Categories
TOP STORIES

ช่วย 41 คนไทยหนีภัยสงครามเมียนมา นำคัดกรองในค่ายทหาร

 

18 พฤศจิกายน 2566 ที่จุดผ่านแดนถาวรไทย-เมียนมา ข้ามลำน้ำสายแห่งที่ 1 อ.แม่สาย จ.เชียงราย พล.ต.ประพัฒน์ พบสุวรรณ ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมืองพ.อ.ณฑี ทิมเสน ผบ.ฉก.ทัพเจ้าตาก และประธานคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นไทย–เมียนมา (TBC) ฝ่ายไทย ได้นำเจ้าหน้าที่ทหาร ตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ารับตัวคนไทยจำนวน 41 คน เป็นชาย 22 คนและหญิง 19 คน ส่วนใหญ่เป็นคนวัยหนุ่มสาวอายุตั้งแต่ 20-40 ปี 

 

ที่หนีภัยสงครามระหว่างกองทัพโกกั้ง (MNDAA) กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติตะอาง (TNLA) และกองทัพยะไข่ (AA) กับทหารรัฐบาลเมียนมาในเมืองเล้าไก่ เขตปกครองตนเองโกกั้ง รัฐฉานตอนเหนือ โดยทั้งหมดได้รับการช่วยเหลือจากทหารว้า และทหารกองทัพภาคสามเหลี่ยม ประเทศเมียนมา และนำส่งตัวมาถึง จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ติดกับ อ.แม่สาย ในวันเดียวกันนี้

 

โดยทางไทยมีการจัดรถบัสจากมณฑลทหารบกที่ 34 และมณฑลทหารบกที่ 37 จำนวน 2 คันไปรอรับ ซึ่งหลังจากทางการเมียนมาได้นำทั้งหมดเดินทางไปถึงบริเวณด่านพรมแดนมีการลงนามรับบุคคลระหว่างด่าน ตม.เชียงราย และด่าน ตม.ท่าขี้เหล็ก กรณีรับบุคคลที่เข้าเมืองเมียนมาอย่างผืดกฎหมายภายใต้การยินยอมของทั้ง 2 ฝ่ายเพื่อนำกลับประเทศไทย ก่อนที่จะพาทั้งหมดขึ้นรถบัสแยกชายหญิงโดยมีรายงานว่าทั้งหมดมีผู้ที่หลบหนีหมายจับจากประเทศไทยจำนวน 3-4 คน โดยเป็นหมายจับจากหลายท้องที่ทั้งในข้อหายาเสพติด ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และข้อหาฉ้อโกงทรัพย์และนำเข้าระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้นำตัวทั้งหมดนั่งรถบัสไปยังค่ายเม็งรายมหาราช อ.เมืองเชียงราย ก่อนจากนั้นจึงคัดกรองโรคและจึงค่อยคัดแยกบุคคลก่อนดำเนินการตามขั้นตอนของ ตม.เชียงราย
ด้านนายพุฒพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย 


ได้ตั้งศูนย์บูรณาการคัดแยกเพื่อช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียหายจากปัญหาการค้ามนุษย์ จ.เชียงราย ภายในกองรอยอาสารักษาดินแดน จ.เชียงราย ที่ 1 อ.เมืองเชียงราย รอบรับคนไทยที่หนีภัยสงครามมาจากประเทศเมียนมาดังกล่าว โดยมีทีมสหวิชาชีพและผู้ที่เกี่ยวข้องทำการคัดแยกผู้ที่เข้าข่ายเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นรายๆ ไป ทั้งนี้ในป้จจุบันยังมีคนไทยที่ยังไม่ได้เดินทางกลับตกค้างในรัฐฉานโดยเฉพาะในเขตปกครองตนเองโกกั้งและใกล้เคียงอีกอย่างน้อย 240 คน ซึ่งทาง TBC ฝ่ายไทยจะประสานความร่วมมือกับฝ่ายเมียนมาอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะสู่ภาวะปกติต่อไป

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ไม่กระทบโครงสร้าง ผู้ว่าฯ ลงตรวจอาคาร รพ.เชียงราย หลังพบรอยร้าว

วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2566 จากกรณีเกิดแผ่นดินไหวเมื่อเวลา 08.37 น.ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ห่างจาก อ.แม่สาย จ.เชียงราย ไปทางทิศเหนือประมาณ 100 กิโลเมตร โดยมีความแรงตามมาตรการวัดริกเตอร์ได้ถึง 6.4 แม็กนิจูด ทำให้รับรู้แรงสั่นไหวได้ทั่วภาคเหนือนั้น นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้เดินทางไปตรวจสอบอาคารเด็กภายในโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ อ.เมืองเชียงราย ซึ่งมีอาคารส่วนต่อขยายตรงจุดเชื่อมระหว่างอาคารเก่าและใหม่สูง 5 ชั้น ได้รับความเสียหายแตกเป็นรอยแนวตั้งยาว ซึ่งสามารถเห็นได้อย่างขัดเจนจากภายนอก ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดได้สั่งการให้ฝ่ายโยธาธิการให้เร่งเข้าไปตรวจสอบโดยด่วน เนื่องจากภายในอาคารมีผู้ป่วย แพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ที่ต้องใช้อาคารอยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีสถานที่อื่นๆ เช่น โรงพยาบาลแม่สาย ฯลฯ ที่ด้านหน้าอาคารได้รับความเสียหายเล็กน้อย ฯลฯ ซึ่งเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายในหลายพื้นที่อยู่ระหว่างสำรวจเพื่อซ่อมแซมต่อไป

 
นายณรงค์ น้ำผึ้ง โยธาธิการและผังเมือง จ.เชียงรายกล่าวว่ากรณีโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์นั้น ได้ตรวจสอบเบื้องต้นพบเป็นการกระเทาะออกมาของปูนฉาบที่เชื่อมระหว่างอาคารใหม่ และเก่ารวม 2 หลัง และอาคารสร้างเพื่อรองรับแผ่นดินไหวได้ตามมาตราวัดริกเตอร์ได้ถึงระดับ 6-8 เพราะฉะนั้นโครงสร้างจึงไม่ได้รับกระทบ และสามารถใช้งานได้ตามปกติ กระนั้นตนห่วงเรื่องบ้านเรือนของประชาชนที่ไม่สร้างเพื่อรองรับแผ่นดินไหวจึงได้ให้เจ้าหน้าที่ออกสำรวจแล้ว
 
สำหรับ อ.แม่สาย ซึ่งสั่นไหวมากเพราะอยู่ใกล้กับรัฐฉานมากที่สุดพบว่าช่วงเกิดเหตุได้มีคนงานก่อสร้างหลายคน เข้าไปทำงานเพื่อสร้างอาคารศูนย์บริการแบบที่เดียวเสร็จหรือ OSS ภายในที่ว่าการ อ.แม่สาย ตามปกติ แต่ขณะเกิดแผ่นดินไหวได้แรงงานคนหนึ่ง ทราบชื่อต่อมาว่านายยะหุ้ย อายุ 31 ปี ชาวสัญชาติเมียนมา กำลังอยู่บนนั่งร้านชั้น 3 ใกล้เคียงกับริเวณชั้น 2 ของอาคาร เมื่อเกิดแรงสันไหวทำให้นายยะหุ้ยพลัดตกลงมากระทบพื้นจนแขนซ้ายหักและได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังเกิดเหตุหน่วยกู้ภัยและเจ้าหน้าที่ อ.แม่สาย ได้รีบนำตัวส่งโรงพยาบาลแม่สายอย่างเร่งด่วนเบื้องต้นพบว่าอาคารอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย
 
 
หลังจากสำหรับแผ่นดินไหวขนาด 6.4 ในวันที่ 17 พ.ย.นี้แล้ว ยังมีการสั่นไหวตามมาหรืออาฟเตอร์ช็อคอย่างน้อย 3-4 ครั้ง คือในเวลา 08.42 น.ความแรงระดับ 4.1 เวลา 08.46 น.ความแรง 3.5 เวลา 08.48 น.ความแรง 3.4 และเวลา 09.06 น.ความแรง 3.4 ตามลำดับ

 

แพทย์หญิงบุญศิริ จันศิริมงคล รักษาการในตำแหน่ง สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 1 ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์แผ่นดินไหว โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์

 

 

ต่อมาเวลา 18.00 น. นายแพทย์วัชรพงษ์ คำหล้า นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นายแพทย์ศุภเลิศ เนตรสุวรรณ รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ ทีมผู้บริหาร และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมต้อนรับ แพทย์หญิงบุญศิริ จันศิริมงคล รักษาการในตำแหน่ง สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 1 พร้อมคณะ ในการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์แผ่นดินไหว โดยได้เข้าเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และผู้ป่วย หอผู้ป่วยพิเศษสูติกรรม ชั้น 5 อาคาร 68 ปีอนุสรณ์ พร้อมร่วมรับฟังสรุปรายงานเหตุการณ์ของโรงพยาบาลเชียงรายฯ  และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รัฐพล  เกติยศ รองคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริหารวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาภาคเหนือ 1 ได้ชี้แจงในส่วนของโครงสร้างอาคาร 68 ปีอนุสรณ์ เป็นอาคารที่ได้รับการออกแบบให้ต้านทานแผ่นดินไหว จากวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งลักษณะด้านวิศวกรรมโครงสร้าง มีการแยกเป็น 2 อาคาร เป็นผลให้การสั่นไหวของอาคารต่างกัน และจากการสำรวจความเสียหายจากทีมวิศวกร ไม่พบความเสียหายกับโครงสร้างหลักของอาคาร พบเพียงแต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นบริเวณรอยต่อ ในส่วนของกำแพงอิฐก่อที่ร่อน ซึ่งไม่ใช่ส่วนโครงสร้างอาคาร และความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่มีผลต่อความมั่นคงและเสถียรภาพของอาคาร ซึ่งที่ผ่านมา ทางคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย ร่วมกับ กลุ่มงานโครงสร้างและวิศวกรรมทางการแพทย์ โรงพยาบาลเชียงรายฯ ได้มีการนำนวัตกรรมวัดแรงสั่นสะเทือนอาคารสูง ติดตั้ง ณ อาคารอุบัติเหตุและฉุกเฉิน เพื่อเตือนให้ผู้ใช้อาคารสูงมั่นใจว่ามี การวัด Potential Damage Scale เท่าไรในขณะแผ่นดินไหว เช่นครั้งนี้ พบแรงสั่นสะเทือนที่ Sensor วัดได้อยู่ในช่วง 2.5-8 G ประเมินได้ว่า ไม่มีผลกระทบต่ออาคารแต่อย่างใด 

 

พร้อมกันนี้ แพทย์หญิงบุญศิริ จันศิริมงคล สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 1 ได้เน้นย้ำให้สร้างความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน และความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ รวมถึงสภาพจิตใจที่ตามมาหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว โดยให้ปฏิบัติตามแนวทาง “แผ่นดินไหว ใจไม่สั่นไหว” คือ ประเมินความเสี่ยงของพื้นที่และเตรียมความพร้อมในการรับมือ ประเมินปฏิกิริยาที่อาจจะเกิดขึ้น การเตรียมความพร้อมยอมรับอารมณ์ที่หวั่นไหว และหากมีผลกระทบต่ออารมณ์และการทำงาน มากกว่า 1 เดือน ให้ปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323 หรือ สถานพยาบาลใกล้บ้าน และได้สั่งการให้มีการประชุม ถอดบทเรียน ซ้อมแผนเผชิญเหตุ เพื่อรับสถานการณ์ในอนาคต 

 

ทั้งนี้ นายนฤดล อ่วมสุข ผู้อำนวยการศูนย์สนับสนุนบริการสุขภาพที่ 1 พร้อมสถาปนิก จะทำการสำรวจเพิ่มเติมในส่วนของโครงสร้างอาคารอื่น ๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับบุคลากรของโรงพยาบาล และประชาชนผู้เข้ารับบริการต่อไป

 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : THE STANDARD

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

THE STANDARD แถลงจุดยืนกรณี ‘ลอกข่าว-สรุปข่าว’ จริยธรรมวิชาชีพ

 

วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2566 สำนักข่าว THE STANDARD ภายใต้บริษัท เดอะสแตนดาร์ด จำกัด ในฐานะผู้ผลิตสื่อออนไลน์ ได้ชี้แจงจุดยืนในการทำงานและรายงานข่าวตามจริยธรรมวิชาชีพ รายละเอียดดังนี้

 

เรื่อง ชี้แจงจุดยืนในการทำงานและรายงานข่าวตามจริยธรรมวิชาชีพ
เรียน สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติและองค์กรวิชาชีพสื่อที่เกี่ยวข้อง

จากกรณีที่สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติแสดงความกังวล ‘เหตุการณ์ลอกข่าว-สรุปข่าว ละเมิดกฎหมาย-จริยธรรมวิชาชีพ’ ในการประชุมคณะกรรมการสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ครั้งที่ 11/2566 ที่ได้นำเสนอเผยแพร่เป็นสาธารณะผ่านเว็บไซต์
www.presscouncil.or.th โดยมีการหยิบยกหลากหลายกรณีขึ้นมาหารือพูดคุย

 

สำนักข่าว THE STANDARD ภายใต้บริษัท เดอะสแตนดาร์ด จำกัด ในฐานะผู้ผลิตสื่อออนไลน์รับทราบข้อวิพากษ์วิจารณ์ทั้งหมดที่มีการกล่าวถึงสำนักข่าว THE STANDARD ซึ่งในทางข้อเท็จจริง สำนักข่าว THE STANDARD มิใช่ต้นสังกัดของพิธีกรข่าวที่ตกเป็นข่าวแต่ได้มีการร่วมงานในฐานะเป็นผู้จ้างให้จัดรายการ และขอยืนยันว่า เรายึดมั่นในจุดยืนด้านจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน ให้คุณค่ากับการทำหน้าที่รายงานข่าวของนักข่าวภาคสนามทุกท่าน อีกทั้งยังไม่สนับสนุนการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในการนำเสนอข่าวทุกรูปแบบ 

 

ซึ่งตลอดการทำงานของสำนักข่าว THE STANDARD ได้ดำเนินการทำข่าวโดยยึดมั่นหลักการ ดังกล่าวเสมอมา โดยมีนักข่าวภาคสนาม และการจัดซื้อลิขสิทธิ์ภาพข่าวและเนื้อหาข่าวอย่างถูกต้องตลอดมา ดังนั้นไม่ว่ากรณีใดๆ ที่มีการดำเนินการเข้าข่ายละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา หรือละเมิดจริยธรรมวิชาชีพ สำนักข่าว THE STANDARD จึงไม่เห็นด้วย และยังคงมุ่งมั่นในการทำงานภายใต้มาตรฐานจริยธรรมวิชาชีพโดยเคร่งครัดต่อไป

 

ทั้งนี้ จากข้อถกเถียงที่เกิดขึ้นบริษัทฯ มิได้นิ่งนอนใจ โดยได้มีกระบวนการดำเนินการหารือภายใต้ระเบียบการบริหารจัดการภายในองค์กรตามกระบวนการที่เหมาะสม นอกจากนี้ สำนักข่าว THE STANDARD ยินดีสนับสนุนการผลักดันให้มีการยกระดับมาตรฐานการทำงานวิชาชีพในอนาคต

 

ซึ่งมาจากกรณี “อ๊อฟ – ชัยนนท์ หาญคีรีรัตน์” ผู้ประกาศข่าวช่องวัน 31, จีเอ็มเอ็ม 25 และผู้ดำเนินรายการ THE STANDARD ออกมายืนยันทางเพจ “Off Chainon” ว่า ไม่ได้ก๊อปข่าวมาลง แต่คือการ สรุปข่าว ต่อเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อ๊อฟ ชัยนนท์ โพสต์เฟซบุ๊ก Off Chainon ได้โพสต์ขออภัยต่อกรณีดังกล่าว

โดยระบุว่า สวัสดีครับ ผมต้องขออภัย ขอน้อมรับทุกคำติชม ทุกคำแนะนำ เพื่อไปปรับปรุง และแก้ไขต่อไป ผมยืนยันว่า ผมเคารพและให้เกียรติเพื่อนๆ พี่น้องนักข่าว ผู้ประกาศข่าวทุกคนครับ

 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : THE STANDARD

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

เตือน “คนไทย” อย่าเชื่อกลลวง ‘นายทุนสีเทา’ ทำงานในเมียนมาได้เงินหลักแสน

 

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2566 เพจเฟซบุ๊ก Royal Thai Embassy, Yangon ได้โพสต์ข้อความระบุว่า สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง ขอย้ำเตือน คนไทยอย่าได้หลงเชื่อกลลวงเครือข่ายนายทุนสีเทา โฆษณาชวนเชื่อว่าพอไปทำงานในเมียนมา แล้วจะได้รายได้หลักหมื่นหลักแสน แต่ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อเดินทางไปถึง ก็จะถูกยึดหนังสือเดินทางทำให้กลับไทยไม่ได้

 

โดนบีบบังคับให้ทำงานสายดำ เช่น Call Center งาน Scammer งานขายบริการทางเพศ ตลอดจนให้เสพยาเสพติด ตกเป็นหนี้หลักแสน โดนเรียกค่าไถ่ ถูกลงโทษด้วยวิธีการต่างๆ หากไม่สามารถทำยอด หรือปฏิเสธที่จะทำงาน หรือถูกขายต่อเป็นทอดๆ ซึ่งเมื่อเดินทางเข้าไปแล้ว การช่วยเหลือจากภาครัฐของเมียนมา จะกระทำได้ลำบาก หรือไม่ได้เลย และใช้ระยะเวลานานยิ่ง และเมื่อช่วยเหลือออกมาได้แล้ว ก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายของเมียนมา

 

เมื่อไม่นานมานี้ มีขบวนการในรูปแบบ “romance scammer” เกิดขึ้นในย่างกุ้ง หลอกลวงคนไทย และต่างชาติไปทำงานให้หลอกคนอื่นให้หลงรักทางออนไลน์ และหลอกให้ร่วมลงทุน และเชิดเงินหนีไป คนไทยที่ถูกหลอกมาบางส่วน อาจถูกส่งต่อไปทำงานในเมืองที่เป็นเขตปกครองตนเองในเมียนมา เช่น เมืองเล่าก์ก่าย เมืองป๊อก เมืองลา มูเซ และอื่นๆ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ลึกในดินแดนเมียนมา เป็นป่าเขา และมีความทุรกันดาร ยากที่จะเข้าไปช่วยออกมา

 

จึงโปรดอย่าหลงเชื่อ การชักชวนให้ไปทำงานประเภทให้บริการรูปแบบต่างๆ ในเมียนมา ดู Scoop คนไทยโดนหลอกลวงมาทำงาน romance scammer ที่ย่างกุ้ง และอาจโดนขายต่อไปที่อื่น และขอความร่วมมือช่วยกันเตือนคนที่คุณรัก เพื่อไม่ให้โดนหลอกมาแบบนี้

 

ช่องทางการสอบถามข้อมูลและสถานภาพของคนไทยในเมืองเล้าก็ก่าย เมียนมา โดยกองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศกรมการกงสุล

โทรศัพท์ 064 0198530

โทรศัพท์ 064 0198907

โทรศัพท์ 099 6164786

โทรศัพท์ 02 5751047-51 หรือ 02 5751053 (ในวันและเวลาราชการ) E-mail:consular02@mfa.go.th

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Royal Thai Embassy, Yangon

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เจ้าของไข่มุกในหอยแครงส่งตรวจผลแจ้งยันของจริง

 

เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดเชียงราย ว่าภายหลังจากที่ได้นำเสนอข่าวการพบเจอไข่มุกในหอยแครงขนาด 1 ซม. ของ นายเศรษฐพงศ์ ศิววงศ์ร อายุ 45 ปี หรือที่เรียกกันว่า “ประธานเดี่ยว” ทราบภายหลังว่ามีตำแหน่งเป็นรองประธานสโมสรกีฬาราชประชา อยู่บ้านเลขที่ 5 หมู่ 4 ตำบลบัวสลี อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย โดยเจ้าตัวได้ออกมาเปิดเผยอีกครั้งเกี่ยวกับการพบเจอไข่มุกในหอยแครง ที่ซื้อจากตลาดสดชื่อดังแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงราย เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนหน้านี้ ซึ่งได้นำไข่มุกดังกล่าวส่งตรวจพิสูจน์ที่สถาบัน (CGT) หรือ (Chiangmai Gem Testing Laboratory : CGT LAB) จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นสถาบันตรวจอัญมณีวิทยา

 

โดนผลการตรวจพบเป็นไข่มุกจริงที่เกิดจากธรรมชาติ เป็นไข่มุกประเภทสีขาวแวววาวสะท้อนแสงอย่างเห็นได้ชัด มีขนาดเท่ากับ 3.084 กะรัต ทางสถาบัน CGT ได้ออกเอกสารรับรองว่าเป็นไข่มุกจริง หากนับเป็นมูลค่าแล้วเจ้าตัวบอกว่านับเป็นมูลค่าไม่ได้ และจะไม่ขาย หรือจำหน่ายโดยเด็ดขาด จะเก็บไว้เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองและครอบครัว เพราะหาได้ยากที่เกิดขึ้นในหอยแครง
 
 
เบื้องต้นจะนำไข่มุกดังกล่าวไปทำเป็นจี้หรือใส่เป็นหัวแหวน แต่คิดว่าจะทำเป็นหัวแหวนมากกว่า และจะให้ช่างหรือผู้ที่ชำนาญทำกรอบเครือบไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ไข่มุกเกิดรอยแตกร้าวเสียหาย ต่อไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES VIDEO

(มีคลิป) ผิดคาด! “อ.เฉลิมชัย” เจอศิลปินรุ่นใหม่ พ่นสีกำแพงทางออกวัด ‘ไม่ด่า แถมให้เงิน’

 

เมื่อวานนี้ (27 ต.ค. 66) แฟนเพจเฟซบุ๊ก ตามติดชีวิต อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ได้เผยแพร่เรื่องราวที่น่าประทับใจ ของ อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ที่ได้ออกมาชื่นชมกลุ่มคนรุ่นใหม่ศิลปิน Street Art หลังจากที่ได้แอบมาวาดภาพที่กำแพงทางออกที่จอดรถวัดร่องขุ่นในเวลากลางคืน

ซึ่งอาจารย์เฉลิมชัย ได้เล็งเห็นความสำคัญของผลงานศิลปะทุกแขนง จึงได้อัดคลิปวีดีโอเชิญชวนให้กลุ่มน้อง ๆ ศิลปิน Street Art มาวาดภาพที่กำแพงในเวลากลางวันได้เต็มที่ พร้อมกับมอบเงินสนับสนุนให้เป็นค่าอุปกรณ์ในการสร้างสรรค์ผลงานอีกจำนวน 10,000 บาท

และหลังจากนั้น ก็ได้มีการอัพเดตความคืบหน้าของผลงานศิลปะจากกลุ่มน้อง ๆ ศิลปิน Street Art เป็นระยะ โดยทั้งนี้ ยังมีผู้ใหญ่ใจดีอีกหลายท่าน ที่จะให้การสนับสนุนอาหารทุกมื้อกับกลุ่มศิลปินจนเสร็จงาน

เรื่องราวนี้ทำให้ชาวเชียงราย และประชาชนผู้ที่ชื่นชอบ  หลงใหลในงานศิลปะ ต่างก็รู้สึกประทับใจ และภูมิใจที่ศิลปินแห่งชาติชื่อดังในจังหวัดเชียงราย รวมไปถึงผู้ใหญ่ใจดีอีกหลายท่านให้การสนับสนุน และไม่ปิดกั้นความสามารถของเด็กรุ่นใหม่ ทำให้เด็ก ๆ และเยาวชนคนรุ่นใหม่สามารถคิด และแสดงออกถึงความสามารถได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเด็ก ๆ และเยาวชนเหล่านี้ก็จะจดจำและเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ และผู้ให้ที่ดีต่อไปในอนาคต


เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ตามติดชีวิต อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ / Dropfib

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

คนเชียงราย พบหอยแครง ให้โชคคล้าย “ไข่มุกเมโล” ลุ้นมูลค่า

 

วันที่ 18 ตุลาคม 2566 ที่บ้านเลขที่ 5 หมู่ 4 ตำบลบัวสลี อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นบ้านของ นายเศรษฐพงศ์ศิววงศ์ พบว่าเจ้าตัวได้เปิดเผยว่า ได้ให้ภรรยาและลูกสาวไปซื้อหอยแครงจากตลาดสดชื่อดังแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงราย เพื่อมาทำอาหารตามปกติ

 

โดยนำมาล้างน้ำทำความสะอาดเพื่อทำอาหาร จากนั้นได้มานั่งกินข้าวกับครอบครัว พบว่าหอยแครงที่แกะภายในพบวัตถุคล้ายไข่มุก เม็ดสีขาว ขนาดประมาณ 1 ซม. มีความสวยงาม คล้ายกับไข่มุกเมโล จึงหยิบเนื้อหอยมาดูแล้วก็เอามือบีบดู
รู้สึกว่ามีอะไรแข็งๆ อยู่ในหอย
 
 
นายเศรษฐพงศ์ เล่าว่า ตนพูดกับครอบครัวว่าเป็นไข่มุกหรือเปล่า ไข่มุกเม็ดนี้จะมีมูลค่าหรือไม่จึงนำใส่กล่องสีน้ำเงินเก็บรักษาไว้เพื่อเตรียมส่งตรวจที่ห้องปฏิบัติการตรวจสอบอัญมณี เชียงใหม่ (Chiangmai Gem Testing Laboratory : CGT LAB) โดยได้ประสานไว้แล้ว นายเศรษฐพงศ์ กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ตนและครอบครัวได้เดินทางไปขอพรอธิษฐานจิต
ขอให้ครอบครัวพบแต่ความสุขความเจริญที่วัดแสงแก้วโพธิญาณ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นวัดของ ครูบาอริยชาติ อริยจิตฺโต พระนักบุญแห่งแดนล้านนา เกจิชื่อดังแห่งภาคเหนือ หลังจากนั้นได้อีก 2 วัน ได้ไปซื้ออาหารทะเล
กุ้ง หอย ปลาหมึก มาทานกับครอบครัวที่บ้านตามปกติ ก่อนที่จะพบว่าหอยแครงมีไข่มุก
 
ซึ่งไข่มุกเมโล่” หนึ่งในไข่มุกธรรมชาติที่หายากที่สุด และแพงที่สุดของโลก ในหอยทากทะเลแค่ 1 ตัว ในทุกๆ 3,000 ตัวเท่านั้น ที่สร้างมุกชนิดนี้ได้ ทั่วโลกพบแค่ 4 ประเทศ รวมถึงไทย
 
สำหรับราคาซื้อขายปกติแล้วไข่มุกเมโลจะมีราคาซื้อขายกันในท้องตลาดอยู่ที่ราวเม็ดละ 200,000 ถึง 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยตก เม็ดละ 6 – 7.5 ล้านบาท แต่หากเป็นไข่มุกเมโล ที่มีขนาดใหญ่เท่ากับลูกกอล์ฟ หรือใหญ่กว่านั้น ราคาขายอาจพุ่งขึ้นสูงทะลุ 500,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อเม็ด หรือราวเม็ดละ 15 ล้านบาท เลยทีเดียว ในส่วนของสี ไข่มุกเมโลโดยทั่วไปจะมีสีเหลืองซีด/ สีเหลืองเข้ม/ สีส้มจางๆ เรื่อยไปจนถึงสีส้มจัด โดยสีส้มจัดจะถือเป็นสีที่มีราคาแพงที่สุด มากกว่าเฉดสีอื่นๆ
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ภรรยาหวั่นสามีเสียชีวิตร่ำให้หลังหายสาปสูญในอิสราเอล

 

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2566  ที่ผ่านมาที่หมู่บ้านกิ่วดอยหลวง หมู่ 10 ต.ริมโขง อ.เชียงของ จ.เชียงราย ซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของคนไทยกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ได้มี น.ส.สุนทรี แซ่ลี อายุ 28 ปี ซึ่งมีสามีชื่อนายกง แซ่เล่า อายุ 26 ปี ได้เดินทางไปทำงานที่ประเทศอิสราเอลได้ประมาณ 1 ปียังไม่ทราบสถานะว่าเป็นอย่างไรเพราะไม่ได้รับแจ้งจากเพื่อนร่วมงานที่อยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มประมาณ 6 คนอย่างชัดเจน ทำให้ น.ส.สุนทรี รู้สึกสับสน และกังวลใจอย่างมาก ทั้งนี้ช่วงเกิดเหตุนายกงยังได้ถ่ายคลิปการยิงต่อสู้กันโพสต์ลงเฟซบุ๊กโดยมีเสียงสนทนากับเพื่อนร่วมงานอีกหลายคนและมีการยิงขีปนาวุธผ่านพื้นที่ทำงานด้วย ก่อนจะไม่สามารถติดต่อได้จนถึงปัจจุบัน

.
น.ส.สุนทรี กล่าวว่าตนกับสามีอยู่กินได้กันได้นานประมาณ 10 ปีแต่ยังไม่มีลูกด้วยกัน และเขาพึ่งเดินทางไปทำงานใกล้กับเขตฉนวนกาซาได้เกือบ 1 ปีโดยจะครบปีวันที่ 8 พ.ย.นี้ โดยก่อนไปได้กู้หนี้ยืมยิน และพึ่งได้ชดใช้หนี้ จากนั้นเราวางแผนกันว่าจะสร้างบ้านหลังใหม่ ดูแลแม่ของเขาที่ชราภาพด้วย โดยช่วงที่ไปทำงานตนก็สามารถติดต่อกับสามีได้ตลอด กระทั่งช่วงเช้าวันที่ 7 ต.ค.ซึ่งเป็นวันหยุด และเป็นวันที่เริ่มเกิดเหตุเขาได้ติดต่อมาทำให้ตนสอบถามสาเหตุซึ่งเขาบอกว่าจำเป็นต้องตื่นเพราะมีการต่อสู้กันขึ้น ระหว่างนั้นตนได้ยินเสียงปืน และระเบิด ก่อนที่สามีจะขอวางสายไปและในช่วงสายประมาณ 11.00 น.ตนยังเห็นเฟซบุ๊กของเขาออนไลน์อยู่ อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นก็ไม่สามาถติดต่อกันได้อีกเลย
 
.
น.ส.สุนทรี กล่าวอีกว่าหลังเกิดหตุหัวหน้างาน และเพื่อนที่ทำงานแจ้งว่าทหารอิสราเอลบอกเพียงว่าคนที่อยู่ในไร่อะโวคาโดยังไม่เสียชีวิตเท่านั้นแต่ไม่แจ้งรายละเอียดเพิ่มเติม ซึ่งยังไม่มีใครยืนยันว่าได้พบเห็นสามีของตน ทำให้ตนไม่ทราบสถานะที่ชัดเจนของสามีจากนั้นก็ไม่มีหน่วยงานใดแจ้งข้อมูลอีก ดังนั้นตนจึงอยากให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องช่วยตรวจสอบสถานะที่แท้จริงของสามีให้ด้วยโดยตนยังมีความหวังว่าเขาจะรอดชีวิตและติดต่อกลับมา
 
.
น.ส.สุนทรีกล่าวว่าคนที่ทำงานสวนอะโวคาโดยังไม่มีใครเป็นอะไร ต่างคนต่างหนีกันไปคนละทิศละทาง ก็สงสัยว่าสามีของหนูอาจจะถูกจับตัวไปเป็นตัวประกันหรือไม่ แต่หนูก็ยังไม่แน่ใจเพราะติดต่อเขาไม่ได้ทำให้ยังรอข้อความจากสามีทุกวัน สามีเป็นเสาหลักของครอบครัวเมื่อเขาหายไปหนูก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว โดยสามีเป็นคนอาภัพมากเป็นเด้กกำพร้าแต่เล็กต้องอาศัยอยู่กับตายายหลังเล็ก มีฐานะยากจน ทำให้ต้องยอมเสี่ยงที่จะไปทำงานในอิสราเอลก็หวังจะมีชีวิตใหม่ ได้เงินเดือนประมาณเดือนละ 5 หมื่นบาท ตั้งเป้าที่จะสร้างบ้าน ซื้อรถให้กับครอบครัว กับทางปู้ย่าตายายและทางแม่ แล้วก็จะกลับมาอยู่ในประเทศ โดยหลังไปอยู่ประมาณ 11 เดือนก็เกิดเหตุยิงกันบ่อยครั้ง แต่ก็ไม่คิดว่าครั้งนี้จะรุนแรงเช่นนี้ ตอนนี้ก็หวังว่าสามียังอยู่ระหว่างหลบหนีเอาตัวรอดทำให้ไม่สามารถติดต่อได้ ยังไม่ถึงขั้นต้องสูญเสียชีวิตเลย
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

1 ใน 2,174 คนเชียงราย แรงงานอิสราเอลกลับถึงบ้าน

 

เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2566  ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่แรงงานจังหวัดเชียงราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พานายจันทร์ดี แซ่ลี อายุ 35 ปี ชาวบ้านห้วยแล้ง หมู่ 2 ต.ท่าข้าม อ.เวียงแก่น ซึ่งเป็น 1 ใน 15 แรงงานไทยจากประเทศอิสราเอลกลุ่มแรกที่ได้เดินทางกลับประเทศไปส่งถึงบ้านเลขที่ 337 หมู่บ้านห้วยแล้ง ซึ่งพบว่าทางญาติ และชาวบ้านต่างมีการจัดโต๊ะ เก้าอี้ และกางเต๊นท์คอยต้อนรับกันอย่างเอิกเกริก เนื่องจากที่ผ่านมาปรากฎข่าวสารว่ามีคนไทยรวมถึงชาวเชียงรายเสียชีวิต และบาดเจ็บ ขณะที่นายจันทร์ดีพบว่ามีสุขภาพดีและไม่ได้รับอันตรายใดๆ

 

ซึ่งเมื่อไปถึงบ้านทางภรรยาคือนางมาลับวรรณ แซ่ลี และลูกชายอายุ 11 ปี ลูกสาว 1 คน อายุ 5 ขวบ และลูกชาย 2 ขวบตามลำดับ ซึ่งต่างยังมีอายุน้อยรวม 3 คน ต่างโผเข้ากอดนายจันทร์ดีด้วยความดีใจโดยต่างร้องไห้ที่ปลอดภัยกลับบ้าน วันเดียวกันนางสุภาเพ็ญ ศิริมาตย์ นายกเหล่ากาชาด จ.เชียงราย ได้นำคณะเดินทางไปต้อนรับพร้อมแจ้งว่านายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้ฝากความปรารถนาดีและกำลังใจรวมทั้งหากพบปัญหาอุปสรรคใดเพิ่มเติมก็ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ซึ่งได้ร่วมกันไปเยี่ยมเยียนในครั้งนี้ได้
นายจันทร์ดี กล่าวว่าเมื่อได้เห็นหน้าภรรยา และลูกตนรู้สึกดีใจมาก เพราะตนไปทำงานอยู่ประเทศอิสราเอลได้ 2 ปีครึ่งแล้ว โดยช่วงที่ไปได้ 4-5 เดือนลูกสาวคนโตได้เสียชีวิตทำให้ตนยิ่งคิดถึงบ้านโดยเฉพาะไม่มีโอกาสมาร่วมในพิธีศพของลูก ทั้งนี้จุดที่ตนพักหรือแคมป์คนงานที่อิสราเอลมีแรงงานพักด้วยกัน 11 คน เมื่อเกิดการสู้รบมีคนรอดชีวิตมาได้เพียง 5 คนรวมทั้งตน ส่วนเพื่อนอีก 6 คนถูกยิงเสียชีวิตทั้งหมด ช่วงเกิดเหตุตนรู้สึกกลัวและยังสงสัยว่าจะได้มีโอกาสกลับมาพบครอบครัวอีกหรือไม่ เพราะแม้ในช่วงเวลาปกติไม่มีการสู้รบกันตนก็ยังนับวันจะกลับบ้านเลยและยิ่งมีมีสงครามก็ยิ่งทำให้เกิดความกลัวและอยากกลับบ้านเพราะตนรักลูกทุกคนอย่างมาก
 
 
นายจันทร์ดี กล่าวอีกว่าในหมู่บ้านที่ตนอยู่มีค่ายทหารอิสราเอลอยู่ด้วยเมื่อกองกำลังฮามาสเข้ามาจึงมีการยิงต่อสู้กันขึ้นตั้งแต่ 06.00 น.จนถึงตี 1 ของอีกวัน ส่วนพวกตนที่รอดมาได้เพราะพากันเข้าไปหลบหนีในห้องโดมที่มีไว้ป้องกันระเบิด เมื่อทหารอิสราเอลควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้วจึงช่วยพวกตนออกมาได้ดังกล่าว ทั้งนี้ตนขอให้พระเจ้าคุ้มครองเพื่อนๆ คนที่ยังอยู่อิสราเอลให้ปลอดภัย เพระมันมีทั้งพื้นที่ที่ปลอดภัยแล้วแต่มีบางที่ที่อันตรายอยู่ก็มี ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองพี่น้องแรงงานไทยทุกคนที่อยู่ทางโน้นด้วย” นายจันทร์ดีกล่าวทั้งน้ำตา
 
ด้านนางมาลัยวรรณ กล่าวว่าตนรู้สึกดีใจมากที่สามีได้กลับมาบ้านและขอขอบคุณหน่วยงานภาครัฐและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ให้ความช่วยเหลือจนได้กลับบ้านมาอย่างปลอดภัย ส่วนเขาจะกลับไปทำงานที่อิราเอลหรือไม่นั้นคงต้องดูสถานการณ์ก่อนและให้เป็นการตัดสินใจของสามีอีกครั้ง

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

โครงการแก้น้ำท่วมยังไม่เสร็จ แม่จันท่วม น้ำแรงซัดสะพานเหล็กหัก

เช้าวันนี้ (9 ต.ค.) ภายหลังจากมีฝนตกหนักในช่วงคืนที่ผ่านมาได้ทำให้น้ำจากเทือกเขาไหลลงสู่แม่น้ำจันและทำให้ระดับน้ำเอ่อล้นเข้าท่วมริมฝั่งพื้นที่หมู่ 1 หมู่ 2 หมู่ 5 หมู่ 6 และหมู่ 7 ต.ป่าตึง อ.แม่จัน และหมู่ 1 หมู่ 2 และหมู่ 3 ต.แม่จัน โดยน้ำเข้าท่วมตั้งแต่ริมถนนสายแม่จัน-แม่อาย บริเวณแยกแม่อายที่เป็นที่ลุ่ม และริมตลาดสดแม่จันภายในเขตเทศบาล ต.แม่จัน ทำให้ทางองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ป่าตึง และเทศบาล ต.แม่จัน ได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่เข้าไปขุดตัก และขนวัชพืชโดยเฉพาะประเภทกิ่งไม้ใบไม้ที่ติดอยู่บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำจันด้านหลังตลาดสดออก เพื่อเร่งระบายน้ำให้ไหลผ่านไปโดยเร็ว อย่างไรก็ตามช่วงที่ยังเร่งระบายก็ได้ทำให้น้ำเข้าท่วมบ้านเรือนริมฝั่ง และถนนลึกประมาณ 25 ซ.ม.
.
หลังเกิดเหตุนายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จ.เชียงราย ได้เข้าช่วยเหลือชาวบ้านโดยเฉพาะขนย้ายข้าวของไปไว้บนพื้นที่สูงและสำรวจความเสียหายทั้งหมด ขณะนี้น้ำได้ลดระดับลงอย่างต่อเนื่องและหากไม่มีฝนตกลงมาเพิ่มเติมคาดว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในวันเดียวกันต่อไป
.
ด้านนายทัต วังเมือง ปลัดอบต.ป่าตึง อ.แม่จัน จ.เชียงราย กล่าวว่าน้ำเข้าเอ่อล้นเข้าท่วมในช่วงเวลากลางคืนส่วนใหญ่เป็นพื้นที่อยู่อาศัยแต่ก็เข้าท่วมและลดลงอย่างรวดเร็วทำให้ทรัพย์สินชาวบ้านไม่ได้รับความเสียหาย ส่วนเส้นทางในบางหมู่บ้านมีดินโคลนก็ใช้รถแทรคเตอร์เข้าขุดตักออก นอกจากนี้ยังมีสะพานเหล็กกว้าง 2 เมตร ของ อบต.ป่าตึง ซึ่งใช้ข้ามแม่น้ำจันพื้นที่หมู่บ้านห้วยยาโนถูกน้ำได้พักขาดซึ่งจะได้รอให้น้ำแห้งและเข้าซ่อมแซมต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News