Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ช่วยเหลือครอบครัวผู้สูญเสียเหตุเครื่องบินไถลรันเวย์ที่เกาหลี

ผู้ว่าฯ เชียงรายเยี่ยมครอบครัวน้องเหมย เหยื่อเหตุเครื่องบินไถลรันเวย์ในเกาหลีใต้

เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และคณะทำงานจากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย (พมจ.) และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (สสจ.) ได้เดินทางไปยังบ้านห้วยน้ำขุ่น หมู่ที่ 16 ตำบลท่าก๊อ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย เพื่อเยี่ยมเยือนและให้กำลังใจครอบครัวของนางสาวสิริธร จะอื่อ หรือ “น้องเหมย” อายุ 22 ปี หนึ่งในผู้เสียชีวิตจากเหตุเครื่องบินไถลออกนอกรันเวย์ที่ประเทศเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2567

เยี่ยมครอบครัวด้วยความห่วงใย

เมื่อเดินทางถึงบ้านของน้องเหมย นายชรินทร์ และคณะได้รับการต้อนรับจากนายดีมา ดำรงชัยวิชิต ผู้ใหญ่บ้านห้วยน้ำขุ่น พร้อมผู้นำชุมชนและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ขณะเดียวกันตาและยายของน้องเหมย ได้แก่ นายจะหวัด จะอื่อ อายุ 75 ปี และนางนาโม จะอื่อ อายุ 70 ปี ยังคงอยู่ในอาการเศร้าโศกอย่างหนัก

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้แสดงความเสียใจต่อครอบครัว พร้อมสอบถามความคืบหน้าในการค้นหาและพิสูจน์อัตลักษณ์ศพของน้องเหมยผ่านวิดีโอคอลกับญาติที่อยู่ในเกาหลีใต้ โดยแจ้งว่าศพของน้องเหมยถูกพบแล้ว แต่ยังอยู่ระหว่างกระบวนการพิสูจน์ตัวตนร่วมกับศพอื่น ๆ อีก 5 ราย

แผนการจัดพิธีศพ

จากการพูดคุยกับครอบครัว ทราบว่ามารดาของน้องเหมยต้องการจัดพิธีศพที่ประเทศเกาหลีใต้ เนื่องจากอาศัยอยู่ที่นั่น อย่างไรก็ตาม หลังพิธีที่เกาหลีใต้ ครอบครัวมีแผนจะกลับมาทำบุญให้น้องเหมยที่บ้านห้วยน้ำขุ่นอีกครั้ง เพื่อให้ญาติและชุมชนได้ร่วมไว้อาลัย

การช่วยเหลือครอบครัวเบื้องต้น

นอกจากแสดงความเสียใจ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและคณะยังมอบถุงยังชีพและเงินช่วยเหลือเบื้องต้นจากเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย จำนวน 9,000 บาท รวมถึงเงินช่วยเหลือ 3,000 บาทจาก พมจ.เชียงราย ที่ได้มอบไปก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ ครอบครัวของน้องเหมยยังมีน้องชายสองคน ซึ่งกำลังศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยและมัธยมศึกษา ทางจังหวัดเชียงรายวางแผนประสานงานเพื่อขอทุนการศึกษาสำหรับน้องชายของน้องเหมย เพื่อสนับสนุนโอกาสทางการศึกษา

ความช่วยเหลือเพิ่มเติมในอนาคต

นายชรินทร์กล่าวว่า หากครอบครัวมีปัญหาหรือความต้องการใด ๆ ที่เกินกว่าความสามารถของหน่วยงานในจังหวัด ทางจังหวัดพร้อมประสานไปยังหน่วยงานระดับสูงหรือรัฐบาล เพื่อให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่

จบด้วยความห่วงใย

เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแสดงถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของน้องเหมย แต่ยังสะท้อนถึงความสำคัญของการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนครอบครัวผู้ประสบเหตุ เพื่อให้พวกเขาสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งความสูญเสียและดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมั่นคง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เริ่มการเลือกตั้ง อบจ.เชียงราย 2 ผู้สมัครเด่นชิงชัย

บรรยากาศวันแรก เปิดรับสมัครเลือกตั้งนายกและสมาชิก อบจ. เชียงราย คึกคัก ผู้สมัครเด่นสองรายลุยชิงชัย

เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2567 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประจำจังหวัดเชียงราย ได้เปิดรับสมัครผู้สมัครนายกและสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย เป็นวันแรก ณ อาคารคชสาร สนามกีฬากลางจังหวัดเชียงราย บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคักจากกองเชียร์และผู้สนับสนุนที่เดินทางมาให้กำลังใจผู้สมัครทั้งสองฝ่าย โดยจะเปิดรับสมัครถึงวันที่ 27 ธันวาคม 2567 และกำหนดจัดการเลือกตั้งในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เข้าร่วมสังเกตการณ์ในวันแรก โดยพบว่าผู้สมัครนายก อบจ. ที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษคือ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ อดีตนายก อบจ. เชียงราย ซึ่งลงสมัครในนามอิสระ และ นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย ซึ่งทั้งสองคนเดินทางมาถึงสถานที่สมัครตั้งแต่เช้าพร้อมกองเชียร์จำนวนมาก

การเมืองท้องถิ่น: โอกาสสร้างการเปลี่ยนแปลง

พรรคเพื่อไทยตั้งเป้าใช้การเลือกตั้ง อบจ. เชียงรายเป็นเวทีสำคัญในการแสดงศักยภาพและเชื่อมโยงนโยบายระดับชาติสู่ท้องถิ่น พร้อมผลักดันนโยบาย “พลิกโฉมเชียงราย” เพื่อสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ และเรียกร้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งครั้งนี้

การแข่งขันระหว่างนางสลักจฤฎดิ์และนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ในนามผู้สมัครอิสระ จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญถึงทิศทางการเมืองในเชียงราย และอาจส่งผลต่อการเมืองระดับชาติในอนาคต

ผลการจับสลากลำดับผู้สมัคร

จากการจับสลากเพื่อตัดสินลำดับหมายเลขผู้สมัคร ผลปรากฏว่า นางอทิตาธร ได้หมายเลข 1 และนางสลักจฤฎดิ์ ได้หมายเลข 2 โดยบรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนานจากเสียงเชียร์ของกองเชียร์ทั้งสองฝ่าย

นโยบายเด่นของผู้สมัครนายก อบจ.

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ เน้นการพัฒนาที่ตอบโจทย์ประชาชนในทุกด้าน โดยมีนโยบายสำคัญ เช่น

  • กระจายเครื่องจักรกลการเกษตร: พัฒนาแหล่งน้ำ เส้นทาง และการป้องกันสาธารณภัย
  • ส่งเสริมอาชีพและรายได้: สร้างนักขายออนไลน์ “อยู่ที่ไหนก็ขายได้” จากสวนถึงผู้บริโภค
  • ส่งเสริมการศึกษา: “อยู่ที่ไหนก็เรียนได้” เพิ่มโอกาสการเรียนรู้ทั่วจังหวัด
  • สุขภาพดีใกล้บ้าน: โครงการโฮงยาใกล้บ้าน PLUS พบหมอออนไลน์และระบบการรักษาพยาบาลทางไกล
  • การท่องเที่ยวครบทุกอำเภอ: พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวพร้อมจัดมหกรรมไม้ดอกและกิจกรรมตลอดปี

นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ชูนโยบาย “พลิกโฉมเชียงราย” 5 ข้อสำคัญ ได้แก่

  1. TONY Brand: ผลักดันสินค้าเชียงรายสู่แบรนด์ระดับโลก พร้อมเทศกาลนานาชาติ
  2. ศูนย์โดรนการเกษตร: จัดตั้งศูนย์โดรนในทุกตำบล เพื่อลดต้นทุนและแก้ปัญหาไฟป่า
  3. ศูนย์บาดาลการเกษตร: เพิ่มแหล่งน้ำให้เพียงพอและประหยัดพลังงาน
  4. ถนนเศรษฐกิจวัฒนธรรม: พัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจชุมชนรอบสถานีรถไฟ 18 แห่ง พร้อม EV Cars เชื่อมโยงสถานีสำคัญ
  5. Homestay Agrotourism: พัฒนาทุ่งนาสนามกอล์ฟและสร้างโฮมสเตย์ในทุกตำบล

การเลือกตั้งครั้งนี้ท้าทายฐานเสียงเดิม

การเลือกตั้งครั้งนี้คาดว่าจะเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่างอดีตนายก อบจ. เชียงราย ทั้งสองฝ่าย โดยนางอทิตาธร มีฐานเสียงที่แข็งแกร่งในหลายอำเภอ และได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มเครือข่ายการเมืองท้องถิ่น ขณะที่นางสลักจฤฎดิ์ ได้รับแรงสนับสนุนจากพรรคเพื่อไทย และมีนโยบายที่ชัดเจนในการพัฒนาเชียงรายในทุกมิติ

การปราศรัยใหญ่จากผู้นำพรรคเพื่อไทย

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีกำหนดเดินทางมาปราศรัยสนับสนุนนางสลักจฤฎดิ์ ในวันที่ 5 มกราคม 2568 ที่อำเภอเทิงและอำเภอเชียงของ ซึ่งคาดว่าจะดึงดูดผู้สนับสนุนจำนวนมากเข้าร่วม

สรุปภาพรวมวันแรก

บรรยากาศวันแรกเต็มไปด้วยสีสันและความคึกคักจากผู้สมัครและกองเชียร์ การเลือกตั้ง อบจ. เชียงราย ครั้งนี้นอกจากจะเป็นเวทีสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่นแล้ว ยังสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญในพื้นที่ ซึ่งผลลัพธ์ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 จะเป็นบทพิสูจน์ถึงความนิยมและนโยบายที่ตอบโจทย์ประชาชนอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

พรรคเพื่อไทยเปิดตัวผู้สมัครนายก อบจ. เชียงรายชู 5 นโยบายหลัก

พรรคเพื่อไทยเชียงรายเปิดตัวผู้สมัครนายก อบจ. และสมาชิกสภา อบจ. ทั้ง 36 เขต

เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2567 พรรคเพื่อไทยจังหวัดเชียงรายได้จัดแถลงข่าวเปิดตัวผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) และสมาชิกสภา อบจ. เชียงราย ทั้ง 36 เขต ณ ห้องประชุมใหญ่สโมสรฟุตบอลเชียงราย ยูไนเต็ด ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมืองเชียงราย โดยมีผู้นำพรรค ตัวแทนผู้สมัคร และผู้สนับสนุนเข้าร่วมอย่างคับคั่ง

ในงานแถลงข่าว นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากพรรคเพื่อไทยในฐานะผู้สมัครนายก อบจ. เชียงราย พร้อมเปิดตัวผู้สมัครสมาชิก อบจ. เชียงราย ทั้ง 36 เขต โดยมีการปราศรัยที่เน้นนโยบายการพัฒนาท้องถิ่นที่สอดคล้องกับแผนงานของรัฐบาล ภายใต้สโลแกน “เชียงราย เข้มแข็ง อีกครั้ง”

การปราศรัยจากแกนนำพรรคเพื่อไทย

ในงานนี้ยังมีการปราศรัยในหัวข้อสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเชียงรายจากแกนนำพรรค เช่น:

  • “บทบาทของรัฐบาลสู่การเมืองท้องถิ่น” โดย นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร
  • “การสาธารณสุขท้องถิ่น” โดย น.ส.ละออง ติยะไพรัช ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย
  • “การศึกษายุคใหม่ที่ส่งเสริมศักยภาพของนักเรียนตามความถนัด” โดย ดร.เทอดชาติ ชัยพงษ์ ส.ส. เชียงราย
  • “สวัสดิการของรัฐเชื่อมโยงสู่ท้องถิ่น” โดย น.ส.วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ ส.ส. เชียงราย
  • “การคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์” โดย นายปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช ส.ส. เชียงราย

นโยบายหลัก 5 ข้อ “พลิกโฉมเชียงราย”

นางสลักจฤฎดิ์ได้เปิดตัวนโยบายหลักที่เน้นการพัฒนาเชียงรายให้ตอบโจทย์ทุกมิติของความยั่งยืน โดยมี 5 แนวทางสำคัญ ดังนี้:

  1. TONY Brand
    ผลักดันสินค้าและบริการของเชียงรายสู่ระดับโลก โดยเฉพาะสินค้าเกษตรปลอดภัย และการจัดเทศกาลนานาชาติ
  2. ศูนย์โดรนการเกษตรประจำตำบล
    ตั้งศูนย์โดรนใน 124 ตำบล พร้อมฝึกอบรม “1 ตำบล 1 นักบินโดรน” เพื่อลดต้นทุนการเกษตร เพิ่มผลผลิต และแก้ปัญหาไฟป่า
  3. ศูนย์บาดาลการเกษตรทุกตำบล
    สร้างแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรที่ยั่งยืนในทุกตำบล โดยใช้ระบบน้ำประหยัดพลังงาน
  4. ถนนเศรษฐกิจวัฒนธรรมรอบสถานีรถไฟ
    พัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจรอบสถานีรถไฟ 18 แห่ง พร้อมจัดระบบขนส่ง EV Cars เชื่อมโยงสถานีสำคัญทั่วเชียงราย
  5. ทุ่งนาสนามกอล์ฟ และ Homestay Agrotourism
    สร้างแหล่งท่องเที่ยวเชิงกีฬาและ Homestay เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน

บทบาทของพรรคเพื่อไทยในการฟื้นฟูเชียงราย

ย้อนกลับไปในปี 2566 พรรคเพื่อไทยต้องเผชิญกับความท้าทายในการแข่งขันกับพรรคก้าวไกลในเชียงราย ซึ่งพรรคก้าวไกลสามารถคว้าชัยชนะใน 3 เขตจากทั้งหมด 7 เขต คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคเพื่อไทยยังห่างจากพรรคก้าวไกลไม่ถึงหนึ่งหมื่นคะแนน การเลือกตั้งนายก อบจ. เชียงรายครั้งนี้จึงเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับพรรคเพื่อไทยในการฟื้นฟูกระแสนิยมและสร้างความมั่นคงในพื้นที่

อทิตาธร วันไชยธนวงศ์: ผู้สมัครคู่แข่งในสนาม อบจ.

ด้านนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ อดีตนายก อบจ. เชียงราย ได้เตรียมแถลงข่าวในวันที่ 23 ธันวาคม 2567 ถึงเจตนารมณ์ในการตัดสินใจลงสมัครเลือกตั้งอีกครั้งในนามอิสระ พร้อมทั้งเปิดตัวผู้สมัครที่มีเจตนารมณ์เดียวกัน ซึ่งมาจากหลากหลายกลุ่มในจังหวัดเชียงราย

ในแถลงข่าวครั้งนี้ยังเปิดพื้นที่รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในประเด็นปัญหาต่าง ๆ ที่ต้องการให้แก้ไขและพัฒนา ทั้งนี้ นางอทิตาธรยังได้เน้นย้ำถึงเป้าหมายการพัฒนาเชียงรายให้เป็นเมืองแห่งความสุขทั้งสำหรับผู้ที่อยู่อาศัยและนักท่องเที่ยว

กกต. เปิดรับสมัครผู้สมัคร อบจ.

คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จังหวัดเชียงราย ได้ประกาศเปิดรับสมัครนายกและสมาชิก อบจ. ณ หอประชุมคชสาร ระหว่างวันที่ 23-27 ธันวาคม 2567 เวลา 08.30-16.30 น. โดยคาดว่านางสลักจฤฎดิ์จะเดินทางไปสมัครตั้งแต่วันแรก

บทสรุปและความสำคัญของการเลือกตั้งครั้งนี้

การเลือกตั้งนายก อบจ. เชียงราย ครั้งนี้เป็นการประชันระหว่างกลุ่มการเมืองที่มีอิทธิพลสูงในพื้นที่ ทั้งพรรคเพื่อไทยและกลุ่มอิสระ การเลือกตั้งครั้งนี้ยังสะท้อนถึงการเมืองระดับท้องถิ่นที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายระดับชาติ ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดความนิยมของพรรคเพื่อไทยและทิศทางการพัฒนาเชียงรายในอนาคต

ประชาชนชาวเชียงรายร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเชียงรายในการเลือกตั้ง อบจ. เชียงรายครั้งนี้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับจังหวัดเชียงรายอีกครั้ง!

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย /ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายฟ้าใส เดินหน้าปราบบุหรี่ไฟฟ้า ปกป้องเยาวชน

เชียงรายเปิดปฏิบัติการ “เชียงรายฟ้าใส (ไร้ควัน)” ปราบบุหรี่ไฟฟ้าปกป้องเยาวชน

เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สั่งเปิดปฏิบัติการ “เชียงรายฟ้าใส (ไร้ควัน)” ตามนโยบายกระทรวงมหาดไทย (มท.1) เพื่อต่อต้านและจัดการกับปัญหาการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชน

เหตุการณ์การจับกุมร้านค้าบุหรี่ไฟฟ้า

การปฏิบัติการในครั้งนี้ เกิดจากการสืบทราบว่ามีการลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าผ่านร้านค้าในพื้นที่ ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมืองเชียงราย โดยร้านดังกล่าวใช้วิธีการสั่งซื้อผ่านแอปพลิเคชัน LINE และจัดส่งผ่านไรเดอร์ เพื่อปกปิดการกระทำผิด

ร้านที่เป็นเป้าหมายตั้งอยู่ใกล้ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ซึ่งมุ่งเป้าไปที่นักเรียน นักศึกษา และเยาวชนในพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง

การปฏิบัติการจับกุม

ภายใต้การอำนวยการของผู้ว่าฯ ชรินทร์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ระดับสูง ได้แก่

  • นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
  • นายบัลลังก์ ไวทย์ศิริ ปลัดจังหวัดเชียงราย
  • พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผู้บังคับการตำรวจภูธรเชียงราย

เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองร่วมกับตำรวจวางแผนเข้าจับกุม โดยเริ่มจากการล่อซื้อสินค้าและเฝ้าสังเกตการณ์พฤติกรรมของผู้ต้องสงสัย พบว่ามีการจัดส่งบุหรี่ไฟฟ้าผ่านไรเดอร์หลายครั้ง เมื่อถึงจุดนัดหมาย เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวและเข้าตรวจค้นบ้านเช่าในพื้นที่ดังกล่าว

ของกลางและข้อกล่าวหา

จากการตรวจค้น เจ้าหน้าที่พบของกลางดังนี้:

  • บุหรี่ไฟฟ้าและอุปกรณ์ กว่า 500 ชิ้น มูลค่ารวมหลักแสนบาท
  • บัญชีรายรับรายจ่าย ระบุรายได้วันละไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท
  • ยาทรามาดอลและมอร์ฟีนชนิดน้ำ จำนวนมาก

ผู้ต้องสงสัย 2 ราย (ชาย 1 หญิง 1) ถูกตั้งข้อหา ดังนี้:

  1. ซ่อนเร้นและจำหน่ายสินค้าต้องห้าม ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560
  2. ผลิตและจำหน่ายสินค้าผิดกฎหมาย ตามคำสั่งคณะกรรมการว่าด้วยความปลอดภัยของสินค้าและบริการ

ทั้งนี้ ผู้ต้องหาอาจต้องโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี หรือปรับเป็นเงิน 4 เท่าของราคาสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ

ความสำคัญของปฏิบัติการ

ปฏิบัติการ “เชียงรายฟ้าใส (ไร้ควัน)” เน้นการจัดระเบียบสังคมและป้องกันเยาวชนจากการยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข โดยเฉพาะบุหรี่ไฟฟ้าที่เป็นภัยร้ายแรงในปัจจุบัน เจ้าหน้าที่จะเดินหน้าปราบปรามทั้งร้านค้าออนไลน์และออฟไลน์อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับชุมชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เลือกตั้ง อบจ. เชียงราย 2568 หลายสื่อคาดศึกสองบ้านใหญ่

สนามเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงรายเดือด! “นายกนก” คาดท้าชิงเก้าอี้อีกครั้ง

เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 นางสาวอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “นายกนก” ได้แถลงการณ์ผ่านโพสต์โซเชียลเน็ตเวิร์ก โดยระบุว่าเป็นวันสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ครบวาระ 4 ปี และกล่าวขอบคุณประชาชนชาวเชียงรายที่ไว้วางใจและสนับสนุนตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา

“นกขอขอบคุณพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดเชียงรายทุกคนที่ให้ความไว้วางใจกับนก นกอยากเห็นเชียงรายเป็นเมืองแห่งความสุขและความน่าอยู่” นายกนกกล่าว

การเลือกตั้งนายก อบจ. เชียงรายครั้งใหม่จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 โดยสนามเลือกตั้งครั้งนี้คาดว่าจะร้อนแรงเมื่อมีความเคลื่อนไหวจากผู้สมัครหน้าเดิมและหน้าใหม่ที่พร้อมชิงชัย

นายกนก: นักการเมืองอิสระ ผู้ลงชิงชัยอีกครั้ง

นายกนกได้ประกาศชัดเจนว่าเธอจะลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งในฐานะ “อิสระ” โดยไม่สังกัดพรรคการเมืองใด แม้ว่าความสำเร็จในปี 2563 ที่ผ่านมาเธอสามารถเอาชนะคู่แข่งสำคัญจากพรรคเพื่อไทยด้วยคะแนน 239,622 คะแนน ทิ้งห่าง วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ ผู้สมัครจากเพื่อไทยที่ได้คะแนน 211,956 คะแนน

ทีมงานของนายกนกยังคงได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสภาจังหวัด (สจ.) ส่วนใหญ่ในเชียงราย โดยมี สจ. ทั้งหมด 36 เขต ซึ่งหลายคนแสดงความพร้อมที่จะสนับสนุนเธอ

“สลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช” หวนคืนสนาม

คู่แข่งสำคัญที่ปรากฏตัวในสนามนี้คือ สลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ภรรยาของ ยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตนักการเมืองใหญ่ของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งนายก อบจ. เชียงรายมาก่อน และกลับมาลงสมัครอีกครั้งในนามพรรคเพื่อไทย

การผลักดันของบ้านใหญ่ติยะไพรัชเพื่อล้มแชมป์ตระกูลวันไชยธนวงศ์เกิดขึ้นจากการที่พรรคเพื่อไทยมองเห็นศักยภาพของสลักจฤฎดิ์และต้องการนำพรรคกลับมาครองเก้าอี้นายก อบจ. เชียงราย

บ้านใหญ่วันไชยธนวงศ์ vs บ้านใหญ่ติยะไพรัช

การเลือกตั้งครั้งนี้สะท้อนถึงการเผชิญหน้าระหว่างสองตระกูลการเมืองใหญ่ของเชียงราย โดย บ้านใหญ่วันไชยธนวงศ์ มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับพรรคภูมิใจไทย หลังจาก รังสรรค์ วันไชยธนวงศ์ สมาชิกในตระกูลลาออกจากเพื่อไทยไปเข้าพรรคภูมิใจไทย และแม้ว่าจะแพ้การเลือกตั้งในครั้งที่ผ่านมา แต่สายสัมพันธ์นี้ยังคงส่งผลต่อฐานคะแนนของนายกนก

ในขณะที่ บ้านใหญ่ติยะไพรัช พยายามส่งสลักจฤฎดิ์เข้ามาทวงคืนพื้นที่ โดยได้รับแรงสนับสนุนจากพรรคเพื่อไทย ซึ่งเคยมีคะแนนเสียงที่มั่นคงในจังหวัดเชียงราย

ปัจจัยสำคัญที่ชี้ชะตา

การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่เพียงขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้สมัครแต่ละคน แต่ยังเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายประการ เช่น ฐานคะแนนในอดีต ความนิยมของพรรคการเมือง และการสนับสนุนจากทีม สจ. ในแต่ละเขต

  • คะแนนเสียงในอดีต:
    ปี 2555 สลักจฤฎดิ์ได้รับคะแนนเสียงสูงในฐานะผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย แต่ในปี 2563 นายกนกสามารถเอาชนะไปได้

  • ความนิยมของพรรคการเมือง:
    พรรคเพื่อไทยยังคงมีอิทธิพลสูงในพื้นที่เชียงราย ขณะที่นายกนกเน้นการเป็นผู้สมัครอิสระที่สร้างผลงานในช่วงดำรงตำแหน่งที่ผ่านมา

สมรภูมิการเมืองที่ดุเดือด

สนามเลือกตั้งนายก อบจ. เชียงรายในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งสมรภูมิสำคัญที่น่าจับตามอง เพราะไม่เพียงแต่จะเป็นการต่อสู้ของสองตระกูลใหญ่ แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ทางการเมืองในจังหวัดเชียงราย

สรุปสถานการณ์

การเลือกตั้งนายก อบจ. เชียงราย ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 นี้ จะเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของประชาชนในเชียงราย ระหว่าง “นายกนก” อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ กับ “สลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช” สองผู้สมัครที่ต่างมีฐานเสียงและสนับสนุนที่แข็งแกร่ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

โมเดอร์นาระงับวัคซีน RSV ในเด็กเล็กหลังพบปัญหารุนแรง

โมเดอร์นาระงับการพัฒนาวัคซีน RSV สำหรับทารก หลังพบปัญหาร้ายแรงจากการทดลองทางคลินิก

เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการระงับการพัฒนาวัคซีน RSV สำหรับเด็กเล็ก โดยบริษัทโมเดอร์นา หลังพบปัญหาร้ายแรงในระหว่างการทดลองทางคลินิก

ผลการทดลองที่ก่อให้เกิดความกังวล

โมเดอร์นาได้ทดลองวัคซีน RSV ชนิด mRNA สองรูปแบบ ได้แก่ วัคซีนป้องกัน RSV เพียงอย่างเดียว และวัคซีนแบบผสมที่ป้องกัน RSV และไวรัส hMPV ที่อยู่ในตระกูลเดียวกัน แต่ผลการทดลองในทารกอายุ 5-7 เดือนกลับพบว่า ทารก 5 คนจาก 40 คนที่ได้รับวัคซีน RSV เกิดการติดเชื้อ RSV รุนแรง เทียบกับ 1 คนจาก 20 คนในกลุ่มที่ได้รับยาหลอก ในส่วนของวัคซีนผสม ทารก 3 คนจาก 27 คนป่วยหนักจากการติดเชื้อ hMPV ในขณะที่กลุ่มที่ได้รับยาหลอกไม่พบผู้ป่วยรายใด

เหตุการณ์นี้ทำให้ต้องหยุดการทดลองวัคซีนทั้งสองรูปแบบเพื่อป้องกันความเสี่ยงเพิ่มเติม

ย้อนรอยความผิดพลาดในอดีต

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้นักวิทยาศาสตร์หวนคิดถึงการทดลองวัคซีน RSV ในช่วงทศวรรษ 1960 ซึ่งพบว่า 80% ของเด็กที่ได้รับวัคซีนในครั้งนั้นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และมีผู้เสียชีวิต 2 ราย เนื่องจากวัคซีนกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ ทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า “โรคที่รุนแรงจากวัคซีน” (Vaccine-Associated Enhanced Disease – VAED)

แม้ในปัจจุบันเทคโนโลยี mRNA จะมีประสิทธิภาพในวัคซีนสำหรับผู้ใหญ่ เช่น วัคซีนโควิด-19 แต่ระบบภูมิคุ้มกันของทารกยังไม่พัฒนาสมบูรณ์ ส่งผลให้การตอบสนองต่อวัคซีนอาจนำไปสู่ภาวะ VAED ได้

การหยุดทดลองวัคซีนในทารก

องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ได้ประกาศระงับการทดลองวัคซีน RSV สำหรับทารกที่ใช้แอนติเจนและเทคโนโลยี mRNA ถึง 11 โครงการ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ขณะเดียวกันยังมีการพัฒนาวัคซีนอีก 15 โครงการที่ใช้เชื้อ RSV ที่ถูกทำให้อ่อนแรงลง โดยมีเป้าหมายให้เลียนแบบการติดเชื้อตามธรรมชาติในทารก เพื่อไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรครุนแรง

ความสำคัญของวัคซีน RSV

โรค RSV เป็นสาเหตุหลักของการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลในทารก โดยเฉพาะในประเทศที่ขาดแคลนทรัพยากรทางการแพทย์ แม้ในประเทศพัฒนาแล้วจะมีวัคซีนสำหรับผู้ใหญ่และสตรีมีครรภ์ที่ช่วยถ่ายทอดภูมิคุ้มกันสู่ลูกน้อย แต่ภูมิคุ้มกันนี้คงอยู่เพียง 6 เดือนแรก ทำให้จำเป็นต้องมีวัคซีนสำหรับเด็กโดยเฉพาะ

แนวทางการพัฒนาวัคซีนในอนาคต

นักวิจัยเชื่อว่าการลงทุนในงานวิจัยพื้นฐานและความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันในเด็กเล็กจะเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาวัคซีน RSV ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เพื่อปกป้องเด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี และลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อรุนแรงในอนาคต

สรุป

การระงับการพัฒนาวัคซีน RSV ของโมเดอร์นาเป็นการตัดสินใจเพื่อความปลอดภัยของเด็กเล็ก แม้จะเป็นความล้มเหลวในระยะสั้น แต่นับเป็นโอกาสในการพัฒนานวัตกรรมที่ดีขึ้นในอนาคต โดยการวิจัยยังคงดำเนินต่อไปเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาและสร้างวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสำหรับเด็กทุกคน

แหล่งอ้างอิง

  • science.org
  • FDA Advisory Reports
  • บทความจากนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำในสาขาไวรัสวิทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ยุทธการบุกบ้านอันธพาลเชียงราย ยึดรถดัดแปลง 506 คัน สร้างชุมชนสงบ

ปฏิบัติการ “ยุทธการบุกบ้านอันธพาลเชียงราย” ยึดจักรยานยนต์ดัดแปลง 506 คัน สร้างความสงบในพื้นที่

วันที่ 11 ธันวาคม 2567 ที่ลานหน้ากองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผบก.ภ.จว.เชียงราย พร้อมด้วยคณะรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย และเจ้าหน้าที่จากทุกสถานีตำรวจในสังกัด ได้ร่วมแถลงผลปฏิบัติการ “ยุทธการบุกบ้านอันธพาลจังหวัดเชียงราย” ที่มีเป้าหมายหลักเพื่อจัดการกับปัญหากลุ่มวัยรุ่นที่รวมตัวกันก่อเหตุทะเลาะวิวาทและสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนในพื้นที่

เนื้อหาและวัตถุประสงค์ของปฏิบัติการ

สืบเนื่องจากเหตุการณ์กลุ่มวัยรุ่นก่อเหตุทะเลาะวิวาทและใช้รถจักรยานยนต์ดัดแปลงท่อไอเสียเสียงดัง จนทำให้ประชาชนในพื้นที่เกิดความหวาดกลัวและไม่กล้าออกจากบ้านยามค่ำคืน ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงรายจึงได้จัดปฏิบัติการบูรณาการตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย โดยเริ่มปฏิบัติการตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 และขยายผลต่อเนื่องในระหว่างวันที่ 6-11 ธันวาคม 2567 โดยจะดำเนินการอีกครั้งในวันที่ 20-25 ธันวาคม 2567

ผลการปฏิบัติการ

ในระหว่างวันที่ 6-11 ธันวาคม 2567 เจ้าหน้าที่สามารถยึดรถจักรยานยนต์ดัดแปลงสภาพและท่อไอเสียเสียงดังรวมทั้งสิ้น 506 คัน โดยในวันแถลงข่าวได้นำของกลางจำนวน 270 คันมาจัดแสดง แบ่งเป็น

  • สภ.เมืองเชียงราย: 80 คัน
  • สภ.แม่จัน: 50 คัน
  • สภ.บ้านดู่: 50 คัน
  • สภ.แม่ยาว: 30 คัน
  • สภ.เวียงชัย: 30 คัน
  • สภ.แม่ลาว: 30 คัน

มาตรการหลังการยึดรถ

พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ได้สั่งการให้ทุกสถานีตำรวจในพื้นที่เชียงรายกวดขันและตรวจยึดรถจักรยานยนต์ที่มีการดัดแปลงสภาพอย่างต่อเนื่อง พร้อมกำชับให้เจ้าของรถที่ถูกยึดแก้ไขรถให้อยู่ในสภาพเดิมก่อนที่จะสามารถรับรถคืนได้ โดยมีการบันทึกประวัติเจ้าของรถเพื่อป้องกันการกระทำผิดซ้ำ

การมีส่วนร่วมของประชาชน

พล.ต.ต.มานพ ได้ขอความร่วมมือจากประชาชนในการแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับกลุ่มวัยรุ่นที่ก่อความเดือดร้อนผ่านสายด่วน 191 หรือแจ้งข้อมูลผ่านเพจออนไลน์ต่าง ๆ โดยตำรวจจะเร่งดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด

ผลกระทบเชิงบวก

ปฏิบัติการครั้งนี้ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากประชาชน เนื่องจากช่วยลดปัญหาความรำคาญและความหวาดกลัวในพื้นที่ อีกทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้เยาวชนหลงผิดและมีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมายในอนาคต

เป้าหมายในอนาคต

ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงรายจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่ และสร้างความสงบเรียบร้อยในชุมชน โดยเฉพาะการป้องกันเหตุทะเลาะวิวาทและการใช้รถจักรยานยนต์ที่ผิดกฎหมาย

ปฏิบัติการ “ยุทธการบุกบ้านอันธพาลจังหวัดเชียงราย” ถือเป็นตัวอย่างของการทำงานเชิงรุกของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อสร้างความปลอดภัยและความสงบในสังคมอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

ธปท.เปิดโครงการ ‘คุณสู้ เราช่วย’ หนุนลูกหนี้รายย่อยและ SMEs

เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2567 เปิดตัวโครงการช่วยหนี้รายย่อย คุณสู้ เราช่วย ทั้ง จ่ายตรง คงทรัพย์ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ลดภาระดอกเบี้ย และ จ่าย ปิด จบ ลดภาระหนี้ NPL ที่ยอดหนี้ไม่สูง ช่วยลูกหนี้ 1.9 ล้านราย 2.1 ล้านบัญชี จากหนี้ 8.9 แสนล้านบาท

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารนานาชาติ สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงิน (Non-Banks) บางแห่ง ออกมาตรการชั่วคราวเพิ่มเติม เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ SMEs เฉพาะกลุ่ม ภายใต้ชื่อ โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่งในช่วงเริ่มต้น การช่วยเหลือจะครอบคลุมลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank ที่เป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งประกอบด้วย 2 มาตรการ ดังนี้

มาตรการที่ 1 “จ่ายตรง คงทรัพย์”

เป็นการช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อบ้าน รถ และ SMEs ขนาดเล็กที่มีวงเงินหนี้ไม่สูงมาก ให้สามารถรักษาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันทั้งบ้าน รถ และสถานประกอบการไว้ได้ โดยเป็นการปรับโครงสร้างหนี้แบบลดค่างวดและลดภาระดอกเบี้ย โดยค่างวดที่จ่ายจะนำไปตัดเงินต้น

รูปแบบการให้ความช่วยเหลือ

(1) ลดค่างวดเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยลูกหนี้ชำระค่างวดขั้นต่ำที่ 50% 70% และ 90% ของค่างวดเดิม ในปีที่ 1 ปีที่ 2 และปีที่ 3 ตามลำดับ ซึ่งค่างวดทั้งหมดจะนำไปตัดเงินต้น

(2) พักดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยดอกเบี้ยที่พักไว้จะได้รับยกเว้นทั้งหมด หากลูกหนี้ปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขได้ตลอดช่วงระยะเวลา 3 ปีที่อยู่ภายใต้มาตรการ

ทั้งนี้ ลูกหนี้สามารถชำระมากกว่าค่างวดขั้นต่ำที่กำหนดไว้ได้ เพื่อตัดเงินต้นเพิ่มและปิดจบหนี้ได้ไวขึ้น

คุณสมบัติลูกหนี้ที่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้

(1) มีวงเงินสินเชื่อรวมต่อสถาบันการเงินไม่เกินที่กำหนด โดยพิจารณาแยกวงเงินตามประเภทสินเชื่อต่อสถาบันการเงิน ดังนี้

o สินเชื่อบ้าน / บ้านแลกเงิน วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท

o สินเชื่อเช่าซื้อ / จำนำทะเบียนรถยนต์ วงเงินไม่เกิน 8 แสนบาท

o สินเชื่อเช่าซื้อ / จำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ วงเงินไม่เกิน 5 หมื่นบาท

o สินเชื่อธุรกิจ SMEs วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท

o กรณีสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต หากมีหนี้บ้านหรือรถที่เข้าเงื่อนไขข้างต้น สามารถพิจารณาเข้ามาตรการรวมหนี้ได้ ภายใต้ระดับความเสี่ยงที่สถาบันการเงินรับได้ โดยวงเงินเมื่อรวมแล้วไม่เกินเงื่อนไขที่กำหนด

(2) เป็นสินเชื่อที่ทำสัญญาก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567

(3) มีสถานะหนี้ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้ 

(3.1) เป็นหนี้ที่ค้างชำระเกินกว่า 30 วัน แต่ไม่เกิน 365 วัน 

(3.2) เป็นหนี้ที่ไม่ค้างชำระหรือค้างชำระไม่เกิน 30 วัน แต่เคยมีประวัติการค้างชำระเกิน 30 วัน และได้รับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565

เงื่อนไขของการเข้าร่วมมาตรการ

(1) ลูกหนี้ไม่ทำสัญญาสินเชื่อเพิ่มเติมในช่วง 12 เดือนแรกที่เข้าร่วมมาตรการ ยกเว้นกรณีสินเชื่อธุรกิจ SMEs ที่จำเป็นต้องกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่อง เจ้าหนี้สามารถให้สินเชื่อเพิ่มเติมได้โดยจะพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ตามความเหมาะสม

(2) ลูกหนี้รับทราบว่า จะมีการรายงานข้อมูลต่อเครดิตบูโร (NCB) ถึงการเข้าร่วมมาตรการ

(3) หากลูกหนี้ไม่สามารถจ่ายชำระค่างวดขั้นต่ำได้ตามที่มาตรการกำหนด หรือไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขอื่น ๆ ได้ เช่น ลูกหนี้ก่อหนี้ใหม่ก่อนระยะเวลา 12 เดือน ลูกหนี้จะต้องออกจากมาตรการและชำระดอกเบี้ยที่ได้รับการพักไว้ในระหว่างที่เข้ามาตรการ

(4) หากสัญญาสินเชื่อมีผู้ค้ำประกัน ผู้ค้ำประกันต้องให้ความยินยอมในการเข้าร่วมมาตรการและลงนามในสัญญาค้ำประกันใหม่

มาตรการที่ 2 “จ่าย ปิด จบ” 

เป็นการช่วยลูกหนี้รายย่อยที่มีหนี้เสียและยอดหนี้ไม่สูง ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรน เพื่อเปลี่ยนสถานะจากหนี้เสียเป็นปิดจบหนี้ และให้ลูกหนี้สามารถเริ่มต้นใหม่ได้

 
 
รูปแบบการให้ความช่วยเหลือ

ลูกหนี้จะได้รับการปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรน โดยลูกหนี้จะชำระหนี้บางส่วน เพื่อให้สามารถจ่ายและปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น

คุณสมบัติลูกหนี้ที่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้

(1) ลูกหนี้บุคคลธรรมดา ที่มีสถานะค้างชำระเกินกว่า 90 วัน (NPL) ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 

(2) มีภาระหนี้ต่อบัญชี ไม่เกิน 5,000 บาท โดยไม่จำกัดประเภทสินเชื่อ (สามารถเข้าร่วมมาตรการได้มากกว่า 1 บัญชี)

ในระยะต่อไป ผู้ประกอบธุรกิจกลุ่ม Non-Bank อื่น ๆ จะมีความช่วยเหลือออกมาเพิ่มเติม ซึ่งอาจมีรายละเอียดที่แตกต่างไป เพื่อร่วมกันผลักดันให้การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนเดินหน้าได้อย่างเป็นรูปธรรมในวงกว้างและครอบคลุมลูกหนี้ได้มากขึ้น

ทั้งนี้ ลูกหนี้ที่สนใจเข้าร่วมมาตรการ ภายใต้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” สามารถศึกษารายละเอียดของมาตรการและสมัครเข้าร่วมได้ที่ https://www.bot.or.th/khunsoo ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2567 เวลา 8.30 น. ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 23.59 น. ทั้งนี้ ลูกหนี้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ BOT contact center ของ ธปท. โทร 1213 หรือ call center ของสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการและกดเบอร์ต่อ 99

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

ACT เปิดโปง 10 คดีทุจริต อบจ. เสียหาย 377 ล้านบาท

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ เปิดข้อมูล 10 คดีทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง อบจ.

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2567 องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT เปิดเผยข้อมูล “10 ทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง” ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่เกิดขึ้นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2547-2567) ซึ่งสะท้อนถึงความรุนแรงและความเสียหายต่อระบบงบประมาณท้องถิ่น รวมมูลค่าความเสียหายไม่น้อยกว่า 377 ล้านบาท

สถิติคดีที่พบมากที่สุด

จากข้อมูลที่ ACT เปิดเผย พบว่าอดีตนายก อบจ. อุบลราชธานี มีคดีทุจริตสูงสุดถึง 42 คดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 114 ล้านบาท รองลงมาคือกรณีทุจริตโครงการขุดลอกลำน้ำใน อบจ. ลำปาง มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีการจัดซื้อถุงยังชีพใน อบจ. ปทุมธานี และการจัดซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกายที่ อบจ. กำแพงเพชร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของกลโกงที่ใช้

ความเชื่อของประชาชนสวนทางกับความจริง

นายมานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ กล่าวถึงผลสำรวจจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยปี 2567 ที่พบว่ากว่าร้อยละ 95 ของประชาชนเชื่อว่ามีการโกงงบประมาณในอบจ. จำนวนมาก อย่างไรก็ตาม สถิติจาก ป.ป.ช. กลับพบว่ามีคดีร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตจัดซื้อจัดจ้างในปี 2566 เพียง 827 เรื่อง แม้ว่าจะมีการร้องเรียนผ่านหน่วยงานอื่นๆ เช่น ป.ป.ท. และศูนย์ดำรงธรรม แต่คดีที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมมีเพียงเล็กน้อย และมักใช้เวลานานในการดำเนินคดี

ตัวอย่างกลโกงที่พบในระบบ

  1. การฮั้วประมูล
  2. การให้บริษัทในเครือข่ายหรือคนในครอบครัวมารับงาน
  3. การทำเอกสารเท็จและปกปิดข้อมูล

โดยอดีตนายกอบจ. อุบลราชธานี กระทำทุจริตมากที่สุดถึง 42 คดี ขณะที่ อบจ.สงขลายังมีคดีทุจริตพัวพันอดีตนายก อบจ. มากกว่าจังหวัดใดในประเทศไทย

  1. ทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง 42 คดี โดย อดีตนายก อบจ. อุบลราชธานี มูลค่าความเสียหาย 114 ล้านบาท
  2. ทุจริตจัดซื้อถุงยังชีพ โดยอดีตนายก อบจ.ปทุมธานี มูลค่าความเสียหาย 3 ล้านบาท
  3. ทุจริตจ้างเหมาขุดลอกลำน้ำ โดยอดีตนายก อบจ.ลำปาง มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท
  4. ทุจริตเงินอุดหนุนสมาคมกีฬา โดยอดีตนายก อบจ. พิจิตร มูลค่าความเสียหายกว่า 15 ล้านบาท
  5. ทุจริตจัดซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกายและหนังสือเรียน โดยอดีตนายก อบจ.กำแพงเพชร มูลค่าความเสียหายกว่า 2 ล้านบาท
  6. ทุจริตจัดซื้อท่อระบายน้ำมิชอบ โดยอดีตนายก อบจ.พะเยา มูลค่าความเสียหาย 9.6 ล้านบาท
  7. ทุจริตทำถนน 6 โครงการ โดยอดีตนายก อบจ.นครราชสีมา มูลค่าความเสียหายกว่า 9 ล้านบาท
  8. ทุจริตเงินอุดหนุนวัด โดยอดีตนายก อบจ.สมุทรปราการ มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท
  9. ทุจริต 5 กรณี โดยอดีตนายก อบจ.สงขลา มูลค่าความเสียหายเบื้องต้น 18.6 ล้านบาท
  10. ทุจริตจัดซื้อถุงยังชีพ “แคร์เซ็ต” โดยอดีตนายก อบจ.ลำพูน มูลค่าความเสียหายเกือบ 6 ล้านบาท

ข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหา

นายมานะเสนอแนวทางแก้ไข โดยเน้นการจัดทำงบประมาณแบบมีส่วนร่วม (Participatory Budgeting) เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และกำหนดแผนการใช้งบประมาณอย่างโปร่งใส นอกจากนี้ยังเสนอให้หน่วยงานรัฐ เช่น ปปง. และกรมสรรพากร ตรวจสอบเส้นทางการเงินและการเสียภาษีของผู้ที่เกี่ยวข้องในกลุ่มที่มีพฤติกรรมทุจริต

บทบาทของประชาชน

“ประชาชนต้องมีบทบาทสำคัญในการปกป้องผลประโยชน์ของท้องถิ่น อย่าปล่อยให้การซื้อเสียงกลับมาทำลายระบบประชาธิปไตย” นายมานะกล่าว พร้อมกระตุ้นให้ประชาชนร่วมกันตรวจสอบการใช้งบประมาณ และรายงานสิ่งผิดปกติในท้องถิ่น

ความสำคัญของการปรับปรุงระบบ

ACT ย้ำว่าการพิจารณาคดีคอร์รัปชันยังล่าช้าและมีบทลงโทษที่เบา จึงจำเป็นต้องปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบ รวมถึงการบูรณาการข้อมูลและการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานรัฐ เพื่อปิดช่องว่างที่นำไปสู่การทุจริต

ข้อสรุป

ข้อมูลที่ ACT เผยแพร่ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ชี้ให้เห็นถึงความเสียหายที่เกิดจากการทุจริตในระดับท้องถิ่น แต่ยังสะท้อนถึงความจำเป็นในการร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อสร้างความโปร่งใสและปกป้องผลประโยชน์ของประเทศในระยะยาว

ข้อมูลทุจริตองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)

  1. ทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง 42 คดี ของอดีตนายก อบจ. อุบลราชธานี ผู้มีคดีทุจริตมากที่สุดในประเทศไทย

ปี 2566 นายพรชัย โควสุรัตน์ อดีตนายก อบจ.อุบลราชธานี 3 สมัยระหว่างปี 2547-58 กับพวกถูกร้องเรียนมากถึง 42 คดี ป.ป.ช.ชี้มูลไปแล้วหลายคดี มูลค่าความเสียหายรวมสูงถึง 114 ล้านบาท ทำให้นายพรชัยกลายเป็นนายก อบจ. ที่มีคดีทุจริตมากที่สุดในประเทศไทย หลายคดีถูกศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษาจำคุก รวมระยะเวลาจำคุกกว่า 30 ปี ปัจจุบันนายพรชัยอยู่ในสถานะหนีคดี

  1. ทุจริตจัดซื้อถุงยังชีพ โดยอดีตนายก อบจ.ปทุมธานี

ปี 2554 เกิดอุทกภัยในจังหวัด ทำให้ อบจ.ปทุมธานีจัดซื้อถุงยังชีพ 2 ครั้ง รวม 6,000 ถุง มูลค่า 3 ล้านบาท เป็นเหตุให้ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดนายชาญ พวงเพ็ชร์ และพวกรวม 12 คน ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และละเลยไม่ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ เมื่อศาลมีคำสั่งประทับรับฟ้องคดี ส่งผลให้ นายชาญ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่แม้จะเพิ่งชนะการเลือกตั้งได้เป็นนายก อบจ.ปทุมธานี ต่อมาปี 2567 ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 6 ปี 18 เดือน  นอกจากนี้ นายชาญ ยังมีคดีจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายราคาแพงเกินจริงถึงกว่า 40 ล้านบาท ปัจจุบันเรื่องอยู่ระหว่างไต่สวนของ ป.ป.ช.

  1. ทุจริตจ้างเหมาขุดลอกลำน้ำของ อบจ.ลำปาง

ช่วงปี 2549-2550 นางสุนี สมมี อดีตนายก อบจ.ลำปาง พร้อมพวก 9 คน ร่วมกันทุจริตโครงการจ้างเหมาขุดลอกลำน้ำ ต่อมา ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด เพราะพบว่ามีการ “จัดฉากตั้งบริษัทรับเหมา” เพื่อเข้าร่วมประมูลรับงานมากถึง 29 โครงการ มีการทำใบเสนอราคาเท็จ ยื่นเสนอราคาเท็จ และปลอมลายมือชื่อกรรมการเปิดซองสอบราคา เพื่อใช้เบิกจ่ายเงินงบประมาณ มีการจ่ายเงินทอน คิดเป็นเงินเกือบ 100 ล้านบาท แถมยังใช้สำนักงาน อบจ. ลำปางเป็นที่แบ่งเงินทุจริต ส่วนผู้รับเหมาที่ทำงานจริงรับเงินแค่ 60% ศาลพิพากษาจำคุกรวม 116 ปี แต่ให้คงจำคุกจริง 50 ปี นอกจากนี้ นางสุนียังถูกจำคุก 8 ปี จากคดีทุจริตจ้างเหมาถมดินอีก 7 โครงการ และมีคดีฐานยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ ศาลฎีกาสั่งห้ามดำรงตำแหน่งการเมือง 5 ปี จําคุก 1 เดือน ปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษ 1 ปี

  1. ทุจริตเงินอุดหนุนสมาคมกีฬา โดยอดีตนายก อบจ. พิจิตร

ปี 2565 นายชาติชาย เจียมศรีพงษ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายก อบจ. พิจิตรกับพวก ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดจากการมีผลประโยชน์ทับซ้อนในการจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่สมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ซึ่งตนดำรงตำแหน่งนายกสมาคมฯ นั้นด้วย เมื่อสมาคมฯ มีหนังสือขอรับเงินสนับสนุนจาก อบจ. พิจิตรโดยไม่มีรายละเอียดค่าใช้จ่ายในโครงการประกอบการพิจารณา นายชาติชาย อนุมัติเบิกจ่ายเงินตลอด 3 ปี เป็นเงินรวม 15,654,115.12 บาท ซึ่งเงินก้อนนี้สมาคมกีฬาฯ ได้ส่งต่อให้แก่ทีมสโมสรฟุตบอลที่นายชาติชายเป็นที่ปรึกษาสโมสรฟุตบอลพิจิตรเอฟซี และผู้จัดการสนาม สโมสรฟุตบอล ทีทีเอ็ม เอฟซี พิจิตร ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ได้มีคำพิพากษาจำคุก 9 ปี 12 เดือน ปัจจุบันคดียังไม่สิ้นสุด จำเลยมีสิทธิ์อุทธรณ์ได้

  1. ทุจริตจัดซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกายและหนังสือเรียน โดยอดีตนายก อบจ. กำแพงเพชร

ปี 2565 นายจุลพันธ์ ทับทิม อดีตนายก อบจ. กำแพงเพชร ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดฐานทุจริตจัดซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกาย และศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษาจำคุก 12 ปี คดีนี้ยังไม่สิ้นสุด จำเลยมีสิทธิ์อุทธรณ์ได้ ต่อมา      ปี 2567 ก็ถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดคดีทุจริตจัดซื้อหนังสือและสื่อการเรียนการสอน 3 โครงการมูลค่ารวม 2 ล้านบาท ด้วยวิธีพิเศษ ฐานละเลยปฏิบัติหน้าที่อันจะเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง คดีนี้หมดอายุความแล้ว 

  1. ทุจริตจัดซื้อท่อระบายน้ำมิชอบ โดยอดีตนายก อบจ.พะเยา

ปี 2561 นายวรวิทย์ บุรณศิริ อดีตนายก อบจ. พะเยา ถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดจากการจัดซื้อท่อระบายน้ำคอนกรีตเสริมเหล็ก งบประมาณ 241,800 บาท เพื่อนำไปใช้แก้ไขปัญหาน้ำท่วมในจังหวัด ต่อมาปี 2564 ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษนายวรวิทย์ บุรณศิริ จำคุก 2 ปี และปรับ 40,000 บาท แต่ให้รอลงอาญา 2 ปี  นอกจากนี้ นายวรวิทย์ยังถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดในคดีทุจริตจัดซื้อต้นกล้ายางพาราเพื่อแจกจ่ายให้กับเกษตรกร 426,250 ต้น งบประมาณ 17,050,000 บาท ปัจจุบันคดีนี้อยู่ในชั้นศาลพิจารณา

  1. ทุจริตทำถนน 6 โครงการ โดยอดีตนายก อบจ.นครราชสีมา

ปี 2567 นายแพทย์สำเริง แหยงกระโทก อดีตนายก อบจ.นครราชสีมา ถูก ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีทุจริตโครงการก่อสร้างถนนหลายโครงการ โดยศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษาจำคุก 25 ปี ส่วนบริษัทผู้รับเหมา 3 รายถูกปรับรายละ 40,000 บาท  โดยกรรมการผู้มีอำนาจลงนามทุกรายโดนโทษจำคุก อย่างไรก็ตาม คดีนี้ยังสามารถอุทธรณ์ต่อได้ คดีนี้จึงยังไม่สิ้นสุด

  1. ทุจริตเงินอุดหนุนวัด โดยอดีตนายก อบจ.สมุทรปราการ

ปี 2565 ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม อดีตนายก อบจ.สมุทรปราการ กับพวก ทุจริตการจัดสรรเงินอุดหนุนวัดในจังหวัดสมุทรปราการ ระหว่างปี 2554-2556 รวม 68 โครงการ งบประมาณรวม 836,129,125 บาท โดยเงินเหล่านี้จะต้องนำไปใช้เพื่อบูรณะบำรุงวัด และเตาเผาศพ แต่กลับมีเงินทอนครึ่งหนึ่งของเงินอุดหนุนที่วัดเหล่านี้ควรจะได้ มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท โดย ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดและทำส่งสำนวนให้กับอัยการสูงสุดเพื่อส่งฟ้องศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ

  1. 5 คดีทุจริต โดยอดีตนายก อบจ. สงขลา

ระหว่างปี 2551-2552 นายนวพล บุญญามณี อดีตนายก อบจ.สงขลา กับพวก ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด เริ่มที่คดีแรก  ทุจริตโครงการส่งเสริมพัฒนาสุขภาพประชาชนโครงการตรวจสุขภาพผู้สูงอายุ ด้วยการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ พร้อมชี้มูลความผิดเอกชนที่เป็นสถานพยาบาล ฐานร่วมกันสนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในการทุจริตต่อการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐด้วย ปัจจุบันคดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล  คดีที่สอง  ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดการสมยอมกันเสนอราคาโครงการจัดซื้อกุ้งก้ามกราม 40 ล้านตัว งบประมาณ 10,000,000 บาท โดยเอื้อ

ประโยชน์แก่ผู้เสนอราคาบางราย คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฯ พิพากษาจำคุก 7 ปี  คดีที่สาม ทุจริตการสำรวจออกแบบโครงการก่อสร้างทางหลวงชนบท 30 เส้นทางวงเงินรวม 8,068,000 บาท ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ตัดสินจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา คดีที่สี่ คดีนำรถยนต์ราชการไปจำนำที่บ่อนการพนัน ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 18 ปี 24 เดือน คดีที่ห้า ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโครงการจ้างสำรวจและออกแบบ ถนนลาดยางทางหลวงชนบทศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษาจำคุก 2 ปี

มีข้อสังเกตว่า จังหวัดสงขลายังมีคดีทุจริตพัวพันอดีตนายก อบจ. มากกว่าจังหวัดใดในประเทศไทย      เมื่อนับรวมอีก 2 ราย คือ นายนิพนธ์ บุญญามณี และนายอุทิศ ชูช่วย

  1. ทุจริตจัดซื้อถุงยังชีพ “แคร์เซ็ต” โดยอดีตนายก อบจ.ลำพูน

ช่วงโควิดระบาดปี 2563 นายนิรันดร์ ด่านไพบูลย์ นายก อบจ. ลำพูนในขณะนั้น จัดซื้อชุดของใช้ประจำวันเพื่อแจกผู้สูงอายุ (Care Set) วงเงิน 16,343,000 บาท ต่อมา ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดตามกฎหมายอาญาและกฎหมายฮั้ว แล้วยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ จนมีคำพิพากษาในปี 2566 ให้จำคุกเจ้าของบริษัทที่เกี่ยวข้อง คนละ 2 ปี ปรับ 120,000 บาท ให้จำคุกรองปลัด อบจ. 3 ปี และร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน 5,918,769.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้แก่ อบจ.ลำพูน ส่วน รองนายก อบจ. 2 คน ปลัด 1 คน และรองปลัด 1 คน  ศาลพิพากษา ให้รอลงอาญาเป็นเวลา 2 ปี  ปรับคนละ 100,000 บาท และให้ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน 5,918,769.80 บาท พร้อมดอกเบี้ย สำหรับ นายก อบจ.ลำพูน ศาลพิพากษายกฟ้อง ปัจจุบัน ป.ป.ช. กำลังเตรียมการขออุทธรณ์คำพิพากษาต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ชาวบ้านเชียงรายค้านเขื่อนปากแบง หวั่นน้ำเท้อกระทบชีวิตและสิ่งแวดล้อม

กลุ่มชาวบ้าน 3 อำเภอเชียงรายรวมพลังคัดค้านเขื่อนปากแบง หวั่นกระทบวิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อม

เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2567 ณ โฮงเฮียนแม่น้ำของ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ชาวบ้านจาก 3 อำเภอริมแม่น้ำโขง ได้แก่ อำเภอเชียงแสน อำเภอเชียงของ และอำเภอเวียงแก่น รวมตัวประมาณ 150 คน ประกอบด้วยตัวแทนชุมชน ผู้นำสตรี ผู้นำท้องถิ่น ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และนายกเทศมนตรี เพื่อแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยต่อโครงการสร้างเขื่อนปากแบง (Pak Beng Dam) ในประเทศลาว ที่ห่างจากพรมแดนไทยด้านอำเภอเวียงแก่นเพียง 96 กิโลเมตร โดยโครงการดังกล่าวมีการลงนามซื้อไฟฟ้าระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กับบริษัทเอกชนผู้พัฒนาโครงการแล้ว แต่การศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดนยังไม่มีความชัดเจน

ความกังวลของชุมชนริมโขง

นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว หรือ “ครูตี๋” ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ กล่าวว่า การสร้างเขื่อนปากแบงจะซ้ำเติมปัญหาน้ำโขงเท้อเข้าสู่แม่น้ำสาขา เช่น แม่น้ำอิงและแม่น้ำกก ซึ่งเกิดอุทกภัยใหญ่ในปีนี้จนสร้างความเสียหายแก่พื้นที่เกษตรและชุมชน เขาย้ำว่าหากโครงการดำเนินต่อไปจะก่อให้เกิดความเสียหายที่แก้ไขได้ยาก โดยเฉพาะพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ เช่น แก่งผาได ในอำเภอเวียงแก่น ซึ่งเป็นสถานที่จัดกิจกรรมและแหล่งพักผ่อนของประชาชน รวมถึงหาดบ้านดอนมหาวัน ในอำเภอเชียงของ ที่จะจมหายไปหากมีการสร้างเขื่อน

นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่เกษตรริมโขงที่ชาวบ้านพึ่งพาในช่วงฤดูแล้ง เช่น สวนส้มโอในอำเภอเวียงแก่น ที่ถือเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ หากเกิดน้ำท่วมจากการสร้างเขื่อน ชาวบ้านจะสูญเสียรายได้และต้องเริ่มต้นใหม่จากศูนย์

เสียงสะท้อนจากผู้นำชุมชนและท้องถิ่น

นายอภิธาร ทิตตา นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลม่วงยาย กล่าวว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไม่จำเป็นต้องสร้างเขื่อนเสมอไป โดยเสนอทางเลือกอื่น เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมแสดงความกังวลว่าข้อมูลผลกระทบยังไม่ชัดเจน ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถวางแผนการเกษตรได้

นายประยุทธ โพธิ กำนันตำบลเวียง กล่าวว่า รายได้จากการท่องเที่ยวในพื้นที่จะหายไป เช่น รายได้จากหาดบ้านดอนมหาวัน ที่เคยสร้างรายได้นับแสนบาทต่อปี พร้อมวิพากษ์ว่าการเยียวยาที่เสนอมักไม่ครอบคลุมหรือเพียงพอ

นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ ที่ปรึกษามูลนิธิเพื่อบูรณาการน้ำ เสนอให้หยุดโครงการและศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดนอย่างจริงจังก่อน เพราะเขื่อนปากแบงจะมีผลกระทบต่อพื้นที่ในประเทศไทย โดยเฉพาะน้ำเท้อจากแม่น้ำโขงที่อาจทำลายพื้นที่เกษตรกรรมและชุมชนริมแม่น้ำ

ข้อเสนอแนะจากชุมชน

ชาวบ้านเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาและเผยแพร่ข้อมูลอย่างโปร่งใส รวมถึงผลักดันทางเลือกพลังงานที่ยั่งยืน นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกหรือเลื่อนโครงการจนกว่าจะมีข้อมูลที่เพียงพอ เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยมีพลังงานไฟฟ้าสำรองเพียงพอ และการสร้างเขื่อนจะสร้างผลกระทบต่อชุมชนทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิต

นางประกายรัตน์ ตันดี ผู้ใหญ่บ้านทุ่งงิ้ว อำเภอเชียงของ กล่าวว่า การสร้างเขื่อนปากแบงจะกระทบกลุ่มผู้หญิงริมโขงที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การเก็บไกและปลูกถั่วงอกเพื่อเลี้ยงชีพ เธอเรียกร้องให้ทุกคนร่วมกันเป็นพลังต่อต้านโครงการนี้

ข้อสรุป

ชาวบ้านและผู้นำชุมชนจาก 3 อำเภอริมแม่น้ำโขงในจังหวัดเชียงรายแสดงจุดยืนชัดเจนต่อการคัดค้านโครงการสร้างเขื่อนปากแบง โดยมุ่งเน้นการปกป้องสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต และทรัพยากรธรรมชาติ พร้อมเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ข้อมูลที่โปร่งใสและพัฒนาทางเลือกที่ยั่งยืนแทนการสร้างเขื่อน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : โฮงเฮียนแม่น้ำของ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE