Categories
TOP STORIES

สธ. ตั้งเป้าผลิตหมอปีละ 5,000 คน ร่วมมือ ม.พะเยา และมหาวิทยาลัยอีก 15 แห่ง

 

เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2567 ที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการผลิตแพทย์ของโครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท ระหว่าง สธ. กับมหาวิทยาลัยคู่ความร่วมมือ 16 แห่ง ประกอบด้วย ม.เกษตรศาสตร์ ม.ขอนแก่น จุฬาฯ ม.เชียงใหม่ ม.เทคโนโลยีสุรนารี ม.ธรรมศาสตร์ ม.นราธิวาสราชนครินทร์ ม.นเรศวร ม.บูรพา ม.พะเยา ม.มหาสารคาม ม.มหิดล ม.วลัยลักษณ์ ม.สงขลานครินทร์ ม.อุบลราชธานี และสถาบันพระบรมราชชนก

 

นพ.โอภาส กล่าวว่า สธ. โดยสำนักงานบริหารโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท (สบพช.) ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ผลิตแพทย์ที่มีคุณภาพ เข้าสู่ระบบและกระจายไปยังโรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศ ตั้งแต่ปี 2537 เป็นต้นมา ปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยคู่ความร่วมมือ 16 แห่ง และมีรพ.ของสธ.ที่เป็นศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก รองรับการฝึกนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4-6 จำนวน 39 แห่ง ผลิตแพทย์เข้าสู่ระบบแล้ว 13,780 คน ซึ่งแพทย์กลุ่มนี้ยังคงอยู่ในระบบ 77%

 

นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า การลงนามครั้งนี้เป็นการขยายกรอบความร่วมมือทั้งด้านการศึกษา การผลิตบุคลากรสาธารณสุข การวิจัยเพิ่มมากขึ้น รองรับโยบายรัฐบาลในโครงการยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว และอีกส่วนสำคัญคือรองรับการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ซึ่งต้องมีบุคลากรทางการแพทย์รองรับเพิ่มมากขึ้น

 

นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า สถานการณ์ภาพรวมเรามีแพทย์อยู่ประมาณ 50,000 คน อยู่ในสังกัดสธ. 25,000 คน ที่เหลือ 20-30% อยู่ที่ภาครัฐโดยเฉพาะมหาวิทยาลัยรัฐ และหน่วยความมั่นคง ส่วนอีก 20% อยู่ในภาคเอกชน หากเทียบหลายปีก่อนถือว่าไม่ขาดแคลน แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ซึ่งการผลิตแพทย์ 1 คน สามารถสร้างผลผลิตให้กับประเทศได้หลายสิบหลายร้อยล้าน ทำให้ประเทศมีความสามารถในการแข่งขันมากยิ่งขึ้น

 

นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมทั้งประเทศโรงเรียนแพทย์สามารถผลิตแพทย์ได้ปีละ 3,500 คน โดยแต่ละปี สธ.ร่วมผลิตในชั้นคลินิกประมาณ 2,000 คน ขณะนี้สธ.กำลังจัดทำร่างยุทธศาสตร์กำลังคนด้านสาธารณสุข ซึ่งจะเป็นไกด์ไลน์ในการพัฒนากำลังคน

 

นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า เดิมเรามองแต่บริบทการผลิตบุคลากรสาธารณสุขตอบสนองเฉพาะประชาชนในประเทศ แต่บริบทใหม่จะต้องตอบสนองบริการทางการแพทย์ที่เป็นคนต่างชาติมากขึ้นด้วย ซึ่งจำเป็นต้องผลิตบุคลากรทางการแพทย์หลายระดับมากขึ้นโดยความร่วมมือกับทุกหน่วย โดยเฉพาะแพทย์ที่ตั้งเป้าช่วง 6-10 ปีจากนี้จะต้องผลิตให้ได้ปีละ 5,000 คน เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ รวมถึงรองรับสังคมผู้สูงอายุด้วย

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS TOP STORIES

พบทั่วโลกติดสินบน 2 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 5% ของจีดีพีโลก

 เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2567 ที่โรงแรมสวิสโซเทล สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการทุจริต ร่วมกับหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย พร้อมจัดเสวนาหัวข้อ “การต่อต้านการทุจริตในภาคเอกชนและบทบาทของภาคเอกชนไทย” 

นายนิติพันธุ์ ประจวบเหมาะ รองเลขาธิการ ป.ป ช. กล่าวตอนหนึ่งว่า การคอร์รัปชัน ติดสินบนพนักงานของรัฐเป็นสิ่งที่เลวร้ายสำหรับการทำธุรกิจ ธนาคารโลกประมาณการว่าในแต่ละปีมีค่าใช้จ่ายสำหรับติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วน world economic forum ประมาณการตัวเลขความเสียหายที่เกิดจากการทุจริตอยู่ที่ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5% ของจีดีพีโลก

 

สำหรับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ป.ป.ช. ได้ประสานการทำงานร่วมกับบริษัทต่างชาติ และทำงานร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ขณะเดียวกัน เมื่อเข้ามาแล้วต้องปฏิบัติตามมาตรฐานอนุสัญญาต่อต้านการทุจริต กำหนดให้รัฐภาคีจะต้องออกมาตรการส่งเสริมและป้องกันการทุจริต ส่งเสริมคุณธรรม โดยเฉพาะวัฒนธรรมองค์กรไม่ยอมรับการทุจริต ป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน รวมถึงความรับผิดทางอาญากรณีการทุจริตทั้งจากเจ้าหน้าที่รัฐและเจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศ รวมถึงนิติบุคคลที่มีส่วนร่วมในการทุจริต และให้สัญญาเป็นโมฆะ ทั้งนี้ ป.ป.ช. พยายามแก้ไขกฎหมายให้สามารถเอาผิดซ้ำใน 2 ประเทศอีกด้วย ขณะนี้ไทยมุ่งหวังจะเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาต่อต้านการติดสินบน ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 44 ประเทศ

 

ด้าน นางวีเบกเกอ เลอเซนด์ เลอแวก (Mrs.Vibeke Lyssand Leivag ) ประธานหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย กล่าวว่า หอการค้าต่างประเทศฯ ทำงานในประเทศไทยมา 48 ปีแล้ว มีสมาชิก 36 บริษัท มีเครือข่าย 8,000 – 9,000 บริษัท เพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทย มีเศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคบริการที่เติบโตและยังมีโอกาสในการลงทุนมากมาย ประเทศไทยยังอยู่ในพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ที่สามารถนำไปสู่ตลาดอาเซียนได้ มีมาตรการจูงใจการลงทุนจำนวนมาก แต่โอกาสมาพร้อมกับความท้าทาย ทั้งการแข่งขันในภาคธุรกิจ และระบบราชการไทยที่ซับซ้อน เรื่องเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งที่ผ่านมาจะมีการประท้วง มีการรัฐประหาร ที่จริงรัฐบาลปัจจุบันให้การส่งเสริมการลงทุนจำนวนไม่น้อย แต่สิ่งที่ต้องทำเพิ่มคือการปรับปรุงระบบการศึกษา เพิ่มทักษะการทำงานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมใหม่ๆ นวัตกรรมใหม่ๆ รวมไปถึงการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน โลจิสติกส์และสาธารณูปโภคต่างๆ เพื่อเอื้อต่อการทำธุรกิจ

 

เหตุผลที่กล่าวมาเหล่านี้ มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนและประกอบธุรกิจในประเทศไทย รวมถึงการทุจริตคอร์รัปชันซึ่งมีความเสี่ยงต่อชื่อเสียงไม่น้อย จะเห็นว่าดัชนีการทุจริตไม่ได้มีการพัฒนาขึ้น จากปี 2018 ตกลงจากอันดับที่ 99 มาอยู่ที่ลำดับ 108 จะเห็นว่าการทุจริตคอร์รัปชันทำให้เกิดปัญหาในการประกอบธุรกิจ เกิดความไม่ยุติธรรมหากไม่มีการจ่ายค่าน้ำชา เราอยากมีส่วนร่วมในการก่อให้เกิดความยุติธรรม เป็นธรรมในการประกอบธุรกิจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาครัฐ เอกชน และภาควิชาการจะต้องทำงานร่วมกัน

 

นางกุลภัทรา สิโรดม ประธานกรรมการสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย กล่าวว่า ถ้าบริษัทมีกรรมการที่ดี เราสามารถลดการติดสินบนและการทุจริตลงได้ทั้งในบริษัทและนอกบริษัท รวมถึงทั้งในประเทศและนอกประเทศด้วย ซึ่งสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย ก่อตั้งเมื่อปี 2010 เพื่อป้องกันการคอร์รัปชันโดยสมัครใจ มีการจัดทำหลักสูตรการศึกษาเพื่อต่อต้านการทุจริต อิงตามมาตรฐานนานาชาติ ทำการอบรมการวิเคราะห์และควบคุมลดปัญหาการทุจริตภายในองค์กรของตัวเอง และยังมีโปรแกรมผู้นำจริยธรรมที่พยายามจะช่วยผู้บริหารให้ตัดสินใจเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่างๆ ได้

 

ขณะที่นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ กรรมการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เห็นว่า การสร้างคุณธรรมและค่านิยมต่อเยาวชนไทยในการต่อต้านการทุจริตถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะลดโอกาสการทุจริตในประเทศไทยลงได้ รวมถึงร่วมกับภาครัฐในการส่งเสริมการเปิดเผยการทุจริตทุกประเภท โดยเฉพาะการจัดจัดซื้อจัดจ้างในภาครัฐ การสนับสนุนการผลักดันการบังคับใช้กฎหมายต่างๆ เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ กฎหมายเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ จะทำให้เกิดความโปร่งใสมากขึ้น.

  

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

 NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAMกองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News

MOST POPULAR
FOLLOW ME


Facebook


Times


Instagram


Youtube


Line

NEWS UPDATE
BREAKING NEWS


ข่าวเด่นน่าติดตามวันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม 2566


ข่าวเด่นน่าติดตามวันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม 2566



ข่าวเด่นน่าติดตามวันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม 2566


ข่าวเด่นน่าติดตามวันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม 2566



ข่าวเด่นน่าติดตามวันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2566


ข่าวเด่นน่าติดตามวันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2566

xemeaino


Categories
TOP STORIES

เคาะก่อนชง ครม.ยาบ้า 1 เม็ด ก็มีความผิด ใครแจ้งเบาะแสรับรางวัลนำจับ 5%

 
เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 67 ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมทบทวนกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ

 

โดยมี นพ.กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายกิตติกร โล่ห์สุนทร เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายวิชัย ไชยมงคล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานศาลยุติธรรม ป.ป.ส. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เข้าร่วมประชุม ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข

 

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตามที่กฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ พ.ศ.2567 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลให้ใช้บังคับเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 ภายหลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคม

 

รวมถึงการตีความและการใช้บังคับกฎหมาย เช่น ผลสำรวจนิด้าโพล มีประชาชนมากกว่าร้อยละ 67 ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วย ทำให้เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2567 นายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการประชุมหารือร่วมกับรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

 

พร้อมมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข แก้ไขกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษฯ โดยปรับลดยาบ้าให้เหลือ 1 เม็ด เพื่อเป็นหลักให้ผู้ปฏิบัติงานและสอดคล้องกับเจตนารมณ์ที่แท้จริงของกฎหมาย

 

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข จึงมีการแต่งตั้งคณะทำงานทบทวนกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ โดยได้ประชุมเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2567 เพื่อประเมินผลกระทบ

 

ซึ่งพบว่า เกิดผลกระทบสังคม การบังคับใช้กฎหมาย และการแพทย์ เช่น ผู้ค้าใช้ช่องว่างของกฎหมายในการแบ่งบรรจุจำหน่าย เพื่อหลบหลีกการถูกดำเนินคดีในฐานความผิดมีไว้ในครอบครองเพื่อการค้า จึงเห็นชอบแก้ไขกฎกระทรวง พร้อมวางกรอบระยะเวลา ไม่เกิน 3 เดือน โดยขณะนี้ อยู่ในขั้นตอนรับฟังความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

 

ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบ ทบทวนกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ โดยให้ยกเลิกความใน (ก) และ (จ) ของข้อ 2(1) แห่งกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษฯ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน (ก) แอมเฟตามีน มีปริมาณไม่เกิน 1 หน่วยการใช้ หรือ มีน้ำหนักสุทธิ ไม่เกิน 100 มิลลิกรัม (จ)

 

เมทแอมเฟตามีน มีปริมาณไม่เกิน 1 หน่วยการใช้ หรือ มีน้ำหนักสุทธิไม่เกิน 100 มิลลิกรัม หรือ ในกรณีที่เป็นเกล็ด ผง ผลึก มีน้ำหนักสุทธิไม่เกิน 20 มิลลิกรัม

 

โดยมติที่ประชุมวันนี้ จะนำไปรับฟังความคิดเห็นของประชาชน หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผ่านเว็บไซต์ของกระทรวงสาธารณสุข เป็นเวลา 15 วัน ซึ่งเริ่มวันนี้ เป็นวันแรกทันที

 

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การประชุมวันนี้ ได้กำหนดเส้นแบ่งการทำคดียาเสพติด เพื่อให้ง่ายต่อการดำเนินการ โดยมีมติปรับลดปริมาณยาบ้าที่สันนิษฐานเป็นผู้เสพ เหลือ 1 เม็ด และสารบริสุทธิไม่เกิน 20 มิลลิกรัม

 

แต่ขอเน้นย้ำว่า ยาบ้า 1 เม็ด ก็มีความผิด เพราะต้องพิสูจน์ต่อด้วยว่า เป็นผู้เสพ หรือ ผู้ขาย หากเป็นผู้เสพก็ต้องเข้ารับการบำบัด พร้อมต้องขยายผลตามแนวนโยบาย “1 ผู้เสพ ขยายผล 1 ผู้ขาย และขยายต่อเป็น 1 ผู้ผลิต”

 

ดังนั้น มียาบ้า 1 เม็ด ก็ต้องถูกขยายผลเพื่อนำไปสู่การยึดอายัดทรัพย์ ซึ่งในขณะนี้ เรามีผู้แทนแต่ละกระทรวง ที่อยู่ตามชุมชน ก็จะช่วยเป็นหูเป็นตา และหากใครแจ้งเบาะแสก่อนก็รับรางวัลนำจับ 5%

 

เมื่อถามว่า เหตุผลในการปรับเหลือ 1 เม็ด นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ประชาชน สะท้อนสิ่งที่เสียหายมาเป็นจำนวนมาก พร้อมพิจารณาสถิติการจับกุมที่สูงขึ้น จึงมีการปรับลดเหลือ 1 เม็ด แต่ก็ยังมีความผิด ต้องถูกสอบสวนเพื่อขยายผลให้ได้ผู้ขาย และผู้ผลิตต่อไป

 

ซึ่งจากนี้ ก็จะรับฟังความคิดเห็น 15 วัน หากเห็นตรงกัน ก็จะเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาต่อไป

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

กลุ่มทุนรุกป่าดอยสะโง้นับ 1,000 ไร่ สร้างรีสอร์ท-ทดแหล่งน้ำไปใช้เอง

 

เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 ที่หมู่บ้านดอยสะโง้ หมู่ 7 ต.ศรีดอนมูล อ.เชียงแสน จ.เชียงราย นายเศกสันต์ กองศรี กำนัน ต.ศรีดอนมูล พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย) สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย) ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงสะโง๊ะ และชาวบ้านดอยสะโง้ ร่วมตรวจแนวเขตแดนและพิกัดของพื้นที่ปาไม้และที่ดินที่มีผู้เข้าไปครอบครอง หลังจากชาวบ้านดอยสะโง้เคยร้องเรียนไปยังหลายหน่วยงานว่ามีการบุกรุกป่า และนายเศกสันต์ได้ถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เมื่อครั้นเสด็จพระราชดำเนินไปยัง อ.เชียงแสน เมื่อเดือน มี.ค.2567

 

โดยชาวบ้าน ระบุว่า เดิมดอยสะโง้ เคยมีความอุดมสมบูรณ์ด้วยต้นไม้และแหล่งน้ำ รวมทั้งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 709 เมตร เป็นจุดชมวิว 3 แผ่นดิน คือ สามเหลี่ยมทองคำ ไทย สปป.ลาว และเมียนมา และเป็นที่ตั้งของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงสะโง๊ะ ที่เป็นแหล่งปลูกพืชต่างๆ สร้างงานสร้างรายได้ให้กับกลุ่มชาติพันธุ์อาข่า แต่ปรากฎว่าตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมาได้มีกลุ่มทุนบุกรุกตัดต้นไม้และปรับถางที่ดิน มีการปลูกส้มหลายร้อยไร่และสร้างสิ่งปลูกสร้างต่างๆ เช่น รีสอร์ท ที่พัก ฯลฯ เพื่อหาผลประโยชน์จากแหล่งท่องเที่ยว ทำให้เกิดปัญหาแหล่งน้ำบนดอยสะโง้แห้ง หรือถูกกลุ่มทุนผันน้ำนำไปใช้ส่วนตัว ส่งผลให้ชาวบ้านเดือดร้อนและยังมีปัญหาขยะเพิ่มขึ้นมาอีก
ดังนั้นในปี 2562 ชาวบ้านจึงได้ร้องเรียนไปยังหลายหน่วยงาน แต่ก็ไม่สามารถหยุดการบุกรุกป่าทั้งในเขตป่าสงวนแห่งชาติและสวนป่าแม่มะ-สบรวก ที่อยู่ในการดูแลของหน่วยงานป่าไม้ทั้ง 2 หน่วยงานดังกล่าว และมีแนวโน้มจะบุกรุกเพิ่มขึ้น
 
 
นายเศกสันต์ กล่าวว่า ในอดีตดอยสะโง้เป็นแหล่งน้ำโดยเฉพาะลำห้วยม่วงที่ชาว ต.ศรีดอนมูล ได้ใช้ประโยชน์ แต่ถูกกลุ่มนายทุนที่มีเงินและอิทธิพลเข้าไปบุกรุก กระทั่งปี 2567 ความแห้งแล้งรุนแรงมากเพราะป่าไม้ถูกทำลายไปนับ 1,000 ไร่ ส่วนลำห้วยก็ถูกนายทุนกั้นน้ำเอาไว้ใช้ส่วนตัว ตนจึงได้เป็นตัวแทนชาวบ้านทูลเกล้าถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ดังนั้นในครั้งนี้ตนหวังว่าหน่วยงานต่างๆ จะแก้ไขปัญหาให้สำเร็จเพราะ 4-5 ปีที่ผ่านมา มีการตรวจสอบหลายครั้งแต่ก็ไม่มีการแก้ไขปัญหา
 
 
สำหรับครั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้เริ่มสำรวจว่าจุดใดอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เขตป่าอุทยาน หรือพื้นที่การเกษตรแล้ว จากนั้นจะบูรณาการจำแนกพื้นที่หากพบมีการบุกรุกในเขตรับผิดชอบของหน่วยงานใดก็จะมีการดำเนินคดีจนครบทั้ง 1,000 ไร่ต่อไป.
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

เส้นตาย เจ้าหนี้-ลูกหนี้ เงินกู้นอกระบบแสดงตัวภายใน 31 พ.ค. กวาดล้างทั่วประเทศ

 
เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทยแถลง ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมการแก้ไขหนี้นอกระบบ พร้อมด้วยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย พล.ต.ท.ทัตชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วยผบ.ตร.นายณรงค์ ศรีระสัน ผู้แทนอธิบดีอัยการสำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน (สศช.)แถลงเปิดแผนปฏิบัติการแก้ไขหนี้นอกระบบอย่างยั่งยืน

 

ทั้งนี้ นายชาดา กล่าวว่า การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบตามที่นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการและให้ความสำคัญเรื่องนี้ โดยมอบให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายก และรมว.มหาดไทย ดำเนินการและมีคณะทำงานได้ทำไประยะหนึ่ง มีการลงทะเบียนหนี้กว่าแสนราย แต่ยังไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดเพราะคนไทยจำนวนมากของประเทศ ที่เป็นคนจนทำมาหากินได้วันละ 500 บาท

 

และลูกหนี้จะไม่สามารถไปกู้เงินในระบบอื่นได้ นำไปสู่การกู้นอกระบบที่มีดอกเบี้ยจำนวนมากทำให้ไม่สามารถเดินต่อไปได้เรื่องนี้จึงมีส่วนสำคัญกับเศรษฐกิจของชาติในปัจจุบันนี้ หากหลงเข้าไปกู้จะไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้เพราะต้องใช้หนี้อย่างเดียว

 

“กระทรวงมหาดไทย ได้ดำเนินการเรื่องนี้ทั่วประเทศแต่ยังไม่จบ จึงขอประกาศไปถึงเจ้าหนี้และลูกหนี้นอกระบบ ให้ออกมาแสดงตัว หากลูกหนี้ไม่มา เจ้าหนี้จะต้องมา ถ้าไม่มาไม่ให้ความร่วมมือกันจะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่ายไม่ได้” นายชาดา กล่าว

 

รมช.มหาดไทย กล่าวต่อว่า ขั้นตอนต่อไปทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อัยการ กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากร จะดำเนินการขั้นต่อไป ถ้าลูกหนี้และเจ้าหนี้ยังไม่เข้าสู่ระบบคนที่เป็นหนี้ก็ไม่สามารถไปกู้ที่ไหนได้ จึงต้องการให้เจ้าหนี้มาเข้าสู่กรอบของกฎหมาย

 

ถ้าไม่มาจะมีระยะเวลาในการดำเนินการ ที่จะต้องถูกตรวจสอบ เราจะตามเคลียร์คนที่มีอาชีพเงินกู้นอกระบบในทุกจังหวัด แต่หากเข้ามาในระบบ รัฐจะดูแลและให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่ายให้ลูกหนี้สามารถใช้หนี้ในอัตราที่ไม่ทารุณโหดร้ายส่วนเจ้าหนี้จะได้รับเงิน ยอมรับว่าเจ้าหนี้ก็มีมีทั้ง สายขาวและสายดำแต่ก็อยากให้มาลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ และประชาชนก็จะสามารถกู้ได้ด้วย

 

“ขอให้คนที่อยู่ในวงจรหนี้นอกระบบกลับเข้ามาสู่ระบบ โดยเฉพาะเจ้าหนี้ จะให้เดดไลน์ ตั้งแต่วันที่ 16 -31 พฤษภาคมนี้ ในการมาแสดงตัวลงทะเบียน ไปแจ้งเข้าสู่ระบบด้วยตัวเองจะดีกว่าในทางออนไลน์ เรื่องนี้หากยังมีหนี้นอกระบบก็เหมือนรัฐบาลโปรยฝนลงมาแล้วหายหมด หญ้าไม่ขึ้น ความงอกเงยทางเศรษฐกิจหายหมด เพราะมีการลักดูดน้ำไป เราจะไม่ยอมให้คนไทยกู้หนี้มาใช้หนี้อีกแล้ว รัฐบาลจึงให้ความสำคัญในเรื่องนี้และจะดำเนินการอย่างเด็ดขาด เดทไลน์ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่คนทำผิดกฏหมายอยู่จะมีทางรอด“ นายชาดา กล่าว

 

นายชาดา กล่าวว่า ขอย้ำว่าให้มั่นใจว่าเมื่อเข้าสู่กระบวนการที่ถูกต้องจะปลอดภัยไม่ถูกดำเนินคดีและช่วยคนไทยในทางอ้อม และใครที่โดนจับก็ต้องถูกตรวจสอบทางภาษี แต่คนที่อยู่เบื้องหลัง นั่งเป็นเจ้าพ่อเงินกู้อยู่ในประเทศประเทศไทยทุกวันนี้ต้องเดินเข้าสู่ระบบ ถ้าไม่อย่างนั้นจะเจอการตรวจสอบที่เข้มข้น และจะมาว่ากลับไม่ได้ว่าไม่ได้ให้ความเป็นธรรม

 

รัฐบาลไม่ยอมให้โครงการต่างๆที่ทำแล้วหายไปใต้ดินทั้งหมด เพราะคนไทยทำมาหากินได้แล้วต้องไปจ่ายหนี้และจ่ายได้แค่ดอกเบี้ย หลังจากนั้นก็ไปกู้อีกรายหนึ่งเพื่อมาใช้อีกรายหนึ่ง กลายเป็นว่าชีวิตหยุดกู้ไม่ได้ และปัญหาชีวิตก็ไม่ได้รับการแก้ไข วันนี้เป็นการแก้ไข ตนเข้ามาร่วมทำงานจนรู้ปัญหาดี ในฐานะนักการเมืองก็อยากจะแก้ปัญหาครั้งนี้อย่างยั่งยืนคือต้องจบ

 

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมาตรการภาษี เข้ามาดำเนินการอย่างเด็ดขาดหรือไม่ นายชาดากล่าวว่า ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงสิ้นเดือนนี้ เป็นโอกาสของเจ้าหนี้ที่จะทำมาหากินแบบถูกกฎหมาย ส่วนระบบผิดกฎหมายต้องหมดไปตามวัฏจักรของบ้านเมือง เพื่อให้การดำเนินการแก้ไขหนี้นอกระบบได้อย่างยั่งยืน

 

ช่วงเวลาที่เหลือขอแนะนำให้เจ้าหนี้ รีบมาขึ้นทะเบียนที่จังหวัดที่อาศัยอยู่ที่ศูนย์ดำรงธรรมสถานีตำรวจ สถานที่ปกครองเพื่อเข้าระบบ ลูกหนี้อาจจะกลัวเจ้าหนี้จะต้องมาลงทะเบียน และอย่าคิดว่าความผิดจะมาไม่ถึงเพราะสรรพากรจะเข้าไปตรวจสอบรายได้ของเจ้าหนี้และครอบครัวของท่าน และขอให้เตรียมคำตอบไว้ให้ดี

 

ส่วนข้าราชการที่เป็นหนี้นอกระบบจะต้องกล้าหาญที่จะออกมา ให้ไปบอกหัวหน้าหน่วยงานหรือผู้ว่าฯโดยรายงานว่าใครเป็นลูกหนี้หรือเจ้าหนี้ แต่ถ้าใครไม่แจ้งแล้วเจ้าหนี้ให้รายชื่อมาบอก จะถือว่าเป็นความผิดหรือไม่ วันนี้ต้องกล้าเพื่อให้ประชาชนเดินตาม

 

เมื่อถามว่ากรณีที่ เจ้าหนี้เป็นข้าราชการจะมีผลต่อหน้าที่การงานหรือไม่ นายชาดา กล่าวว่า เราจะไม่พูดเรื่องภายหลัง แต่เจ้าหนี้ที่เป็นข้าราชการ ต้องมาเร่งลงทะเบียน หากไม่มาลงทะเบียนอาจจะโดนสองเด้งทั้งทางอาญาและทางวินัย ทั้งนี้เราจะแก้ปัญหาให้ ไม่ใช่ใช้เฉพาะนิติศาสตร์แต่จะแก้ในทางรัฐศาสตร์ เพื่อให้ประชาชนมีแหล่งเงินกู้โดยไม่ผิดกฎหมาย ขอย้ำว่าหากไม่ทำจะถูกดำเนินมาตรการทางภาษี ทางกฎหมายและจะไม่มีใครช่วยท่านได้

 

นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า  นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญทั้งหนี้นอกระบบและหนี้ในระบบ ทั้งสองมีความเกี่ยวพันกัน เช่น การแก้ไขหนี้ในระบบพบว่าข้าราชการจำนวนไม่น้อยมีหนี้นอกระบบด้วย ก็อยากจะเรียกร้องให้ข้าราชการเหล่านั้นเข้ามาลงทะเบียนในระบบด้วย

 

ในส่วนการทำงานของคณะกรรมการ แม้มีการดำเนินการลงทะเบียนไปแล้วแต่ยังไม่เป็นไปตามเป้า และมั่นใจว่ายังมีประชาชนที่อยู่ในภาวะที่เป็นหนี้นอกระบบเหลืออยู่ ซึ่งการแถลงข่าววันนี้ไม่ใช่เป็นการขยายเวลา เพราะการลงทะเบียนยังเป็นไปตามกำหนดระยะเวลาเดิม คือให้เจ้าหนี้และลูกหนี้มาลงทะเบียนให้เรียบร้อยในวันที่ 31 พฤษภาคมนี้  หากไม่มาเราจะมีการดำเนินการในแผนการปฏิบัติงานอย่างจริงจังเข้มข้น

 

นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า เจ้าหนี้ก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีคุณูปการคืออำนวยความสะดวกให้ลูกหนี้ที่ไม่สามารถเข้าระบบได้ แต่สิ่งที่ไม่สามารถยอมให้เกิดขึ้นได้คือดอกเบี้ยที่สูงเกินกว่ากฎหมายกำหนด ดังนั้นทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ อยากให้มาลงทะเบียนเข้าระบบการไกล่เกลี่ย เจ้าหนี้ก็จะได้เงินคืนลูกหนี้ก็จะได้มีช่องทางในการชำระคืนตามกรอบที่กฎหมายกำหนด ส่วนข้ออ้างของเจ้าหนี้ที่อ้างว่าไม่สามารถมาอยู่ในระบบได้จึงไม่มีจริง เพราะสามารถเข้ามาสู่ระบบได้ และอยากให้ตระหนักว่ากำลังทำผิดกฎหมายอยู่ในลักษณะเอาเปรียบลูกหนี้ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลยอมไม่ได้

 

สำหรับลูกหนี้ส่วนหนึ่งไม่กล้ามาลงทะเบียนเพราะกลัวว่าจะถูกคุกคาม ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะให้ความคุ้มครองอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันก็มีการคุ้มครองเจ้าหนี้ด้วย คือต้องได้รับเงินต้นให้ครบจำนวน  แต่หากไม่มาลงทะเบียนก็จะถือว่าเจ้าหนี้ไม่ต้องการที่จะได้รับเงินคืนรัฐก็จะไม่สามารถคุ้มครองได้  และในการดำเนินการทุกฝ่ายพร้อมที่จะให้ความคุ้มครอง ทั้งเรื่องความปลอดภัยและสิทธิทางกฎหมาย

 

ขณะที่พล.ต.ท.ทัตชัย กล่าวว่า สำหรับมาตรการคุ้มครองลูกหนี้นอกระบบขอยืนยันว่าเรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเป็นเรื่องที่สำคัญโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดไว้เป็นความสำคัญในลำดับต้น โดยมีศูนย์การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบขึ้นมาดูโดยเฉพาะ ที่ผ่านมาระดมกวาดล้างมาต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 จับกุมในคดีผู้ที่คิดอัตราดอกเบี้ยเกินกำหนดและยึดทรัพย์

 

จึงขอให้ประชาชนเข้าใจกลับเข้ามาสู่ในระบบที่ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นจะต้องถูกดำเนินคดีทางกฎหมายทั้งอาญาและยึดทรัพย์ สำหรับการคุ้มครองความปลอดภัย ขอให้ไว้ใจว่าเมื่อเข้าสู่กระบวนการแล้วจะได้รับการดูแลความปลอดภัยเป็นอย่างดี ขณะที่การทำงานระหว่างตำรวจและอัยการในเรื่องของการยึดทรัพย์เป็นไปด้วยดี มีการส่งฟ้องและดำเนินการเกือบ 100%

 

นายณรงค์ กล่าวว่า ทางอัยการได้ชี้แจงรายละเอียดให้กับทางเจ้าหนี้และลูกหนี้หากมีการ ถูกดำเนินคดีทั้งแพ่งและอาญา  แต่หากเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย จะได้รับการคุ้มครองทั้งทางกฎหมายและความปลอดภัยทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ แต่กรณีที่ยังไม่เข้าสู่กระบวนการ เมื่อลูกหนี้จ่ายต้นครบแล้ว ฝ่ายปกครอง ตำรวจ อัยการก็จะให้หยุดจ่าย  และหากเจ้าหนี้มีการข่มขู่ก็จะมีความผิดเป็นคดีอาญา   เช่น เจ้าหนี้ ที่มีการรวมกลุ่มเกิดห้าคนขึ้นไปและมีการข่มขู่คุกคามลูกหนี้ ก็อาจจะถูกดำเนินคดีข้อหาอั้งยี่ ซ่องโจรได้  ขณะเดียวกันก็จะมีมาตรการทางภาษีด้วย

 

และหากลูกหนี้เจ้าหนี้ ท่านใดที่เป็นข้าราชการ ผู้ใช้แรงงาน ที่ไม่สามารถหยุดงานได้  ทางอัยการสูงสุดได้เปิดบริการในวันเสาร์ตั้งแต่ 08:00 – 16:00 น. เพื่อบริการลูกจ้างหรือข้าราชการที่ไม่สามารถหยุดงานได้ ให้สามารถใช้บริการที่อัยการสูงสุดได้ทุกที่ทั่วประเทศ

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ชาวตำบลนางแลกว่า 70 ครัวเรือน ยื่นขอพิสูจน์ครอบครองที่ดินเชียงราย

 

เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2567 ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย นายสุชาติ สมประสงค์ กำนันตำบลนางแล พร้อมด้วย นางเตียนทอง เรือนคำ ผู้ใหญ่บ้านบ้านนางแลใน หมู่ที่ 7 และนายไพโรจน์ ทวีสุข ผู้ใหญ่บ้านบ้านใหม่นางแล หมู่ที่ 17 พร้อมด้วยประชาชนทั้ง 2 หมู่บ้าน รวมตัวกันเข้ายื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเพื่อยื่นขอพิสูจน์สิทธิ์การครอบครองที่ดินของบุคคล กว่า 70 ครัวเรือน ที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนไม่มีกรรมสิทธิ์ที่ดินในที่อยู่อาศัย และที่ดินทำกินมายาวนาน ทั้งนี้ชาวบ้านขอยืนยันว่าพวกตนได้อาศัยอยู่ในพื้นที่มาหลายชั่วอายุคน มีเอกสารสิทธิ์ในการครอบครองการอยู่อาศัยและประกอบอาชีพมาก่อน ขณะที่บางรายก็ไม่มีเอกสารสิทธิ์ในพื้นที่ ต่างได้รับความเดือดร้อนต้องประกอบอาชีพโดยไม่ได้มีกระบวนการพิสูจน์สิทธิ์ให้ชาวบ้านได้เอกสารสิทธิ์แต่อย่างใดเพื่อยืนยันการถือครองที่ดินในปัจจุบัน เสนอต่อนายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย โดยมี นายลิขิต มีเสรี ผู้อำนวยการกลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นผู้รับเรื่องเพื่อพิจารณานำเสนอรายงานต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ตามลำดับขั้นตอน

 

จากกรณีดังกล่าว ประชาชนในพื้นที่ต้องการดำเนินการพิสูจน์สิทธิในที่ดินทำกินที่ประชาชนครอบครองอยู่ตามเอกสารที่กฎหมายกำหนด ให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการมีประชาชนมีส่วนร่วมขึ้นมาเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการพิสูจน์สิทธิในที่ดินทำกินของประชาชน โดยมีรายชื่อประชาชนบ้านนางแลใน หมู่ที่ 7 และบ้านใหม่นางแล หมู่ที่ 17 ที่ขอพิสูจน์สิทธิ์ครอบครองที่ดินในเขตที่ดินของรัฐ (สปก.) ตามที่คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติมีคำสั่งที่ 1/2564 ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2564 แต่งตั้งณะอนุกรรมการพิสูจน์สิทธิในที่ดินของรัฐจังหวัด (คพร.จังหวัด) ให้มีอำนาจและหน้าที่ในการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินทุกประเภท ซึ่งประสบปัญหาความเดือดร้อนไม่มีกรรมสิทธิ์ที่ดินในที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินมายาวนาน และถูกประกาศให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน (สปก.) ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบลนางแล ตำบลแม่ข้าวต้ม ตำบลริมกก และตำบลบ้านดู่ นับตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2537 เป็นต้นมา 
 
 
แม้ที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินจะถูกประกาศให้อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินแต่ประชาชนทั้งหมดไม่ประสงค์ขอรับการจัดที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่อยู่อาศัย หรือกิจการอื่นที่เป็นการสนับสนุนหรือเกี่ยวเนื่องกับการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ในรูปแบบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) เนื่องจากเชื่อมั่นว่า ได้มาทำประโยชน์ในที่ดินก่อนการเป็นที่ดินของรัฐครั้งแรกผ่านมามากกว่า 10 ปี จึงได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่างๆ เพื่อเรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องได้มาดำเนินการออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน แต่ปรากฎว่าไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินและเมื่อคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติมีคำสั่งที่ 1/2564 ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2564 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิสูจน์สิทธิในที่ดินของรัฐจังหวัด (คพร.จังหวัด) ให้มีอำนาจและหน้าที่ในการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินทุกประเภท และได้กำหนดมาตรการเรื่องการพิสูจน์สิทธิ์การครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐไว้อย่างชัดเจน 
 
 
จึงได้ศึกษารายละเอียดและได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับที่ดิน เพื่อแสดงให้เห็นว่าได้ครอบครองทำประโยชน์อย่างต่อเนื่องมาก่อนการเป็นที่ดินของรัฐครั้งแรกหมู่บ้านนางแลใน หมู่ที่ 7 ก่อตั้งหมู่บ้านมาก่อน พ.ศ. 2460 โดยปรากฎวัตถุพยานเป็นที่ประจักษ์คือการก่อตั้งวัดนางแลใน มีรายชื่อเจ้าอาวาสและผู้ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านนับตั้งแต่ พ.ศ. 2460 เป็นต้นมา ที่สามารถพิสูจน์ได้จากฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของราชการได้การครอบครองที่ดินปรากฎชัดเจนในภาพถ่ายทางอากาศของกรมแผนที่ทหาร และต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2513 ให้รักษาป่าดอยนางแล ป่าดอยยาว และป่าดอยพระบาท ไว้เป็นพื้นที่ป่าไม้ถาวร และได้ประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2521 
 
 
 
และประกาศเป็นเขตปฏิรูปที่ดินตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบลนางแล ตำบลแม่ข้าวต้ม ตำบลริมกก และตำบลบ้านดู่ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2537มีข้อโต้แย้งสิทธิครอบครองที่ดินประกอบด้วย พยานบุคคล พยานวัตถุ และภาพาถ่ายทางอากาศของกรมแผนที่ทหาร ที่ถ่ายภาพพื้นที่นั้นไว้เป็นครั้งแรกจากเป็นที่ดินของรัฐ ซึ่งเป็นภาพถ่ายที่ได้รับการรับรองจากกรมแผนที่ทหาร โดยเป็นภาพถ่ายซึ่งถ่ายขึ้น ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2497 วันที่ 30 มกราคม 2513 และวันที่ 15 มกราคม 2519 ตลอนจนพยานหลักฐานอื่น ๆ ที่พร้อมสำหรับการพิสูจนฒสิทธิ์ฯ ดังนั้นจึงเรียนมายังประธานอนุกรรมการพิสูจน์สิทธิในที่ดินของรัฐจังหวัด (คพร.จังหวัด) จังหวัดเชียงราย เพื่อขอใช้สิทธิ์ตามมติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติในการประชุมครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2564 ขอพิสูจน์การครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินว่าได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวก่อนการเป็นที่ดินของรัฐครั้งแรก
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผลประเมิน สถานีขนส่งนครเชียงรายติดอันดับ 10 ของไทยอยู่ระดับดีมาก

 

เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายศิริพันธ์ ศรีกงพลี รองอธิบดี ปฏิบัติราชการแทน อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เซ็นหนังสือแจ้งผลการประเมินการดำเนินกิจการสถานีขนส่งผู้โดยสาร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ถึงผู้ว่าราชการ 60 จังหวัด

โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้ประกาศผลการตรวจติดตามและประเมินผลการดำเนินกิจการของสถานีขนส่งผู้โดยสารในปีงบประมาณ 2566 โดยได้ดำเนินการประเมินกับสถานีขนส่งทั่วประเทศ 81 แห่ง ซึ่งได้ผ่านเกณฑ์การประเมินเป็นที่เรียบร้อย ในขณะที่มีสถานี 14 แห่งที่ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน ผลการประเมินนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาและดูแลการดำเนินกิจการสถานีขนส่งให้มีประสิทธิภาพต่อผู้ใช้บริการ โดยจังหวัดถูกแจ้งให้แจ้งให้หน่วยงานที่ได้รับการถ่ายโอนภารกิจสถานีขนส่งผู้โดยสารจากกรมการขนส่งทางบกทราบเพื่อนำผลการประเมินมาใช้ในการบริหารจัดการสถานีขนส่ง

ตามที่กรมการขนส่งทางบกได้ถ่ายโอนภารกิจด้านการบริหารจัดการสถานีขนส่งผู้โดยสารให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 31 มกราคม 2551 และกรมการขนส่งทางบกได้จัดทำโครงการตรวจติดตามและประเมินผลการดำเนินกิจการสถานีขนส่งผู้โดยสารเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นเครื่องมือในการกำกับ ดูแล การดำเนินกิจการสถานีขนส่งผู้โดยสารให้มีประสิทธิภาพและได้รับความพึงพอใจต่อผู้ใช้บริการ

สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 กรมการขนส่งทางบกได้ดำเนินการประเมินผลการดำเนินกิจการสถานีขนส่งผู้โดยสารทางเว็บไซต์ https://terminalaudit.dlt.go.th 2 รอบ คือ รอบที่ 1 ระหว่างเดือนตุลาคม 2565 ถึงเดือนมีนาคม 2566 และรอบที่ 2 ระหว่างเดือนเมษายน ถึงเดือนกันยายน 2566 โดยมีเกณฑ์คะแนนและผลการประเมินดังนี้

เกณฑ์คะแนนการประเมินผลการดำเนินกิจการสถานีขนส่งผู้โดยสารประกอบด้วย

1.1 คะแนนการดำเนินการตามภารกิจ จำนวน 15 ภารกิจ ร้อยละ 75

1.2 คะแนนการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้บริการสถานีขนส่งผู้โดยสาร ร้อยละ 25 ซึ่งคะแนนรวมกันแล้วต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 75

สถานีขนส่งผู้โดยสารที่บริหารจัดการโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 99 แห่ง มีสถานีขนส่งผู้โดยสารที่ไม่สามารถดำเนินการประเมินได้ จำนวน 2 แห่ง เนื่องจากไม่มีการใช้งานสถานีขนส่งผู้โดยสาร

สถานีขนส่งผู้โดยสารที่มีผลการประเมินสูงสุด 10 อันดับ จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ได้แก่

  1. สถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอสิรินธร (ช่องเม็ก) จังหวัดอุบลราชธานี 97.35 คะแนน
  2. สถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น 97.34 คะแนน
  3. สถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น 96.89 คะแนน
  4. สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดแพร่ 96.67 คะแนน
  5. สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดยโสธร 96.61 คะแนน
  6. สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดจันทบุรี 96.20 คะแนน
  7. สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดยะลา 94.92 คะแนน
  8. สถานีขนส่งผู้โดยสารพันดอน อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี 94.89 คะแนน
  9. สถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ 94.55 คะแนน
  10. สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงราย แห่งที่ 1 94.50 คะแนน

จากผลการประเมินการดำเนินกิจการสถานีขนส่งผู้โดยสารพบว่า ภารกิจที่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญต่อคะแนนการประเมินในภาพรวม ได้แก่

  1. การจัดพื้นที่จำหน่ายตั๋วโดยสาร
  2. การจัดให้มีบริการห้องสุขา
  3. การประชาสัมพันธ์และบริการข้อมูลการเดินทาง
  4. การรักษาความปลอดภัย
  5. การจัดหา ดูแล ซ่อมแซม บำรุงรักษาอาคารสถานที่ และวัสดุอุปกรณ์

สถานีขนส่งผู้โดยสารที่ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินส่วนใหญ่พบว่า มีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรให้ความสำคัญในการบริหารงานสถานีขนส่งผู้โดยสารตามภารกิจที่รับโอนในลำดับท้าย ๆ กรมการขนส่งทางบกพิจารณาแล้วมีความเห็นว่า เพื่อให้การดำเนินกิจการสถนีขนส่งผู้โดยสารมีประสิทธิภาพสามารถตอบสนองความต้องการการให้บริการของประชาชนได้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรพิจารณาจัดให้มีหน่วยงานที่รับผิดชอบในการดำเนินกิจการสถานีขนส่งผู้โดยสารโดยตรง และสนับสนุนงบประมาณในการบริหารจัดการให้มีความเหมาะสมและเพียงพอ เนื่องจากสถานีขนส่งผู้โดยสารเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาระบบการขนส่งสาธารณะ และเป็นสถานที่อำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยรถโดยสารประจำทางด้วยความปลอดภัย สามารถสร้างรายได้ให้กับท้องถิ่นได้อีกทางหนึ่ง

โดยถ้าเฉพาะจังหวัดเชียงราย สถานีขนส่งผู้โดยสารที่มีผลการประเมินระดับดีมากของประเทศไทย จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ได้แก่

  1. สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงราย แห่งที่ 1 (เทศบาลนครเชียงราย) 94.50 คะแนน อันดับที่ 10 ของไทย
  2. สถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย (เทศบาลตำบลเวียงพางคำ) 90.68 คะแนน อันดับที่ 19 ของไทย
  3. สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงราย แห่งที่ 2 (อบจ.เชียงราย) 87.49 คะแนน อันดับที่ 30 ของไทย

ระดับพอใช้

  1. สถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย (เทศบาลตำบลเวียงเทิง) 79.88 คะแนน อันดับที่ 60 ของไทย

ส่วนสถานีขนส่งผู้โดยสารที่ต้องทำการปรับปรุงเฉพาะภาคเหนือ

  • สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดแม่ฮ่องสอน (เทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน) 74.95 คะแนน
  • สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงใหม่ แห่งที่ 1 (เทศบาลนครเชียงใหม่) 73.28 คะแนน
  • สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงใหม่ แห่งที่ 3 (เทศบาลนครเชียงใหม่) 49.86 คะแนน (ต้องปรับปรุง)
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

“เชียงรายฟ้าใส (ไร้ควัน) สั่งบุกจับกุม ร้านลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า

 
เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 67 นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เปิดเผยถึงการดำเนินการ ของชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงรายหลังจากได้รับการร้องเรียนจากผู้ปกครอง บุคลากรทางการศึกษา และประชาชนว่ามีร้านลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ให้กับเด็ก เยาวชน และประชาชนในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย ตนจึงได้มอบหมายให้ นายบัลลังก์ ไวทย์ศิริ ปลัดจังหวัดเชียงราย และ นายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย สั่งการ นายกองรบ กระทุ่มนัด ป้องกันจังหวัดเชียงราย บูรณาการกำลังกับสมาชิกกองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัดเชียงรายที่ 1 และเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ร่วมปฏิบัติการ “เชียงรายฟ้าใส (ไร้ควัน)” โดยได้ลงพื้นที่เข้าจับกุมร้านลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่จำนวน 2 ร้าน พร้อมยึดของกลางเป็นเครื่องบุหรี่ไฟฟ้าและอุปกรณ์บุหรี่ไฟฟ้ารวมกันราว 1,000 ชิ้น ทั้งนี้ ทางชุดปฏิบัติการพิเศษฯ ได้ทำบันทึกการจับกุมพร้อมแจ้งข้อกล่าวหา และนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
 
 

การปฏิบัติการครั้งนี้สืบเนื่องมากจากได้รับร้องเรียนมาจากผู้ปกครอง บุคลาการทางการศึกษาและประชาชนเป็นจำนวนมาก ว่ามีการลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าให้กับเด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไปในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งตนได้สั่งเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวทันที และพบว่ามีร้านที่ลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าจริงจำนวน 2 ร้าน ซึ่งได้มีการติดฟิล์มสีขาวขุ่นอำพรางไม่ให้มีการมองจากข้างนอกเข้าไปเห็นในบริเวณด้านใน และ 1 ใน 2 ร้าน มีการวางน้ำหอม ตั้งโชว์บริเวณหน้าตู้กระจก แต่จะเก็บบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในลิ้นชักเพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ และมีกล้องวงจรปิดรอบทิศทางเพื่อดูสถานการณ์จากภายนอก แต่ผู้ซื้อจะรู้กันภายในกลุ่มไลน์ เฟสบุ๊ค หรือสื่อสังคมต่างๆ 

 

ทั้งยังพบในร้านมีการแจกคูปองเพื่อไว้ให้ลูกค้าลุ้นรางวัลด้วย โดยทั้ง 2 ร้าน ดังกล่าวประกอบด้วย ร้าน VMC HUB Chiangrai ตั้งอยู่ที่ 34/5 หมู่ 11 ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย พบผู้ต้องหา 2 คนแสดงตัวเป็นผู้ดูแล และ ร้านบ้านควันหอม ตั้งอยู่ที่ 66/23 หมู่ 11 ตำบลสันทราย อำเภอเมืองเชียงราย พบผู้ต้องหา 1 คนแสดงตัวเป็นผู้ดูแล พร้อมกับยึดของกลางได้เป็นจำนวนมากคือ 1.เครื่องบุหรี่ไฟฟ้าชนิดเปลี่ยนหัวน้ำยา จำนวน 15 เครื่อง 2.หัวพอตน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 522 ชิ้น 3.บุหรี่ไฟฟ้าใช้แล้วทิ้ง จำนวน 382 ชิ้น 4.น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 25 ชิ้น และ 5.คอยล์บุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 71 ชิ้น ซึ่งมีมูลค่ารวมหลายแสนบาท” นายพุฒิพงศ์ฯ กล่าว

 

นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากที่ได้เข้าตรวจสอบและยึดของกลางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษได้ทำการตรวจสอบรับจ่ายเงินหรือเงินหมุนเวียนภายในร้านเพิ่มเติม และพบว่า แต่ละร้านมีรายได้ต่อวัน ตั้งแต่วันละ 10,000 – 40,000 บาทต่อวัน หรือตกเดือนละประมาณ 300,000 – 500,000 บาท ซึ่งจากการสอบถามผู้ดูแลพบว่า เจ้าของที่แท้จริงจะติดต่อผ่านไลน์และส่งของมาให้ขายจึงไม่ทราบราคาต้นทุนต่อชิ้น และจะขายบุหรี่ไฟฟ้าและอุปกรณ์ตั้งแต่ราคาหลักสิบ ถึง หลักพันบาท อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ได้แจ้งสิทธิให้กับผู้กระทำผิดทั้ง 3 คนทราบแล้ว และได้แจ้งข้อกล่าวหาดังนี้ 

1) ได้มีการซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นของอันเนื่องด้วยความผิดตามมาตรา 242 ตามมาตรา 246 วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ประกอบข้อ 4 แห่งประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือ ทั้งจำทั้งปรับ และ 

2) ขายสินค้าบารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า โดยฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ 9/2558 เรื่อง ห้ามขายหรือห้ามให้บริการสินค้า บารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า ต้องระวางโทษ โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

 

“บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างมาก ซึ่งจังหวัดเชียงรายได้ให้ความสำคัญในการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าบุหรี่ไฟฟ้าส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายผู้สูบเป็นอย่างมาก อาทิ การก่อให้เกิดมะเร็งปอด เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองและโรคปอดอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งแน่นอนว่าปัญหาดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อทั้งตัวผู้สูบ ครอบครัว และชุมชนในระยะยาวอย่างแน่นอน จึงต้องดำเนินการจับกุมอย่างจริงจังและเด็ดขาด ทั้งนี้ ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคนในความร่วมมือร่วมใจ และขอเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนทำงานด้วยความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหายาเสพติดและอาชญากรรม ในฐานะผู้ทำหน้าที่ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” และรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย เป็นหน้าที่ที่ต้องดูแลพี่น้องประชาชน เพื่อให้ทุกคนในสังคมได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อย่างไรก็ตามขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนทุกท่านช่วยเป็นหูเป็นตา ระแวดระวังบ้านเมืองของเรา หากพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิดทุกรูปแบบ สามารถแจ้งข้อมูล และร้องเรียนร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ สายด่วน 1567 โทรฟรีตลอด 24 ชั่วโมง” นายพุฒิพงศ์ฯ กล่าวทิ้งท้าย

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS TOP STORIES

‘เศรษฐา’ สั่ง รมว.ท่องเที่ยวฯ โปรโมท สงกรานต์ 21 วัน สาดน้ำได้วันไหน

 

เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2567 เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงการจัดงาน “Maha Songkran World Water Festival 2024 เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ 2567” ซึ่งจะมีการจัดสงกรานต์ยาว 21 วัน แต่ดูเหมือนการโปรโมทยังเงียบ ทำให้นักท่องเที่ยวชาวจีนที่ตั้งใจจะมาเล่นสงกรานต์ แต่กลับไม่เจอสงกรานต์ ว่า การเล่นสงกรานต์ที่ประกาศ 21 วัน ซึ่งชาวจีนอยากมาและคิดว่าจะมีการสาดน้ำ แต่ความจริงยังไม่เริ่มสาดน้ำ ก็เป็นเรื่องของความคลาดเคลื่อน จึงขอให้รอก่อน

เมื่อถามว่า การสาดน้ำจะมีเฉพาะช่วงวันที่ 13-15 เม.ย.หรือไม่ เศรษฐา กล่าวว่า ตนไม่ทราบเพราะแล้วแต่พื้นที่ ซึ่งแต่ละจังหวัดก็มีประเพณีแตกต่างกันไป บางพื้นที่มีการจัดหลังวันที่ 13-16 เม.ย.ก็มี เช่นที่พระประแดง และพัทยา

เมื่อถามว่า ต้องประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับนักท่องเที่ยวและประชาชนหรือไม่ เพราะบางคนเข้าใจว่า 21 วัน เป็นการเล่นต่อเนื่อง เศรษฐา กล่าวว่า ใช้คำว่าเป็นการเฉลิมฉลองต่อเนื่องดีกว่า และเดี๋ยวตนจะบอกให้ สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ไปดูตรงนี้ให้

 
สืบเนื่องจากกรณีที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนทำคอนเทนต์ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย แต่งชุดเล่นน้ำสงกรานต์แบบจัดเต็ม เตรียมตัวมาเล่นน้ำในย่านอโศกซึ่งคลิปดังกล่าวกลายเป็นไวรัลทั้งในประเทศไทยและจีน โดยชาวไทยบางส่วนได้เข้าไปชี้แจงว่าที่ทางรัฐบาลและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประกาศจัดใหญ่ 21 วันนั้น คือ งานประเพณีวัฒนธรรมในจังหวัดเชียงใหม่ ได้เริ่มจัดงานตั้งแต่ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ส่วนการสาดน้ำนั้น ในแต่ละพื้นที่มีกำหนดการไม่เหมือนกัน แต่ในกรุงเทพมหานครนั้น จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 – 15 เม.ย. 2567
 
 
ทั้งนี้ น.ส. สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวเมื่อวันที่ 5 เม.ย. 2567 ว่าการที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้ข่าวไปว่ามีการจัดงานกิจกรรมตลอดทั้งเดือนนั้น อาจจะทำให้เกิดการเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่ามีการสาดน้ำกันทั้งเดือน
จนเมื่อตนเองทราบข่าวนักท่องเที่ยวจีนคนนี้ ก็ตกใจเช่นกัน และกล่าวว่าจะเร่งแก้ไขประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจให้ถูกต้องกว่าเดิมกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ตั้งใจจะมาเล่นสาดน้ำให้มากขึ้น
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สนามบินแม่ฟ้าหลวง แถลงแล้ว! สาวแอบสูบบุหรี่อยู่ระหว่างตามมาดำเนินคดี

 

เมื่อวันที่ 8 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานกรณีที่ “Red Skull” ผู้ใช้แอป X ได้เผยแพร่โพสต์ของผู้ใช้บริการเครื่องบินเดินทางจาก จ.เชียงราย ทางท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ขอชี้แจงกรณี ภาพผู้โดยสารสูบบุหรี่ไฟฟ้าบนเครื่องบิน นาวาอากาศตรีสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย ชี้แจงถึงข้อคำถามที่ว่า “ทางสนามบินปล่อยให้หลุดขึ้นเครื่องได้อย่างไร” นั้น 

 

 

ท่าอากาศยานมีหน้าที่ตรวจค้นด้านความปลอดภัย คือการตรวจค้นวัตถุต้องห้ามที่จะนำไปสู่การก่อเหตุร้ายแรงบนเครื่องบิน เช่น วัตถุระเบิด อาวุธปืน มีด หรือวัตถุต่างๆ ที่ผู้ประสงค์ร้ายจะนำขึ้นไปก่อเหตุบนเครื่อง ท่าอากาศยานจะดำเนินการตรวจค้นทั้งการตรวจค้นตัวและตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์

 

สำหรับกรณีบุหรี่ไฟฟ้า นั้น ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ซึ่งในกระบวนการตรวจค้นของทางท่าอากาศยาน จะมีโอกาสที่บุหรี่ไฟฟ้าหลุดรอดขึ้นไปบนอากาศยานได้ เพราะตัวเครื่องทำจากพลาสติก ไม่สามารถตรวจค้นด้วยเครื่องเอกซเรย์ได้ บางครั้งผู้โดยสารอาจจะเก็บไว้ติดตัว แต่หากเจ้าหน้าที่ตรวจพบจะทำการตรวจยึดและดำเนินการตามกฎหมาย เพราะบุหรี่ไฟฟ้ามีความผิดตั้งแต่การนำเข้ามาในประเทศแล้ว อีกทั้ง การสูบบุหรี่บนเครื่องบินมีความผิด 2 กฎหมายหลัก ได้แก่

  1. กระทรวงสาธารณสุข มีความผิดตาม พรบ. การสูบบุหรี่ ซึ่งการเดินทางสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็น รถโดยสาร อาคารผู้โดยสาร หรือแม้แต่บนเครื่องบิน จะห้ามสูบบุหรี่
  2. พรบ. ความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ ข้อห้ามการสูบบุหรี่บนเครื่องบิน เพราะอาจก่อความรำคาญแก่ผู้อยู่บนเที่ยวบิน ผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อีกทั้ง สายการบินไม่อนุญาตให้ผู้โดยสารสูบบุหรี่ทุกประเภทรวมทั้งบุหรี่ไฟฟ้าในทุกเที่ยวบินและไม่อนุญาตให้นำบุหรี่ไฟฟ้า(e-cigarettes) ไว้ในสัมภาระใต้ท้องเครื่อง แต่สามารถพกพาไปกับสัมภาระขึ้นห้องโดยสารได้ ฉะนั้น การสูบบุหรี่บนอากาศยานเป็นกฎด้านการบิน ผู้ใดกระทำจะมีโทษปรับตามกฎหมาย ซึ่งผู้ดำเนินการสนามบิน มีหน้าที่ที่รับผิดชอบไม่ให้วัตถุต้องห้าม และวัตถุอันตรายขึ้นไปบนอากาศยาน

 

ดังนั้น จึงขอฝากไปยังผู้ที่พบเห็นเหตุการณ์ลักษณะนี้ ผู้โดยสารควรจะรีบแจ้งลูกเรือ เพื่อที่ลูกเรือจะได้แจ้งนักบินผู้บังคับอากาศยาน เพื่อประสานสนามบินหรือท่าอากาศยานปลายทาง และแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาจับกุมผู้กระทำความผิด เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

 

หมายเหตุ : บุหรี่ไฟฟ้า ไม่ได้จัดอยู่ในประเภทวัตถุต้องห้าม และวัตถุอันตราย ผู้โดยสารจึงสามารถพกพาบุหรี่ไฟฟ้า ขึ้นไปกับอากาศยานได้ แต่ถ้าสูบบนอากาศยานมีโทษตาม พ.ร.บ.ความผิดบางประการต่ออากาศยาน พ.ศ.2558 ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงรายจึงขอชี้แจงให้ทราบมา ณ โอกาสนี้

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Mae Fah Luang Chiang Rai International Airport – CEI

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News