่ที่บทบาททางจิตวิญญาณและประวัติศาสตร์ของทิเบต มากกว่าขนาดหรือวัสดุ การศึกษาองค์นี้ช่วยเปิดมุมมองว่า “คุณค่าทางศาสนา” อาจวัดจากความทรงจำร่วมของสังคม และบทบาททางพิธีกรรม มิใช่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก

3) พระพุทธรูปแห่งบามิยัน (อัฟกานิสถาน) — อนุสรณ์แห่งการคุ้มครองมรดกโลก

พระพุทธรูปยักษ์สององค์ที่หน้าผาหุบเขาบามิยันถูกทำลายเมื่อปี 2001 จนเหลือเพียง “โพรงว่าง” ที่กลายเป็นสัญลักษณ์เตือนใจโลกให้ปกป้องมรดกทางวัฒนธรรม ปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกของยูเนสโก ในชื่อ Cultural Landscape and Archaeological Remains of the Bamiyan Valley การสร้าง “องค์แทนเพื่อระลึกถึง” จึงมีนัยเชิงการศึกษา ว่าความสูญเสียทางวัฒนธรรมส่งผลอย่างไร และโลกเรียนรู้อะไรจากบทเรียนนี้

สวนนงนุชในฐานะ “สะพาน” เชื่อมศิลป์–ศรัทธา–สังคม

เมื่อองค์แทนจากภูมิภาคต่างๆ มาวางอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ผู้ชมจะเห็นว่า ศิลปะไม่ใช่สิ่งแช่แข็ง หากสัมพันธ์กับภูมิอากาศ วัสดุท้องถิ่น ประวัติศาสตร์การเมือง ศาสนาท้องถิ่น และการตีความคำสอน ทั้งหมดนี้ทำให้ “ศิลป์” กลายเป็น “กระจก” สะท้อนสังคม และทำให้ “ศรัทธา” กลายเป็น “บทสนทนา” ระหว่างคนต่างวัฒนธรรมได้อย่างสง่างาม

สำหรับการท่องเที่ยวเชิงการศึกษา โครงการนี้เพิ่ม “ชั้นความหมาย” ให้การมาเยือนพัทยาและชลบุรี ซึ่งเดิมเป็นจุดหมายพักผ่อนตามธรรมชาติและวัฒนธรรมร่วมสมัย ขณะเดียวกันยังเปิดพื้นที่ให้ครู นักเรียน มหาวิทยาลัย และชมรมศิลปะ เข้ามาใช้พื้นที่เรียนรู้แบบ hands-on โดยผูกเรื่องกับรายวิชาประวัติศาสตร์ศิลป์ สังคมศึกษา และพลเมืองโลก

มาตรฐานการเล่าเรื่องและความอ่อนน้อมต่อศาสนา

สวนนงนุชตระหนักถึง “ความอ่อนไหวทางศาสนา” จึงวางกรอบการสื่อสารเชิงความรู้ควบคู่มารยาทการเยี่ยมชม เช่น การแต่งกายสุภาพ การเว้นระยะเหมาะสม การไม่ปีนป่ายหรือสัมผัสองค์แทนโดยไม่จำเป็น รวมถึงการจัดป้ายความรู้สองภาษา เพื่อให้ผู้เข้าชมเข้าใจที่มา ความหมาย และบริบทของแต่ละองค์อย่างเคารพ ซึ่งแนวปฏิบัติทำนองนี้ปรากฏในเอกสารแนะนำเชิงนิทรรศการของสวนนงนุชที่เน้นบทบาท “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต” และ “ห้องเรียนกลางแจ้ง”

ความต่อเนื่องของภารกิจ “ปลูกฝังตั้งแต่วัยเยาว์”

ใจกลางของโครงการคือคำว่า “เข้าถึงง่าย” เด็กจำนวนมากรู้จักพระพุทธเจ้าในฐานะบุคคลสำคัญทางศาสนา แต่ยังไม่รู้ว่า “พุทธศิลป์” ในแต่ละประเทศต่างกันอย่างไร การได้เห็นองค์แทนจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลี เมียนมา ภูฐาน ทิเบต ไปจนถึงอนุสรณ์แห่งบามิยันในอัฟกานิสถาน จะช่วยกระตุ้นให้ตั้งคำถามและค้นคว้า เช่น ทำไมกวนอิมจึงมีบุคลิกอ่อนโยน ทำไมไดบุตสึจึงเน้นความสุขุมมั่นคง หรือทำไมโจโวจึงเป็น “หัวใจของทิเบต” คำถามเหล่านี้คือเชื้อเพลิงของการเรียนรู้ระยะยาว

“เราต้องการให้เด็กรู้สึกชอบก่อน แล้วความรักและความศรัทธาที่ตั้งอยู่บนความเข้าใจจะตามมาเอง” — นายกัมพล ตันสัจจา กล่าวในทิศทางเดียวกับข่าวเผยแพร่

อนาคตข้างหน้า จากองค์แทน สู่เครือข่ายการเรียนรู้ระดับภูมิภาค

เมื่อองค์แทนชุดแรกทยอยเปิดครบ สวนนงนุชมีแนวโน้มจะขยายกิจกรรมประกอบผลลัพธ์ทางการเรียนรู้ เช่น เวิร์กช็อปนำชมเชิงลึก การบรรยายสั้นสำหรับครอบครัว เสวนาเชิงวิชาการกับมหาวิทยาลัย และการพัฒนา guidebook ขนาดพกพา เพื่อช่วยครูและนักเรียนเตรียมตัวก่อนมาเยือน หากเกิดขึ้นจริง พื้นที่นี้จะค่อยๆ กลายเป็น “โหนดความรู้” เชื่อมโยงโรงเรียน ชุมชน และนักท่องเที่ยวคุณภาพเข้าหากัน

ในเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ องค์แทนยังเปิดโอกาสต่อยอดสู่งานออกแบบของที่ระลึกเชิงความรู้ คอนเทนต์ดิจิทัลแบบสั้น และสื่ออินเทอร์แอ็กทีฟที่เล่าความหมายของรูปทรงและสัญลักษณ์ ซึ่งจะทำให้เด็กและผู้ใหญ่ “เรียนรู้ซ้ำ” ได้แม้กลับถึงบ้านแล้ว โดยไม่ลดทอนความเคารพต่อศาสนา

มองผ่านเลนส์เมืองท่องเที่ยว พัทยาที่ซับซ้อนกว่าเดิม

พัทยาในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติอาจถูกมองด้วยภาพจำจำกัด โครงการแบบนี้ช่วย “ปรับโทน” เมืองให้ลุ่มลึกขึ้น เพิ่มมิติการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และสอดรับพฤติกรรมผู้เดินทางรุ่นใหม่ที่แสวงประสบการณ์มีความหมาย การมีแลนด์มาร์กเชิงการศึกษาในพื้นที่สวนระดับโลกอย่างสวนนงนุช ซึ่งเดิมโดดเด่นด้านภูมิสถาปัตยกรรมและคอลเลกชันพืช ก็ยิ่งทำให้พัทยาเป็นปลายทางที่ครบเครื่องขึ้น (ข้อมูลภาพรวมแหล่งท่องเที่ยวจากบทความแนะนำการท่องเที่ยวพัทยาที่กล่าวถึงบทบาทสวนนงนุช)

องค์แทนที่ “แทน” ได้มากกว่ารูปเคารพ

โครงการ “องค์แทนพระพุทธเจ้านานาชาติ” ของสวนนงนุชพัทยาไม่ใช่แค่การจัดวางรูปเคารพให้คนมาถ่ายรูป หากเป็น “บทเรียนมีชีวิต” ที่วางอยู่กลางเมืองท่องเที่ยว เพื่อให้เด็ก เยาวชน และผู้มาเยือนเรียนรู้การอยู่ร่วมกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างเคารพ เข้าใจ และเท่าทันโลก

ภาพใหญ่ของเรื่องนี้ คือการใช้ “พุทธศิลป์” เป็นภาษากลางเชื่อมประวัติศาสตร์ ศรัทธา และสังคม จากภูฐานและทิเบตถึงอัฟกานิสถาน จากจีนและญี่ปุ่นถึงเกาหลีและเมียนมา แล้วนำทั้งหมดมาบอกเล่าที่พัทยา เมืองที่กำลังสร้างบทใหม่ของการท่องเที่ยวคุณภาพ เมื่อโครงการเดินหน้าครบถ้วน พื้นที่แห่งนี้จะยืนอยู่ได้ด้วยความรู้ ความอ่อนน้อม และบทสนทนา ซึ่งคือหัวใจของคำว่า “อาณาจักรแห่งการเรียนรู้” อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สวนนงนุชพัทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

“เวียงหนองหล่ม” รอยต่อความมั่นคงน้ำกับความทรงจำชุมชน แผน 3.88 พันล้าน

เวียงหนองหล่ม “พรุทุ่งหญ้า” รอยต่อความมั่นคงน้ำกับความทรงจำของชุมชน เมื่อแผน 3.88 พันล้าน ปะทะเสียงนกอพยพและระฆังปางควาย

เชียงราย, 11 กันยายน 2568— ยามเช้าที่เวียงหนองหล่ม หมอกบางคลี่คลุมแนวหญ้ากก ดวงตากลมของนกแสกทุ่งหญ้าเฝ้ามองผืนน้ำตื้นที่ครั้งหนึ่งเคยพรั่งพร้อมด้วยลูกปลา ปูนา และแมลงน้ำ—โซ่อาหารที่เลี้ยงทั้งนกอพยพและคนท้องถิ่นมาหลายชั่วคน แต่วันนี้ภาพจำดั้งเดิมกำลังไหวกระเพื่อม ท่ามกลางคันดินใหม่และเรือขุดที่ขะมักเขม้นตาม “แผนแม่บทพัฒนา-ฟื้นฟูเวียงหนองหล่ม” งบประมาณรวม 3,880.85 ล้านบาท ซึ่งเพิ่งเดินหน้าต่อเนื่องในช่วงสองปีที่ผ่านมา ภายใต้ความตั้งใจ “แก้แล้ง-ลดท่วม” และเพิ่มศักยภาพกักเก็บน้ำให้พอกับความต้องการการเกษตรและชุมชนโดยรอบกว่า 10,000 ครัวเรือน/11,000 ไร่ ตามกรอบงาน 65 โครงการย่อย ของภาครัฐ

โหนดเรื่อง (Nut graf) พื้นที่ชุ่มน้ำ “สำคัญระดับชาติ” ที่ยืนอยู่กลางสมการยาก

เวียงหนองหล่มตั้งอยู่ในแอ่งเชียงแสน คร่อมอำเภอแม่จัน–เชียงแสน จังหวัดเชียงราย ครอบคลุมพื้นที่ราว 14,000–14,457 ไร่ ได้รับมติคณะรัฐมนตรี (1 ส.ค. 2543) ให้เป็น “พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติ” (Nationally Important Wetland) ด้วยคุณค่าด้านนิเวศและวัฒนธรรม—แหล่งอาศัยของนกอพยพ และฐานทรัพยากรอาหารของชุมชนพื้นที่ต่ำเหนือสุดของประเทศ

ในเชิงนโยบายระหว่างประเทศ เวียงหนองหล่มไม่ได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็น “แรมซาร์ไซต์” โดยตรง แต่ตั้งอยู่ในแอ่งเดียวกับ หนองบงคาย (Chiang Saen Lake) เขตห้ามล่าสัตว์ป่าที่เป็น Ramsar Site ลำดับที่ 1101 (5 ก.ค. 2544) ซึ่งยืนยันสถานะ “หัวใจความหลากหลายชีวภาพ” ของทั้งลุ่มน้ำเชียงแสน ดังนั้น แม้สถานะกฎหมายต่างกัน คุณค่าทางนิเวศ “เชื่อมถึงกัน” ทั้งระบบ และเป็นเหตุผลว่าทำไมแผนใดๆ ต่อเวียงหนองหล่มจึงต้องเทียบชั้นมาตรฐานอนุรักษ์สากลอย่างระมัดระวัง

ไทม์ไลน์บนพรุ จาก “มติ-แผน” สู่ “เครื่องจักร-คันดิน”

  • 30 ต.ค. 2562: รัฐบาลเห็นชอบให้เร่งพัฒนาเวียงหนองหล่ม บูรณาการหลายหน่วยงาน ภายใต้มาตรการแก้น้ำท่วม-แล้งของลุ่มน้ำกก–โขงตอนบน
  • 2564–2568: คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) รับรอง แผนแม่บท 65 โครงการ วงเงินรวม 3,880.85 ล้านบาท (หลายช่วงสัญญา) เน้นงานดิน โครงสร้างระบายน้ำ ปรับปรุงลำน้ำ และยกระดับการจัดการน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำ
  • ปลายปี 2565–2567: กรมชลประทานแจงเป้าหมาย “เพิ่มความจุกักเก็บจาก 8 เป็น 20 ล้าน ลบ.ม.” เพื่อรองรับเมือง–เกษตร–ภัยพิบัติ รวมถึงเชื่อมแผนท่องเที่ยว-อนุรักษ์ในบางโซน (หอชมนก/เส้นทางเรียนรู้) ควบคู่ “กิจการพลเมืองน้ำ” ในพื้นที่ริมหนอง
เป็นพื้นที่เลี้ยงควายที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย โดยชาวเวียงหนองหล่มแต่ละชุมชนรวมตัวจัดตั้งเป็น “ปางควาย” รวมแล้วมีกว่า 100 ปาง แต่ละปางมีควาย 450-490 ตัว จึงถูกยกให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ควาย การเลี้ยงควายที่นี่เป็นการเลี้ยงตามธรรมชาติ และทำประมงของเกษตรกรที่หาอยู่หากินในพื้นที่มาหลายร้อยปี โดย : Save Gurney Pitta

ฝั่งรัฐชี้ว่า ความเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศทำให้ฝนสวิง น้ำหลากเร็ว แล้งยาวนาน แหล่งเก็บน้ำกระจุกตัวแบบเดิม “ไม่พอ” การขุดลอก-เปิดทางน้ำและสร้างคันดิน “จำเป็น” เพื่อสะสมฝนหลวงและน้ำหลากเข้าพื้นที่ชุ่มน้ำแก้มลิง ก่อนปล่อยกลับให้ชุมชนยามแล้ง รวมทั้งลดน้ำท่วมพื้นที่ลุ่มทางทิศใต้ของหนอง

เมื่อ “ทุ่งหญ้า-ผืนน้ำตื้น” ถูกแทนที่ด้วย “อ่างลึก-คันดินสูง”

ขณะที่เครื่องจักรก้าวหน้าตามแผน เสียงคัดค้านจากชุมชน “ปางควาย” และกลุ่มชาวประมง–หาของป่าเริ่มดังขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2566–2568 ด้วยข้อกังวลหลัก 3 ประการ

  1. ความลึก-คันดิน: แกนนำชุมชนระบุว่า “สิ่งที่ทำจริงลึกเกินตกลง” กระทบพฤติกรรมสัตว์น้ำ–หญ้าน้ำ–การลงกินน้ำของควาย มีจุดที่คันดินสูงจน “ควายลงน้ำไม่ได้” และ “ปิดทับทางน้ำเดิมบางแขนง” ข้อกล่าวหานี้ปรากฏในรายงานภาคสนามและคลิปเสียงสะท้อนสื่อหลายเจ้า—เป็นปมที่หน่วยงานต้องเคลียร์ “ตัวเลข-แบบก่อสร้าง-EIA/IEE ที่อัปเดตล่าสุด” ให้สาธารณะเข้าใจ ตรงกันทุกฝ่าย
  2. วิถี “ปางควาย”: เวียงหนองหล่มคือศูนย์รวมปางควายมากกว่า “2,000 ตัว” (ข้อมูลปี 2566–2567) เลี้ยงแบบเปิดในทุ่งหญ้า–หนองตื้น เมื่อภูมิทัศน์เปลี่ยนเป็นอ่างลึกและคันดินยาว วิถีเลี้ยง-หญ้าอาหาร-จุดลงน้ำจืดถูกบีบตัว ชาวบ้านห่วง “ต้นทุนอาหารเพิ่ม–สุขภาพฝูงแย่ลง” และ “เอกลักษณ์ปางควายล้านนา” ที่สร้างรายได้ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาจค่อยๆ หายไป
  3. แหล่งหากินนกอพยพ–นกหายาก: Eastern Grass Owl (นกแสกทุ่งหญ้า) เคยถูกบันทึกในเขตเชียงราย–เชียงแสน รวมถึงภาพถ่ายภาคสนามของนักดูนกบริเวณหนองหล่ม/ปริมณฑล หาก “น้ำลึก-กระแสลมเปลี่ยน–กอหญ้าหาย” จะซ้ำเติมการลดลงของพื้นที่ทำรัง-หากินของนกในสกุลทุ่ง–กก–อ้อ ขณะเดียวกันบรรดาเหยี่ยวทุ่ง (Eastern Marsh / Pied Harrier) ที่เคยรวมหลับนอนฤดูหนาวก็ต้องการทุ่งกว้างน้ำตื้นเป็นฐานหาอาหาร—ปรากฏการณ์ที่หลายกลุ่มอนุรักษ์กลัวว่าจะ “ซบเซา” หากภูมิทัศน์เปลี่ยนเร็วเกินไป

ฝั่งรัฐ–หน่วยงาน ยืนยันวัตถุประสงค์ “เพิ่มความมั่นคงน้ำ” และอ้าง “ช่วยชุมชน”

กรมชลประทานและหน่วยงานท้องถิ่นชี้ว่า โครงการทั้งหมดถูกออกแบบ “เพื่อชุมชน” ลดท่วม–เพิ่มน้ำ โดยระบุประโยชน์ 3 ระดับ: (1) เกษตรมีน้ำต้นทุนตลอดปี, (2) เมือง–ชุมชนปลอดภัยมากขึ้นจากน้ำหลากฉับพลัน, (3) เกิดโครงสร้างพื้นฐานรองรับกิจกรรมเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยวเชิงนิเวศในพื้นที่ที่เหมาะสม พร้อมยืนยันว่าการก่อสร้างหลายช่วง “พยายามคงสมดุลนิเวศ” และ “มีการหารือชุมชน” อย่างต่อเนื่อง โดยมีภาพข่าวและคำชี้แจงทางการหลายครั้งตั้งแต่ปลายปี 2565 ถึงกลางปี 2567 สนับสนุนจุดยืนดังกล่าว

อย่างไรก็ดี องค์กรอนุรักษ์อย่าง มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ออกแถลงการณ์เรียกร้อง “ทบทวนรูปแบบงานดิน” และ “จัดสรรโซนนิเวศเฉพาะ (Ecological Zoning)” ที่คุ้มครอง ทุ่งน้ำตื้น-กอหญ้า ให้พอสำหรับนก–ควาย–ปลาน้ำจืด และทำระบบติดตามผลกระทบทางนิเวศ (Ecological Monitoring) อย่างเปิดเผย ซึ่งสะท้อนว่ากระบวนการมีส่วนร่วมและการกำกับดูแลยัง “มีช่องว่าง” ที่รัฐต้องเร่งอุด

“เวียงหนองหล่ม” ถือเป็นหมุดหมายสำคัญสำหรับนักดูนกทั่วโลกด้วยเช่นกัน ด้วยเพราะเป็นแหล่งทำรังวางไข่สำคัญของนกแสกทุ่งหญ้า Eastern Grass Owl นกประจำถิ่นที่หาได้ยากมากของไทย และมีสถานะใกล้การสูญพันธุ์ Endangered (EN) ส่วนในฤดูหนาวก็เป็นแหล่งรวมตัวกันนอนของนกอพยพ เช่น เหยี่ยวทุ่งพันธุ์เอเชียตะวันออก Eastern Marsh Harrier และ เหยี่ยวด่างดำขาว Pied Harrier จำนวนนับร้อยตัวติดต่อกันมานานนับสิบปี รวมถึงเหยี่ยวทุ่งพันธุ์ยูเรเซีย Western Marsh Harrier อีกด้วย ที่ช่วยกำจัดหนูนา, แมลงศัตรูพืชให้เกษตรกร ได้ประหยัดการใช้ยาฆ่าศัตรูพืชไปหลายร้อยล้านบาททุกปี โดย : Save Gurney Pitta

 “เวียงหนองหล่ม” กับมาตรฐานพื้นที่ชุ่มน้ำ—เรากำลังรักษาอะไร?

ด้วยสถานะ “พื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญระดับชาติ” (ตามมติ ครม. 2543) เวียงหนองหล่มมีคุณค่าหลักคือ ภูมิทัศน์น้ำตื้น–ทุ่งหญ้า–พืชน้ำ ที่รองรับความหลากหลายชีวภาพและวิถีหากินแบบดั้งเดิม การพัฒนาแบบ “อ่างเก็บน้ำลึก–คันดินสูง–เขื่อนดินยาว” จึงต้องอธิบายให้สังคมเห็น “เหตุผลเชิงนิเวศ” ว่าจะยังรักษาองค์ประกอบเหล่านี้ไว้ได้อย่างไร มิฉะนั้น “เราจะรักษาแต่ชื่อ แต่สูญเสียเนื้อแท้” ของพื้นที่ชุ่มน้ำไปทีละน้อย

 “น้ำของใคร—ประโยชน์ของใคร” และภาระตรวจสอบแบบมีส่วนร่วม

อีกปมคือธรรมาภิบาลน้ำ แผนแม่บท 65 โครงการย่อย ในระยะหลายปี ย่อม “ซับซ้อน–กระจายสัญญา” การเปิดเผยข้อมูลแบบอ่านง่าย (ดัชนีงานดิน–ความลึก–แนวคันดิน–ตารางน้ำเข้า-ออก–ตัวชี้วัดนิเวศ) จะทำให้ประชาชนร่วมตรวจสอบได้จริง ลดอคติและข่าวลือ ตัวอย่างการสื่อสารข้อมูลเชิงระบบของหน่วยงานกลาง (กนช./กรมชลประทาน) ในช่วงปลายปี 2565 ที่เคยแถลงชุดใหญ่ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่เมื่อ “งานภาคสนาม” เดินไปไกลกว่า “เอกสาร” ข้อมูลก็ต้อง “ตามทันพื้นที่” อย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้ความไม่ไว้วางใจลุกลามเป็นความขัดแย้งเชิงโครงสร้าง

เสียงจากพื้นที่ (Key voices) และสถิติที่ชวนคิด

  • 2,000+ ตัว: ประมาณการฝูงควายในโซนแม่จัน–เวียงหนองหล่มที่ได้รับผลกระทบตามข่าวโทรทัศน์ช่วงกลางปี 2566 สะท้อนให้เห็น “ต้นทุนดูแลฝูง” ที่จะเพิ่มขึ้น เมื่อภูมิทัศน์เปลี่ยนจากทุ่ง–หนองตื้น สู่โครงสร้างน้ำลึก–คันดินสูง โดยเฉพาะฤดูแล้งที่หญ้าธรรมชาติขาดตอน
  • นกแสกทุ่งหญ้า (Eastern Grass Owl) และ เหยี่ยวทุ่ง (Eastern Marsh / Pied Harrier) เป็น “ดัชนีชีวภาพ” ของทุ่งชุ่มน้ำ เมื่อพื้นที่กอหญ้า–น้ำตื้นลดลง โอกาสกลับมารวมฝูงในฤดูหนาวย่อมลดลงตามไปด้วย—ประเด็นที่ชมรมดูนกและนักวิทยาศาสตร์พลเมืองติดตามต่อเนื่องในภาคเหนือ
  • 20 ล้าน ลบ.ม.: เป้าหมายความจุอ่างตามแผนรัฐ ช่วยลดเสี่ยงน้ำแล้ง–หลาก แต่คำถามคือ “จะทำอย่างไรให้ 1 ลบ.ม. ของน้ำใหม่” ไม่แลกมาด้วย “1 หน่วยบริการนิเวศ” (การหากินของปลา–นก–ควาย) ที่หายไป—ซึ่งต้องแก้ด้วย “การออกแบบพื้นที่ชุ่มน้ำเชิงนิเวศ (Ecohydrology)” มากกว่า “ขุดลอกอย่างเดียว”
ที่นอนของนกเหยี่ยวทุ่งในเวลากลางคืน ซึ่งจะรวมตัวกันนอนพร้อมกันหลายร้อยตัว พอตอนเช้ามืดก็จะบินออกไปหาอาหาร ทิ้งไว้แต่โพรงในทุ่งหญ้าเช่นนี้ ซึ่งลักษณะพื้นที่ปลอดภัยสำหรับนกเช่นที่หนองหล่ม แทบไม่เหลือแล้วในประเทศไทย โดย : Save Gurney Pitta

โรดแมปสามชั้น “หยุดคิด–ปรับแบบ–ร่วมบริหาร”

  1. หยุดคิดก่อนทำ (Pause & Verify): หยุดช่วงงานที่มีข้อร้องเรียนสูง (ความลึก–แนวคันดิน) เพื่อตรวจแบบจริง-ก่อสร้างจริง โดยเปิดพื้นที่สาธารณะร่วมตรวจ (ชุมชน-นักวิชาการ-สื่อ) พร้อมติดตั้ง “ไม้บรรทัดน้ำ/ไลดาร์ฉากตัด” แสดงระดับงานแบบเรียลไทม์ให้ประชาชนดูได้ (Dashboard)
  2. ปรับแบบ (Redesign for Ecology): กำหนด “โซนคุ้มครองนิเวศ” อย่างเป็นทางการ—ไม่น้อยกว่า X% ของพื้นที่ต้องรักษาน้ำตื้น/กอหญ้า, ทำ “ลาดลงน้ำสำหรับควาย” ทุกระยะ Y เมตร, เจาะ “คอขวดปลา” ให้ปลาอพยพได้, ปลูกพืชกก-อ้อฟื้นฟูแนวกันชน และกำหนด “กรอบน้ำขึ้น-ลงรายฤดู” ให้คงเสถียรภาพต่อแหล่งอาหารนก
  3. ร่วมบริหาร (Co-management): ตั้ง “คณะกรรมการพื้นที่ชุ่มน้ำเวียงหนองหล่ม” รวม อปท.–กรมชลฯ–กนช.–ชุมชน–นักวิชาการ–ภาคธุรกิจ–กลุ่มดูนก เพื่อร่วมวางแผนเขตใช้ประโยชน์–เขตอนุรักษ์, งบเยียวยาปางควาย–ชาวประมง, และแผนท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่แบ่งปันรายได้กลับสู่การดูแลพื้นที่

แนวทางนี้ไม่ขัดกับ “เป้าหมายน้ำ” แต่จะยกระดับโครงการจาก “โครงสร้างวิศวกรรม” สู่ “ภูมิทัศน์น้ำที่มีชีวิต” รองรับทั้งน้ำ–นก–ปลา–ควาย–คน และที่สำคัญ—ลดความขัดแย้ง ด้วยการให้สิทธิข้อมูลและอำนาจตัดสินใจร่วมแก่ผู้มีส่วนได้เสีย

มองจากไกล แต่ไม่ไกลเกินใจ ทำไมเวียงหนองหล่มจึงเป็น “เรื่องใหญ่ของสังคมไทย”

เวียงหนองหล่มคือบททดสอบสำคัญของการพัฒนา “พื้นที่ชุ่มน้ำ” ในศตวรรษที่เผชิญทั้งวิกฤตอากาศและวิกฤตความไว้วางใจ หากพัฒนาได้สมดุล เราจะได้ “แบบเรียน” ที่ยืนยันว่าไทยสามารถ “สร้างความมั่นคงน้ำ” โดยไม่ทำลาย “บริการนิเวศ” และ “ความทรงจำของชุมชน” แต่หากสะดุด เราอาจสูญทั้งทุนธรรมชาติและทุนสังคมไปพร้อมกัน

บทสรุปของข่าวนี้จึงไม่ใช่การชี้นิ้ว หากคือการวางโจทย์สาธารณะร่วมกัน: น้ำเพื่อใคร–โดยใคร–อย่างไร และคำตอบที่ยั่งยืนที่สุดย่อมเกิดจาก ข้อมูลโปร่งใส–วิทยาศาสตร์เข้มแข็ง–และการมีส่วนร่วมจริง ของคนที่อยู่กับหนองหล่มมานานกว่าร้อยปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมชลประทาน
  • คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) / กรุงเทพธุรกิจ
  • ONEP/CHM–Thailand
  • Ch3Plus
  • Workpoint Today / The Lanner
  • มูลนิธิสืบนาคะเสถียร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

ภูเขาน้ำแข็ง A23a สลายตัว สัญญาณเตือนจากขั้วโลกถึงวิกฤตโลกร้อน

สัญญาณเตือนจากขั้วโลก “A23a” ยักษ์น้ำแข็งที่กำลังสลายตัว—เงื่อนปมภูมิอากาศโลกร้อนและบทเรียนเชิงระบบจากแอนตาร์กติกา

  • ข้อเท็จจริงที่ยืนยันได้: A23a เป็นภูเขาน้ำแข็งขนาดมหึมาที่แยกตัวจากแนวน้ำแข็ง Filchner–Ronne เมื่อปี 1986 จมติดอยู่กับพื้นทะเลเวดเดลนานหลายทศวรรษ ก่อนหลุดลอยและเริ่ม “เดินทาง” ตามกระแสน้ำในช่วงปี 2023–2024 มุ่งสู่เส้นทาง “Iceberg Alley” ผ่านเกาะเซาท์จอร์เจีย และมีแนวโน้มแตกตัว/หดตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2025 ตามภาพถ่ายดาวเทียมและรายงานของหน่วยงานวิทยาศาสตร์ชั้นนำ (BAS, NASA)
  • สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เห็นร่วมกัน: การแยกตัวและสลายตัวของภูเขาน้ำแข็งเป็น “ธรรมชาติ” ของขั้วโลก แต่ อัตรา/ความถี่ ของปรากฏการณ์น้ำแข็งขนาดใหญ่ที่หลุดและละลายเร็วขึ้นสัมพันธ์กับภาวะโลกร้อน โดยเฉพาะ “มหาสมุทรที่อุ่นขึ้น” ซึ่งกัดเซาะฐานแนวน้ำแข็ง (ice shelves) และทำให้ระบบเปราะบางยิ่งขึ้น
  • แกนวิทยาศาสตร์ที่ต้องเข้าใจ: การละลายของ “แนวน้ำแข็งที่ลอยน้ำ” ไม่ยกน้ำทะเลขึ้นโดยตรง แต่แนวน้ำแข็งทำหน้าที่ หนุน-พยุง” (buttress) ธารน้ำแข็งบนแผ่นดิน หากแนวน้ำแข็งแตก/หายไป ธารน้ำแข็งบนบกจะไหลลงทะเลเร็วขึ้นและ ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นทางอ้อม ซึ่งคือจุดเชื่อมโยงจากภูเขาน้ำแข็งสู่ความเสี่ยงชายฝั่งโลก
  • สิ่งที่ยังต้องติดตาม: ผลกระทบต่อเคมี/อุณหภูมิ/ความเค็มของน้ำและห่วงโซ่อาหารทะเลแอตแลนติกใต้ เมื่อยักษ์น้ำแข็งปล่อย “น้ำจืดเย็น” ปริมาณมหาศาลลงสู่ทะเลในเวลาสั้น ๆ และการตอบสนองของสภาพอากาศท้องถิ่นรอบเกาะเซาท์จอร์เจีย—หัวเรื่องที่ทีมเรือสำรวจของ BAS ลงพื้นที่เก็บข้อมูลอยู่ในช่วงปี 2024–2025

ปลายทางของ “ยักษ์น้ำแข็ง” และจิ๊กซอว์ภูมิอากาศโลก

ทวีปแอนตาร์กติกา, 11 กันยายน 2568 – ยามที่ลมขั้วโลกพัดปะทะคลื่นแอตแลนติกใต้ แผ่นน้ำแข็งสีขาวนวลขนาดใหญ่เท่ามหานครค่อย ๆ แยกตัวเป็นริ้วเล็ก ราวกับเรือไม้โบราณที่ชะลอคอนเสิร์ตสุดท้ายก่อนลาจาก—นั่นคือภาพปิดฉากของ A23a หนึ่งในภูเขาน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยติดตาม บันทึกชีวิตของมันเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 1986 เมื่อหลุดจากแนวน้ำแข็ง Filchner–Ronne แล้วจมติดพื้นทะเลเวดเดลอยู่นานกว่า 30 ปี กระทั่งหลุดลอยออกสู่กระแสน้ำอันเชี่ยวกรากรอบแอนตาร์กติกาในทศวรรษที่ผ่านมา และทยอย “ผอมลง” อย่างเห็นได้ชัดเมื่อเคลื่อนผ่านเกาะเซาท์จอร์เจีย—ประตูสู่คอคอดน้ำแข็งชื่อ Iceberg Alley เส้นทางสุดท้ายก่อนแตกสลายเป็นเศษเสี้ยวที่ระบบติดตามดาวเทียมเริ่มนับยากขึ้นทุกที

เส้นทางชีวิต A23a จากยักษ์ติดก้นทะเลสู่ก้อนน้ำแข็งร่อนเร่

  • ค.ศ. 1986–ทศวรรษ 2010s: A23a แยกจากหิ้ง Filchner–Ronne แล้ว “ติด” พื้นทะเลลึกในเวดเดลซีอยู่นานหลายสิบปี เพราะหนาและใหญ่เกินกว่าจะลอยอิสระ จนถูกขนานนามว่าราชินีที่เงียบงันของเวดเดลซีในยุคหนึ่ง
  • ค.ศ. 2023–2024: เมื่อขนาด/ความหนาลดลงและสภาพแวดล้อมทะเลเปลี่ยน มันหลุดออกจากจุดยึดและไหลตามกระแสน้ำ Antarctic Circumpolar Current สู่ “Iceberg Alley” ใกล้เกาะเซาท์จอร์เจีย ภาพถ่ายจากดาวเทียมและรายงานภาคสนามยืนยันเสถียรภาพที่ลดลงและแนวโน้มการแตกตัวของแผ่นน้ำแข็งส่วนขอบ
  • ค.ศ. 2025: ขณะเคลื่อนผ่านเซาท์จอร์เจีย แผ่นน้ำแข็งหดตัวและแตกชิ้นหลายครั้ง พื้นที่ลดเหลือราวระดับ “มหานครใหญ่” เท่านั้น เมื่อเทียบกับช่วงเริ่มติดตามที่เคยกินพื้นที่หลายพันตารางกิโลเมตร เหตุการณ์ปีนี้จึงไม่ใช่เพียงภาพธรรมชาติ หากเป็น “ข้อความ” ที่ชัดจากขั้วโลกถึงมนุษยชาติว่า สมการน้ำแข็ง–มหาสมุทร–ภูมิอากาศ กำลังปรับสมดุลครั้งใหญ่

ธรรมชาติ + เร่งปฏิกิริยาจากโลกร้อน เพราะเหตุใดยักษ์น้ำแข็งจึง ‘เปราะ’ ขึ้น

นักวิทยาศาสตร์ย้ำว่า การเกิด–ดับของภูเขาน้ำแข็งเป็นวงจรตามธรรมชาติ แต่คำถามสำคัญในศตวรรษที่ 21 คือ “เร็วขึ้นหรือถี่ขึ้นกว่าปกติหรือไม่” หลักฐานหลายชุดชี้ว่ามหาสมุทรรอบแอนตาร์กติกาอุ่นขึ้นในหลายโซน กระทบ “ท้อง” ของแนวน้ำแข็ง (basal melt) ทำให้หิ้งน้ำแข็งที่ลอยน้ำบางลงและแตกง่ายขึ้น เมื่อ “เบรก” ตามธรรมชาติอ่อนแรง ธารน้ำแข็งบนแผ่นดินก็ไหลลงทะเลเร็วยิ่งขึ้นในระยะยาว นี่คือกลไกที่เชื่อมการเปลี่ยนแปลงของแนวน้ำแข็งกับ ระดับน้ำทะเลโลก อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ข้อเท็จจริงสำคัญ: การละลายของแนวน้ำแข็ง (ซึ่งลอยอยู่แล้ว) ไม่ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นโดยตรง แต่ การสูญเสียแนวน้ำแข็ง ทำให้ธารน้ำแข็งบนบก “เสียที่ค้ำยัน” และเร่งวิ่งสู่ทะเล—ส่งผลต่อระดับน้ำทะเลในระยะถัดไป นี่คือเหตุผลที่ชุมชนวิทยาศาสตร์เฝ้าดู A23a อย่างใกล้ชิด เพราะมันสะท้อน “สุขภาพ” ของระบบน้ำแข็ง–มหาสมุทรในวงกว้าง ไม่ใช่เพียงชะตากรรมของก้อนน้ำแข็งก้อนเดียว

ผลกระทบลูกโซ่จากความเค็ม–อุณหภูมิของน้ำ สู่ห่วงโซ่อาหารทะเล

การแตกตัวของภูเขาน้ำแข็งขนาดยักษ์เท่ากับการปล่อย “น้ำจืดเย็น” ปริมาณมหาศาลลงทะเลในช่วงเวลาสั้น ๆ ย่อมปรับสมดุล ความเค็ม–ความหนาแน่น–อุณหภูมิ ของน้ำในบริเวณทางผ่าน อาจกระทบตั้งแต่แพลงก์ตอน—ฐานห่วงโซ่อาหาร—ไปจนถึงสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ และรูปแบบไหลเวียนท้องถิ่น นักวิจัยจาก เรือ RRS Sir David Attenborough ของ BAS ลงพื้นที่แถบเซาท์จอร์เจียเก็บตัวอย่างน้ำ/ชีวภาพเพื่อประเมินผลกระทบจริง—ชิ้นส่วนหลักของภาพใหญ่ที่ห้องทดลองทั่วโลกกำลังต่อจิ๊กซอว์ร่วมกัน

ทำไม “Iceberg Alley” จึงเป็นฉากสุดท้ายของยักษ์น้ำแข็ง

เส้นทาง Iceberg Alley เป็นเหมือน “คลองส่งน้ำแข็ง” ธรรมชาติ—ภูเขาน้ำแข็งที่หลุดจากแผ่นดินน้ำแข็งแอนตาร์กติกามักถูกกระแส Antarctic Circumpolar Current พาไปสู่แนวนี้ ก่อนจะชน/แตก/ละลาย ระหว่างผ่านหมู่เกาะและน้ำอุ่นขึ้นของแอตแลนติกใต้ A23a จึงเดินตามชะตาเดียวกับยักษ์รุ่นพี่อย่าง A68 (แตกละเอียดในปี 2021) และ A76 (ปี 2023) ที่จบลงในตรอกเดียวกัน แม้ขนาด/รูปร่างแตกต่าง แต่วิถีทางกายภาพคล้ายกันอย่างน่าทึ่ง—บทเรียนประจำทางของน้ำแข็งยักษ์จากขั้วโลก

ประเด็นเชิงวิทยาศาสตร์–นโยบายจากขั้วโลกถึงชายฝั่งเอเชีย

  1. ระดับน้ำทะเล: ความเสี่ยงไม่ได้อยู่ไกล
    แม้ A23a จะละลายอยู่ไกลโพ้น แต่ระบบโลกเชื่อมโยงกันผ่านมหาสมุทรเส้นเดียว การเปลี่ยนแปลงของแนวน้ำแข็ง–ธารน้ำแข็งในแอนตาร์กติกาคือหนึ่งในตัวแปรสำคัญของระดับน้ำทะเลระยะยาว รายงานวิชาการและฐานข้อมูลของ NASA/NSIDC อธิบายตรงกันว่า หากแนวน้ำแข็งเปราะลง ธารน้ำแข็งบนบกหลายสายในแอนตาร์กติกาตะวันตกย่อมมีโอกาสไหลเร็วขึ้น—ผลสะสมแปลความได้เป็น “เซนติเมตร–ทศวรรษ” ของระดับน้ำทะเลในศตวรรษนี้ ซึ่งสะท้อนโดยตรงถึงความเสี่ยงค่อยเป็นค่อยไปของเมืองชายฝั่งทั่วโลก รวมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  2. ข้อมูล–ดาวเทียม–เรือสำรวจ: ทำไม “การสังเกต” คือเกราะชั้นแรก
    กรณี A23a แสดงให้เห็นบทบาทของภาพถ่ายดาวเทียม (เช่น ภาพจาก NASA Earth Observatory) ในการติดตามพื้นที่/ความหนา/การแตกร้าวของน้ำแข็งแบบเกือบเรียลไทม์ ควบคู่กับการเก็บตัวอย่างภาคสนามจากเรือวิจัย (เช่น RRS Sir David Attenborough) เพื่อไขกลไกทางสมุทรศาสตร์/ชีววิทยาที่ภาพถ่ายมองไม่เห็น สิ่งนี้สำคัญต่อการ “ปรับปรุงแบบจำลอง” ให้น่าเชื่อถือขึ้น—เป็นพื้นฐานต่อการตัดสินใจด้านนโยบายในระดับประเทศ–ภูมิภาค
  3. ความรู้ความเข้าใจของสาธารณะ: แยกแยะ “ธรรมชาติ” กับ “ภาวะโลกร้อนเร่งกระบวนการ”
    การแตกของภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในศตวรรษที่อุณหภูมิโลกและมหาสมุทรสูงขึ้น การเกิดซ้ำ/การละลายเร็วขึ้นของน้ำแข็งที่หลุดแล้ว “สื่อสาร” ข้อเท็จจริงว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงในแบบที่ระบบนิเวศคุ้นเคยน้อยลง—ข้อเท็จจริงที่ BAS, NASA และหน่วยงานวิทยาศาสตร์ต่างชี้มาต่อเนื่อง และย้ำว่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังเป็น “ยาแก้เหตุ” เพียงชนิดเดียวที่มีอยู่ในมือมนุษย์ตอนนี้

คำถามที่สังคมควรถาม

  • เราจะวัดความเสี่ยงอย่างไร เมื่อ “การสูญเสียแนวน้ำแข็ง” วันนี้อาจแปลเป็นระดับน้ำทะเลสูงขึ้นในอีกหลายทศวรรษ—นานพอจะทำให้ผู้กำหนดนโยบายหลายรุ่นชะล่าใจ แต่สั้นเกินไปสำหรับเมืองชายฝั่งที่จะเตรียมการรับมือแบบค่อยเป็นค่อยไป
  • เราจะลงทุนในข้อมูล/ระบบเตือนภัยเพียงพอหรือยัง ทั้งดาวเทียม (ความละเอียด–ความถี่), เรือสำรวจ, ทุ่นสำรวจน้ำลึก, และศักยภาพสถาบันวิจัยท้องถิ่น เพื่อให้ข้อเท็จจริงไม่ล่าช้าจน “ตามหลัง” การเปลี่ยนแปลง
  • เราจะทำอย่างไรกับความไม่แน่นอน ในแบบจำลอง เมื่อระบบน้ำแข็ง–มหาสมุทรมีปฏิสัมพันธ์ซับซ้อน—คำตอบหนึ่งคือ “เพิ่มการสังเกต–ลดความไม่รู้” เพื่อให้การคาดการณ์ระดับน้ำทะเลและนโยบายปรับตัวมีฐานวิทยาศาสตร์ที่แข็งแรงขึ้น

เมื่อยักษ์ล้มหาย—โลกฝากจดหมายถึงเรา

การสลายตัวของ A23a ไม่ใช่เพียงฉากธรรมชาติ หากคือ จดหมายเตือน” จากขั้วโลกถึงสังคมมนุษย์ ว่ามหาสมุทรที่อุ่นขึ้นกำลังรื้อฟื้นสมดุลใหม่กับน้ำแข็งที่เราเคยคิดว่า “นิ่ง” การรับมือจึงต้องพ้นไปจากการจ้อง “ก้อนน้ำแข็ง” ก้อนใดก้อนหนึ่ง หากต้องมองระบบทั้งหมด—แนวน้ำแข็งที่หนุนธารน้ำแข็ง, มหาสมุทรที่เก็บความร้อน, ห่วงโซ่ชีวภาพที่ไวต่อการเปลี่ยนแปลง และเมืองชายฝั่งที่เป็นแนวหน้าในการรับแรงกระแทก
ดังนั้น นอกเหนือจากการเฝ้าติดตามอย่างเป็นระบบ สิ่งที่เราต้องการคือ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก, การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลและการปรับตัว, และ การสื่อสารวิทยาศาสตร์ที่ซื่อสัตย์และเข้าใจง่าย—เพื่อให้สังคมตัดสินใจบนความจริง ไม่ใช่ความกลัวหรือความเข้าใจคลาดเคลื่อน ยักษ์น้ำแข็งอาจแหลกสลาย แต่ข้อความจากมันชัดเจน—เวลาของการผัดวันประกันพรุ่งหมดแล้ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • British Antarctic Survey (BAS)
  • British Antarctic Survey (Newsroom)
  • NASA Earth Observatory
  • NASA Earth Observatory
  • NSIDC (National Snow & Ice Data Center)
  • NOAA Climate
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เชียงรายพร้อม! ดัน “โล้ชิงช้าอาข่า” เป็น Soft Power แห่งการท่องเที่ยว

โล้ชิงช้าบ่อฉ่องตุ๊” ประเพณีศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่ฟ้าหลวง—อบจ.เชียงราย–อบต.แม่สลองใน ผนึกพลังชุมชน ขับเคลื่อน Soft Power ชนเผ่าอาข่าสู่สายตาโลก

เชียงราย, 6 กันยายน 2568 – เหนือยอดดอยแม่สลอง เสียงฆ้องและกระบอกไม้ไผ่กระทบกันเป็นจังหวะกังวาน ณ ลานพระสยามเทวาธิราช บ้านสามแยกอาข่า ตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย บรรยากาศเต็มไปด้วยความปลื้มปีติของชุมชนอาข่า—ชายหญิงแต่งชุดชาติพันธุ์อันวิจิตร สีเงินของเครื่องประดับสะท้อนแดดอ่อนราวประกายแห่งศรัทธา วันนี้คือ “วันสร้างชิงช้า”—วันสำคัญในลำดับพิธีของ เทศกาลโล้ชิงช้า “บ่อฉ่องตุ๊” ที่ชาวอาข่าขนานนามกันมายาวนานว่า “ปีใหม่อาข่า” และพรุ่งนี้ (7 กันยายน) คือวันไคลแมกซ์ที่ทั้งหญิงและชายจะออกมาโล้ชิงช้าอย่างสนุกสนานและสำรวมในคราวเดียวกัน

พิธีเปิดงานปีนี้ได้รับเกียรติจาก นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) เป็นประธาน ท่ามกลางการต้อนรับจากผู้นำชุมชน ผู้แทนหน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายวัฒนธรรมในพื้นที่ ภาพทั้งหมดสะท้อนพลัง “ร่วมจัด–ร่วมอนุรักษ์–ร่วมภาคภูมิใจ” และกำลังผลักเชียงรายให้โดดเด่นขึ้นในฐานะจุดหมายการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่มี “วิถีชนเผ่า” เป็นหัวใจ

พิธีกรรมที่มากกว่างานรื่นเริง บูชาพระแม่โพสพ–กตัญญูบรรพชน–ยกย่องบทบาทสตรี

ตาม ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม เทศกาลโล้ชิงช้าเป็นพิธีกรรมที่จัดปีละครั้งเพื่อบูชา “พระแม่โพสพ” และแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ เป้าหมายลึกซึ้งกว่าการเฉลิมฉลอง คือการทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับผืนดินและข้าวปลาอาหารที่หล่อเลี้ยงชีวิต ตลอดจนร้อยสายใยคนในชุมชนให้แน่นแฟ้น

สัญลักษณ์เด่นที่สุดของงานคือ “การโล้ชิงช้า” ซึ่งถูกมอบความหมายเชิงยกย่องบทบาทของสตรีชาวอาข่า ในเทศกาลนี้หญิงสาวจะสวมชุดประจำเผ่าที่ประดับงานโลหะ ลูกปัด และเครื่องตกแต่งแฮนด์เมดอันละเอียดอ่อน ออกมาโล้ชิงช้าอย่างสง่างาม ถึงพร้อมด้วยความสนุกและกิริยามารยาทที่อยู่บนฐานของมารยาทชุมชน ในสายตาคนนอก นี่คือภาพงดงามทางสุนทรียะ แต่สำหรับชาวอาข่า มันคือ “การประกาศตัวตน”—การสืบสานวิถีชีวิตและบทบาทสตรีที่มีเกียรติในโครงสร้างสังคมของชนเผ่า

แผนงาน 3 พื้นที่—หนึ่งอัตลักษณ์ร่วม

เทศกาลปี 2568 มิได้มีเพียง “บ่อฉ่องตุ๊” แห่งแม่ฟ้าหลวงเท่านั้น หากยังจัดต่อเนื่องในพื้นที่ชุมชนอาข่าชื่อดังของอำเภอแม่สาย ตาม กำหนดการในข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม ดังนี้

  • โล้ชิงช้าอาข่าบ้านผาฮี้ อ.แม่สาย : วันที่ 4–8 กันยายน 2568
  • โล้ชิงช้าอาข่าบ้านผาหมี อ.แม่สาย : วันที่ 6–8 กันยายน 2568
  • โล้ชิงช้า “บ่อฉ่องตุ๊” บ้านสามแยกอาข่า อ.แม่ฟ้าหลวง : วันที่ 6–7 กันยายน 2568

แม้จะต่างวันและต่างพื้นที่ แต่ทั้งสามต่างยึดแก่นพิธีเดียวกัน—การสำนึกในบุญคุณผืนดินและบรรพบุรุษพร้อมการเฉลิมฉลองชุมชน รายละเอียดปลีกย่อยในแต่ละชุมชนสะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ผสานอยู่ภายใต้ “รากเดียวกัน” ของอาข่า และนี่คือเสน่ห์ซึ่งนักเดินทางสมัยใหม่ที่มองหาประสบการณ์แท้ (authentic) ให้ความสนใจ

วัตถุประสงค์ชัด 4 ข้อ—โมเดลจัดงานที่วางบนฐานความยั่งยืน

นายปิยะเดช เชิงพิทักษ์กุล นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่สลองใน ย้ำถึงแกนกลางของงานว่า เทศกาลนี้มิใช่เพียง “งานรื่นเริง” แต่คือเครื่องมือสร้างความยั่งยืนให้ชุมชน โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 4 ประการ

  1. ฟื้นฟูประเพณี–พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม: ให้คนมา “เห็น–เข้าใจ–เคารพ” วิถีชนเผ่า ผ่านพิธีกรรมและกิจกรรมที่ชุมชนออกแบบ
  2. เสริมความเข้มแข็งและสามัคคี: ทุกเพศวัยมีบทบาทร่วมในงาน เกิดความภูมิใจและเป็นเจ้าของมรดกร่วม
  3. ปลูกจิตสำนึกเยาวชน: ถ่ายทอดความรู้ ขนบธรรมเนียม และบทบาทหน้าที่ทางวัฒนธรรมสู่คนรุ่นใหม่
  4. สืบทอดวิถีชนเผ่า: ให้ประเพณียัง “มีชีวิต” ไม่ใช่แค่ “จัดแสดง”

การกำหนดเป้าหมาย “เชิงสังคม–เชิงวัฒนธรรม–เชิงเศรษฐกิจ” ควบคู่กัน ทำให้งานนี้กลายเป็นต้นแบบการใช้วัฒนธรรมสร้างคุณค่าใหม่ (value creation) โดยไม่ทำลายแก่นแท้—ตรงกับหลักคิด “ท่องเที่ยวรับผิดชอบและยั่งยืน” ที่สังคมไทยและโลกกำลังมุ่งไป

กิจกรรมแน่นตลอดสองวัน—จากพิธีกรรมสู่เวทีสร้างสรรค์

ภายในงาน บ่อฉ่องตุ๊ 2568 ชุดกิจกรรมถูกออกแบบให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสทั้งพิธีกรรม วิถีชีวิต และความบันเทิงร่วมสมัย (ข้อมูลจาก ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม) อาทิ

  • พิธีและการละเล่นโล้ชิงช้า (ไฮไลต์ของงาน)
  • การละเล่นชิงช้าสวรรค์ และ การแสดงกระทุ้งกระบอกไม้ไผ่
  • เดินแบบชุดชาติพันธุ์อาข่า โชว์ศิลปะการแต่งกายอย่างเป็นระบบ
  • ประกวดประกอบอาหารชนเผ่า เปิดพื้นที่ให้สูตรดั้งเดิม–ดัดแปลงร่วมสมัย
  • การแสดงของพี่น้องรวม 7 ชนเผ่า สะท้อนความหลากหลายชาติพันธุ์บนดอย
  • นิทรรศการชุมชน และ ตลาดชนเผ่า” จำหน่ายผลิตภัณฑ์พื้นถิ่น
  • การแสดงจาก ศิลปินดาราชื่อดังชาวอาข่า เพิ่มสีสันยามค่ำคืน (มีการจัดพื้นที่นั่งโต๊ะแบบจองล่วงหน้า เพื่อความเรียบร้อยของงาน)

โครงสร้างกิจกรรมแบบ “พิธี–เรียนรู้–สร้างสรรค์–แบ่งปันรายได้” ทำให้งานไม่เพียงดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่ยังคืนรายได้สู่ครัวเรือนชุมชน ตั้งแต่กลุ่มแม่บ้านเครื่องประดับงานปัก ผู้สูงวัยที่เชี่ยวชาญงานฝีมือ ไปจนถึงเยาวชนที่ได้แสดงความสามารถบนเวทีร่วมสมัย

Soft Power ชนเผ่าบนฐานความเคารพ—ทางรอดของท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

เมื่อคำว่า “Soft Power” กลายเป็นยุทธศาสตร์ชาติ การผลักดันให้ วัฒนธรรมชนเผ่าอาข่า ก้าวออกสู่สาธารณะโดย เจ้าของวัฒนธรรมเป็นผู้นำ คือคำตอบที่ถูกทาง เทศกาลโล้ชิงช้า ทำให้โลกเห็น “ทุนทางวัฒนธรรม” ที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ตั้งแต่อาหาร เครื่องแต่งกาย พิธีกรรม ดนตรี ไปจนถึงเรื่องเล่าปากต่อปากที่ถ่ายทอดผ่านผู้นำชุมชนและผู้เฒ่าผู้แก่

อย่างไรก็ดี ความสำเร็จด้านภาพลักษณ์ต้องเดินคู่กับ หลักการคุ้มครองมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (intangible cultural heritage) ในเชิงปฏิบัติ—เช่น การกำหนดขอบเขตการถ่ายภาพบางช่วงพิธี การขออนุญาตก่อนบันทึกเสียง–ภาพ การซื้อสินค้า/อาหารจากร้านชุมชนจริง และการแต่งกายสุภาพในการร่วมงาน ทั้งหมดคือ “กติกาแห่งความเคารพ” ที่ทำให้งานเติบโตอย่างมีศักดิ์ศรีและยั่งยืน

เส้นทางสู่ความยั่งยืนข้อเสนอเชิงระบบจากบทเรียนพื้นที่

จากประสบการณ์การจัดงานซ้ำต่อเนื่องในหลายชุมชน ผู้สื่อข่าวสรุป “ข้อเสนอเชิงระบบ” ที่สะท้อนจาก ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม และข้อเท็จจริงหน้างานดังนี้

  1. ปฏิทินท่องเที่ยวร่วมเดียวกัน: รวมทุกงานโล้ชิงช้าในจังหวัดไว้ในหน้าเดียว (ออนไลน์/ออฟไลน์) กำหนดเวลา–สถานที่–ข้อควรรู้ให้เข้าใจง่าย ลดความสับสนของนักท่องเที่ยว
  2. เส้นทางเข้า–ออกและจุดจอดรถชัดเจน: โดยเฉพาะพื้นที่ภูเขา ทางคดเคี้ยว—ต้องมีแผนผังภาษาไทย–อังกฤษ–จีน พร้อมระบบรถรับ–ส่งจากจุดจอด
  3. มาตรฐานค้าขายชุมชน: ป้ายราคาเดียวกัน ชื่อสินค้า–แหล่งผลิตชัดเจน หนุนให้ “ตลาดชนเผ่า” เป็นหน้าต่างเศรษฐกิจของบ้านตนเองจริง ๆ
  4. พื้นที่เรียนรู้สำหรับเยาวชน: จัดมุมเวิร์กช็อปงานฝีมือ/การเล่าเรื่องโดยผู้เฒ่าผู้แก่ เพื่อ “ต่อสายใย” ระหว่างรุ่น
  5. คู่มือผู้เยี่ยมเยือน (Visitor Code): ข้อพึงระวังในพิธี กติกาการถ่ายภาพ การแต่งตัว และการมีส่วนร่วมอย่างเคารพ

มาตรการเหล่านี้ไม่ใช่แค่เพื่อ “ความเรียบร้อย” แต่เป็น “ระบบนิเวศ” ที่รักษาสมดุลระหว่างการท่องเที่ยวกับศักดิ์ศรีของวัฒนธรรม

จากลานชิงช้าสู่ความทรงจำร่วมปลายทางของเรื่องเล่า

เมื่อเสาสูงทั้งสี่ถูกผูกเข้าหากันเป็นชิงช้าขนาดใหญ่ และเชือกเส้นสุดท้ายถูกขึงตึงโดยมือของผู้อาวุโส—เสียงโห่ร้องของเด็ก ๆ คลอไปกับบทสวดสั้น ๆ ในภาษาชุมชน พรุ่งนี้คือวันสุดท้ายของพิธีในปีนี้ วันที่ทั้งหญิงและชายจะได้ “โล้ชิงช้า” ร่วมกันตามครรลอง เป็นการปิดพิธีอย่างรื่นเริงและสำรวมในคราเดียวกัน

ในมุมของนักเดินทาง นี่คือเทศกาลที่ “ต้องไปให้เห็นด้วยตา” สักครั้งหนึ่งในชีวิต แต่ในมุมของชุมชนอาข่า มันคือ “ชีวิตประจำปี” ที่กลับมาเติมเต็มความทรงจำร่วมของผู้คน—ยืนยันว่ารากเหง้าที่ยืนหยัดอยู่บนดอยสูงยังคงแข็งแรง และพร้อมส่งต่อสู่สายตาโลกด้วยภาษาวัฒนธรรมของตนเอง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.)
  • องค์การบริหารส่วนตำบลแม่สลองใน (อบต.)
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

ดอยแม่สลอง จากวีรชนผู้พลัดถิ่น สู่ความรุ่งเรืองแห่ง “เมืองสามวัฒนธรรม”

จากสงครามสู่สันติภาพ – อนุสรณ์สถานวีรชนดอยแม่สลองเล่าเรื่องราว “กองพลพลัดถิ่น” สู่ชุมชนรุ่งเรือง

เชียงราย,5 กันยายน 2568 – บนเนินเขาสูงของดอยแม่สลอง ที่ระดับความสูง 1,200 เมตร ณ บ้านสันติคีรี อำเภอแม่ฟ้าหวง จังหวัดเชียงราย ตั้งหยัดอยู่อนุสรณ์สถานแห่งหนึ่งที่เล่าเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของการเปลี่ยนผ่านจากความขัดแย้งสู่ความสงบสุข จากผู้พลัดถิ่นสู่ชุมชนที่รุ่งเรือง และจากความหวาดกลัวสู่ความหวังแห่งอนาคต

เมื่อแสงแรกของยามเช้าส่องผ่านหมอกเบาบางลงมายังสถาปัตยกรรมจีนอันงดงามของอนุสรณ์สถานวีรชนอดีตทหารจีนคณะชาติภาคเหนือ ภาพที่ปรากฏต่อหน้าผู้มาเยือนไม่ได้เป็นเพียงแค่อาคารที่สวยงาม แต่เป็นประตูบานใหญ่ที่เปิดเข้าสู่เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ไม่เหมือนใคร

บทเปิดแห่งความทรงจำ จากยูนนานสู่ดอยแม่สลอง

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1940 เมื่อสงครามกลางเมืองจีนได้ส่ายคลื่นความขัดแย้งไปทั่วทวีปเอเชียตะวันออก ภายหลังสงครามกลางเมืองจีนสิ้นสุดลงใน พ.ศ. 2492 บางส่วนของกองกำลังพรรคก๊กมินตั๋งปฏิเสธที่จะยอมจำนน รวมทั้งกองพล 93 นำโดยพลเอกต้วน ซีเหวิน

นายสุรศักดิ์ ทวีอภิรดีไข่มุข นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่สลองนอก เล่าถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวนี้ว่า “กองพล 93 และกองพล 193 เป็นกองกำลังที่ไม่ยอมจำนนต่อการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ พวกเขาต้องถอนกำลังออกจากมณฑลยูนนาน ประมาณ 20,000 คน และเข้าสู่ดินแดนพม่าในขณะแรก”

แต่ชะตากรรมไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้น จนถึงปี 2497 สหประชาชาติ ได้เข้ามาประสานงานให้มีการอพยพกองกำลังส่วนหนึ่งไปยังไต้หวัน แต่ทหารจำนวนมากที่นำโดยนายพลต้วน ซีเหวิน ได้เลือกที่จะขอลี้ภัยในประเทศไทย

การเปลี่ยนโฉมหน้าจากผู้ลี้ภัยสู่ผู้พิทักษ์แผ่นดิน

การตัดสินใจที่จะอยู่ในประเทศไทยของกองพล 93 ไม่ได้เป็นเพียงการหาที่อยู่อาศัย แต่กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของประวัติศาสตร์ไทย เมื่อรัฐบาลไทยต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามเย็น

“กองพล 93” ร่วมทัพไทยขับไล่คอมมิวนิสต์ ลุยทุกสมรภูมิทั้งผาตั้ง-ดอยยาว ผาหม่น ไปจนถึงเขาค้อ ก่อนตั้งถิ่นฐานดอยแม่สลอง การต่อสู้เหล่านี้เกิดขึ้นระหว่างปี 2514-2528 และเป็นการต่อสู้ที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตและเลือดเนื้อ

นายสุรศักดิ์เล่าต่อด้วยสีหน้าที่เคารพในผู้เสียสละ “การต่อสู้ครั้งนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่การสู้รบทางทหาร แต่เป็นการต่อสู้เพื่อปกป้องอุดมการณ์ประชาธิปไตยและความเป็นอิสระ มีอดีทหารจีนคณะชาติจำนวนมากเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บทุพพลภาพจากการสู้รบในครั้งนั้น”

อนุสรณ์สถาน สัญลักษณ์แห่งความกตัญญูและการเริ่มต้นใหม่

เพื่อเป็นการตอบแทนการเสียสละอันยิ่งใหญ่นี้ รัฐบาลไทยได้พิจารณาให้สิทธิ์พิเศษแก่กองกำลังเหล่านี้ เริ่มตั้งแต่การอนุมัติให้อาศัยในฐานะผู้อพยพในปี 2513 และต่อมาได้อนุญาตให้แปลงสัญชาติเป็นคนไทยได้ในปี 2521 และ 2527

บนพื้นฐานของความกตัญญูต่อการเสียสละนี้ อนุสรณ์สถานวีรชนจึงถูกสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมจีนอันงดงาม ประกอบด้วยอาคารหลักสามหลังที่เรียงตัวเป็นรูปตัวยู และมีอาคารอนุสรณ์สถานตั้งอยู่ตรงกลาง

การจัดแสดงภายในอนุสรณ์สถานได้รับการออกแบบอย่างประณีตเพื่อเล่าเรื่องราวอันสมบูรณ์ โดยอาคารที่ 1 ด้านซ้ายจัดแสดงประวัติศาสตร์การทหารของกองพล 93 ตั้งแต่ความขัดแย้งในยูนนานปี 2492 และการสู้รบในพม่า ส่วนอาคารตรงกลางเป็นอนุสรณ์สถานหลักที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารที่เสียชีวิตในการสู้รบ และอาคารที่ 2 และ 3 ด้านขวาเล่าเรื่องราวหลังสงคราม โดยเน้นไปที่โครงการพัฒนาชุมชนและความเจริญที่ตามมา

การปฏิวัติเศรษฐกิจ จากไร่ฝิ่นสู่ไร่ชาระดับโลก

หนึ่งในความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชุมชนบ้านสันติคีรี คือการเปลี่ยนผ่านจากพื้นที่ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตยาเสพติดในสามเหลี่ยมทองคำ มาเป็นศูนย์กลางการผลิตชาที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย

“ดอยแม่สลองเคยเป็นแหล่งผลิตเฮโรอีนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” นายสุรศักดิ์อธิบาย “แต่หลังจากกองกำลังติดอาวุธถูกขับไล่ออกไป รัฐบาลไทยได้เข้าควบคุมพื้นที่และริเริ่มโครงการปลูกพืชทดแทนฝิ่นอันเนื่องมาจากพระราชดำริ”

ผลลัพธ์ของโครงการนี้เกินความคาดหมาย ปัจจุบันดอยแม่สลองได้กลายเป็นแหล่งปลูกชาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีกำลังการผลิตชาอูหลงกว่า 80% ของจังหวัดเชียงราย ชาที่ปลูกบนความสูงเฉลี่ย 1,200 เมตร ในสภาพอากาศที่หนาวเย็น ให้รสชาติที่หอมกรุ่นและมีคุณภาพระดับพรีเมี่ยม

นอกจากชาแล้ว ชุมชนยังประสบความสำเร็จในการปลูกกาแฟอะราบิกาและพืชเมืองหนาวอื่นๆ จนได้รับการยอมรับให้เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยว OTOP จากผลิตภัณฑ์ชาคุณภาพดี

วัฒนธรรมสามแผ่นดินเสน่ห์แห่งเมืองสามวัฒนธรรม

ความสำเร็จทางเศรษฐกิจเป็นเพียงด้านหนึ่งของเรื่องราว ด้านที่น่าประทับใจไม่น้อยคือการที่ชุมชนบ้านสันติคีรี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวไทยเชื้อสายจีนยูนนาน ได้ผสมผสานและรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้ในชีวิตประจำวัน

การเดินเข้าไปในหมู่บ้านเปรียบเสมือนการเดินทางผ่านกาลเวลาไปยังดินแดนจีนยูนนาน ร้านอาหารมากมายเสิร์ฟเมนูขึ้นชื่อ เช่น ขาหมูหมั่นโถว ผัดยอดฟักแม้ว ผัดหมี่ยูนนาน และไก่ดำตุ๋นตังกุย ที่ยังคงความเป็นต้นตำรับไว้อย่างครบถ้วน

เทศกาลประจำปี “งานมหัศจรรย์ชา ซากุระบาน อาหารชนเผ่า” ที่จัดขึ้นที่บริเวณอนุสรณ์สถานในช่วงปลายเดือนธันวาคมถึงต้นเดือนมกราคม เป็นการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมจีน ไทย และชาวเขาที่อยู่ในพื้นที่ สร้างเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใครให้กับนักท่องเที่ยว

เส้นทางแห่งประวัติศาสตร์ การเดินทางที่สมบูรณ์

การเยี่ยมชมอนุสรณ์สถานวีรชนเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของ “เส้นทางประวัติศาสตร์” ที่เชื่อมโยงสถานที่สำคัญต่างๆ เข้าด้วยกัน

สุสานนายพลต้วน ซีเหวิน ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากอนุสรณ์สถาน สร้างขึ้นในปี 2523 ด้วยหินอ่อนทั้งหมด เป็นสถานที่สำคัญที่นักท่องเที่ยวเชื้อสายจีนนิยมขึ้นไปกราบเคารพ

ปลายทางของการเดินทางคือพระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคีรี ที่ตั้งอยู่บนยอดดอยที่สูงที่สุดที่ระดับ 1,500 เมตร เจดีย์ทรงล้านนาประยุกต์นี้สร้างขึ้นในปี 2539 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการผนวกรวมและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างแท้จริง

ข้อมูลสำหรับผู้เดินทาง

สำหรับผู้ที่สนใจเยี่ยมชมอนุสรณ์สถานวีรชน สถานที่แห่งนี้เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 08:00-17:00 น. ตั้งอยู่ที่ บ้านสันติคีรี ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย มีค่าเข้าชมสำหรับคนไทย 30 บาท และชาวต่างชาติ 50 บาท

การเดินทางสามารถใช้รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ได้ แม้ถนนจะมีความชันและคดเคี้ยว แต่รถเก๋งก็สามารถขึ้นไปได้ มีเส้นทางให้เลือกหลายสาย โดยเส้นทางหลักคือจากอำเภอเมืองเชียงราย ใช้ทางหลวงหมายเลข 1089 ผ่านอำเภอแม่จัน

มรดกที่คงอยู่บทเรียนแห่งการผสานวัฒนธรรม

เมื่อแสงแดดยามบ่ายค่อยๆ ลับขอบฟ้าลงไปเบื้องหลังเทือกเขา ทิวทัศน์อันสวยงามจากดอยแม่สลองสะท้อนให้เห็นภาพของความสำเร็จที่ไม่ธรรมดา จากดินแดนแห่งความขัดแย้งกลายเป็นชุมชนที่รุ่งเรือง จากผู้พลัดถิ่นกลายเป็นชาวไทยที่ภาคภูมิใจ

อนุสรณ์สถานวีรชนไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยวหรือพิพิธภัณฑ์ธรรมดา แต่เป็นสัญลักษณ์ของความหวังที่ว่า ความขัดแย้งและการพลัดถิ่นสามารถกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างอนาคทีที่ดีกว่าได้ เป็นพยานแห่งการที่ความแตกต่างทางวัฒนธรรมสามารถหลอมรวมเป็นความงดงามได้

เรื่องราวของกองพล 93 และการเปลี่ยนผ่านของดอยแม่สลอง จึงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องราวในอดีต แต่เป็นบทเรียนสำคัญที่สะท้อนถึงความยืดหยุ่น ความเสียสละ และพลังของการหลอมรวมทางวัฒนธรรม ที่ยังคงมีความหมายและให้แรงบันดาลใจแก่คนรุ่นหลังในยุคปัจจุบัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • วิกิพีเดียภาษาไทย: หมู่บ้านสันติคีรี
  • ข้อมูลจากสถาบันวิจัยประวัติศาสตร์ไทย
  • ข่าวจากผู้จัดการออนไลน์ เรื่อง “51 ปีไม่เคยลืม! ลูกหลานจีนคณะชาติรำลึกวีรกรรม กองพล 93”
  • สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม
  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
  • ถ่ายภาพโดย :กีรติ ชุติชัย
  • บทความโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

“บ้านลิไข่” เชียงราย แลนด์มาร์คฮีลใจใหม่ ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

บ้านลิไข่” แลนด์มาร์คลับแห่งใหม่ เชียงราย ขานรับเทรนด์ท่องเที่ยวฮีลใจ พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

เชียงราย, 31 สิงหาคม 2568 – ในยุคที่ผู้คนต้องการหลีกหนีจากความเร่งรีบของชีวิตเมือง “บ้านลิไข่” ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลนางแล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย กำลังกลายเป็นจุดหมายปลายทางใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวกลุ่มที่แสวงหาการเยียวยาจิตใจผ่านการสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด

การค้นพบแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้เริ่มต้นจากการที่ชุมชนท้องถิ่นร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับความงามที่ซ่อนเร้นของนาขั้นบันไดบริเวณนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติแม่ข้าวต้ม-ห้วยลึก

จากหมู่บ้านเล็กๆ สู่แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

บ้านลิไข่เดิมเป็นหมู่บ้านย่อยของบ้านนางแลใน หมู่ที่ 7 ที่เป็นที่อยู่อาศัยของชาวเขาเผ่าอาข่าและลาหู่ ชุมชนเล็กๆ แห่งนี้มีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะการทำนาขั้นบันไดที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นเมื่อชุมชนเริ่มตระหนักถึงศักยภาพทางการท่องเที่ยวของพื้นที่ตนเอง จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือการจัดกิจกรรม “LI KHAI Nature Walk” เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2566 ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงการส่งเสริมการท่องเที่ยวธรรมดา แต่เป็นการผสมผสานระหว่างการอนุรักษ์ธรรมชาติเข้ากับการสร้างรายได้ให้ชุมชน

“การจัดกิจกรรมครั้งนั้นไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่การดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่เราต้องการระดมทุนเพื่อสร้างห้องน้ำและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการรองรับนักท่องเที่ยว” ข้อมูลจากการดำเนินการของชุมชนระบุ

ผลลัพธ์จากความมุ่งมั่นนี้ปรากฏชัดเจนในรูปแบบของการพัฒนาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีรายได้จากการท่องเที่ยว ชุมชนได้นำเงินกลับมาลงทุนในการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก ซึ่งส่งผลให้ประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวดียิ่งขึ้น สร้างกระแสบอกต่อที่เป็นบวก และดึงดูดผู้มาเยือนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ดัชนีความงาม วิเคราะห์สถิติและข้อมูลเชิงลึก

การวิเคราะห์ข้อมูลการเดินทางแสดงให้เห็นถึงจุดเด่นที่ทำให้บ้านลิไข่แตกต่างจากแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ในจังหวัดเชียงราย โดยหากพิจารณาจากระยะทางจากตัวเมือง บ้านลิไข่อยู่ห่างจากตัวเมืองเพียง 20-26 กิโลเมตร และใช้เวลาเดินทางจากสนามบินแม่ฟ้าหลวงเพียง 25 นาที ทำให้เข้าถึงได้ง่ายกว่าแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ห่างไกลอื่นๆ

สถิติที่น่าสนใจคือระยะทางการเดินเท้าในเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ซึ่งมีความยาวประมาณ 2-3 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินโดยเฉลี่ย 1-1.5 ชั่วโมง สำหรับการไปเที่ยวเดียว ความยาวเส้นทางนี้ถือเป็นจุดสมดุลที่เหมาะสมระหว่างการท้าทายตัวเองกับความสามารถในการเข้าถึงของนักท่องเที่ยวทั่วไป ไม่ยากเกินไปจนท้อแท้ แต่ก็ไม่ง่ายเกินไปจนขาดความรู้สึกของการผจญภัย

เมื่อเปรียบเทียบกับแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอื่นๆ เช่น บ้านป่าบงเปียงในจังหวัดเชียงใหม่ ผู้มาเยือนได้ให้ความเห็นว่าบรรยากาศและทะเลหมอกยามเช้าที่บ้านลิไข่มีความอลังการที่ไม่แพ้กัน แต่ยังคงความเงียบสงบและเป็นธรรมชาติมากกว่า การเปรียบเทียบนี้มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์การตลาด เนื่องจากสื่อสารไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีประสบการณ์และเข้าใจถึงคุณค่าของสถานที่ที่ยังคงความบริสุทธิ์

วิถีธรรมชาติบำบัด เส้นทางสู่การฟื้นฟูจิตใจ

หัวใจสำคัญของประสบการณ์การเยือนบ้านลิไข่อยู่ที่การเดินบนเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ถูกออกแบบมาให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับสภาพแวดล้อมอย่างใกล้ชิด เส้นทางแบ่งออกเป็นจุดหลัก 3 กิโลเมตร ประกอบด้วย กิโลเมตรแรกเป็นจุดยิงก๋งตรงป่าสัก กิโลเมตรที่ 2 เป็นนาขั้นบันไดจุดที่ 1 และกิโลเมตรที่ 3 เป็นจุดชมวิว

การเดินตลอดเส้นทางนี้ให้ประสบการณ์ที่หลากหลายและครอบคลุมระบบนิเวศที่แตกต่างกัน นักเดินทางจะได้เดินผ่านป่าไผ่ที่ให้ร่มเงาเย็นสบาย ลำธารเล็กๆ ที่ส่งเสียงเซาเซา และไร่ข้าวโพดที่แสดงให้เห็นถึงการทำเกษตรของชาวบ้าน ตลอดการเดินจะได้ยินเสียงนกร้องและเสียงน้ำตกที่ดังแว่วมาเป็นเพลงประกอบธรรมชาติ

จุดหมายปลายทางหลักคือนาขั้นบันไดที่มีความงดงามเป็นพิเศษในช่วงฤดูฝน เมื่อนาจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวขจีสดใส เป็นภาพที่สร้างความประทับใจและเป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยม สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ ยังมีจุดพิเศษต่างๆ ที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ เช่น สะพานไม้ ชิงช้า ป้ายจุดชมวิว โขดหิน และกระจกที่สะท้อนวิวเส้นทางเดิน

มิติเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ตัวเลขและผลกระทบ

การพัฒนาการท่องเที่ยวในบ้านลิไข่สะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่น่าสนใจ โดยมีตัวเลือกที่พักที่หลากหลายเพื่อรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อและความต้องการที่แตกต่างกัน

โฮมสเตย์ในหมู่บ้านมีราคาอยู่ที่ประมาณ 700 บาทต่อคน ซึ่งรวมอาหารเย็นและอาหารเช้า นับเป็นราคาที่เข้าถึงได้สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป ในขณะที่นักเดินทางสายประหยัดสามารถเลือกตั้งแคมป์ได้ด้วยค่าธรรมเนียมเพียง 50 บาทต่อเต็นท์ ข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการวางแผนทางเศรษฐกิจที่มีเป้าหมายให้การท่องเที่ยวเป็นประโยชน์ต่อชุมชนโดยไม่สร้างอุปสรรคทางการเงินที่มากเกินไป

ความสำเร็จของแบบจำลองนี้สามารถมองเห็นได้จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากการสร้างห้องน้ำสำหรับนักท่องเที่ยว การจัดเตรียมจุดจอดรถ และการพัฒนาจุดถ่ายภาพต่างๆ ที่กลมกลืนกับธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้เป็นผลมาจากรายได้ที่เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยวที่ถูกนำกลับมาใช้เพื่อปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก

นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาธุรกิจเสริมในรูปแบบของร้านอาหารและคาเฟ่ที่ออกแบบให้กลมกลืนกับธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น คาเฟ่ที่ตั้งอยู่ริมลำธารจากน้ำตกนางแล ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถนั่งพักผ่อนและแช่เท้าในน้ำได้ รวมถึงคาเฟ่ยอดนิยมอย่าง “คาเฟ่ คาใจ” และ “Foreste’ Camp&Cafe'”

ผลกระทบเชิงสังคมและวัฒนธรรม

การท่องเที่ยวที่บ้านลิไข่ไม่ได้เป็นเพียงการมอบประสบการณ์ให้กับนักเดินทางเท่านั้น แต่ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น โดยเฉพาะในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ ที่นักท่องเที่ยวจะมีโอกาสได้เห็นชาวบ้านในชุดประจำเผ่า ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้และซึมซับวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างแท้จริง

การได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของชุมชนชาวเขาที่ยังคงรักษาประเพณีและภูมิปัญญาการทำเกษตรแบบขั้นบันไดไว้ได้ ทำให้การเดินทางมีมิติที่ลึกซึ้งกว่าการท่องเที่ยวธรรมดา นักท่องเที่ยวไม่ได้เป็นเพียงผู้ชม แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนให้วัฒนธรรมและวิถีชีวิตดั้งเดิมสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้

ความท้าทายและโอกาสในอนาคต

แม้ว่าบ้านลิไข่จะมีศักยภาพทางการท่องเที่ยวสูง แต่ก็ยังมีความท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไข เส้นทางการเดินทางในช่วงสุดท้ายก่อนถึงหมู่บ้านมีลักษณะแคบและมีความลาดชัน ผู้ที่เดินทางด้วยรถยนต์ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่ถนนอาจลื่นมาก นักเดินทางจำนวนไม่น้อยจึงเลือกจอดรถไว้ที่จุดจอดใกล้กับคาเฟ่ แล้วเดินเท้าหรือใช้มอเตอร์ไซค์ต่อไป

อีกความท้าทายหนึ่งคือการจำกัดของสิ่งอำนวยความสะดวก โฮมสเตย์ส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้เรียบง่าย ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น และไฟฟ้ามีจำกัดเพียงพอสำหรับแสงสว่าง ไม่เพียงพอสำหรับการชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ นักท่องเที่ยวจึงต้องเตรียมพาวเวอร์แบงค์ไปด้วย บางพื้นที่ยังไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ที่เสถียร ทำให้ต้องพกเงินสดติดตัวไป

กลยุทธ์การท่องเที่ยวตามฤดูกาล

การวิเคราะห์รูปแบบการท่องเที่ยวแสดงให้เห็นว่าแต่ละช่วงเวลาจะมอบประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ช่วงฤดูฝนจะให้ประสบการณ์ของธรรมชาติที่เขียวขจีและสดชื่นที่สุด บรรยากาศเย็นสบายทำให้การเดินเท้าไม่ร้อนจนเกินไป ในขณะที่ฤดูหนาวจะมีโอกาสสูงที่จะได้เห็นทะเลหมอกปกคลุมภูเขาในยามเช้า

นักท่องเที่ยวที่ต้องการประสบการณ์ทางวัฒนธรรมควรพิจารณาการเดินทางในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ เนื่องจากจะมีโอกาสได้เห็นชาวบ้านแต่งกายด้วยชุดประจำเผ่า ซึ่งเป็นการเติมเต็มประสบการณ์การเดินทางให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

เทรนด์การท่องเที่ยวฮีลใจและผลกระทบต่ออุตสาหกรรม

ปรากฏการณ์ของบ้านลิไข่สะท้อนให้เห็นถึงเทรนด์การท่องเที่ยวในยุคปัจจุบันที่เน้นการ “ฮีลใจ” หรือการฟื้นฟูจิตใจผ่านการสัมผัสธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลมาจากความเครียดและความกดดันในสังคมเมือง การที่สถานที่แห่งนี้ถูกบรรยายว่าเป็น “การเยียวยาจิตใจ” และ “การเดินทางที่คุ้มค่ามาก” แสดงให้เห็นว่าคุณค่าของการท่องเที่ยวไม่ได้อยู่ที่ความหรูหราหรือความสะดวกสบายเท่านั้น แต่อยู่ที่ความสามารถในการสร้างประสบการณ์ที่มีความหมายและสร้างการเชื่อมต่อกับธรรมชาติ

การเติบโตของบ้านลิไข่ในฐานะแหล่งท่องเที่ยวยังชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ขับเคลื่อนโดยชุมชนในประเทศไทย รูปแบบการพัฒนาที่เริ่มจากภายในชุมชนและขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปนี้ สามารถเป็นต้นแบบสำหรับพื้นที่อื่นๆ ที่มีศักยภาพคล้ายคลึงกัน

คำแนะนำสำหรับนักเดินทาง

สำหรับผู้ที่สนใจเดินทางไปยังบ้านลิไข่ ควรเตรียมตัวโดยเลือกรองเท้าที่เหมาะสมกับการเดินป่าและมีคุณสมบัติกันลื่น โดยเฉพาะในฤดูฝน ควรพกพาวเวอร์แบงค์และเงินสดติดตัวไป เนื่องจากอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในพื้นที่ยังมีข้อจำกัด

ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือปัญหาสุขภาพ เช่น หอบหืด ควรพิจารณาถึงระยะทางการเดินเท้าที่ค่อนข้างไกลและเตรียมยาประจำตัวให้เพียงพอ แม้ว่าเส้นทางจะไม่ชันมากนักและเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น แต่การเดินเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรยังคงต้องใช้สมรรถภาพทางร่างกายในระดับหนึ่ง

อนาคตของการท่องเที่ยวยั่งยืน

บ้านลิไข่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการท่องเที่ยวที่สร้างผลลัพธ์ในหลายมิติ ทั้งการอนุรักษ์ธรรมชาติ การสืบทอดวัฒนธรรม การสร้างรายได้ให้ชุมชน และการมอบประสบการณ์ที่มีคุณภาพให้กับนักท่องเที่ยว ความสำเร็จในการพัฒนาสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลมาจากการวางแผนอย่างรอบคอบและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

สำหรับนักเดินทางที่ต้องการมากกว่าการพักผ่อนธรรมดา แต่ต้องการประสบการณ์การ “ค้นพบ” และการ “เยียวยาจิตใจ” ที่แท้จริง บ้านลิไข่จึงเป็นคำตอบที่สมบูรณ์แบบ การเดินทางมายังที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้ได้พบกับความงามของธรรมชาติ แต่ยังเป็นการมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

ในขณะที่แหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งกำลังเผชิญกับปัญหาการท่องเที่ยวมากเกินพอ (Overtourism) บ้านลิไข่กลับสามารถรักษาสมดุลระหว่างการต้อนรับนักท่องเที่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้อย่างยอดเยี่ยม

มุมมองและทิศทางอนาคต

บ้านลิไข่เป็นตัวอย่างที่ดีของการท่องเที่ยวที่ชุมชนเป็นเจ้าของ (Community-Based Tourism) ที่สามารถสร้างรายได้ในระดับครัวเรือนและส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง การที่ชุมชนสามารถนำรายได้จากการท่องเที่ยวมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้วยตนเอง แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของชุมชนและความยั่งยืนของรูปแบบการท่องเที่ยวนี้

ความสำคัญกับการส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพแต่ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เพื่อกระจายนักท่องเที่ยวออกจากแหล่งท่องเที่ยวหลักและสร้างรายได้ให้กับชุมชนในพื้นที่” ทิศทางนี้สอดคล้องกับนโยบายการท่องเที่ยวยั่งยืนของประเทศไทยที่มุ่งเน้นการกระจายผลประโยชน์จากการท่องเที่ยวสู่ชุมชนท้องถิ่น

การจัดการผลกระทบสิ่งแวดล้อม

การพัฒนาการท่องเที่ยวในบ้านลิไข่ได้รับการดำเนินการภายใต้หลักการของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อย่างเคร่งครัด พื้นที่นี้อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแม่ข้าวต้ม-ห้วยลึก จึงมีข้อจำกัดทางกฎหมายและแนวทางปฏิบัติที่เข้มงวดในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

การสร้างจุดถ่ายภาพและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ได้รับการออกแบบให้กลมกลืนกับธรรมชาติและไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ วัสดุที่ใช้เป็นไม้และวัสดุธรรมชาติ การจัดวางตำแหน่งต่างๆ คำนึงถึงการไม่รบกวนเส้นทางเดินของสัตว์ป่าและการไหลของน้ำตามธรรมชาติ

การจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวโดยธรรมชาติผ่านข้อจำกัดของที่พักและการเข้าถึงที่ไม่ง่ายเกินไป ทำให้สามารถควบคุมผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เกิดปัญหาขยะล้นหรือการทำลายธรรมชาติจากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก

ข้อเสนอแนะสำหรับการพัฒนาต่อไป

แม้ว่าบ้านลิไข่จะมีพัฒนาการที่น่าชื่นชม แต่ยังมีพื้นที่สำหรับการปรับปรุงและพัฒนาต่อไป การปรับปรุงเส้นทางการเข้าถึงให้ปลอดภัยมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน จะช่วยให้นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

การพัฒนาระบบการสื่อสารและข้อมูลข่าวสารสำหรับนักท่องเที่ยว เช่น การติดตั้งป้ายบอกทางและข้อมูลเกี่ยวกับธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่นตลอดเส้นทาง จะเพิ่มมูลค่าทางการศึกษาและทำให้ประสบการณ์การเดินทางสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

การสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ในจังหวัดเชียงรายเพื่อสร้างเส้นทางท่องเที่ยวแบบครบวงจร จะช่วยยืดระยะเวลาการพำนักของนักท่องเที่ยวและเพิ่มรายได้ให้กับพื้นที่

ผลกระทบระดับชาติและภูมิภาค

ความสำเร็จของบ้านลิไข่มีนัยสำคัญในระดับที่กว้างขึ้น ในฐานะที่เป็นตัวอย่างของการท่องเที่ยวยั่งยืนที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่อื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงที่มีชุมชนชาวเขาและทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์

การที่นักท่องเที่ยวเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ที่ห่างไกลจากแหล่งท่องเที่ยวแออัด สร้างโอกาสให้กับชุมชนในพื้นที่ห่างไกลสามารถพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการท่องเที่ยว โดยไม่ต้องพึ่งพาการลงทุนจากภายนอกที่อาจนำมาซึ่งการสูญเสียการควบคุมในชุมชน

ความสำเร็จของบ้านลิไข่ยังส่งสัญญาณเชิงบวกต่อนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทยที่เน้นการกระจายการท่องเที่ยวสู่พื้นที่ใหม่และการสร้างคุณค่าจากทรัพยากรท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

การเดินทางไปยังบ้านลิไข่จึงไม่ได้เป็นเพียงการพักผ่อนหย่อนใจ แต่เป็นการมีส่วนร่วมในการสร้างแรงจูงใจให้ชุมชนอื่นๆ พัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวของตนเองในรูปแบบที่เคารพธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างเครือข่ายการท่องเที่ยวยั่งยืนที่แข็งแกร่งในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย
  • กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ข้อมูลเกี่ยวกับป่าสงวนแห่งชาติแม่ข้าวต้ม-ห้วยลึก)
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • ข้อมูลจากชุมชนบ้านลิไข่ ตำบลนางแล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

สวนนงนุชพัทยานั่งแท่นที่ปรึกษาภูมิทัศน์เมืองให้รัฐบาลบรูไน รับฉลองครองราชย์ 60 ปี

สวนนงนุชพัทยา “ส่งออกความเชี่ยวชาญ” นั่งที่ปรึกษาภูมิทัศน์ให้รัฐบาลบรูไนฯ ปรับโฉมเมืองรับฉลองครองราชย์ 60 ปี

ชลบุรี/บันดาร์เสรีเบกาวัน — บนผืนดินเขตร้อนของเกาะบอร์เนียว คณะทำงานจากเมืองพัทยาเดินสำรวจแนวถนนสายหลัก ละแวกสวนสาธารณะ และพื้นที่สีเขียวสำคัญในกรุงบันดาร์เสรีเบกาวันอย่างเป็นระบบ ระหว่างวันที่ 17–20 สิงหาคม 2568 ภารกิจครั้งนี้ไม่ใช่ทริปดูงาน แต่คือ “งานจริง” ที่รัฐบาลบรูไนดารุสซาลามเชิญ สวนนงนุชพัทยา ไปทำหน้าที่ ที่ปรึกษาด้านภูมิทัศน์และพัฒนาพื้นที่สีเขียว เพื่อยกระดับภาพลักษณ์เมืองและความพร้อมด้านสิ่งแวดล้อม ก่อนพิธีเฉลิมฉลอง ครองราชย์ครบ 60 ปี ของสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนฯ ซึ่งกำหนดจัดในปี พ.ศ. 2570

ภารกิจนำโดย นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา พร้อมคณะผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิทัศน์และพฤกษศาสตร์ ได้รับการต้อนรับโดย นายยาง เบอร์โฮมัต ดาโต๊ะ เสรี เซเตีย อาวัง ฮาจี มูฮัมหมัด จูอันดา บิน ฮาจี อับดุล ราชิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนา (Ministry of Development) และผู้บริหารระดับสูงของบรูไนฯ จุดประสงค์ตรงกัน—รีดีไซน์เมือง” ให้สวยงาม เป็นระเบียบ และเป็นมิตรต่อผู้คน ภายใต้กรอบความร่วมมือที่ตั้งชื่อเรียบง่ายแต่กินใจว่า “Friendship Garden” หรือ “สวนแห่งมิตรภาพ”

“Friendship Garden” จากแนวคิดสู่แผนปฏิบัติ 12 ถนนหลัก–4 สวนสาธารณะ–1 สวนสัตว์–1 สวนพฤกษศาสตร์

สาระการทำงานที่สรุปร่วมกันในเบื้องต้นสะท้อน “โจทย์ครบวงจร” ของการพัฒนาพื้นที่สีเขียวระดับเมือง ได้แก่

  • ปรับปรุงภูมิทัศน์ถนนสายหลักอย่างน้อย 12 สาย: เลือกชนิดไม้ที่เหมาะกับอากาศชื้นร้อนและสภาพดิน เพิ่มร่มเงาแต่ไม่บดบังทัศนวิสัย ออกแบบคอร์ริดอร์สีเขียวที่ต่อเนื่อง (green corridor) และกำหนดจุดพักสายตา/จุดพักคน
  • พัฒนาพื้นที่สาธารณะ “แกนกลางเมือง” 4 แห่ง: ปรับฟังก์ชันสวนสาธารณะให้รองรับครอบครัว ผู้สูงวัย และการละหมาดกลางแจ้ง ปรับระบบทางเดิน–จักรยานให้เข้าถึงได้จริง
  • ยกเครื่องสวนสัตว์และสวนพฤกษศาสตร์: เสริมบทบาทด้านการอนุรักษ์ การเรียนรู้สาธารณะ และเส้นทางตีความธรรมชาติ (interpretive trail) ที่เล่าเรื่องพืชพรรณเขตร้อนและภูมิปัญญาอาเซียน
  • พัฒนาคนก่อนพัฒนาพื้นที่: เปิดช่องให้บุคลากรกรมสิ่งแวดล้อมของบรูไนฯ มาฝึกปฏิบัติงานที่สวนนงนุชพัทยา—เรียนรู้ตั้งแต่เพาะชำ คัดเลือกพันธุ์ ปลูก–ตัดแต่ง–บำรุงรักษา ไปจนถึงวางแผนบูรณะเชิงระบบ

สิ่งที่สาธารณชนจับต้องได้ในช่วงเริ่มต้น คือภาพการร่วม ปลูกต้นไม้เชิงสัญลักษณ์ ระหว่างคณะไทย–บรูไนฯ เพื่อประกาศความร่วมมือระยะยาว ก่อนปิดท้ายภารกิจด้วยการจัดทำ “แนวทางปฏิบัติ” (implementation note) ส่งให้รัฐบาลบรูไนฯ ใช้เป็นกรอบออกแบบเชิงพื้นที่ต่อไป

ทำไม “สวนนงนุชพัทยา” ถึงถูกวางใจให้ทำงานเมืองในอาเซียน

ชื่อของสวนนงนุชไม่ใช่ผู้เล่นใหม่ในเวทีนานาชาติ จุดแข็งที่ต่างประเทศให้การยอมรับประกอบด้วย

  1. ฐานความรู้พฤกษศาสตร์และคอลเลกชันพันธุ์ไม้ขนาดใหญ่
    สวนนงนุชสะสมและแลกเปลี่ยนพันธุ์ไม้จากหลากถิ่นกำเนิดมายาวนาน มีบทบาทในเครือข่ายอนุรักษ์ทั้งไม้ปาล์ม ไซแคด และไม้วงศ์อื่นๆ การคุมคุณภาพ nursery, การเพาะเลี้ยง, และการจัดการแปลงภาคสนาม ทำให้ “ความสวย” ของภูมิทัศน์ยืนบน “วิทยาศาสตร์ของพืช” ไม่ใช่แค่จินตนาการ
  2. ผลงานออกแบบภูมิทัศน์ที่เป็นระบบ
    จาก “สวนท่องเที่ยว” สู่ “โครงสร้างพื้นฐานสีเขียว” (green infrastructure) สวนนงนุชชำนาญการบูรณาการองค์ประกอบแข็ง (hardscape) กับองค์ประกอบพืช (softscape) ให้ใช้งานได้จริง ดูแลง่าย และยั่งยืนในงบประมาณรัฐ
  3. พรีเมียมคิวเรชันด้านพันธุ์พืชหายาก
    ในเชิงการสื่อสาร หน่วยงานเคยเผยแพร่กรณีศึกษาการอนุรักษ์พันธุ์พืชเฉพาะถิ่นและหายากเพื่อนำมาเป็น “ตัวแทนเรื่องเล่า” ให้สาธารณชนสัมผัสบทบาทสวนพฤกษศาสตร์ยุคใหม่—การอนุรักษ์ควบคู่การเรียนรู้ (หมายเหตุ: ตัวเลขอายุและรอบการออกผลของบางชนิดพืชเป็นข้อมูลจากการสื่อสารของสวนนงนุชฯ เอง ต้องตรวจสอบเชิงวิชาการประกอบก่อนใช้นโยบาย)

กล่าวโดยสรุป ความงาม–ความรู้–ความสามารถในการส่งต่อความรู้” คือสามขายึดที่ทำให้เอกชนไทยรายนี้กลายเป็น “ที่ปรึกษาได้” เมื่อประเทศเพื่อนบ้านต้องการยกระดับพื้นที่สีเขียวในเมือง

งานภูมิทัศน์ = งานเมือง = งานคุณภาพชีวิต

การปรับภูมิทัศน์ ไม่ใช่แค่ “จัดสวน” แต่คือการลงทุนใน คุณภาพชีวิต–สุขภาพเมือง–ภาพลักษณ์ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบรูไนฯ เตรียมฉลองวาระสำคัญระดับชาติเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในปี 2570

  • คุณภาพชีวิตและสุขภาพ: ร่มเงาที่ดีช่วยลด “อุณหภูมิเกาะความร้อน” (urban heat island) เส้นทางสีเขียวที่ต่อเนื่องสนับสนุนการเดินและจักรยาน ส่งผลต่อสุขภาพกายและใจ
  • เศรษฐกิจเมืองและการท่องเที่ยว: ภูมิทัศน์ที่มีเอกลักษณ์และกิจกรรมสาธารณะที่ดี ดึงดูดนักท่องเที่ยว–การจัดงาน–กิจกรรมชุมชน เพิ่มการใช้จ่ายในเศรษฐกิจท้องถิ่น
  • ความทรงจำร่วมของสังคม: สวนสาธารณะคือ “ลานกลาง” ที่คนทุกวัยใช้ร่วมกันได้ เป็นเวทีให้ภาคประชาชนมีบทบาทกับเมืองของตน

บรูไนฯ วางบทเรียนเหล่านี้ไว้ในแผนงาน ขณะที่ฝ่ายไทยเสนอ “เครื่องมือดำเนินงาน” เช่น catalog พันธุ์ไม้ ที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมและการบำรุงรักษา, คู่มือมาตรฐานงานดูแล (maintenance SOP), และ ปฏิทินฤดูกาล สำหรับการปลูก–ตัดแต่ง–ให้น้ำ–ป้องกันศัตรูพืชอย่างปลอดสาร ตามแนวคิด “ถูกต้น–ถูกที่–ถูกเวลา”

เมื่อถนน–สวน–สถาบัน เชื่อมเป็นเรื่องเดียว

พิธีเฉลิมฉลองครองราชย์ 60 ปี ต้องการ “เวทีของเมือง” ที่เป็นหน้าต่างสู่สายตาโลก ภูมิทัศน์จึงไม่ใช่เพียงฉากหลัง หากคือ ตัวละครหลัก ที่เล่าเรื่องอัตลักษณ์บรูไนฯ—วัฒนธรรมมลายูอิสลามราชวงศ์ (MIB), ความเคร่งครัดแต่เรียบง่าย, และความพิถีพิถันในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติ

ถนนหลัก 12 สาย ที่จะถูกปรับภูมิทัศน์ให้เป็น “ทางเดินของเรื่อง” (narrative path) นำสายตาจากสนามบินสู่ศูนย์กลางเมือง ผ่านสวนสาธารณะ 4 แห่ง ที่ชุบชีวิตด้วยกิจกรรมตลอดวัน ไปจนถึง สวนพฤกษศาสตร์ และ สวนสัตว์ ที่อธิบายความหลากหลายของผืนป่าบอร์เนียว การออกแบบที่ดีทำให้ผู้มาเยือน “อ่านเมืองได้” โดยไม่ต้องใช้คำอธิบายมาก

ความท้าทายที่ต้องวางแผน ให้สวย “วันแรก” และสวย “ทุกวัน”

งานเมืองที่ดีไม่ได้จบที่พิธีเปิด สิ่งที่ทีมที่ปรึกษาและรัฐบาลเจ้าของพื้นที่ต้องคุยกันตั้งแต่ต้น คือ ต้นทุนบำรุงรักษา และ ตัวชี้วัดผลลัพธ์ ที่ตรวจวัดได้จริง ตัวอย่างเช่น

  • แผนบำรุงรักษา 3–5 ปี: วางงบและคนให้พอ—กำลังคนสวน, รถ–เครื่องมือ, งบพืชสำรอง–น้ำ–ปุ๋ยอินทรีย์
  • ตัวชี้วัดเมืองสีเขียว: พื้นที่ร่มเงาเฉลี่ยในคอร์ริดอร์, จำนวนผู้ใช้สวน (ผ่านเซ็นเซอร์/การสำรวจ), สัดส่วนพืชพื้นถิ่นเทียบพืชต่างถิ่น, ระยะเวลา “ซ่อม–เปลี่ยน” ที่สั้นลงเมื่อเกิดเหตุ
  • การมีส่วนร่วมภาคประชาชน: กลไก “เพื่อนสวน” (Friends of the Park) อาสาสมัครโรงเรียน–ชุมชน ช่วยดูแล/เฝ้าระวัง พร้อมกิจกรรมเรียนรู้พืชพรรณเป็นรายเดือน

สำหรับไทย ภารกิจนี้ชี้ให้เห็นโอกาสของอุตสาหกรรม บริการองค์ความรู้ (knowledge service export) ที่ซ่อนอยู่—จากพัทยาสู่บันดาร์เสรีเบกาวัน ไทยไม่ได้ “ส่งออกต้นไม้” แต่ “ส่งออกวิธีคิด–วิธีทำงานสวนเมือง”

เชื่อมต่อภูมิภาคมิติความร่วมมือไทย–บรูไนฯ และอาเซียน

การยอมรับของรัฐบาลบรูไนฯ สะท้อนความไว้วางใจต่อศักยภาพภาคเอกชนไทย และเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีในมิติที่จับต้องได้—สิ่งแวดล้อม เมือง และชุมชน ความร่วมมือนี้ยังสอดรับกรอบความร่วมมืออาเซียนที่ให้ความสำคัญกับเมืองยั่งยืน การปรับตัวต่อสภาพอากาศ และสีเขียวเมือง (urban greening) การมี “โครงการที่เห็นผล” ก่อนวาระสำคัญระดับชาติ ย่อมเป็นประโยชน์ต่อภาพลักษณ์ทั้งสองประเทศ

ไทม์ไลน์คร่าวๆ สู่ปี 2570 จากแบบร่างสู่เมืองที่พร้อมต้อนรับโลก

  1. ไตรมาส 3/2568: สำรวจพื้นที่–วิเคราะห์ข้อมูล–ข้อเสนอแนวคิดหลัก (concept) รายจุด
  2. ไตรมาส 4/2568–ไตรมาส 1/2569: ออกแบบรายละเอียด–จัดทำแบบปลูก–กำหนดสเปกพันธุ์ไม้และระบบน้ำ–คำนวณบำรุงรักษา
  3. ไตรมาส 2–4/2569: เริ่มงานก่อสร้าง/ปรับปรุงเฟสแรกในคอร์ริดอร์สำคัญและสวนศูนย์กลางเมือง พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้แก่บุคลากร
  4. ต้นปี 2570: เก็บงานรายละเอียด–ทดสอบระบบรดน้ำ–ไฟ–ป้ายตีความ–ทางเดิน/จักรยาน ก่อนเข้าสู่ช่วง “ใช้งานจริง” รับงานเฉลิมฉลอง

(ไทม์ไลน์ข้างต้นเป็นกรอบเชิงหลักการ อาจปรับตามแผนงานของรัฐบาลบรูไนฯ)

มุมมองเชิงนโยบายบทเรียนที่ไทยควรเก็บเกี่ยว

  • Soft Power จาก “ภูมิทัศน์และความรู้”: ไทยสามารถใช้เอกชน–สถาบันความรู้ด้านพฤกษศาสตร์ เป็นทูตเชื่อมความร่วมมือในภูมิภาค ควบคู่ท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ
  • ยกระดับมาตรฐานสวนสาธารณะไทย: นำบทเรียนการกำหนดตัวชี้วัดเมืองสีเขียว–การมีส่วนร่วม–การบำรุงรักษา ไปใช้กับเมืองไทยเอง สร้างมาตรฐานเดียวกันข้ามจังหวัด
  • ต่อยอดเศรษฐกิจสร้างสรรค์สีเขียว: บ่มเพาะธุรกิจออกแบบ–เพาะชำ–วิจัยพืช–สตอรีเทลลิง เพื่อเป็น “ชุดบริการครบ” ที่ขายได้ในตลาดภูมิภาค

จากพัทยาถึงบันดาร์เสรีเบกาวัน—สวนแห่งมิตรภาพที่งอกงาม

โครงการ Friendship Garden ทำให้เห็นว่าภูมิทัศน์ไม่ได้เป็นแค่ภาพสวย แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของคุณภาพชีวิตและศักดิ์ศรีของเมือง เมื่อ สวนนงนุชพัทยา นำความเชี่ยวชาญไปผสานกับโจทย์เมืองของบรูไนฯ เราได้เห็น “ห่วงโซ่คุณค่า” ที่โยงคนสวน นักพฤกษศาสตร์ วิศวกรเมือง ไปจนถึงครอบครัวที่พาเด็กๆ มาเล่นในสวน—ทุกคนคือเจ้าของเมือง ความร่วมมือครั้งนี้จึงมิได้จบลงที่การปลูกต้นไม้หนึ่งต้น แต่เริ่มต้น “ปลูกความสัมพันธ์” ที่จะเติบโตเข้มแข็งไปพร้อมกับเมืองในวาระเฉลิมฉลองครองราชย์ 60 ปี ที่กำลังจะมาถึง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สวนนงนุชพัทยา (Nong Nooch Tropical Garden, Pattaya)
  • กระทรวงการพัฒนา (Ministry of Development), รัฐบรูไนดารุสซาลาม
  • กรมสิ่งแวดล้อม รัฐบรูไนดารุสซาลาม —
  • สำนักงานโครงการฉลองวาระครองราชย์ 60 ปี (ข้อมูลสำนักรัฐบาลบรูไนฯ)
  • เอกสารแนะนำด้านสวนพฤกษศาสตร์/ภูมิทัศน์ของสวนนงนุชพัทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News