Categories
ENVIRONMENT

‘ซานตาครูซ’ แบนบุหรี่ไส้กรอง หวังลดมลพิษสิ่งแวดล้อม

‘ซานตาครูซ’ ประกาศห้ามขายบุหรี่แบบมีไส้กรองครั้งแรกในสหรัฐฯ มุ่งลดมลพิษเพื่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชน

เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 มีรายงานจาก Environment+Energy Leader ว่าซานตาครูซ (Santa Cruz County) ในสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศแบนการขายบุหรี่ที่มีไส้กรอง โดยถือเป็นการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในสหรัฐฯ เพื่อลดมลพิษที่เกิดจากบุหรี่ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน การแบนนี้ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการกำกับดูแลของเทศมณฑลซานตาครูซ ซึ่งมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม 2567 ทำให้เทศมณฑลซานตาครูซกลายเป็นเขตอำนาจศาลแรกในประเทศที่ใช้กฎหมายห้ามนี้อย่างเป็นทางการ

การเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

การแบนบุหรี่แบบมีไส้กรองที่ซานตาครูซ เมืองในแคลิฟอร์เนีย รัฐในประเทศสหรัฐฯ
นี้มุ่งหวังที่จะลดมลพิษทางทะเลและขยะสาธารณะที่เกิดจากก้นบุหรี่ ซึ่งส่วนประกอบของไส้กรองบุหรี่นั้นมักประกอบด้วยไมโครพลาสติกที่มีสารเคมีอันตราย ก้นบุหรี่ถือเป็นขยะที่พบบ่อยที่สุดบนชายหาดและในทางน้ำทั่วโลก ซึ่งก่อให้เกิดปัญหามลพิษมากมาย

ข้อมูลจากองค์กร Ocean Conservancy เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 โครงการ International Coastal Cleanup สามารถเก็บก้นบุหรี่ได้มากถึง 63 ล้านชิ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในรัฐแคลิฟอร์เนียเพียงแห่งเดียวพบว่ามีก้นบุหรี่ที่เก็บได้ถึง 8.5 ล้านชิ้น กลุ่มอนุรักษ์ท้องถิ่น Save Our Shores ยังได้เก็บข้อมูลที่น่ากังวลโดยพบว่ามีก้นบุหรี่กว่า 400,000 ชิ้นที่ถูกเก็บขึ้นมาจากชายหาดและพื้นที่สาธารณะในซานตาครูซภายในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ซึ่งการเคลื่อนไหวนี้สื่อถึงความมุ่งมั่นของเทศมณฑลในการปกป้องสิ่งแวดล้อมทางทะเลและลดมลพิษในระดับท้องถิ่นอย่างจริงจัง

การทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายสิ่งแวดล้อมระดับภูมิภาค

การดำเนินการห้ามขายบุหรี่ที่มีไส้กรองในซานตาครูซนี้ได้ใช้วิธีการร่วมมือ โดยกำหนดให้เมืองที่อยู่ในเขตเทศมณฑลซานตาครูซอย่างน้อย 2 ใน 4 เมืองต้องดำเนินกฎหมายที่คล้ายคลึงกัน เพื่อให้เกิดการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งและบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการลดมลพิษทางสิ่งแวดล้อม การใช้แนวทางนี้ยังช่วยให้เกิดความสอดคล้องกับนโยบายระดับภูมิภาคที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้การบังคับใช้กฎหมายมีความครอบคลุมและเพิ่มประสิทธิภาพในการลดมลพิษจากบุหรี่อย่างแท้จริง

นโยบายดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางการปกป้องสิ่งแวดล้อมที่กำลังเกิดขึ้นทั่วสหรัฐฯ ตัวอย่างเช่นในรัฐฟลอริดาซึ่งได้ออกกฎหมายในปี พ.ศ. 2565 อนุญาตให้แต่ละเมืองบังคับใช้การห้ามสูบบุหรี่ในพื้นที่ชายหาดและสวนสาธารณะ ซึ่งผลักดันให้มณฑลและเทศบาลมากกว่า 50 แห่งนำแนวทางนี้ไปปรับใช้ นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหามลพิษในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ

กฎหมายซานตาครูซต้นแบบการลดมลพิษเพื่อสิ่งแวดล้อม

การแบนบุหรี่แบบมีไส้กรองในเทศมณฑลซานตาครูซมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นต้นแบบสำหรับการออกนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อื่น ๆ เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษจากบุหรี่ที่แหล่งกำเนิด ขณะที่ยังคงให้ความสำคัญกับสุขภาพของประชาชน กฎหมายนี้ชี้ให้เห็นถึงการจัดการมลพิษอย่างมีประสิทธิภาพและสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้ยั่งยืน

ด้วยแนวทางและการดำเนินการเชิงบวกนี้ การห้ามขายบุหรี่แบบมีไส้กรองของซานตาครูซอาจกลายเป็นแรงบันดาลใจให้หลายพื้นที่ในสหรัฐฯ หันมาใช้มาตรการที่คล้ายคลึงกันเพื่อส่งเสริมสุขภาพและปกป้องสิ่งแวดล้อม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : environment energy leader

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
ENVIRONMENT

มลพิษทางอากาศ จุดเริ่มต้น สร้างสัมพันธ์อินเดีย-ปากีสถาน

ความร่วมมือทางสภาพอากาศ: มลพิษทางอากาศเป็นโอกาสในการสานสัมพันธ์ระหว่างอินเดียและปากีสถาน

วิกฤตมลพิษที่เชื่อมสองประเทศคู่ปรับ

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 รายงานจากอัลจาซีราระบุว่ามลพิษทางอากาศที่รุนแรงในพื้นที่ทั้งสองด้านของชายแดนอินเดียและปากีสถานกำลังสร้างโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้านที่มีอาวุธนิวเคลียร์อย่างอินเดียและปากีสถาน

การเริ่มต้นเจรจาผ่านวิกฤตมลพิษ

ในปากีสถาน นายกรัฐมนตรีแห่งรัฐปัญจาบ นางสาวแมร์ยาม นาวาซ ได้แสดงความตั้งใจที่จะพบปะกับรัฐมนตรีของรัฐปัญจาบในอินเดียเพื่อหารือเกี่ยวกับมาตรการรับมือกับวิกฤตมลพิษที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนทั้งสองประเทศอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในลาฮอร์และนิวเดลี ซึ่งติดอันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดในโลกในช่วงเวลาล่าสุด

ความสำคัญของการแก้ไขปัญหามลพิษแบบร่วมมือกัน

ด้วยสภาพภูมิอากาศที่เสื่อมโทรมและค่ามลพิษที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองประเทศต่างเห็นพ้องว่าการร่วมมือกันเป็นเรื่องที่จำเป็นเพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน รัฐบาลปากีสถานวางแผนที่จะจัดประชุมภูมิภาคเกี่ยวกับสภาพอากาศในลาฮอร์ก่อนสิ้นปีนี้ เพื่อนำเสนอแนวทางการแก้ปัญหาแบบร่วมกันกับประเทศเพื่อนบ้าน

ปัญหาจากฝุ่นละออง PM2.5 และสาเหตุที่มาจากทั้งสองประเทศ

ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ซึ่งมีขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ถือเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจอย่างมากและแพร่กระจายจากทั้งการทำกิจกรรมของมนุษย์และธรรมชาติในทั้งสองประเทศ ด้วยอัตราค่าฝุ่นละอองที่สูงเกินระดับที่ปลอดภัย อากาศที่เสื่อมสภาพได้บั่นทอนคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างเห็นได้ชัด

การเผาหญ้าทางการเกษตร: ต้นเหตุสำคัญของมลพิษ

ในฤดูกาลปลูกพืชใหม่เกษตรกรในทั้งสองประเทศมักเผาซากพืชเพื่อเคลียร์พื้นที่ส่งผลให้เกิดควันและฝุ่นที่เป็นมลพิษในอากาศ แม้จะมีการวิจารณ์ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น การลดจำนวนการเผาเพื่อบรรเทามลพิษยังเป็นเรื่องที่ต้องการการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและประชาชน

การล็อกดาวน์เพื่อสีเขียว: มาตรการควบคุมมลพิษในลาฮอร์

เพื่อลดผลกระทบของมลพิษ รัฐบาลปากีสถานได้ประกาศ “ล็อกดาวน์สีเขียว” ในเมืองลาฮอร์ โดยมีการระงับกิจกรรมเชิงพาณิชย์และการก่อสร้างบางส่วน ทั้งนี้เพื่อลดการปล่อยมลพิษจากแหล่งที่อาจก่อให้เกิดฝุ่นละอองในอากาศ

การเคลื่อนย้ายมลพิษข้ามพรมแดน: ลมตะวันออกที่ส่งผลกระทบต่อปากีสถาน

ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน สภาพอากาศที่เย็นขึ้นและลมจากทิศตะวันออกมีแนวโน้มพัดพามลพิษจากอินเดียมาทางปากีสถาน ทำให้ลาฮอร์มีค่ามลพิษสูงขึ้นอีกครั้ง สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการจัดการมลพิษแบบข้ามพรมแดน

ความพยายามระดับภูมิภาคในการแก้ปัญหา

ปากีสถานและอินเดียได้ร่วมมือกับประเทศในเอเชียใต้ผ่าน “ปฏิญญามาเล” ที่มุ่งหวังสร้างกรอบการจัดการมลพิษระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในการดำเนินการยังคงเป็นเรื่องที่ท้าทาย การสร้างความเข้าใจและร่วมมือกันยังเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อบรรลุเป้าหมายในการลดมลพิษ

ทางออกที่ชัดเจน: การลงทุนเพื่อพลังงานสะอาดและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของประชาชน

ในท้ายที่สุด การลดมลพิษอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียใต้จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทั้งในด้านพลังงานสะอาดและการจัดการของเสียจากการเกษตร ซึ่งต้องใช้การลงทุนมหาศาลและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : aljazeera / By 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

UN เตือนโลกรับมือภาวะโลกร้อนยังไม่พอ

โลกยังห่างไกลจากการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเหมาะสม – UN

องค์การสหประชาชาติระบุว่าความพยายามทั่วโลกในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นยังห่างไกลจากความสำเร็จ ข้อมูลใหม่เผยให้เห็นว่าก๊าซเรือนกระจกกำลังสะสมในชั้นบรรยากาศในอัตราที่รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ แผนการลดการปล่อยคาร์บอนที่มีอยู่ในปัจจุบันแทบจะไม่มีผลกระทบที่สำคัญในการลดมลพิษภายในปี 2030 ส่งผลให้ความพยายามในการรักษาอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียสในศตวรรษนี้อยู่ในสภาวะที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

อัตราการสะสมก๊าซเรือนกระจกเพิ่มสูงสุดเป็นประวัติการณ์

รายงานใหม่จากองค์การสหประชาชาติชี้ว่า ก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศได้เพิ่มขึ้นกว่า 11% ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะในปี 2023 ซึ่งมีการสะสมในระดับที่สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาใด ๆ ในอดีต นักวิจัยยังแสดงความกังวลว่าป่ากำลังสูญเสียความสามารถในการดูดซับคาร์บอน ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจกสูงขึ้นในระดับที่เป็นประวัติการณ์

แผนการลดคาร์บอนของประเทศต่าง ๆ ยังไม่เพียงพอ

องค์กร UN Climate Change หน่วยงานของสหประชาชาติที่รับผิดชอบการแก้ไขปัญหานี้ ได้วิเคราะห์แผนการลดการปล่อยคาร์บอนที่ได้รับจากเกือบ 200 ประเทศทั่วโลก ซึ่งแผนเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการปล่อยคาร์บอนจะลดลงเพียง 2.6% ภายในปี 2030 เมื่อเทียบกับปี 2019 ซึ่งห่างไกลจากการลดลงที่จำเป็น 43% ภายในสิ้นทศวรรษนี้ เพื่อให้โลกสามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2050

ไซมอน สตีล เลขาธิการบริหารของ UN Climate Change กล่าวถึงรายงานนี้ว่า “ผลการวิจัยในรายงานนี้น่าตกใจแต่ก็ไม่เกินความคาดหมาย แผนการด้านภูมิอากาศของประเทศต่าง ๆ ในปัจจุบันยังไม่ถึงระดับที่เพียงพอในการหยุดยั้งการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ที่จะทำลายเศรษฐกิจและสร้างความเสียหายต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนทั่วโลก”

ความคาดหวังในแผนใหม่ที่แข็งแกร่งขึ้น

องค์การสหประชาชาติคาดหวังว่าประเทศต่าง ๆ จะนำเสนอแผนใหม่ที่มีความเข้มข้นมากขึ้นภายในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ซึ่งการหารือเพื่อเพิ่มความมุ่งมั่นในความพยายามเหล่านี้จะเป็นประเด็นสำคัญเมื่อผู้นำโลกมาร่วมประชุมในงานการประชุมสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติครั้งที่ 29 (COP29) ที่จะจัดขึ้นในอาเซอร์ไบจานในเดือนหน้า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การสหประชาชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

อีเมล TikTok ทำลายสิ่งแวดล้อมโดยไม่รู้ตัว

การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเมามัน เพิ่มปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างไม่รู้ตัว

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 Julia Musto นักข่าวด้านวิทยาศาสตร์และสภาพอากาศของสำนักข่าว Independent ในอังกฤษ รายงานว่า การส่งอีเมล การเลื่อนดู TikTok และการส่งข้อความต่างๆ กำลังทำลายสิ่งแวดล้อมโดยไม่รู้ตัว ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากกิจกรรมในโลกดิจิทัลอย่างการใช้ Facebook หรือ Instagram กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล รายงานของ CloudZero พบว่าอีเมลทำงานที่พนักงานส่งในหนึ่งปี สามารถสร้างก๊าซ CO2 เทียบเท่ากับการขับรถน้ำมันเป็นระยะทาง 5 ไมล์ คิดเป็นปริมาณ 2,028 กรัมต่อปี ขณะที่การเลื่อนดูโซเชียลมีเดียเพียงวันเดียว สามารถผลิต CO2 ถึง 968 กรัม หรือเทียบเท่ากับการขับรถ 2.4 ไมล์

การเติบโตของปริมาณการปล่อยคาร์บอนในวงการเทคโนโลยี

ข้อมูลจาก The Shift Project แห่งฝรั่งเศสชี้ว่า ภาคเทคโนโลยีในปี 2019 คิดเป็น 3.7% ของการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก และคาดว่าตัวเลขนี้จะเพิ่มเป็นสองเท่าในปี 2025 ปริมาณการใช้แพลตฟอร์มโซเชียลที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึง TikTok ที่ปล่อยคาร์บอนเฉลี่ย 2.63 กรัมต่อนาที ขณะที่ Facebook และ YouTube ปล่อยต่ำกว่า 1 กรัมต่อนาที ถือเป็นปริมาณที่น่ากังวลหากรวมกันในระดับโลก

การส่งข้อความแบบทั่วไปก็ไม่ได้ปลอดภัยเช่นกัน ผู้ใช้งานในสหรัฐฯ ส่งข้อความเฉลี่ยวันละ 60 ข้อความ ซึ่งปล่อย CO2 310 กรัมต่อปี เทียบเท่าการชาร์จโทรศัพท์ 32 ครั้ง กลุ่มคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z เป็นกลุ่มที่สร้างคาร์บอนจากการส่งข้อความมากที่สุด โดยเฉลี่ย 124 ข้อความต่อวัน ซึ่งมีปริมาณการปล่อยเทียบเท่าการขับรถเป็นระยะทาง 3 ไมล์

ความพยายามในการลดผลกระทบจากเทคโนโลยี AI และพลังงานนิวเคลียร์

ในขณะที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนไปใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ต้องใช้พลังงานมากขึ้น การปล่อยคาร์บอนของบริษัทใหญ่ๆ ก็พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ โดย Microsoft ระบุว่าผลกระทบต่อสภาพอากาศของตนสูงขึ้นถึง 30% ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา และ Google มีการปล่อยคาร์บอนสูงขึ้น 48% เมื่อเทียบกับปี 2019 การใช้ AI ถูกมองว่าเป็นทั้งปัญหาและโอกาสในการแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ซึ่งบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Google, Amazon และ Microsoft กำลังหันมาใช้พลังงานนิวเคลียร์ที่ไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น Google ได้เซ็นสัญญาซื้อพลังงานนิวเคลียร์จาก Kairos Power บริษัทในแคลิฟอร์เนีย เพื่อสนับสนุนพลังงานสะอาด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : independent

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

คอสตาริกาติดท็อป 10 ประเทศอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมระดับโลก

คอสตาริกาติดอันดับท็อป 10 ประเทศที่มีการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมดีที่สุดในโลก

เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2567 The tico times หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษชั้นนำของคอสตาริกา รายงานว่า ประเทศคอสตาริกาได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 10 ประเทศชั้นนำด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของโลก ตามรายงานล่าสุดจาก Nature Conservation Index ซึ่งเป็นดัชนีที่ประเมินประเทศต่าง ๆ จำนวน 180 ประเทศ โดยพิจารณาจากความพยายามในการปกป้องระบบนิเวศและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม คอสตาริกาเป็นประเทศเดียวในลาตินอเมริกาที่ติดอันดับท็อป 10 ด้วยคะแนน 64.4 คะแนน อยู่ในอันดับที่ 10 ของดัชนี

การจัดอันดับประเทศที่มีความมุ่งมั่นสูงในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

การจัดอันดับครั้งนี้ นำโดยประเทศลักเซมเบิร์กซึ่งมีคะแนนสูงสุดที่ 70.8 คะแนน แสดงถึงความทุ่มเทในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างสูง ในขณะที่คอสตาริกาได้รับการยกย่องเป็นพิเศษในด้านการอนุรักษ์ที่ดิน โดยมีการนำเสนอการเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่คุ้มครองที่มีประสิทธิภาพ และการจัดการพื้นที่สีเขียวอย่างยั่งยืน ดัชนีนี้พัฒนาโดยสถาบัน Goldman Sonnenfeldt School of Sustainability and Climate Change แห่งมหาวิทยาลัยเบนกูเรียนแห่งเนเกฟร่วมกับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร BioDB.com ซึ่งใช้ตัวชี้วัดจำนวน 25 ตัวในการประเมินประสิทธิภาพการอนุรักษ์ของแต่ละประเทศ

ความสำเร็จในการอนุรักษ์ของคอสตาริกา

คอสตาริกามีการจัดสรรพื้นที่คุ้มครองทางธรรมชาติกว่า 25% ของประเทศ ทำให้เป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในการอนุรักษ์ธรรมชาติ การผสมผสานระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจกับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างลงตัวช่วยให้คอสตาริกาสามารถเดินหน้าพัฒนาประเทศควบคู่ไปกับการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ ทำให้ประเทศนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในระดับโลกว่าการพัฒนาเศรษฐกิจสามารถควบคู่กับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมได้

ตัวชี้วัดที่ใช้ในการประเมินดัชนีการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

Nature Conservation Index ใช้ตัวชี้วัดหลายประการเพื่อให้ได้ภาพรวมที่ชัดเจนเกี่ยวกับการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพและการจัดการสิ่งแวดล้อมของแต่ละประเทศ ตัวชี้วัดเหล่านี้ประกอบด้วยจำนวนชนิดพันธุ์ที่ใกล้สูญพันธุ์ ขอบเขตของพื้นที่คุ้มครอง รวมถึงคุณภาพของกฎหมายและนโยบายด้านการอนุรักษ์ การวัดค่าตัวชี้วัดเหล่านี้ช่วยให้เห็นภาพชัดเจนว่าประเทศต่าง ๆ มีการจัดการและรักษาทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด

ประเทศใน 10 อันดับแรกของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

นอกเหนือจากคอสตาริกาและลักเซมเบิร์กแล้ว ยังมีประเทศอื่น ๆ ที่ติดอยู่ในอันดับท็อป 10 ได้แก่ เอสโตเนีย เดนมาร์ก ฟินแลนด์ สหราชอาณาจักร ซิมบับเว ออสเตรเลีย สวิตเซอร์แลนด์ และโรมาเนีย ประเทศเหล่านี้มีการลงทุนและส่งเสริมการอนุรักษ์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้านกฎหมายและการจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์ธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ

การที่คอสตาริกาติดอันดับท็อป 10 นั้นสะท้อนถึงการใช้ทรัพยากรและความตั้งใจในการสร้างประเทศให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ความสำเร็จนี้ไม่เพียงแต่สร้างความยั่งยืนให้กับทรัพยากรธรรมชาติภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณไปยังทั่วโลกถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : The tico times

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

วิกฤตความหลากหลายชีวภาพโลก: ความเสี่ยงสูญพันธุ์เพิ่มขึ้นทุกวัน

วิกฤตความหลากหลายทางชีวภาพของโลก: มุมมองเชิงสถิติและแนวทางแก้ไขในที่ประชุม COP16

เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2567 รายงานจาก The Japan Times เผยถึงข้อมูลที่ชี้ว่าวิกฤตความหลากหลายทางชีวภาพบนโลกกำลังเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่อง โดยผู้เชี่ยวชาญระบุว่ามนุษย์คือปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทั้งบนบกและในทะเล ซึ่งส่งผลให้ประชุม COP16 ว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ณ เมืองกาลี ประเทศโคลอมเบีย เข้าสู่สัปดาห์ที่สอง โดยมุ่งประเมินความก้าวหน้าและกำหนดเป้าหมายใหม่เพื่อยับยั้งและฟื้นฟูธรรมชาติภายในปี 2573 ตามกรอบ Kunming-Montreal Global Biodiversity Framework ที่ได้ลงนามไว้เมื่อสองปีก่อน

วิกฤตเชิงสถิติ: การเสื่อมโทรมของมหาสมุทรและพื้นผิวโลก

จากข้อมูลของ IPBES หน่วยงานวิทยาศาสตร์และนโยบายระดับรัฐบาลระหว่างประเทศด้านความหลากหลายทางชีวภาพพบว่า พื้นที่บนผิวโลกกว่าสามในสี่ถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ และสองในสามของมหาสมุทรได้รับผลกระทบจากการบริโภคของมนุษย์ที่ไร้ขีดจำกัด นอกจากนี้ยังพบว่า พื้นที่ชุ่มน้ำในแผ่นดินลดลงกว่า 1 ใน 3 ตั้งแต่ปี 2513 ถึง 2558 ซึ่งเร็วกว่าอัตราการลดลงของป่าไม้ถึงสามเท่า รายงานของ IPBES ยังระบุว่าการเสื่อมโทรมของดินที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์กระทบต่อความเป็นอยู่ของผู้คนอย่างน้อย 3.2 พันล้านคน และการฟื้นฟูสภาพธรรมชาติจะให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าอย่างน้อย 10 เท่าของต้นทุนในการดำเนินการ

หนึ่งในเป้าหมายหลักของกรอบความหลากหลายทางชีวภาพ Kunming-Montreal Global Biodiversity Framework คือ การฟื้นฟูพื้นที่ดินที่เสื่อมโทรม พื้นที่น้ำในแผ่นดิน พื้นที่ชายฝั่งทะเล และระบบนิเวศทางทะเลให้ได้ 30% ภายในปี 2573

ความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของสายพันธุ์นับล้าน

จากการประเมินขององค์การสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) พบว่าสายพันธุ์พืชและสัตว์มากกว่าหนึ่งในสี่กำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ และจากรายงานของ IPBES ระบุว่าสายพันธุ์จำนวนถึงหนึ่งล้านสายพันธุ์กำลังตกอยู่ในอันตราย โดยเฉพาะแมลงผสมเกสรที่มีบทบาทสำคัญในการขยายพันธุ์พืชและให้ผลผลิตทางการเกษตรถึงสามในสี่ของอาหารที่มนุษย์บริโภค

นอกจากนี้ ปะการังซึ่งเป็นที่พึ่งพิงของชีวิตกว่า 850 ล้านคนที่ทำอาชีพเกี่ยวกับทะเลก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่น่ากังวล ปะการังเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะหายไปหากอุณหภูมิโลกสูงขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียสจากระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม อุณหภูมินี้เป็นเกณฑ์ที่โลกพยายามไม่ให้เกินตามข้อตกลงปารีส ปี 2558 เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน

ห้าปัจจัยหลักที่ทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ

สหประชาชาติได้กำหนดห้าสาเหตุหลักที่เป็นภัยต่อความหลากหลายทางชีวภาพที่มนุษย์สร้างขึ้น ได้แก่ การทำลายถิ่นที่อยู่อาศัย (เพื่อการเกษตรและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน) การใช้ทรัพยากรอย่างเกินควร เช่น การใช้น้ำ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษ และการแพร่กระจายของสิ่งมีชีวิตที่รุกราน ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะกลายเป็นปัจจัยหลักที่ทำลายความหลากหลายทางชีวภาพภายในปี 2593 หากไม่มีการแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง

เศรษฐกิจโลกพึ่งพาความหลากหลายทางชีวภาพถึงครึ่งหนึ่งของ GDP

จากรายงานของ PwC บริษัทตรวจสอบบัญชีระดับโลก พบว่า 55% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของโลก หรือประมาณ 58 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติและบริการของธรรมชาติอย่างหนัก โดยภาคการเกษตร ป่าไม้ ประมง และอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเป็นภาคส่วนที่มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ บริการจากธรรมชาติที่มีค่าเช่น การผสมเกสร แหล่งน้ำสะอาด และการควบคุมโรค ล้วนเป็นประโยชน์ที่ธรรมชาติมอบให้แก่เศรษฐกิจและสังคมทั่วโลก

จากการศึกษาของนักเศรษฐศาสตร์ชาวอินเดีย Pavan Sukhdev พบว่าการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพมีต้นทุนต่อปีอยู่ที่ระหว่าง 1.75 ล้านล้านถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

เงินอุดหนุนกว่า 2.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับอุตสาหกรรมที่เป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม

รายงานของ Earth Track ในเดือนกันยายนระบุว่าเงินอุดหนุนที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมต่าง ๆ มีมูลค่ามากถึง 2.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 2.5% ของ GDP โลก ซึ่งมากกว่าเป้าหมายของกรอบ Kunming-Montreal ที่ตั้งเป้าในการระดมทุนปีละ 200 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อการปกป้องธรรมชาติ

อุตสาหกรรมที่ได้รับผลประโยชน์จากเงินอุดหนุนเหล่านี้ ได้แก่ การประมง เกษตรกรรม และผู้ผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล กรอบความหลากหลายทางชีวภาพนี้ยังมีเป้าหมายที่จะลดเงินอุดหนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมอย่างน้อย 500 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีภายในปี 2573

การรวมพลังเพื่อหยุดยั้งวิกฤตความหลากหลายทางชีวภาพ

การประชุม COP16 ว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพที่เมืองกาลีในครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญในการระดมความร่วมมือจากหลายภาคส่วนเพื่อรับมือกับปัญหาความหลากหลายทางชีวภาพที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก การสร้างความตระหนักและการกำหนดเป้าหมายร่วมกันเพื่อหยุดยั้งการทำลายธรรมชาติและการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อให้อนาคตของโลกยังคงมีความหลากหลายทางชีวภาพที่มั่นคง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : The Japan Times

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

‘ดร.ธรณ์’ เตือนโลกร้อนแรง แม้ไม่มี ‘เอลนีโญ’

“ดร.ธรณ์ชี้โลกร้อนแรงขึ้นแม้ไม่มีเอลนีโญ ผลกระทบชัดเจนทั้งบนบกและทะเล”

ดร.ธรณ์เผยข้อมูลโลกร้อนขึ้นแม้ไม่มีเอลนีโญ

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2567 ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “Thon Thamrongnawasawat” ระบุถึงสถานการณ์โลกร้อนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ในช่วงนี้ไม่มีปรากฏการณ์เอลนีโญเข้ามาเสริมให้ร้อนยิ่งขึ้น แต่ผลการวิจัยจาก NOAA ชี้ให้เห็นว่า เดือนกันยายนที่ผ่านมามีพื้นที่บนโลกถึง 11% ที่สร้างสถิติอุณหภูมิสูงสุด โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งพบว่าความหนาวมาช้ากว่าปกติ

สีแดงบนแผนที่สะท้อนสภาพอากาศรุนแรง

ดร.ธรณ์ยกตัวอย่างถึงสีบนแผนที่อุณหภูมิว่า พื้นที่สีแดงบ่งบอกถึงอุณหภูมิที่ร้อนจัดจนสร้างสถิติใหม่ ส่วนพื้นที่ในประเทศไทยนั้นก็ประสบกับสภาพอากาศร้อนมากในเดือนตุลาคมที่เคยเป็นช่วงฤดูหนาวของไทย ดร.ธรณ์แสดงความกังวลว่า โลกกำลังมุ่งสู่อนาคตที่ฤดูหนาวจะมาสั้นและเป็นแค่ช่วงสั้น ๆ โดยอุณหภูมิหนาวจะไม่ต่อเนื่องเหมือนในอดีต เช่น ในกรุงเทพฯ ที่เคยมีอากาศเย็นต่อเนื่องหลายสัปดาห์ แต่ปัจจุบันเหลือเพียงไม่กี่วัน

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเลและแนวปะการัง

นอกจากบนบก ทะเลก็ได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นผิดปกติ ทำให้เกิดภาวะปะการังฟอกขาว หญ้าทะเลและสัตว์น้ำอย่างพะยูนก็ไม่สามารถฟื้นตัวได้ในสภาพอากาศที่ร้อนติดต่อกันยาวนาน

COP29 กับความหวังที่ลดน้อยลง

ดร.ธรณ์ยังกล่าวถึงการประชุม COP29 ที่กำลังจะมาถึงว่า แม้จะมีข้อตกลงมากมายเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม แต่การเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมยังต้องใช้เวลายาวนาน และข้อตกลงเหล่านี้ทำเพื่ออนาคตของคนรุ่นใหม่ ขณะที่โลกยังคงประสบปัญหาความร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Thon Thamrongnawasawat

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

การศึกษาการนำทางใหม่เปลี่ยนแปลงในโลกจริง

การศึกษาการนำทางในห้องปฏิบัติการเปลี่ยนไป สู่การจำลองในโลกจริง

วิจัยการนำทางในห้องแล็บสู่การค้นพบในสิ่งแวดล้อมจริง

เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2567 รายงานข่าวด้านวิทยาศาสตร์เปิดเผยถึงการศึกษาการนำทางที่เคยเน้นในห้องแล็บเริ่มเปลี่ยนไปสู่การศึกษาในสิ่งแวดล้อมจริง โดยในอดีต นักวิจัยมักศึกษาแค่การนำทางบนหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อลดเสียงรบกวนจากสภาพแวดล้อม ทำให้มองข้ามปัจจัยภายนอก เช่น ภูมิอากาศและสิ่งมีชีวิตรอบตัว แต่ผลวิจัยใหม่กลับชี้ว่าแนวทางนี้อาจไม่สะท้อนความเป็นจริง

ตัวอย่างหนึ่งคือ ชาว Evenki ที่เลี้ยงกวางเรนเดียร์ในไซบีเรีย ซึ่งใช้วิธีการนำทางด้วยการติดตามธรรมชาติรอบตัว เช่น ชื่อสถานที่ เส้นทางแม่น้ำ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเครื่องมือ GPS ต่างจากคนในโลกตะวันตกที่พึ่งพาการนำทางด้วยแผนที่และ GPS เป็นหลัก

การศึกษาในสภาพแวดล้อมจริงเปิดมุมมองใหม่

นักวิจัยหลายคนรวมถึง Hugo Spiers จาก University College London เริ่มเห็นถึงข้อจำกัดของการศึกษาการนำทางในห้องแล็บ และมีการนำเทคโนโลยีใหม่อย่างเกม Sea Hero Quest ที่จำลองการนำทางผ่านสภาพแวดล้อมเสมือนจริง ช่วยให้ผู้เล่นจากกว่า 193 ประเทศสามารถนำทางผ่านโลกเสมือนได้ ทำให้นักวิจัยเข้าใจพฤติกรรมการนำทางในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ มากขึ้น

Spiers กล่าวว่าการสร้างห้องทดลองจริงอย่างห้อง PEARL ที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน ช่วยให้นักวิจัยสามารถสร้างสิ่งแวดล้อมจำลองได้ทุกประเภท ตั้งแต่โรงพยาบาลไปจนถึงสถานีขนส่ง โดยที่ยังสามารถควบคุมปัจจัยต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่

ทักษะการนำทางแตกต่างกันตามวัฒนธรรมและวิถีชีวิต

การศึกษาในสภาพแวดล้อมจริงชี้ให้เห็นว่า ความสามารถในการนำทางของเด็กในพื้นที่ชนบทนั้นมักดีกว่าเด็กในเมือง เนื่องจากเติบโตในเส้นทางที่ซับซ้อนและต้องหาทางด้วยตนเอง ขณะที่การนำทางโดยพึ่งพาอุปกรณ์เสริมอย่าง GPS กลับทำให้ทักษะการนำทางลดลง นักวิจัยพบว่าชุมชน Tsimane ในโบลิเวียยังคงมีความสามารถในการนำทางที่ดี แม้เข้าสู่วัยชราเพราะยังคงเดินทางไกลในป่าได้เป็นประจำ

งานวิจัยนี้ยังตั้งข้อสังเกตว่า การใช้ชีวิตในโลกตะวันตกที่ลดการเคลื่อนไหวและการสำรวจ อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทักษะการนำทางเสื่อมถอยลงเมื่ออายุมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : sciencenews

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

อุตสาหกรรมความงามก้าวสู่ความปลอดภัยและยั่งยืน

อุตสาหกรรมความงามสู่ทางแยก: ความปลอดภัยและความยั่งยืนของส่วนผสม

อุตสาหกรรมความงามมุ่งสู่ความปลอดภัยของส่วนผสม

ในวันที่ 23 ตุลาคม 2567 รายงานใหม่จาก ChemFORWARD ซึ่งได้รับข้อมูลจากแบรนด์ชั้นนำอย่าง Sephora และ Ulta แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมความงามที่มุ่งมั่นปรับปรุงความปลอดภัยของส่วนผสม อย่างไรก็ตามยังคงมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความโปร่งใสและความยั่งยืน รายงานได้เน้นถึงสารเคมีที่ยังไม่ได้รับการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มที่ ทำให้อุตสาหกรรมนี้ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ความก้าวหน้าในความปลอดภัยของส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ความงาม

รายงาน Beauty & Personal Care Ingredient Intelligence ที่ทำการประเมินผลิตภัณฑ์กว่า 8,500 รายการ พบว่าร้อยละ 70 ของส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ความงามได้รับการระบุด้านความปลอดภัยอย่างชัดเจน ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าในอุตสาหกรรมความงามที่มีมูลค่าถึง 100 พันล้านดอลลาร์ การเปลี่ยนแปลงนี้มาจากแบรนด์ชั้นนำเช่น Sephora, Ulta, The Honest Company และ Credo Beauty ซึ่งเข้าร่วมในโครงการ Know Better, Do Better (KBDB) เพื่อสนับสนุนความโปร่งใสและความปลอดภัยในผลิตภัณฑ์

ความท้าทายและโอกาสในการพัฒนา

ถึงแม้จะมีความก้าวหน้า รายงานยังพบว่าส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ความงามถึงร้อยละ 30 ยังคงไม่ทราบผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่อุตสาหกรรมต้องเผชิญและยังเป็นโอกาสในการพัฒนานวัตกรรม รายงานได้ระบุสารเคมี 10 ชนิดที่ยังใช้บ่อยและสามารถเปลี่ยนไปใช้สารที่ปลอดภัยกว่าได้

Stacy Glass ผู้อำนวยการ ChemFORWARD ได้กล่าวถึงความสำคัญของการพัฒนาความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ความงามโดยการหันมาใช้สารที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

อนาคตของอุตสาหกรรมความงาม: ความปลอดภัยและความยั่งยืน

ด้วยความต้องการของผู้บริโภคในเรื่องความโปร่งใสของส่วนผสมและมาตรฐานด้านความปลอดภัยที่สูงขึ้น อุตสาหกรรมความงามมีแนวโน้มที่จะปรับตัวในเชิงบวกมากขึ้นในอนาคต แบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับส่วนผสมที่ปลอดภัยและยั่งยืนจะเป็นผู้นำของอุตสาหกรรมความงามและสามารถสร้างความเชื่อมั่นในตลาดที่มีการแข่งขันสูงและผู้บริโภคที่มีข้อมูลสูงมากขึ้น

Christina Ross ผู้อำนวยการด้านวิทยาศาสตร์และนโยบายของ Credo Beauty เน้นย้ำว่า “การใช้ส่วนผสมที่ปลอดภัยกว่าไม่ใช่แค่การทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่เป็นความจำเป็นของอุตสาหกรรม การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเริ่มต้นจากการทำให้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ถูกต้อง และการประเมินความเสี่ยงของส่วนผสมต้องมีความโปร่งใสเพื่อก้าวหน้าในอุตสาหกรรม”

ด้วยกฎระเบียบระดับโลกที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของสารเคมีและความต้องการของผู้บริโภคที่สูงขึ้น อุตสาหกรรมความงามจึงต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว แบรนด์ที่มุ่งเน้นการปรับสูตรและความโปร่งใสของส่วนผสมจะเป็นผู้นำในการพัฒนา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : environmentenergyleader

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

หมีขั้วโลกเสี่ยงติดเชื้อเพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2567 วารสาร Public Library of Science (PLOS ONE) ได้รายงานผลการวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับหมีขั้วโลก โดยระบุว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในเขตอาร์กติกกำลังเพิ่มความเสี่ยงที่หมีขั้วโลกจะติดเชื้อโรคต่าง ๆ มากขึ้นกว่าช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา การศึกษานี้นำเสนอโดย Karyn Rode และ Caroline Van Hemert จากสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐฯ (U.S. Geological Survey) ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ไวรัส แบคทีเรีย และปรสิตมีโอกาสแพร่เชื้อไปยังสัตว์ป่าในเขตอาร์กติกมากขึ้น

การวิจัยครั้งนี้ได้ทำการตรวจสอบตัวอย่างเลือดของหมีขั้วโลกในทะเลชุคชี (Chukchi Sea) ระหว่างปี 1987–1994 และเปรียบเทียบกับตัวอย่างที่เก็บได้ระหว่างปี 2008-2017 โดยมุ่งเน้นการตรวจหาภูมิต้านทานต่อเชื้อโรค 6 ชนิด พบว่า 5 ใน 6 เชื้อโรคดังกล่าวมีการแพร่กระจายเพิ่มมากขึ้นในช่วงหลัง ได้แก่ ปรสิตที่ก่อให้เกิดโรคท็อกโซพลาสโมซิส (toxoplasmosis) และนีโอสโปโรซิส (neosporosis) แบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคไข้กระต่าย (rabbit fever) และบรูเซลโลซิส (brucellosis) รวมถึงไวรัสโรคหัดสุนัข (canine distemper virus)

การเพิ่มขึ้นของเชื้อโรคเหล่านี้นับเป็นหนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วที่สุดในเรื่องการสัมผัสเชื้อโรคที่เคยมีการรายงานในหมีขั้วโลก การศึกษานี้ยังชี้ให้เห็นถึงปัจจัยที่ทำให้ความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อโรคเพิ่มมากขึ้น ซึ่งรวมถึงปัจจัยทางด้านอาหารและเพศ พบว่าหมีขั้วโลกเพศเมียมีโอกาสสัมผัสกับเชื้อโรคมากกว่าเพศผู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมีขั้วโลกเพศเมียที่ตั้งครรภ์มักจะหลบซ่อนตัวบนพื้นดินเพื่อเลี้ยงลูก ทำให้มีโอกาสสัมผัสกับเชื้อโรคที่มาจากสัตว์อื่น ๆ มากขึ้น

ในเขตอาร์กติกที่กำลังเผชิญกับภาวะโลกร้อนเร็วกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกเกือบสี่เท่า การสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัยของหมีขั้วโลกซึ่งเป็นน้ำแข็งทะเล เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้โรคติดเชื้อต่าง ๆ กลายเป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อสัตว์ป่าเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อชุมชนมนุษย์ที่อาศัยในเขตนี้ด้วย เนื่องจากบางกลุ่มในชุมชนดังกล่าวนิยมล่าหมีขั้วโลกเพื่อนำมาเป็นอาหาร และเชื้อโรคหลายชนิดที่พบในการศึกษานี้สามารถแพร่ระบาดสู่มนุษย์ได้

นักวิจัยระบุว่าหมีขั้วโลกกำลังเผชิญกับปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทำให้พวกมันตกอยู่ในภาวะความเครียดมากขึ้น และเนื่องจากหมีขั้วโลกเป็นแหล่งอาหารสำคัญในพื้นที่นี้ จึงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบประชากรหมีขั้วโลกอย่างต่อเนื่องเพื่อติดตามสัญญาณของโรคติดเชื้อ นักวิจัยยังเสริมว่า “สำหรับเชื้อโรคบางชนิด จำนวนน้ำเหลืองของหมีขั้วโลกที่มีผลบวก ซึ่งแสดงถึงการสัมผัสกับเชื้อโรค มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และเป็นระดับที่สูงที่สุดที่เคยพบในประชากรกลุ่มนี้ ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าเส้นทางการแพร่เชื้อโรคในระบบนิเวศของอาร์กติกได้เปลี่ยนแปลงไป”

จากการศึกษาพบว่า หมีขั้วโลกต้องเผชิญกับการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัยในน้ำแข็งทะเลอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้พวกมันต้องปรับตัวและเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคที่มากขึ้น ด้วยภาวะโลกร้อนที่ทำให้สิ่งแวดล้อมในอาร์กติกเปลี่ยนแปลงไป นักวิจัยเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องศึกษาติดตามการแพร่กระจายของเชื้อโรคในระบบนิเวศของอาร์กติกอย่างใกล้ชิด เพื่อปกป้องทั้งหมีขั้วโลกและชุมชนมนุษย์ในเขตนี้จากโรคติดเชื้อ

การศึกษานี้เปิดเผยถึงการเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่างการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและการแพร่กระจายของเชื้อโรคในสัตว์ป่า โดยเฉพาะหมีขั้วโลกซึ่งเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศในอาร์กติก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Public Library of Science

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News