Categories
TOP STORIES

โพลชี้ประชาชนกังวลทุจริต-ขัดแย้ง ในการเลือกตั้ง อบจ. 2568

การวิเคราะห์ผลโพลและสถานการณ์เลือกตั้ง อบจ. 2568: บ้านใหญ่ปะทะบ้านใหม่ โจทย์ใหญ่ของการพัฒนาท้องถิ่น

วันที่ 23 มกราคม 2568 สถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา (IFD) โดย ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ประธาน IFD โพลและเซอร์เวย์ และนางจิตติมา บุญวิทยา ผู้อำนวยการ IFD โพลแอนด์เซอร์เวย์ ได้ร่วมกันแถลงผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนในหัวข้อ “ประชาชนหวั่นเลือกตั้ง อบจ. ถูกแทรกแซง-ทุจริต-ขัดแย้ง-พัฒนาท้องถิ่นสะดุด” ผลสำรวจดังกล่าวเก็บข้อมูลจากประชาชน 1,222 คนที่มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 15-20 มกราคม 2568 ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างเชิงชั้น 5 ขั้นตอน (Stratified Five-Stage Random Sampling) โดยมีค่าความคลาดเคลื่อน ±3% และความเชื่อมั่น 95%

ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน

ผลโพลชี้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่เลือกนายกฯ อบจ. จากคุณสมบัติ 5 ประการ ได้แก่:

  1. เข้าใจปัญหาท้องถิ่น
  2. มีวิสัยทัศน์-นโยบายที่จับต้องได้
  3. ผลงานและประสบการณ์บริหารท้องถิ่น
  4. ประวัติที่ดี
  5. สังกัดพรรคที่ชื่นชอบ

อย่างไรก็ตาม ประชาชนยังคงมีความกังวลต่อการเลือกตั้ง อบจ. โดยเฉพาะการแทรกแซงจากพรรคการเมืองระดับชาติ การทุจริต และการทำงานเพื่อผลประโยชน์ของพรรคหรือกลุ่มพวกพ้อง ทั้งนี้ ความกังวลดังกล่าวครอบคลุมทั้งผู้สมัครจากบ้านใหญ่และบ้านใหม่ โดยในกรณีของบ้านใหญ่ ประชาชนกังวลเรื่องการทุจริตและการผูกขาดการพัฒนา ส่วนบ้านใหม่ถูกตั้งคำถามในด้านประสบการณ์และความสามารถในการปฏิบัติตามที่หาเสียงไว้

การวิเคราะห์ 10 ประเด็นสำคัญโดย ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์

  1. การเชื่อมโยงการเมืองระดับชาติและท้องถิ่น
    พรรคการเมืองระดับชาติใช้เวทีเลือกตั้ง อบจ. เป็นฐานสร้างคะแนนนิยมและเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งระดับชาติในปี 2570
  2. ความเข้าใจท้องถิ่นเป็นปัจจัยสำคัญ
    การรู้จักปัญหาและความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นมีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้งของประชาชน
  3. นโยบายพัฒนาท้องถิ่นถูกลดความสำคัญ
    การเลือกตั้ง อบจ. ถูกครอบงำด้วยนโยบายระดับชาติ ทำให้การพัฒนาท้องถิ่นขาดความโดดเด่น
  4. การพัฒนาท้องถิ่นถูกฉุดรั้งด้วยเกมการเมือง
    การโจมตีระหว่างพรรคการเมืองและกลุ่มบ้านใหญ่-บ้านใหม่ อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งในพื้นที่
  5. พรรคการเมืองเลือกสนับสนุนบ้านใหญ่ที่ทรงอิทธิพลที่สุด
    ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การเลือกตั้งในจังหวัดอุบลราชธานี
  6. กระสุน-กระแส-ความคุ้นเคย
    การเลือกตั้งครั้งนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัย 3 ประการ ได้แก่ เงินทุน (กระสุน) กระแสนิยมระดับชาติ และความคุ้นเคยกับท้องถิ่น
  7. พรรครัฐบาลมีความได้เปรียบ
    พรรคบ้านใหญ่ที่มีอำนาจในระดับรัฐบาลสามารถใช้กลไกราชการสนับสนุนการเลือกตั้ง
  8. หัวคะแนนจัดตั้งชี้ผลการเลือกตั้ง
    หัวคะแนนที่สนับสนุนโดยเงินทุนมีบทบาทสำคัญในการเลือกตั้ง
  9. การเลือกตั้งในชนบทช่วยบ้านใหญ่ได้เปรียบ
    ชุมชนบ้านไม้มีแนวโน้มออกมาใช้สิทธิ์มากกว่าชุมชนบ้านตึก ทำให้พรรคบ้านใหญ่ได้เปรียบ
  10. วันเลือกตั้งที่เอื้อต่อบ้านใหญ่
    การจัดการเลือกตั้งในวันเสาร์เพิ่มความได้เปรียบให้พรรคบ้านใหญ่

ข้อสรุป

การเลือกตั้ง อบจ. ครั้งนี้เป็นสนามการต่อสู้ระหว่างบ้านใหญ่ (พรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทย) และบ้านใหม่ (พรรคประชาชาติ) ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทการเมืองระดับชาติที่เข้ามามีอิทธิพลในระดับท้องถิ่น โดยผู้สมัครที่มีเงินทุนสนับสนุน กระแสนิยม และความคุ้นเคยในพื้นที่จะเป็นตัวแปรสำคัญในการตัดสินชัยชนะ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา (IFD)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงราย เริ่มสมรสเท่าเทียมไทย มอบสิทธิเท่าเทียมทุกอัตลักษณ์ทางเพศ

กฎหมายสมรสเท่าเทียมเริ่มบังคับใช้ คู่รักทั่วไทยร่วมจดทะเบียนวันแรก

เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 นับเป็นวันที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย เมื่อ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 หรือกฎหมายสมรสเท่าเทียม มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ เปิดโอกาสให้บุคคลทุกอัตลักษณ์ทางเพศสามารถจดทะเบียนสมรสได้อย่างเท่าเทียมภายใต้กฎหมายไทย

จุดเริ่มต้นของวันสำคัญ

กฎหมายสมรสเท่าเทียมประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อเดือนกันยายน 2567 และมีผลบังคับใช้ในวันนี้ โดยในช่วงที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย ได้เร่งปรับแก้กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น การเปลี่ยนถ้อยคำในเอกสารราชการจาก “ชาย-หญิง” เป็น “บุคคล” และ “สามี-ภริยา” เป็น “คู่สมรส”

กิจกรรมวันแรกของกฎหมายสมรสเท่าเทียมเริ่มต้นที่ ที่ว่าการอำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย ซึ่งคู่รักคู่แรกได้ทำการจดทะเบียนสมรสต่อหน้านายบดินทร์ เทียมภักดี นายอำเภอเวียงชัย และเจ้าหน้าที่งานทะเบียน โดยมีบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความยินดี

Kick Off การจดทะเบียนสมรสทั่วประเทศ

นายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย เปิดเผยว่า การจดทะเบียนสมรสวันแรกนี้จัดขึ้นในที่ว่าการอำเภอทั้ง 878 แห่งทั่วประเทศ สำนักงานเขต 50 เขตในกรุงเทพมหานคร และสถานกงสุลไทยในต่างประเทศ โดยกิจกรรมเฉลิมฉลองวันสำคัญนี้จัดขึ้นทั้งในกรุงเทพมหานครและพื้นที่อื่น ๆ เช่น ที่กรุงเทพฯ มีคู่รักกว่า 300 คู่ร่วมจดทะเบียนสมรส

สิทธิและประโยชน์จากสมรสเท่าเทียม

กฎหมายสมรสเท่าเทียมมอบสิทธิเสมือนคู่สมรสที่เป็นชาย-หญิง เช่น

  • การจัดการทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส
  • สิทธิในการหย่าและการดูแลบุตร
  • การให้ความยินยอมในการรักษาพยาบาล
  • สิทธิได้รับสวัสดิการจากรัฐ
  • การอุปการะบุตรบุญธรรม

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายกล่าวว่า การจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมครั้งนี้ ไม่เพียงแต่แสดงถึงความเท่าเทียมในสังคมไทย แต่ยังสะท้อนภาพลักษณ์ของประเทศไทยในระดับนานาชาติว่าเป็นประเทศที่เคารพในสิทธิมนุษยชน

เส้นทางสู่กฎหมายสมรสเท่าเทียม

การต่อสู้เพื่อกฎหมายสมรสเท่าเทียมเริ่มต้นมานานกว่าทศวรรษ โดยร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบในวาระที่หนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรในเดือนธันวาคม 2566 และผ่านวุฒิสภาในเดือนมิถุนายน 2567 ก่อนประกาศในราชกิจจานุเบกษา

การเตรียมตัวจดทะเบียนสมรส

ผู้ที่ประสงค์จดทะเบียนสมรสเท่าเทียมต้องเตรียมเอกสาร ได้แก่ บัตรประชาชนตัวจริง หรือสำเนาหนังสือเดินทาง หนังสือรับรองโสด (กรณีสมรสกับชาวต่างชาติ) ใบหย่าตัวจริง (กรณีเคยจดทะเบียนสมรส) และพยาน 2 คน พร้อมบัตรประชาชน

ผลกระทบและความสำคัญ

การเปิดให้จดทะเบียนสมรสเท่าเทียมเป็นก้าวสำคัญที่แสดงถึงความเท่าเทียมและยอมรับในความหลากหลายทางเพศ นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างความมั่นคงให้กับคู่สมรสในด้านสิทธิกฎหมายและสวัสดิการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ศิลปะบนนาข้าวเชียงราย สะท้อนความหวังหลังน้ำท่วมใหญ่

งานศิลปะบนนาข้าว เชียงราย สื่อแรงบันดาลใจผ่านมังกร-แมว-หมาจร

เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานเรื่องราวงานศิลปะบนนาข้าวขนาดใหญ่ในจังหวัดเชียงราย ผลงานสร้างสรรค์โดย ธัญพงศ์ ใจขำ ชาวนาและศิลปินท้องถิ่น ที่เปลี่ยนนาพื้นที่กว่า 12 ไร่ ให้กลายเป็นผลงานศิลปะสื่อความหมาย โดยใช้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อปีก่อน

มังกร แมว และหมาจรในนาข้าว

ผลงานศิลปะในนาข้าวประกอบด้วยภาพ มังกรสีแดง ต้อนรับเทศกาลตรุษจีน และภาพ แมวสี่หูห้าตา ซึ่งเป็นตัวแทนของโชคลาภในท้องถิ่น รวมถึงภาพ หมาจรและแมวจร สื่อถึงสัตว์ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อปีก่อน โดยธัญพงศ์ตั้งใจสื่อสารผ่านงานศิลปะว่า “มังกร” เป็นตัวแทนของการนำพาความโชคร้ายให้ผ่านพ้นไป

แรงบันดาลใจจากศิลปะญี่ปุ่นสู่ศิลปะไทย

ธัญพงศ์ได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะบนนาข้าวของญี่ปุ่น (Tanbo Art) ซึ่งใช้เทคโนโลยีดาวเทียมและจีพีเอสวางแผนการปลูกข้าว โดยธัญพงศ์ใช้พันธุ์ข้าวพิเศษ เช่น ข้าวสรรพสี ที่มีถึง 5 เฉดสีมาสร้างสรรค์ภาพต่างๆ ทีมงานเริ่มต้นด้วยการออกแบบและปักหมุดตามจุดที่กำหนด ก่อนปลูกข้าวให้ตรงตามแผน ผลงานดังกล่าวกลายเป็นแรงดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักศึกษาที่มาชมความงดงามและความละเอียดอ่อนของศิลปะในพื้นที่นี้

ฟื้นฟูชุมชนผ่านศิลปะ

ธัญพงศ์ตั้งเป้าหมายให้ผลงานนี้สร้างแรงบันดาลใจให้เกษตรกรในพื้นที่ฟื้นฟูนาที่เสียหายจากน้ำท่วม และกระตุ้นให้คนในชุมชนเห็นคุณค่าของการใช้ศิลปะร่วมกับการเกษตร ผลงานนี้ยังแสดงถึงความหวังและการฟื้นตัวหลังวิกฤต

ศิลปะที่สะท้อนถึงชีวิตและชุมชน

ธัญพงศ์กล่าวว่า “ผลงานนี้ไม่ใช่เพียงศิลปะเพื่อความสวยงาม แต่ยังสะท้อนความผูกพันกับผืนนาและชีวิตในชนบท” เขาเสริมว่าการสร้างงานศิลปะในนาข้าวต้องอาศัยทั้งความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยี ซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับการเกษตรในประเทศไทย

เปิดให้ชมจนถึงเดือนกุมภาพันธ์

งานศิลปะในนาข้าวของธัญพงศ์เปิดให้ประชาชนเข้าชมจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งเป็นช่วงที่ต้นข้าวพร้อมเก็บเกี่ยว ผลงานนี้ไม่เพียงสะท้อนความงดงามของศิลปะไทย แต่ยังเป็นการส่งต่อเรื่องราวและแรงบันดาลใจให้กับผู้คนในวงกว้าง

งานศิลปะบนนาข้าวของธัญพงศ์ ใจขำ เป็นตัวอย่างที่น่าทึ่งของการผสมผสานศิลปะกับการเกษตร ที่ไม่เพียงแต่สร้างความงดงาม แต่ยังช่วยฟื้นฟูชุมชนและสร้างความหวังในอนาคต.

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

แอปฯ เงินกู้ ละเมิดสิทธิผู้ใช้ ถูดติดตั้งฝังในสมาร์ทโฟน

แอปฯ กู้เงินเถื่อน ‘Fineasy’ ฝังในสมาร์ทโฟน ผู้ใช้ไม่ยินยอม สภาผู้บริโภคเร่งเรียกร้องมาตรการคุ้มครอง

เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2568 สภาองค์กรของผู้บริโภคได้โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียรายงานกรณีพบแอปพลิเคชันกู้เงินเถื่อน เช่น แอปฯ ‘สินเชื่อความสุข’ หรือ ‘Fineasy’ ที่ถูกติดตั้งมาพร้อมระบบปฏิบัติการในสมาร์ทโฟนโดยผู้ใช้ไม่ได้ยินยอม แอปฯ ดังกล่าวฝังตัวในระบบเป็น System App ทำให้ไม่สามารถลบออกได้ ส่งผลกระทบต่อข้อมูลส่วนบุคคล เช่น รายชื่อผู้ติดต่อและเบอร์โทรศัพท์ และอาจถูกใช้ในทางที่ผิด เช่น การล่วงละเมิดทางการเงินหรือการหลอกลวง

ความกังวลต่อความปลอดภัยของผู้ใช้

แอปฯ เงินกู้เถื่อนนี้ส่งการแจ้งเตือนเชิญชวนกู้เงินและเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน ซึ่งการแอบติดตั้งแอปฯ โดยไม่ได้รับความยินยอม ถือเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานและเสี่ยงต่อการก่อปัญหาภัยคุกคามทางการเงิน นอกจากนี้ยังสร้างความเสียหายให้แก่ผู้บริโภคที่ต้องหาวิธีป้องกันตัวเอง

สภาผู้บริโภคเรียกร้องมาตรการจัดการ

สภาองค์กรของผู้บริโภคได้เรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) และ กสทช. เร่งตรวจสอบและแก้ไขปัญหานี้ รวมถึงกำหนดบทลงโทษกับผู้ประกอบการที่กระทำผิดอย่างเข้มงวด

แถลงการณ์ชี้แจงกรณีดังกล่าว พร้อมยืนยันความรับผิดชอบและแนวทางแก้ปัญหา

หลังจากกระแสข่าว ออปโป้ ประเทศไทย และ เรียลมี ประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีดังกล่าว ได้แจ้งลบแอปฯ Fineasy พร้อมยืนยันความรับผิดชอบและแนวทางแก้ปัญหา

ทาง OPPO ชี้แจงดังนี้

“OPPO ขออภัยเป็นอย่างสูงในเหตุการณ์ล่าสุดที่เป็นประเด็นบนหน้าสื่อฯ ออนไลน์ โดย OPPO ตระหนักและให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับประสบการณ์การใช้งานและความปลอดภัยด้านความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานเสมอมา สำหรับประเด็นเกี่ยวกับซอฟต์แวร์จากบุคคลที่สามที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลการกู้ยืมเงินนั้น เรากำลังทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดและตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อจัดการกับปัญหานี้อย่างจริงจังและรวดเร็วที่สุด

ล่าสุด แอปพลิเคชัน Fineasy ได้นำข้อมูลเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคงไว้เฉพาะฟังก์ชันบริการเพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันเท่านั้น นอกจากนี้ เรากำลังเร่งดำเนินการเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถถอนการติดตั้งแอปพลิเคชัน Fineasy ได้โดยเร็วที่สุด หากผู้ใช้งานต้องการถอนการติดตั้งแอปฯ ในทันที สามารถติดต่อศูนย์บริการลูกค้า OPPO อย่างเป็นทางการได้ทั่วประเทศ

นอกจากนี้ OPPO จะหยุดการติดตั้งแอปพลิเคชันประเภทสินเชื่อทั้งหมดที่ติดตั้งไว้ล่วงหน้า รวมถึงการหยุดแนะนำแอปพลิเคชันประเภทนี้ใน APP Market อีกด้วย

OPPO ให้คำมั่นในการพัฒนาและส่งมอบประสบการณ์ที่เป็นเลิศเพื่อผู้ใช้งานทุกท่าน และขอบคุณที่ไว้วางใจและให้การสนับสนุน OPPO เป็นอย่างดีเสมอมา

realme ได้ออกแถลงการณ์ มีเนื้อหาดังนี้

“เรียน ลูกค้าที่เคารพทุกท่าน

realme ขออภัยในความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น

realme ให้ความสำคัญอย่างสูงกับประสบการณ์การใช้งานและความปลอดภัยด้านความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานทุกท่าน ดังนั้น สำหรับกรณีที่เกี่ยวข้องกับบริการสินเชื่อจากแอปพลิเคชันของบุคคลที่สามในช่วงที่ผ่านมา ทางบริษัท realme กำลังดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียดและจัดการอย่างจริงจังโดยเร็วที่สุด

โดยแอปฯ Fineasy ได้ทำการลบข้อมูลเกี่ยวกับสินเชื่อออกทั้งหมดและคงไว้เพียงฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับการบริการในชีวิตประจำวันเท่านั้น และจะเร่งปล่อยอัปเดตสิทธิ์ให้ผู้ใช้งานให้สามารถลบแอป Fineasy และหากผู้ใช้งานต้องการลบแอปพลิเคชันดังกล่าวได้ทันที สามารถติดต่อศูนย์บริการ realme ได้ทั่วประเทศ

นอกจากนี้ realme จะหยุดการติดตั้งแอปพลิเคชันสินเชื่อทุกประเภทในสมาร์ตโฟนรุ่นต่อไป และหยุดการแสดงผลแอปพลิเคชันสินเชื่อเป็นแอปแนะนำใน APP Market

มาตรการป้องกันในอนาคต

สภาผู้บริโภคยังเรียกร้องให้มีการกำหนดมาตรการควบคุมการอัปเดตระบบปฏิบัติการสมาร์ทโฟน เพื่อป้องกันการแอบติดตั้งแอปพลิเคชันที่ไม่ได้รับอนุญาต พร้อมทั้งสนับสนุนให้ผู้ใช้งานตระหนักรู้ถึงภัยคุกคามและรายงานปัญหาที่พบ

เสียงจากผู้ใช้และข้อเรียกร้องเพิ่มเติม

ผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบเรียกร้องให้ผู้ประกอบการออกมารับผิดชอบและเยียวยาความเสียหาย พร้อมทั้งเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐมีมาตรการที่ชัดเจนและรัดกุมในการปกป้องสิทธิผู้บริโภค เพื่อป้องกันปัญหาลักษณะนี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีก

สรุป

กรณีแอปฯ Fineasy เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นถึงปัญหาการละเมิดสิทธิผู้บริโภคและความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งจำเป็นต้องมีมาตรการแก้ไขและป้องกันอย่างจริงจังจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคและป้องกันการกระทำผิดในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาองค์กรของผู้บริโภค / ออปโป้ ประเทศไทย / เรียลมี ประเทศไทย 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

ทีมสัตวแพทย์ช่วยเสือโคร่งติดบ่วงสำเร็จ จากป่าห้วยขาแข้ง

ทีมสัตวแพทย์-เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ช่วยเสือโคร่งติดบ่วงรอดตายสำเร็จ

เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2568 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รายงานความสำเร็จในการช่วยชีวิตเสือโคร่งเพศเมีย อายุไม่เกิน 7 ปี จากผืนป่าห้วยขาแข้งที่ได้รับบาดเจ็บจากบ่วงดักสัตว์นอกเขตอุทยานแห่งชาติพุเตย โดยทีมสัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่ใช้เวลาค้นหาและช่วยเหลือนานถึง 3 วัน

ค้นหาเสือโคร่งกลางป่าทึบด้วยความทุ่มเท

นายชุติเดช กมนณชนุตม์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) เปิดเผยว่า การปฏิบัติการครั้งนี้เป็นความร่วมมือของหลายหน่วยงาน ได้แก่ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติพุเตย สัตวแพทย์จากสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 เจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่าเขาประทับช้างและบึงฉวาก

เมื่อเวลา 10.00 น. ของวันที่ 8 มกราคม 2567 ทีมงานพบร่องรอยของเสือและได้ยินเสียงขู่ในพื้นที่ป่าทึบ ทีมเจ้าหน้าที่จึงวางแผนล้อมจับด้วยการใช้สแลนเพื่อจำกัดพื้นที่ พร้อมใช้อากาศยานไร้คนขับช่วยค้นหา จนกระทั่งเวลา 18.30 น. พบเสือโคร่งนอนอยู่ในร่องห้วย

การช่วยเหลือเสือโคร่งอย่างเร่งด่วน

ทีมสัตวแพทย์ได้ยิงยาสลบก่อนเข้าช่วยเหลือ ตรวจสอบพบว่าข้อเท้าหน้าขวาของเสือถูกลวดสลิงจนได้รับบาดเจ็บรุนแรง ทีมงานได้ทำการตัดลวดสลิง ทำความสะอาดแผล และให้ยาฆ่าเชื้อ สารน้ำ และวิตามิน

หลังจากเสือฟื้นจากยาสลบเมื่อเวลา 20.45 น. ทีมสัตวแพทย์จึงเคลื่อนย้ายเสือโคร่งไปยัง ศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่าบึงฉวาก ซึ่งเป็นสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุด โดยมีทีมสัตวแพทย์ดูแลอาการอย่างใกล้ชิดตลอดการเดินทาง

สะท้อนความสำคัญของการอนุรักษ์สัตว์ป่า

นางสาวสาวิตรี เชื้อพงษ์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติพุเตย กล่าวว่าการพบเสือโคร่งจากผืนป่าห้วยขาแข้งครั้งนี้แสดงถึงการเชื่อมโยงของระบบนิเวศระหว่างผืนป่าตะวันตก แต่ในขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงภัยคุกคามจากบ่วงดักสัตว์

นายชุติเดช ยืนยันว่าจะมีการติดตามอาการเสือโคร่งตัวนี้อย่างใกล้ชิด พร้อมวางแผนการรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้เสือแข็งแรงและสามารถกลับคืนสู่ธรรมชาติได้อย่างปลอดภัย

ความร่วมมือเพื่อสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์

การช่วยชีวิตเสือโคร่งครั้งนี้ไม่เพียงแค่ช่วยชีวิตสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ แต่ยังแสดงถึงความร่วมมือของหลายหน่วยงานที่ทำงานด้วยความมุ่งมั่นและทุ่มเท เพื่อรักษาสมดุลของระบบนิเวศและปกป้องสัตว์ป่าจากภัยคุกคาม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

‘พะเยา’ ประกาศงดเผาเด็ดขาด 20 ก.พ. – 20 เม.ย. 68

พะเยาประกาศงดเผาเด็ดขาด 20 ก.พ. – 20 เม.ย. 2568 แก้ปัญหาหมอกควันไฟป่า

เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2568 นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา เป็นประธานการประชุมแนวทางการปฏิบัติงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ณ ห้องประชุมอุทยานแห่งชาติแม่ปืม อำเภอเมืองพะเยา การประชุมมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าในพื้นที่ ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นหนักที่สุดในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคมของทุกปี

งดเผาเด็ดขาด 20 กุมภาพันธ์ – 20 เมษายน 2568

ที่ประชุมมีมติกำหนดช่วงระยะเวลา “งดเผาเด็ดขาด” ตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ ถึง 20 เมษายน 2568 เพื่อป้องกันและลดปัญหาหมอกควันในพื้นที่ โดยช่วงนี้ยังเป็นช่วงสำคัญที่จังหวัดพะเยาจะจัดพิธีพระราชทานปริญญาบัตรที่มหาวิทยาลัยพะเยาในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568

นอกจากนี้ จะมีการประกาศห้ามเข้าในพื้นที่ป่าอนุรักษ์โดยไม่ได้รับอนุญาตในช่วงงดเผา พร้อมตั้งวอลรูมเฝ้าระวังสถานการณ์ระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว และจัดประชุมคณะทำงานสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

มาตรการเฝ้าระวังและแก้ปัญหา

ในการประชุมยังได้วางแนวทางการดำเนินงานอย่างรอบด้าน โดยมีมาตรการที่สำคัญ ได้แก่

  • จัดชุดลาดตระเวนเฝ้าระวังระดับไฟป่า โดยมีเจ้าหน้าที่จากอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รวมถึงกรมป่าไม้ เฝ้าระวังพื้นที่สำคัญ เช่น วัดอนาลโยทิพยาราม และรอบมหาวิทยาลัยพะเยาช่วงรับเสด็จฯ
  • บริหารจัดการเชื้อเพลิง เช่น การชิงเผา การใช้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรอย่างเป็นประโยชน์ และการจัดระเบียบพื้นที่เผาในพื้นที่เกษตร
  • การสนธิกำลังลาดตระเวน ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง พร้อมจัดทำบัญชีรายชื่อกลุ่มบุคคลที่ต้องเข้าไปสร้างความเข้าใจเป็นพิเศษ

เชียงรายรอการประกาศมาตรการ

สำหรับจังหวัดเชียงราย แม้ยังไม่ได้มีการประกาศช่วงงดเผาอย่างเป็นทางการ แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการประชุมเพื่อกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าอย่างเร่งด่วน

การรณรงค์เชิงบูรณาการ

การประชุมครั้งนี้ถือเป็นการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลให้สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ โดยเน้นความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ องค์กรเอกชน และประชาชนในพื้นที่ เพื่อแก้ปัญหาหมอกควันและไฟป่าอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพะเยา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สปสช. แจ้งความคลินิกเชียงราย เบิกจ่ายเท็จ เสียหาย 1.8 ล้านบาท

สปสช. แจ้งความคลินิกเชียงราย เบิกจ่ายเท็จ มูลค่าความเสียหายกว่า 1.8 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 เวลา 10.00 น. ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในฐานะโฆษก สปสช. ได้เดินทางไปที่ สภ.บ้านดู่ จังหวัดเชียงราย เพื่อแจ้งความกรณีคลินิกแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) ได้กระทำการเบิกจ่ายค่าบริการทางการแพทย์เป็นเท็จ

พบความผิดปกติหลายกรณี

ทพ.อรรถพร เปิดเผยว่า หลัง สปสช. ได้รับเรื่องร้องเรียน ได้เร่งดำเนินการตรวจสอบและพบหลักฐานการกระทำผิด 3 กรณี ได้แก่

กรณีที่ 1 คลินิกที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน ได้แจ้งเรื่องร้องเรียนมาที่ สปสช. เนื่องจากมีผู้ป่วยเข้ารับบริการที่คลินิก แต่ยืนยันตัวตน (Authen) การเข้ารับบริการในระบบไม่ได้ เนื่องจากในเวลาเดียวกันมีคลินิกอีกแห่งหนึ่งที่ สปสช. ได้เข้าแจ้งความในวันนี้ ทำการยืนยันตัวตนรับบริการไปแล้ว ทั้งที่ผู้ป่วยไม่ได้รับบริการแต่อย่างใด 

 

กรณีที่ 2 สปสช. ได้รับการแจ้งเรื่องร้องเรียนผ่านกลุ่มไลน์ กรณีการให้บริการของคลินิกดังกล่าวที่มีจำนวนมากผิดปกติ และไม่น่าเชื่อถือ โดยมีทั้งการส่งต่อผู้ป่วยของโรงพยาบาลที่เจ้าของคลินิกฯ ปฏิบัติงานประจำอยู่ให้กับคลินิกตนเองเพื่อให้บริการจำนวนมาก ทั้งยังมีการให้บริการที่บ้านทุกวัน บางวันมีมีจำนวนมากกว่า 10 ราย โดยแต่ละครั้งบริการที่บ้านจะไม่เกิน 10 นาที ใช้วิธีถ่ายรูปกับผู้ป่วย บันทึกข้อมูลในไอแพดที่มีรายละเอียดไม่ครบถ้วน ไม่สมบูรณ์ ไม่มีลายเซ็นชื่อผู้รับบริการ ซึ่งเจ้าของคลินิกชี้แจงว่า ไม่ได้จัดทำเอกสารแบบสมบูรณ์ จะจัดทำเฉพาะรายที่ สปสช. เรียกตรวจสอบของแต่ละปีงบประมาณนั้น ๆ เท่านั้น

 

และกรณีที่ 3 เป็นข้อมูลจากการร้องเรียนผ่านเพจ Facebook ข่าวสารเวียงป่าเป้า ที่ข้อความระบุว่า มีคลินิกทำการรวบรวมเก็บบัตรประชาชนผู้รับบริการแลกเป็นนม แชมพู และยาสีฟัน ฯลฯ เพื่อนำมาเบิกชดเชย ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่สภาวิชาชีพ สปสช. กฎหมาย หรือระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกำหนด

จากการตรวจสอบ พบว่า คลินิกดังกล่าวเริ่มให้บริการในระบบบัตรทองตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2566 และมีการเบิกจ่ายกองทุนบัตรทองเป็นมูลค่ารวม 1,843,460 บาท ทำให้ สปสช. ได้รับความเสียหาย

สาธารณสุขเชียงรายเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง

ด้าน นพ.วัชรพงษ์ คำหล้า นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า หลังได้รับรายงานดังกล่าว ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงทันที อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่ได้รับเอกสารหรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องจาก สปสช.

นายแพทย์วัชรพงษ์ ย้ำว่า หากพบเจ้าหน้าที่หรือบุคลากรในสังกัดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด จะดำเนินการทั้งทางกฎหมายและทางวินัยอย่างเด็ดขาด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน

สปสช. เตรียมขยายการตรวจสอบทั่วประเทศ

ทพ.อรรถพร กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังการแจ้งความดำเนินคดีกับคลินิกแห่งนี้ สปสช. จะขยายการตรวจสอบไปยังคลินิกอื่นๆ ในระบบที่มีการเบิกจ่ายผิดปกติ เพื่อให้ระบบบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกที่ยังคงโปร่งใสและเชื่อถือได้

ประชาชนร่วมแจ้งเบาะแสเพื่อยกระดับระบบสุขภาพ

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย เชิญชวนประชาชนที่พบเห็นหรือสงสัยกรณีทุจริต หรือมีปัญหาในการรับบริการด้านสาธารณสุข แจ้งข้อมูลหรือร้องเรียนผ่านทุกช่องทาง เพื่อช่วยกันยกระดับมาตรฐานด้านสุขภาพให้มีคุณภาพ โปร่งใส และเป็นที่เชื่อถือได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ทักษิณชูการเมืองท้องถิ่นฟื้นเศรษฐกิจเชียงราย ดึงพลังเพื่อไทยสู้ปี 2568

นายทักษิณปราศรัยเชียงราย ย้ำความสำคัญของการเมืองท้องถิ่น ฟื้นเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตประชาชน

เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2568 นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของนางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย พรรคเพื่อไทย ได้ลงพื้นที่ปราศรัยช่วยหาเสียงในจังหวัดเชียงราย โดยมีประชาชนให้การต้อนรับอย่างล้นหลาม บรรยากาศที่สนามบินแม่ฟ้าหลวงเต็มไปด้วยผู้สนับสนุนที่สวมใส่เสื้อแดง ร่วมแสดงความยินดีและฟังการปราศรัยอย่างคึกคัก

เวทีปราศรัยแน่น 3 จุด

นายทักษิณขึ้นปราศรัยที่โรงเรียนปล้องวิทยาคม อำเภอเทิง, โรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคม อำเภอเชียงของ และโรงเรียนแม่จันวิทยาคม อำเภอแม่จัน โดยมีประชาชนจากหลายพื้นที่มาร่วมรับฟังนับหมื่นคน นายทักษิณกล่าวถึงเหตุผลที่มาช่วยหาเสียงครั้งนี้ว่า ตนคิดถึงประชาชนชาวเชียงรายหลังไม่ได้พบปะกันกว่า 20 ปี อีกทั้งยังต้องการสนับสนุนนายยงยุทธ ติยะไพรัช น้องรักที่ร่วมสร้างพรรคเพื่อไทยมาตั้งแต่ต้น และเพื่อสนับสนุนพรรคเพื่อไทยที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวของตน เป็นนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรค

ย้ำการเมืองท้องถิ่นสำคัญต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

นายทักษิณกล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมองว่าการเมืองท้องถิ่นเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะสถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้มี ส.ส. มากกว่า 200 คนเหมือนในอดีต และระบบเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบทจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูโดยด่วน พร้อมระบุว่า หากเศรษฐกิจในต่างจังหวัดฟื้นตัว กรุงเทพฯ จะได้รับผลดีไปด้วย

นอกจากนี้ นายทักษิณยังเผยว่า เศรษฐกิจในปัจจุบันทรุดหนัก แต่เขามั่นใจว่าสามารถแก้ไขได้ในระยะเวลาไม่นาน หากมีการบริหารจัดการที่ดี เน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และกระตุ้นเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ

ความคาดหวังจากการบริหารรัฐบาลเพื่อไทย

นายทักษิณกล่าวถึงการลดค่าไฟฟ้าให้เหลือ 3.70 บาทต่อหน่วยภายในปีนี้ รวมถึงการลดต้นทุนค่าอาหารสัตว์ ค่าปุ๋ย และยารักษาโรคเพื่อช่วยประชาชน นอกจากนี้ยังชี้แจงว่ารัฐบาลเพื่อไทยกำลังเร่งดำเนินการปราบปรามยาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการผูกขาดทางเศรษฐกิจ เพื่อช่วยให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ประชาชนขอให้นายทักษิณกลับมาเป็นนายกฯ

ในช่วงหนึ่งของการปราศรัย มีประชาชนตะโกนขอให้นายทักษิณกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง แต่เขากล่าวว่า ตนแก่แล้วและขอสนับสนุนลูกสาวแทน พร้อมระบุว่าเคยมีทรัพย์สินมากถึง 60,000 ล้านบาท แต่หลังจากเผชิญปัญหาทางการเมือง ทำให้ทรัพย์สินลดลงจนเทียบเท่าประชาชนในเชียงราย

มุ่งหน้าสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

นายทักษิณกล่าวถึงการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยเฉพาะการพัฒนาคนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจใหม่ เช่น การผลักดันคนไทยไปเป็นนางแบบระดับโลก หรือการสนับสนุนบุคลากรที่มีความสามารถในด้านต่าง ๆ ผ่านการฝึกฝนและส่งเสริมศักยภาพ

สรุป

นายทักษิณ ชินวัตร แสดงจุดยืนสนับสนุนการเมืองท้องถิ่น พรรคเพื่อไทย และการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในทุกด้าน พร้อมให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลจะทำงานอย่างหนักเพื่อแก้ไขปัญหาที่สะสมมาหลายปี และสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับคนไทยทุกคน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ / เพจสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ผู้สมัครนายก อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

คนไทย 151 คน ได้รับอภัยโทษเมียนมา กลับบ้านอย่างปลอดภัย

คนไทย 151 คน ถูกปล่อยตัวจากเมียนมา กลับไทยพร้อมอภัยโทษในวันชาติเมียนมา

เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2568 คนไทยจำนวน 151 คน ที่ถูกทางการเมียนมาจับกุมตั้งแต่ต้นปี 2567 ตามมาตรการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และบ่อนพนันออนไลน์ของเมียนมา ได้รับการอภัยโทษและปล่อยตัวกลับประเทศไทยแล้ว โดยเดินทางกลับผ่าน ด่านถาวร สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 อ.แม่สาย จ.เชียงราย

การปล่อยตัวเนื่องในวันชาติเมียนมา

พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางด้านเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ร่วมประชุมกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมการรับตัวคนไทยจากทางการเมียนมา คนไทยทั้ง 151 คนนี้ แยกเป็นชาย 74 คน และหญิง 77 คน โดยได้รับการอภัยโทษเนื่องในวันชาติเมียนมา ซึ่งตรงกับวันที่ 4 มกราคมของทุกปี

คนไทยกลุ่มดังกล่าวถูกจับกุมในพื้นที่ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา เมื่อช่วงต้นปี 2567 ในข้อหาเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์และบ่อนพนันออนไลน์ ซึ่งทางการเมียนมาดำเนินมาตรการปราบปรามอย่างเข้มข้น คนไทยที่ถูกจับกุมรวม 154 คน ในครั้งแรกนั้น มีเยาวชนบางส่วนที่ได้รับการปล่อยตัวก่อนหน้านี้

กระบวนการส่งตัวกลับไทย

เมื่อเวลา 18.30 น. ของวันที่ 4 มกราคม 2568 คนไทยทั้ง 151 คน ได้เดินทางถึง ด่านถาวร สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 โดยมีนายราชัน มีน้อย รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับและดำเนินการตรวจสอบสถานะบุคคล

กระบวนการหลังส่งตัวประกอบด้วย:

  1. การคัดกรองโรค: เจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้ตรวจสอบสุขภาพร่างกายและโรคติดต่อ
  2. การประเมินสภาพจิตใจ: เจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาและประเมินความเครียดจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา
  3. การสอบปากคำเบื้องต้น: หน่วยงานด่านตรวจคนเข้าเมืองและสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย ได้สอบถามเพื่อหาข้อมูลว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดฐานค้ามนุษย์หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่

แผนดำเนินการต่อไป

สำหรับคนไทยที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดฐานค้ามนุษย์หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เจ้าหน้าที่จะปล่อยตัวให้กลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวและภูมิลำเนาเดิม โดยมีญาติที่มารอรับอยู่ที่ด่านตรวจ ส่วนคนที่พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับคดี เจ้าหน้าที่จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

ความร่วมมือระหว่างไทย-เมียนมา

การปล่อยตัวคนไทยในครั้งนี้เป็นผลมาจากการเจรจาและความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและเมียนมา โดยตลอดปี 2567 ทางการไทยได้ประสานงานอย่างต่อเนื่องเพื่อขออภัยโทษและส่งตัวคนไทยกลับบ้าน

เสียงสะท้อนจากผู้เกี่ยวข้อง

คนไทยที่ได้รับการปล่อยตัวและครอบครัวต่างแสดงความดีใจ พร้อมขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ทำงานอย่างหนักเพื่อให้คนไทยได้กลับบ้าน ขณะที่เจ้าหน้าที่ไทยยืนยันจะติดตามและช่วยเหลือคนไทยในต่างแดนต่อไป

ข้อสังเกตและการเฝ้าระวัง

เหตุการณ์ครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการจัดการปัญหาค้ามนุษย์และอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในภูมิภาค ทั้งยังเป็นการเตือนภัยแก่ประชาชนให้ระมัดระวังการถูกหลอกลวงจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเครือข่ายการพนันออนไลน์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ดราม่าใบกำกับภาษี โรงแรมในเชียงราย นักท่องเที่ยวจี้ถามขอเอกสาร

ดราม่านักท่องเที่ยวขอใบกำกับภาษีไม่ได้ โรงแรมปฏิเสธอ้างเหตุผลจากแพลตฟอร์มจอง

เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานประเด็นดราม่าที่เกิดขึ้นในจังหวัดเชียงราย เมื่อมีนักท่องเที่ยวคนหนึ่งโพสต์บน Facebook ถึงความไม่พอใจหลังเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในพื้นที่ แต่กลับไม่ได้รับใบกำกับภาษีตามคำขอ ทั้งๆ ที่ค่าที่พักได้รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เรียบร้อยแล้ว

จุดเริ่มต้นของเรื่อง

ผู้โพสต์เล่าว่า เขาและครอบครัวได้จองที่พักผ่าน Agoda และชำระเงินเป็นที่เรียบร้อย แต่เมื่อร้องขอใบกำกับภาษีจากโรงแรมกลับไม่ได้รับการตอบสนอง โดยพนักงานฟร้อนท์แจ้งว่าการออกใบกำกับภาษีเป็นหน้าที่ของ Agoda ทำให้เกิดการเจรจาระหว่างผู้โพสต์และพนักงานหลายครั้ง ซึ่งใช้เวลาถึงสองวันก่อนที่จะได้รับใบกำกับภาษี

คุณนุ (นามสมมติ) ผู้โพสต์เรื่องราวดังกล่าว เปิดเผยกับทีมข่าวว่า “เป็นครั้งแรกที่พักโรงแรมในเชียงรายผ่าน Agoda ก่อนหน้านี้เคยใช้บริการในจังหวัดอื่นและไม่เคยมีปัญหาเรื่องใบกำกับภาษี ทุกครั้งที่ขอได้รับบริการที่รวดเร็วและโปร่งใส”

ข้อสงสัยเรื่องการเลี่ยงภาษี

คุณนุระบุว่า การเจรจากับพนักงานโรงแรมครั้งนี้เต็มไปด้วยความไม่ชัดเจน “ผมคิดว่าพนักงานไม่มีความรู้ด้านบัญชี และได้รับคำสั่งจากผู้บริหารให้ปฏิเสธลูกค้า หรือไม่ก็โรงแรมมีเจตนาเลี่ยงภาษีอย่างชัดเจน”

ในท้ายที่สุด โรงแรมออกใบกำกับภาษีให้กับคุณนุ หลังการเจรจาที่ยืดเยื้อถึงสองวัน แต่โรงแรมยอมออกใบกำกับภาษีให้ ซึ่งจำนวนเงินที่ระบุในใบกำกับภาษีไม่ตรงกับยอดที่ชำระจริง

การตอบสนองจากผู้เชี่ยวชาญ

ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ได้สอบถามเจ้าของโรงแรมในจังหวัดเชียงรายเปิดเผยว่า ตามกฎหมาย โรงแรมในประเทศไทยที่จดทะเบียน VAT มีหน้าที่ออกใบกำกับภาษีให้กับลูกค้า โดยยอดเงินในใบกำกับต้องตรงกับยอดที่ลูกค้าจ่ายทั้งหมด แม้จะจ่ายผ่านแพลตฟอร์มตัวแทนเช่น Agoda”

ซึ่งเจ้าของโรงแรมได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ในกรณีการจองผ่าน Agoda โรงแรมจะได้รับเงินค่าที่พักหลังหักค่าคอมมิชชั่นจากแพลตฟอร์ม แต่ยอดเงินที่ต้องออกใบกำกับภาษีคือยอดเต็มที่ลูกค้าชำระ ไม่ใช่ยอดหลังหักค่าคอมมิชชั่น

ปัญหาเชิงระบบที่ใหญ่กว่าตัวบุคคล

โพสต์ดังกล่าวได้รับความสนใจจากชาวเน็ต มีผู้มาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก หลายคนแชร์ประสบการณ์คล้ายกันที่เกิดขึ้นในพื้นที่อื่นๆ เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น และกรุงเทพฯ โดยชี้ว่าเป็นปัญหาเชิงระบบเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีของธุรกิจโรงแรม

ปฏิกิริยาจากชาวเน็ตและผู้เชี่ยวชาญ

โพสต์ดังกล่าวได้รับความสนใจจากชาวเน็ตจำนวนมาก หลายคนแชร์ประสบการณ์ในลักษณะเดียวกันในหลายจังหวัด ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีและภาษีได้ออกมาให้ข้อมูลว่า โรงแรมที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในไทย มีหน้าที่ออกใบกำกับภาษีตามกฎหมาย โดยยอดเงินในใบกำกับภาษีต้องตรงกับยอดที่ลูกค้าจ่าย

ทางเพจ TaxBugnoms ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า โรงแรมที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทยมีหน้าที่โดยตรงในการออกใบกำกับภาษีให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการจองผ่านแพลตฟอร์มหรือการจองโดยตรง เนื่องจากรายได้จากค่าที่พักเป็นของโรงแรมโดยตรง การอ้างว่าแพลตฟอร์ม OTA (Online Travel Agency) เช่น Agoda ต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการออกใบกำกับภาษีนั้นไม่ถูกต้อง

ความสำคัญของใบกำกับภาษี

ใบกำกับภาษีเป็นเอกสารสำคัญสำหรับการแสดงรายละเอียดการซื้อขายสินค้าและบริการ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องการขอคืนภาษีหรือใช้เป็นเอกสารประกอบการยื่นภาษี นักท่องเที่ยวที่เป็นเจ้าของธุรกิจหรือองค์กรที่จดทะเบียน VAT สามารถใช้ใบกำกับภาษีเพื่อลดภาระภาษีได้

 

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการออกใบกำกับภาษีในกรณีนี้

  1. หน้าที่ของโรงแรม: Agoda เป็นเพียงตัวแทนจองที่พัก ไม่ใช่ผู้ให้บริการโดยตรง ดังนั้นการออกใบกำกับภาษีเป็นหน้าที่ของโรงแรม
  2. การชำระ VAT: โรงแรมต้องทำ ภ.พ.36 ซึ่งเป็นการยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มในกรณีซื้อสินค้าหรือบริการจากต่างประเทศ โดยยอดที่ต้องยื่นภาษีคือยอดเต็มตามราคาที่ลูกค้าจ่าย

กระแสตอบรับจากชาวเน็ต

โพสต์ดังกล่าวได้รับความสนใจในวงกว้าง ชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาแสดงความคิดเห็น บางรายแชร์ประสบการณ์ที่เคยประสบปัญหาในลักษณะเดียวกันในหลายพื้นที่ เช่น เชียงใหม่และขอนแก่น พร้อมเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างกรมสรรพากร ลงมาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง

มาตรการแก้ไขปัญหา

กรณีดังกล่าวสะท้อนถึงปัญหาในเชิงระบบของการให้บริการในโรงแรม และเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องมีการอบรมพนักงานในด้านกฎหมายภาษี รวมถึงการจัดการบัญชีอย่างโปร่งใส นอกจากนี้ กรมสรรพากรควรมีมาตรการตรวจสอบและลงโทษโรงแรมที่ฝ่าฝืนกฎหมาย

บทสรุป

กรณีการปฏิเสธออกใบกำกับภาษีของโรงแรมในเชียงรายถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวและภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย การปฏิบัติตามกฎหมายและการให้บริการที่โปร่งใสคือกุญแจสำคัญในการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าและส่งเสริมภาพลักษณ์ของธุรกิจในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE