Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เวียงเชียงรุ้งพลิกโฉม อบจ.สร้างสะพานเชื่อมศูนย์กีฬา ยกระดับสุขภาพชุมชน

พลิกโฉมเวียงเชียงรุ้งสู่ “แลนด์มาร์คสุขภาพ” อบจ.เชียงรายผนึกกำลังอำเภอ–อบต. เดินหน้าปรับภูมิทัศน์–สร้างสะพานเชื่อมศูนย์กีฬา ดันเศรษฐกิจฐานรากเติบโตอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 23 กันยายน 2568 — เวลา 10.00 น. อากาศยามสายที่ว่าการอำเภอเวียงเชียงรุ้งยังคงคึกคักเหมือนทุกวัน แต่วันนี้ต่างออกไปเล็กน้อย เมื่อพื้นที่หน้าศูนย์ราชการกลายเป็น “โต๊ะปฏิบัติการกลางแจ้ง” ของคณะทำงานหลายหน่วย องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย นำโดย นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ. (ปฏิบัติราชการแทน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย) ลงพื้นที่หารือร่วมกับ นางสาวมินทิรา ภดาประสงค์ นายอำเภอเวียงเชียงรุ้ง และ นายเอกชัย สุขเกษม สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย พร้อมทีมสำนักช่างของ อบจ. จุดประสงค์ไม่ใช่เพียงตรวจงาน แต่คือการ “ตั้งโจทย์ร่วม” เพื่อพลิกโฉมอำเภอให้เป็น แลนด์มาร์คสุขภาพ ที่คนในพื้นที่ใช้ประโยชน์ได้จริง และนักเดินทาง “ต้องแวะ”

ภาพที่วางบนโต๊ะประชุมย่อขนาดคือ สององค์ประกอบหลักที่เดินคู่กัน
(1) ปรับภูมิทัศน์รอบที่ว่าการอำเภอ ให้เป็นสวนสาธารณะและจุดออกกำลังกายที่ได้มาตรฐานร่มรื่น ปลอดภัย ใช้งานได้ทั้งเด็ก–ผู้สูงอายุ–ผู้พิการ (universal design)
(2) ศึกษาความเป็นไปได้–ออกแบบก่อสร้าง “สะพานเชื่อม” จากย่านศูนย์ราชการไปยัง สนามกีฬา อบต.ทุ่งก่อ เพื่อลดการอ้อมเส้นทาง เปิดการเข้าถึงพื้นที่ออกกำลังกายที่ “สั้นกว่า ปลอดภัยกว่า และเหมาะกับการใช้งานจริง”

นี่ไม่ใช่แค่ “โครงการสวยงาม” ลงรูปถ่ายได้ แต่เป็น ยุทธศาสตร์เชิงระบบ ที่เชื่อม การบริหาร–สุขภาพ–ท่องเที่ยว–เศรษฐกิจฐานราก เข้าด้วยกัน

แลนด์มาร์คสุขภาพ จากหลุมฝุ่นสู่พื้นที่ชุบชีวิตชุมชน

หากมองแผนที่อำเภอเวียงเชียงรุ้ง จุดศูนย์กลางของงานราชการและบริการประชาชนอยู่ตรง “ที่ว่าการอำเภอ” ซึ่งเป็นพื้นที่หมายเลขหนึ่งที่คนทั้งอำเภอต้องมาเยือน—ทำบัตร, งานทะเบียน, ธุระปกครอง ฯลฯ เมื่อ พื้นที่หน้าศูนย์ราชการ ถูก “รีดีไซน์” ให้เป็น สวนสาธารณะเพื่อสุขภาพ เมืองจะได้ “จังหวะชีวิตใหม่” โดยอัตโนมัติ

  • การออกแบบเพื่อทุกคน (Universal Design): ทางลาด–พื้นผิว–ราวจับ–ไฟส่องสว่าง–ม้านั่ง–สัญลักษณ์นำทาง ต้องคิดถึงเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ใช้รถเข็น เพื่อให้ “พื้นที่สาธารณะ” เป็นของทุกคนจริง
  • ฟังก์ชันสุขภาพเชิงป้องกัน: ลู่วิ่ง–ลู่เดิน–ลู่วิ่งเล็กสำหรับผู้สูงอายุ, ลานอเนกประสงค์สำหรับแอโรบิก/ยืดเหยียด, มุมเล่นของเด็กที่ใช้วัสดุยืดหยุ่นเน้นความปลอดภัย, สถานีออกกำลังแบบใช้แรงกาย (body-weight) ลดการซ่อมบำรุง
  • ความปลอดภัยและนิเวศ: กล้องวงจรปิด–ไฟส่องสว่าง–ป้ายเอ็กซิต–จุดปฐมพยาบาล–ระบบระบายน้ำ–ต้นไม้ให้ร่มเงา และพืชท้องถิ่นดูแลง่าย ลดต้นทุนระยะยาว

ประโยชน์ที่เกิดขึ้นทันที คือผู้คน “มีที่ให้ไป” หลังเลิกงานราชการ เด็กมีสนามเล่น ผู้สูงอายุมีที่เดิน ยามเย็นจึงกลายเป็น “ชั่วโมงทองของชุมชน” ที่ผู้ค้ารายย่อย–สหกรณ์ชุมชน–วิสาหกิจชุมชนสามารถจัด “ตลาดสุขภาพ” เล็กๆ สร้างรายได้หมุนเวียนในท้องถิ่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ

สะพานเชื่อมศูนย์กีฬา ทางลัดที่ปลอดภัย คือสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ใช้เมือง

โครงการที่สองคือ สะพานเชื่อมจากโซนศูนย์ราชการไปสนามกีฬา อบต.ทุ่งก่อ เหตุผลเรียบง่ายแต่ทรงพลัง การเข้าถึง” หากต้องอ้อมไกล–ต้องตัดถนนใหญ่–เสี่ยงอุบัติเหตุ คนก็ “เลิกไป” แต่เมื่อมีสะพานเชื่อมที่ ใกล้–ปลอดภัย–เป็นมิตรกับคนเดินเท้าและจักรยาน พฤติกรรมการใช้ชีวิตจะค่อยๆ เปลี่ยนจาก “นั่งนิ่ง” เป็น “ขยับตัว” โดยไม่ต้องบังคับ

หัวใจของสะพานเพื่อสุขภาพ (Active Mobility Bridge):

  • ช่องสัญจรแยกชัด คนเดิน–จักรยาน–รถฉุกเฉิน (ในกรณีจำเป็น)
  • ลาดชันไม่เกินมาตรฐาน ใช้ได้ทั้งผู้สูงอายุและรถเข็น
  • ไฟ–ราวกันตก–พื้นกันลื่น เน้นปลอดภัยกลางคืนและฤดูฝน
  • งานโครงสร้างทนทาน–บำรุงรักษาง่าย ลดภาระงบประมาณในอนาคต

ผลทางเศรษฐกิจฐานราก เกิดขึ้นทันทีเมื่อคนใช้สนามกีฬา “ถี่ขึ้น–นานขึ้น”—ร้านเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ, ผลผลิตชุมชน, ร้านซ่อมจักรยานเล็กๆ, ครูสอนออกกำลังกาย/โยคะ/วิ่ง ฯลฯ มีพื้นที่สร้างอาชีพได้อย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง

ทำไมโครงการนี้ “คุ้ม” มองผ่านแว่นเศรษฐกิจ–สังคม–การท่องเที่ยว

  1. คุ้มด้านสุขภาพ: เมืองที่มีพื้นที่สาธารณะคุณภาพดีช่วยลดภาวะนั่งนาน–ลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ในระยะยาว ต้นทุนรักษาพยาบาลของครัวเรือนและท้องถิ่นลดลง ขณะเดียวกันเสริมสุขภาวะจิต (พื้นที่สีเขียว–การพบปะ)
  2. คุ้มด้านเศรษฐกิจชุมชน: ตลาดรายย่อย–งานบริการชุมชน–แหล่งท่องเที่ยวใกล้เมืองเกิดขึ้นจาก “คนมา–คนอยู่–คนใช้” ไม่ใช่เพียง “คนผ่าน”
  3. คุ้มด้านภาพลักษณ์–การท่องเที่ยวคุณภาพ: นักเดินทางสมัยใหม่ค้นหา “เมืองที่ใช้ชีวิตได้” มากกว่า “เมืองที่มองอย่างเดียว” แลนด์มาร์คสุขภาพที่เชื่อมศูนย์ราชการ–สวน–สนามกีฬา จึงเป็น “ประสบการณ์เมือง” ที่เพิ่มเหตุผลให้ต้องแวะเวียน

P2P Model หุ้นส่วนรัฐ–รัฐ ที่ทำให้ของยาก “เดินได้จริง”

โครงการลักษณะนี้หากปล่อยให้แต่ละหน่วย “ทำของใครของมัน” มักไปต่อยาก เพราะติดข้อจำกัดงบ–อำนาจ–ขั้นตอน แต่ เวียงเชียงรุ้ง กลับเลือก โมเดลหุ้นส่วนรัฐ–รัฐ (Public–Public Partnership: P2P) ที่แต่ละหน่วย ใส่จุดแข็งของตนลงไป แบบ “จิ๊กซอว์พอดีมือ”

  • อบจ.เชียงราย: งบประมาณ–วิศวกรรม–มาตรฐานงานช่าง–การจัดทำแบบ–การคุมงาน–เลนความปลอดภัย
  • ที่ว่าการอำเภอ: กำกับพื้นที่–ประสานเจ้าของที่ดิน–ขับเคลื่อนเชิงพื้นที่ (area-based)–จัดทำกระบวนการรับฟัง
  • อบต.ทุ่งก่อ: เจ้าของพื้นที่สนามกีฬา–ร่วมออกแบบการใช้ประโยชน์–บำรุงรักษาหลังโครงการเสร็จ

ผลลัพธ์คือ ลดเวลาหน่วงทางเอกสาร–ปิดช่องทับซ้อนอำนาจหน้าที่–ตอบสนองโจทย์ชุมชนตรงจุด และนำไปสู่การ “เห็นของจริง” ในระยะเวลาที่คนยังสนใจและพร้อมมีส่วนร่วม

Roadmap การทำงานจากทุ่งหญ้าสู่สวน–จากฝั่งนี้สู่สะพาน

เพื่อให้เห็นภาพ “เดินงาน” อย่างเป็นขั้นตอน คณะทำงานได้วางหลักการกว้าง ๆ ดังนี้

  1. สำรวจ–เก็บข้อมูลพื้นที่ (Site Survey & Due Diligence):
    • ขอบเขตที่ดิน–สาธารณูปโภคใต้ดิน–แนวท่อ/สายไฟ–จุดน้ำท่วมซ้ำซาก
    • สภาพการจราจร–ทางสัญจรคนเดิน–จักรยาน–จุดเสี่ยงอุบัติเหตุ
    • พฤติกรรมการใช้พื้นที่จริง (เวลา–กลุ่มคน–กิจกรรม)
  2. ออกแบบแนวคิด (Concept Design):
    • ผังสวน–ฟังก์ชันสุขภาพ–ตำแหน่งทางเข้า–จุดพัก–แหล่งน้ำ–ต้นไม้
    • แนวสะพาน–ระดับความสูง–จุดขึ้น–ลง–ความเชื่อมโยงกับสนามกีฬา
    • วัสดุ–งบประมาณโดยสังเขป–ค่าบำรุงรักษาในอนาคต
  3. รับฟังความคิดเห็น (Public Hearing):
    • เชิญชุมชน–ผู้ค้า–ครูกีฬา–โรงเรียน–ผู้สูงอายุ–กลุ่มเปราะบางร่วม
    • เปิดแบบให้ดู–ลองเดินเส้นทางจำลอง–รับข้อเสนอปรับแก้ก่อน “ล็อกแบบ”
  4. ออกแบบรายละเอียด–ขออนุญาต–จัดสรรงบ (Detail Design & Approvals):
    • แบบโครงสร้าง–ไฟ–งานระบบ–ทางลาดตามมาตรฐานผู้พิการ
    • ตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง (หากเข้าหลักเกณฑ์)
    • จัดทำ BOQ–จัดสรรงบประมาณตามระเบียบ–ตารางเวลาคุมงาน
  5. ก่อสร้าง–สื่อสาร–ร่วมดูแล (Build & Stewardship):
    • แผนก่อสร้างแบ่งเฟส ลดผลกระทบงานราชการและชุมชน
    • ป้ายความคืบหน้า–สื่อสารออนไลน์–ตั้ง “ชมรมผู้ใช้สวน/สะพาน”
    • ตั้งกติกาใช้งาน–เวรดูแลร่วมกัน–งบดูแลรายปีที่ชัดเจน

หัวใจ คือ “ทำไป–สื่อสารไป–ชวนชุมชนร่วมเป็นเจ้าของ” เพื่อให้พื้นที่ใหม่ถูกใช้จริง ไม่ใช่เพียง “งานสวยในภาพถ่าย”

ตัวเลขที่ควรมองเวลาเดินทาง–ความปลอดภัย–กิจกรรมชุมชน

แม้วันนี้ยังอยู่ในช่วงศึกษาความเป็นไปได้ แต่ กรอบวัดผล (KPIs) ที่คณะทำงานเห็นพ้อง มีดังนี้ เพื่อใช้ติดตามผลหลังโครงการเสร็จ

  • ลดเวลาเดินทาง จากศูนย์ราชการถึงสนามกีฬา (เป้าหมาย: ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบเส้นทางเดิม)
  • เพิ่มปริมาณการใช้งาน สวน/สะพาน (ผู้ใช้ต่อวัน–ต่อสัปดาห์)
  • ความปลอดภัยทางถนน (อุบัติเหตุในจุดเสี่ยงเดิมลดลง)
  • กิจกรรมชุมชนเพิ่มขึ้น (คลาสออกกำลัง–ตลาดสุขภาพ–อีเวนต์ท้องถิ่น)
  • รายได้ผู้ค้ารายย่อย รอบพื้นที่ (สำรวจหลังใช้งาน 3–6–12 เดือน)

KPIs แบบนี้ช่วยให้ภาครัฐ–ชุมชน–ผู้ประกอบการ คุยกันด้วยข้อมูล มากกว่า “ความรู้สึก” และนำไปสู่การปรับปรุงต่อเนื่องในปีถัดไป

ความท้าทาย–ทางออกที่ดิน–น้ำ–งบ–บำรุงรักษา

โครงการสาธารณะทุกแห่งย่อมมีโจทย์ท้าทาย เวียงเชียงรุ้งเตรียม “การบ้าน” ไว้ล่วงหน้าเพื่อไม่ให้สะดุด

  • แนวเขต–สิทธิในที่ดิน: เคลียร์เส้นเขตและกรรมสิทธิ์ตั้งแต่ต้น ลดโอกาสร้องเรียน
  • บริหารน้ำฝน–น้ำท่วม: ออกแบบทางระบายน้ำ–แก้มลิงขนาดย่อม–วัสดุปูพื้นที่ระบายน้ำได้
  • งบประมาณ: แบ่งเฟส–ของบผสม (งบ อบจ./อปท./บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยว เช่น กรมโยธาธิการฯ/กรมทางหลวงชนบท—ตามความเหมาะสมของลักษณะงาน)
  • บำรุงรักษาระยะยาว: ตั้งงบประจำ–ใช้วัสดุทน–ออกแบบให้ดูแลง่าย–ตั้ง “ชมรมผู้ใช้” ร่วมดูพื้นที่ประจำวัน

เมื่อคิดครบตั้งแต่วินาทีแรก โครงการมีโอกาส “ยืนระยะ” ได้จริง

เสียงสะท้อนเชิงนโยบายเมืองท่องเที่ยวคุณภาพ เริ่มที่ “คุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่”

แม้ข่าววันนี้ไม่มี “คำพูดใหญ่” จากผู้นำ แต่ สาร ที่สะท้อนผ่านการลงพื้นที่ร่วมกันของ อบจ.–อำเภอ–ส.อบจ.–สำนักช่าง–อบต. คือ ปรัชญาเมืองท่องเที่ยวคุณภาพเมืองที่ดีสำหรับคนในพื้นที่ ย่อมดีสำหรับนักท่องเที่ยวโดยอัตโนมัติ

  • สำหรับครอบครัว: มีพื้นที่ให้เด็กวิ่งเล่น ปลอดภัย มองเห็นลูกหลานชัด
  • สำหรับผู้สูงอายุ: ทางเดิน–ราวจับ–พื้นที่ยืดเหยียด–ห้องน้ำเข้าถึงได้
  • สำหรับวัยทำงาน: ทางลัด–เวลาสั้น–ไป–กลับการออกกำลังได้จริง
  • สำหรับผู้ประกอบการ: คนมาคนอยู่คนจ่าย = โอกาสรายได้รอบพื้นที่
  • สำหรับหน่วยงานท้องถิ่น: ภาพลักษณ์ดีความเชื่อมั่นเพิ่มคนเห็นของจริง

เมื่อ “เมืองใช้ชีวิตได้” เมืองก็ “ขายตัวเองได้”—โดยไม่ต้องยัดเยียดโฆษณา

สรุปสะพานที่เชื่อมมากกว่าสองฝั่ง—เชื่อมการบริหารกับความสุขของคน

โครงการ ปรับภูมิทัศน์ + สะพานเชื่อมศูนย์กีฬา ในเวียงเชียงรุ้ง ไม่ได้สร้างเพียงสวนและสะพาน แต่สร้าง ทางเลือกชีวิต ให้คนในพื้นที่—ให้เด็กมีสนาม ให้ผู้สูงอายุมีที่เดิน ให้คนทำงานมีที่หายใจ ให้ผู้ค้ารายย่อยมีตลาด และให้เมืองมีเรื่องเล่าที่จับต้องได้

ในภาพรวมของจังหวัดเชียงรายที่มุ่งเป็น เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ โครงการระดับอำเภอเช่นนี้คือ “หน่วยก่อรูป” ที่ทำให้ยุทธศาสตร์ใหญ่ลงดิน อย่างเป็นรูปธรรม และเมื่อ อบจ.–อำเภอ–อบต. จับมือแบบ P2P ได้เช่นนี้ เมืองทั้งจังหวัดก็มีโอกาส “ยกมาตรฐานคุณภาพชีวิต” พร้อมกัน—หนึ่งสะพานจึงไม่เพียงเชื่อมสองฝั่งคลอง หากเชื่อม การบริหารงานท้องถิ่นกับความสุขของประชาชน เข้าด้วยกันอย่างแนบแน่น

เช็กลิสต์ “ก้าวต่อไป” ที่สาธารณะติดตามได้

  1. เผยแพร่ผลสำรวจพื้นที่แบบร่างแนวคิดผังสวน/แนวสะพาน ให้สาธารณะเห็น
  2. เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น 2 รอบ (ก่อน–หลังปรับแบบ) ครอบคลุมกลุ่มเปราะบาง
  3. ประกาศไทม์ไลน์งบประมาณแหล่งงบ รูปแบบการจัดจ้างตามระเบียบ
  4. ติดตาม KPIs รายไตรมาสหลังเปิดใช้จริง (ผู้ใช้ ความปลอดภัย กิจกรรม รายได้ชุมชน)
  5. ตั้ง “ชมรมผู้ใช้สวนและสะพาน” ทำงานร่วม อปท. ดูแลประจำวันจัดกิจกรรมสม่ำเสมอ

เมื่อประชาชน “เห็นทางเห็นข้อมูลเห็นตัวเลข” ความร่วมมือจะเกิดขึ้นเอง และโครงการจะ “มีชีวิต” ยืนยาวกว่าวาระใด ๆ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

กระทรวงพาณิชย์คุมเข้ม 1 ม.ค. 2569 ห้ามนำเข้าข้าวโพดจากแหล่งเผา-คุมส่งออก DUI

กระทรวงพาณิชย์คุมเข้ม 1 ม.ค. 2569 ห้ามนำเข้าข้าวโพดจากแหล่งเผา–คุมส่งออก DUI นิวเคลียร์

เชียงราย, 22 กันยายน 2568 — เพื่อแก้ปัญหามลพิษ PM2.5 ข้ามพรมแดนอย่างยั่งยืน กระทรวงพาณิชย์ โดย กรมการค้าต่างประเทศ เตรียมบังคับใช้ 2 มาตรการสำคัญตั้งแต่ 1 มกราคม 2569 ได้แก่

  1. มาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ปลอดการเผา: ผู้นำเข้าต้องแสดงหลักฐานว่าแหล่งผลิต “ไม่เผา” โดยระยะเปลี่ยนผ่านก่อนที่ พ.ร.บ.อากาศสะอาด และกฎหมายลูกจะมีผลบังคับใช้ ให้ใช้ การรับรองตนเอง (self-declaration) หรือ เอกสารรับรองจากหน่วยงานรัฐของประเทศผู้ส่งออก/องค์กรสากลที่น่าเชื่อถือ พร้อม ข้อมูลการเพาะปลูกและพิกัดแปลง เพื่อการตรวจสอบย้อนกลับ (traceability)
  • บทลงโทษ: หากพบมีการนำเข้าจากแหล่งที่มีการเผา ครั้งที่ 1–2 ตักเตือน; ครั้งที่ 3 พักการขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเข้า ไม่สามารถนำเข้าได้อีก
  • หลัง พ.ร.บ.อากาศสะอาดมีผล: เข้มงวดขึ้น ต้องใช้ ใบรับรองจากหน่วยงานที่ยอมรับของประเทศผู้ส่งออก และ แผนที่แปลงเพาะปลูก แนบประกอบ
  1. มาตรการควบคุมการส่งออกสินค้าที่ใช้ได้สองทาง (DUI): ไทยมี DUI 10 หมวด รวมกว่า 1,775 รายการ จะเริ่มคุม หมวด 0 (นิวเคลียร์) 204 รายการก่อน ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2569 โดยปี 2567 ไทยส่งออกหมวดนี้ มูลค่าประมาณ 437,000 ล้านบาท จากนั้น ไตรมาส 2/2569 ขยายคุมหมวด 7–9 (อิเล็กทรอนิกส์การบิน/ระบบนำร่อง, ยานพาหนะ–อุปกรณ์ทางทะเล, การบิน–อวกาศ–ขับดัน เช่น โดรนและชิ้นส่วนเครื่องบิน) ทั้งนี้ ไทยส่งออก DUI ทั้ง 10 หมวด รวม ราว 3.15 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 30% ของมูลค่าการส่งออกไทย ในปี 2567

ขั้นตอน: ผู้ส่งออกต้องตรวจสอบด้วยระบบ e-Classification หากเป็น DUI ให้ยื่นขอใบอนุญาตผ่าน e-DUI Licensing พร้อม End-Use/End-User Statement และเอกสารซื้อขาย โดยผู้ประกอบการจะเริ่มยื่นขอได้ตั้งแต่ ธันวาคม 2568

สินค้าเฝ้าระวังพิเศษ 50 รายการ: ไทยยังขอความร่วมมือผู้ส่งออกเฝ้าระวังสินค้าที่ “นอก/ทับซ้อน” รายการ DUI 10 หมวด แต่อาจถูก นำไปผลิตอาวุธทำลายล้างสูง เช่น ชิ้นส่วนเฮลิคอปเตอร์ ใบพัด เครื่องบิน และโดรน ซึ่งพบการใช้มากขึ้นในสนามรบยุคใหม่ (เช่น ยูเครน) เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านความมั่นคงและชื่อเสียงประเทศ

เหตุผลเชิงนโยบาย ชัดเจนจากคำอธิบายของ นายดวงอาทิตย์ นิธิอุทัย รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ: ไทยต้อง “ปกป้องสุขภาพคนไทย–ลด PM2.5 ข้ามแดน” และ “ยืนยันจุดยืนไม่สนับสนุนสงครามหรือ WMD” ควบคู่การสร้างความเชื่อมั่นให้ สินค้าไทย–นักลงทุนต่างชาติ

ทำไม “ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์” จึงเป็นหัวใจของฤดูฝุ่นควัน

ข้อมูลเชิงโครงสร้างสะท้อนแรงกดดันในห่วงโซ่: ไทย ผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้ 4–5 ล้านตัน/ปี แต่ ต้องใช้ราว 9 ล้านตัน/ปี ส่วนขาดต้อง นำเข้า ~2 ล้านตัน โดย >90% มาจากเมียนมา ที่เหลือจากลาว–กัมพูชา ภาคเกษตรฝั่งต้นทางจำนวนมากยังพึ่งพา การเผาตอซัง–เตรียมพื้นที่ เพื่อเก็บเกี่ยวทันรอบ ราคาดี และลดต้นทุนแรงงาน สิ่งที่ตามมาในฤดูแล้งคือ Hotspots หนาแน่น พัด “ฝุ่นละเอียด–สารพิษ” ข้ามแดนสู่ภาคเหนือของไทย

มาตรการ “ข้าวโพดปลอดการเผา” จึงเป็น แรงกดดันทางเศรษฐกิจเชิงบวก ต่อพฤติกรรมต้นทาง—หากทำจริงจัง ตลาดนำเข้าไทย จะให้ ราคารับซื้อ–สัญญาซื้อขาย ที่ยึดโยงกับ การผลิตที่ไม่เผา และ ข้อมูลแปลงเพาะปลูกที่ตรวจสอบได้ เป็นการ “ใช้กลไกตลาด สร้างมาตรฐานสิ่งแวดล้อม” ควบคู่กับการผลักดัน พ.ร.บ.อากาศสะอาด เพื่อมีกฎหมายรองรับถาวร

อย่างไรก็ดี “กุญแจ” อยู่ที่ ระบบพิสูจน์และติดตามย้อนกลับ (MRV & Traceability) ที่ต้องทันสมัยและตรวจสอบได้จริง: ตั้งแต่ ทะเบียนเกษตรกร–แปลงปลูก–พิกัด–ร่องรอยโลจิสติกส์–ใบรับรองจากหน่วยงานรัฐ/องค์กรสากล รวมถึง การสุ่มตรวจภาคสนาม–เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียม เพื่อให้การตักเตือน/พักใบอนุญาต มีน้ำหนักพอ และป้องกัน การสวมสิทธิ์ หรือ เอกสารเท็จ

เชียงราย ด่านหน้าของนโยบาย—และของหมอกควัน

ในห้วงเวลาเดียวกันกับการประกาศมาตรการระดับชาติ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) และภาคีในพื้นที่ได้จัดประชุม “กรอบความร่วมมือ 4 อำเภอ กลไกชายแดนการบริหารจัดการไฟป่าและหมอกควันข้ามแดน (ครั้งที่ 1)” วันที่ 22 กันยายน 2568 ที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย โดยมี นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ เป็นประธาน และหน่วยงานป่าไม้–อุทยานฯ–ท้องที่–ท้องถิ่น 4 อำเภอ (เชียงของ เวียงแก่น เทิง ขุนตาล) ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูล จุดเสี่ยง–จุดความร้อน–แนวลาดตระเวน พร้อมวางโรดแม็ปประชุมสัญจร 4 ครั้ง 4 อำเภอ (ก.ย.–ธ.ค. 2568) เพื่อยกระดับความร่วมมือ เมืองคู่ขนานชายแดน และ แนวเขตต่อเนื่อง กับฝั่งเพื่อนบ้าน

นี่คือ “มือทำงาน” ในพื้นที่ ที่ต้องจับคู่กับ “นโยบายการค้า” ให้ติด—หากเอกสารแปลงเพาะปลูกจากต้นทางเมียนมาระบุพิกัดที่ชนแนวชายแดนเชียงราย–พะเยา–น่าน ฝ่ายไทยในพื้นที่ต้อง ตรวจทาน–ซ้อนข้อมูล Hotspots–เดินสายตรวจ ได้ทันท่วงที

DUI นิวเคลียร์ทำไมไทยต้องเริ่มจากหมวด 0

โลกการค้าปี 2568 ไม่เหมือนเดิม “ของสองทาง” ไม่ได้มีแค่อุปกรณ์ชิ้นใหญ่ในโรงงานนิวเคลียร์ แต่ องค์ประกอบ–วัสดุ–ซอฟต์แวร์–ระบบควบคุม จำนวนมากสามารถ ปรับใช้ สู่การผลิตอาวุธหรือระบบนำร่องได้ (แม้จะเป็น ชิ้นส่วนพลเรือน ก็ตาม) ไทยส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ จำนวนมากและมีมูลค่าสูง ปลายทางหลักเช่น สหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ ไต้หวัน จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ไทยต้องยกระดับมาตรฐานคุมส่งออกให้ เท่าทันพันธมิตรการค้า และมาตรฐานนานาชาติ

หมวด 0 (Nuclear) ถูกเลือกเป็นหมวดนำร่อง เพราะเป็นหมวดที่ อ่อนไหวสูงสุด ต่อระบบคว่ำบาตร–ข้อจำกัด WMD ทั่วโลก เมื่อระบบ e-Classification / e-DUI Licensing ใช้งานได้จริง ไตรมาส 2/2569 จะต่อยอดไปยัง หมวด 7–9 ที่กระทบผู้ส่งออก ชิ้นส่วนอากาศยาน–อิเล็กทรอนิกส์การบิน–ระบบขับดัน–โดรน และ ทางทะเล ซึ่งเป็น “หัวใจของเศรษฐกิจฐานอุตสาหกรรมใหม่” ของไทย

การคุม DUI ไม่ใช่ การ “สกัดกั้นการค้า” ตรงกันข้าม หากผู้ประกอบการ ทำการบ้านครบ (รู้ว่าเป็น DUI หรือไม่, จัดเตรียมเอกสาร end-use/end-user, ตรวจสินค้าปลายทางต้องห้าม) จะทำให้ พัสดุผ่านด่านได้เร็วขึ้น ลดความเสี่ยงถูก “หยุดตรวจ” หรือ “ถูกปฏิเสธ” จากประเทศคู่ค้า และ ลดความเสี่ยงทางชื่อเสียง ของทั้งบริษัทและประเทศ

ผลกระทบ–ความเสี่ยง–โอกาส ใครควรทำอะไร

1) ผู้ประกอบการอาหารสัตว์–ฟีดมิลล์–เกษตรชายแดน

  • กระทบ: ความเข้มงวดเอกสารนำเข้า–ต้นทุนการทำเอกสาร–ความเสี่ยงความล่าช้าในช่วงเริ่มบังคับใช้
  • ทางรอด: เร่งทำ ระบบตรวจสอบย้อนกลับ กับคู่ค้าในเมียนมา–ลาว ตั้ง เงื่อนไขสัญญา “ปลอดการเผา” ชัดเจน พร้อมแผน ตรวจสุ่มภาคสนาม และเกณฑ์ ยกเลิก/ลงโทษ เมื่อพบผิดเงื่อนไข เพื่อไม่ให้โดน “พักทะเบียนนำเข้า” ในไทย

2) ผู้นำเข้า–ส่งออกทั่วไป (โดยเฉพาะชิ้นส่วนเทคโนโลยี)

  • กระทบ: ต้องทำ e-Classification ให้เร็วเพื่อรู้สถานะสินค้า หากเข้าเกณฑ์ DUI ต้องทำ e-DUI Licensing และจัดทำ End-Use/End-User Statement
  • ทางรอด: สร้าง มาตรฐานเอกสาร กลางของบริษัท, จัดอบรมทีม Trade Compliance, ทำ Whitelist ลูกค้า/ปลายทาง, และติดตาม รายการ 50 สินค้าเฝ้าระวัง อย่างใกล้ชิด

3) เกษตรกรต้นทาง–ชุมชนชายแดน

  • กระทบ: ตลาดไทยจะ “แยก” ผู้ผลิตที่เผา–ไม่เผา ชัดขึ้น
  • ทางรอด: ผลักดัน กลไกรับรองชุมชน (community certification) เชื่อมกับ สหกรณ์–ผู้ซื้อรายใหญ่ เพื่อสร้าง ราคารับซื้อส่วนเพิ่ม (premium) สำหรับผลผลิต ปลอดการเผา

4) ภาครัฐ–ท้องถิ่น–ชายแดน

  • ภารกิจ: ทำ ศูนย์ข้อมูล traceability เชื่อม ด่าน–กรมศุลกากร–กรมการค้าต่างประเทศ–กรมควบคุมมลพิษ–อุทยาน/ป่าไม้–เทศบาล–อบจ. และ TEI เพื่อซ้อนข้อมูล ใบรับรอง—พิกัดแปลง—Hotspots แบบรายสัปดาห์ ให้การ ตักเตือน–พักทะเบียน อิงข้อมูลเชิงประจักษ์

 “การค้า” และ “อากาศสะอาด” ต้องเดินคู่

ผู้ปฏิบัติการในพื้นที่เชียงรายสะท้อน เสียงเดียวกัน ว่า มาตรการของกระทรวงพาณิชย์ถือเป็น จิ๊กซอว์สำคัญ ที่ขาดไม่ได้ เพราะ “แรงจูงใจราคา” มักเปลี่ยนพฤติกรรมได้เร็วกว่า “คำขอความร่วมมือ” เพียงอย่างเดียว ขณะเดียวกัน โครงการของ TEI ที่เปิดวงคุย นายอำเภอ–ท้องที่–ป่าไม้–อุทยาน–ท้องถิ่น ใน 4 อำเภอชายแดน ก็ทำให้ แผนลาดตระเวน–ดับไฟ–สื่อสารชุมชน มีเจ้าภาพชัดเจนขึ้น

แต่ทุกฝ่ายย้ำ เงื่อนไขความสำเร็จ ตรงกัน:

  1. ข้อมูล (แปลง–พิกัด–ใบรับรอง–ภาพถ่ายดาวเทียม) ต้อง เปิด–เชื่อม–ใช้ร่วม;
  2. บังคับใช้ ต้อง ต่อเนื่อง–เป็นธรรม–คาดการณ์ได้;
  3. เครื่องมือชดเชย (เช่น premium ไม่เผา, งบสร้างเครื่องจักรเก็บเกี่ยว, สนับสนุนเชื้อเพลิงชีวมวล) ต้อง ลงถูกจุด ไม่เช่นนั้น ฤดูกาลเผา ก็จะวนกลับมาในรูปแบบใหม่

คำถามที่สังคมต้องจับตา

  • Self-declaration ช่วงเปลี่ยนผ่านจะ “เอาอยู่” แค่ไหน ก่อน พ.ร.บ.อากาศสะอาด บังคับใช้เต็มรูปแบบ? ไทยพร้อม หน่วยตรวจ–สุ่ม–ยืนยัน มากพอหรือยัง
  • ระบบ e-Classification / e-DUI Licensing จะรองรับ ดีมานด์ยื่นขอ ของผู้ส่งออกได้ รวดเร็ว–โปร่งใส–ตรวจสอบได้ แค่ไหน โดยเฉพาะ SMEs ที่ยังไม่คุ้นกับเอกสาร end-use/end-user
  • 50 รายการเฝ้าระวัง นอก/ทับซ้อน DUI 10 หมวด จะสื่อสารกับภาคธุรกิจอย่างไรให้ เข้าใจ–ทำตามได้ โดยไม่สร้าง ต้นทุนเชิงเอกสาร ที่เกินจำเป็น

คำตอบของคำถามเหล่านี้ จะกำหนดว่า นโยบายใหม่นี้จะเป็นแค่ “ประกาศสวยบนกระดาษ” หรือเป็น “กติกาใหม่” ที่พลิกฤดูกาลฝุ่นควันภาคเหนือ และยกระดับความน่าเชื่อถือการค้าของไทยในยุคภูมิรัฐศาสตร์ผันผวน

เคสศึกษาจำลอง หาก “ใบรับรองปลอดการเผา” ขัดกับ “ภาพดาวเทียม”

สมมติ ผู้นำเข้ารายหนึ่งแสดงใบรับรองจากหน่วยงานรัฐประเทศผู้ส่งออกว่า “ปลอดการเผา” แต่ข้อมูล Hotspots บนภาพถ่ายดาวเทียมในช่วงเวลาเดียวกันชี้ว่ามี จุดความร้อนหนาแน่น ในพิกัดที่ตรงกับแปลงเพาะปลูกที่ยื่นมา สิ่งที่ควรเกิดขึ้น คือ:

  1. ระบบ เตือนอัตโนมัติ (red flag) ภายใน e-Import;
  2. คณะทำงาน สหหน่วย (ด่าน–การค้าต่างประเทศ–ศุลกากร–ป่าไม้–อุทยาน–TEI) ลงพื้นที่ สอบสวน–ตรวจพยานแวดล้อม–สัมภาษณ์ชุมชน;
  3. หากพบหลักฐานเชื่อมโยง แจ้งตักเตือน ครั้งที่ 1/2 และ เงื่อนไขแก้ไข;
  4. หากทำซ้ำ พักทะเบียน ครั้งที่ 3 และ ขึ้นบัญชีดำ แปลง/ผู้ค้า;
  5. เผยแพร่ผล (เวอร์ชันไม่เปิดเผยชื่อ) เพื่อสร้าง บรรทัดฐาน ให้ตลาดเรียนรู้

นี่คือภาพของ “กติกาที่บังคับใช้ได้จริง”—เพราะทุกอย่างลิงก์กันด้วย ข้อมูล–พื้นที่–บทลงโทษ ที่สอดคล้อง

การค้าไทยยุคใหม่—ขายได้ ต้อง “รับผิดชอบได้”

มาตรการ ข้าวโพดปลอดการเผา และ ควบคุมส่งออก DUI คือ สัญลักษณ์ ของการเลื่อนเกียร์นโยบายการค้าไทยจากยุค “เปิดทาง–เร็ว–ถูก” ไปสู่ยุค “ยั่งยืน–ปลอดภัย–น่าเชื่อถือ” โดยมี สุขภาพประชาชน และ ความมั่นคงเชิงเทคโนโลยี เป็นหลักยึด

สำหรับ เชียงราย เมืองด่านหน้าของทั้งฝุ่นควันและการค้า—สิ่งที่จะตัดสินความสำเร็จไม่ใช่แค่ “ประกาศจากส่วนกลาง” แต่คือ ความร่วมมือชายแดน ที่เริ่มลงมือแล้วโดย TEI และภาคี 4 อำเภอ, คือ การเชื่อมข้อมูล ที่ “เห็นภาพเดียวกัน” ระหว่างใบรับรอง–พิกัด–จุดความร้อน, และคือ การบังคับใช้ที่คาดการณ์ได้ เพื่อให้ตลาด “เรียนรู้” ว่าการไม่เผา คุ้มกว่า–ปลอดภัยกว่า–ขายได้ดีกว่า

ในโลกที่ห่วงโซ่อุปทานสะเทือนจากสงคราม–คว่ำบาตร–มาตรฐานสีเขียว—ประเทศที่ “ขายได้” ต่อไป คือประเทศที่ พิสูจน์ได้ ว่า “รับผิดชอบได้” ด้วยเช่นกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงพาณิชย์ – กรมการค้าต่างประเทศ
  • ระบบ e-Classification / e-DUI Licensing
  • กรอบกฎหมายอากาศสะอาด
  • สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI)
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมศุลกากร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

วิกฤตโขง! ชาวประมงหาปลาได้แต่ขายไม่ได้ วุฒิสภาชี้เร่งหาแม่งาน

เงาทมิฬใต้สายน้ำโขง เมื่อ ‘สร้อยมุกแห่งเอเชีย’ กลายเป็น ‘กับดักพิษ’ ข้ามแดน

เชียงราย, 20 กันยายน 2568 – สะเทือนใจ! ชาวประมงโขงเดือดร้อน ‘หาปลาได้แต่ขายไม่ได้’ ส่องภัยเขื่อนปากแบงเสี่ยงกลายเป็นอ่างกักพิษยักษ์ วุฒิสภาชี้วิกฤตข้ามพรมแดนต้องมี ‘แม่งาน’ ชาติแก้ปัญหาเร่งด่วน

ในยุคที่เทคโนโลยีทำให้โลกเชื่อมต่อกันได้ในชั่วพริบตา แต่สิ่งหนึ่งที่เชื่อมต่อกันโดยไม่ได้รับเชิญก็คือ “มลพิษข้ามพรมแดน” ที่กำลังคุกคามวิถีชีวิตของประชาชนไทยอย่างเงียบเสียงแต่รุนแรง

เมื่อสายน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เคยเป็นที่พึ่งของมหาอำนาจในอดีตและแหล่งอาหารของล้านชีวิตในปัจจุบัน กลับกลายเป็นตัวนำพาความตายและโรคภัยไข้เจ็บ แม่น้ำโขงและลูกน้ำกกที่เคยเป็น “สร้อยมุกแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” วันนี้หน้าตาเหมือนหนังสยองขวัญมากกว่าเรื่องเล่าในตำนาน

ล่าสุด วันที่ 20 กันยายน 2568 คณะกรรมการวุฒิสภาได้ลงพื้นที่เพื่อรับฟังเสียงสะท้อนจากชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤตนี้ ซึ่งเผยให้เห็นภาพที่น่าตกใจทั้งในระดับชุมชน ระดับประเทศ และระดับภูมิภาค

สุสานน้ำ” ที่เคยเป็นสวรรค์ชาวประมง

นายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร ประธานกรรมการธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภควุฒิสภา พร้อมด้วย น.ส.มณีรัฐ เขมะวงศ์ สมาชิกวุฒิสภา และคณะทำงาน ได้เดินทางไปยังหมู่บ้านสบกก ตำบลบ้านแซว อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เมื่อเวลา 15.30 น. ในวันเดียวกัน

การพบปะในครั้งนี้มีชาวบ้านกว่า 20 คนเข้าร่วมแสดงความคิดเห็น ซึ่งสะท้อนความจริงที่เจ็บปวดเกี่ยวกับชุมชนที่เคยมีชีวิตติดแน่นกับแม่น้ำมาร่วมศตวรรษ

ภาพความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในชุมชนชาวประมงริมโขงเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ ชาวบ้านบอกกับคณะกรรมการว่า ทุกวันนี้พวกเขายังคงสามารถลงเรือออกไปหาปลาในแม่น้ำได้เหมือนเดิม ปลายืนยังคงมี แต่ “ขายไม่ได้” เพราะไม่มีใครในท้องถิ่นกล้าซื้อปลาจากแหล่งน้ำที่ทุกคนรู้ดีว่าปนเปื้อนสารพิษ

สถานการณ์ประหลาดนี้ทำให้เรือประมงจำนวนมากต้องจอดเทียบท่าเป็นเวลานาน ชาวประมงหลายครอบครัวสูญเสียรายได้หลักที่พึ่งพาได้มาตลอดชีวิต ในขณะเดียวกัน ครอบครัวบางส่วนที่มีฐานะยากจนมากก็ต้องยอมเสี่ยงภัย โดยการนำปลาที่จับได้ไปขายให้กับพ่อค้าจากสปป.ลาวที่ยังคงเต็มใจซื้อ

สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ดูแปลกประหลาดและสับสนยิ่งขึ้น คือการประชาสัมพันธ์จากหน่วยงานราชการจังหวัดที่เคยระบุว่า “ปลาในแม่น้ำสามารถนำไปประกอบอาหารได้ แต่ห้ามใช้น้ำในแม่น้ำ” ข้อความดังกล่าวสร้างความสับสนและลดความเชื่อมั่นของชาวบ้านต่อข้อมูลจากภาครัฐอย่างรุนแรง

การค้นหาต้นตอ เส้นทางสารพิษจากเมียนมา

ความจริงที่ชาวบ้านและหน่วยงานไทยต้องเผชิญคือ ต้นเหตุของปัญหามลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขงไม่ได้เกิดขึ้นในดินแดนไทย แต่มาจากกิจกรรมการทำเหมืองแร่ในเขตต้นน้ำของประเทศเมียนมา

น.ส.เพียรพร ดีเทศน์ เลขาธิการมูลนิธิแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) ได้ให้ข้อมูลสำคัญแก่คณะกรรมการวุฒิสภาว่า การตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างเป็นทางการเมื่อเร็วๆ นี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแม่น้ำโขงบริเวณชายแดนไทย-ลาวมีการปนเปื้อนของสารหนู (อาร์เซนิก) และตัวอย่างน้ำที่เก็บได้ใกล้ชายแดนไทย-เมียนมาพบความขุ่นผิดปกติและโลหะหนักที่มีความเข้มข้นสูง โดยเฉพาะสารหนู ซึ่งเป็นหลักฐานชัดเจนของมลพิษจากการทำเหมืองแร่ต้นน้ำในรัฐฉานของเมียนมา

ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมยังเผยให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของกิจกรรมการทำเหมืองแร่หายาก (Rare Earth) ในพื้นที่ที่ควบคุมโดยกลุ่มติดอาวุธในเมียนมา ซึ่งตัวอย่างที่เก็บได้ใกล้ชายแดนเมียนมามากที่สุดแสดงระดับโลหะหนักสูงสุดและยืนยันว่าแหล่งปนเปื้อนมาจากต้นน้ำในรัฐฉาน

ตั้งแต่การรัฐประหารทหารในเมียนมาปี 2564 เหมืองแร่จำนวนมากได้เปิดขึ้นเพื่อทำเหมืองโลหะหายากที่ใช้ในโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ ของเสียเคมีไหลเข้าสู่ไทยโดยไม่ผ่านการกรอง ทำให้เกิดปัญหาผิวหนังและอาการเจ็บป่วยต่างๆ

สถิติที่น่าตกใจคือ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ประชาชนประมาณ 1,500 คนได้รวมตัวกันที่จังหวัดเชียงรายเพื่อเรียกร้องให้ปิดเหมืองผิดกฎหมายในเมียนมา ผู้ประท้วงได้ส่งจดหมายไปยังนายกรัฐมนตรีไทย ประธานาธิบดีจีน หัวหน้าคณะรัฐประหารเมียนมา และหัวหน้ากลุ่มติดอาวุธที่เชื่อว่าอยู่เบื้องหลังกิจกรรมการทำเหมือง

เขื่อนปากแบง อ่างกักเก็บพิษแห่งอนาคต?

หากว่าปัญหามลพิษจากการทำเหมืองในเมียนมายังไม่เพียงพอ ประเด็นที่น่ากังวลที่สุดในขณะนี้คือ โครงการก่อสร้าง “เขื่อนปากแบง” ในแขวงอุดมไซ สปป.ลาว ที่อาจจะเริ่มก่อสร้างในเดือนตุลาคมนี้

เขื่อนปากแบงเป็นโครงการพลังงานไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำโขงสายหลักในดินแดนทางเหนือของลาว โครงการ run-of-river นี้มีกำลังการผลิต 912 เมกะวัตต์ และผลิตพลังงานเฉลี่ยปีละ 4,775 กิกะวัตต์ชั่วโมง ตั้งอยู่ห่างจากชายแดนไทยประมาณ 90 กิโลเมตร เขื่อนจะมีความสูงสูงสุด 64 เมตรและความยาวสันเขื่อน 896.70 เมตร

น.ส.เพียรพร ได้เตือนถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการนี้ว่า หากมีการก่อสร้างเขื่อนแล้วเสร็จ เขื่อนปากแบงอาจกลายเป็น “อ่างกักเก็บสารพิษขนาดใหญ่” เนื่องจากจะทำให้สารปนเปื้อนที่ไหลมาจากต้นน้ำตกตะกอนและสะสมอยู่ในอ่างเก็บน้ำ กลายเป็นกับดักสารพิษที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในวงกว้างกว่าเดิม

ข้อมูลล่าสุดระบุว่า เขื่อนปากแบงคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ภายในปี 2572 ในขณะที่เขื่อนหลวงพระบางคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2570

ตามรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ เขื่อนปากแบงจะส่งผลกระทบต่อหมู่บ้านทั้งหมด 26 หมู่บ้านใน 3 จังหวัด โดย 17 หมู่บ้านอยู่ในจังหวัดบ่อแก้ว ครอบครัวทั้งหมด 923 ครอบครัว หรือประมาณ 4,700 คนจะต้องย้ายถิ่นฐาน

น.ส.เพียรพรได้ยื่นหนังสือคัดค้านถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ขอให้พิจารณาชะลอการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าจากโครงการนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบที่อาจประเมินค่าความเสียหายไม่ได้ในอนาคต

วิกฤตการจัดการ เมื่อปัญหาใหญ่ไร้ “แม่งาน”

นายภานุวัฒน์ ศรีสุข ตัวแทนภาคประชาชนจากเชียงแสนได้ให้มุมมองที่สำคัญแก่คณะกรรมการวุฒิสภาว่า ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาสิ่งแวดล้อมธรรมดา แต่เป็น “ปัญหาความมั่นคงชายแดน” ที่มีระดับความสำคัญไม่แพ้กับปัญหาความไม่สงบในภาคอีสานหรือภาคใต้

ปัญหาสำคัญที่นายภานุวัฒน์ชี้ให้เห็นคือ ความล้มเหลวในการจัดการระบบราชการที่ยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาเป็น “แม่งาน” ในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ซึ่งสร้างความกังวลอย่างมากว่า หากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล คณะทำงานที่เคยตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาอาจจะถูกยุบไปพร้อมกับรัฐบาลชุดเก่า ทำให้ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง

ข้อเรียกร้องของนายภานุวัฒน์จึงมุ่งไปที่การขอให้ “รัฐบาลใหม่” ยกระดับปัญหานี้ให้เป็นวาระเร่งด่วนระดับชาติ โดยขอให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบงานที่เกี่ยวข้องกับประชาชนชายแดนเข้ามากำกับดูแลอย่างจริงจัง และแต่งตั้ง “แม่งาน” ที่มีอำนาจและศักยภาพในการแก้ไขปัญหาได้อย่างเด็ดขาดและยั่งยืน

มิติระหว่างประเทศ เมื่อปัญหาใหญ่กว่าที่คิด

ปัญหามลพิษในแม่น้ำโขงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับไทยเท่านั้น การตรวจพบสารหนูตามแนวชายแดนลาว-เมียนมา ยิ่งบ่งชี้ถึงแหล่งมลพิษข้ามพรมแดนที่ส่งผลกระทบต่อระบบแม่น้ำทั้งหมด คณะกรรมการแม่น้ำโขง (MRC) กำลังประสานงานกับหน่วยงานชาติต่างๆ เพื่อเสริมสร้างการติดตามตรวจสอบร่วมกันและการแบ่งปันข้อมูลในประเทศที่ได้รับผลกระทบ

ข้อมูลจากการประมงมากเกินไป การขุดทรายอย่างหนัก และมลพิษจากพลาสติกได้เพิ่มความเครียดให้กับแม่น้ำ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้นำมาซึ่งภัยแล้งที่ยาวนานและรุนแรงขึ้น รวมถึงน้ำท่วมที่คาดการณ์ไม่ได้ ระบบการประมงที่เคยพึ่งพาได้ เช่น อวนไดของกัมพูชา ปัจจุบันล้มเหลวในบางปี

บทบาทวุฒิสภา สู่การขับเคลื่อนระดับนโยบาย

การลงพื้นที่ของคณะกรรมการวุฒิสภาในครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า ปัญหาในระดับชุมชนกำลังถูกยกระดับขึ้นสู่การพิจารณาในระดับนโยบายชาติ ซึ่งสอดคล้องกับบทบาทหลักของวุฒิสภาในการเป็นตัวแทนของประชาชนในการตรวจสอบและผลักดันการแก้ไขปัญหา

จากข้อมูลที่คณะกรรมการวุฒิสภาได้รับจากชาวบ้าน ผู้เชี่ยวชาญ และตัวแทนภาคประชาชน แสดงให้เห็นถึงความพร้อมที่จะขับเคลื่อนตามกลไกของคณะกรรมการเพื่อให้ปัญหาที่ซับซ้อนนี้ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบและยั่งยืน

การดำเนินการจะต้องมีการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุกระดับ ตั้งแต่การปราบปรามการลักลอบนำเข้าสารเคมีและอุปกรณ์ทำเหมืองแร่หายากที่ชายแดน (ซึ่งมีรายงานว่ายังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ อ.เวียงแหง และ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่) ไปจนถึงการยกระดับการเจรจาระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาการทำเหมืองในพื้นที่ต้นน้ำ และการพิจารณาผลกระทบจากโครงการเขื่อนในแม่น้ำโขง

ผลกระทับในวงกว้าง ไม่ใช่แค่ปลาตัวเดียว

ปัญหาที่เกิดขึ้นในแม่น้ำโขงและลูกน้ำกกไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะกับชาวประมงเท่านั้น แต่ยังขยายไปสู่หลายมิติ ได้แก่:

  • มิติเศรษฐกิจ: การสูญเสียรายได้จากการประมง การท่องเที่ยวลดลง และผลกระทบต่อเศรษฐกิจชุมชนโดยรวม
  • มิติสุขภาพ: ความเสี่ยงจากการบริโภคอาหารที่ปนเปื้อน และการใช้น้ำที่ไม่ปลอดภัย
  • มิติสังคม: การสูญเสียวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างชุมชน
  • มิติสิ่งแวดล้อม: ความเสียหายต่อระบบนิเวศแม่น้ำและความหลากหลายทางชีวภาพ
  • มิติความมั่นคง: ปัญหาความตึงเครียดระหว่างประเทศและความไม่มั่นคงของชุมชนชายแดน

สู่อนาคตที่ยั่งยืน

การต่อสู้กับวิกฤตมลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขงจึงไม่ใช่เพียงการหาทางออกให้กับชาวประมงในวันนี้ แต่เป็นการวางรากฐานที่สำคัญในการสร้างความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อม อาชีพ และสุขภาพของประชาชนในภูมิภาคนี้อย่างยั่งยืนในอนาคต

คำถามสำคัญที่ต้องได้รับการตอบในไม่ช้าคือ รัฐบาลไทยจะสามารถกำหนด “แม่งาน” ที่มีประสิทธิภาพและความต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหานี้ได้หรือไม่ และจะสามารถผลักดันให้เกิดการร่วมมือระหว่างประเทศที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นอย่างไร

เสียงของชาวบ้านสบกกที่ได้รับการรับฟังโดยวุฒิสภาในวันที่ 20 กันยายนนี้ ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเส้นทางยาวไกลที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนนี้ การประสบความสำเร็จในภารกิจนี้จะไม่ใช่เพียงชัยชนะของคนไทยเท่านั้น แต่จะเป็นตัวอย่างที่สำคัญในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในศตวรรษที่ 21

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Al Jazeera – “Dangerous Mekong River pollution blamed on lawless mining in Myanmar”, August 2, 2025
  • Laotian Times – “Toxic Arsenic Contamination Spreads from Northern Thailand into the Mekong River”, June 12, 2025
  • Al Jazeera – “Satellite images show surge in rare earth mining in rebel-held Myanmar”, August 7,
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“นายกนก” อบจ.เชียงราย คืนคุณภาพชีวิตให้ชาวแม่สรวยใน 24 ชั่วโมง

อบจ.เชียงรายลุยงานด่วน! “นายกนก” ลงพื้นที่แม่สรวย ตรวจสะพานชำรุด 2 แห่ง–เร่งซ่อมเชิงรุก พร้อมติดตั้งปั๊มน้ำใหม่ คืนน้ำสะอาดให้ 200 ครัวเรือนภายใน 24 ชั่วโมง

เชียงราย, 17 กันยายน 2568 — เช้าวันอังคารที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา ในยามที่ชุมชนกำลังเผชิญ “วิกฤตคู่” ทั้งคอสะพานชำรุดและน้ำอุปโภคบริโภคขาดแคลน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย หรือ “นายกนก” นำคณะผู้บริหารลงพื้นที่อำเภอแม่สรวยแบบเร่งด่วน สำรวจสะพานที่เสียหาย 2 แห่ง พร้อมสั่งการหน่วยงานวิศวกรรมเข้าประเมินโครงสร้างและจัดแผนซ่อมทันที ขณะเดียวกันได้ติดตามการแก้ไขปัญหาปั๊มน้ำบาดาลชำรุดที่ บ้านสันกลาง หมู่ 13 ตำบลป่าแดด จนสามารถ คืนน้ำสะอาดให้ชาวบ้านกว่า 200 ครัวเรือนได้ภายใน 24 ชั่วโมง สะท้อนท่าทีบริหารแบบ “ลงมือ–เห็นผล” และการบูรณาการเครื่องจักร–บุคลากรของ อบจ. สู่พื้นที่จริง

ภาพรวมสถานการณ์ โครงสร้างพื้นฐานเสียหาย–น้ำขาดแคลน กระทบวิถีชีวิตประจำวัน

อำเภอแม่สรวยเป็นพื้นที่เชื่อมต่อหมู่บ้าน–ตำบลหลายแห่ง สะพานท้องถิ่นทำหน้าที่เป็นเส้นเลือดฝอยของเศรษฐกิจฐานราก ทั้งการเดินทางของประชาชน การขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภค และบริการภาครัฐ เมื่อ คอสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 แห่งเกิดความเสียหายจน ต้องงดสัญจรชั่วคราว ผลกระทบเกิดขึ้นทันที ทั้งเส้นทางอ้อมที่ยาวขึ้น ต้นทุนขนส่งเพิ่ม และความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของผู้ใช้ทาง หากไม่มีมาตรการป้องกันที่เหมาะสม

ในเวลาไล่เลี่ยกัน ชุมชน บ้านสันกลาง หมู่ 13 ตำบลป่าแดด เผชิญปัญหาปั๊มน้ำบาดาล (ชนิดซับเมอร์ส) ชำรุด ทำให้ ขาดน้ำอุปโภคบริโภคนานกว่า 5 วัน ส่งผลต่อสุขอนามัย การทำอาหาร และการใช้ชีวิตพื้นฐานของประชาชนกว่า 200 ครัวเรือน สถานการณ์ดังกล่าวจึงต้องอาศัยมาตรการฉุกเฉินที่ เร็ว–ตรงจุด–ตรวจสอบได้ เพื่อคุ้มครองคุณภาพชีวิตอย่างทันท่วงที

สำรวจ–สั่งการ–ลงมือ”  แผนปฏิบัติการเฉพาะหน้าเพื่อความปลอดภัยของประชาชน

จุดเสี่ยงที่หนึ่ง คอสะพานเชื่อม หมู่ 6 เทศบาลตำบลเจดีย์หลวง–เขต อบต.เจดีย์หลวง

  • สะพานเป็นเส้นทางหลักสัญจรระหว่างชุมชน–หน่วยบริการภาครัฐ
  • คอสะพานเกิดความเสียหายจนเสี่ยงต่อการทรุดตัว จึง ประกาศงดการสัญจรชั่วคราว และติดตั้งสัญลักษณ์เตือนภัย
  • สำนักช่าง อบจ.เชียงราย ได้รับมอบหมายให้ประเมินโครงสร้างอย่างละเอียด (ตรวจรอยร้าว ระดับตอม่อ สภาพคานคอดิน) และจัดทำ แบบ–แผนซ่อมเร่งด่วน ตามมาตรฐานงานทาง

จุดเสี่ยงที่สอง คอสะพาน หมู่ 7 บ้านดอนสลี เชื่อม ตำบลป่าแดด–ตำบลศรีถ้อย

  • เส้นทางเชื่อมตำบล 2 ฝั่ง ใช้รับ–ส่งนักเรียนและขนส่งผลผลิตชุมชน
  • ความเสียหายระดับคอสะพานและไหล่ทางจำเป็นต้อง ปิดการจราจรชั่วคราว ลดความเสี่ยงอุบัติเหตุ
  • สำนักช่าง อบจ. เดินหน้าสำรวจธรณี–ฐานราก คำนวณแรงน้ำและกัดเซาะเพื่อกำหนด วิธีซ่อมให้ทนฝน–ทนน้ำ ในฤดูกาลต่อไป

มาตรการเฉพาะหน้าในทั้งสองจุดประกอบด้วย

  1. การทำทางเบี่ยงชั่วคราว–ติดตั้งป้ายเตือนและไฟกระพริบ,
  2. ประสานตำรวจทางหลวง/เทศบาล/อบต.ดูแลจุดปิดกั้น,
  3. แจ้งเส้นทางสัญจรทางเลือกแก่ประชาชนผ่านเสียงตามสาย–สื่อท้องถิ่น–เพจจังหวัด,
  4. เร่งรัด กรอบงบซ่อมฉุกเฉิน ภายใต้ระเบียบว่าด้วยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและงานทางท้องถิ่น เพื่อ ลดเวลาจัดซื้อจัดจ้าง โดยยังคงยึดความโปร่งใส

น้ำสะอาด “กลับมาคืนบ้าน”  ติดตั้งปั๊มใหม่–คืนแรงดันน้ำใน 24 ชั่วโมง

หลังรับแจ้งเหตุปั๊มน้ำบาดาลชำรุดที่ บ้านสันกลาง หมู่ 13 “นายกนก” มอบหมาย กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย บูรณาการกับผู้นำชุมชนและช่างท้องถิ่น ทำงานต่อเนื่องตั้งแต่ตรวจอาการเครื่องจนถึง ติดตั้งปั๊มซับเมอร์สตัวใหม่ พร้อมเดินระบบไฟ–ทดสอบแรงดัน–ล้างตะกอนในท่อจ่าย

ผลลัพธ์คือ คืนน้ำประปาชุมชนได้ภายในคืนนี้ (นับจากวันลงพื้นที่) ช่วยยุติภาวะขาดน้ำที่ยืดเยื้อนานกว่า 5 วัน ลดความเสี่ยงโรคระบบทางเดินอาหารและปัญหาสุขอนามัย โดยทีมงานยังวางแผน บำรุงรักษาเชิงป้องกัน (PM) รายเดือน เช่น ตรวจกรองทราย–เช็กกระแสไฟ–บันทึกชั่วโมงการทำงาน เพื่อยืดอายุปั๊มและป้องกันเหตุซ้ำ

เมื่อสะพานและน้ำคือ “ต้นทุนชีวิต” ของชุมชน

สะพาน ไม่ใช่แค่โครงเหล็ก–คอนกรีต แต่เป็น “ต้นทุนโลจิสติกส์” ของครัวเรือนชนบท การปิดสะพานแม้ไม่กี่วัน ทำให้

  • ระยะทางอ้อมเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ ค่าขนส่งและค่าเดินทาง ของผู้ประกอบการรายย่อย–พ่อค้าแม่ค้าเพิ่มสูง
  • เวลาเข้าถึงบริการของรัฐ (โรงพยาบาล–โรงเรียน–ที่ว่าการ) ยืดเยื้อ กระทบผลผลิตและรายได้ประจำวัน
  • ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย หากประชาชนฝืนใช้ทางชำรุด

น้ำสะอาด คือโครงสร้างพื้นฐานที่มองไม่เห็น แต่เมื่อตัดขาด ค่าใช้จ่ายครัวเรือน กลับพุ่ง (ต้องซื้อน้ำแพ็ก–เดินทางไปตักน้ำไกล), สุขภาพ เสี่ยงโรคระบบทางเดินอาหาร–ผิวหนัง, และ กิจกรรมเศรษฐกิจครัวเรือน ต้องหยุดชะงัก การแก้ปัญหาได้ภายใน 24 ชั่วโมง จึงเทียบเท่ากับการ ลดค่าใช้จ่าย–คืนเวลาทำกิน ให้ประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ

ในมุมการเงินสาธารณะ การเลือกใช้ งบฉุกเฉิน–เครื่องจักรของ อบจ. และเครือข่ายท้องถิ่น เข้าซ่อมแซม/ติดตั้งรวดเร็ว ช่วยหลีกเลี่ยงต้นทุนแฝงจากความล่าช้า (ค่าเช่ารถบรรทุกน้ำ, ค่าเสียโอกาสของผู้ประกอบการ, ค่าเดินทางอ้อมของนักเรียนและผู้ป่วย) ซึ่งหากประเมินแบบอนุรักษ์นิยม การฟื้นบริการภายใน 1 วัน คุ้มค่า กว่าปล่อยให้ยืดเยื้อหลายวันอย่างแน่นอน

จาก “เหตุฉุกเฉิน” สู่ “มาตรฐานป้องกันซ้ำ”

เหตุการณ์ครั้งนี้ชี้ให้เห็นความสำคัญของ 3 ประเด็นเชิงระบบที่ อบจ.เชียงรายเริ่มขับเคลื่อนและควรยกระดับให้เป็น มาตรฐานถาวร

  1. ข้อมูลสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานแบบดิจิทัล (Asset Registry)
    • จัดทำทะเบียนสะพาน–ถนน–ท่อส่งน้ำ พร้อมคะแนนสภาพ (Condition Index) และแผน PM รายปี
    • เมื่อเกิดเหตุ สามารถ เรียกดูประวัติการซ่อม–แบบโครงสร้าง–สเปกวัสดุ ได้ทันที ลดเวลาประเมินและจัดซื้อ
  2. งบสำรองฉุกเฉินที่คล่องตัว–โปร่งใส
    • ใช้กรอบระเบียบพ.ร.บ./กฎกระทรวงที่เปิดทางให้ซ่อมด่วนในภาวะสาธารณภัย แต่ต้อง เปิดเผยข้อมูลสาธารณะ เช่น วงเงิน–ผู้รับจ้าง–ระยะเวลาซ่อม–ผลการตรวจรับ เพื่อคงความเชื่อมั่น
  3. การมีส่วนร่วมของชุมชน–ท้องถิ่น
    • แต่งตั้ง “อาสาสะพาน–อาสาน้ำ” ระดับหมู่บ้าน แจ้งเตือนสภาพผิดปกติผ่านไลน์/ศูนย์ดำรงธรรม
    • จัดเวิร์กชอปการดูแลระบบสูบน้ำชุมชนขั้นพื้นฐาน เพื่อลดการชำรุดจากการใช้งานผิดวิธี

เสียงจากพื้นที่ การบริหารแบบ “อยู่หน้างาน”

แม้การลงพื้นที่ของ “นายกนก” จะเป็นภารกิจปกติของผู้บริหารท้องถิ่น แต่ จังหวะเวลา และ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมง ทำให้เห็น 3 ความชัดเจน

  • เข้าถึงปัญหาได้เร็ว เมื่อลงพื้นที่เอง การตัดสินใจเรื่องปิด–เปิดเส้นทาง การตั้งทางเบี่ยง และการเร่งรัดสำรวจโครงสร้าง เกิดขึ้นทันที
  • ใช้ทรัพยากรในสังกัดเต็มประสิทธิภาพ สำนักช่าง–กองป้องกันฯ–ยานพาหนะหนักของ อบจ. ถูก “ลาก” ออกจากลานจอดไปอยู่หน้างาน โดยไม่ต้องรอคำสั่งซับซ้อน
  • วัดผลจากชีวิตคนจริง นิยาม “สำเร็จ” ไม่ใช่จำนวนหนังสือราชการ แต่คือ น้ำประปาไหล–สะพานกลับมาใช้งานได้อย่างปลอดภัย และชาวบ้านเดินทาง–ทำกินได้ตามปกติ

ไทม์ไลน์ซ่อมสะพาน–แผนดูแลระบบน้ำชุมชน

สะพานทั้งสองแห่ง

  • สัปดาห์ที่ 1–2 แล้วเสร็จการสำรวจโครงสร้างและคำนวณแบบซ่อม (คอสะพาน–คันทาง–ระบบระบายน้ำ)
  • สัปดาห์ที่ 3 เปิดเผยแบบ–กรอบวงเงิน–แผนงานให้ชุมชนรับรู้ พร้อมตั้งจุดร้องเรียน/เสนอแนะ
  • เดือนที่ 1–2 ดำเนินการซ่อมภายใต้กรอบมาตรฐานทางท้องถิ่น เน้นความปลอดภัย–รองรับน้ำหลาก
  • ระยะยาว บรรจุในแผน PM หลังซ่อม พร้อมติดตั้งป้ายจำกัดน้ำหนัก/ความเร็ว ลดความเสี่ยงการชำรุดซ้ำ

ระบบน้ำชุมชนบ้านสันกลาง

  • บันทึกข้อมูล ปั๊มใหม่–แรงดัน–ชั่วโมงการทำงาน ลงทะเบียนสินทรัพย์ของ อบจ./เทศบาล
  • จัดทำ คู่มือดูแลประจำเดือน และมอบหมาย “เวรอาสาน้ำ” หมุนเวียน
  • ประเมินความต้องการ สำรองปั๊ม/อะไหล่เร่งด่วน และงบฝึกอบรมช่างชุมชน เพื่อซ่อมเบื้องต้นได้เอง

เชื่อมโยงภาพใหญ่ของจังหวัด “เครื่องจักร–คน–ข้อมูล” ต้องเดินไปด้วยกัน

ภารกิจที่แม่สรวยครั้งนี้สอดคล้องกับแนวทางใหญ่ที่จังหวัดเชียงรายขับเคลื่อนตลอดปี 2568—2569 คือการ ยกระดับการรับมือสาธารณภัยและซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน ให้เร็วขึ้น–ดีขึ้น–ถูกลง โดยใช้ 3 คานงัด

  1. เครื่องจักรพร้อมรบ รถขุด–รถเครน–รถบรรทุกน้ำของ อบจ./ท้องถิ่น ต้องพร้อมใช้งานและเคลื่อนย้ายข้ามอำเภอได้
  2. คนพร้อมงาน วิศวกรชำนาญงานและทีมช่างประจำ พร้อมกำลังเสริมจากเครือข่ายช่างชุมชน
  3. ข้อมูลพร้อมตัดสินใจ ฐานข้อมูลจุดเสี่ยง–แบบโครงสร้าง–ทะเบียนระบบน้ำ และช่องทางสื่อสารแบบสองทางกับประชาชน

เมื่อทั้งสามส่วนขยับพร้อมกัน จะเกิด ความต่อเนื่องของบริการสาธารณะ แม้ในยามวิกฤต ลด “เวลานิ่ง” ที่มักสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจและความรู้สึกไม่มั่นคงของประชาชน

คืนคุณภาพชีวิตวันนี้ เพื่อภูมิคุ้มกันของวันพรุ่งนี้

ภายใต้ข้อจำกัดเรื่องงบประมาณและภูมิประเทศที่ท้าทาย “แม่สรวยโมเดล” ที่เกิดขึ้นในสัปดาห์นี้จากการ ปิดจุดเสี่ยงสะพาน–เร่งสำรวจซ่อม–ติดตั้งปั๊มใหม่คืนน้ำใน 24 ชั่วโมง  แสดงให้เห็นว่างานท้องถิ่นที่ เร็ว–โปร่งใส–จับต้องได้ คือความเชื่อมั่นที่ชาวบ้านต้องการมากที่สุด

สำหรับ อบจ.เชียงราย ความสำเร็จไม่ได้จบที่การเบิกจ่ายหรือภาพลงพื้นที่ หากแต่จะวัดผลจาก “ชีวิตคน” ที่กลับมาเดินหน้าต่อได้อย่างปลอดภัย และมีระบบป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย การทำงานที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางเช่นนี้ คือคำตอบของการบริหารท้องถิ่นยุคใหม่ที่ต้อง บรรเทาทุกข์วันนี้ พร้อมกับ สร้างภูมิคุ้มกันวันพรุ่งนี้ ไปพร้อมกัน

สรุปข้อมูล

  • พื้นที่ปฏิบัติการ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย
  • จุดโครงสร้างพื้นฐานเสี่ยง คอสะพานชำรุด 2 แห่ง
    1. เชื่อม หมู่ 6 เทศบาลตำบลเจดีย์หลวง–เขต อบต.เจดีย์หลวง
    2. หมู่ 7 บ้านดอนสลี เชื่อม ตำบลป่าแดด–ตำบลศรีถ้อย
  • มาตรการทันที งดสัญจรชั่วคราว, จัด ทางเบี่ยง–ป้ายเตือน, สำนักช่าง อบจ. สำรวจ–จัดทำแบบซ่อมเร่งด่วน
  • วิกฤตน้ำชุมชน บ้านสันกลาง หมู่ 13 ต.ป่าแดด ปั๊มน้ำบาดาลชำรุด ชาวบ้านได้รับผลกระทบ กว่า 200 ครัวเรือน > 5 วัน
  • ผลการแก้ไข ติดตั้งปั๊มซับเมอร์สใหม่, ทดสอบระบบ และ คืนน้ำภายใน 24 ชั่วโมง
  • หน่วยงานภาคสนาม สำนักช่าง อบจ.เชียงราย, กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย, ผู้นำท้องที่–ท้องถิ่น

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

  • ที่ทำการปกครองอำเภอแม่สรวย

  • ผู้นำท้องที่ท้องถิ่นและชาวบ้านในพื้นที่

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผลไม่เป็นทางการชี้ “เพื่อไทย” นำขาดในการเลือกตั้งซ่อมเชียงราย เขต 7

วิเคราะห์ข้อเท็จจริงและประเด็นชี้ขาด

  • เหตุแห่งการเลือกตั้งซ่อม: เก้าอี้ ส.ส.เชียงราย เขต 7 ว่างลงหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน พ้นสมาชิกภาพ และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี ตามมาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญจากกรณีเกี่ยวกับการใช้งบประมาณ ส่งผลให้ต้องจัดการเลือกตั้งซ่อมในวันที่ 14 กันยายน 2568
  • เขตเลือกตั้งและจำนวนผู้มีสิทธิ: เขต 7 ครอบคลุม 5 อำเภอ 21 ตำบล รวม 285 หน่วยเลือกตั้ง โดยมีข้อมูลผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ถูกอ้างถึง 2 ชุด (125,283 คน และ 133,960 คน) ซึ่งมาจากรายงานต่างช่วงเวลาและต่างสำนักข่าว ชุดที่ 133,960 คนปรากฏในสื่อสาธารณะเช้าวันเลือกตั้ง ขณะที่ชุด 125,283 คนปรากฏในรายงานภาคค่ำที่แนบสถิติการนับคะแนนร้อยละ 94.74%—ในข่าวนี้จึงระบุทั้งสองชุดพร้อมที่มาเพื่อความโปร่งใส
  • ผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ (เมื่อเวลา ~19.45 น. วันที่ 14 ก.ย. 2568): ผู้สมัครหมายเลข 1 นายสง่า พรมเมือง พรรคเพื่อไทย ได้ 43,229 คะแนน นำผู้สมัครหมายเลข 2 นายสุทัศน์ ยาละ พรรคประชาชน ที่ได้ 18,252 คะแนน ข้อมูลดังกล่าวปรากฏในหลายสำนักข่าว โดยบางสำนักระบุเป็นผลหลังนับแล้ว 270 จาก 285 หน่วย (คิดเป็น 94.74%) และมีสถิติประกอบทั้งจำนวนบัตรดี บัตรเสีย และบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน.
  • บรรยากาศและการกำกับดูแล: เลขาธิการ กกต. นายแสวง บุญมี ลงพื้นที่ตรวจการเลือกตั้ง ตั้งแต่ช่วงเช้าและให้สัมภาษณ์ว่าเป็นไปด้วยความเรียบร้อย คาดรู้ผลอย่างไม่เป็นทางการราว 21.00 น. ซึ่งสอดคล้องกับรายงานข่าวเชิงพื้นที่หลายสำนัก

เชียงรายชี้ขาด “ซ่อมเขต 7” — เพื่อไทยนำขาดในผลไม่เป็นทางการ สะท้อนสมรภูมิภาคเหนือก่อนศึกใหญ่

สรุปวันลงคะแนน-ไทม์ไลน์การนับคะแนน-สัญญาณทางการเมืองที่ต้องจับตา

เชียงราย, 14 กันยายน 2568 — เข็มนาฬิกาแตะ 19.45 น. บนกระดานรายงานผลนับคะแนนที่ศูนย์รวมคะแนนอำเภอแม่จัน ตัวเลข “43,229” ปรากฏเคียงชื่อ นายสง่า พรมเมือง ผู้สมัครพรรคเพื่อไทย หมายเลข 1 ขณะที่ชื่อ นายสุทัศน์ ยาละ พรรคประชาชน หมายเลข 2 ปรากฏตัวเลข “18,252” ช่องว่างที่กว้างขึ้นตามจังหวะการส่งรายงานจาก 270 หน่วยเลือกตั้งแรก (ในจำนวนทั้งหมด 285 หน่วย) ทำให้ค่ำคืนนี้ภาพรวมผลคะแนน อย่างไม่เป็นทางการ ชี้ไปในทิศทางเดียวกัน: เก้าอี้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเชียงราย เขต 7 มีแนวโน้มจะกลับไปอยู่ในมือเพื่อไทยอีกครั้ง หากไม่มีความเปลี่ยนแปลงจากการตรวจทานอย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา

จุดเริ่ม—เหตุแห่ง “ซ่อม” และเส้นทางสู่วันลงคะแนน

สมรภูมิซ่อมครั้งนี้เกิดจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ให้ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน พ้นสมาชิกภาพ ส.ส. และถูกตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ประเด็นสำคัญอยู่ที่คำวินิจฉัยเกี่ยวกับการมีส่วนได้ส่วนเสียในการใช้งบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งคำวินิจฉัยดังกล่าวกลายเป็นหมุดหมายใหม่ที่สังคมการเมืองไทยต้องจดจำ และเป็นเหตุให้ต้องจัดการเลือกตั้งซ่อมในวันนี้

เขตเลือกตั้งที่ 7 ของเชียงรายครอบคลุมพื้นที่ 5 อำเภอ 21 ตำบล ได้แก่ อำเภอเชียงแสน (6 ตำบล), อำเภอเวียงแก่น (4 ตำบล), อำเภอดอยหลวง (3 ตำบล), อำเภอเชียงของ (6 ตำบล เฉพาะบางตำบล) และอำเภอแม่จัน (2 ตำบล คือ จันจว้าและจันจว้าใต้) มี 285 หน่วยเลือกตั้ง ขณะที่จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีการอ้างถึง สองชุดข้อมูล ในช่วงวันเลือกตั้ง—เช้าและบ่ายแก่ ๆ มีรายงาน 133,960 คน; ส่วนรายงานภาคค่ำของบางสำนักข่าวอ้าง 125,283 คน ซึ่งเป็นฐานคำนวณอัตราการมาใช้สิทธิที่ 59.24% (74,221 คน) ในรอบ 94.74% ของหน่วยที่รายงานผลเข้ามาแล้ว ทั้งนี้ความแตกต่างของฐานข้อมูลเกิดจาก “ช่วงเวลา” และ “แหล่งข้อมูล” ที่ใช้รายงาน ซึ่งต้องรอ กกต.ประกาศรับรองอีกครั้งเพื่อยืนยันตัวเลขสุดท้าย

นายสง่า พรมเมือง (หมายเลข 1 พรรคเพื่อไทย)
นายสุทัศน์ ยาละ (หมายเลข 2 พรรคประชาชน)

วันจริง—ผู้มีสิทธิ์ทยอยใช้สิทธิ์ บรรยากาศเรียบร้อย

ตั้งแต่เช้าตรู่บรรยากาศหน้าหน่วยเลือกตั้งหลายจุดในอำเภอเชียงแสน–เชียงของ–เวียงแก่น–ดอยหลวง–แม่จันเป็นไปอย่างคึกคัก เลขาธิการ กกต. นายแสวง บุญมี พร้อมผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยเลือกตั้ง ย้ำภาพรวม “เรียบร้อย” และประเมินว่า จะทราบผลอย่างไม่เป็นทางการได้ตั้งแต่เวลาประมาณ 21.00 น. สะท้อนความพร้อมของกลไกนับคะแนน ณ พื้นที่จริง

คำยืนยันเรื่องความเรียบร้อยสอดคล้องกับรายงานจากหลายสำนักข่าวในช่วงบ่าย–ค่ำ ทั้งในเชิงบรรยากาศและการคาดการณ์อัตราการมาใช้สิทธิ์ที่เดิมประเมินกันไว้ “ราว 65%” ก่อนปิดหีบเวลา 17.00 น. แม้ท้ายที่สุดตัวเลขที่ปรากฏบนกระดานรายงานผลช่วงรอบค่ำ (เมื่อนับได้ 94.74%) จะสะท้อนการมาใช้สิทธิ์ 59.24% ตามฐานข้อมูลที่รายงาน ณ เวลานั้น

ตัวเลขที่เล่าเรื่อง—คะแนนนำ, บัตรดี–เสีย, และ “ไม่ประสงค์ลงคะแนน”

เมื่อนาฬิกาเคลื่อนไปถึง 19.45 น. รายงานผลไม่เป็นทางการชี้ว่า นายสง่า พรมเมือง (หมายเลข 1 พรรคเพื่อไทย) ได้ 43,229 คะแนน ขณะที่ นายสุทัศน์ ยาละ (หมายเลข 2 พรรคประชาชน) ได้ 18,252 คะแนน ส่วนองค์รวมการลงคะแนนในรอบเดียวกันสะท้อนว่า

  • ผู้มาใช้สิทธิ: 74,221 คน (ฐานคำนวณ 59.24% ของผู้มีสิทธิ 125,283 คนตามรายงานชุดค่ำ)
  • บัตรดี: 61,481 ใบ (คิดเป็นร้อยละ 82.84 ของผู้มาใช้สิทธิในรอบรายงาน)
  • บัตรเสีย: 2,854 ใบ (ร้อยละ 3.85)
  • บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน: 9,886 ใบ (ร้อยละ 13.32)

ภาพรวมนี้สะท้อนพฤติกรรมผู้ใช้สิทธิ์ใน “สนามซ่อม” ที่อัตรา ไม่ประสงค์ลงคะแนน ยังคงเป็นตัวแปรที่ไม่ควรมองข้าม เกือบ “หนึ่งในเจ็ด” ของผู้มาใช้สิทธิ์ และสะท้อนท่าทีของประชาชนส่วนหนึ่งที่ต้องการส่งสัญญาณทางการเมืองด้วยการมาใช้สิทธิ์แต่ “ไม่เลือกรายชื่อผู้สมัคร” ใด ๆ

จากหีบถึงกระดาน—ไทม์ไลน์การนับคะแนน

หลังปิดหีบเวลา 17.00 น. การนับคะแนนเริ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายงานเป็นระยะจากสื่อหลายสำนักว่า เพื่อไทยนำ ทิ้งห่าง “พรรคประชาชน” ตั้งแต่ช่วงนับผ่าน 40–60% และคงระยะห่างเรื่อยมา ก่อนกระทั่ง เวลา 19.45 น. หลายสำนักพร้อมใจกันรายงานตัวเลข “นำห่าง” ในรอบ 270 หน่วยจาก 285 หน่วย (94.74%). ไทม์ไลน์นี้ช่วยให้เห็นภาพว่า “แนวโน้ม” เริ่มนิ่งตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ

สัญญะทางการเมือง—อะไรสะท้อนผ่าน “เชียงราย เขต 7”

  1. พลังฐานเสียงเดิมของเพื่อไทยในภาคเหนือ: แม้ภูมิทัศน์การเมืองระดับชาติผันผวน แต่สนามซ่อมที่เชียงรายยังสะท้อนฐานสนับสนุนเดิมของเพื่อไทยค่อนข้างชัดเจน เมื่อนำตัวเลขคะแนน 43,229 ต่อ 18,252 มาพิจารณา—ส่วนต่างระดับ “หลายหมื่นเสียง” คือสัญญะว่าการแข่งขันในพื้นที่เหนือยังไม่เปลี่ยนขั้วง่าย ๆ อย่างน้อยในเขตนี้
  2. บทเรียน “จำนวนกับคุณภาพ” ของการมีส่วนร่วม: ตัวเลข ไม่ประสงค์ลงคะแนน 9,886 ใบ และ บัตรเสีย 2,854 ใบ ในสนามที่ผู้สมัครมีเพียงสองคน ชี้ให้เห็นความสำคัญของ “การสื่อสารนโยบายที่จับต้องได้” และ “ความคาดหวังต่อการทำงานระยะสั้น” ของผู้แทนที่จะเข้ามาทำหน้าที่ต่อจากนี้ เนื่องจากวาระสภาปัจจุบันอาจอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในระดับชาติ ขณะที่พื้นที่ยังต้องการการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
  3. ความพร้อมของระบบเลือกตั้งและความน่าเชื่อถือของกระบวนการ: ภาพรวม “เรียบร้อย–โปร่งใส” จากการลงพื้นที่ของเลขาธิการ กกต. และผู้ว่าราชการจังหวัด รวมถึงเป้าหมายการรายงานผลตั้งแต่เวลา 21.00 น. ตอกย้ำความพยายามของหน่วยงานจัดการเลือกตั้งในการบริหารความคาดหวังของสาธารณะ—ปัจจัยนี้มีผลต่อ “ทุนความเชื่อมั่น” ของระบบการเมืองโดยรวม

เสียงจากหน่วยงานกำกับยืนยันความเรียบร้อยและไทม์ไลน์ประกาศ

นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ให้ข้อมูลต่อสื่อในวันเดียวกันว่า “โดยภาพรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย” และคาดว่าจะทราบผล “อย่างไม่เป็นทางการ” ได้ในเวลาค่ำของวันเดียวกัน พร้อมกล่าวขอบคุณคณะทำงานและประชาชนที่ให้ความร่วมมือ ส่งผลให้การลงคะแนนและนับคะแนนดำเนินไปตามกรอบเวลา ทั้งนี้ยังเปิดช่องทางรับร้องเรียนหากพบความผิดปกติ เพื่อเข้าสู่กระบวนการไต่สวนก่อนการประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการ

มุมเศรษฐกิจสังคมของ “สนามซ่อม”

แม้เป็นการเลือกตั้งซ่อมในหนึ่งเขตเลือกตั้ง แต่ผลที่ออกมามีนัยสำคัญต่อการจัดสรรทรัพยากรในระดับพื้นที่ช่วงที่เหลือของวาระสภา ส.ส.ที่ได้รับเลือกตั้งจะต้องสานต่อโจทย์เร่งด่วนของเขตพรมแดนที่พึ่งพิงการค้าชายแดน การเกษตร และการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์–วัฒนธรรม (เชียงแสน–เชียงของ–เวียงแก่น) รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงเศรษฐกิจล้านนา–ลุ่มน้ำโขง นี่คือเหตุผลที่ “เสียงในสภา” แม้เพียงหนึ่งเก้าอี้ก็มีผลต่อการชงโครงการและการติดตามงบประมาณให้ถึงพื้นที่จริง

ตัวเลข “ผู้มาใช้สิทธิ” ที่ชวนคิด

การคาดการณ์ช่วงเช้าโดยผู้เกี่ยวข้องบางส่วนประเมินการมาใช้สิทธิไว้ที่ “ราว 65%” แต่รายงานภาคค่ำในรอบการนับ 94.74% สะท้อนการมาใช้สิทธิที่ 59.24% (ฐาน 125,283 คน) หากเทียบกับจำนวนผู้มีสิทธิอีกรายงานหนึ่งซึ่งระบุ 133,960 คน ใน 285 หน่วยเลือกตั้ง จะเห็นว่า “ฐานข้อมูล” ที่ใช้คำนวณมีผลต่อการตีความคึกคักของบรรยากาศ อย่างไรก็ดี ตัวเลขสุดท้ายที่จะยุติข้อถกเถียงคือประกาศรับรองของ กกต. ซึ่งโดยกระบวนการต้องตรวจสอบเอกสารจากทุกหน่วยเลือกตั้งให้ครบถ้วนก่อนประกาศผลอย่างเป็นทางการ

ช่วงหาเสียงโค้งสุดท้ายเดิมพันของสองพรรค

แม้จะเป็นสนามที่ผู้สมัครเพียงสองคน แต่ความหมายนอกเหนือจากคะแนนคือ “แบรนด์การเมือง” ที่ทั้งสองพรรคพยายามสื่อสาร—ฝ่ายหนึ่งเน้น “ความต่อเนื่องของงานพื้นที่” ฝ่ายหนึ่งชู “ความหวังทางเลือกใหม่” และทั้งสองฝ่ายต่างระดมทีมลงพื้นที่เข้าถึงตลาดชุมชน–ถนนสายหลักเพื่อเร่งการรับรู้ในช่วงสุดท้ายก่อนปิดหีบ ภาพการลงพื้นที่ของแกนนำและผู้สมัครถูกบันทึกในหลายสื่อท้องถิ่น–สื่อกระแสหลักตลอดทั้งวัน (รายละเอียดกิจกรรมรายจุดอาจแตกต่างตามพื้นที่และช่วงเวลา) ก่อนที่ค่ำวันเดียวกันผลไม่เป็นทางการจะฉายภาพชัดถึงทิศทางของคะแนน.

ก้าวต่อไปเส้นทางสู่ “ประกาศรับรอง”

ตามกระบวนการหลังปิดการนับคะแนน ศูนย์รวมคะแนนจะรวบรวมเอกสาร–หลักฐานจากทุกหน่วยเพื่อส่งต่อไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตและจังหวัด ทำการตรวจสอบความถูกต้องก่อนเคลื่อนสู่ขั้นตอนการประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการของ กกต. ระหว่างนี้หากมีผู้สมัครหรือผู้มีส่วนได้เสียยื่นคำร้องเรียน กกต.จะพิจารณาไต่สวนตามพยานหลักฐาน ซึ่งอาจกระทบต่อระยะเวลาการประกาศรับรอง ทั้งนี้จากคำให้สัมภาษณ์ของเลขาธิการ กกต. ในช่วงค่ำยืนยันว่าบรรยากาศ “ไม่มีเรื่องร้องเรียนสำคัญ” และเป็นไปด้วยความเรียบร้อยในภาพรวม.

 Key Takeaways

  • ผลคะแนนไม่เป็นทางการ ณ ประมาณ 19.45 น. ระบุว่า นายสง่า พรมเมือง (เพื่อไทย) นำชัดเจนที่ 43,229 คะแนน เหนือ นายสุทัศน์ ยาละ (พรรคประชาชน) ที่ 18,252 คะแนน หลังนับ 270/285 หน่วย (94.74%)
  • บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน สูงเกือบ หนึ่งในเจ็ด ของผู้มาใช้สิทธิ (9,886 ใบ) สะท้อน “สัญญาณเฉพาะ” ของผู้ใช้สิทธิในสนามซ่อม
  • การบริหารความคาดหวัง ของหน่วยงานกำกับ: กกต.ลงพื้นที่ตั้งแต่เช้า ระบุภาพรวมเรียบร้อย และคาดรู้ผลไม่เป็นทางการช่วง 21.00 น. ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
  • ข้อพึงระวังด้านข้อมูล: ฐานข้อมูล “จำนวนผู้มีสิทธิ” มี 2 ชุดจากต่างช่วงเวลา (125,283 และ 133,960) จึงควรรอประกาศรับรองอย่างเป็นทางการเพื่อยุติความคลาดเคลื่อน.

แม้เป็นการเลือกตั้งซ่อมช่วงปลายวาระ แต่ผู้แทนที่ได้คะแนนมากสุดในคืนนี้จะต้องทำงานต่อทันทีในประเด็น “เร่งด่วน–จับต้องได้” ของพื้นที่ชายแดน เช่น สภาพคล่องเกษตรกรฤดูกาลใหม่, โลจิสติกส์ชายแดน–ด่านพรมแดนเชียงของ–สามเหลี่ยมทองคำ, การท่องเที่ยวประวัติศาสตร์–วัฒนธรรม และการบริหารจัดการภัยพิบัติช่วงฝนปลายฤดู ประชาชนควรติดตาม คำมั่น–ข้อเสนอเชิงนโยบายเฉพาะพื้นที่ ที่ผู้ชนะหาเสียงไว้ พร้อมภาคประชาสังคม–ท้องถิ่นร่วมตรวจสอบการผลักดันในสภาให้เกิดผลจริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
  • สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

องคมนตรีเยี่ยม “โครงการหลวงเชียงราย” ต้นแบบพัฒนาจากปราบฝิ่นสู่เศรษฐกิจยั่งยืน

สืบสาน รักษา ต่อยอด องคมนตรีเยี่ยม “โครงการหลวงเชียงราย” ต้นแบบพัฒนาพื้นที่สูง—จากปราบฝิ่นสู่เศรษฐกิจยั่งยืนและคุณภาพชีวิตที่ดี

เชียงราย, 12 กันยายน 2568 — แสงเช้าตัดกับแนวภูเขาที่ทอดยาวของชายแดนเหนือเมื่อขบวนตรวจเยี่ยมเคลื่อนเข้าสู่ “ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงสะโง้” เสียงทักทายเป็นกันเองจากเกษตรกรรุ่นพ่อแม่สลับกับรอยยิ้มของเยาวชนชนเผ่าที่กำลังทดลองชิมน้ำผึ้งผสมคาโมมายล์รุ่นทดลอง ร่องรอยของอดีตที่เคยเป็นไร่ฝิ่นและไร่เลื่อนลอยเหมือนถูกเล่าอย่างแผ่วเบาอยู่ในผืนดิน แต่สิ่งที่ชัดดังภาพคือผลผลิตสีสันสดใสและแผนทำกินที่มั่นคง—เรื่องเล่าของการ “สืบสาน รักษา ต่อยอด” กำลังดำเนินอยู่จริง

ผู้ขับเคลื่อนลงพื้นที่ครั้งนี้คือ พลเอกกัมปนาท รุดดิษฐ์ องคมนตรี เลขาธิการและประธานกรรมการบริหารมูลนิธิโครงการหลวง เพื่อ ติดตามผล–ให้กำลังใจ–และประสานการพัฒนาต่อเนื่อง ที่สองศูนย์พัฒนาโครงการหลวงในจังหวัดเชียงราย ได้แก่ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงสะโง้ (ก่อตั้ง พ.ศ. 2522) และ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงผาตั้ง (ก่อตั้ง พ.ศ. 2550) ซึ่งต่างเป็นภาพสะท้อนของการพัฒนาพื้นที่สูงแบบองค์รวมที่เริ่มจากการแก้ปัญหายาเสพติดและป่าเสื่อมโทรม มาสู่การสร้างอาชีพสุจริต ต่อยอดนวัตกรรมเกษตร และเสริมความเข้มแข็งของชุมชน

สะโง้เส้นทางจากไร่ฝิ่นสู่ “สมุนไพร–น้ำผึ้ง–ดอกไม้” ที่แข่งขันได้

เช้าวันนี้เริ่มที่ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงสะโง้ ศูนย์พัฒนาลำดับที่ 17 ของโครงการหลวง ซึ่งถือกำเนิดขึ้นเพื่อ ลดพื้นที่ปลูกฝิ่นและหยุดไร่เลื่อนลอย เมื่อเกือบครึ่งศตวรรษก่อน ปัจจุบันพื้นที่ส่งเสริมของศูนย์ฯ มี 1,397 ครัวเรือน (3,351 คน) เชื่อมกับเครือข่ายแปลงเกษตรภูเขาจำนวนมากและตลาดรองรับที่มั่นคง

เฉพาะในปีที่ผ่านมา ศูนย์ฯ รายงานว่า พัฒนาและส่งเสริมอาชีพเกษตรกร 136 ราย สร้างรายได้เพิ่มขึ้นรวม กว่า 1.24 ล้านบาท คิดเป็นเฉลี่ย 22,728 บาทต่อครัวเรือน โดยส่งเสริม พืชเศรษฐกิจกว่า 17 ชนิด และเดินเกม “เพิ่มมูลค่า” อย่างจริงจังในกลุ่ม สมุนไพร–ดอกไม้–ผึ้งโพรง มีแผน ผลิตพืชสมุนไพรอบแห้ง 10,000 กิโลกรัม เพื่อรองรับความต้องการตลาดสุขภาพและชาน้ำสมุนไพร ขณะเดียวกัน น้ำผึ้งคาโมมายล์” และ ดอกเก๊กฮวยโครงการหลวง” กลายเป็นดาวเด่น—สีเหลืองสดและกลิ่นหอมยังคงเด่นหลังผ่านการอบแห้ง ตอกย้ำ ความต่างเชิงคุณภาพ ที่ตลาดพร้อมจ่าย

เบื้องหลังผลิตภัณฑ์เหล่านี้คือชุดความรู้ที่โครงการหลวงสั่งสม ทั้งเรื่อง พันธุ์–เทคนิคเพาะปลูก–มาตรฐาน GAP–การเก็บเกี่ยว ไปจนถึงการ แปรรูปและบรรจุภัณฑ์ ให้ตอบโจทย์ตลาดสมัยใหม่ เกษตรกรรุ่นพ่อถ่ายทอดแปลงปลูกให้ลูกหลาน และเห็นผลลัพธ์จับต้องได้—จากรายได้เสริมแปลงเล็กสู่การวางแผนฤดูกาลผลิตอย่างเป็นระบบ

ผาตั้ง โมเดลองค์รวม—เศรษฐกิจเข้มแข็ง สังคมเข้มแข็ง สิ่งแวดล้อมยั่งยืน

ช่วงบ่าย ขบวนเคลื่อนไปยัง ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงผาตั้ง อ.เวียงแก่น ศูนย์ฯ ลำดับที่ 38 ที่ทำงานมาตั้งแต่ปี 2550 โดดเด่นด้วย การพัฒนาครบวงจร ในสามมิติสำคัญ

  1. เศรษฐกิจ — ศูนย์ฯ ส่งเสริม พืชเศรษฐกิจกว่า 18 ชนิด ตั้งแต่ผักสลัดคุณภาพสูงไปจนถึงไม้ผล ให้กับ เกษตรกรสมาชิก 78 ราย ในชุมชนที่หลากหลายเชื้อสายทั้ง ม้ง เมี่ยน จีนยูนนาน และคนเมือง ทำให้มูลค่ารายได้ภาคเกษตร มากกว่า 7.7 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าพืชคุณภาพบนพื้นที่สูงมีศักยภาพแข่งขัน ทั้งตลาดท่องเที่ยวภายในจังหวัดและตลาดเมืองใหญ่
  2. สังคม — ศูนย์ฯ หนุนการรวมกลุ่มของ สตรีและเยาวชน จัดตั้ง กลุ่มวิสาหกิจชุมชน–กลุ่มแปรรูป–กลุ่มหัตถกรรม เช่น เสื้อผ้าปักลายม้งโบราณ เป็น การรักษาวัฒนธรรมควบคู่อาชีพ เพิ่มอำนาจต่อรองและสัญลักษณ์อัตลักษณ์ชุมชน
  3. สิ่งแวดล้อม — ขับเคลื่อน ชีวภัณฑ์–ลดสารเคมี–อนุรักษ์ต้นน้ำ ผ่านการมีส่วนร่วมของชุมชน ปรับผังปลูกให้เหมาะกับภูมิประเทศป้องกันการพังทลายของดิน สร้างสมดุลระหว่างรายได้กับความอุดมสมบูรณ์

นอกจากนี้ พื้นที่ยังเตรียมสร้าง อาคารศูนย์การเรียนรู้แห่งใหม่ (งบประมาณจังหวัดเชียงราย ปี 2570) เพื่อทำหน้าที่เป็น คลังความรู้–พื้นที่ถ่ายทอดเทคโนโลยี–และเวทีทดลองของเยาวชน ทั้งจากโรงเรียนในพื้นที่และเครือข่ายนักศึกษาที่ขึ้นมาฝึกปฏิบัติ—วางฐาน “คนรุ่นใหม่ของภูเขา” ให้ทันตลาดและเทคโนโลยี

คำย้ำจากองคมนตรี “ช่วยชาวเขา ช่วยชาวเรา ช่วยชาวโลก” ให้เป็นจริงในพื้นที่

การลงพื้นที่ขององคมนตรีครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงตรวจงาน หากเป็นการ “สื่อสารพันธกิจร่วม” ว่าการพัฒนาพื้นที่สูงตามแนวพระราชดำริยังคงเดินหน้าอย่างมีทิศทาง พลเอกกัมปนาท รุดดิษฐ์ เน้นให้ศูนย์พัฒนาทั้งสองแห่งยึดมั่นแนวทาง สืบสาน รักษา ต่อยอด” โดยตีความ “ช่วยชาวเขา ช่วยชาวเรา ช่วยชาวโลก” ให้เป็น ผลลัพธ์ที่วัดได้ ตั้งแต่ระดับครัวเรือนถึงระบบนิเวศ—ชาวเขาและชุมชนท้องถิ่นมีรายได้มั่นคง ชาวเรา (สังคมไทย) ได้ผัก–ผลไม้คุณภาพมาตรฐาน และชาวโลกได้เห็นแบบอย่างการลดแรงกดดันต่อป่าและทรัพยากรน้ำของเทือกเขาสูง

ตัวเลขที่เล่าเรื่องได้ เมื่อความยั่งยืนกลายเป็นสถิติ

  • สะโง้: 1,397 ครัวเรือน (3,351 คน) ในโครงข่ายส่งเสริม, 136 รายได้รับการพัฒนาอาชีพปีล่าสุด, รายได้เพิ่มรวมกว่า 1.24 ล้านบาท (เฉลี่ย 22,728 บาท/ครัวเรือน), ส่งเสริม 17 ชนิดพืชเศรษฐกิจ, เป้าหมายผลิตสมุนไพรอบแห้ง 10,000 กก. (กลุ่มเก๊กฮวย–คาโมมายล์–สมุนไพรอื่น)
  • ผาตั้ง: เกษตรกรสมาชิก 78 ราย, ส่งเสริม 18 ชนิดพืชเศรษฐกิจ, มูลค่ารายได้ภาคเกษตรมากกว่า 7.7 ล้านบาท, มีเครือข่าย วิสาหกิจชุมชน–หัตถกรรม–แปรรูป ขยายบทบาทสตรีและเยาวชน

ตัวเลขเหล่านี้ชี้ว่า โมเดลโครงการหลวง ไม่ได้หยุดที่ “เลิกฝิ่น” หากไปไกลถึง “สร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์บนภูเขา” ที่ผูกพันกับ มาตรฐาน GAP/ความปลอดภัยอาหาร–การแปรรูป–บรรจุภัณฑ์–และช่องทางตลาด ตั้งแต่ตลาดเกษตรคุณภาพในเมือง การท่องเที่ยว ไปจนถึงแพลตฟอร์มออนไลน์—ทั้งหมดนี้ ลดความเสี่ยงรายได้ จากพืชเดี่ยวและอากาศแปรปรวน

จากพิธีสู่การปฏิบัติ 5 คานค้ำของความยั่งยืนบนภูเขา

  1. วิจัย–พัฒนา–ตลาด เดินด้วยกัน: ศูนย์พัฒนาเป็น “หน้าเสาธง” ที่รับเทคโนโลยีจากสถานีวิจัยโครงการหลวงและหน่วยงานวิชาการ ส่งต่อสู่แปลงเกษตร แล้ว ผูกตลาด ผ่านเครือข่ายรับซื้อของมูลนิธิโครงการหลวงและเอกชนพันธมิตร
  2. มิติสังคมไม่ถูกลืม: การรวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชน–หัตถกรรม และการให้บทบาทสตรี–เยาวชน คือ เกราะกันความเปราะบาง ไม่ให้ครัวเรือนถอยหลังเมื่อเจอราคาพืชผันผวน
  3. สิ่งแวดล้อมคือทุน: โครงสร้างปลูกที่รักษาหน้าดิน แหล่งน้ำ และการใช้ชีวภัณฑ์ช่วยให้ “ต้นทุนธรรมชาติ” ไม่เสื่อมลงตามรายได้
  4. การเรียนรู้ตลอดชีวิต: ศูนย์การเรียนรู้ (และอาคารใหม่ที่ผาตั้ง) ทำให้เกษตรกร–นักเรียน–นักศึกษา เรียนรู้จากพื้นที่จริง สร้างทักษะใหม่และตั้งคำถามใหม่ ๆ กับตลาด
  5. ความร่วมมือข้ามระดับ: จังหวัด–อำเภอ–องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น–เอกชน–ชุมชน ทำงานเป็นวงจรเดียวกัน ทำให้การ “ต่อยอด” เกิดขึ้นได้รวดเร็ว—ตั้งแต่การขอรับรองมาตรฐานถึงการขนส่งสินค้า

เสียงสะท้อนจากพื้นที่ ความหวังในรุ่นลูกหลาน

แม้ในรายงานวันนี้จะไม่มีพิธีการกล่าวถ้อยคำยาว ๆ จากเกษตรกร แต่ภาพที่จับใจคือ เยาวชนชนเผ่าที่กลับจากเมือง ถือสมุดจดสูตรชงชาสมุนไพร ทดลองสัดส่วนเก๊กฮวยกับคาโมมายล์เพื่อทำผลิตภัณฑ์ใหม่ของกลุ่มแม่ ๆ ในหมู่บ้าน “รายได้เสริมเล็ก ๆ” กลายเป็น ห้องทดลองธุรกิจ ที่ชวนให้ทั้งครอบครัวและเพื่อนบ้านลุกขึ้นมาวางแผนการตลาด แพ็กเกจจิ้ง และช่องทางขาย—นี่คือเรื่องราวเล็ก ๆ ที่ยืนยันว่า “การสืบสาน” ไม่ได้อยู่ในพิพิธภัณฑ์ แต่อยู่ใน ร้านค้าชุมชน และ ตะกร้าสินค้าออนไลน์ ของคนรุ่นใหม่

ประเด็นท้าทายที่ยังต้องไปต่อ

ความสำเร็จไม่ได้หมายความว่า “ถึงเส้นชัย” ทั้งสองศูนย์ยังยอมรับโจทย์สำคัญ ได้แก่

  • อากาศสุดขั้ว–ฝนผิดฤดูกาล ที่ส่งผลต่อผลผลิตบนพื้นที่สูง จำเป็นต้องลงทุนความรู้ด้าน เกษตรแม่นยำ–ระบบน้ำ–โรงเรือน ให้มากขึ้น
  • มาตรฐาน–การรับรอง ที่ต้องรักษาอย่างเคร่งครัด พร้อมพัฒนาสินค้า GI/แบรนด์ท้องถิ่น เพื่อยกระดับราคา
  • โลจิสติกส์–ห่วงโซ่เย็น ที่ต้องเสถียรในฤดูกาลผลผลิตพีก โดยเฉพาะผักสลัดและดอกไม้กินได้
  • การสื่อสารตลาด ให้จับใจผู้บริโภคเมืองใหญ่—เล่าเรื่อง “ภูเขา” ให้กลายเป็น คุณค่า ไม่ใช่แค่ สินค้า

พื้นที่สูงในกระจกเงา “เศรษฐกิจ–สังคม–ธรรมชาติ”

การลงพื้นที่เชียงรายขององคมนตรีครั้งนี้ทำให้ภาพการพัฒนาพื้นที่สูงชัดขึ้น—อดีต คือการต่อสู้กับฝิ่นและไร่เลื่อนลอย, ปัจจุบัน คือการยืนบนฐานผลผลิตปลอดภัยและงานหัตถกรรมที่มีเรื่องเล่า, อนาคต คือการทำให้เด็กบนภูเขา อยู่กับบ้านเกิดได้อย่างภาคภูมิ มีรายได้ มีโอกาส และรักษาป่า–ต้นน้ำที่เลี้ยงดูพวกเขามาช้านาน

คำว่า สืบสาน รักษา ต่อยอด” จึงไม่ใช่คำขวัญ หากคือ สมการพัฒนา ที่มีตัวแปรครบ—ความรู้ เทคโนโลยี ตลาด สังคม และสิ่งแวดล้อม—ยิ่งเมื่อตัวเลขที่ศูนย์พัฒนารายงานเริ่มขยับขึ้นอย่างคงที่ ความเชื่อมั่นก็ยิ่งสูงขึ้นว่า โมเดลโครงการหลวง ยังเป็นเข็มทิศที่พาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและสมดุล

สรุปข้อมูลสำคัญ (Key Facts)

  • สถานที่ตรวจเยี่ยม: ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงสะโง้ (เริ่มปี 2522) และศูนย์พัฒนาโครงการหลวงผาตั้ง (เริ่มปี 2550) จ.เชียงราย
  • ผลลัพธ์สะโง้: พื้นที่ส่งเสริม 1,397 ครัวเรือน (3,351 คน), พัฒนาอาชีพปีล่าสุด 136 ราย รายได้เพิ่มรวม >1.24 ล้านบาท (เฉลี่ย 22,728 บาท/ครัวเรือน), พืชเศรษฐกิจ >17 ชนิด, เป้าหมายสมุนไพรอบแห้ง 10,000 กก., ผลิตภัณฑ์เด่น “น้ำผึ้งคาโมมายล์–ดอกเก๊กฮวย”
  • ผลลัพธ์ผาตั้ง: สมาชิก 78 ราย, พืชเศรษฐกิจ >18 ชนิด, มูลค่ารายได้ภาคเกษตรมากกว่า 7.7 ล้านบาท, ขยายบทบาทสตรี–เยาวชน–วิสาหกิจชุมชน, เตรียมก่อสร้างศูนย์การเรียนรู้ใหม่ ปีงบ 2570
  • กรอบพัฒนา: “สืบสาน รักษา ต่อยอด” ตามพระราชดำริ—เชื่อมเศรษฐกิจฐานราก สังคมเข้มแข็ง และการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มูลนิธิโครงการหลวง (Royal Project Foundation)
  • ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงสะโง้ และศูนย์พัฒนาโครงการหลวงผาตั้ง
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย/ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • เอกสารแนวพระราชดำริและนโยบายโครงการหลวง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“ป.ป.ช.เชียงราย” ผนึกกำลังท้องถิ่น “บี้ทุจริต” สปีดงานให้ทันประเทศ

ป.ป.ช.เชียงราย–ท้องถิ่น ผนึกกำลัง “บี้ทุจริต” เดินเกมสองขา ผลสอบทานเงินเยียวยาเกษตรกรคืบหน้า 5 ปี – คะแนน ITA จังหวัดพุ่ง แต่ยังต้องเร่งสปีดให้ทันประเทศ

เชียงราย, 12 กันยายน 2568 – ยามสายของวานนี้ ห้องประชุมธรรมลังกา ศาลากลางจังหวัดเชียงรายคึกคักเป็นพิเศษ เมื่อคณะกรรมการผลักดันการดำเนินงานตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ “ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ” เปิดประชุมแบบลงรายละเอียด—ถอดบทเรียนจากงานเก่าที่ยังไม่ถึงฝั่ง พร้อมประกาศมาตรการใหม่ให้หน่วยงานในพื้นที่เตรียมตัว “ลุยเชิงรุก” กับความโปร่งใสรอบใหม่ที่เข้มขึ้น

การประชุมมี นายสนธยา ยาพิณ ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน หัวข้อหลักครอบคลุม 3 วาระสำคัญ: (1) สถานะการสอบทานโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 ซึ่งลากยาวมาถึงปีที่ 5 (2) ผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) ปีงบประมาณ 2568 ของจังหวัด และ (3) การแจ้งประกาศใหม่ของ ป.ป.ช. ว่าด้วยการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของเจ้าพนักงานของรัฐตามมาตรา 103 (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2568 ที่จะเริ่มนับหนึ่งพร้อมกันทั่วประเทศในเดือนหน้า

คะแนน ITA ขยับขึ้น—แต่ภาพรวมจังหวัดยัง “กลาง ๆ” ในเวทีประเทศ

ข้อมูลที่เปิดเผยในที่ประชุมระบุว่า ส่วนราชการส่วนภูมิภาคของเชียงรายทำคะแนนเฉลี่ยได้ 94.83 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 3.22 คะแนน ขณะที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เฉลี่ย 94.03 เพิ่มขึ้น 2.41 คะแนน สะท้อนการยกระดับเชิงระบบ ทั้งด้านการเปิดเผยข้อมูล การมีส่วนร่วมของประชาชน และระบบกำกับภายในหน่วยงาน

อย่างไรก็ดี เมื่อลงสนามเปรียบเทียบกับจังหวัดอื่น ๆ ทั้ง 76 จังหวัด เชียงรายยังอยู่อันดับ 46—อยู่ในช่วง “กลางค่อนไปทางท้าย” ของประเทศ ซึ่งเป็นสัญญาณชัดว่า “แม้จะดีขึ้น แต่ยังไม่เร็วพอ” ในบริบทการแข่งขันระดับชาติที่เข้มข้นขึ้นทุกปี โดย ITA ถูกใช้เป็น “กล้องส่องคุณธรรม” ที่ ป.ป.ช. ออกแบบให้ประเมินทั้งจากงานเอกสารและเสียงสะท้อนจริงของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผ่านชุดดัชนี IIT (หน่วยงานประเมินตนเอง), EIT (คนภายนอกประเมิน), OIT (การเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ)—รอบด้านตั้งแต่ออนไลน์ถึงภาคสนาม และกลายเป็นแรงกดดันเชิงบวกให้หน่วยงานเร่งปรับปรุงจุดอ่อนเฉพาะจุดอย่างต่อเนื่อง

เสียงสะท้อนจากที่ประชุมชี้ให้เห็น “สมการความท้าทาย” ที่คุ้นเคย: ตัวชี้วัดด้านเอกสารและกระบวนงานดีขึ้นรวดเร็ว แต่หมวดที่พึ่งพาประสบการณ์ผู้รับบริการจริง—อย่างคุณภาพการสื่อสารต่อสาธารณะ ความสะดวกของ e-Service และความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ—ยังต้อง “เร่งอัพเกรดประสบการณ์” ให้สัมผัสได้มากกว่าตัวเลข

คดี “ลำไยปี 2563”  โครงการเก่า แต่บทเรียนใหม่เพื่อระบบคุ้มครองงบแผ่นดิน

อีกวาระที่สังคมจับตา คือ ความคืบหน้าการสอบทานโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 ซึ่ง ป.ป.ช.เชียงรายรายงานว่า ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว 15 อำเภอ และเหลืออีก 3 อำเภอ กำลังเร่งสรุปผล ข้อมูลในเชิงนโยบายย้ำว่าโครงการดังกล่าวเป็นหนึ่งในมาตรการรัฐบาลช่วงวิกฤตปี 2563 ที่ให้หน่วยงานภาครัฐและสถาบันการเงินของรัฐ—โดยเฉพาะ ธ.ก.ส.—ดูแลจ่ายเงินช่วยเหลือแก่เกษตรกรตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อประคับประคองรายได้ภาคเกษตรช่วงราคาผลผลิตผันผวนและผลกระทบจากโควิด-19

การที่ “โครงการปี 2563” ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบในปี 2568 จึงมีนัยสำคัญสองชั้น—ชั้นแรก คือการยืนยันว่าเงินภาษีต้องตรวจสอบได้แม้เวลาจะผ่านไป ชั้นที่สอง คือบทเรียนเชิงระบบว่าการกำหนดกลไกคัดกรองคุณสมบัติผู้รับสิทธิ การพิสูจน์การถือครอง/ประกอบอาชีพ และการเชื่อมโยงฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงาน ต้อง “แม่นกว่าเดิม” เพื่อ ตัดวงจรผิดพลาด ตั้งแต่ต้นน้ำ ลดภาระตรวจสอบปลายน้ำที่ใช้เวลายาวนาน

ย้อนไปดูโครงสร้างนโยบาย ภาครัฐเคยประกาศแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรรายชนิดพืชในช่วงดังกล่าวอย่างเป็นทางการ พร้อมเงื่อนไขและกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน—จากคำอธิบายของฝ่ายประชาสัมพันธ์รัฐบาลในช่วงปี 2563—และ ธ.ก.ส. เป็นกลไกนำจ่ายสำคัญสำหรับเกษตรกรที่ผ่านคุณสมบัติ โดยเปิดพื้นที่ร้องเรียนกรณีตกหล่นหรือมีปัญหาการขึ้นทะเบียน เพื่อปิดช่องโหว่ที่อาจนำไปสู่ความเสียหายของงบประมาณในภายหลัง

กฎใหม่–เกมใหม่” ยื่นบัญชีทรัพย์สิน 1 ต.ค.–30 พ.ย. ผ่านระบบ ODS

ด้านมาตรการเชิงรุก ที่ประชุมแจ้ง “การบ้านใหม่” ของหน่วยงานในจังหวัดตาม ประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนดตำแหน่งเจ้าพนักงานของรัฐซึ่งต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา 103 (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2568 โดยให้ แสดงรายการ ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2568 และ ยื่นระหว่าง 2 ตุลาคม–30 พฤศจิกายน 2568 ผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ (ODS), ยื่นด้วยตนเอง, หรือไปรษณีย์ลงทะเบียน ทั้งนี้ ผู้ยื่นสามารถขอขยายเวลา ไม่เกิน 30 วัน หากมีเหตุจำเป็น

แม้ประกาศฉบับนี้จะเป็นกรอบปฏิบัติ “รอบปี 2568” แต่สาระไม่ใช่เรื่องใหม่—การยื่นทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ ODS เป็นกลไกกลางที่ ป.ป.ช. ใช้มาหลายปี เพื่อให้ผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชี—ตั้งแต่ระดับนักบริหาร ตำแหน่งด้านการจัดซื้อ ไปจนถึงผู้รักษาการในตำแหน่ง—สามารถจัดส่งและปรับปรุงข้อมูลได้อย่างเป็นมาตรฐาน ตรวจสอบย้อนหลังได้ และลดภาระงานเอกสารของหน่วยงานต้นสังกัดลงอย่างมาก

สาระสำคัญเชิงธรรมาภิบาลของ “บัญชีทรัพย์สิน” คือการ ป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนและตรวจจับความผิดปกติของการเพิ่มขึ้นของทรัพย์สิน ที่อาจเป็นสัญญาณทุจริตได้ การขยับกรอบเวลาให้ชัด การย้ำใช้ e-Filing และกำหนดการขยายเวลาแบบมีเพดาน—ช่วยให้หัวหน้าส่วนราชการสามารถ “ล็อกจังหวะงาน” ภายในหน่วยได้ตรงกัน ลดความเสี่ยงยื่นล่าช้า และยกระดับคุณภาพข้อมูลที่เข้าสู่ระบบกลาง

เชียงรายควรเดินเกมอย่างไรต่อ?  แผน 4 ชั้น เร่ง “ปิดจุดบอด–เปิดจุดแข็ง”

บนฉากทัศน์ที่ คะแนน ITA ดีขึ้น แต่ยังอยู่ “กลางตารางประเทศ” ขณะที่ คดีสอบทานงบเกษตรกรค้างท่อ ยังต้องเร่งปิดงาน เชียงรายจำเป็นต้องสลับเกียร์จาก “ขยับทีละน้อย” สู่ “บูรณาการทั้งระบบ” ดังนี้

  1. ปิดบัญชีโครงการค้างเก่า—เผยแพร่ผลสอบทานแบบเปิดข้อมูล
    เร่งบูรณาการข้อมูลกับหน่วยงานเกษตร/อำเภอ และธ.ก.ส. เพื่อปิดงาน 3 อำเภอที่ค้าง พร้อมจัดทำ ชุดข้อมูลสาธารณะ (Open Data) ของผลสอบทาน—เช่น จำนวนรายการตรวจสอบ วิธีคัดกรอง ประเภทข้อผิดพลาดที่พบ และมาตรการแก้ไข—เพื่อนำไปสู่การออก แนวปฏิบัติใหม่ สำหรับโครงการอุดหนุน/ชดเชยในอนาคต และสร้างแรงจูงใจให้หน่วยงาน “ออกแบบโครงการแบบป้องกันปัญหาแต่ต้นน้ำ” (สอดคล้องกรอบยุทธศาสตร์ชาติประเด็นต่อต้านการทุจริต)
  2. เร่งอัพเกรด “ประสบการณ์ประชาชน” ในตัวชี้วัด EIT/OIT
    ประสบการณ์ผู้รับบริการคือ “พื้นที่กำไร” ของคะแนน ITA ที่ยังขึ้นได้อีก—ตั้งแต่ ย่นขั้นตอนงานบริการ, ปรับเนื้อหาเว็บไซต์ราชการให้เข้าใจง่าย (เฉพาะเรื่องที่คนใช้บ่อย เช่น ค่าธรรมเนียม/ระยะเวลาบริการ/ช่องร้องเรียน) ไปจนถึง เปิด API/ไฟล์ข้อมูลเชิงรุก ให้ภาคเอกชนและสื่อท้องถิ่นนำไปใช้ได้—ทั้งหมดนี้ล้วนสัมพันธ์โดยตรงกับหมวด EIT/OIT ที่ ITA ใช้วัดผลทั่วประเทศ
  3. คุมเส้นตาย “บัญชีทรัพย์สิน” แบบ One-Calendar ทั้งจังหวัด
    จัดตั้ง War Room ข้อมูล ระดับจังหวัด (นำโดยจังหวัด/ป.ป.ช.จังหวัด) เพื่อกำกับการยื่นบัญชีทรัพย์สินผ่าน ODS ให้ ทุกหน่วยงาน ทำงานตาม “ปฏิทินเดียวกัน” พร้อม Dashboard ระบุสถานะยื่นจริง–ค้าง–เสี่ยงล่าช้า ที่ผู้บริหารเห็นได้แบบรายวัน ลด “จุดหลุด” จากปัญหาเปลี่ยนตำแหน่ง/มอบหมายรักษาการ และให้คำปรึกษาแก่ อปท. ขนาดเล็กที่ทรัพยากรบุคคลจำกัด
  4. สื่อสารเชิงรุก–เปิดช่องร้องเรียนหลายแพลตฟอร์ม
    หน่วยงานจังหวัดควรทำคู่มือ “รู้สิทธิ–รู้ช่องทาง” สำหรับประชาชน (ภาษาไทย/ชนเผ่า/อักษรล้านนา) ระบุชัดว่าเรื่องไหนร้องที่ใด ติดตามผลอย่างไร เชื่อม ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนของ ป.ป.ช. และช่องทางร้องเรียนระดับท้องถิ่น พร้อมตั้งเป้า เวลาตอบรับเรื่องร้องเรียนเบื้องต้น ให้ชัด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและลดต้นทุนทางสังคมของผู้ร้องเรียน

จาก “คะแนนที่ดีขึ้น” สู่ “ระบบที่ดีพอ”—เกมยาวที่ต้องชนะด้วยความสม่ำเสมอ

ภาพรวมจากการประชุมครั้งนี้มีทั้ง ชัยชนะเชิงสัญญาณ และ การบ้านเชิงระบบ

  • ด้านหนึ่ง คะแนน ITA ของหน่วยงานในจังหวัด ขยับขึ้นชัดเจน—สะท้อนความพยายามและวินัยของหน่วยงานในพื้นที่
  • อีกด้านหนึ่ง อันดับจังหวัดในเวทีประเทศยังกลาง ๆ บอกเราว่าการแข่งขันด้านความโปร่งใสไม่ได้หยุดรอใคร—จังหวัดอื่นกำลังเร่งขึ้นเช่นกัน

ในเชิงคดี/โครงการ ลำไยปี 2563” ที่คืบหน้ามาไกล—แม้ใช้เวลายาวนาน—เป็นบทเรียนสำคัญว่า ระบบควบคุมภายในและการเชื่อมฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงาน คือเครื่องมือป้องกันความเสียหายที่ “ถูกกว่า–เร็วกว่า” การไล่ตรวจสอบย้อนหลัง ขณะที่กฎใหม่เรื่อง บัญชีทรัพย์สิน จะเป็นด่านแรกป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน หากหน่วยงานในเชียงรายสามารถ “ทำให้เรียบง่าย–ตรงเวลา–ตรวจสอบได้” ตามกรอบของ ป.ป.ช.

แก่นของเรื่องนี้จึงไม่ใช่เพียงคะแนน ITA หรือจำนวนสำนวนที่ปิดได้ แต่คือความสามารถของจังหวัดในการ เปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงาน—จาก “ทำตามเช็กลิสต์” ไปสู่ “ทำให้ประชาชนเห็นและสัมผัสได้จริง” ว่าระบบราชการ โปร่งใส–ตอบสนอง–รับผิดชอบ มากขึ้นทุกปี

และหากเชียงรายเดินเกมตามแผน 4 ชั้น—ปิดคดีค้าง เปิดข้อมูล สร้างประสบการณ์ผู้รับบริการที่ดี คุมเส้นตายด้วยข้อมูลแบบเรียลไทม์ และสื่อสารเชิงรุก—อันดับจังหวัด” จะเป็นเพียงผลพลอยได้ ของระบบที่ยั่งยืนกว่า นั่นคือ สังคมที่เชื่อมั่นว่าทุกบาทของงบประมาณ ถูกใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะจริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
  • สำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดเชียงราย
  • ข้อมูลจากการประชุมคณะกรรมการผลักดันการดำเนินงานตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ จังหวัดเชียงราย ครั้งที่ 2/2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เซ็นทรัลเชียงราย-มทบ.37 จับมือ “บำบัดทุกข์-บำรุงสุข” มอบเงินหนุนภารกิจประชาชน

เซ็นทรัล เชียงราย–มทบ.37 จับมือ “บำบัดทุกข์–บำรุงสุข” มอบเงินสนับสนุน 20,000 บาท เสริมภารกิจช่วยเหลือประชาชน พร้อมเปิดเวทีดนตรีเชื่อมใจชุมชน

เชียงราย, 10 กันยายน 2568 – การผนึกกำลังระหว่างภาคเอกชนและหน่วยงานทหารกำลังขยายบทบาทจาก “แนวหลัง” มาสู่ “แนวหน้า” ของการรับมือปัญหาสาธารณะและการเยียวยาจิตใจผู้คน เมื่อ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย มอบเงินสนับสนุน 20,000 บาท แก่ มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) เพื่อใช้ในภารกิจบรรเทาสาธารณภัยและช่วยเหลือประชาชน พร้อมจัดกิจกรรมดนตรีโดย หมวดดุริยางค์ มทบ.37 เพื่อส่งต่อความสุขในพื้นที่สาธารณะของเมือง

พิธีรับมอบจัดขึ้นวันที่ 9 กันยายน 2568 เวลา 19.00 น. ณ บริเวณชั้น G ของศูนย์การค้า โดยมี คุณสายัณห์ นักบุญ ผู้อำนวยการศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย เป็นผู้แทนส่งมอบ และ พันเอก โรมรัน ชูก้าน รองผู้บัญชาการ มทบ.37 เป็นผู้แทนรับมอบ บรรยากาศเต็มไปด้วยความเป็นกันเอง ท่ามกลางประชาชนที่แวะเวียนรับชมการแสดงดนตรี ซึ่งถูกออกแบบให้เป็น “เวทีกลางเมือง” สำหรับสร้างพื้นที่ร่วมทางวัฒนธรรมและเสริมแรงใจในช่วงปลายปี

 “เงินสนับสนุน” ฉายภาพภารกิจที่มองไม่เห็น

แม้จำนวนเงินสนับสนุนจะไม่สูงเมื่อเทียบกับงบประมาณภาครัฐ แต่ในบริบทภารกิจเชิงพื้นที่ของ มทบ.37 ที่ต้องเคลื่อนกำลังและอุปกรณ์อย่างฉับพลันในสถานการณ์วิกฤต เงินทุกบาทคือเชื้อเพลิงปฏิบัติการ ตั้งแต่ค่าน้ำมันรถกู้ภัย ค่าบำรุงรักษาเครื่องมือ ไปจนถึงวัสดุสิ้นเปลืองสำหรับช่วยเหลือเบื้องต้น การอุดหนุนจากภาคเอกชนจึงทำหน้าที่ “ปะติดปะต่อช่องว่างทรัพยากร” ที่มักเกิดขึ้นในงานภาคสนาม โดยเฉพาะช่วงฤดูกาลเสี่ยงอุทกภัยและดินถล่มของภาคเหนือ

ยิ่งไปกว่านั้น งานด้านมนุษยธรรมต้องการทั้ง “ความพร้อม” และ “ความต่อเนื่อง” ไม่ใช่เฉพาะตอนเกิดเหตุ การสนับสนุนเชิงรุกของภาคธุรกิจช่วยให้หน่วยทหารสามารถคงความฟิตของกำลังพลและอุปกรณ์ เพิ่มโอกาสให้การเข้าถึงผู้ประสบภัยเป็นไปอย่างทันการณ์ ลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่จำเป็น

ดนตรีเป็นสะพาน “ทหาร–ประชาชน”

พร้อมกันนั้น หมวดดุริยางค์ มทบ.37 ได้เปิดการแสดงในกิจกรรม “Music Corner: เปิดพื้นที่กิจกรรมแบ่งปันความสุขในเทศกาลส่งท้ายปี” ดนตรีที่คัดสรรท่วงทำนองร่วมสมัยและเพลงอมตะกลายเป็นภาษากลางที่ทุกวัยเข้าใจตรงกัน การแสดงไม่ได้มีเพียงความบันเทิง หากแต่ตั้งใจสื่อสารบทบาท “ทหารคู่ประชาชน” ในเชิงบวก ผ่านเวทีที่เข้าถึงง่าย ไม่เป็นทางการเกินไป และเปิดพื้นที่ให้ประชาชนรู้สึกปลอดภัยที่จะร่วมสนทนา แลกเปลี่ยน และสะท้อนปัญหาของชุมชน

การสร้าง “จุดพบ” ระหว่างทหารกับคนเมืองท่ามกลางศูนย์การค้า ถือเป็นการย่นระยะห่างภาครัฐ–ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม เพราะในภาวะปกติ คนส่วนใหญ่อาจมีโอกาสพบเจอทหารเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือภารกิจพื้นที่ปิด การใช้ดนตรีเป็น “ตัวกลาง” จึงช่วยเปิดบทสนทนาใหม่ให้ค่อย ๆ ก่อร่างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน

เมื่อ CSR เชื่อม “เศรษฐกิจท้องถิ่น–ความมั่นคงมนุษย์”

เซ็นทรัล เชียงราย ในฐานะกลไกเศรษฐกิจท้องถิ่น ย่อมตระหนักว่าความมั่นคงทางสังคมกับความคึกคักทางเศรษฐกิจเดินไปด้วยกัน พื้นที่ค้าปลีกที่ปลอดภัย มิตรไมตรีของเมือง และประสบการณ์ที่ดีของผู้มาเยือน ล้วนสะท้อนกลับเป็นความน่าอยู่และน่าใช้ชีวิต การลงมือผ่านกิจกรรม ความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ที่จับต้องได้ เช่น การเติมทรัพยากรให้หน่วยปฏิบัติการกู้ภัย และการเปิดพื้นที่สาธารณะให้กิจกรรมสร้างสรรค์ จึงเป็นการลงทุนทางสังคมที่ “คูณผล” ทั้งด้านภาพลักษณ์ แรงสนับสนุนชุมชน และความพร้อมรับมือเหตุไม่คาดคิด

ในอีกด้านหนึ่ง มทบ.37 ซึ่งดูแลพื้นที่ยุทธศาสตร์ของภาคเหนือช่วงบน มีภารกิจบูรณาการร่วมกับจังหวัด อปท. และหน่วยงานด้านความมั่นคง–สาธารณสุขอยู่เสมอ การได้รับการสนับสนุนจากภาคธุรกิจในพื้นที่ ทำให้การเชื่อมประสานงานกับเครือข่ายภาคเอกชนเป็นไปอย่างคล่องตัวมากขึ้น ทั้งในยามฉุกเฉินและช่วงฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ

บำบัดทุกข์–บำรุงสุข” จากแนวคิดสู่กลไก

สาระสำคัญของความร่วมมือครั้งนี้คือการทำให้คำว่า “บำบัดทุกข์–บำรุงสุข” ลงสู่การปฏิบัติจริงในสามมิติ

  1. บำบัดทุกข์เชิงปฏิบัติการ
    เงินสนับสนุน 20,000 บาท แม้เป็นตัวเลขไม่ใหญ่ แต่มีความยืดหยุ่นสูงสำหรับค่าใช้จ่ายเร่งด่วนในภารกิจพื้นที่ ช่วยลดขั้นตอนเชิงเอกสารและระยะเวลารอคอยงบกลาง เหมาะกับงานที่ต้องแข่งกับนาทีชีวิต
  2. บำรุงสุขเชิงสังคม–วัฒนธรรม
    เวทีดนตรีกลางศูนย์การค้า คือพื้นที่ “พักหายใจ” ของคนเมือง ช่วยลดความตึงเครียด สร้างแรงใจ และกระตุ้นการจับจ่ายหมุนเวียนในช่วงเทศกาล อีกทั้งยังเป็นเวทีสื่อสารของทหารที่เป็นมิตรและเข้าถึงได้
  3. บำรุงทุนทางความไว้วางใจ
    การพบปะในพื้นที่สาธารณะ สร้างทุนสังคมระหว่างหน่วยงานรัฐ–เอกชน–ประชาชน ให้พร้อมระดมความร่วมมือได้รวดเร็วขึ้นเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

เล่าเรื่องผ่านผู้คน บทบาทที่เกื้อกูลกัน

แม้พิธีรับมอบจะเรียบง่าย แต่สะท้อนความเข้าใจบทบาทซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้ง ฝั่งศูนย์การค้าเห็นความสำคัญของ “ความพร้อมตอบสนองภัย” ในจังหวัดท่องเที่ยว–เศรษฐกิจที่กำลังเติบโต ขณะที่ฝั่งทหารมองเห็นคุณค่าของ “พื้นที่กลางเมือง” ในการส่งสัญญาณเชิงบวก สื่อสารความห่วงใย และพร้อมเป็นที่พึ่งได้จริง

การตระเตรียมกิจกรรมดนตรีโดยหมวดดุริยางค์ มทบ.37 ยังชี้ให้เห็น ศิลปะการสื่อสารเชิงสาธารณะ ของหน่วยงานความมั่นคงสมัยใหม่ ว่าการยืนข้างประชาชนไม่จำเป็นต้องอยู่ในเครื่องแบบและยุทโธปกรณ์เสมอไป แต่สามารถ “วางเครื่องมือ” แล้ว “ยกเครื่องดนตรี” เพื่อทำหน้าที่เชื่อมใจคนในเมือง ท่ามกลางชีวิตประจำวันอันคึกคัก

พลังหุ้นส่วนท้องถิ่นในเมืองชายแดนเหนือ

เชียงรายเป็นจังหวัดชายแดนที่คุณสมบัติ “เมืองท่องเที่ยว–ประตูการค้า–ชุมชนพหุวัฒนธรรม” อยู่ร่วมกัน การบริหารเมืองเช่นนี้ต้องอาศัย “พันธมิตรหลายชั้น” ตั้งแต่ด่านหน้าในพื้นที่ ไปจนถึงเครือข่ายธุรกิจและสาธารณสุข ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นกรณีศึกษาเล็ก ๆ ที่ชี้ว่าการขับเคลื่อนเมืองยุคใหม่ ไม่ได้อาศัยกลไกรัฐล้วน ๆ หากต้องใช้ เครือข่ายร่วมสร้าง (co-creation) ที่ทุกฝ่ายมีพื้นที่และภารกิจของตนชัดเจน

  • ความยั่งยืนเชิงระบบ จะเกิดก็ต่อเมื่อการสนับสนุนมี “ความต่อเนื่อง” มากกว่าความฉาบฉวย และผูกเข้ากับแผนงานเชิงพื้นที่ เช่น ฤดูฝน–ฤดูท่องเที่ยว–ช่วงเทศกาลสำคัญ
  • ความยืดหยุ่นเชิงปฏิบัติการ ต้องอาศัยกองหนุนทางสังคมที่พร้อมเสมอทั้งทรัพยากรและอาสาสมัคร ซึ่งภาคธุรกิจในเมืองสามารถช่วยระดมทรัพยากรและสื่อสารสาธารณะได้เร็วกว่า
  • ความไว้วางใจเชิงสังคม คือสินทรัพย์ที่สร้างยากที่สุด แต่จำเป็นที่สุดในยามวิกฤต กิจกรรมเชิงวัฒนธรรมอย่างดนตรีมีพลังลดช่องว่างอย่างนุ่มนวลและต่อเนื่อง

มองไปข้างหน้าจากกิจกรรมเดียว สู่ “แพลตฟอร์มความร่วมมือ”

บนฐานความสำเร็จของงานครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายสามารถต่อยอดได้ในหลายทิศทาง

  • ตั้ง “กลไกสื่อสารฉุกเฉินร่วม” ระหว่างศูนย์การค้า–มทบ.37–จังหวัด เพื่อแจ้งเตือนสาธารณะ รวบรวมสิ่งของจำเป็น และประสานจุดอพยพ/จุดช่วยเหลือ เมื่อเกิดภัยพิบัติ
  • ขยาย “เวทีศิลปะเพื่อชุมชน” เป็นตารางกิจกรรมรายไตรมาส เปิดพื้นที่ให้วงดนตรีเยาวชน โรงเรียน และชุมชนชาติพันธุ์ร่วมแสดง สร้างพื้นที่ปลอดภัยทางวัฒนธรรม
  • พัฒนา “ชุดครุภัณฑ์ฉุกเฉิน” ด้วยเงินสนับสนุนและการระดมทุนสาธารณะ เช่น ชุดไฟส่องสว่างเคลื่อนที่ เครื่องสูบน้ำขนาดเล็ก ชุดปฐมพยาบาลขั้นสูง เพื่อวางกระจายในจุดเสี่ยง

หากทำได้ต่อเนื่อง เมืองจะมี “กล้ามเนื้อเชิงสังคม” ที่แข็งแรงขึ้น ขณะเดียวกันศูนย์การค้าก็จะทำหน้าที่มากกว่าพื้นที่เศรษฐกิจ แต่เป็น ศูนย์รวมพลังของเมือง ที่พร้อมยืนเคียงข้างกันในทุกจังหวะชีวิต

พลังเล็ก ๆ ที่ต่อยอดผลใหญ่

เหตุการณ์มอบเงิน 20,000 บาท และการบรรเลงดนตรีหนึ่งค่ำคืน อาจดูเล็กเมื่อเทียบกับโจทย์ความท้าทายของสังคม แต่ในเชิง “ระบบ” นี่คือจิ๊กซอว์ที่ทำให้เมืองมี ความพร้อม–ความหวัง–ความอบอุ่น มากขึ้น การเกื้อกูลกันระหว่าง เซ็นทรัล เชียงราย และ มทบ.37 จึงไม่เพียงบันทึกไว้ในหน้าข่าว หากแต่ควรถูกต่อยอดเป็นวัฒนธรรมเมืองที่ทุกภาคส่วน ร่วมรับผิดชอบและร่วมภูมิใจ ไปด้วยกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย
  • มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ไทย–ลาวเปิดฉาก “ลาดตระเวนร่วม” สกัดภัยข้ามแดนจากสามเหลี่ยมทองคำ

สมรภูมิแม่น้ำโขง ไทย–ลาว “ลาดตระเวนร่วม” เชียงของ สกัดภัยข้ามแดน—เปิดฉากความร่วมมือสู้ปัญหาซับซ้อนจากสามเหลี่ยมทองคำ

เชียงราย, 8 กันยายน 2568 — เสียงเครื่องยนต์เรือตรวจการณ์แล่นฉีกผิวน้ำโขงยามเช้า หน้า สะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 4 (เชียงของ–บ่อแก้ว) ขณะที่กำลังพลจากทั้งสองฝั่งแม่น้ำยืนประจำจุด ดูแลอุปกรณ์สื่อสารและแผนที่เดินเรือ ปฏิบัติการ ลาดตระเวนร่วมทางน้ำ” เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ โดยมี พ.อ.มีชัย นิลศาสตร์ รองผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง (กกล.ผาเมือง) และ พ.อ.แสงเพ็ด แสงมะนี หัวหน้าการทหาร บก.ทหาร แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ทำหน้าที่ประธานร่วม ณ จุดยุทธศาสตร์ริมโขงในอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เพื่อสกัดกั้น ยาเสพติด การหลบหนีเข้าเมือง และการลำเลียงสินค้าผิดกฎหมายที่คุกคามความมั่นคงสองประเทศอย่างต่อเนื่อง

การลาดตระเวนครั้งนี้ไม่ใช่กิจกรรมเฉพาะกิจ หากเป็น “ภาพสะท้อน” ของกรอบความร่วมมือความมั่นคงไทย–ลาวที่ยกระดับตลอดช่วงปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ระดับผู้นำรัฐบาลลงมาถึงหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ ตามเป้าหมายเดียวกันคือ ลดความรุนแรงของอาชญากรรมข้ามชาติในลุ่มน้ำโขง และ ทำให้พรมแดนเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับประชาชนและเศรษฐกิจชายแดน

โจทย์ใหญ่หน้าด่าน ยาเสพติดทะลัก–ภัยมั่วรูปแบบในลุ่มน้ำโขง

ตลอด 4–5 ปีที่ผ่านมา ลุ่มน้ำโขงเผชิญ “พายุสังเคราะห์” จากยาเสพติดชนิดเมทแอมเฟตามีนที่ ทำสถิติยึดจับสูงเป็นประวัติการณ์ ต่อเนื่อง องค์การสหประชาชาติ (UNODC) ระบุว่า ปี 2567 (ค.ศ. 2024) เมทแอมเฟตามีนที่ถูกยึดในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สูงถึง 236 ตัน เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อน และยังพบการปรับตัวของเครือข่ายผลิต–ลำเลียงด้วยเส้นทางใหม่และเทคนิคพรางตัวซับซ้อนมากขึ้น นั่นทำให้ “แนวหน้า” อย่างเชียงรายและบ่อแก้วต้องรับภาระกดดันหนักหน่วงกว่าที่เคย

สามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งเชื่อมพรมแดนไทย–ลาว–เมียนมา ยังคงเป็น “ครัวโลก” ผลิตเมทแอมเฟตามีนและยาเสพติดสังเคราะห์รูปแบบต่างๆ หลายเครือข่ายมี ศักยภาพกึ่งกองกำลัง และถักทอสัมพันธ์เชิงผลประโยชน์กับธุรกิจในพื้นที่ชายแดน ทำให้การบังคับใช้กฎหมายต้องพึ่งทั้ง ข่าวกรอง การสกัดกั้นเชิงลึก และความร่วมมือทวิภาคีที่ต่อเนื่อง มากกว่าการตั้งด่านหรือออกเรือตรวจแบบเดี่ยว ๆ

ไทย–ลาว” ขยับพร้อมกัน จากโต๊ะผู้นำสู่เรือตรวจการณ์หน้าน้ำ

เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 ผู้นำรัฐบาลไทยและลาวหารือที่ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ เห็นพ้องยกระดับความร่วมมือ ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์–ยาเสพติด ควบคู่การจัดการ หมอกควันข้ามแดน และการเพิ่มมูลค่าการค้าทวิภาคี นับเป็นสัญญาณชัดเจนว่าความมั่นคงชายแดนถูกผูกเข้ากับวาระเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมในแพ็กเกจความร่วมมือเดียวกัน เพื่อแก้ปัญหาอย่างเป็นองค์รวม

ระดับพื้นที่ก็ขยับจริงจังตลอดปีที่ผ่านมา ทั้งการลงนาม MOU ด้านปราบปรามยาเสพติด ระหว่างหน่วยทหารชายแดนสองประเทศในแนวโขง และการปฏิบัติการ “No Drugs No Dealers” ที่ฝ่ายไทย–ลาวเปิดแถลงข่าวขับเคลื่อนร่วมกัน เน้นการเชื่อมโยงข้อมูล–ขยายผลถึงเครือข่ายการเงิน ของผู้ค้ายาเสพติด ไม่ใช่จับเฉพาะหน้าด่านแล้วจบ

กกล.ผาเมือง ในฐานะกำลังหลักแนวเหนือ มีภารกิจเฝ้าระวัง–ป้องกันชายแดนครอบคลุมหลายจังหวัด ตั้งแต่เชียงราย–เชียงใหม่–พะเยา–น่าน–อุตรดิตถ์–พิษณุโลก ทำงานทั้งมิติทหาร ความมั่นคงภายใน และกิจการพลเรือน เพื่อให้ “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” ของการดูแลความปลอดภัยตลอดแนวป่าเขาและลำน้ำ

ภูมิทัศน์ภัยคุกคาม จาก “กองกำลังนอกภาครัฐ” ถึง “เศรษฐกิจเงา” ในเขตพัฒนา

รายงานของฝ่ายความมั่นคงนานาชาติหลายฉบับชี้ว่า เครือข่ายอาชญากรรมในสามเหลี่ยมทองคำมีความเชื่อมโยงกับ กองกำลังติดอาวุธนอกภาครัฐในเมียนมา ขณะที่หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ระบุ กองทัพสหรัฐว้า (UWSA) เป็นหนึ่งในองค์กรค้ายาเสพติดที่มีขีดความสามารถสูง มีโครงสร้างกึ่งรัฐและกำลังพลพร้อมอาวุธครบมือ ทำให้แรงกดดันแนวชายแดนไทย–ลาว–เมียนมาไม่ใช่โจทย์ “ตำรวจ–ทหาร” แบบเดิมอีกต่อไป

ในอีกมิติหนึ่ง หน่วยงานกระทรวงการคลังสหรัฐฯ (OFAC) เคยประกาศ คว่ำบาตรเครือข่าย “จ้าว เหว่ย” (Zhao Wei Network) ผู้บริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ (GTSEZ) ฐานเกี่ยวข้อง ฟอกเงิน–ค้ายา–ค้ามนุษย์ และใช้นิติบุคคลบังหน้าเพื่อแทรกซึมระบบเศรษฐกิจชายแดนในลาว—ประเด็นนี้สะท้อนภาพ “เศรษฐกิจเงา” ที่พึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานถูกกฎหมายเป็นช่องทางเคลื่อนย้ายทุนมืดและคนผิดกฎหมาย

แรงสั่นสะเทือนถึงฝั่งไทย กระสุน–แรงระเบิดลามข้ามพรมแดน

ความรุนแรงจากฝั่งบ่อแก้ว สปป.ลาว ลามผลกระทบถึงบ้านเรือนฝั่งเชียงราย หลายครั้งตลอดปีที่ผ่านมา สื่อท้องถิ่นภาษาอังกฤษรายงานกรณีกระสุนจากเหตุปะทะตกใส่หลังคาบ้านในไทย และยังมีข่าวเหตุระเบิดในบ่อแก้วที่สร้างแรงสั่นสะเทือนใกล้จุดผ่านแดน—ทั้งหมดนี้ยืนยันว่า ความไม่สงบชายแดนไม่ได้หยุดอยู่กลางน้ำ แต่ กระทบความปลอดภัยประชาชนไทยโดยตรง และบีบให้ต้องยกระดับกลไกเตือนภัย–สื่อสารสาธารณะในพื้นที่

สกัด–ขยายผล–ทำลายทุน” ยุทธศาสตร์กกล.ผาเมืองบนสมรภูมิแม่น้ำ

โครงงานลาดตระเวนร่วม 8 กันยายนนี้ จึงถูกวางบทบาทเป็น ฟันเฟืองเชื่อมยุทธศาสตร์ 3 ชั้น

  1. สกัดกั้นปลายน้ำ บนลำน้ำโขงด้วยเรือตรวจการณ์ผสมไทย–ลาว ควบคุมช่องทางเสี่ยง การขึ้น–ลงสินค้าเถื่อน และเส้นทางคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย พร้อมมาตรการคัดกรอง–สืบสวนภาคสนามร่วมกัน
  2. ขยายผลกลางน้ำ ด้วยการแลกเปลี่ยนข่าวกรองอย่างเป็นระบบกับหน่วยงานคู่ขนาน เช่น ป.ป.ส. ฝ่ายปกครอง ตำรวจตระเวนชายแดน และหน่วยต่อต้านการฟอกเงิน เพื่อเชื่อมโยง “ของ–คน–ทุน” เข้าด้วยกัน ไม่ให้คดีหยุดที่ของกลาง
  3. ทำลายทุนต้นน้ำ ผ่านความร่วมมือระหว่างรัฐบาล—อาศัยแรงส่งทางการทูต เศรษฐกิจ และกฎหมายระหว่างประเทศ บีบช่องทางระดมทุน–เคลื่อนย้ายเงินของเครือข่ายอาชญากรรมในพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจชายแดน

หลักฐานเชิงประจักษ์ คดีสกัดจับ “หลายล้านเม็ด” ที่ทำให้ภาพชัด

เพียงดูสถิติการยึดยาเสพติดใน แนวเหนือ–ลุ่มน้ำโขง จะเห็นความเข้มข้นของปัญหา—ข่าวการจับยึดยาบ้าระดับ หลักล้านเม็ด เกิดขึ้นถี่ในเชียงราย–เชียงใหม่ตลอดปี อาทิ

  • คดี 2.8 ล้านเม็ด ที่อำเภอแม่สาย—ตอกย้ำว่าแนวชายแดนบนสุดยังเป็น เป้าหมายหลัก ของขบวนการ
  • คดี 4.2 ล้านเม็ด เขตอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และ 600,000 เม็ด แถวเชียงดาว—สะท้อนเส้นทางเชื่อมต่อจากด่านหน้าสู่ “พื้นที่ชั้นใน”
  • อีกด้านหนึ่ง ในฝั่งลาวยังเร่ง กวาดล้างล็อตใหญ่ หลายคดีในแขวงภาคเหนือ สะท้อนแรงกดดันต่อเครือข่ายจากทั้งสองฝั่ง

ภาพรวมเหล่านี้สอดรับกับข้อมูล UNODC ที่ระบุแนวโน้ม การผลิต–ลักลอบเพิ่มขึ้น และ เส้นทางขนส่งปรับตัว อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ ข้ามแม่น้ำ–ถนนเลียบโขง–วงแหวนรอบนอกเมืองชายแดน ก่อนเข้าสู่โครงข่ายขนส่งตอนใน

 “พรมแดนปลอดภัยคือเศรษฐกิจที่เดินหน้าได้”

ฝ่ายความมั่นคงย้ำมาตลอดว่า พรมแดนปลอดภัย = ชายแดนคึกคัก” ทั้งการท่องเที่ยว การค้า ตลาดริมโขง และโลจิสติกส์ข้ามแดน สะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 ซึ่งเป็นเสาหลักการค้าระหว่างเชียงของกับบ่อแก้ว—จะทำหน้าที่ได้เต็มประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อความเสี่ยงอาชญากรรมลดลง การลาดตระเวนร่วมจึง ไม่ได้มีค่าเฉพาะด้านความมั่นคง แต่ยังเป็น การคุ้มครองปากท้อง ของคนชายแดน ทั้งพ่อค้า–แม่ค้า ผู้ขับเรือ นักท่องเที่ยว และแรงงาน

ทำไม “ลาดตระเวนร่วม” จึงจำเป็น แต่ยังไม่พอ

ปัญหายาเสพติด–อาชญากรรมข้ามชาติ “โตเร็วกว่าเครื่องมือรัฐ” เครือข่ายใช้เทคโนโลยีสื่อสารเข้ารหัส เส้นทางย่อยหลบเลี่ยงด่าน และ ทุนการเงินข้ามแดน ที่โยงกับธุรกิจพรางตัว การลาดตระเวนร่วมช่วย ลดแรงกดดันปลายน้ำ ได้จริง แต่จะยั่งยืนก็ต่อเมื่อ ข้อมูลข่าวกรอง–การสืบสวนทางการเงิน ทำงานคู่ขนานจนปิดวงจรทุนผิดกฎหมาย ซึ่งความไม่สงบในแขวงบ่อแก้ว และเหตุปะทะตามแนวชายแดน แสดงให้เห็นว่าโจทย์นี้ ทับซ้อนความมั่นคง–การเมือง–เศรษฐกิจ การเตรียมแผนอพยพ–แจ้งเตือนประชาชน–ซ้อมรับเหตุฉุกเฉิน ต้องเป็น มาตรฐานประจำ ของจังหวัดแนวโขง ไม่ใช่เฉพาะช่วงข่าวดัง โดยความร่วมมือระดับผู้นำไทย–ลาวที่ประกาศต่อสาธารณะ สร้าง “แรงหนุนเชิงนโยบาย” ดีแล้ว ขั้นต่อไปคือ คณะทำงานร่วมถาวร ที่จัดลำดับความสำคัญร่วมกัน ชุดปฏิบัติการผสมที่ ใช้ฐานข้อมูลเดียวกันแบบเรียลไทม์ และกลไกหมุนเวียนกำลัง–งบประมาณที่คงเส้นคงวา เพื่อไม่ให้ความร่วมมือสะดุดตามวาระ

ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติ

  1. ยกระดับ “ข่าวกรองร่วม” ระหว่างหน่วยไทย–ลาว โดยตั้งศูนย์ข้อมูลผสมริมโขง เชื่อมระบบสืบสวนทางการเงิน ป.ป.ส.–AMLO เข้ากับข้อมูลพรมแดนลาว เพื่อ ปิดวงจรทุนและคน พร้อมกัน
  2. คุมความเสี่ยงเขตเศรษฐกิจ–โลจิสติกส์ โดยคัดกรองผู้ประกอบการ–การเงินในพื้นที่พัฒนา ร่วมกับสถาบันการเงิน และใช้อำนาจทางการทูต–คว่ำบาตรพุ่งเป้าเครือข่ายที่ถูกระบุจากต่างประเทศ
  3. ลงทุน “ความปลอดภัยของชุมชน” เพิ่มเครือข่ายข่าวสารหมู่บ้าน–ท่าเรือท้องถิ่น สนับสนุนค่าตอบแทนแหล่งข่าวและเทคโนโลยีแจ้งเหตุเร็ว เพื่อให้ประชาชนเป็น ตา–หู ที่ไว้ใจได้ของรัฐ
  4. ซ้อมแผนฉุกเฉินแนวโขง ครอบคลุมหัวข้อ “กระสุน–ระเบิดข้ามแดน” และการสื่อสารความเสี่ยงเชิงรุก บนหลักฐานจากเหตุการณ์จริงในรอบปี

ปฏิบัติการลาดตระเวนร่วมทางน้ำ เชียงของ–บ่อแก้ว 8 กันยายน 2568 คือสัญญาณสำคัญว่าไทย–ลาว ยืนแถวเดียวกัน ต่อหน้าปัญหาข้ามพรมแดนที่ซับซ้อนและยืดเยื้อ ความสำเร็จจะไม่วัดเพียงจำนวนเรือหรือเที่ยวลาดตระเวน แต่ต้องวัดที่ การลดความเสี่ยงจริง ต่อประชาชนชายแดน การทำลายวงจรทุนผิดกฎหมาย และความเชื่อมั่นของผู้ค้า–นักท่องเที่ยวที่กลับคืนมา แม่น้ำโขงคือเส้นเลือดใหญ่ของภูมิภาค ปลอดภัยเมื่อใด เศรษฐกิจก็สูบฉีดเมื่อนั้น—และความร่วมมือวันนี้คือก้าวที่จำเป็นเพื่อไปให้ถึงวันนั้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองกำลังผาเมือง
  • หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) เขตเชียงราย
  • กองบัญชาการทหาร แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว
  • ข้อมูลจากรายงานเชิงวิเคราะห์การลาดตระเวนร่วมตามลำแม่น้ำโขงและพลวัตความมั่นคงชายแดนไทย-ลาว
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“กองร้อยน้ำส้ม” เชียงของ สตรีอาสาผนึกกำลังสู่ชุมชนเข้มแข็งและสันติสุข

อบจ.เชียงราย–มทบ.37 ผนึกกำลัง “กองร้อยน้ำส้ม อ.เชียงของ” ปลุกพลังผู้นำสตรีจากฐานราก สร้างชุมชนเข้มแข็ง–สันติสุข–ยั่งยืน

เชียงราย, 6 กันยายน 2568เวลา 09.00 น. ค่ายเม็งรายมหาราช บริเวณหน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) อำเภอเมืองเชียงราย เสียงต้อนรับและรอยยิ้มของสตรีกว่า 100 คนจากอำเภอเชียงของดังขึ้นพร้อมกัน เมื่อพิธีเปิด “โครงการพัฒนาศักยภาพบทบาทสตรีและครอบครัวจังหวัดเชียงราย: กิจกรรมส่งเสริมพลังสตรีจิตอาสา ก่อเกิดชุมชนที่เข้มแข็ง สร้างสันติสุขสู่สังคม” เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ โดยมี นางทรงศรี คมขำ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย เป็นประธานเปิดงาน แทน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ซึ่งได้มอบหมายภารกิจและกำชับเป้าหมายของโครงการไว้อย่างชัดเจน

ตลอดสองวันของการอบรมระหว่าง 6–7 กันยายน 2568 ผู้เข้าร่วม—ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแกนนำสตรี ชมรมสตรีแม่บ้าน และตัวแทนชุมชนจากตำบลต่าง ๆ ของอำเภอชายแดน—จะได้เรียนรู้ แลกเปลี่ยน และสร้างเครือข่ายทำงานเชิงอาสาสมัคร โดยมีทีมบุคลากรจากกองสวัสดิการสังคม อบจ.เชียงราย นำโดย นางสาวนิโลบล ชาติเงิน ผู้อำนวยการกองสวัสดิการสังคม ร่วมกับภาคีจาก มทบ.37 และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ออกแบบกิจกรรมให้เหมาะกับบริบทพื้นที่และโจทย์จริงที่สตรีเผชิญอยู่ในชีวิตประจำวัน

กองร้อยน้ำส้ม” คำเปรียบเทียบที่เปลี่ยนเป็นพลังจริง

จากความสดชื่น–มีชีวิตชีวา สู่ระเบียบวินัย–ความเข้มแข็งของการทำงานเป็นทีม

ผู้จัดเรียกกลุ่มสตรีเชียงของชุดนี้ด้วยนามเรียกที่น่ารักและจำง่าย—กองร้อยน้ำส้ม” คำเปรียบเปรยที่มีสองมิติในตัวเอง หนึ่งคือ “พลังความสดชื่น” ของสตรีที่เติมความหวังให้ครอบครัวและชุมชนเสมอ สองคือ “ระเบียบวินัยและความเข้มแข็ง” แบบกองร้อยที่สอดประสานกันเพื่อพิชิตเป้าหมายร่วม เมื่อความหมายทั้งสองมาบรรจบ โครงการจึงไม่ได้เกิดมาเพื่อ “ให้ความรู้แล้วจบ” แต่ตั้งใจ “สร้างแกนกลางผู้นำสตรี” ที่มีทั้งหัวใจอาสาและวินัยของการทำงานสาธารณะ

ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมสมาชิกสภา อบจ. ได้เดินทางไปยังพื้นที่อำเภอเชียงของเพื่อ มอบเกียรติบัตร ให้ผู้เข้าร่วม และกล่าวให้กำลังใจด้วยสารสำคัญที่สะท้อนวิสัยทัศน์เชิงโครงสร้างของการพัฒนาสตรีในจังหวัดอย่างชัดถ้อยชัดคำ ว่า

การเสริมสร้างศักยภาพของสตรี มิใช่เพียงการยกระดับคุณภาพชีวิตของสตรีเท่านั้น หากยังเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาสังคมโดยรวม เพราะสตรีมีบทบาทเชื่อมโยงทั้งในฐานะผู้ดูแลครอบครัว ผู้ประกอบอาชีพ และผู้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนชุมชนและท้องถิ่น… เมื่อสตรีมีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ความรู้ ทักษะ และประสบการณ์เหล่านั้นจะย้อนกลับไปสร้างครอบครัวเข้มแข็ง ชุมชนก้าวหน้า และสังคมที่ยั่งยืน”

สารดังกล่าวคือ “นัทกราฟ” (แก่นเรื่อง) ของโครงการนี้—การยืนยันว่าการลงทุนกับสตรีคือการลงทุนกับสังคมทั้งระบบ

ทำไมต้องเริ่มที่ชายแดน โจทย์จริง–พื้นที่จริง–ผู้เล่นจริง

อำเภอเชียงของเป็นพื้นที่ชุมชนชายแดนที่ต้องรับมือกับโจทย์หลากหลาย ทั้งเศรษฐกิจฐานรากที่ผูกกับเกษตร–บริการ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมของครอบครัวขยายสู่ครอบครัวเดี่ยว การย้ายถิ่นเพื่อทำงาน รวมถึงต้นทุนการเข้าถึงบริการภาครัฐในบางโซนชนบทห่างไกล เมื่อมองผ่านเลนส์ “เพศภาวะ” ปัญหาเหล่านี้สะเทือนต่อ สตรีและเด็ก ก่อนเสมอ—ทั้งในฐานะแกนกลางครัวเรือน ผู้ดูแล ผู้หารายได้เสริม และผู้เป็นเสาหลักยามเกิดวิกฤต

การฝึกอบรมและรวมเครือข่ายที่เชียงของ จึงเป็นการแก้ปัญหาที่ “จุดกำเนิด” ไม่ใช่ “ปลายเหตุ” เป้าหมายของโครงการชี้ชัดว่าจะ สร้างเวทีให้สตรีได้พัฒนาความรู้–ทักษะ–เครือข่าย แล้วส่งต่อเป็นพลังจิตอาสาที่ขยายไปถึงงานชุมชน เช่น การดูแลผู้เปราะบาง กิจกรรมเยาวชน การจัดการสิ่งแวดล้อม และการสื่อสารสาธารณะในระดับหมู่บ้าน–ตำบล

บทบาท “สองขา” ท้องถิ่น–ทหาร โมเดลบูรณาการเพื่อคนตัวเล็ก

จุดแข็งของโครงการนี้คือการทำงานแบบ “สองขา” ระหว่าง อบจ.เชียงราย (ท้องถิ่น–สังคม) และ มทบ.37 (ความมั่นคง–ระเบียบวินัย–ทรัพยากรสถานที่) การได้ใช้พื้นที่ฝึกของหน่วยทหารที่มีระบบระเบียบ เครื่องมือพร้อม และบุคลากรด้านการฝึกวินัย นำมาปรับใช้กับ หลักสูตรพลังสตรีจิตอาสา ทำให้รูปแบบกิจกรรมมีทั้งความกระชับ จริงจัง และเป็นมิตรกับผู้เรียน

  • ขาแรก—อบจ.เชียงราย: กำหนดนโยบายและเป้าหมาย ออกแบบกิจกรรมที่จับต้องโจทย์ชุมชน ดูแลเนื้อหาด้านสังคมและสวัสดิการ เชื่อมเครือข่ายระดับตำบล–อำเภอ
  • ขาที่สอง—มทบ.37: หนุนทรัพยากรสถานที่และกำลังพล สร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ปลอดภัย มีวินัย และต่อเนื่อง เสริมภาพ “ทหารเพื่อประชาชน” ในมิติการพัฒนาสังคม

ผลลัพธ์คือ “สนามฝึกเชิงสังคม” ที่คนตัวเล็กเข้าถึงได้จริง ไม่ใช่แค่เวทีรับฟัง แต่เป็นพื้นที่ ลงมือทำและต่อยอด หลังอบรม

โครงเรื่องการอบรมจากการตื่นรู้สู่การจัดตั้งทีมภาคสนาม

ตลอดสองวันของกิจกรรม (ตามกำหนดการที่ผู้ใช้จัดเตรียม) โครงการย้ำ “สามเสาหลัก” ที่ต่อกันเป็นเรื่องเดียว

  1. ตระหนักรู้บทบาทสตรี – ทำความเข้าใจศักยภาพและอุปสรรคเชิงโครงสร้างของสตรีในครอบครัว–ชุมชน
  2. เสริมสมรรถนะผู้นำจิตอาสา – ฝึกการสื่อสารสาธารณะ การทำงานเป็นทีม การประสานภาคี การจัดกิจกรรมที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับเด็ก–ผู้สูงอายุ
  3. ตั้งทีมปฏิบัติการชุมชน – แตกกลุ่มตั้ง “ทีมงานย่อย” และ “ภารกิจนำร่อง” ที่จะกลับไปทดลองในหมู่บ้าน/เขตเมืองของตนเอง (เช่น ทีมดูแลผู้เปราะบาง ทีมสิ่งแวดล้อม ทีมเยาวชน)

เนื้อหาทั้งหมดถูกยึดโยงกับบริบทเชียงของโดยตรง และมี พิธีมอบเกียรติบัตร เพื่อยืนยันการเริ่มต้นบทบาทผู้นำสตรีอย่างเป็นทางการ

วาทะที่ชูประเด็น—และเดินหน้าไปข้างหน้า

คำกล่าวของนายก อบจ.เชียงราย ในช่วงบ่าย เป็นเหมือน “รหัสผ่าน” ที่เปิดประตูบทใหม่ของบทบาทสตรีในจังหวัด “สตรีไม่ใช่ผู้รับนโยบายเพียงอย่างเดียว แต่คือ ‘ผู้สร้าง’ นโยบายระดับฐานราก” เมื่อถ้อยคำนี้ถูกประกาศต่อหน้าแกนนำสตรีและภาคีภาครัฐ–ทหาร ความหมายจึงไปไกลกว่าคำให้กำลังใจ แต่คือ การอนุมัติทางสังคม ให้สตรีออกมายืนแถวหน้าของการเปลี่ยนแปลง

ในมุมปฏิบัติการ โครงการยังส่งสัญญาณชัดว่าการขับเคลื่อนต่อจากนี้ต้องอาศัย ผู้นำหลายชั้น—ตั้งแต่ผู้นำชุมชนระดับหมู่บ้าน ผู้นำศาสนา ผู้นำวัยรุ่น ไปจนถึงครูและ อสม. เพื่อเชื่อม “กองร้อยน้ำส้ม” ให้เป็น เครือข่ายสตรีจิตอาสาเชียงของ ที่ทำงานได้ต่อเนื่องทั้งปี

ตัวเลข–ข้อเท็จจริงชวนคิด

  • วัน–เวลา–สถานที่: เปิดโครงการ 6 กันยายน 2568 เวลา 09.00 น. ณ หน่วยฝึก นศท. มทบ.37 ค่ายเม็งรายมหาราช อำเภอเมืองเชียงราย
  • กรอบเวลาโครงการ: 6–7 กันยายน 2568 (สองวันเต็ม)
  • ผู้เข้าร่วม: กลุ่มสตรีในเขตอำเภอเชียงของ กว่า 100 คน
  • ผู้ร่วมพิธีเปิดและภาคีหลัก: รองนายก อบจ.เชียงราย / ผอ.กองสวัสดิการสังคม อบจ. / พันเอกสิงหนาท โลสุยา เสนาธิการ มทบ.37 / หัวหน้าส่วนราชการ มทบ.37
  • ภารกิจช่วงบ่าย: นายก อบจ.เชียงราย และสมาชิกสภา อบจ. เดินทางพบปะกลุ่มสตรีเชียงของ มอบเกียรติบัตร และกล่าวนโยบาย–วิสัยทัศน์

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าการพัฒนาสตรีได้ก้าวพ้นรูปแบบ “เวทีเชิญวิทยากร–เวทีกล่าวเปิด” ไปสู่ โครงสร้างร่วมรับผิดชอบ ระหว่างท้องถิ่น–ทหาร–ประชาชน ที่ลงมือทำจริง

ทำอย่างไรให้ “กองร้อยน้ำส้ม” เติบโตได้ตลอดปี

เพื่อให้พลังที่จุดติดแล้วเดินหน้าอย่างยั่งยืน ทีมข่าวสรุปข้อเสนอเชิงระบบจากบทเรียนกิจกรรมและข้อเท็จจริงหน้างาน ดังนี้

  1. ตั้งศูนย์ประสานงานสตรีจิตอาสา (ระดับอำเภอ) – ทำหน้าที่เป็น “แม่ข่าย” ออกแบบปฏิทินกิจกรรมรายไตรมาส รับปัญหาจริงจากหมู่บ้าน จับคู่ภารกิจกับหน่วยงาน
  2. คลังความรู้ท้องถิ่นออนไลน์ – รวมคู่มือกิจกรรมชุมชน ป้ายความปลอดภัยสำหรับงานสาธารณะ แบบฟอร์มประสานงานราชการ ให้สตรีเข้าถึงง่าย
  3. งบสนับสนุนจุดเล็ก–เร็ว–เห็นผล – มอบทุนย่อย (micro-grant) สำหรับทีมย่อย 3–5 คนที่พร้อมทำภารกิจนำร่อง เช่น พื้นที่ปลอดภัยเด็ก น้ำดื่มงานชุมชน การคัดแยกขยะคืนรายได้
  4. พี่เลี้ยงข้ามภาคส่วน – จับคู่ “พี่เลี้ยง” จาก อบจ./ มทบ.37/ สภาเด็กและเยาวชน/ สาธารณสุข ให้คำปรึกษารายทีมต่อเนื่อง 3–6 เดือน
  5. ตัวชี้วัดที่คนชุมชนกำหนด – ให้ชุมชนร่วมออกแบบตัวชี้วัด เช่น จำนวนกิจกรรมที่เกิดจริง จำนวนเครือข่ายที่ร่วมมือ หรือจำนวนครัวเรือนที่ได้ประโยชน์ โดยไม่เพิ่มภาระเอกสารเกินจำเป็น

ข้อเสนอนี้มุ่งให้ ภารกิจเล็ก” กลายเป็น “อิฐก้อนเล็ก” ที่ร่วมกันก่อกำแพงความเข้มแข็งของชุมชนได้ทั้งปี

เมื่อสตรีลุกขึ้นนำ—ชุมชนก็ไปต่อ

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา การพัฒนาชนบทและพื้นที่ชายแดนมักสะดุดเพราะ “ระยะห่าง” ระหว่างนโยบายกับชีวิตจริง โครงการในครั้งนี้เลือกวิธี ลดระยะห่าง ด้วยการดึง ผู้หญิงที่เป็นหัวใจของครอบครัวและชุมชน เข้ามาเป็น “ผู้เล่นตัวจริง” บนเวทีสาธารณะ สนามฝึกที่ตั้งอยู่ในค่ายทหารกลายเป็นพื้นที่ ปลอดภัย–เป็นระบบ–มีวินัย ให้การเรียนรู้เกิดขึ้นอย่างมีคุณภาพ และเมื่อ อบจ.เชียงราย แสดงเจตจำนงชัดว่าจะ “เปิดทาง–เปิดเวที–เปิดโอกาส” อย่างต่อเนื่อง พลังสตรีก็มี “รางวิ่ง” ที่ไปได้ไกลกว่าครั้งใด

ในทางข่าว ความเคลื่อนไหววันนี้จึงไม่ใช่เพียงภาพของพิธีเปิดหรือภาพมอบเกียรติบัตร หากคือ การเปิดฉากบทใหม่ของการพัฒนาท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วม ที่ให้สตรีเป็นแกนกลาง ขับเคลื่อนด้วยวินัยแบบกองร้อยและความสดชื่นแบบน้ำส้ม—รวมเป็น “กองร้อยน้ำส้ม” ที่พร้อมทำงานยาวทั้งปีให้เห็นผลในครัวเรือน–หมู่บ้าน–อำเภอ และในท้ายที่สุด สร้าง สันติสุข ที่จับต้องได้บนแผ่นดินเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News