Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สาวๆ เที่ยวชิลล์ที่ “เชียงราย” ปลอดภัยสุดเป็น อันดับ 2 ของโลก

เชียงรายติดอันดับ 2 เมืองที่ปลอดภัยที่สุดในโลกสำหรับนักเดินทางหญิงสายดิจิทัล

Time Out จัดอันดับ “เชียงราย” เมืองปลอดภัยอันดับสองของโลกสำหรับผู้หญิงนักเดินทางสายดิจิทัล

เชียงราย – วันที่ 10 มีนาคม 2568 Time Out และ Holidu เผยผลสำรวจล่าสุดเกี่ยวกับเมืองที่ปลอดภัยที่สุดในโลกสำหรับ นักเดินทางหญิงสายดิจิทัล (Female Digital Nomads) โดยผลการจัดอันดับระบุว่า เชียงราย ได้รับการจัดให้อยู่ใน อันดับที่ 2 ของโลก รองจาก ไทเป ประเทศไต้หวัน ซึ่งเป็นอันดับหนึ่ง

การสำรวจดังกล่าวอ้างอิงจากข้อมูลของ Nomads.com และใช้เกณฑ์การวิเคราะห์หลายปัจจัย เช่น ความปลอดภัยเมื่อต้องเดินทางคนเดียว ความเป็นมิตรต่อผู้หญิง และกฎหมายเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศในสถานที่ทำงาน ผลการสำรวจชี้ว่า เชียงรายเป็นเมืองที่ มีความปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับผู้หญิงที่ทำงานทางไกลและเดินทางคนเดียว

หญิงดิจิทัลโนแมด” เทรนด์ใหม่มาแรง! อิสระ ทำงานได้ทั่วโลก

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น “หญิงดิจิทัลโนแมด” หรือ “Female Digital Nomads” กำลังเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้หญิงที่ต้องการอิสระในการใช้ชีวิตและการทำงาน

“หญิงดิจิทัลโนแมด” หมายถึง ผู้หญิงที่ทำงานโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ในโลก โดยไม่จำเป็นต้องมีสำนักงานประจำ พวกเธอมีความยืดหยุ่นในการทำงานและสามารถเดินทางไปในสถานที่ต่างๆ ได้ตามต้องการ

ลักษณะสำคัญของหญิงดิจิทัลโนแมด

  • ทำงานทางไกล (Remote Work): ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น อินเทอร์เน็ต, คอมพิวเตอร์, และแอปพลิเคชันต่างๆ ในการทำงาน
  • อิสระในการเดินทาง: สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ที่มีอินเทอร์เน็ต ทำให้พวกเธอสามารถเดินทางและใช้ชีวิตในสถานที่ต่างๆ ได้อย่างอิสระ
  • ความยืดหยุ่น: มีความยืดหยุ่นในการจัดการเวลาและสถานที่ทำงาน ทำให้พวกเธอสามารถสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานได้
  • ทักษะดิจิทัล: มีทักษะและความเชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการทำงาน เช่น การตลาดออนไลน์, การเขียน, การออกแบบกราฟิก, หรือการพัฒนาเว็บไซต์

ข้อดีของการเป็นหญิงดิจิทัลโนแมด

  • อิสระในการใช้ชีวิตและการทำงาน
  • โอกาสในการเดินทางและสัมผัสวัฒนธรรมที่หลากหลาย
  • ความยืดหยุ่นในการจัดการเวลา
  • โอกาสในการสร้างรายได้จากทั่วโลก

ข้อเสียที่ต้องพิจารณา

  • ความไม่แน่นอนของรายได้
  • ความท้าทายในการจัดการเวลาและการสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน
  • ความเหงาและความโดดเดี่ยว
  • ความท้าทายในการจัดการเรื่องภาษีและกฎหมายในต่างประเทศ

ถึงแม้ว่าการเป็นหญิงดิจิทัลโนแมดจะมีข้อเสียที่ต้องพิจารณา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทรนด์นี้กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงที่ต้องการอิสระในการใช้ชีวิตและการทำงาน

เหตุผลที่เชียงรายได้รับเลือกเป็นเมืองปลอดภัยสำหรับนักเดินทางหญิง

  1. ความปลอดภัยในการเดินทางและการใช้ชีวิต

จากรายงาน Holidu ระบุว่า เชียงรายได้รับคะแนนสูงเป็นอันดับสามของโลกในหัวข้อ ความปลอดภัยเมื่อต้องเดินคนเดียว” โดยมีคะแนนสูงถึง 93.18 เทียบกับกรุงเทพฯ ที่ได้เพียง 79.44 คะแนน นอกจากนี้ อัตราอาชญากรรมในเชียงรายยังอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ในเอเชีย

  1. ความเป็นมิตรต่อชาวต่างชาติและผู้หญิง

เชียงรายเป็นเมืองที่มีอัตราส่วนของนักเดินทางหญิงสายดิจิทัลต่อผู้ชายสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก แสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงที่ทำงานทางไกลมีแนวโน้มจะพบเจอและสร้างเครือข่ายกับเพื่อนร่วมอาชีพได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังได้รับคะแนนสูงในด้าน ความเป็นมิตรต่อชาวต่างชาติ” โดยผู้คนในท้องถิ่นมีความต้อนรับและเปิดกว้างต่อผู้มาเยือน

  1. สภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับการทำงานทางไกล
  • ค่าครองชีพต่ำกว่าหลายเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ และภูเก็ต
  • อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง มีให้บริการทั่วเมือง
  • คาเฟ่และพื้นที่ทำงานร่วม (Co-working Spaces) มีให้เลือกมากมาย

นักเดินทางที่ทำงานทางไกลสามารถใช้ชีวิตและทำงานได้อย่างสะดวกสบาย โดยไม่ต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงเกินไป

อันดับเมืองที่ปลอดภัยที่สุดในเอเชียสำหรับนักเดินทางหญิงสายดิจิทัล

  1. ไทเป,ไต้หวัน (อันดับ 1 ของโลก)
  2. เชียงราย,ประเทศไทย (อันดับ2 ของโลก)
  3. ปีนัง,มาเลเซีย (อันดับ5 ของโลก)
  4. เกาสง,ไต้หวัน (อันดับ7 ของโลก)
  5. อูบุด,อินโดนีเซีย (อันดับ10 ของโลก)
  6. หนานจิง,จีน (อันดับ 17 ของโลก)
  7. โซล,เกาหลีใต้ (อันดับ 22 ของโลก)
  8. เชียงใหม่,ประเทศไทย ( อันดับ 26 ของโลก)
  9. กรุงเทพฯ,ประเทศไทย (อันดับ 31 ของโลก)
  10. แทจ็อน,เกาหลีใต้ (อันดับ 44 ของโลก)

ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเชียงราย

ด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

  • ดึงดูดนักเดินทางสายดิจิทัลจากทั่วโลก
  • เพิ่มการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจเกี่ยวกับพื้นที่ทำงานร่วม
  • ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติของเชียงราย

ด้านสังคมและความปลอดภัย

  • ช่วยกระตุ้นการพัฒนานโยบายด้านความปลอดภัยในเมือง
  • ทำให้เชียงรายกลายเป็นต้นแบบของเมืองปลอดภัยสำหรับผู้หญิง
  • เพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับสิทธิของผู้หญิงในที่ทำงาน

ความคิดเห็นที่แตกต่างเกี่ยวกับผลการจัดอันดับ

ฝ่ายที่สนับสนุนมองว่า:

  • เชียงรายเป็นเมืองที่เงียบสงบ ปลอดภัย และมีวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์
  • ความปลอดภัยสูงกว่ากรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ของไทย
  • เป็นโอกาสดีในการพัฒนาเชียงรายให้เป็นศูนย์กลางของ Digital Nomads

ฝ่ายที่กังวลมองว่า:

  • แม้จะเป็นเมืองที่ปลอดภัย แต่อาจต้องพัฒนาสาธารณูปโภคเพิ่มเติม
  • ยังขาดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับชาวต่างชาติ เมื่อเทียบกับเชียงใหม่
  • อาจทำให้ค่าครองชีพในพื้นที่สูงขึ้น และกระทบต่อคนท้องถิ่น

บทสรุป: เชียงราย เมืองแห่งโอกาสสำหรับนักเดินทางสายดิจิทัล

การจัดอันดับครั้งนี้เป็นการยืนยันว่า เชียงรายเป็นเมืองที่มีศักยภาพสูงสำหรับนักเดินทางสายดิจิทัล โดยเฉพาะผู้หญิง เมืองนี้มีความปลอดภัยสูง ค่าครองชีพที่เหมาะสม และเป็นมิตรกับผู้มาเยือน หากสามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการเพิ่มเติม เชียงรายอาจกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของ Digital Nomads ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต

สัมผัสวิถีชีวิตช้างอย่างใกล้ชิดที่ Elephant Family Chiang Rai!

สำหรับผู้ที่สนใจกิจกรรมของ Elephant Family Chiang Rai สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 081 022 6807 โดยทางสถานที่มีโปรแกรมให้เลือก 2 รูปแบบ ได้แก่:

  • โปรแกรมเต็มวัน (1 Day Trip): ราคา 2,500 บาท
  • โปรแกรมครึ่งวัน (Half Day Trip): ราคา 1,800 บาท

ทั้งสองโปรแกรมรวมบริการรถรับส่ง อาหารกลางวัน และไกด์คอยดูแลตลอดกิจกรรม ทำให้ผู้เข้าร่วมได้รับประสบการณ์ที่น่าประทับใจและเรียนรู้เกี่ยวกับช้างอย่างใกล้ชิด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : timeout / Elephant Family Chiang Rai / The Northern Report

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

จับหนุ่ม ‘แม่สลอง’ ฟอกเงินแก๊งคอลฯ วันละ 30 ล้านบาท ได้ส่วนแบ่งอื้อ

ตำรวจ ปอท. จับกุมตัวการสำคัญฟอกเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์กว่า 70 เครือข่าย หลอกคนไทยวันละ 30 ล้านบาท

ปฏิบัติการทลายเครือข่ายฟอกเงินข้ามชาติบนดอยแม่สลอง

เชียงราย – วันที่ 8 มีนาคม 2568 ตำรวจ ปอท. เข้าจับกุม นายบุรพล อายุ 21 ปี ผู้ต้องหาคดีฟอกเงินให้เครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ โดยสามารถจับกุมได้ที่บ้านพักใน หมู่ 6 ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 1842/2567 ลงวันที่ 25 เมษายน 2567 ในข้อหา มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่นและโดยทุจริตหรือหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ข้อมูลอันเป็นเท็จที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน”

การจับกุมครั้งนี้เป็นผลมาจากปฏิบัติการ “Lockdown the Cat” ซึ่งดำเนินการโดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เพื่อกวาดล้างเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ที่มีการฉ้อโกงประชาชนทั่วประเทศ โดยก่อนหน้านี้ ตำรวจสามารถจับกุม บัญชีม้า คนจัดหาบัญชีม้า พนักงานคอลเซ็นเตอร์ และล่ามแปลภาษาของหัวหน้าเครือข่ายชาวจีน ก่อนขยายผลไปถึงนายบุรพล ซึ่งเป็นตัวการสำคัญในการฟอกเงินให้แก๊งดังกล่าว

เผยพฤติกรรมการฟอกเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์

จากการสอบสวน นายบุรพล ให้การรับสารภาพว่า ทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศฟอกเงินในปอยเปต ประเทศกัมพูชา โดยมีเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ หลอกลวงคนไทยกว่า 70 เครือข่าย ใช้บริการฟอกเงินของตนเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบทางการเงิน โดยมีบอสชาวจีนเป็นผู้ควบคุมระบบ

เงินที่ถูกหลอกจากเหยื่อวันละ 30 ล้านบาท จะถูกโอนผ่านบัญชีม้า ก่อนเข้าสู่กระบวนการฟอกเงินผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจเทรดเงินดิจิทัล และโอนผ่านบัญชีต่างประเทศ โดยนายบุรพลจะได้รับส่วนแบ่ง 8-12% ของเงินที่ฟอกได้ คิดเป็นรายได้ต่อเดือนจำนวนมหาศาล

ปฏิบัติการจับกุมและผลกระทบต่ออาชญากรรมทางการเงิน

ปฏิบัติการครั้งนี้ถือเป็น ความก้าวหน้าสำคัญในการปราบปรามเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ในประเทศไทย โดยตำรวจ ปอท. ให้ข้อมูลว่า ตั้งแต่ต้นปี 2567 จนถึงปัจจุบัน มีการจับกุมผู้เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์แล้วกว่า 500 ราย และสามารถยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินได้มูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท

พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผู้บัญชาการตำรวจ ปอท. เปิดเผยว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นอาชญากรรมที่สร้างความเสียหายต่อประชาชนอย่างมาก การจับกุมครั้งนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปฏิบัติการต่อเนื่องในการกวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ” พร้อมย้ำว่า ตำรวจยังคงเดินหน้าตรวจสอบและติดตามเส้นทางการเงินของเครือข่ายเหล่านี้อย่างเข้มข้น

สถิติเกี่ยวกับอาชญากรรมทางไซเบอร์และแนวทางป้องกัน

จากข้อมูลของ ศูนย์ต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์ (CCIB) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า:

  • มูลค่าความเสียหายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในปี 2567 สูงถึง 10,000 ล้านบาท
  • กว่า 85% ของเหยื่อเป็นผู้สูงอายุและคนวัยเกษียณ ที่ตกเป็นเป้าหมายของการหลอกลวง
  • ช่องทางหลักที่ใช้ในการหลอกลวงคือการโทรศัพท์ผ่าน VoIP และการส่ง SMS ปลอม
  • บัญชีม้าในประเทศไทยมีมากกว่า 50,000 บัญชี ที่ถูกใช้ในการโอนเงินผิดกฎหมาย

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับมาตรการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ฝ่ายสนับสนุนมาตรการปราบปรามมองว่า การที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวการฟอกเงินครั้งนี้ได้ แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์” นอกจากนี้ยังเชื่อว่า การใช้เทคโนโลยีและปฏิบัติการเชิงรุกจะช่วยลดจำนวนเหยื่อที่ตกเป็นเป้าหมายของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่มีมุมมองแตกต่างระบุว่า ถึงแม้การจับกุมครั้งนี้เป็นเรื่องดี แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้” เนื่องจากเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์มีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายประเทศในการสืบสวนและปิดช่องโหว่ทางกฎหมาย

บทสรุป: ก้าวต่อไปในการปราบปรามเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์

การจับกุม นายบุรพล และการขยายผลสู่เครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ ถือเป็นความก้าวหน้าสำคัญของ ตำรวจ ปอท. ในการสกัดกั้นเส้นทางการเงินของอาชญากรรมไซเบอร์ อย่างไรก็ตาม การป้องกันปัญหานี้ยังต้องอาศัย ความร่วมมือจากภาครัฐ เอกชน และประชาชน ในการเฝ้าระวัง และแจ้งเบาะแส เพื่อให้สามารถดำเนินคดีและยับยั้งการกระทำผิดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ประชาชนควรเพิ่มความระมัดระวัง ไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวทางโทรศัพท์ หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์ต้องสงสัย และตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนทำธุรกรรมทางการเงิน หากพบเบาะแสการกระทำผิด สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ สายด่วน ปอท. โทร 1441 หรือ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์แห่งชาติ โทร 1599

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

หนุ่มจมแพเปียก ‘แม่สรวย’ ทีมแพทย์ช่วยชีวิตรอดปาฏิหาริย์

ปกครองอำเภอแม่สรวย ตรวจสอบกรณีคนจมน้ำแพเปียก

วันที่ 8 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 15.30 น. ได้มีรายงานข่าวสารในสื่อสังคมออนไลน์ กรณี “เหตุมีชายจมน้ำในสถานที่ท่องเที่ยวล่องแพเปียกแม่สรวย” โดยมีเจ้าหน้าที่งานฉุกเฉินโรงพยาบาลเวียงป่าเป้า ที่อยู่ในพื้นที่ขณะเกิดเหตุสามารถช่วยเหลือผู้ประสบภัยจมน้ำจนมีชีพจร และได้ประสานโรงพยาบาลแม่สรวยเข้ามารับตัวเพื่อไปรักษาต่อ

จากการตรวจสอบข้อมูลกับโรงพยาบาลแม่สรวย สำนักงานสาธารณสุขอำเภอแม่สรวย และกำนันตำบลแม่สรวย พบว่าผู้ประสบเหตุเป็นชายอายุประมาณ 45 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย โดยมาพักอาศัยอยู่ในพื้นที่บ้านสันกลาง หมู่ 2 ตำบลแม่สรวย ซึ่งเป็นบริเวณแหล่งท่องเที่ยวล่องแพเปียกเขื่อนแม่สรวย ขณะเกิดเหตุคาดว่าผู้ประสบเหตุได้ลงเล่นน้ำแล้วเกิดหมดสติจมน้ำ

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายชื่นชมเจ้าหน้าที่ รพ.เวียงป่าเป้า

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ได้ออกแถลงการณ์ชื่นชมเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเวียงป่าเป้า ที่ให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยจมน้ำจนสามารถกลับมามีสัญญาณชีพ โดยเจ้าหน้าที่ที่ร่วมปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ ได้แก่

  1. นายแพทย์สามารถ จันทร์ฤทธิ์ นายแพทย์ชำนาญการ ทำหน้าที่ Leader
  2. นางพีระดา ชัยวรรณะ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ ทำหน้าที่ Commander
  3. นายธนาวุฒิ แก้วปัญญา พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ ทำหน้าที่ CPR
  4. นายภัทรกร ต๊ะต้องใจ เจ้าพนักงานสาธารณสุขชำนาญงาน ทำหน้าที่ CPR
  5. นายอนุพงศ์ ชัยชุม ผู้ช่วยเหลือคนไข้ ทำหน้าที่ CPR
  6. นายทัศนะ สมต๊ะมา ผู้ช่วยเหลือคนไข้ ทำหน้าที่ CPR
  7. นายรัชพล ทุเรียน พนักงานขับรถ ทำหน้าที่ CPR
  8. นายเจษฎา อารุณ นักศึกษาพยาบาลปีที่ 4 มหาวิทยาลัยพะเยา ทำหน้าที่ CPR

นายแพทย์วัชรพงษ์ คำหล้า นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวชื่นชมเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกท่านที่สามารถช่วยชีวิตประชาชนได้อย่างทันท่วงที แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทและความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์ในการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน นอกจากนี้ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายยังขอขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนร่วมในภารกิจครั้งนี้ ซึ่งเป็นตัวอย่างของความเสียสละและความเป็นมืออาชีพของบุคลากรสาธารณสุขที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชนอย่างเต็มกำลัง

มาตรการป้องกันและดูแลความปลอดภัยในพื้นที่ล่องแพเปียก

หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว นายอำเภอแม่สรวย ได้สั่งการให้ นายกเทศมนตรีตำบลเวียงสรวย ดูแลมาตรการรักษาความปลอดภัยทางน้ำในบริเวณที่มีการจัดกิจกรรมล่องแพเปียก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นอีก โดยเน้นมาตรการสำคัญ ได้แก่

  • การกำหนดพื้นที่เล่นน้ำที่ปลอดภัยและการติดตั้งป้ายเตือน
  • การจัดเตรียมเจ้าหน้าที่กู้ภัยและอุปกรณ์ช่วยชีวิตประจำจุดเสี่ยง
  • การให้ผู้ประกอบการแพเปียกมีมาตรการเฝ้าระวัง และควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวต่อรอบให้เหมาะสม

สถานการณ์ความปลอดภัยทางน้ำในเชียงราย

จากข้อมูลของสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย พบว่าในปี 2567 มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์จมน้ำในจังหวัดเชียงรายรวม 28 ราย และมีผู้บาดเจ็บจากการจมน้ำกว่า 50 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุหลักจากการเล่นน้ำในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวโดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม

ความคิดเห็นที่แตกต่างเกี่ยวกับมาตรการรักษาความปลอดภัย

เหตุการณ์ครั้งนี้ได้นำไปสู่การแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างออกเป็นสองด้าน ด้านหนึ่งประชาชนและนักท่องเที่ยวเห็นว่าควรมีมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวดมากขึ้น เช่น การบังคับให้สวมเสื้อชูชีพตลอดเวลา การมีเจ้าหน้าที่ประจำจุด และการเพิ่มการตรวจสอบมาตรฐานของผู้ประกอบการล่องแพเปียก

ขณะที่อีกฝ่ายมองว่าการเพิ่มมาตรการที่เข้มงวดเกินไป อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในท้องถิ่น และอาจทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกไม่สะดวกในการมาเยือน ดังนั้นแนวทางที่เหมาะสมควรเป็นการหาจุดสมดุลระหว่างการดูแลความปลอดภัยและการรักษาบรรยากาศของการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ

ทั้งนี้ คาดว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการหารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถรองรับการท่องเที่ยวในพื้นที่ได้อย่างปลอดภัย และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

ชมกัปตัน ‘จักรี’ ฝนหลวงกล้าหาญ ปลดกระเช้าช่วย ฮ. ดับไฟป่าลำพูน

วินาทีชีวิต! กัปตันจักรีตัดสินใจเฉียบขาด ปลดกระเช้าตักน้ำกู้ภัย ฮ. ฝนหลวง

การตัดสินใจในเสี้ยววินาทีเพื่อรักษาความปลอดภัยและปฏิบัติภารกิจดับไฟป่า

ลำพูน, 7 มีนาคม 2568 – กัปตันจักรี ผู้บังคับอากาศยาน Bell 407 กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้รับเสียงชื่นชมจากประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หลังจากตัดสินใจปลดกระเช้าตักน้ำกลางอากาศเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจทำให้เฮลิคอปเตอร์ตกน้ำ ขณะทำภารกิจดับไฟป่าในพื้นที่ อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน

เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงที่เฮลิคอปเตอร์ของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กำลังตักน้ำจากอ่างเก็บน้ำแม่สาร ตำบลศรีบัวบาน อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน เพื่อนำไปดับไฟป่าที่กำลังลุกลามในเขตพื้นที่ป่าไม้ของจังหวัดลำพูน แต่ระหว่างที่เครื่องกำลังยกตัวขึ้น ปรากฏว่ากระเช้าตักน้ำได้ไปติดกับอวนดักปลาของชาวบ้าน ทำให้เครื่องไม่สามารถยกตัวขึ้นได้ตามปกติ

ด้วยสถานการณ์ฉุกเฉิน กัปตันจักรีจึงตัดสินใจปลดสายเคเบิลของกระเช้าตักน้ำออกจากตัวเฮลิคอปเตอร์ทันที เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจทำให้เครื่องเสียการทรงตัวและตกลงไปในน้ำ ซึ่งการตัดสินใจในเสี้ยววินาทีนี้ช่วยป้องกันอุบัติเหตุร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นได้

แผนการกู้คืนกระเช้าตักน้ำจากอ่างเก็บน้ำแม่สาร

ภายหลังจากเฮลิคอปเตอร์สามารถยกตัวขึ้นได้อย่างปลอดภัย ทางหน่วยกู้ภัยและนักประดาน้ำจาก หน่วยกู้ภัยภาค 5 กู้ภัยเพชรเกษม กู้ภัยอมรินทร์ใต้ ลำพูน และทีมเทวฤทธิ์ ได้รับการประสานให้งมค้นหากระเช้าตักน้ำที่จมอยู่ในอ่างเก็บน้ำแม่สาร ซึ่งมีความลึกประมาณ 10 เมตร การค้นหาดำเนินไปอย่างระมัดระวังจนกระทั่งสามารถนำกระเช้าตักน้ำขึ้นมาได้สำเร็จ

เสียงชื่นชมและความสำคัญของภารกิจดับไฟป่า

เหตุการณ์ครั้งนี้ได้รับเสียงชื่นชมจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดับไฟป่าและการปฏิบัติภารกิจทางอากาศ เนื่องจากนักบินที่ทำภารกิจเหล่านี้ต้องเผชิญกับความเสี่ยงสูงจากสภาพอากาศที่แปรปรวน พื้นที่ปฏิบัติการที่เป็นภูเขาสูง และความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกวินาที

กัปตันจักรี ได้แสดงให้เห็นถึง ความกล้าหาญและสติปัญญาในการตัดสินใจที่แม่นยำ เพื่อรักษาความปลอดภัยของตนเอง ทีมงาน และอากาศยาน รวมถึงป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อประชาชนและทรัพย์สินในพื้นที่

ไฟป่าในลำพูน: สถานการณ์และความเสียหาย

ปัญหาไฟป่าในจังหวัดลำพูน โดยเฉพาะในเขตอำเภอแม่ทา เป็นปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นทุกปี ส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศและสุขภาพของประชาชน จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษพบว่า ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในพื้นที่ลำพูนเพิ่มขึ้นเกินค่ามาตรฐานในช่วงเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นผลมาจากการเผาป่าและการลุกลามของไฟป่า

จากสถิติของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในปี 2567 พบว่า ไฟป่าในภาคเหนือมีพื้นที่ได้รับผลกระทบมากกว่า 1.2 ล้านไร่ และมีจุดความร้อน (Hotspot) มากกว่า 10,000 จุด โดยเฉพาะในจังหวัดลำพูน เชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีป่าสงวนและอุทยานแห่งชาติอยู่เป็นจำนวนมาก

การสนับสนุนจากภาครัฐและแนวทางแก้ไขปัญหาไฟป่า

รัฐบาลไทยได้ประกาศมาตรการเร่งด่วนในการควบคุมไฟป่า โดยมีการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมและโดรนในการเฝ้าระวัง รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดเพื่อลดการเผาป่า นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมอุทยานแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ให้สามารถดำเนินภารกิจดับไฟป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ ประชาชนและอาสาสมัครในพื้นที่ยังมีบทบาทสำคัญในการป้องกันไฟป่า โดยการแจ้งเตือนจุดเกิดเหตุไฟป่า และร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการดับไฟ เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะลุกลามไปยังพื้นที่ใกล้เคียง

มุมมองของประชาชนต่อภารกิจเสี่ยงอันตรายของนักบิน

ประชาชนทั่วไปต่างแสดงความชื่นชมและให้กำลังใจทีมงานกรมฝนหลวงและการบินเกษตร รวมถึงหน่วยดับไฟป่าที่ทำงานอย่างหนักเพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและความปลอดภัยของชุมชน

อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับ ความเสี่ยงของนักบินและเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดิน ที่ต้องปฏิบัติภารกิจในสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตราย บางฝ่ายเสนอให้มีการปรับปรุงมาตรการความปลอดภัย และเพิ่มงบประมาณในการจัดหาเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อสนับสนุนภารกิจเหล่านี้ เช่น การใช้เครื่องบินดับเพลิงที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น หรือการใช้ระบบเติมน้ำอัตโนมัติที่ลดความเสี่ยงของนักบิน

สรุป

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับกัปตันจักรีและเฮลิคอปเตอร์ Bell 407 สะท้อนให้เห็นถึง ความเสียสละและความกล้าหาญของเจ้าหน้าที่ที่ทำงานเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและความปลอดภัยของประชาชน แม้ว่าภารกิจดับไฟป่าจะเต็มไปด้วยความท้าทายและอันตราย แต่ก็เป็นหน้าที่สำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

จากกรณีนี้ ยังเป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับ ความสำคัญของการเตรียมความพร้อมและมาตรการความปลอดภัยในการปฏิบัติภารกิจทางอากาศ ซึ่งควรได้รับการพัฒนาและสนับสนุนให้ดียิ่งขึ้นในอนาคต เพื่อให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับปัญหาไฟป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงสุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดลำพูน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

รัฐบาลปิดเว็บพนัน 8 หมื่นเคส 5 เดือน จับ “มินนี่” ซ้ำ

รัฐบาลเร่งปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ ปิดเว็บผิดกฎหมายกว่า 80,000 รายการ ใน 5 เดือน

มาตรการเข้ม! ปิดเว็บพนัน หลอกลวง และเนื้อหาผิดกฎหมาย ป้องกันภัยไซเบอร์

ประเทศไทย, 7 มีนาคม 2568 – รัฐบาลไทยเดินหน้ามาตรการเข้มข้นในการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) รายงานว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 – กุมภาพันธ์ 2568 ได้ดำเนินการปิดกั้นเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาผิดกฎหมายแล้วกว่า 80,000 รายการ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 1.5 เท่า ถือเป็นมาตรการสำคัญในการป้องกันประชาชนจากภัยไซเบอร์

ผลการดำเนินงานและประเภทของเนื้อหาที่ถูกปิดกั้น

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ เปิดเผยว่า การดำเนินการนี้เป็นไปตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร โดยเน้นตัดวงจรการก่ออาชญากรรมผ่านโซเชียลมีเดียและเว็บไซต์ผิดกฎหมาย ผลการปิดกั้นระหว่างเดือนตุลาคม 2567 – กุมภาพันธ์ 2568 มีดังนี้:

  • เว็บพนันออนไลน์ จำนวน 31,832 รายการ เพิ่มขึ้น 1.3 เท่า จากปีก่อน
  • เนื้อหาหลอกลวงออนไลน์ จำนวน 21,939 รายการ ลดลงจากปีก่อน 0.87 เท่า
  • เนื้อหาผิดกฎหมายอื่น ๆ จำนวน 26,898 รายการ เพิ่มขึ้นถึง 6.5 เท่า

นางสาวศศิกานต์ ระบุว่า การดำเนินการครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐในการเฝ้าระวังและกำจัดภัยไซเบอร์อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเดินหน้าปราบปรามและปิดกั้นเนื้อหาผิดกฎหมายต่อไป เพื่อความมั่นคงของประเทศและความปลอดภัยของประชาชน

ปฏิบัติการจับกุมเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ “มินนี่” สะท้อนปัญหาการฟอกเงิน

นอกจากมาตรการปิดกั้นเว็บผิดกฎหมาย รัฐบาลยังดำเนินการปราบปรามขบวนการอาชญากรรมออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนันและการฟอกเงิน เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. เข้าจับกุม น.ส.ธันยนันท์ หรือ “มินนี่” พร้อมพวก รวม 10 ราย ฐานเปิดเว็บพนันออนไลน์ผิดกฎหมาย 7 เว็บไซต์ ที่มีเงินหมุนเวียนกว่า 200 ล้านบาท

ผู้ต้องหาถูกตั้งข้อหาจัดให้มีการเล่นพนันออนไลน์ สมคบฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน โดยพบว่า 7 รายในเครือข่ายเป็นผู้บริหารที่เคยถูกดำเนินคดีมาก่อน แต่กลับมากระทำผิดซ้ำ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่พบว่าเครือข่ายดังกล่าวใช้เทคนิคเปลี่ยนชื่อโดเมน เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ และยังมีการถอนเงินจากบัญชีพนันออนไลน์ขณะผู้ต้องหาไปรายงานตัวที่ศาลในคดีเดิม

ย้อนรอยเครือข่ายพนันออนไลน์ “มินนี่” จากปี 2566 สู่การจับกุมซ้ำในปี 2568

เจ้าหน้าที่พบว่า “มินนี่” เคยถูกจับกุมเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2566 ในข้อหาจัดให้มีการเล่นพนันออนไลน์และฟอกเงิน โดยพบของกลางจำนวนมาก รวมถึงสมุดบัญชีธนาคารกว่า 100 รายการ เงินสด 920,000 บาท โทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ที่ใช้ดำเนินการเว็บพนัน นอกจากนี้ ยังพบเงินหมุนเวียนในบัญชีมากกว่า 100 ล้านบาท แม้ถูกจับกุมและได้รับการประกันตัว แต่เธอกลับมาเปิดเว็บพนันใหม่ โดยเปลี่ยนชื่อโดเมนและย้ายฐานข้อมูลลูกค้า เพื่อให้การดำเนินการไม่สะดุด

เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่าเครือข่ายของเธอมีการดำเนินการผ่าน 7 เว็บไซต์ ใช้บัญชีม้าและแอดมินที่คอยดูแลระบบการเงิน โดยมีเงินหมุนเวียนภายในกลุ่มผู้ต้องหากว่า 200 ล้านบาท และยังพบพฤติกรรมการใช้กลยุทธ์ซับซ้อนเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่

บทลงโทษและแนวทางแก้ไขปัญหาเว็บพนันออนไลน์

รัฐบาลไทยตระหนักถึงปัญหาการแพร่ระบาดของเว็บพนันออนไลน์ ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจและสังคม การจับกุมและปิดกั้นเว็บพนันถือเป็นมาตรการสำคัญในการลดความเสียหายที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า ควรมีการเพิ่มโทษและมาตรการปราบปรามที่เข้มงวดขึ้น เพื่อป้องกันการกลับมากระทำผิดซ้ำ โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีในการติดตามและระบุตัวผู้กระทำผิด

สถิติการดำเนินคดีและแนวโน้มอาชญากรรมออนไลน์ในประเทศไทย

จากข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในปี 2567 มีการจับกุมคดีพนันออนไลน์กว่า 15,000 คดี และมีมูลค่าความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางการเงินมากกว่า 500,000 ล้านบาท ขณะที่แนวโน้มปี 2568 คาดว่าจำนวนคดีจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากการใช้เทคโนโลยีของกลุ่มอาชญากรมีความซับซ้อนขึ้น

ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ให้ความเห็นว่า รัฐบาลควรบูรณาการความร่วมมือกับองค์กรต่างประเทศ เพื่อช่วยติดตามเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติและเพิ่มการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านความปลอดภัยไซเบอร์ รวมถึงการพัฒนากฎหมายให้สามารถปิดกั้นและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

โดยสรุป รัฐบาลไทยยังคงเดินหน้าปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์อย่างเข้มข้น ทั้งการปิดกั้นเว็บผิดกฎหมายและการจับกุมผู้กระทำผิด แม้ว่าจะมีความท้าทายในด้านเทคนิคและกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย แต่แนวทางที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ในขณะนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการปกป้องประชาชนและสร้างความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ให้กับสังคมไทยในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES WORLD PULSE

จีนยันส่ง 40 อุยกูร์! ไม่ละเมิดสิทธิฯ UNHCR กลัวจีนโกรธ

สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยชี้แจงกรณีส่งตัว 40 ชาวจีนกลับประเทศ

การดำเนินการของรัฐบาลไทยและปฏิกิริยาระหว่างประเทศ

ประเทศไทย, 2 มีนาคม 2568สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความชี้แจงล่าสุดเกี่ยวกับกรณีการส่งตัวชาวจีนจำนวน 40 คนกลับประเทศจีน หลังมีคำถามจากผู้สื่อข่าวและการแสดงความกังวลจากประเทศและองค์กรระหว่างประเทศบางแห่ง โฆษกสถานทูตจีนได้รวบรวมคำถามและให้คำตอบเพื่ออธิบายถึงรายละเอียดของกรณีดังกล่าว

การส่งตัวชาวจีนกลับประเทศและข้อโต้แย้งด้านกฎหมายระหว่างประเทศ

คำถามแรกที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ การส่งตัวชาวจีนที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายจำนวน 40 คนกลับประเทศจีน ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่ โฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีนชี้แจงว่า บุคคลเหล่านี้เป็นผู้ที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ไม่ใช่ผู้ลี้ภัย ดังนั้น การส่งตัวพวกเขากลับประเทศจึงถือเป็นกระบวนการปกติของการบังคับใช้กฎหมายที่สอดคล้องกับหลักมาตรฐานสากล

ทางการไทยและจีนมีหลักฐานยืนยันว่าผู้ถูกส่งตัวไม่ใช่ผู้ลี้ภัย และรัฐบาลไทยดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมายการควบคุมการลักลอบอพยพผิดกฎหมายซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากล ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2567 ประเทศขนาดใหญ่หลายแห่งได้ส่งกลับบุคคลที่เข้าเมืองผิดกฎหมายมากกว่า 270,000 คน

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่วิพากษ์วิจารณ์มองว่า การส่งตัวบุคคลดังกล่าวอาจเป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนและกฎหมายระหว่างประเทศ โดยองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนและรัฐบาลบางประเทศแสดงความกังวลเกี่ยวกับสวัสดิภาพของผู้ถูกส่งตัวหลังเดินทางกลับจีน

ข้อกังวลเรื่องสิทธิมนุษยชนและการปฏิบัติต่อผู้ถูกส่งตัว

บางประเทศและองค์กรระหว่างประเทศตั้งคำถามว่า บุคคลที่ถูกส่งตัวกลับอาจถูกทรมานและละเมิดสิทธิมนุษยชนเมื่อเดินทางถึงจีน ทางสถานทูตจีนตอบว่า รัฐบาลจีนปฏิบัติตามหลักการปกครองโดยกฎหมาย และยึดมั่นในอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน (Convention Against Torture) ที่จีนเป็นภาคีมาตั้งแต่ปี 2529

ทางการจีนยืนยันว่าผู้ที่ถูกส่งตัวกลับได้รับการดูแลและได้กลับสู่ครอบครัวแล้ว นอกจากนี้ รัฐบาลท้องถิ่นของจีนจะให้ความช่วยเหลือด้านอาชีพและการพัฒนาทักษะให้กับบุคคลเหล่านี้ เพื่อให้พวกเขาสามารถกลับเข้าสู่สังคมได้โดยเร็วที่สุด

กรณีซินเจียงและปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้าย

คำถามที่สามเกี่ยวข้องกับ สถานการณ์ในซินเจียง ซึ่งถูกกล่าวถึงว่าเป็นประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนมานานหลายปี โดยมีรายงานเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิของชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ

สถานเอกอัครราชทูตจีนระบุว่า ตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา เขตปกครองตนเองซินเจียงเผชิญกับภัยคุกคามจากกลุ่มก่อการร้าย รวมถึงขบวนการอิสลามเตอร์กิสถานตะวันออก (ETIM) ซึ่งได้รับการขึ้นบัญชีเป็นกลุ่มก่อการร้ายโดยองค์การสหประชาชาติ ทางการจีนจึงดำเนินมาตรการรักษาความมั่นคงอย่างเข้มงวด ส่งผลให้ซินเจียงไม่มีเหตุการณ์ก่อการร้ายอีกเลยตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จากองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนและรัฐบาลบางประเทศให้ความเห็นว่า มาตรการของจีนอาจละเมิดสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพทางศาสนา โดยมีรายงานว่าผู้ที่ถูกส่งตัวกลับอาจเผชิญกับการควบคุมตัวโดยไม่มีการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม

การติดตามชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ถูกส่งตัวกลับในอนาคต

โฆษกสถานทูตจีนยืนยันว่า ทางการจีนยินดีต้อนรับเจ้าหน้าที่ไทยให้เดินทางไปตรวจสอบความเป็นอยู่ของบุคคลที่ถูกส่งตัวกลับ และให้ความมั่นใจว่าพวกเขาจะได้รับโอกาสในการสร้างชีวิตใหม่ในประเทศบ้านเกิดของตน

ข้อพิพาทระหว่างไทย จีน และองค์กรระหว่างประเทศ

รายงานจาก The New Humanitarian เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับบทบาทของ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ต่อสถานการณ์ของผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ในประเทศไทยที่ถูกควบคุมตัวเป็นเวลานานกว่าสิบปี โดยมีข้อกล่าวหาว่า UNHCR ปฏิเสธที่จะเข้ามามีบทบาทช่วยเหลือ เนื่องจากแรงกดดันจากจีน และความกังวลเกี่ยวกับการลดเงินสนับสนุนจากรัฐบาลจีน

ไทยกับการควบคุมตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์

เอกสารภายในของ UNHCR ที่ถูกเปิดเผยโดย The New Humanitarian ระบุว่า รัฐบาลไทยได้ควบคุมตัวชาวอุยกูร์ 48 คนมาตั้งแต่ปี 2014 โดยไม่มีข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการ ในจำนวนนี้ 5 คนถูกลงโทษจำคุกจากความพยายามหลบหนีในปี 2020 ส่วนที่เหลือ 43 คนถูกควบคุมตัวในศูนย์กักตัวคนต่างด้าวในกรุงเทพฯ โดยถูกตัดขาดจากการติดต่อกับครอบครัว ทนายความ และกลุ่มสิทธิมนุษยชน

UNHCR กับการปฏิเสธบทบาทในการช่วยเหลือ

The New Humanitarian รายงานว่า รัฐบาลไทยได้พยายามขอความร่วมมือจาก UNHCR ตั้งแต่ปี 2015 ให้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่ถูกกักตัวในไทย แต่ถูกปฏิเสธ สาเหตุหนึ่งมาจากความกังวลว่า จีนอาจลดเงินสนับสนุนต่อ UNHCR หากมีการดำเนินการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์มากเกินไป

บาบาร์ บาลอช โฆษกของ UNHCR ให้สัมภาษณ์ว่า UNHCR ได้หยิบยกประเด็นนี้พูดคุยกับรัฐบาลไทย แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงผู้ลี้ภัยหรือดำเนินการช่วยเหลือโดยตรง นอกจากนี้ เอกสารภายในของ UNHCR ยังระบุว่าหากมีการเข้าไปช่วยเหลือชาวอุยกูร์ในไทย อาจกระทบความสัมพันธ์กับจีนและการดำเนินงานในประเทศจีน

ผลกระทบของอิทธิพลจีนต่อ UNHCR

จากเอกสารภายในของ UNHCR ระบุว่า มีความเสี่ยงที่จีนจะลดเงินสนับสนุนให้กับ UNHCR ซึ่งครอบคลุมถึงโครงการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในหลายประเทศ และอาจส่งผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่ UNHCR ที่ทำงานอยู่ในจีน

ฟิล โรเบิร์ตสัน รองผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียของ ฮิวแมนไรท์วอตช์ (Human Rights Watch – HRW) ให้ความเห็นว่า UNHCR ล้มเหลวในการปกป้องผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ เนื่องจากกลัวการตอบโต้จากจีน เขายังระบุว่า รัฐบาลไทยเองพยายามให้ UNHCR มีบทบาทมากขึ้น แต่ UNHCR กลับเลือกที่จะถอยห่างออกจากประเด็นนี้

ข้อกังวลเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน

นักวิเคราะห์ด้านสิทธิมนุษยชนมองว่าการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนอาจ ละเมิดหลักการไม่ส่งกลับ (Non-Refoulement) ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของกฎหมายผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ ที่กำหนดให้ ห้ามส่งตัวบุคคลกลับไปยังประเทศที่เขาอาจเผชิญกับอันตรายหรือการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ข้อคิดเห็นจากสองมุมมอง

  • ฝ่ายที่สนับสนุนการส่งตัวกลับ: เห็นว่าการดำเนินการของไทยเป็นไปตามหลักกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศ นอกจากนี้ จีนเองมีระบบกฎหมายที่เข้มแข็งในการปกป้องสิทธิของพลเมืองตนเอง
  • ฝ่ายที่คัดค้านและแสดงความกังวล: มีข้อกังวลเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะในกรณีของชนกลุ่มน้อยในซินเจียง ที่อาจไม่ได้รับความเป็นธรรมเมื่อต้องกลับไปอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลจีน

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

จากข้อมูลของ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแห่งประเทศไทยและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน พบว่า:

  • ในปี 2567 ประเทศไทยส่งตัวชาวต่างชาติที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายมากกว่า 15,000 คน
  • ประเทศใหญ่บางประเทศมีการส่งตัวบุคคลที่เข้าเมืองผิดกฎหมายกลับประเทศต้นทางมากกว่า 270,000 คน
  • องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนรายงานว่ามีชาวอุยกูร์ประมาณ 1 ล้านคนที่ถูกควบคุมตัวในศูนย์กักกันในซินเจียง
  • รัฐบาลจีนรายงานว่ารายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชาชนในซินเจียงเพิ่มขึ้น 6.7% ในปี 2567

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแห่งประเทศไทย / กระทรวงการต่างประเทศจีน / องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ / The New Humanitarian

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

จับ 9 จีน สแกมเมอร์ ใช้ AI หลอกลงทุน คริปโทฯ สหรัฐฯ

เชียงรายจับ 9 ชาวจีน ตั้งฐานสแกมเมอร์ ใช้ AI หลอกเหยื่อสหรัฐลงทุนคริปโทฯ

ตำรวจภาค 5 บุกทลายขบวนการ Hybrid Scam

เชียงราย, 28 กุมภาพันธ์ 2568 – เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.ภ.5 ร่วมกับ ตม.5 นำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านพักแห่งหนึ่งในหมู่ 15 ต.บ้านดู่ อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย ก่อนทำการจับกุม เครือข่ายสแกมเมอร์ชาวจีนจำนวน 9 คน ที่ใช้เทคโนโลยี AI และ ChatGPT ในการหลอกลวงนักลงทุนต่างชาติให้ร่วมลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี่

แผนการหลอกลวง: ใช้ AI สร้างโปรไฟล์ปลอม

ขบวนการนี้ใช้วิธี สร้างแอคเคาต์สื่อสังคมออนไลน์ปลอม โดยใช้โปรไฟล์ที่ดูดี สร้างความน่าเชื่อถือ แล้วเลือกเหยื่อจากสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ก่อนจะตีสนิทผ่านแชต AI และหลอกให้โอนเงินเพื่อร่วมลงทุนในคริปโทฯ ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลในต่างประเทศ

รายชื่อผู้ต้องหาชาวจีนที่ถูกจับกุม

  1. Mr.Cao TaiQing อายุ 32 ปี ไม่มีหนังสือเดินทางตัวจริง พบภาพหนังสือเดินทางในมือถือ
  2. Mr.Tu Xing อายุ 29 ปี ไม่มีหนังสือเดินทาง และไม่มีหลักฐานตัวตน
  3. Mr.Yi Xiu อายุ 30 ปี ไม่มีหนังสือเดินทาง และไม่มีหลักฐานตัวตน
  4. Mr.Duan Guang Shun อายุ 21 ปี มีหนังสือเดินทางตัวจริง วีซ่านักศึกษาหมดอายุ 20 ส.ค. 2568
  5. Mr.Li Jiawei อายุ 22 ปี มีหนังสือเดินทางตัวจริง วีซ่านักศึกษาหมดอายุ 20 ส.ค. 2568
  6. Mr.Yang Lianwei อายุ 24 ปี มีหนังสือเดินทางตัวจริง วีซ่านักศึกษาหมดอายุ 20 ส.ค. 2568
  7. Mr.Cheng Yue อายุ 20 ปี ไม่มีหนังสือเดินทางตัวจริง พบภาพหนังสือเดินทางในมือถือ
  8. Mr.Jrang Kai Hang อายุ 32 ปี ไม่มีหนังสือเดินทางตัวจริง พบภาพหนังสือเดินทางในมือถือ
  9. Mr.Huang RangXin อายุ 26 ปี ไม่มีหนังสือเดินทางตัวจริง พบภาพหนังสือเดินทางในมือถือ

นอกจากนี้ยังสามารถจับกุม ผู้ร่วมขบวนการชาวไทย 1 คน ได้แก่ น.ส.อรทัย (สงวนนามสกุล) อายุ 21 ปี ซึ่งเป็นภรรยาของ Mr.Cao TaiQing

ตรวจยึดของกลางมูลค่าสูง

เจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึด คอมพิวเตอร์จำนวน 14 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 81 เครื่อง พร้อมอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหลายรายการ ซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงเหยื่อ

ข้อหาทางกฎหมายและการดำเนินคดี

เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งหมดถูกแจ้งข้อหาในความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และ พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พร้อมนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สถิติและผลกระทบของอาชญากรรมทางไซเบอร์

จากข้อมูลของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าในปี 2567 คดีสแกมเมอร์และอาชญากรรมทางไซเบอร์เพิ่มขึ้นกว่า 200% โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับ การใช้ AI ในการหลอกลวง ซึ่งทำให้ประชาชนทั่วโลกเสียหายเป็นจำนวนมหาศาล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองบังคับการสืบสวนภูธรภาค 5 ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีตำรวจภูธรภาค 5

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

สว. ยื่นเชือด “ทวี” กล่าวหาฮั้วเลือก ผิดอั้งยี่

มงคล” ยื่น ป.ป.ช. สอบ “ทวี-อธิบดีดีเอสไอ” ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง กรณีฮั้วเลือก ส.ว.

รัฐสภา, 28 กุมภาพันธ์ 2568 – นาย มงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้ทำหนังสืออย่างเป็นทางการถึง ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้พิจารณาไต่สวน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรณี ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยเกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหา ฮั้วเลือก ส.ว.” ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิด อั้งยี่และฟอกเงิน

การยื่นเรื่องนี้เป็นไปตาม ความประสงค์ของสมาชิกวุฒิสภา ที่ต้องการให้ ป.ป.ช. พิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่

ที่มาของการร้องเรียน: ข้อกล่าวหาเรื่อง “ฮั้วเลือก ส.ว.”

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) พร้อมคณะ ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายมงคล สุระสัจจะ ขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของ พ.ต.อ.ทวี และ พ.ต.ต.ยุทธนา โดยระบุว่าทั้งสองบุคคลมีพฤติกรรมเข้าข่าย

  • กระทำผิดมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
  • ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ตามมาตรฐานจริยธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ
  • อาจเข้าข่ายความผิดฐานอั้งยี่และฟอกเงิน จากกรณีข้อกล่าวหาการฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา

โดยหนังสือที่ยื่นถึงประธานวุฒิสภาเมื่อวันที่ 27 ก.พ. ได้รับการพิจารณา และ ดำเนินการส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช. ในวันที่ 28 ก.พ. อย่างเร่งด่วน

พ.ต.อ.ทวี – พ.ต.ต.ยุทธนา อาจถูกสอบสวนอย่างละเอียด

กรณีนี้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง และ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ ต้องเผชิญกับการพิจารณาจาก คณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งอาจนำไปสู่การไต่สวนในรายละเอียด และหากพบว่ามีมูลความผิดจริง อาจส่งผลให้ทั้งสองคนต้องรับโทษตามกฎหมายและมาตรฐานทางจริยธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ

มาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ระบุว่า เจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อาจมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท

มาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงของเจ้าหน้าที่รัฐ หากพิสูจน์ได้ว่า ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม อาจนำไปสู่โทษสูงสุดคือ ถูกถอดถอนจากตำแหน่ง และเพิกถอนสิทธิทางการเมือง

ปฏิกิริยาทางการเมืองและผลกระทบต่อการทำงานของรัฐบาล

การยื่นเรื่องสอบสวนในครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนในแวดวงการเมือง โดยเฉพาะในกระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสรรหา ส.ว.

นักวิเคราะห์การเมืองมองว่า กรณีนี้อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดแรงกดดันต่อรัฐบาลและฝ่ายบริหาร เพราะเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับบุคคลระดับสูงในหน่วยงานสำคัญ และหากมีการดำเนินคดี อาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของกระบวนการยุติธรรมของไทย

ขณะที่ สภาวุฒิสภา (ส.ว.) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ อาจมีท่าทีแข็งกร้าวมากขึ้น หากพบว่าข้อกล่าวหานี้มีมูลจริง

แนวโน้มการพิจารณาของ ป.ป.ช. และกระบวนการต่อไป

หลังจากการรับเรื่องจากประธานวุฒิสภา ป.ป.ช. มีอำนาจในการ

  • แต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวน เพื่อสืบสวนข้อเท็จจริง
  • เรียกพยานบุคคลและเอกสารหลักฐาน ที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว
  • ตรวจสอบเส้นทางการเงิน หากพบว่ามีการกระทำที่เข้าข่ายฟอกเงิน
  • เสนอมาตรการลงโทษทางกฎหมายและทางจริยธรรม

กระบวนการไต่สวนของ ป.ป.ช. อาจใช้เวลาหลายเดือนหรือเป็นปี ขึ้นอยู่กับปริมาณหลักฐานและความซับซ้อนของคดี

สถิติที่เกี่ยวข้องกับคดีทุจริตในไทย

  • จำนวนคดีทุจริตที่ ป.ป.ช. รับเรื่องในปี 2567: 6,842 คดี (ที่มา: ป.ป.ช.)
  • จำนวนคดีที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง: 1,253 คดี (ที่มา: ป.ป.ช.)
  • จำนวนคดีที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเลือกตั้ง ส.ว. และ ส.ส.: 187 คดี (ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง – กกต.)
  • คดีที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 157 ที่ ป.ป.ช. ส่งฟ้องในศาลอาญาคดีทุจริต: 82 คดี (ที่มา: ป.ป.ช.)

บทสรุป

กรณีนี้ถือเป็น ประเด็นร้อนทางการเมืองและกระบวนการยุติธรรม ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อ ภาพลักษณ์ของรัฐบาล และ ระบบการตรวจสอบภาครัฐ หาก ป.ป.ช. มีมติรับไต่สวน คดีนี้อาจนำไปสู่ การเปิดโปงขบวนการทุจริตในวงการเมืองระดับสูง อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

รัฐบาลและวุฒิสภาจะต้องจับตา ผลสรุปของ ป.ป.ช. อย่างใกล้ชิด และคาดว่าการพิจารณาคดีนี้ จะเป็นที่จับตามองจากประชาชน และองค์กรต่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสทางการเมืองของไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : รัฐสภา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

ส่ง “อุยกูร์” กลับจีน ‘นานาชาติ’ หรือ ‘ไทย’ ใครทำถูก

รัฐบาลไทยชี้แจงการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน ยืนยันดำเนินการตามหลักกฎหมายและความสมัครใจ

กรุงเทพฯ, 27 กุมภาพันธ์ 2568 – นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกมาแถลงข่าวถึงกรณีที่รัฐบาลไทยดำเนินการส่งตัว ชาวอุยกูร์ 40 คน กลับสู่ประเทศจีน โดยยืนยันว่า เป็นการดำเนินการที่รอบคอบ เป็นไปตามหลักกฎหมาย และกระบวนการทางการทูตระหว่างสองประเทศ โดยคำนึงถึง สิทธิมนุษยชนและสวัสดิภาพของผู้ถูกส่งตัวกลับเป็นสำคัญ

การดำเนินการตามข้อตกลงไทย-จีน และความสมัครใจของผู้ถูกส่งตัว

รองนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า การส่งตัวชาวอุยกูร์ครั้งนี้ เป็นไปตามคำร้องขอจากรัฐบาลจีนอย่างเป็นทางการ ซึ่งรัฐบาลจีนได้แจ้งว่ากลุ่มบุคคลเหล่านี้เป็นพลเมืองของจีนที่ลักลอบเดินทางเข้ามาในประเทศไทย และไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่ามีการกระทำผิดทางอาญาหรืออาชญากรรมใดๆ

“รัฐบาลไทยไม่มีความต้องการที่จะควบคุมตัวบุคคลเหล่านี้ไว้อีกต่อไป เพราะพวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของไทยเป็นเวลานานแล้ว การส่งตัวกลับไปยังมาตุภูมิเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย และที่สำคัญ ทุกคน ยินยอมและสมัครใจ ที่จะเดินทางกลับจีน” นายภูมิธรรมกล่าว

การส่งตัวในครั้งนี้เป็นไปตาม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทำร้ายและการกระทำที่ทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 และกระบวนการดำเนินงานได้มีการตรวจสอบจากหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนของไทยอย่างใกล้ชิด

ติดตามตรวจสอบสวัสดิภาพของชาวอุยกูร์หลังส่งตัวกลับ

เพื่อสร้างความมั่นใจในสวัสดิภาพของผู้ถูกส่งตัวกลับ รองนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า รัฐบาลไทยจะเดินทางไปติดตามตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์ในจีน โดยมี นายทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้แทนเดินทางไปในช่วง 7 วันแรกหลังจากการส่งตัว ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงที่รัฐบาลจีนให้การรับรองว่าชาวอุยกูร์ทุกคน จะได้รับความปลอดภัยและไม่ถูกดำเนินคดี

“ทางการจีนได้ให้คำมั่นสัญญาว่า ชาวอุยกูร์เหล่านี้จะได้รับการดูแลอย่างดี รวมถึงการสนับสนุนด้านอาชีพและการดำรงชีวิตหลังจากกลับไปยังบ้านเกิด” รองนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติม

ความพยายามของรัฐบาลไทยในการหาประเทศที่สาม

นายภูมิธรรมยังได้กล่าวถึงความพยายามของรัฐบาลไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ในการหาประเทศที่สามเพื่อรองรับชาวอุยกูร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ ประเทศไทยเคยส่งตัวกลุ่มผู้ต้องกักที่เป็นสตรี เด็ก และผู้สูงอายุจำนวน 109 คนไปยังตุรกี อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลาที่เหลือ ไม่มีประเทศที่สามใดเสนอรับตัวชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ไป ทำให้รัฐบาลไทยต้องหาทางออกที่เหมาะสมที่สุด

“รัฐบาลไทยพยายามหาทางออกที่เป็นธรรมและสมเหตุสมผลให้กับบุคคลกลุ่มนี้มาโดยตลอด แต่เมื่อไม่มีประเทศที่สามรับรอง ทางออกที่เป็นไปได้และมีความปลอดภัยสูงสุดคือการให้พวกเขากลับไปยังประเทศต้นทาง ซึ่งได้รับการรับรองจากรัฐบาลจีนว่าจะไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน” นายภูมิธรรมกล่าว

กระแสต่อต้านจากนานาชาติ และการตอบสนองของรัฐบาลไทย

หลังจากมีรายงานการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน รัฐบาลสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ได้ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลเกี่ยวกับกรณีนี้ โดยระบุว่า อาจเป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนและหลักการห้ามส่งกลับ (Non-refoulement Principle)

ด้าน ลิซ ธรอสเซล โฆษกด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (UNHCR) ได้ออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลไทย และเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเปิดเผยรายละเอียดของการดำเนินการ รวมถึงให้รัฐบาลจีนรับรองความปลอดภัยของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับ

นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า รัฐบาลไทยได้ดำเนินการทุกขั้นตอนตามหลักสากลและกฎหมายของประเทศ โดยยืนยันว่าไม่มีหลักฐานใดที่ชี้ให้เห็นว่าชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับ จะถูกดำเนินคดีหรือได้รับอันตรายใดๆ

“ทางการจีน เปิดให้รัฐบาลไทยสามารถเดินทางไปตรวจสอบ ได้ทุกเมื่อ และหากพบว่ามีการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมต่อชาวอุยกูร์เหล่านี้ รัฐบาลไทยจะดำเนินการอย่างเหมาะสมเพื่อปกป้องสิทธิของพวกเขา” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ประเด็นด้านความมั่นคง และคำเตือนจากนานาชาติ

หลังจากการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน กระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น ได้ออกคำเตือนด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศไทย โดยอ้างอิงถึง เหตุระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณเมื่อปี 2558 ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนในช่วงเวลานั้น

นอกจากนี้ องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนหลายแห่งยังแสดงความกังวลว่าการดำเนินการของรัฐบาลไทยในครั้งนี้ อาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีโลก โดยเฉพาะในเรื่องของสิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรม

ข้อสรุปและทิศทางต่อไป

การส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนครั้งนี้ถือเป็น กรณีที่ละเอียดอ่อนทั้งในด้านสิทธิมนุษยชนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รัฐบาลไทยได้ยืนยันว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย และได้รับการรับรองจากจีนว่าผู้ถูกส่งตัวจะได้รับการคุ้มครอง

แม้จะมีแรงกดดันจากนานาชาติ แต่รัฐบาลไทยยังคงยึดมั่นในแนวทางการดำเนินการที่สมเหตุสมผลและไม่ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคล โดยจะมีการติดตามและตรวจสอบความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับ เพื่อให้แน่ใจว่า พวกเขาจะได้รับการดูแลตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล

สถิติที่เกี่ยวข้องกับกรณีการส่งตัวชาวอุยกูร์

  • ประเทศไทยเคยส่งตัวชาวอุยกูร์ไปยังตุรกี 109 คน เมื่อปี 2557 แต่ยังคงมีผู้ต้องกักในไทยเป็นเวลานานกว่า 10 ปี
  • UNHCR รายงานว่า ปัจจุบันยังคงมีชาวอุยกูร์อีก 8 คนที่ถูกควบคุมตัวในประเทศไทย โดยมี 5 คนเสียชีวิตระหว่างถูกกักขัง
  • หลักการห้ามส่งกลับ (Non-refoulement Principle) เป็นข้อห้ามที่ปรากฏใน อนุสัญญาต่อต้านการทรมานของสหประชาชาติ ซึ่งประเทศไทยลงนามเป็นภาคี
  • การส่งตัวชาวอุยกูร์ครั้งนี้เป็นกรณีที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 10 ปี และกำลังได้รับการจับตามองจากองค์กรสิทธิมนุษยชนทั่วโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : UNHCR , กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น, สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไทย, แถลงการณ์จากรัฐบาลไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

นายกฯ ลุยสระแก้ว! ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ “ไม่จบไม่เลิก”

นายกฯ ย้ำเดินหน้าปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ “ไม่จบ ไม่เลิก” ลงพื้นที่ชายแดนสระแก้ว

ตรวจด่านคลองลึก อรัญประเทศ ติดตามมาตรการสกัดอาชญากรรมข้ามชาติ

กรุงเทพฯ, 27 กุมภาพันธ์ 2568 – นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เตรียมลงพื้นที่ ด่านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ตรงข้ามกับบ้านปอยเปต ประเทศกัมพูชา ในวันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อตรวจสอบมาตรการปราบปราม แก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมออนไลน์ พร้อมร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการสกัดกั้นปัญหาให้หมดไปจากสังคมไทย

ผู้นำรัฐบาลพร้อมคณะลงพื้นที่ หารือมาตรการสกัดอาชญากรรมข้ามแดน

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีจะเดินทางพร้อมคณะรัฐมนตรีและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อาทิ:

  • นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
  • นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
  • นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
  • นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

โดยนายกรัฐมนตรีจะประชุมหารือที่ กองทัพบก ร.12 พัน.3 รอ. ใน อ.อรัญประเทศ เพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินมาตรการและเยี่ยมชมศูนย์คัดแยกเหยื่อขบวนการคอลเซ็นเตอร์

เดินหน้าปิดช่องทางอาชญากรรม ดำเนินมาตรการเข้มงวด

ภายหลังจากการประชุม นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไป ด่านพรมแดนบ้านคลองลึก ตรวจสอบมาตรการที่รัฐบาลมีคำสั่งให้ งดส่งน้ำมันเชื้อเพลิงและตัดกระแสไฟฟ้าในพื้นที่ชายแดน ทั้งฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกของประเทศ เพื่อลดการสนับสนุนกิจกรรมผิดกฎหมายของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ

ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ ตลาดเบญจวรรณ อ.อรัญประเทศ เพื่อตรวจสอบการลดกำลังส่งสัญญาณการสื่อสาร และมาตรการ ตัดสายสัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต ในบริเวณสถานีรถไฟคลองลึก ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของขบวนการคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ

ไม่จบ ไม่เลิก” นายกฯ ยืนยันมาตรการต้องเข้มข้นจนกว่าปัญหาจะหมดไป

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า มาตรการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น จนกว่าปัญหาจะหมดสิ้นไปจากสังคมไทย “รัฐบาลไทยจะไม่ยอมให้ขบวนการคอลเซ็นเตอร์หรือรูปแบบการหลอกลวงใด ๆ กลับมาแผ่ขยายในประเทศอีก” นายจิรายุ กล่าว

สถิติและข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับอาชญากรรมออนไลน์

  • ปี 2567 มีการร้องเรียนเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์มากกว่า 300,000 รายการ
  • ความเสียหายจากการฉ้อโกงทางโทรศัพท์และออนไลน์สูงถึง 12,000 ล้านบาท
  • รัฐบาลสั่งตัดไฟฟ้าและสัญญาณโทรศัพท์ในพื้นที่เป้าหมายกว่า 50 จุดทั่วประเทศ
  • มีการจับกุมผู้ต้องหาเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์กว่า 2,500 รายในปีที่ผ่านมา

นายกรัฐมนตรีและทีมงานคาดหวังว่าการดำเนินมาตรการในครั้งนี้จะสามารถลดจำนวนอาชญากรรมข้ามชาติ และฟื้นฟูความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในสังคมไทยในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE