Categories
TOP STORIES

แม่ฮ่องสอนผวา พบ 6 หลุมยุบ เร่งตรวจสอบด่วน

แม่ฮ่องสอนพบหลุมยุบในพื้นที่เกษตรบ้านแม่สุริน ปภ.เร่งตรวจสอบและปิดกั้นเพื่อความปลอดภัย

แม่ฮ่องสอน, 1 เมษายน 2568 – สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดแม่ฮ่องสอน (ปภ.แม่ฮ่องสอน) รายงานว่า เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2568 เวลา 10:00 น. ได้รับแจ้งเหตุจากนายณรงค์พัชญ์ นาคทรัพย์ นายอำเภอขุนยวม เกี่ยวกับการพบหลุมยุบหลายขนาดในพื้นที่การเกษตร บริเวณบ้านแม่สุริน หมู่ที่ 3 ตำบลขุนยวม อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความกังวลให้กับเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่

จากการแจ้งเตือนดังกล่าว อำเภอขุนยวมได้ประสานงานกับองค์การบริหารส่วนตำบลขุนยวม (อบต.ขุนยวม) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์ทันที การสำรวจเบื้องต้นพบหลุมยุบในพื้นที่การเกษตรจำนวน 6 หลุม โดยแบ่งเป็นหลุมขนาดใหญ่ 2 หลุม และหลุมขนาดเล็ก 4 หลุม ซึ่งหลุมเหล่านี้เกิดขึ้นในบริเวณที่เป็นที่นาของเกษตรกรในหมู่บ้านแม่สุริน เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการปิดกั้นพื้นที่ดังกล่าวทันที เพื่อป้องกันไม่ให้เกษตรกรและประชาชนเข้าไปใกล้บริเวณที่เกิดเหตุ อันอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน

เกิดหลุมยุบยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบเพิ่มเติม

นายณรงค์พัชญ์ นาคทรัพย์ นายอำเภอขุนยวม เปิดเผยว่า การพบหลุมยุบครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในพื้นที่ดังกล่าว และอาจเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาในช่วงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ ที่มีศูนย์กลางอยู่ในประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนถึงจังหวัดแม่ฮ่องสอน อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดหลุมยุบยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบเพิ่มเติม โดยจะมีการประสานงานกับหน่วยงานผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยา เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกต่อไป

เจ้าหน้าที่จาก ปภ.แม่ฮ่องสอน ระบุว่า หลุมยุบที่พบมีลักษณะแตกต่างกัน โดยหลุมขนาดใหญ่ 2 หลุม มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-5 เมตร และมีความลึกที่ยังไม่สามารถวัดได้อย่างแน่ชัด เนื่องจากต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทางในการสำรวจ ส่วนหลุมขนาดเล็ก 4 หลุม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-2 เมตร ซึ่งการเกิดหลุมยุบในครั้งนี้ยังไม่พบรายงานความเสียหายต่อบ้านเรือนหรือทรัพย์สินของประชาชน แต่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกรในบริเวณนั้น

ติดตั้งป้ายเตือนและกั้นแนวเขตห้ามเข้าในรัศมี

เพื่อความปลอดภัยของประชาชน อำเภอขุนยวมและ อบต.ขุนยวม ได้ติดตั้งป้ายเตือนและกั้นแนวเขตห้ามเข้าในรัศมีที่กำหนด พร้อมแจ้งเตือนให้เกษตรกรและชาวบ้านในหมู่บ้านแม่สุรินหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้บริเวณหลุมยุบ จนกว่าการสำรวจและประเมินสถานการณ์จะเสร็จสิ้น นอกจากนี้ ยังได้มีการจัดทีมเฝ้าระวังในพื้นที่ เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวและป้องกันเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นเพิ่มเติม

ส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบสาเหตุ

สำนักงาน ปภ.แม่ฮ่องสอน ได้ออกแถลงการณ์ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานกับกรมทรัพยากรธรณี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบสาเหตุของหลุมยุบอย่างละเอียด โดยคาดว่าการสำรวจเพิ่มเติมจะสามารถระบุได้ว่าหลุมยุบเกิดจากปัจจัยทางธรรมชาติ เช่น การเคลื่อนตัวของชั้นดินจากแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว หรืออาจมีสาเหตุอื่น เช่น การทรุดตัวของชั้นน้ำใต้ดิน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่พบได้ในบางพื้นที่

นายณรงค์พัชญ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เราได้แนะนำให้ประชาชนในพื้นที่เฝ้าสังเกตความผิดปกติของพื้นดินในบริเวณใกล้เคียง และแจ้งเจ้าหน้าที่ทันทีหากพบหลุมยุบเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าพื้นที่ดังกล่าวจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดหลุมยุบเพิ่มหรือไม่ แต่เราจะดำเนินการทุกขั้นตอนเพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนเป็นอันดับแรก”

เกิดอาฟเตอร์ช็อกแล้วกว่า 169 ครั้ง

เหตุการณ์นี้ได้สร้างความตื่นตัวให้กับหน่วยงานท้องถิ่นและประชาชนในจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยเฉพาะในช่วงที่ยังคงมีการเฝ้าระวังอาฟเตอร์ช็อกจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเมียนมา ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2568 มีการเกิดอาฟเตอร์ช็อกแล้วกว่า 169 ครั้ง แม้ว่าความรุนแรงจะลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงส่งผลให้เกิดความกังวลในพื้นที่ใกล้เคียงจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว

สำนักงาน ปภ.แม่ฮ่องสอน ยังได้แนะนำให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงติดตามข้อมูลข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ขณะเดียวกัน ได้มีการเตรียมความพร้อมในด้านบุคลากรและเครื่องมือ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นเพิ่มเติมจากเหตุการณ์นี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดแม่ฮ่องสอน (ปภ.แม่ฮ่องสอน)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายเลือกตั้งคึกคัก 2 ทีมใหญ่ชิงนายกเทศมนตรี

สนามเลือกตั้งเทศบาลนครเชียงรายคึกคัก! เปิดรับสมัครวันแรกสองทีมใหญ่ลงชิงชัย

เชียงราย, 31 มีนาคม 2568 – บรรยากาศที่สำนักงานเทศบาลนครเชียงรายเต็มไปด้วยความคึกคัก ในวันแรกของการเปิดรับสมัครเลือกตั้งนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาล (ส.ท.) ทั้ง 4 เขต รวม 24 คน โดยมีผู้สมัครเดินทางมาเตรียมพร้อมรอสมัครตั้งแต่เช้าก่อนเวลาเปิดรับสมัครในเวลา 08.30 น.

สองทีมใหญ่เปิดศึกชิงตำแหน่ง

การเลือกตั้งในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมีสองทีมหลักที่ประกาศลงสมัครแข่งขัน ได้แก่ ทีมของ นายวันชัย จงสุทธานามณี อดีตนายกเทศมนตรีนครเชียงราย และ ทีมของ พรรคประชาชน นำโดย นายศราวุธ สุตะวงค์ อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ซึ่งต่างก็ประกาศเจตนารมณ์ในการพัฒนาเชียงรายอย่างเต็มที่

การจับสลากหมายเลขสมัคร

เมื่อถึงเวลาเปิดรับสมัคร ทั้งสองทีมไม่สามารถตกลงกันได้เรื่องหมายเลขสมัคร ทำให้ พ.จ.อ.อัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา ปลัดเทศบาลนครเชียงราย ในฐานะผู้อำนวยการการเลือกตั้ง ต้องให้มีการจับสลากเพื่อกำหนดหมายเลขสมัคร ผลการจับสลากปรากฏว่า

  • นายศราวุธ สุตะวงค์ จากพรรคประชาชน จับได้ หมายเลข 1 ท่ามกลางเสียงเฮจากกองเชียร์ที่มาร่วมให้กำลังใจ
  • นายวันชัย จงสุทธานามณี ได้รับ หมายเลข 2 พร้อมทีมสมาชิกสภาเทศบาลที่ได้รับหมายเลข 7-12
  • ขณะที่ ทีมของพรรคประชาชน ทีมสมาชิกสภาเทศบาลได้รับหมายเลข 1-6 ตามลำดับ

นโยบายและวิสัยทัศน์ของผู้สมัคร

นายวันชัย จงสุทธานามณี ระบุว่า เขามุ่งเน้นการสานต่อโครงการพัฒนาเมืองเชียงรายที่ได้ริเริ่มไว้ในช่วงดำรงตำแหน่งก่อนหน้านี้ โดยมีเป้าหมายในการสร้างรายได้เสริมให้กับประชาชน เพิ่มโครงสร้างพื้นฐาน และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งเป็นจุดเด่นของจังหวัดเชียงราย

นายศราวุธ สุตะวงค์ จากพรรคประชาชน ชูนโยบาย “4 เสาหลัก” ในการพัฒนาเชียงราย ประกอบด้วย:

  1. เศรษฐกิจดี – ส่งเสริมการค้าขายให้มีความต่อเนื่องตลอดทั้งปี
  2. เชียงรายปลอดภัย – สร้างความมั่นคงในด้านชีวิต ความเป็นอยู่ และการลงทุน
  3. สุขภาวะที่ดี – ประชาชนทุกกลุ่มวัยสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพ
  4. เชียงรายเมืองเดินได้ – ปรับปรุงโครงสร้างเมืองให้เอื้อต่อการเดินทางของประชาชนและนักท่องเที่ยว

บรรยากาศการเลือกตั้ง

กองเชียร์ของทั้งสองทีมต่างส่งเสียงเชียร์ มอบพวงมาลัยและดอกกุหลาบแดงให้กำลังใจผู้สมัครของตนอย่างคึกคัก ขณะที่เจ้าหน้าที่เทศบาลนครเชียงรายได้อำนวยความสะดวกให้กับผู้สมัครและประชาชนที่เดินทางมาร่วมให้กำลังใจอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

จากการสำรวจข้อมูลการเลือกตั้งท้องถิ่นในประเทศไทย พบว่าในช่วงปี 2565-2567 มีอัตราการใช้สิทธิ์เลือกตั้งเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 65-70% โดยเฉพาะการเลือกตั้งในเขตเมืองที่มีการแข่งขันสูงมักมีผู้มาใช้สิทธิ์มากขึ้น การเลือกตั้งเทศบาลนครเชียงรายในครั้งนี้ คาดการณ์ว่าประชาชนจะออกมาใช้สิทธิ์อย่างคึกคัก เนื่องจากมีผู้สมัครที่มีชื่อเสียงและมีฐานเสียงสนับสนุนอย่างแข็งแกร่ง

ทัศนคติและความคิดเห็นที่แตกต่าง

  • ฝ่ายสนับสนุนทีมวันชัย จงสุทธานามณี เชื่อว่าการมีผู้นำที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการบริหารเมืองจะสามารถสานต่อโครงการที่มีอยู่และพัฒนาเมืองเชียงรายให้ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง
  • ฝ่ายสนับสนุนทีมศราวุธ สุตะวงค์ มองว่าการเปลี่ยนแปลงผู้นำและแนวทางการบริหารใหม่จะทำให้เกิดการพัฒนาที่หลากหลายและสามารถแก้ไขปัญหาที่ยังคงค้างคาอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับประชาชนในการเลือกผู้นำที่มีความสามารถ และพร้อมที่จะทำงานเพื่อประโยชน์สูงสุดของชุมชน การเลือกตั้งในครั้งนี้จะมีขึ้นในวันที่ 30 เมษายน 2568 ขอเชิญชวนประชาชนชาวเชียงรายออกมาใช้สิทธิ์ใช้เสียงเพื่อกำหนดอนาคตของเมืองเชียงรายต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
  • สำนักงานเทศบาลนครเชียงราย
  • รายงานข่าวจากสื่อท้องถิ่นและสำนักข่าวหลัก
  • ข้อมูลการสำรวจจากศูนย์วิจัยการเลือกตั้งแห่งประเทศไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

ตึกถล่ม ACT ชี้พิรุธ สตง. ยันโปร่งใส

อาคาร สตง. ถล่มจากแผ่นดินไหว ACT ชี้ข้อผิดสังเกตการก่อสร้าง สตง. ยันโปร่งใสตามข้อตกลงคุณธรรม

ประเทศไทย, 30 มีนาคม 2568 – เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เวลา 13:20 น. ส่งผลกระทบรุนแรงถึงประเทศไทย โดยเฉพาะอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ บริเวณถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างด้วยงบประมาณ 2,136 ล้านบาท พังถล่มลงมาทั้งหมด สร้างความเสียหายอย่างหนัก และกลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ถึงคุณภาพการก่อสร้างและการบริหารจัดการโครงการ โดยองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ได้ออกมาเปิดเผยข้อสังเกตเกี่ยวกับความล่าช้าและปัญหาการก่อสร้าง ขณะที่ สตง. ยืนยันว่าได้ดำเนินการอย่างโปร่งใสภายใต้ “โครงการข้อตกลงคุณธรรม”

ความเสียหายจากแผ่นดินไหวและสถานการณ์ล่าสุด

เหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ส่งผลให้อาคาร สตง. แห่งใหม่ ซึ่งมีความสูง 30 ชั้น และตั้งอยู่บนพื้นที่ 10 ไร่ 3 งาน ถล่มลงมาทั้งหมด โดยศูนย์นเรนทร สถานบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) รายงานเมื่อเวลา 15:07 น. วันที่ 29 มีนาคม 2568 ว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 50 ราย ซึ่งถูกนำส่งโรงพยาบาลแล้ว ผู้เสียชีวิต 1 ราย และยังมีผู้ติดอยู่ในซากอาคารจำนวนหนึ่งที่ยังไม่ทราบจำนวนแน่ชัด ตามข้อมูลจากหัวหน้าคนงานในพื้นที่ ขณะนี้หน่วยกู้ภัยและทีมวิศวกรกำลังเร่งปฏิบัติการค้นหาและช่วยเหลือผู้รอดชีวิตอย่างต่อเนื่อง โดยแข่งกับเวลาเพื่อลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียเพิ่มเติม

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2568 พร้อมระบุว่า ยังคงตรวจพบสัญญาณชีพของผู้สูญหาย 15 ราย ในระดับความลึกประมาณ 3 เมตรใต้ซากอาคาร และได้สั่งระดมเครื่องจักรหนักเพื่อเร่งเคลื่อนย้ายเศษซาก คาดว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 48 ชั่วโมง

ข้อสังเกตจากองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ACT)

นายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT เปิดเผยว่า องค์กรได้ร่วมกับ สตง. ลงนามใน “โครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact)” เพื่อส่งผู้สังเกตการณ์อิสระเข้าร่วมตรวจสอบความโปร่งใสในกระบวนการก่อสร้างอาคารแห่งนี้ อย่างไรก็ตาม การเข้าร่วมของ ACT เกิดขึ้นหลังจากที่ สตง. ได้คัดเลือกผู้รับเหมา ผู้ควบคุมงาน และจัดทำข้อกำหนดเงื่อนไขการประกวดราคา (TOR) รวมถึงแบบก่อสร้างเสร็จสิ้นแล้ว ทำให้ผู้สังเกตการณ์จาก ACT ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกำหนด TOR หรือการคัดเลือกผู้รับเหมาในขั้นต้น

นายมานะระบุว่า ตลอดระยะเวลาการสังเกตการณ์ พบข้อผิดสังเกตหลายประการ เช่น การก่อสร้างล่าช้ากว่ากำหนด ผู้รับเหมามีพฤติกรรมหยุดงานเป็นช่วง ๆ โดยเฉพาะในช่วงแรกของโครงการ และเมื่อกลับมาดำเนินการต่อก็มีความล่าช้าอย่างเห็นได้ชัด คณะผู้สังเกตการณ์ได้ทักท้วงถึงปัญหาดังกล่าวต่อ สตง. อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเมื่อเดือนมกราคม 2568 สตง. มีท่าทีเตรียมยกเลิกสัญญากับผู้รับเหมา เนื่องจากความล่าช้าที่กระทบต่อความคืบหน้าของโครงการ

“ผู้สังเกตการณ์จาก ACT มีหน้าที่ตรวจสอบการบริหารสัญญาก่อสร้างว่าสอดคล้องกับแบบและเงื่อนไขในสัญญาหรือไม่ หากมีการแก้ไขแบบหรือเปลี่ยนแปลงวัสดุ สตง. และผู้ควบคุมงานต้องแจ้งให้เราทราบ แต่การควบคุมคุณภาพทางวิศวกรรม เช่น การป้องกันการล่าช้า หรือการเปลี่ยนวัสดุที่อาจกระทบต่อโครงสร้าง เป็นความรับผิดชอบของ สตง. และบริษัทผู้ควบคุมงาน ไม่ใช่ ACT” นายมานะกล่าว

นายมานะยังชี้ว่า “โครงการข้อตกลงคุณธรรม” เป็นเครื่องมือสากลที่ ACT นำมาจากองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) และเริ่มใช้ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2558 เพื่อตรวจสอบความโปร่งใสในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ โดยปัจจุบันมีผู้สังเกตการณ์อิสระ 252 คน ร่วมตรวจสอบ 178 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2 ล้านล้านบาท ช่วยประหยัดงบประมาณได้ 77,548 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 6.7 อย่างไรก็ตาม ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา โครงการที่รัฐเลือกเข้าร่วมข้อตกลงคุณธรรมมีขนาดและความสำคัญลดลงเหลือไม่ถึงหนึ่งในสาม ซึ่งนายมานะมองว่าเป็นการสูญเสียโอกาสในการใช้ทรัพยากรของชาติอย่างคุ้มค่า

การชี้แจงจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)

นายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ในฐานะโฆษก สตง. ให้สัมภาษณ์สั้น ๆ ทางโทรศัพท์กับสำนักข่าวอิศราว่า ขณะนี้ผู้บริหาร สตง. อยู่ระหว่างลงพื้นที่ตรวจสอบข้อมูลความเสียหาย และจะมีการหารือรายละเอียดเพิ่มเติมต่อไป โดยยืนยันว่า ที่ผ่านมา สตง. ได้ตรวจรับงานก่อสร้างเป็นงวด ๆ ไปแล้วประมาณร้อยละ 20-25 เท่านั้น และการดำเนินโครงการนี้อยู่ภายใต้กรอบความโปร่งใสตาม “โครงการข้อตกลงคุณธรรม”

สตง. ชี้แจงว่า โครงการก่อสร้างอาคารแห่งใหม่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2550 โดยได้รับอนุมัติงบประมาณเบื้องต้นจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) รวม 1,832,906,600 บาท แบ่งเป็นค่าก่อสร้าง 1,826,950,000 บาท และค่าควบคุมงาน 5,956,600 บาท ต่อมาในปี 2563 สตง. ขอปรับเปลี่ยนรายการและเพิ่มงบประมาณเป็น 2,636,800,000 บาท แบ่งเป็นค่าก่อสร้าง 2,560,000,000 บาท และค่าควบคุมงาน 76,800,000 บาท ซึ่งได้รับอนุมัติจาก ครม. เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563

ผู้รับเหมาก่อสร้างคือ กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี (บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด) ด้วยวงเงิน 2,136 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าราคากลาง 386.15 ล้านบาท ส่วนผู้ควบคุมงานคือ กิจการร่วมค้า PKW (บริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จำกัด, บริษัท ว. และสหาย คอนซัลแตนส์ จำกัด และบริษัท เคพี คอนซัลแทนส์ แอนด์ แมเนจเม้น จำกัด) ด้วยวงเงิน 84,560,600 บาท โดยมีการขยายระยะเวลาก่อสร้างจากกำหนดเดิม 1,080 วัน (15 มกราคม 2564 – 31 ธันวาคม 2566) ออกไปอีก 148 วัน เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 และการปรับแก้แบบก่อสร้าง

สตง. เน้นย้ำว่า โครงการนี้ได้ยึดหลักความโปร่งใสตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 โดยมีการเปิดเผยข้อมูลทุกขั้นตอน และดำเนินการจัดหาผู้รับเหมาอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม

ความเป็นมาของโครงการและเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง

โครงการก่อสร้างอาคาร สตง. แห่งใหม่เริ่มวางแผนมาตั้งแต่ปี 2550 โดยมีเป้าหมายเพื่อย้ายสำนักงานจากที่ตั้งเดิมไปยังอาคารทันสมัยที่มีพื้นที่เพียงพอต่อการปฏิบัติงาน ตัวอาคารสูง 30 ชั้น ตั้งอยู่ใกล้สถานี MRT กำแพงเพชร และสถานีกลางบางซื่อ มีเนื้อที่ 10 ไร่ 3 งาน ด้วยงบประมาณเริ่มต้น 1,800 ล้านบาท ซึ่งต่อมาเพิ่มเป็น 2,560 ล้านบาทในปี 2563 และมีการขอเพิ่มงบควบคุมงานอีก 9,718,716 บาท ในปี 2567

ระหว่างการก่อสร้าง โครงการเผชิญปัญหาหลายครั้ง เช่น การหยุดงานจากสถานการณ์โควิด-19 และเหตุเครนถล่มเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งทำให้คนงานชาวกัมพูชาเสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 2 ราย ส่งผลให้มีการระงับการก่อสร้างชั่วคราวเพื่อตรวจสอบความปลอดภัย

โครงสร้างผู้รับเหมาและสถานะทางการเงิน

จากการตรวจสอบข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี ประกอบด้วย บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทก่อสร้างชั้นนำของไทย และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งจดทะเบียนเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2561 ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท

บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป (จีน) ถือหุ้น 49% ส่วนผู้ถือหุ้นไทย ได้แก่ นายโสภณ มีชัย (40.80%), นายประจวบ ศิริเขตร (10.20%) และนายมานัส ศรีอนันท์ (0.00%, 3 หุ้น) งบการเงินล่าสุดปี 2566 ระบุว่า บริษัทมีสินทรัพย์รวม 2,804,535,819 บาท หนี้สิน 2,952,877,175 บาท และขาดทุนสุทธิ 199,669,872 บาท ซึ่งสะท้อนถึงสถานะทางการเงินที่น่าเป็นห่วง

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝ่าย

กรณีการถล่มของอาคาร สตง. ได้จุดกระแสข้อถกเถียงระหว่างสองมุมมองหลัก โดยฝ่าย ACT ชี้ถึงปัญหาการก่อสร้างที่ล่าช้าและขาดประสิทธิภาพ ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการบริหารจัดการที่ไม่รัดกุมหรือการเลือกใช้วัสดุที่ไม่ได้มาตรฐาน ขณะที่ สตง. ยืนยันว่าได้ดำเนินการตามหลักการโปร่งใส และการถล่มอาจเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น ความรุนแรงของแผ่นดินไหวที่เกินขีดความสามารถของโครงสร้าง

จากมุมมองที่เป็นกลาง การวิพากษ์วิจารณ์ของ ACT มีน้ำหนักในแง่ของการชี้ให้เห็นถึงความล่าช้าและการหยุดงาน ซึ่งอาจสะท้อนถึงปัญหาการบริหารสัญญาหรือการควบคุมงานที่ไม่เข้มงวดเพียงพอ อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดที่ ACT ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมตั้งแต่ขั้นตอนการจัดทำ TOR และคัดเลือกผู้รับเหมา อาจทำให้ข้อมูลที่นำเสนอไม่ครอบคลุมทุกมิติ ในทางกลับกัน การชี้แจงของ สตง. ที่ระบุถึงความโปร่งใสและการประหยัดงบประมาณจากการประมูลที่ต่ำกว่าราคากลาง มีความสมเหตุสมผลในแง่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง แต่คำถามเรื่องคุณภาพโครงสร้างยังคงต้องการการตรวจสอบเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม เพื่อยืนยันว่าการถล่มเกิดจากแผ่นดินไหวเพียงอย่างเดียว หรือมีปัจจัยอื่น เช่น การออกแบบหรือวัสดุที่ไม่เหมาะสมร่วมด้วย

ทั้งนี้ การหาข้อสรุปที่ชัดเจนจำเป็นต้องรอผลการสอบสวนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยไม่ควรเร่งตัดสินว่าเป็นความผิดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและป้องกันการกล่าวโทษที่อาจขาดหลักฐานรองรับ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. ความเสียหายจากแผ่นดินไหวในประเทศไทย: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานว่า ตั้งแต่ปี 2550-2567 ประเทศไทยเผชิญแผ่นดินไหวที่มีผลกระทบในประเทศ 12 ครั้ง ส่วนใหญ่มีศูนย์กลางในเมียนมาและลาว โดยเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดก่อนหน้านี้เกิดเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2557 (ขนาด 6.3 ริกเตอร์) ในจังหวัดเชียงราย สร้างความเสียหายแก่บ้านเรือน 1,200 หลัง และวัด 50 แห่ง (ที่มา: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, รายงานภัยพิบัติ 2567)
  2. งบประมาณเมกะโปรเจกต์ในไทย: สำนักงบประมาณระบุว่า ในช่วงปี 2558-2567 โครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่มีมูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาท มีทั้งสิ้น 245 โครงการ รวมมูลค่า 3.5 ล้านล้านบาท โดยร้อยละ 15 เผชิญปัญหาความล่าช้า (ที่มา: สำนักงบประมาณ, รายงานงบประมาณแผ่นดิน 2567)
  3. การทุจริตในโครงการภาครัฐ: Transparency International รายงานดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ของไทยในปี 2566 อยู่ที่ 35 คะแนน จาก 100 คะแนน (อันดับ 101 จาก 180 ประเทศ) สะท้อนถึงความท้าทายในการป้องกันการทุจริตในภาครัฐ (ที่มา: Transparency International, CPI 2023)

สรุป

เหตุการณ์ถล่มของอาคาร สตง. ไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน แต่ยังจุดประเด็นถกเถียงถึงความโปร่งใสและคุณภาพการก่อสร้าง ขณะนี้ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันค้นหาความจริง เพื่อให้ได้คำตอบที่ชัดเจนและป้องกันเหตุซ้ำรอยในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)
  • สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • สำนักงบประมาณ
  • Transparency International
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายมั่นใจ ตรวจโรงแรม ปลอดภัยบ้านร้าวไม่ใช่แผ่นดินไหว

ผู้ว่าฯ เชียงราย มอบหมายหน่วยงานตรวจสอบโครงสร้างโรงแรม หลังแผ่นดินไหว สร้างความมั่นใจให้ประชาชนและนักท่องเที่ยว

เชียงราย, 29 มีนาคม 2568 – จากสถานการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ในประเทศเมียนมา และส่งผลกระทบต่อหลายพื้นที่ในภาคเหนือของประเทศไทย ล่าสุด นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัยของโครงสร้างอาคารโรงแรม และสถานที่สำคัญในจังหวัดเชียงราย เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว

การตรวจสอบความปลอดภัยของโรงแรมสำคัญ

นายสุพจน์ แสนมี ปลัดจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายครรชิต ชมภูแดง หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย และผู้แทนจากโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย ได้นำคณะลงพื้นที่ตรวจสอบโรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น และโรงแรมเดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี ซึ่งเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ที่มีนักท่องเที่ยวเข้าพักจำนวนมาก

จากการตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบความเสียหายในโครงสร้างหลักของอาคาร รวมถึงระบบความปลอดภัยภายในอาคารยังคงใช้งานได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมย้ำให้โรงแรมทุกแห่งตรวจสอบระบบป้องกันภัยภายในอาคารอย่างสม่ำเสมอ

การลงพื้นที่สำรวจบ้านเรือนประชาชน

ในส่วนของประชาชน นายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย ได้สั่งการให้ฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่กองช่างเทศบาลตำบลสันทราย ลงพื้นที่ตรวจสอบบ้านเรือนที่ได้รับรายงานความเสียหายจากแผ่นดินไหวในพื้นที่หมู่ที่ 8 ตำบลสันทราย อำเภอเมืองเชียงราย

โดยหลังการตรวจสอบพบว่า รอยแตกร้าวที่ได้รับแจ้งผ่านสื่อสังคมออนไลน์เป็นรอยเดิมที่ไม่ได้เกิดจากแผ่นดินไหวล่าสุด นอกจากนี้ยังพบร่องรอยการเข้าทำลายของปลวกและการซ่อมแซมก่อนหน้านี้ด้วยพียูโฟม ซึ่งมีการเปลี่ยนสีตามระยะเวลา ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ประสานเจ้าของบ้านเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งในวันที่ 30 มีนาคม 2568 เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชน

การสั่งการและติดตามสถานการณ์

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และให้รายงานผลการตรวจสอบอาคารที่มีความเสี่ยงภายในวันนี้ รวมถึงเตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือประชาชนในกรณีที่พบความเสียหายเพิ่มเติม

นอกจากนี้ ยังมีการประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสำรวจอาคารโรงพยาบาล โรงเรียน วัด และสถานที่ราชการที่อาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว โดยเฉพาะอาคารเก่าที่มีโครงสร้างเสี่ยงต่อการเสียหาย

สถิติและผลกระทบจากแผ่นดินไหว

จากรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยา เหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 มีขนาด 8.2 ตามมาตราแมกนิจูด และมีจุดศูนย์กลางลึกลงไปประมาณ 10 กิโลเมตรในประเทศเมียนมา ส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนรับรู้ได้ถึงหลายจังหวัดในภาคเหนือของประเทศไทย รวมถึงจังหวัดเชียงราย

เบื้องต้นมีการรายงานความเสียหายเล็กน้อยในพื้นที่ 11 อำเภอของจังหวัดเชียงราย ทั้งในส่วนของอาคารบ้านเรือน โรงพยาบาล วัด และสถานที่ก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้

ความเห็นจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายสนับสนุนมาตรการการตรวจสอบ:

  • ประชาชนและผู้ประกอบการโรงแรมหลายรายชื่นชมการทำงานของหน่วยงานภาครัฐที่เร่งลงพื้นที่ตรวจสอบความปลอดภัยอย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนจังหวัดเชียงราย

ฝ่ายที่มีข้อกังวล:

  • อย่างไรก็ตาม ยังมีประชาชนบางส่วนแสดงความกังวลเกี่ยวกับความพร้อมของอาคารเก่าในพื้นที่เสี่ยง โดยเรียกร้องให้มีการตรวจสอบอย่างละเอียดและจัดทำแผนป้องกันภัยพิบัติที่ชัดเจนมากขึ้น

สรุป

จังหวัดเชียงรายยังคงติดตามสถานการณ์และผลกระทบจากแผ่นดินไหวอย่างใกล้ชิด โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงดำเนินการสำรวจและตรวจสอบความปลอดภัยของอาคารอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้รับความมั่นใจในความปลอดภัย ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นความเสียหายเพิ่มเติม สามารถแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตรวจสอบและให้ความช่วยเหลือได้ทันที

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์ข้อมูลภัยพิบัติแห่งชาติ
  • สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผู้ว่าฯ เชียงรายสั่งเร่งสำรวจตึกเสี่ยงแผ่นดินไหว 11 อำเภอ

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สั่งการทุกหน่วยงานเร่งสำรวจอาคารที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว พร้อมรายงานผลภายในวันนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชน

เชียงราย, 29 มีนาคม 2568 – นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้ออกคำสั่งให้หน่วยงานทุกภาคส่วนในจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ (28 มีนาคม 2568) อย่างละเอียด โดยเน้นย้ำให้เร่งสำรวจอาคารที่มีความเสี่ยงสูง เช่น โรงพยาบาล วัด โรงเรียน และอาคารของหน่วยงานราชการ เพื่อประเมินความปลอดภัยและรายงานผลให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทราบภายในวันนี้

รายงานสถานการณ์ล่าสุด

สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ. เชียงราย) ได้รายงานสถานการณ์แผ่นดินไหวในพื้นที่จังหวัดเชียงราย พบว่ามีพื้นที่ได้รับผลกระทบทั้งสิ้น 11 อำเภอ 12 ตำบล 12 หมู่บ้าน รวมถึงวัด 1 แห่ง โรงพยาบาล 9 แห่ง และสถานที่ก่อสร้าง 1 แห่ง มีรถยนต์และรถจักรยานยนต์เสียหายรวม 7 คัน ส่วนบ้านเรือนราษฎรได้รับความเสียหายบางส่วน 1 หลัง ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการสำรวจเพิ่มเติมเพื่อรวบรวมข้อมูลอย่างครบถ้วน

อำเภอที่ได้รับผลกระทบหลัก

  • อำเภอเชียงของ: วัดท่าข้ามศรีดอนชัย ตำบลศรีดอนชัย หมู่ 7 ได้รับความเสียหายจากการพังถล่มของหลังคาอาคารวัฒนธรรม ซึ่งเป็นโครงสร้างไม้เก่า อย่างไรก็ตาม ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
  • อำเภอป่าแดด: เกิดเหตุคานถล่มบริเวณจุดก่อสร้างทางรถไฟ บ้านโป่งศรีนคร หมู่ 11 ตำบลโรงช้าง คานคอนกรีตขนาด 10 ตัน จำนวน 20 ท่อน ถล่มลงมาทับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ 7 คัน โดยโชคดีที่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
  • อำเภอเมืองเชียงราย: โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ พบรอยร้าวเล็กน้อยที่ผนังอาคาร แต่ไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างหลัก เครื่องมือแพทย์ และผู้ป่วย ยังคงสามารถให้บริการได้ตามปกติ
  • อำเภอดอยหลวง: บ้านเรือนประชาชนที่ตำบลโป่งน้อย หมู่ 8 และตำบลโชคชัย หมู่ 5 ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว ส่งผลให้ผนังบ้านแตกร้าว 1 หลัง โรงพยาบาลดอยหลวงเกิดรอยร้าวที่ผนังอาคาร แต่โครงสร้างหลักยังคงปลอดภัยและเปิดให้บริการได้ตามปกติ

มาตรการและการสั่งการเพิ่มเติม

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสำรวจและตรวจสอบอาคารที่มีความเสี่ยงโดยละเอียด ทั้งโรงเรียน โรงพยาบาล วัด และอาคารที่สูง พร้อมรายงานผลการตรวจสอบให้ทราบภายในวันเดียวกัน นอกจากนี้ยังได้มีการประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และวิศวกรโยธา เพื่อเข้าตรวจสอบโครงสร้างอาคารและให้คำแนะนำในการซ่อมแซม

ด้านสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงราย ได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบวัดวาอารามที่อาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวอย่างละเอียด ขณะที่สำนักงานการศึกษา ได้เร่งตรวจสอบสภาพอาคารเรียนของโรงเรียนทุกแห่งในจังหวัด เพื่อความปลอดภัยของนักเรียนและบุคลากรทางการศึกษา

การให้ความช่วยเหลือและคำแนะนำแก่ประชาชน

สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในแต่ละอำเภอ เพื่อรับแจ้งเหตุและให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงที พร้อมจัดส่งเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครเข้าช่วยเหลือในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยประชาชนสามารถติดต่อแจ้งเหตุหรือขอความช่วยเหลือได้ที่สายด่วน 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง

ในกรณีที่ได้รับข้อความแจ้งเตือนภัยจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ขอให้ประชาชนตรวจสอบว่าข้อความดังกล่าวส่งจากชื่อผู้ส่ง “DDPM” ซึ่งเป็นชื่อทางการ และหากพบว่ามีการส่งลิงก์แนบมากับข้อความ ขอให้ระมัดระวัง เนื่องจากอาจเป็นกลลวงจากมิจฉาชีพ

ข้อเสนอแนะในการป้องกันและรับมือแผ่นดินไหว

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ยังได้แนะนำให้ประชาชนปฏิบัติตามแนวทางการป้องกันและรับมือแผ่นดินไหว ดังนี้:

  1. หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ผนัง หน้าต่าง หรือสิ่งของที่อาจตกหล่น
  2. หากอยู่ภายในอาคารให้หมอบลงและใช้มือป้องกันศีรษะ
  3. หากอยู่ภายนอกอาคาร ให้หลีกเลี่ยงเสาไฟฟ้าและอาคารสูง
  4. ติดตามข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิด

สถิติที่เกี่ยวข้องกับแผ่นดินไหว

จากสถิติของกรมอุตุนิยมวิทยา ประเทศไทยมีแผ่นดินไหวขนาด 4.0 ขึ้นไปเฉลี่ยปีละ 15-20 ครั้ง และแผ่นดินไหวที่มีขนาด 6.0 ขึ้นไปที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรงเกิดขึ้นเฉลี่ยทุกๆ 10-15 ปี โดยครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มีแรงสั่นสะเทือนรุนแรงที่สุดในรอบหลายปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)

  • กรมอุตุนิยมวิทยา

  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย

  • สำนักข่าวไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

แผ่นดินไหวเมียนมา เชียงรายระทึก 3 อำเภอเสียหาย

กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเชียงราย ติดตามสถานการณ์แผ่นดินไหว พร้อมเร่งช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ

เชียงราย,28 มีนาคม 2568 – กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย รายงานสถานการณ์และผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เวลา 13.20 น. โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ในจังหวัดเชียงราย 3 อำเภอ 3 ตำบล ได้แก่ อำเภอเชียงของ อำเภอป่าแดด และอำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งดำเนินการสำรวจความเสียหายและให้การช่วยเหลือเป็นการด่วน

ความเสียหายที่เกิดขึ้น

  1. อำเภอเชียงของ:
    • วัดท่าข้ามศรีดอนชัย หมู่ที่ 7 ตำบลศรีดอนชัย ได้รับความเสียหายบริเวณ หลังคาอาคารวัฒนธรรม ซึ่งพังถล่มลงมาเนื่องจากโครงหลังคาที่เป็นไม้เก่ารองรับน้ำหนักไม่ไหว อย่างไรก็ตาม ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
  2. อำเภอป่าแดด:
    • เกิดเหตุ คานคอนกรีตถล่ม บริเวณจุดก่อสร้างทางรถไฟ บ้านโป่งศรีนคร หมู่ที่ 11 ตำบลโรงช้าง โดยคานคอนกรีตขนาดใหญ่ จำนวน 20 ท่อน น้ำหนักประมาณ 10 ตันต่อท่อน พังลงมาทับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ รวมทั้งหมด 7 คัน ได้แก่ รถสิบล้อ 2 คัน รถกระบะ 3 คัน รถเก๋ง 1 คัน และรถจักรยานยนต์ 1 คัน โดยไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
  3. อำเภอเมืองเชียงราย:
    • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ได้รับผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือน ทำให้ ผนังอาคารบางส่วนเกิดรอยร้าว แต่โครงสร้างหลักยังคงปลอดภัย ไม่มีรายงานความเสียหายต่อเครื่องมือแพทย์หรือผู้ป่วย โรงพยาบาลยังคงเปิดให้บริการตามปกติ

การให้ความช่วยเหลือและมาตรการเบื้องต้น

ภายหลังจากเกิดเหตุ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์ พร้อมสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการดังนี้:

  • สำรวจความเสียหายอย่างละเอียด โดยประสานงานกับสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย รวมถึงหน่วยงานด้านวิศวกรรม เพื่อประเมินโครงสร้างอาคารในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
  • จัดตั้งศูนย์อำนวยการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ในแต่ละอำเภอเพื่อดูแลและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างทั่วถึง
  • ตรวจสอบความปลอดภัยของสถานที่สำคัญ เช่น โรงพยาบาล วัด และโครงการก่อสร้างต่าง ๆ อย่างละเอียด

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

  • ฝ่ายสนับสนุน: ผู้ที่สนับสนุนการดำเนินงานของจังหวัดเชียงรายชื่นชมในความรวดเร็วของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถเข้าพื้นที่และเริ่มการช่วยเหลือได้อย่างทันเวลา รวมถึงการประเมินความปลอดภัยของอาคารสำคัญอย่างเร่งด่วน
  • ฝ่ายกังวล: อย่างไรก็ตาม บางฝ่ายมีความกังวลเกี่ยวกับโครงสร้างอาคารในพื้นที่เสี่ยงที่อาจไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดในอดีต โดยเสนอให้มีการเพิ่มมาตรการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวดในพื้นที่ที่อยู่ใกล้รอยเลื่อนแผ่นดินไหว

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • ขนาดแผ่นดินไหวที่มีจุดศูนย์กลางในเมียนมา: 7.7 แมกนิจูด (ที่มา: กรมอุตุนิยมวิทยา)
  • จำนวนอาคารที่ได้รับความเสียหายในจังหวัดเชียงราย: 3 แห่ง (วัด โรงพยาบาล และจุดก่อสร้าง) (ที่มา: กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย)
  • การเกิดแผ่นดินไหวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2568: มากกว่า 20 ครั้ง (ที่มา: ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

‘สมพงศ์’ ย้ำคุมเข้มริมเขื่อนแม่สรวย ออกกฎเหล็ก รับนักท่องเที่ยว

เทศบาลตำบลเวียงสรวยออกระเบียบเข้มคุมซุ้มริมน้ำแม่สรวย รับนักท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์

เชียงราย, 26 มีนาคม 2568 – จากกระแสการใช้บริการซุ้มริมน้ำบริเวณเหนือสะพานหน้าอ่างเก็บน้ำแม่สรวย ตำบลแม่สรวย อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ที่มีการเก็บค่าบริการต่าง ๆ และเกิดประเด็นเกี่ยวกับการใช้พื้นที่ของประชาชน ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ได้สัมภาษณ์นายสมพงศ์ เจาะเส็น นายกเทศมนตรีตำบลเวียงสรวย ผู้รับผิดชอบพื้นที่ดังกล่าว เพื่อสอบถามถึงแนวทางการจัดการและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

นายสมพงศ์ เจาะเส็น เปิดเผยว่า ทางเทศบาลตำบลเวียงสรวยได้จัดการประชุมร่วมกับผู้ประกอบการในพื้นที่ และออกระเบียบข้อบังคับเพื่อควบคุมการดำเนินงานของร้านค้าและซุ้มริมน้ำบริเวณลำน้ำท้ายเขื่อนแม่สรวย โดยระเบียบดังกล่าวครอบคลุมถึงการเก็บค่าบำรุงรักษาขยะ การกำหนดจุดต่าง ๆ ให้ชัดเจน และการบังคับให้ผู้ประกอบการทุกซุ้มต้องจัดให้มีเสื้อชูชีพสำหรับนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการล่องแพ เพื่อความปลอดภัย ส่วนการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น จะยึดตามกฎหมายทั่วไป โดยไม่มีข้อยกเว้นให้เป็นพื้นที่พิเศษ และกำหนดให้ทุกร้านค้าปิดให้บริการในเวลา 18:00 น. พร้อมกันทั้งหมด

ดูแลความปลอดภัยและสุขภาพของประชาชนและนักท่องเที่ยว

สำหรับกรณีที่ประชาชนรู้สึกว่าได้รับการเอาเปรียบจากร้านค้าหรือการให้บริการที่ไม่เป็นธรรม นายกเทศมนตรีตำบลเวียงสรวยยืนยันว่า ได้จัดเจ้าหน้าที่ประจำจุดบริเวณเขื่อนแม่สรวยเพื่อรับเรื่องร้องเรียน และประสานงานกับโรงพยาบาลแม่สรวย รวมถึงโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแม่สรวย เพื่อดูแลความปลอดภัยและสุขภาพของประชาชนและนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังได้เตรียมแผนรับมือการจราจรในช่วงวันหยุดและเทศกาล โดยขอความร่วมมือจากนักท่องเที่ยวให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่เพื่อความสะดวกในการเดินทาง

ในประเด็นเรื่องภัยแล้ง ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเคยแสดงความกังวลนั้น นายสมพงศ์ระบุว่า ได้ประสานงานกับกรมเจ้าท่าและกรมชลประทานในพื้นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเบื้องต้นยังคงยึดกำหนดการเดิม แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงจะแจ้งให้ทราบทันที โดยคำนึงถึงปริมาณน้ำเป็นหลัก เพื่อไม่ให้กระทบต่อประชาชนที่ต้องการน้ำสำหรับการเกษตร

 

ปรับร้าน 5,000 บาท ถ้าผิดข้อปฏิบัติ

ผู้ประกอบการร้านค้า ผู้ประกอบการซุ้มริมน้ำ ลำ ลำแม่สรวยทุกร้าน ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับที่ทางกลุ่มและส่วน

ราชการกำหนดไว้เท่านั้น ตามข้อปฏิบัติทั้งหมดที่ได้ตกลง และมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ทำขึ้นมา รวมถึงการ

กำหนดราคาอาหารและเครื่องดื่ม ถ้าผู้ประกอบการเจ้าไหนไม่ปฏิบัติดามนี้ เมื่อมีลูกค้าหรือนักท่องเที่ยวมา

ร้องเรียน โดยสืบทราบแล้วว่าผู้ประกอบการผิดจากข้อปฏิบัตินี้จริงครั้งแรกให้ปรับเข้ากลุ่ม 5,000 บาท แต่ถ้า

ผิดเป็นครั้งที่สอง ให้ทางคณะกรรมการดำเนินารปิดร้านนั่นทันทีไม่ให้ประกอบกิจการในฤดูการนี้อีก

รายละเอียดระเบียบข้อบังคับสำหรับผู้ประกอบการเบื้องต้น

จากการประชุมเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ห้องประชุมเทศบาลตำบลเวียงสรวย มีมติร่วมกันกำหนดระเบียบข้อบังคับสำหรับผู้ประกอบการร้านค้าและซุ้มริมน้ำบริเวณลำน้ำแม่สรวย ดังนี้:

  1. การลงทะเบียน: ผู้ประกอบการทุกรายต้องแจ้งความประสงค์และลงทะเบียนก่อนตั้งร้านค้า พร้อมรับฟังระเบียบข้อบังคับ
  2. การจัดการขยะ: ร้านค้าและซุ้มริมน้ำต้องแยกขยะ ห้ามทิ้งลงน้ำโดยเด็ดขาด และต้องรักษาความสะอาด หากพบการสะสมขยะหรือมีกลิ่นเหม็นจนไม่ผ่านการตรวจจากสาธารณสุข จะถูกสั่งปิดร้านทันทีจนกว่าจะแก้ไข
  3. การตั้งซุ้ม: เมื่อสร้างซุ้มเสร็จ ต้องลงทะเบียนจำนวนซุ้มทันที
  4. การประชุม: จัดประชุมผู้ประกอบการตามความเหมาะสมหรือตามสถานการณ์
  5. ค่าบำรุงร้านค้า: ร้านค้าหน้ากว้างไม่เกิน 3 เมตร เก็บ 100 บาท หากเกิน 3 เมตร เก็บ 200 บาท
  6. ค่าบริการซุ้มริมน้ำ: ซุ้มหน้ากว้าง 2 เมตร เก็บ 100 บาท อัตราค่าบริการซุ้มกำหนดที่ 20 บาทต่อคน โดยไม่จำกัดเวลา
  7. ลานจอดรถ: พื้นที่ไม่เกิน 2 ไร่ เก็บ 100 บาทต่อฤดูกาล หากเกิน 2 ไร่ เก็บ 300 บาท
  8. ห่วงยาง: ค่าบำรุง 500 บาทต่อฤดูกาล จำนวนไม่เกิน 20 ห่วงต่อผู้ประกอบการ
  9. ป้ายราคา: ต้องติดป้ายราคาอาหารและสินค้าอย่างชัดเจน หากไม่ปฏิบัติตามจะถูกสั่งหยุดดำเนินการจนกว่าจะแก้ไข
  10. การทะเลาะวิวาท: ห้ามผู้ประกอบการหรือพนักงานทะเลาะกับลูกค้า หากฝ่าฝืนปรับ 2,000 บาทต่อคน และดำเนินคดีตามกฎหมาย
  11. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์: ร้านค้าต้องติดป้ายห้ามจำหน่ายให้บุคคลอายุต่ำกว่า 20 ปี
  12. การบริการ: ต้องให้บริการด้วยความเสมอภาคและสุภาพ หากพบการเอาเปรียบให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที
  13. สิ่งผิดกฎหมาย: ห้ามจำหน่ายยาเสพติดหรือสิ่งผิดกฎหมาย หากพบจะถูกดำเนินคดีและห้ามประกอบการต่อ
  14. การวางโต๊ะ: ห้ามวางโต๊ะหรือเก้าอี้กลางลำน้ำ
  15. หน้าร้าน: ร้านค้าต้องตั้งในที่ดินเอกชน ห้ามรุกล้ำถนนหรือขวางการจราจร
  16. การเร่ขาย: ห้ามเร่ขายในลำน้ำ หากพบจะยึดของและให้ไปตั้งร้านตามระเบียบ
  17. ภาชนะ: ห้ามใช้โฟมหรือพลาสติก ใช้ภาชนะกระดาษหรือชานอ้อย ยกเว้นอาหารต้มหรือแกง
  18. เครื่องเสียง: ห้ามใช้รถติดเครื่องเสียงเปิดเพลงดังรบกวน
  19. การรดน้ำถนน: ผู้ประกอบการต้องรดน้ำถนนหน้าร้านเพื่อลดฝุ่น
  20. การส่งของ: รถส่งของต้องมาถึงก่อน 10:00 น. หากเกินเวลาให้รับเอง
  21. การปฏิบัติตามระเบียบ: ผู้ฝ่าฝืนครั้งแรกปรับ 5,000 บาท ครั้งที่สองปิดร้านทันที
  22. ราคาอาหารและเครื่องดื่ม: กำหนดราคาสูงสุด เช่น ปลาเผา 180 บาท, ส้มตำ 50-80 บาท, เบียร์ถาดละ 900-1,000 บาท

ความเป็นมาของการจัดระเบียบ

การจัดระเบียบนี้สืบเนื่องจากการประชุมเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีนายปฤษฎางค์ สามัคคีนิชย์ นายอำเภอแม่สรวย เป็นประธาน หลังจากเทศบาลตำบลเวียงสรวยได้รับคำร้องจากนายนิธิศ ชัยยา ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 8 บ้านตีนดอย และนายสมหมาย สินเปียง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 13 บ้านริมทาง ขออนุญาตใช้พื้นที่เหนือสะพานหน้าอ่างเก็บน้ำแม่สรวย เพื่อจัดทำร้านค้าและซุ้มชั่วคราวสำหรับกิจกรรมล่องแพเปียก สร้างรายได้ให้ชุมชน โดยมีผู้ประกอบการจาก 2 หมู่บ้าน จำนวน 36 ราย ร่วมกับกลุ่มแพเปียกเดิม ซึ่งที่ประชุมมีมติอนุมัติ และมอบหมายให้เทศบาลตำบลเวียงสรวยจัดสรรล็อคให้เหมาะสม

นายอำเภอแม่สรวยฝากย้ำถึงการปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด รวมถึงการดูแลความปลอดภัย เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับการท่องเที่ยวอำเภอแม่สรวย ซึ่งเป็นจุดหมายยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการล่องแพและพักผ่อนคลายร้อน ด้วยลำน้ำที่ใสเย็นจากยอดดอย

ความสำคัญของการท่องเที่ยวแม่สรวย

การล่องแพเปียกบริเวณเขื่อนแม่สรวยเป็นกิจกรรมประจำปีที่จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้ชุมชน โดยในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างจังหวัดเดินทางมาเป็นจำนวนมาก ปริมาณนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นทุกปีสะท้อนถึงความนิยมของแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้ ซึ่งมีจุดเด่นคือน้ำใสเย็นจากต้นน้ำธรรมชาติ เหมาะสำหรับการพักผ่อนในช่วงฤดูร้อนและเทศกาลสงกรานต์

ความเห็นจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายผู้ประกอบการ

ผู้ประกอบการบางรายเห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าว โดยมองว่าจะช่วยสร้างความปลอดภัยและเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม มีข้อกังวลเกี่ยวกับต้นทุนในการจัดเตรียมเสื้อชูชีพและการจัดการขยะ ซึ่งอาจเพิ่มภาระค่าใช้จ่าย

ฝ่ายประชาชนและนักท่องเที่ยว

ในขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปส่วนใหญ่มองว่ามาตรการนี้เป็นสิ่งที่ดีและจำเป็น โดยเฉพาะการบังคับใช้เสื้อชูชีพเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ แต่บางส่วนยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอัตราค่าบริการที่อาจสูงเกินไป

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. ปริมาณนักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย: จากข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย ปี 2566 พบว่านักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในจังหวัดเชียงรายมีจำนวน 2.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่มี 1.8 ล้านคน (ที่มา: ททท. สำนักงานเชียงราย)
  2. ผลกระทบจากน้ำท่วมในเชียงราย: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานว่า ในปี 2567 จังหวัดเชียงรายเผชิญน้ำท่วมใน 12 อำเภอ ส่งผลกระทบต่อครัวเรือน 15,000 ครัวเรือน และพื้นที่เกษตร 50,000 ไร่ (ที่มา: ปภ. รายงานสถานการณ์น้ำท่วม 2567)
  3. การจัดการขยะจากการท่องเที่ยว: กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระบุว่า ในปี 2566 แหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทยผลิตขยะเฉลี่ย 1.2 กิโลกรัมต่อนักท่องเที่ยว 1 คนต่อวัน (ที่มา: กรมควบคุมมลพิษ)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
  • เทศบาลตำบลเวียงสรวย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
  • กรมควบคุมมลพิษ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เบื้องต้นคุณภาพน้ำ ‘แม่น้ำกก’ ดี แต่รอผลตรวจสารโลหะหนัก

ผู้ว่าฯ เชียงราย สั่งหน่วยงานเร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำแม่น้ำกก หวังสร้างความมั่นใจประชาชนหลังข่าวเหมืองทองพม่ากระทบแหล่งน้ำ

เน้นเก็บตัวอย่างน้ำจาก 3 จุดสำคัญ พร้อมตรวจสารโลหะหนักและสารเคมีในแล็บ ใช้เวลาประเมิน 1–3 สัปดาห์

เชียงราย, 24 มีนาคม 2568 – นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย มีคำสั่งด่วนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก หลังจากมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการทำเหมืองทองในเมืองยอน รัฐฉานใต้ ประเทศเมียนมา ซึ่งอยู่ใกล้ชายแดนไทยบริเวณตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ส่งผลให้ประชาชนในจังหวัดเชียงรายเกิดความกังวลต่อคุณภาพน้ำที่ใช้ในชีวิตประจำวัน

การดำเนินงานครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย (ทสจ.เชียงราย) และสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงร่วมลงพื้นที่ อาทิ นายบุญเกิด ร่องแก้ว ผู้อำนวยการ ทสจ.เชียงราย, นายอาวีระ ภัคมาตร์ ผู้อำนวยการสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1, พ.อ. พักตร์พงษ์ เงสันเที๊ยะ หัวหน้ากลุ่มงานนโยบายแผนและการข่าว กอ.รมน.จังหวัดเชียงราย และนายทวีศักดิ์ สุขก้อน ผู้จัดการการประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงราย

เก็บตัวอย่างน้ำจาก 3 จุดหลัก เพื่อประเมินเบื้องต้น

ในการตรวจสอบครั้งนี้ หน่วยงานได้เก็บตัวอย่างน้ำจาก 3 จุดสำคัญ ได้แก่

  1. บริเวณสะพานแม่ฟ้าหลวง (หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย) ตำบลริมกก
  2. บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำกก ตำบลดอยฮาง
  3. หมู่บ้านโป่งนาคำ ตำบลดอยฮาง ซึ่งเป็นจุดรับน้ำจากอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่

นายอาวีระ ภัคมาตร์ เปิดเผยผลการตรวจเบื้องต้นว่า ค่าคุณภาพน้ำยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยค่าออกซิเจนละลายน้ำอยู่ระหว่าง 7–8 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งถือว่าค่อนข้างดี, ค่าความเป็นกรด–ด่าง (pH) อยู่ในระดับกลางประมาณ 7.0 และค่าการนำไฟฟ้าอยู่ที่ 100 ไมโครซิเมนต์ต่อเซนติเมตร ซึ่งยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ต่ำ

นำตัวอย่างน้ำเข้าสู่ห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจหาสารปนเปื้อน

แม้ผลตรวจเบื้องต้นจะอยู่ในระดับปลอดภัย แต่เพื่อความมั่นใจในคุณภาพน้ำ สำนักงานสิ่งแวดล้อมฯ ได้นำตัวอย่างไปตรวจหาสารโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท สารหนู รวมถึงสารเคมีอื่น ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว โดยคาดว่าผลการตรวจในห้องแล็บจะแล้วเสร็จภายใน 1–3 สัปดาห์

ทสจ. และ กอ.รมน. ลงพื้นที่เน้นย้ำเฝ้าระวัง – ปชช. ร้องขอตรวจบ่อบาดาลเพิ่มเติม

พ.อ. พักตร์พงษ์ เงสันเที๊ยะ หัวหน้าฝ่ายนโยบาย กอ.รมน. จังหวัดเชียงราย ระบุว่า ได้รับรายงานจากประชาชนบางพื้นที่ว่าคุณภาพน้ำจากบ่อบาดาลเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะสีและกลิ่น ซึ่งหน่วยงานจะลงพื้นที่เพิ่มเติมในพื้นที่ใกล้ชายแดน และหากจำเป็นอาจมีการขอความร่วมมือจากภาคเอกชนเข้ามาร่วมตรวจสอบคุณภาพน้ำใต้ดินในเชิงลึก

ผู้จัดการการประปาฯ ยืนยันน้ำประปาสะอาดตามมาตรฐาน

นายทวีศักดิ์ สุขก้อน ผู้จัดการการประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงราย ยืนยันว่า น้ำประปาที่จ่ายให้กับประชาชนผ่านระบบการประปาได้รับการตรวจสอบคุณภาพอย่างเข้มงวด ผ่านการตรวจจากห้องแล็บทุกวัน และใช้เทคโนโลยีกรองน้ำที่สามารถกำจัดตะกอน สารเคมี และสิ่งเจือปนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงขอให้ประชาชนมั่นใจว่าน้ำประปาที่ใช้ในการอุปโภคและบริโภคนั้นสะอาดและปลอดภัย

แม่น้ำกก เส้นเลือดใหญ่ของเชียงราย สะท้อนปัญหาสิ่งแวดล้อมชายแดน

แม่น้ำกก เป็นแม่น้ำสายสำคัญที่มีต้นน้ำอยู่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ไหลเข้าสู่ประเทศไทยที่ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และผ่านพื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย ก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงแสน รวมระยะทางในประเทศไทยประมาณ 130 กิโลเมตร โดยมีลำน้ำสาขาสำคัญ เช่น น้ำแม่ลาว น้ำแม่กรณ์ และน้ำแม่สรวย ทำให้แม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำดิบหลักของจังหวัดเชียงรายในการอุปโภค บริโภค และเกษตรกรรม

การทำเหมืองทองในพื้นที่ต้นน้ำของแม่น้ำกกที่เมืองยอน รัฐฉานใต้ จึงเป็นที่จับตา เพราะแม้จะอยู่นอกเขตแดนไทย แต่หากมีสารพิษหลุดรอดลงในลำน้ำ ก็สามารถไหลเข้าสู่แม่น้ำกกในเขตไทยได้โดยตรง

ประชาชนบางส่วนยังคงกังวล – นักสิ่งแวดล้อมชี้ต้องมีมาตรการร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน

ประชาชนในเขตอำเภอเมืองเชียงรายจำนวนหนึ่ง ยังคงแสดงความกังวลผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียและการร้องเรียนตรงไปยังหน่วยงาน โดยระบุว่าแม้ค่ามาตรฐานจะอยู่ในระดับปลอดภัย แต่สภาพน้ำที่มีความขุ่น สีผิดปกติ และกลิ่นแปลก ๆ ยังคงพบเห็นได้ในบางพื้นที่

นักสิ่งแวดล้อมจากเครือข่ายลุ่มน้ำโขงตอนบนในเชียงรายแสดงความคิดเห็นว่า การตรวจสอบเพียงภายในประเทศอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากต้นทางของแม่น้ำกกอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน หากไม่มีข้อตกลงร่วมกันในระดับทวิภาคีหรืออาเซียน การป้องกันมลพิษจากแหล่งต้นน้ำจะทำได้ยาก

เสียงจากฝ่ายรัฐและประชาชน – ต้องเฝ้าระวังร่วมกัน

ฝ่ายหน่วยงานรัฐยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลที่บ่งชี้ว่าแม่น้ำกกในเขตไทยมีสารปนเปื้อนที่เป็นอันตราย แต่พร้อมดำเนินการหากพบความผิดปกติ และย้ำว่า การร่วมมือกับประชาชนในการสังเกตสภาพน้ำ การรายงานสิ่งผิดปกติ และการดูแลสิ่งแวดล้อมร่วมกันเป็นสิ่งสำคัญ

ในขณะที่ฝ่ายประชาชนบางส่วนเรียกร้องให้ภาครัฐเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ตรวจสอบทุกระดับอย่างละเอียด โดยเฉพาะการตรวจหาโลหะหนักและสารเคมีที่อาจสะสมในน้ำได้ในระยะยาว

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ค่าคุณภาพน้ำเบื้องต้น ณ วันที่ 24 มีนาคม 2568:
    • ค่า DO (ออกซิเจนละลายในน้ำ): 7–8 มิลลิกรัม/ลิตร
    • ค่า pH: อยู่ในระดับกลางประมาณ 7.0
    • ค่าการนำไฟฟ้า: 100 ไมโครซิเมนต์/เซนติเมตร
    • (แหล่งข้อมูล: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1)
  • ระยะทางแม่น้ำกกในเขตประเทศไทย: ประมาณ 130 กิโลเมตร
  • แหล่งรับน้ำจากแม่น้ำกกในเขตเชียงราย: ระบบประปาในอำเภอเมืองเชียงรายและอำเภอใกล้เคียง
  • สถิติการร้องเรียนของประชาชนเรื่องคุณภาพน้ำ: ยังไม่มีตัวเลขทางการ แต่มีการส่งเรื่องร้องเรียนผ่านศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดและหน่วยงานท้องถิ่น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่)
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย
  • การประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงราย
  • กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดเชียงราย (กอ.รมน.)
  • เครือข่ายสิ่งแวดล้อมลุ่มน้ำโขงตอนบน
  • ข้อมูลภาคประชาชนจากโซเชียลมีเดียและการร้องเรียนท้องถิ่น
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

ฝุ่นพิษวิกฤต ‘ภาคเหนือ’ อ่วม สส.ซัดรัฐบาลไร้แผน

ฝุ่น PM2.5 พุ่งสูง! กรุงเทพฯ-เชียงรายวิกฤต สสจ.เตือนงดกิจกรรมกลางแจ้ง

เชียงราย, 24 มีนาคม 2568 – สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในประเทศไทยทวีความรุนแรง โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครที่ทำสถิติสูงสุดในรอบปี 2568 ด้วยระดับฝุ่นที่อยู่ในเกณฑ์อันตรายต่อสุขภาพ (สีแดงถึงสีม่วง) ติดต่อกันนานถึง 38 ชั่วโมง ขณะที่จังหวัดเชียงรายและภาคเหนือ รวมถึงภาคอีสาน ยังคงเผชิญปัญหาหมอกควันข้ามแดนจากเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจาก สปป.ลาว ที่มีการเผาในภาคเกษตรและป่าไม้เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่ากังวล

จากข้อมูลล่าสุด ฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ ได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย ทั้งการเผาในภาคเกษตรและป่าไม้ การปล่อยมลพิษจากยานยนต์และโรงงานอุตสาหกรรมที่กลับมาดำเนินกิจกรรมตามปกติ รวมถึงปรากฏการณ์ฝาชีครอบต่ำ (Temperature Inversion) ซึ่งทำให้ฝุ่นไม่สามารถระบายออกได้ นอกจากนี้ ฝุ่นพิษที่ตีกลับจากอ่าวไทยยังเพิ่มความรุนแรงของสถานการณ์ในกรุงเทพฯ ขณะที่ภาคเหนือและอีสานได้รับผลกระทบจากหมอกควันข้ามแดนจากเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะจาก สปป.ลาว และเมียนมา ซึ่งมีการเผาในพื้นที่เกษตรอย่างต่อเนื่อง

ในจังหวัดเชียงราย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ได้ออกประกาศเตือนประชาชนให้ระวังผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 ที่สูงเกินมาตรฐาน โดยข้อมูลจากเว็บไซต์ AIR4Thai ระบุว่า ค่า PM2.5 ในหลายพื้นที่ของจังหวัดอยู่ในระดับ “มีผลกระทบต่อสุขภาพ” (สีส้มถึงสีแดง) สสจ.เชียงรายแนะนำให้ประชาชนปฏิบัติตามแนวทาง “รู้ – ลด – เลี่ยง” เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ ดังนี้:

  1. รู้: ติดตามสถานการณ์คุณภาพอากาศผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้ เช่น Air4Thai หรือ “เชียงรายรู้ทันฝุ่น V2”
  2. ลด: งดกิจกรรมกลางแจ้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่นสูงตั้งแต่ระดับสีส้ม สีแดง สีม่วง ไปจนถึงสีน้ำตาล
  3. เลี่ยง: สวมหน้ากากอนามัยชนิด N95 ปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด ใช้เครื่องฟอกอากาศ และดูแลกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรังเป็นพิเศษ

นพ.เอกชัย คำลือ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า “สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในขณะนี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่อาจมีอาการรุนแรง เช่น หายใจลำบาก หรืออาการทางระบบทางเดินหายใจ ขอให้ประชาชนปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด และหากมีอาการผิดปกติให้รีบพบแพทย์ทันที”

การเมืองร้อนระอุ: อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ เรื่องฝุ่น PM2.5

ในวันเดียวกัน ที่อาคารรัฐสภา มีการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 โดยนายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน ได้หยิบยกประเด็นการจัดการปัญหาฝุ่น PM2.5 มาอภิปราย โดยระบุว่านายกฯ ขาดความรู้ ความสามารถ และความเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหานี้

นายภัทรพงษ์ กล่าวว่า “ในเวทีแถลงผลงาน 90 วันของนายกฯ มีการนำเสนอข้อมูลที่ผิดพลาดจากความเป็นจริง ปัญหาฝุ่น PM2.5 ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2567 ถึงกุมภาพันธ์ 2568 มีความรุนแรงมากขึ้น แต่รัฐบาลกลับไม่สามารถจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ” เขายังวิจารณ์ถึงข้อสั่งการของนายกฯ ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อเดือนตุลาคม 2567 ที่ระบุ 3 มาตรการหลัก ได้แก่ ห้ามรับซื้อสินค้าเกษตรจากการเผา ตรวจจับควันดำจากรถยนต์ และควบคุมมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม แต่กลับไม่มีการออกมาตรการบังคับที่ชัดเจน เช่น การตรวจสอบห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของผู้ประกอบการนำเข้าข้าวโพด หรือการสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยให้เปลี่ยนไปใช้วิธีการเกษตรแบบไม่เผา

สส.พรรคประชาชน ยังชี้ถึงความล้มเหลวในการอบรมท้องถิ่นเพื่อดับไฟป่า โดยระบุว่า จากเป้าหมาย 2,000 แห่ง รัฐบาลกลับดำเนินการได้เพียง 60 แห่งเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีการขัดแย้งในนโยบายภายในรัฐบาล โดยเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 ครม. มีมติให้แต่ละจังหวัดบริหารจัดการเชื้อเพลิงด้วยวิธีชิงเผา แต่เพียง 1 เดือนต่อมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กลับออกคำสั่งห้ามเผาทุกกรณี ซึ่งนายภัทรพงษ์ตั้งคำถามว่า “ความเป็นผู้นำของนายกฯ อยู่ตรงไหน รัฐมนตรีไม่เห็นหัวตระกูลชินวัตรเลย”

นายภัทรพงษ์ ยังวิจารณ์ถึงการจัดการในกรุงเทพฯ โดยระบุว่า นายกฯ สั่งการให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ป้องกันฝุ่น PM2.5 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 แต่กลับไม่ให้อำนาจ กทม. ในการจับรถควันดำอย่างเต็มที่ มาตรการที่ออกมาจึงจำกัดเพียงการประกาศ Low Emission Zone และรถไฟฟ้าฟรีโดยใช้งบกลางเท่านั้น นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังออกประกาศนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปลอดภาษีเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 โดยไม่ระบุเงื่อนไขด้านสิ่งแวดล้อมหรือการเผา ซึ่งขัดแย้งกับนโยบายของนายกฯ

ในประเด็นการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน นายภัทรพงษ์ ระบุว่า การเจรจาในเวที ASEAN Summit ที่ลาวเมื่อเดือนตุลาคม 2567 ไม่มีเรื่องฝุ่น PM2.5 ในปฏิญญาเลยสักฉบับ แสดงถึงความล้มเหลวในการผลักดันวาระนี้ในระดับภูมิภาค เขายังยกตัวอย่างกรณีการซ้อมรบของกองทัพในจังหวัดพะเยาเมื่อวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งก่อให้เกิดไฟป่า โดยอ้างข้อมูลจากดาวเทียม NASA และ Sentinel-2 ว่าจุดความร้อนมาจากกระสุนที่ตก แม้ว่านายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะชี้แจงว่าไฟป่าไม่ได้รุนแรงและไม่ได้เกิดจากกระสุนของกองทัพ

นายภัทรพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ทั้งหมดนี้คือความวิบัติของประเทศที่มีผู้นำอย่างแพทองธาร ซึ่งขาดความรู้ ความสามารถ ความจริงใจ และความเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 สุดท้ายผู้ที่ได้รับผลกระทบคือประชาชน”

รัฐบาลโต้กลับ: ยุทธศาสตร์ฟ้าใสและความร่วมมืออาเซียน

ด้านนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ลุกขึ้นชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยยืนยันว่ารัฐบาลได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างจริงจัง โดยเฉพาะในมิติของความร่วมมือระหว่างประเทศ นายมาริษ ระบุว่า รัฐบาลได้ผลักดัน “ยุทธศาสตร์ฟ้าใส” (CLEAR Sky Strategy) ร่วมกับ สปป.ลาว และเมียนมา ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 โดยมีเป้าหมายลดหมอกควันข้ามแดนอย่างยั่งยืน ผ่านการจัดทำแผนที่พื้นที่เสี่ยง การเฝ้าระวังไฟป่า การเปิดสายด่วนประสานงาน และการพัฒนาเทคโนโลยีแก้ไขปัญหา

นายมาริษ ยังชี้แจงถึงความร่วมมือในกรอบอาเซียน โดยระบุว่ารัฐบาลได้ผลักดันประเด็นฝุ่น PM2.5 ผ่านการประชุมสุดยอดอาเซียนที่เวียงจันทน์ และการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่เกาะลังกาวี มาเลเซีย รวมถึงจัดงานสัมมนาแนวทางการแก้ไขหมอกควันข้ามแดน โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญจากจีน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย องค์การอนามัยโลก ธนาคารโลก และองค์กรระหว่างประเทศ เช่น GIZ และ ADPC มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ นอกจากนี้ ยังมีการผลักดันความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจาของอาเซียน เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา และแคนาดา

ในระดับทวิภาคี กระทรวงการต่างประเทศได้ร่วมกับสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ในการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ สปป.ลาว เพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 รวมถึงการประชุมกับกัมพูชาเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2567 เพื่อจัดตั้งช่องทางการสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลจุดความร้อนและความร่วมมือดับไฟ โดยทั้งสองฝ่ายเตรียมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในวันที่ 23-24 เมษายน 2568 ระหว่างการเยือนของนายกรัฐมนตรี

30 ปีแห่งความพยายาม: ความร่วมมืออาเซียนแก้หมอกควันข้ามแดน

ปัญหาหมอกควันข้ามแดนในอาเซียนมีมานานกว่า 30 ปี โดยเริ่มต้นจากไฟป่าในอินโดนีเซียที่ส่งผลกระทบต่อบรูไน สิงคโปร์ มาเลเซีย และภาคใต้ของไทย โดยเฉพาะในปี 2537 ซึ่งนำไปสู่การร่างแผนปฏิบัติการหมอกควันระดับภูมิภาค (Regional Haze Action Plan: RHAP) ในปี 2538 ต่อมาในปี 2545 อาเซียนได้ลงนามในข้อตกลงว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน (ASEAN Agreement on Transboundary Haze Pollution: AATHP) และจัดทำโรดแมป ASEAN Transboundary Haze Free Roadmap by 2020 เพื่อทำให้อาเซียนปลอดหมอกควันภายในปี 2563

อย่างไรก็ตาม แผนดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากขาดมาตรการบังคับและการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม ส่งผลให้เกิดแผนงานฉบับที่สองในปี 2566-2573 (Second ASEAN Haze-Free Roadmap 2023-2030) ซึ่งเปิดตัวในปี 2567 นอกจากนี้ ยังมีแผนย่อย เช่น แผนปฏิบัติการเชียงราย 2017 ที่มุ่งลดจุดความร้อนในอนุภูมิภาคแม่โขง และยุทธศาสตร์ฟ้าใสในปี 2567 ที่เน้นความร่วมมือระหว่างไทย สปป.ลาว และเมียนมา

มุมมองทั้งสองฝ่าย: ความท้าทายและความพยายาม

จากมุมมองของฝ่ายค้าน นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ ชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของรัฐบาลในการจัดการปัญหาฝุ่น PM2.5 ทั้งในระดับนโยบายภายในประเทศและการเจรจาระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการขาดความเป็นผู้นำของนายกฯ ที่ไม่สามารถผลักดันนโยบายให้เกิดผลเป็นรูปธรรม รวมถึงการขาดการประสานงานระหว่างหน่วยงาน เช่น กรณีคำสั่งขัดแย้งระหว่างกระทรวงมหาดไทยและครม. รวมถึงการซ้อมรบของกองทัพที่ก่อให้เกิดไฟป่า

ในทางกลับกัน รัฐบาลโดยนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ ยืนยันถึงความพยายามในการแก้ไขปัญหา ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี ผ่านยุทธศาสตร์ฟ้าใสและความร่วมมือในกรอบอาเซียน รวมถึงการผลักดันเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาว รัฐบาลยังเน้นย้ำถึงการทำงานร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านและพันธมิตรระหว่างประเทศ เพื่อลดหมอกควันข้ามแดนอย่างยั่งยืน

ทั้งสองฝ่ายมีข้อโต้แย้งที่สมเหตุสมผล ฝ่ายค้านชี้ให้เห็นถึงช่องว่างในนโยบายและการดำเนินการที่ยังไม่เพียงพอ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง ขณะที่รัฐบาลแสดงถึงความพยายามในระดับนานาชาติ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 จึงยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งในและนอกประเทศ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ค่า PM2.5 ในกรุงเทพฯ: วันที่ 24 มีนาคม 2568 ค่า PM2.5 เฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ 75-100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (μg/m³) ซึ่งอยู่ในระดับอันตรายต่อสุขภาพ (สีแดงถึงสีม่วง) ติดต่อกัน 38 ชั่วโมง (ที่มา: Air4Thai)
  • จุดความร้อนในอาเซียน: ระหว่างปี 2565-2566 จุดความร้อนในกัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา สิงคโปร์ เวียดนาม และไทย เพิ่มจาก 704,892 จุด เป็น 1,130,626 จุด (ที่มา: สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ – GISTDA)
  • การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์: ปี 2566 ไทยนำเข้าข้าวโพดจากเมียนมา ลาว และกัมพูชา 1,331,428 ตัน เพิ่มเป็น 2,012,117 ตัน ในปี 2567 (ที่มา: กรมศุลกากร)
  • จุดความร้อนในพื้นที่ปลูกข้าวโพด: 1 ใน 3 ของจุดความร้อนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงอยู่ในพื้นที่ปลูกข้าวโพด (ที่มา: รายงานของกรีนพีซ, 2558-2563)

สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ยังคงเป็นปัญหาที่ต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่สภาพอากาศปิดและมีการเผาเพิ่มขึ้นทั้งในและนอกประเทศ การแก้ไขปัญหานี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • Air4Thai
  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ
  • กรมศุลกากร
  • รายงานของกรีนพีซ, 2558-2563
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ไทม์ไลน์ระบุเงินช่วย ‘ค่าล้างโคลน’ “เชียงราย” รับเงินก่อน 10 เม.ย. นี้

จังหวัดเชียงรายเร่งจัดสรรเงินทดรองราชการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ปี 2568

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายได้ดำเนินการจัดสรรเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุอุทกภัยในพื้นที่อำเภอแม่สายและอำเภอเมืองเชียงราย ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 โดยมีวงเงินรวมทั้งสิ้น 292,147,249 บาท แบ่งเป็นเงินช่วยเหลือสำหรับอำเภอแม่สาย จำนวน 134,776,273 บาท และอำเภอเมืองเชียงราย จำนวน 157,770,976 บาท การจัดสรรครั้งนี้เกิดขึ้นตามคำสั่งด่วนจากนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัด รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ซึ่งได้ลงนามในหนังสือด่วนที่สุด ที่ ชร 0021/ว 749 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2568 เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างทันท่วงที

การจัดสรรเงินทดรองราชการครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านการดำรงชีพตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในระเบียบกระทรวงการคลัง พ.ศ. 2563 รวมถึงค่าใช้จ่ายในการล้างทำความสะอาดดินโคลนและซากวัสดุบริเวณที่อยู่อาศัยของผู้ประสบภัยที่เป็นเจ้าของบ้าน โดยกำหนดวงเงินช่วยเหลือครัวเรือนละ 10,000 บาท เงินจำนวนนี้เป็นส่วนหนึ่งของวงเงินขยายเพิ่มเติม 300 ล้านบาท ซึ่งได้รับการอนุมัติตามระเบียบกระทรวงการคลัง ข้อ 8 (8) และข้อ 8 วรรคสอง เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมความเสียหายที่เกิดขึ้น

ความเป็นมาของการจัดสรรเงินช่วยเหลือ

เหตุอุทกภัยในจังหวัดเชียงรายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงฤดูฝนของปี 2567 โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอแม่สายและอำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งเป็นเขตที่มีความเสี่ยงสูงต่อน้ำท่วมเนื่องจากตั้งอยู่ใกล้ลุ่มน้ำสำคัญ เช่น แม่น้ำโขงและแม่น้ำสายอื่น ๆ ที่ไหลผ่านจังหวัด ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อบ้านเรือนประชาชนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ เช่น ถนน ระบบระบายน้ำ และสถานที่ราชการบางแห่งด้วย อำเภอแม่สายและอำเภอเมืองเชียงรายได้ยื่นขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมจากจังหวัดเชียงราย ตามหนังสือด่วนที่สุดจากอำเภอแม่สาย ที่ ชร 1018.3/1105 และ ชร 1018.3/1106 รวมถึงจากอำเภอเมืองเชียงราย ที่ ชร 0118.3/1460 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2568 เพื่อนำไปใช้ในการช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน

จากการสำรวจเบื้องต้น พบว่ามีครัวเรือนจำนวนมากในทั้งสองอำเภอที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำและบริเวณใกล้แหล่งน้ำ ซึ่งดินโคลนและซากวัสดุที่ถูกน้ำพัดพามาได้สร้างความเสียหายต่อที่อยู่อาศัยและทรัพย์สินของประชาชน ด้วยเหตุนี้ จังหวัดเชียงรายจึงได้เร่งดำเนินการจัดสรรเงินทดรองราชการเพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน โดยมอบหมายให้นายอำเภอทั้งสองอำเภอดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนด

รายละเอียดการจัดสรรและขั้นตอนการเบิกจ่าย

ตามหนังสือที่ส่งถึงนายอำเภอแม่สายและนายอำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงรายได้กำหนดให้มีการจัดส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินทดรองราชการ เช่น ใบสำคัญรับเงินและรายงานการใช้จ่าย ไปยังสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย) ภายใน 15 วันนับจากวันที่ได้รับเงินจากคลังจังหวัด เพื่อให้สามารถติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายได้อย่างโปร่งใส นอกจากนี้ ยังขอให้ทั้งสองอำเภอรายงานผลการใช้จ่ายเงินดังกล่าวกลับมาที่จังหวัด เพื่อประเมินผลกระทบและความครอบคลุมของการช่วยเหลือ

วงเงินที่จัดสรรทั้งหมด 292,147,249 บาท ถือเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณขยายเพิ่มเติม 300 ล้านบาท ซึ่งได้รับการอนุมัติเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในกรณีฉุกเฉิน โดยเงินจำนวนนี้จะถูกนำไปใช้ตามหลักเกณฑ์ที่ระบุในระเบียบกระทรวงการคลัง พ.ศ. 2563 ซึ่งครอบคลุมหมวดหมู่ต่าง ๆ เช่น การช่วยเหลือด้านการดำรงชีพ (ข้อ 5.1.4 ถึง 5.1.16) และการอนุมัติการปฏิบัติที่นอกเหนือจากหลักเกณฑ์ในกรณีจำเป็น โดยเฉพาะการล้างทำความสะอาดดินโคลนและซากวัสดุ ซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ประชาชนในพื้นที่เผชิญอยู่

แผนการเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือ

เพื่อให้การช่วยเหลือถึงมือผู้ประสบภัยได้อย่างรวดเร็ว จังหวัดเชียงรายได้กำหนดกรอบระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินทดรองราชการ โดยคาดการณ์ว่าจะใช้เวลา 13 วันทำการ (ไม่รวมวันหยุดราชการ) ดังนี้

  • 20 มีนาคม 2568: ประชุมคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัดเชียงราย (กชภจ.) เพื่อพิจารณาแผนการช่วยเหลือ
  • 21 มีนาคม 2568: ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายอนุมัติการจัดสรรเงินให้อำเภอแม่สายและอำเภอเมืองเชียงราย
  • 22-24 มีนาคม 2568: สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย) เสนอขออนุมัติเงินยืมจากคลังจังหวัด
  • 24-25 มีนาคม 2568: ผู้ว่าราชการจังหวัดอนุมัติเงินยืมให้ทั้งสองอำเภอ
  • 26-27 มีนาคม 2568: ปภ.จ.เชียงรายดำเนินการเบิกเงินและโอนให้อำเภอ
  • 27-28 มีนาคม 2568: อำเภอรับเงินยืมจากจังหวัด
  • 29 มีนาคม – 10 เมษายน 2568: อำเภอเริ่มจ่ายเงินช่วยเหลือให้ผู้ประสบภัยตามรายชื่อที่ได้รับการสำรวจและอนุมัติ

กรอบระยะเวลานี้แสดงถึงความพยายามของจังหวัดในการเร่งรัดกระบวนการเพื่อให้ประชาชนได้รับเงินช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม หากความเสียหายในพื้นที่มีมูลค่าเกินกว่าวงเงินที่จัดสรร อำเภอสามารถยื่นขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากจังหวัดได้ตามความจำเป็น

ความสำคัญของการช่วยเหลือครั้งนี้

เหตุอุทกภัยในจังหวัดเชียงรายไม่ใช่เรื่องใหม่ เนื่องจากจังหวัดนี้ตั้งอยู่ในภูมิภาคที่มีความเสี่ยงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำท่วมและน้ำป่าไหลหลากในช่วงฤดูฝน การช่วยเหลือผู้ประสบภัยในครั้งนี้จึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในระยะสั้น และฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของประชาชนให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว เงินช่วยเหลือครัวเรือนละ 10,000 บาทสำหรับการล้างดินโคลนและซากวัสดุ ถือเป็นมาตรการที่ตอบโจทย์ความต้องการพื้นฐานของผู้ประสบภัย ซึ่งส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับบ้านเรือนที่เต็มไปด้วยโคลนและสิ่งสกปรกหลังน้ำลด

นอกจากนี้ การจัดสรรเงินทดรองราชการยังสะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลในการบริหารจัดการภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ ตามที่ระบุในระเบียบกระทรวงการคลัง ซึ่งกำหนดให้การช่วยเหลือต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนและตรวจสอบได้ เพื่อป้องกันการใช้จ่ายที่ไม่เหมาะสมและให้ความช่วยเหลือถึงมือผู้เดือดร้อนอย่างแท้จริง

บริบทของน้ำท่วมในประเทศไทยและจังหวัดเชียงราย

น้ำท่วมเป็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นซ้ำซากในประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนมิถุนายนถึงตุลาคมของทุกปี เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในปี 2554 ซึ่งส่งผลกระทบต่อ 65 จังหวัด และสร้างความเสียหายมูลค่ากว่า 1.43 ล้านล้านบาท ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ส่งผลให้มีการออกพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 และจัดทำแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ (พ.ศ. 2561-2580) เพื่อกำหนดแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในระยะยาว

สำหรับจังหวัดเชียงราย อุทกภัยในปี 2567 ได้สร้างความเสียหายอย่างหนักในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอำเภอแม่สาย ซึ่งเป็นจุดที่มีชายแดนติดกับประเทศเมียนมา และมักเผชิญกับน้ำท่วมจากแม่น้ำสายและแม่น้ำโขงที่เอ่อล้น รวมถึงอำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครองและเศรษฐกิจของจังหวัด การที่ทั้งสองอำเภอนี้ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวนมาก แสดงถึงความรุนแรงของความเสียหายที่เกิดขึ้น และความจำเป็นในการฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน

การบริหารจัดการงบประมาณน้ำท่วมในอดีต

หากย้อนดูงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำท่วมในประเทศไทย จะพบว่ารัฐบาลได้จัดสรรเงินจำนวนมหาศาลเพื่อรับมือกับภัยพิบัตินี้ ในปีงบประมาณ 2566 ซึ่งเป็นปีล่าสุดที่มีข้อมูลครบถ้วน งบประมาณทั้งหมดของประเทศอยู่ที่ 3.185 ล้านล้านบาท โดยมีงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับน้ำท่วมรวม 53,377.55 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 1.68% ของงบประมาณทั้งหมด งบประมาณส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการก่อสร้างโครงสร้างป้องกันน้ำท่วม เช่น เขื่อนป้องกันตลิ่ง (19,821.42 ล้านบาท) ระบบระบายน้ำและประตูระบายน้ำ (6,899.69 ล้านบาท) และฝายต่าง ๆ (5,441.61 ล้านบาท) ซึ่งดำเนินการโดยกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหลัก

นอกจากนี้ ยังมีงบกลางที่ถูกนำมาใช้ในกรณีฉุกเฉิน โดยในช่วงปี 2560-2566 มีการอนุมัติงบกลางเพื่อน้ำท่วมรวม 97,832.80 ล้านบาท โดยปี 2566 เป็นปีที่มีการเบิกจ่ายสูงเป็นอันดับ 3 ซึ่งส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการก่อสร้างและซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน (8,171.60 ล้านบาท) การช่วยเหลือผู้ประสบภัย (6,258.54 ล้านบาท) และการฟื้นฟูถนนที่เสียหาย (3,786.55 ล้านบาท) การจัดสรรเงินทดรองราชการในครั้งนี้จึงสอดคล้องกับแนวทางการบริหารจัดการภัยพิบัติของรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งเน้นทั้งการป้องกันและการเยียวยา

ความท้าทายและข้อกังวล

ถึงแม้ว่าการจัดสรรเงินทดรองราชการครั้งนี้จะเป็นการตอบสนองต่อความเดือดร้อนของประชาชนอย่างทันท่วงที แต่ก็ยังมีความท้าทายหลายประการที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของการช่วยเหลือ หนึ่งในนั้นคือความล่าช้าในกระบวนการเบิกจ่าย ซึ่งอาจเกิดจากขั้นตอนการตรวจสอบเอกสารหรือการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ แม้ว่าจะมีการกำหนดกรอบระยะเวลา 13 วันทำการ แต่หากเกิดปัญหาในทางปฏิบัติ เช่น การขาดแคลนบุคลากรหรือความล่าช้าในการสำรวจผู้ประสบภัย อาจทำให้เงินถึงมือประชาชนช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้

อีกประเด็นหนึ่งคือความเพียงพอของวงเงินช่วยเหลือ เงินครัวเรือนละ 10,000 บาทอาจเพียงพอสำหรับการล้างดินโคลนและซากวัสดุในบางครัวเรือน แต่สำหรับบ้านที่มีความเสียหายหนักหรือมีพื้นที่กว้างขวาง อาจไม่เพียงพอต่อการฟื้นฟูทั้งหมด ผู้ประสบภัยบางรายอาจต้องใช้เงินส่วนตัวเพิ่มเติม ซึ่งอาจสร้างภาระให้กับครัวเรือนที่มีรายได้น้อยอยู่แล้ว

ทัศนคติเป็นกลาง: มุมมองทั้งสองฝั่ง

จากมุมมองของผู้สนับสนุนการจัดสรรเงินทดรองราชการ การดำเนินการครั้งนี้แสดงถึงความรับผิดชอบของรัฐบาลในการดูแลประชาชนในยามวิกฤต การกำหนดวงเงินช่วยเหลือครัวเรือนละ 10,000 บาท และการจัดสรรเงินเกือบ 300 ล้านบาทให้สองอำเภอที่ได้รับผลกระทบหนัก เป็นหลักฐานถึงความพยายามในการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน นอกจากนี้ การกำหนดกรอบระยะเวลาและขั้นตอนที่ชัดเจนยังช่วยเพิ่มความโปร่งใสและลดความเสี่ยงต่อการทุจริต ผู้ที่เห็นด้วยอาจมองว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการฟื้นฟู และหากวงเงินไม่เพียงพอ อำเภอยังสามารถขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติมได้ ซึ่งแสดงถึงความยืดหยุ่นของระบบ

ในทางกลับกัน ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์อาจมองว่าการช่วยเหลือครั้งนี้เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ โดยไม่มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหรือระบบป้องกันน้ำท่วมที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว เงิน 10,000 บาทต่อครัวเรือนอาจดูเหมือนเป็นจำนวนที่น้อยเมื่อเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง และการที่ต้องรอถึงวันที่ 29 มีนาคมถึง 10 เมษายน 2568 กว่าผู้ประสบภัยจะได้รับเงิน อาจช้าเกินไปสำหรับบางครอบครัวที่ต้องการความช่วยเหลือทันที นอกจากนี้ การที่งบประมาณส่วนใหญ่ในอดีตถูกใช้ไปกับการก่อสร้างมากกว่าการพัฒนาระบบเตือนภัยหรือการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน อาจทำให้เกิดคำถามถึงประสิทธิภาพของนโยบายการจัดการน้ำท่วมโดยรวมของรัฐบาล

ทั้งสองมุมมองมีเหตุผลในตัวเอง การช่วยเหลือฉุกเฉินเป็นสิ่งจำเป็นและควรได้รับการชื่นชมในแง่ของความรวดเร็วในการตอบสนอง แต่การป้องกันภัยพิบัติในอนาคตและการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน การสร้างสมดุลระหว่างการเยียวยาระยะสั้นและการลงทุนระยะยาวจึงเป็นสิ่งที่จังหวัดเชียงรายและรัฐบาลต้องพิจารณาต่อไป

สถิติที่เกี่ยวข้อง

จากข้อมูลของสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ปภ.) และสำนักงบประมาณ:

  • ปี 2567: อุทกภัยในประเทศไทยระหว่างวันที่ 4 สิงหาคม – 2 กันยายน 2567 ส่งผลให้มีพื้นที่น้ำท่วมรวม 1,231,323 ไร่ ครอบคลุม 11 จังหวัด และมีผู้ได้รับผลกระทบ 241,875 ครัวเรือน (ที่มา: ระบบสนับสนุนการตัดสินใจเพื่อการบริหารจัดการพื้นที่น้ำท่วม, GISTDA)
  • ปี 2566: งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับน้ำท่วมทั้งหมด 53,377.55 ล้านบาท โดยงบก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งสูงสุดที่ 19,821.42 ล้านบาท คิดเป็น 37.13% ของงบน้ำท่วมทั้งหมด (ที่มา: รายงานงบประมาณลงพื้นที่จังหวัด ปีงบประมาณ 2566, สำนักงบประมาณ)
  • ปี 2554: มหาอุทกภัยสร้างความเสียหายมูลค่า 1.43 ล้านล้านบาท พื้นที่เกษตรกรรมเสียหาย 11,798,241 ไร่ และกระทบประชาชนกว่า 13 ล้านคน (ที่มา: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)

สถิติเหล่านี้สะท้อนถึงความรุนแรงและความถี่ของปัญหาน้ำท่วมในประเทศไทย รวมถึงความพยายามของรัฐบาลในการจัดสรรงบประมาณเพื่อรับมือกับภัยพิบัติ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวได้รับการรวบรวมและวิเคราะห์โดยหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ เช่น GISTDA และสำนักงบประมาณ

การดำเนินการครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในจังหวัดเชียงราย แต่ยังคงต้องติดตามผลอย่างใกล้ชิดเพื่อให้มั่นใจว่าความช่วยเหลือจะถึงมือผู้เดือดร้อนอย่างทั่วถึงและทันเวลา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย)
  • สำนักงบประมาณ
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA)
  • Rocket Media Lab
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE