Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายรับน้ำใจ ‘หมูเด้ง’ สวนสัตว์ฯ ช่วย ร.ร. 17 แห่ง

องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยสรุปความสำเร็จโครงการ “หมูเด้ง” เฟสแรก ช่วยเหลือผู้ประสบภัย-พัฒนาสวัสดิภาพสัตว์ มอบเงินช่วยเหลือกว่า 5 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าเฟส 2

กรุงเทพฯ, 21 มีนาคม 2568 – องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ประกาศความสำเร็จของโครงการ “หมูเด้ง” เฟสแรก ซึ่งสามารถระดมทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในหลายจังหวัด รวมทั้งสนับสนุนการดูแลสวัสดิภาพสัตว์ในสวนสัตว์ได้มากกว่า 5 ล้านบาท โดยเงินบริจาคดังกล่าวได้ถูกส่งมอบให้แก่โรงเรียนที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยทั้งในภาคเหนือและภาคใต้ รวมทั้งผ่านทางสภากาชาดไทยและมูลนิธิชัยพัฒนา เพื่อให้การช่วยเหลือเกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม

นายอรรถพร ศรีเหรัญ ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า โครงการ “หมูเด้ง” เกิดขึ้นจากความตั้งใจขององค์การสวนสัตว์ฯ ที่ต้องการมีส่วนร่วมในการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน รวมถึงสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่า ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ในช่วงปลายปี 2567 ซึ่งสร้างความเสียหายแก่หลายจังหวัด โดยเฉพาะในภาคเหนือ เช่น จังหวัดเชียงราย และภาคใต้บางพื้นที่

การระดมทุนในโครงการนี้ได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรภาคเอกชนมากถึง 98 ราย ส่งผลให้สามารถบริจาคสิ่งของและเงินสนับสนุนให้แก่โรงเรียนและชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม รวมถึงดำเนินกิจกรรมด้านการดูแลสัตว์ในสวนสัตว์ให้ดียิ่งขึ้น

รายละเอียดการช่วยเหลือภายใต้โครงการ “หมูเด้ง” เฟสแรก

  • ครั้งที่ 1: บริจาคที่นอนจำนวน 200 ชุด ให้แก่โรงเรียน 8 แห่งในจังหวัดเชียงราย
  • ครั้งที่ 2: บริจาคเงินจำนวน 500,000 บาท ให้แก่โรงเรียน 10 แห่งในจังหวัดเชียงใหม่
  • ครั้งที่ 3: บริจาคเงินจำนวน 1,450,000 บาท ให้แก่โรงเรียน 14 แห่งในภาคใต้
  • ครั้งที่ 4: บริจาคเงินจำนวน 1,150,000 บาท ให้แก่โรงเรียน 9 แห่งในจังหวัดเชียงราย

นอกจากนี้ เงินบริจาคส่วนที่เหลือยังถูกจัดสรรเพื่อนำไปสนับสนุนภารกิจของสภากาชาดไทยและมูลนิธิชัยพัฒนาในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่อื่น ๆ

เชียงรายเป็นพื้นที่หลักในการรับการสนับสนุนจากโครงการ

จังหวัดเชียงรายได้รับการสนับสนุนจากโครงการนี้ใน 2 ช่วง คือ การบริจาคที่นอนในระยะแรก และการมอบเงินช่วยเหลือแก่โรงเรียน 9 แห่งในระยะต่อมา ซึ่งช่วยให้การฟื้นฟูสถานศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ยังมีการประสานกับหน่วยงานในพื้นที่เพื่อให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมในอนาคต

ด้านการดูแลสวัสดิภาพสัตว์

องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยยังได้ใช้งบประมาณจากโครงการดังกล่าวในการปรับปรุงพื้นที่จัดแสดงฮิปโปโปเตมัสแคระ “หมูเด้ง” ที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จังหวัดชลบุรี โดยเน้นการยกระดับความเป็นอยู่ของสัตว์ตามมาตรฐานสากล พร้อมทั้งกระจายทรัพยากรไปยังสวนสัตว์อีก 5 แห่งในเครือ เพื่อส่งเสริมการขยายพันธุ์สัตว์หายาก และปรับปรุงสิ่งแวดล้อมภายในสวนสัตว์ให้เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของสัตว์ป่า

แผนดำเนินโครงการ “หมูเด้ง” เฟส 2

องค์การสวนสัตว์ฯ ได้เปิดตัวโครงการ “หมูเด้ง เฟส 2” อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 ภายใต้แนวคิด “ชวนช่วยเพื่อนสัตว์ป่าและสนับสนุนการศึกษา” ซึ่งมีเป้าหมายในการระดมทุนต่อเนื่องจนถึงวันที่ 31 มกราคม 2569 เพื่อนำรายได้ไปใช้ในการดูแลสัตว์ทั้งในสวนสัตว์และในธรรมชาติ ตลอดจนสนับสนุนโครงการด้านการศึกษาเกี่ยวกับสัตว์ป่าในระดับเยาวชนและชุมชนท้องถิ่น

เสียงสะท้อนจากหลายภาคส่วน

ประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงรายโดยเฉพาะในเขตโรงเรียนที่ได้รับการสนับสนุน ได้แสดงความขอบคุณต่อองค์การสวนสัตว์ฯ ที่ให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยลดภาระทางการเงินของโรงเรียนและผู้ปกครองในช่วงที่ประสบภัยพิบัติ ในขณะที่ภาคประชาสังคมบางส่วนเสนอให้มีการเปิดเผยรายชื่อโรงเรียนและรายละเอียดการใช้เงินเพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินโครงการ

ด้านนักอนุรักษ์บางรายแสดงความเห็นว่า การที่องค์การสวนสัตว์ฯ ให้ความสำคัญกับการยกระดับสวัสดิภาพสัตว์อย่างจริงจัง ถือเป็นก้าวสำคัญของการบริหารจัดการสวนสัตว์ในประเทศไทย แต่ขณะเดียวกันก็ควรมีมาตรการติดตามผลในระยะยาวเพื่อประเมินประสิทธิภาพและความยั่งยืนของโครงการให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

สถิติที่เกี่ยวข้องกับโครงการ

  • ยอดเงินบริจาคโครงการหมูเด้ง เฟสแรก: 5,100,000 บาท
  • จำนวนพันธมิตรภาคเอกชนที่ร่วมสนับสนุน: 98 ราย
  • จำนวนโรงเรียนที่ได้รับความช่วยเหลือ: 41 แห่ง (เชียงราย 17 แห่ง, เชียงใหม่ 10 แห่ง, ภาคใต้ 14 แห่ง)
  • จำนวนที่นอนบริจาค: 200 ชุด (เชียงราย)
  • จำนวนสวนสัตว์ที่ได้รับการสนับสนุนการพัฒนาสวัสดิภาพสัตว์: 6 แห่ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (แถลงข่าววันที่ 21 มีนาคม 2568)
  • สำนักงานสภากาชาดไทย
  • มูลนิธิชัยพัฒนา
  • รายงานภาคสนามจากจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

‘อบจ.เชียงราย’ มอบบ้าน ยกระดับ คุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ-พิการ

อบจ.เชียงราย เร่งยกระดับที่อยู่อาศัยผู้สูงอายุและคนพิการ สร้างสังคมเข้มแข็งและปลอดภัย

ลงพื้นที่อำเภอป่าแดด ติดตามผลโครงการปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย ปีงบประมาณ 2567

เชียงราย, 23 มีนาคม 2568 – นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยทีมเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่อำเภอป่าแดด เพื่อติดตามผลการดำเนินงานโครงการปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุและคนพิการ ตามแผนงานประจำปีงบประมาณ 2567 โดยมีการมอบบ้านที่ได้รับการปรับปรุงเรียบร้อยแล้วให้แก่ผู้รับการสนับสนุนทั้ง 4 รายในพื้นที่

การลงพื้นที่ครั้งนี้มีผู้บริหารท้องถิ่นเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นายมงคล เชื้อไทย นายกเทศมนตรีตำบลป่าแงะ ผู้นำชุมชน ตัวแทนหน่วยงานสาธารณสุข และเจ้าหน้าที่จากกองสาธารณสุข องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ซึ่งร่วมกันสำรวจ ตรวจสอบ และมอบสิ่งปลูกสร้างที่ได้รับการปรับปรุงให้สอดคล้องกับสภาพปัจจุบันของผู้พักอาศัย

กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดเชียงราย สนับสนุนงบประมาณเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต

โครงการดังกล่าวเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยบริการสาธารณสุข และกลุ่มเป้าหมายในระดับชุมชน โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดเชียงราย ซึ่งเปิดให้หน่วยงานในท้องถิ่นเสนอแผนงานที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาของแต่ละพื้นที่

ในพื้นที่ตำบลป่าแงะ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายและเทศบาลตำบลป่าแงะได้รับคำร้องจากประชาชนจำนวน 4 ราย ซึ่งล้วนเป็นผู้สูงอายุและคนพิการที่ประสบปัญหาสภาพที่อยู่อาศัยชำรุดทรุดโทรม และส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ทั้งในแง่ของความปลอดภัยและความสะดวกในการใช้ชีวิต

หลังจากรับเรื่อง เจ้าหน้าที่ได้ร่วมกับผู้นำชุมชนลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง และเห็นว่ามีความจำเป็นเร่งด่วน จึงดำเนินการขอรับงบประมาณสนับสนุนเพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของแต่ละราย

เน้น “อยู่ดี มีสุข” ด้วยการปรับปรุงบ้านให้เหมาะกับผู้ใช้ชีวิตอย่างจำกัด

การปรับปรุงที่อยู่อาศัยครั้งนี้เน้นการเพิ่มความสะดวกและปลอดภัยแก่ผู้สูงอายุและคนพิการ เช่น การทำทางลาดสำหรับรถเข็น การติดตั้งราวจับในห้องน้ำ การปรับพื้นบ้านให้เรียบเสมอเพื่อลดความเสี่ยงการหกล้ม รวมถึงการปรับเปลี่ยนตำแหน่งอุปกรณ์ภายในบ้านให้เหมาะกับการใช้งานของผู้มีข้อจำกัดทางร่างกาย

โดยการดำเนินโครงการไม่เพียงมุ่งหวังให้ผู้รับการสนับสนุนสามารถอยู่อาศัยได้อย่างสะดวกสบายเท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นให้สมาชิกในครอบครัวและผู้ดูแลสามารถดูแลผู้สูงอายุและคนพิการได้ง่ายขึ้น ลดภาระการดูแลในระยะยาว และส่งเสริมสุขภาวะจิตที่ดีให้กับทั้งผู้พักอาศัยและสมาชิกในบ้าน

ผู้นำชุมชน – หน่วยงานท้องถิ่นร่วมแรงร่วมใจ ขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน

นายมงคล เชื้อไทย นายกเทศมนตรีตำบลป่าแงะ กล่าวว่า การดำเนินงานครั้งนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของความร่วมมือระดับท้องถิ่น ที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม และเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจน

“เราไม่ได้มองว่าเป็นแค่การสร้างหรือซ่อมบ้าน แต่เรากำลังคืนศักดิ์ศรีการใช้ชีวิตให้กับคนในชุมชน และช่วยให้พวกเขาสามารถดำรงชีวิตอย่างมั่นคงและปลอดภัยในบ้านของตนเอง” นายมงคล กล่าว

ด้านนายอำนาจ อินทร์ทอง ผู้แทนจากกองสาธารณสุข อบจ.เชียงราย กล่าวว่า กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดเชียงรายมีแนวทางการดำเนินงานที่สอดคล้องกับนโยบายด้านการดูแลประชากรกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะผู้สูงอายุและคนพิการ ซึ่งในอนาคตจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในสังคมไทย

เสียงสะท้อนจากประชาชน – ความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้

นางคำปัน อินทชัย อายุ 72 ปี หนึ่งในผู้ที่ได้รับการปรับปรุงบ้าน กล่าวด้วยน้ำเสียงตื้นตันว่า “แต่ก่อนเดินลำบากมาก ห้องน้ำก็ไม่มีราวจับ พอมีบ้านใหม่แบบนี้ก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นเยอะ ไม่ต้องกลัวล้ม แล้วก็อุ่นใจที่มีคนมาช่วยดูแล”

ลูกหลานของนางคำปันยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ก่อนหน้านี้เวลาจะอาบน้ำหรือพาแม่ไปไหน ต้องช่วยกันหลายคน แต่ตอนนี้แม่สามารถทำอะไรได้เองหลายอย่าง ก็สบายใจขึ้นทั้งบ้าน”

ทัศนคติอย่างเป็นกลาง – สะท้อนทั้งโอกาสและข้อจำกัด

แม้โครงการดังกล่าวจะได้รับเสียงชื่นชมจากประชาชนและผู้นำชุมชนว่าเป็นก้าวย่างที่สำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลง แต่ยังมีเสียงสะท้อนจากบางภาคส่วนว่า งบประมาณสนับสนุนยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในภาพรวม และการคัดเลือกผู้ได้รับสิทธิ์ยังมีข้อจำกัดจากระเบียบราชการที่เข้มงวด

ผู้แทนจากเครือข่ายผู้พิการในจังหวัดเชียงราย ให้ความเห็นว่า “โครงการดี แต่ผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงความช่วยเหลือก็ยังมีอีกมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล หรือในครัวเรือนที่ไม่มีคนกลางช่วยประสานกับหน่วยงานท้องถิ่น”

ในด้านของหน่วยงานราชการ ยืนยันว่า กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดเชียงรายพร้อมเปิดรับข้อเสนอใหม่จากทุกพื้นที่ หากหน่วยงานท้องถิ่นสามารถจัดทำแผนที่ชัดเจน และมีข้อมูลสนับสนุนอย่างครบถ้วน โดยกระบวนการตรวจสอบและพิจารณาจะยึดตามหลักเกณฑ์เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนผู้รับการปรับปรุงที่อยู่อาศัยในตำบลป่าแงะ: 4 ราย (ปีงบประมาณ 2567)
  • งบประมาณเฉลี่ยต่อหลัง: ประมาณ 50,000 – 80,000 บาท/หลัง (ขึ้นอยู่กับสภาพบ้าน)
  • ผู้สูงอายุในจังหวัดเชียงราย (ปี 2567): ประมาณ 195,000 คน (คิดเป็นร้อยละ 21 ของประชากรทั้งหมด)
  • คนพิการที่ขึ้นทะเบียนในจังหวัดเชียงราย: ประมาณ 49,000 คน (ข้อมูลจากกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ)
  • หน่วยงานที่รับผิดชอบหลัก: กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดเชียงราย, องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย, เทศบาลตำบลป่าแงะ, กองสาธารณสุข อบจ.เชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (ข้อมูลประชากร)
  • กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดเชียงราย
  • กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
  • เทศบาลตำบลป่าแงะ
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

จีนทำหอมหัวใหญ่ราคาดิ่ง พาณิชย์เชียงรายเร่งช่วยเกษตรกร

เชียงรายเร่งช่วยเกษตรกรหอมหัวใหญ่ ราคาตกต่ำหนัก เหลือเพียง 6 บาท/กิโลกรัม

พาณิชย์จังหวัดจับมือกรมการค้าภายในประกันราคารับซื้อ 10 บาท/กก.

เชียงราย, 23 มีนาคม 2568 – สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย บูรณาการร่วมกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เดินหน้าเร่งด่วนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่ในพื้นที่อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย หลังราคาผลผลิตดิ่งลงเหลือเพียง 6 บาทต่อกิโลกรัม จากผลกระทบการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากประเทศจีน

โดยกิจกรรมรับซื้อผลผลิตหอมหัวใหญ่ในราคานำตลาด เริ่มดำเนินการ ณ วัดปางอ่าย ตำบลเจดีย์ใหม่ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2568 เป็นการรับซื้อเบื้องต้นจำนวน 10,000 กิโลกรัมในราคากิโลกรัมละ 10 บาท และจะดำเนินการรับซื้ออย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและประคองรายได้เกษตรกรในช่วงวิกฤต

เกษตรกรรวมตัวร้องเรียน ราคาหน้าสวนต่ำสุดในรอบ 40 ปี

จากการรายงานเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2568 เกษตรกรในพื้นที่ตำบลแม่เจดีย์ใหม่ และบริเวณใกล้เคียง รวมตัวกันกว่า 300 คน ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายฐากูร ยะแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 3 จังหวัดเชียงราย พรรคประชาชน เพื่อให้เร่งประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาราคาหอมหัวใหญ่ตกต่ำ

เกษตรกรระบุว่า “หอมหัวใหญ่” เป็นพืชเศรษฐกิจหลักของพื้นที่ มีประวัติการปลูกมายาวนานกว่า 40 ปี โดยในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวระหว่างเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายนของทุกปี ราคาหน้าสวนจะไม่ต่ำกว่า 10 บาทต่อกิโลกรัม แต่ในปีนี้ ราคาดิ่งลงเหลือเพียง 6 บาท/กก. ถือเป็นราคาต่ำสุดในรอบหลายทศวรรษ

นำเข้าจากจีนกระทบหนัก ต้นทุนสูง-หนี้สะสมพุ่ง

เกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบให้ข้อมูลว่า ราคาตกต่ำในปีนี้มีสาเหตุจากการนำเข้าหอมหัวใหญ่จากประเทศจีนจำนวนมาก ทำให้ราคาสินค้าในประเทศถูกกดลง ขณะที่เกษตรกรไทยต้องแบกรับต้นทุนสูง ทั้งค่ายา ค่าปุ๋ย และค่าแรงงาน

นอกจากนี้ เกษตรกรส่วนใหญ่ยังมีภาระหนี้จากการลงทุนในการผลิต ไม่ว่าจะเป็นกองทุนหมู่บ้าน โครงการ SML หรือการกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์และแหล่งเงินกู้อื่น ๆ โดยใช้ที่ดินหรือทรัพย์สินค้ำประกัน ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ตามกำหนดได้

มาตรการเร่งด่วนจากรัฐ รับซื้อในราคานำตลาด

สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย พร้อมกรมการค้าภายใน ได้ดำเนินการประสานผู้รับซื้อภาคเอกชนให้รับซื้อหอมหัวใหญ่ในราคานำตลาด เพื่อช่วยพยุงราคาตลาดที่เหลือเพียง 5–6 บาท/กก. ณ วันที่ 22 มีนาคม 2568 ให้สูงขึ้นมาอยู่ที่ 10 บาท/กก.

เบื้องต้น มีการรับซื้อหอมหัวใหญ่จำนวน 10,000 กิโลกรัม และจะดำเนินการรับซื้อเพิ่มเติมในระยะถัดไป โดยวางแผนกระจายผลผลิตไปยังตลาดใหม่และเชื่อมโยงเครือข่ายการค้า เพื่อบรรเทาปัญหาอุปทานล้นตลาด

ตั้งคณะกรรมการ คพจ. เชียงราย เร่งหาทางออกระยะยาว

สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายประกาศเตรียมจัดประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาผลผลิตทางการเกษตรระดับจังหวัด (คพจ.) ในวันที่ 26 มีนาคม 2568 เพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางเชิงนโยบายและมาตรการระยะยาวในการดูแลเกษตรกร

วาระสำคัญของการประชุมครั้งนี้ ได้แก่ การวางแผนตลาดล่วงหน้า การจัดทำระบบประกันรายได้ การสร้างเครือข่ายตลาดค้าส่งและตลาดอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนการหารือแนวทางควบคุมการนำเข้าสินค้าเกษตรในช่วงฤดูผลผลิตออกมาก

เสียงจากภาคประชาชน ขอรัฐยืนหยัดช่วยเหลืออย่างจริงจัง

นายฐากูร ยะแสง ส.ส.เชียงราย เขต 3 กล่าวว่า “เมื่อเกษตรกรในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อน ผมในฐานะตัวแทนประชาชนจะเร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้หาทางช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรมและทันต่อสถานการณ์”

ขณะที่เกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบเรียกร้องให้รัฐบาลใช้มาตรการเร่งด่วน อาทิ หยุดนำเข้าสินค้าเกษตรในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว หรือให้มีระบบโควตาควบคุม เพื่อไม่ให้กระทบต่อผลผลิตในประเทศซ้ำซากทุกปี

สถิติและแหล่งข้อมูลอ้างอิง

  • ราคาหอมหัวใหญ่หน้าสวน ปี 2567: 12 บาท/กก.
  • ราคาหน้าสวน ปี 2568: 6 บาท/กก.
  • ราคาตลาด ณ วันที่ 22 มี.ค. 2568: 5 บาท/กก.
  • ราคานำตลาดที่รัฐรับซื้อ: 10 บาท/กก.
  • ปริมาณผลผลิตรับซื้อเบื้องต้น: 10,000 กิโลกรัม
  • จำนวนเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ: กว่า 300 ราย
  • ที่มา: สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย, กรมการค้าภายใน, นายฐากูร ยะแสง ส.ส.เชียงราย เขต 3

ความคิดเห็นอย่างเป็นกลาง

ฝ่ายเกษตรกรต้องการความคุ้มครองและราคาที่เป็นธรรม ขณะที่ฝ่ายรัฐพยายามแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนทั้งในเชิงนโยบายและปฏิบัติ ความยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้หากมีการวางแผนตลาดอย่างรอบด้าน ควบคู่กับการเจรจาระหว่างประเทศในด้านการค้าและการเกษตร

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย , ส.ส. ฐากูร ยะแสง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายรับมือ น้ำท่วม-แล้งวิกฤต วอนรัฐเร่งแผนเยียวยา

เชียงรายเร่งวางมาตรการรับมือน้ำท่วม-ภัยแล้ง เนื่องในวันน้ำโลก 2568

กรุงเทพฯ, 22 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านทรัพยากรน้ำท่ามกลางสถานการณ์โลกร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในบริบทของ “วันน้ำโลก” ซึ่งตรงกับวันที่ 22 มีนาคมของทุกปี องค์การสหประชาชาติได้กำหนดหัวข้อปีนี้ว่า “การอนุรักษ์ธารน้ำแข็ง” (Glacier Preservation) เพื่อเน้นย้ำถึงบทบาทของธารน้ำแข็งในฐานะแหล่งกักเก็บน้ำจืดธรรมชาติของโลก

รัฐเร่งผลักดันแผนรับมือฤดูฝนปี 2568

นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในงานวันน้ำโลก พร้อมกล่าวว่า รัฐบาลกำลังอยู่ระหว่างการจัดทำแผนรับมือน้ำฝนในปีนี้ โดยสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เตรียมนำเสนอแผนต่อคณะกรรมการทรัพยากรน้ำ (กนช.) ในวันที่ 9 เมษายน 2568 เพื่อวางมาตรการเพิ่มเติมอย่างครอบคลุม ทั้งการระบายน้ำ พื้นที่กักเก็บ และงบประมาณรองรับ

เอลนีโญ-ลานีญาส่งผลกระทบต่อฤดูฝน

ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า ประเทศไทยอยู่ในภาวะเอลนีโญ-ลานีญาที่เปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง ทำให้การคาดการณ์ปริมาณฝนยากลำบาก ปีนี้ฝนจะมาเร็วกว่าปกติ โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม และมีแนวโน้มตกมากกว่าค่าปกติ พร้อมทั้งเผยว่าได้เตรียม 9 มาตรการเพื่อรับมือฤดูฝนปี 2568 ล่วงหน้าแล้ว

น้ำท่วมเชียงรายปี 2567 ยังไร้แผนแก้ไขยั่งยืน

ในเวทีเสวนา “Climate Change Adaptation” ร.ต.อ. เด่นวุฒิ จันต๊ะขันติ นายก อบต.เกาะช้าง จังหวัดเชียงราย ระบุว่า ครบรอบ 1 ปีของน้ำท่วมใหญ่ในอำเภอแม่สาย แต่สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น ชาวบ้านกว่า 300 ล้านบาทยังไม่ได้รับการเยียวยาเต็มจำนวน และการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำในแม่น้ำสายและแม่น้ำลวกฝั่งเมียนมายังไม่คืบหน้า

ปัญหางบประมาณท้องถิ่นขัดขวางการแก้ปัญหา

ร.ต.อ. เด่นวุฒิ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า งบประมาณในระดับท้องถิ่นมีเพียง 6-7 ล้านบาทต่อปี ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐานอย่างการขุดลอกแม่น้ำหรือตลิ่งถาวร พร้อมตั้งคำถามถึงความไม่สมดุลของงบรัฐที่โครงการใหญ่ใช้งบหมื่นล้าน แต่กลับปล่อยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับงบจำกัด

การเตือนภัยยังไม่ทั่วถึงทั่วประเทศ

นายสมปอง รัศมิทัด นายก อบต.บางยอ จ.สมุทรปราการ เผยว่า แม้จะมีประตูระบายน้ำกว่า 34 จุด แต่ไม่มีระบบบริหารจัดการชัดเจน ทำให้พื้นที่บางกระเจ้าเผชิญกับน้ำทะเลหนุนถึง 8 เดือนต่อปี ขณะเดียวกัน ด้านพื้นที่ชายแดนใต้ นายดอเลาะอาลี สาแม ประธานเครือข่ายเตือนภัย กล่าวว่า แม้เครือข่ายจะสามารถแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าได้ถึง 7 วัน แต่กลับไม่ได้รับความสนใจจากหน่วยงาน

กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศผลักดันแผนปรับตัวระดับประเทศ

นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า หน่วยงานได้ร่วมกันทำข้อตกลงกับอีก 6 หน่วยงานเพื่อร่วมกันผลักดันแผนปรับตัว ทั้งในมิติของน้ำ การเกษตร ความมั่นคงทางอาหาร และการย้ายถิ่นฐาน คาดว่าแผนปฏิบัติการจะสามารถดำเนินการจริงในระยะเวลาอันใกล้

เสียงจากประชาชน: ต้องการข้อมูล ความเข้าใจ และการมีส่วนร่วม

นางสาวเข็มอัปสร สิริสุขะ ผู้แทนประชาสัมพันธ์ สทนช. กล่าวว่า ประชาชนต้องตระหนักถึงปัญหาน้ำในระดับชีวิตประจำวัน ด้วยการเข้าถึงข้อมูลและร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะการลดก๊าซเรือนกระจกและการดูแลพื้นที่ป่าอย่างยั่งยืน

ความเคลื่อนไหวฝั่งเมียนมา: เสริมคันดิน-ขุดลอกแม่น้ำสาย

เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางการเมียนมาเร่งดำเนินการเสริมคันดินริมแม่น้ำสายบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 1 อย่างต่อเนื่อง ตามข้อตกลงร่วมกับรัฐบาลไทย โดยใช้ดินที่ขุดลอกจากแม่น้ำสายมาเสริมแนวตลิ่ง แต่อีก 45 จุดในฝั่งไทยยังไม่สามารถดำเนินการได้เพราะต้องรื้อสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำออกให้หมดก่อน

ผลกระทบที่ยังหลงเหลือในเชียงราย

ที่ตลาดสายลมจอยและตลาดดอยเวา ชาวบ้านได้เริ่มฟื้นฟูบ้านและร้านค้ากลับมาเปิดอีกครั้ง แต่ยังไม่คึกคักเท่าก่อนน้ำท่วม นางเพ็ญ ส่องแสง ผู้ประกอบการในตลาดดอยเวาเล่าว่า บ้านในชุมชนเหมืองแดงเสียหายหนัก ใช้เวลานานในการล้างดินโคลน และยังไม่มีเงินเยียวยาค่าล้างบ้านแม้จะมีข่าวว่ารัฐอนุมัติเงินเพิ่มครอบครัวละ 10,000 บาทแล้วก็ตาม

จังหวัดเชียงรายจัดสรรงบเยียวยาเกือบ 300 ล้านบาท

สำนักงาน ปภ.จังหวัดเชียงราย รายงานว่า จังหวัดได้จัดสรรเงินทดรองราชการให้ อำเภอแม่สาย 134.7 ล้านบาท และ อำเภอเมืองเชียงราย 157.3 ล้านบาท รวมทั้งสิ้นกว่า 292 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือด้านค่าครองชีพและค่าล้างบ้านหลังน้ำท่วมปลายปี 2567 โดยมีกำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการภายใน 15 วัน พร้อมส่งรายงานผลใช้จ่ายให้จังหวัดรับทราบ

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ค่าความเค็มสูงสุดในแม่น้ำเจ้าพระยา (ปี 2564): 3.2 กรัมต่อลิตร (ที่มา: กรมทรัพยากรน้ำ)
  • ความเสียหายจากอุทกภัยปี 2567 ที่เชียงราย: 6,046 ล้านบาท (ที่มา: ปภ. จ.เชียงราย)
  • งบประมาณเยียวยาในแม่สาย: 134,776,273 บาท (ที่มา: สำนักงานจังหวัดเชียงราย)
  • จำนวนจุดรุกล้ำแม่น้ำสายที่ยังไม่รื้อถอน: 45 จุด (ที่มา: สำนักข่าวท้องถิ่น)

ทัศนคติจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายประชาชน: ต้องการเห็นแผนแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างเป็นรูปธรรมและได้รับการเยียวยาอย่างทั่วถึง รู้สึกว่าการช่วยเหลือยังล่าช้าและไม่เท่าเทียม

ฝ่ายภาครัฐ: ยืนยันว่ามีการจัดสรรงบประมาณและมาตรการรับมือในทุกระดับ พร้อมผลักดันแผนงานระยะยาวเพื่อการปรับตัวอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายยกระดับ รพ.สต. มีทันตกรรม-ช่วยผู้พิการ

อบจ.เชียงราย เดินหน้ายกระดับ รพ.สต.บุญเรือง มอบยูนิตทันตกรรม พร้อมส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและผู้พิการในพื้นที่

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย เดินหน้านำนโยบาย “อยู่ที่ไหน ก็ใกล้หมอ (โฮงยาใกล้บ้าน Plus)” ลงสู่การปฏิบัติจริง ด้วยการส่งมอบยูนิตบริการทันตกรรมให้แก่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) บุญเรือง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย พร้อมลงพื้นที่ให้กำลังใจผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ป่วยที่อยู่ในระยะกึ่งเฉียบพลัน ภายใต้โครงการปรับสภาพบ้านเพื่อผู้มีภาวะพึ่งพิง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568

พิธีส่งมอบจัดขึ้นเมื่อเวลา 16.00 น. โดยมี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และเจ้าหน้าที่กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดเชียงราย ร่วมกันแสดงความยินดีและมอบกำลังใจแก่ผู้รับประโยชน์จากโครงการดังกล่าว

ยูนิตทำฟัน “ใกล้บ้าน” เพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพอย่างเท่าเทียม

หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของกิจกรรมครั้งนี้ คือการส่งมอบยูนิตทันตกรรมให้แก่ รพ.สต.บุญเรือง ซึ่งถือเป็นหน่วยบริการแห่งแรกของจังหวัดเชียงรายที่มีทันตแพทย์จากโรงพยาบาลประจำอำเภอหมุนเวียนให้บริการทันตกรรมแบบครบวงจร ได้แก่ การตรวจฟัน อุด ขูดหินปูน ถอนฟัน ไปจนถึงการใส่ฟันปลอม

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ เปิดเผยว่า “เรามุ่งหวังให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการด้านทันตกรรมได้ใกล้บ้าน ไม่ต้องเดินทางไกล ลดภาระค่าใช้จ่าย และยังช่วยส่งเสริมสุขภาพช่องปากซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว”

โครงการปรับสภาพบ้าน สร้างความเท่าเทียมในการดำรงชีวิต

นอกเหนือจากบริการด้านทันตกรรมแล้ว อบจ.เชียงราย ยังร่วมกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่ตำบลบุญเรือง อาทิ เทศบาลตำบลบุญเรือง กำนันผู้ใหญ่บ้าน ผู้อำนวยการ รพ.สต. และเจ้าหน้าที่กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพฯ ลงพื้นที่มอบบ้านที่ปรับสภาพแล้วให้แก่ผู้มีภาวะพึ่งพิง ซึ่งรวมถึงผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ป่วยที่อยู่ในระยะกึ่งเฉียบพลัน

โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนให้บุคคลเหล่านี้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น ผ่านการจัดสภาพแวดล้อมในที่อยู่อาศัย เช่น การติดตั้งราวจับ ทางลาด ห้องน้ำปลอดภัย รวมถึงการมอบอุปกรณ์ช่วยเหลือต่างๆ เช่น เตียงนอนที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย

ความร่วมมือของทุกภาคส่วน คือหัวใจของความสำเร็จ

นางวาสนา ลำเปิงมี สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย เขต 2 อำเภอเชียงของ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ความสำเร็จของโครงการในวันนี้ เกิดขึ้นจากความร่วมมือของทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม และชุมชนที่ร่วมกันผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง”

โครงการนี้ไม่เพียงมุ่งหวังให้เกิดการปรับปรุงเชิงกายภาพเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชนในการดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงอย่างยั่งยืน

สะท้อนนโยบาย “อยู่ที่ไหน ก็ใกล้หมอ” ในทางปฏิบัติ

นโยบาย “โฮงยาใกล้บ้าน Plus” เป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญของ อบจ.เชียงราย ที่ต้องการยกระดับ รพ.สต. ให้กลายเป็นศูนย์สุขภาพชุมชนที่มีความพร้อมในการให้บริการประชาชนอย่างทั่วถึง และครอบคลุมทั้งมิติทางการแพทย์ พยาบาล ทันตกรรม และการฟื้นฟูสมรรถภาพ

ในอนาคต อบจ.เชียงรายมีแผนขยายบริการรูปแบบเดียวกันนี้ไปยัง รพ.สต. แห่งอื่นทั่วจังหวัด โดยเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ควบคู่กับการฝึกอบรมบุคลากรให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการด้านสุขภาพของประชาชนในแต่ละพื้นที่

ทัศนะจากทั้งสองฝ่าย: มิติที่แตกต่างแต่ร่วมสร้างสรรค์

ฝ่ายสนับสนุนโครงการ เห็นว่าแนวทางของ อบจ.เชียงราย เป็นแบบอย่างที่ดีของการกระจายบริการสาธารณสุขอย่างเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในด้านการเข้าถึงบริการสุขภาพ และสร้างมาตรฐานชีวิตที่ดีให้แก่ผู้เปราะบางในสังคม

อีกมุมหนึ่งของการวิพากษ์ มีข้อเสนอว่าการดำเนินโครงการลักษณะนี้ควรมีการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าทรัพยากรที่ลงไปในพื้นที่เกิดประสิทธิภาพสูงสุด บางความเห็นยังตั้งข้อสังเกตว่าควรมีการประเมินความพึงพอใจของผู้รับบริการ และรายงานความคืบหน้าสู่สาธารณะเพื่อสร้างความโปร่งใส

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • จำนวนประชากรในพื้นที่ตำบลบุญเรือง อำเภอเชียงของ ปี 2567 มีประมาณ 8,540 คน โดยมีผู้สูงอายุร้อยละ 20.3% และผู้พิการที่ขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานรัฐมากกว่า 215 คน
    (ที่มา: สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเชียงของ, 2567)
  • จังหวัดเชียงรายมีจำนวน รพ.สต. ทั้งหมด 192 แห่ง โดยมีเพียง 8 แห่ง ที่มีทันตแพทย์ประจำแบบหมุนเวียน
    (ที่มา: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย, 2567)
  • ในปีงบประมาณ 2566 กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดเชียงราย สนับสนุนการปรับปรุงบ้านสำหรับผู้มีภาวะพึ่งพิงไปแล้ว 78 ครัวเรือน และคาดว่าในปี 2568 จะเพิ่มขึ้นเป็น 120 ครัวเรือน
    (ที่มา: กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดเชียงราย, 2567)
  • จากผลสำรวจปี 2566 พบว่า ผู้สูงอายุในพื้นที่เชียงรายที่มีปัญหาด้านการเข้าถึงบริการทันตกรรม ร้อยละ 64.7%
    (ที่มา: ศูนย์วิจัยสุขภาพชุมชนภาคเหนือ, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2566)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเชียงของ
  • ศูนย์วิจัยสุขภาพชุมชนภาคเหนือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ไทย-จีนกระชับสัมพันธ์ เร่งแก้ปัญหาน้ำโขงชายแดนเชียงราย

รมว.ทรัพยากรน้ำจีนเยือนเชียงราย กระชับความร่วมมือบริหารจัดการน้ำข้ามพรมแดนในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – นายหลี่ กั๋วอิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรน้ำแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมคณะ เดินทางเยือนจังหวัดเชียงราย เพื่อลงพื้นที่ศึกษาและติดตามความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำชายแดนบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง – แม่น้ำรวก – แม่น้ำสาย พร้อมหารือแนวทางพัฒนาโครงการป้องกันอุทกภัยและแล้ง ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation: MLC)

ในการนี้ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ให้การต้อนรับอย่างเป็นทางการ โดยมีหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่เข้าร่วมต้อนรับและให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำในพื้นที่ชายแดนตอนบนของประเทศไทย

เชื่อมสัมพันธ์ไทย-จีน พัฒนาความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน

การลงพื้นที่ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยกับจีนในด้านการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งครอบคลุมทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี โดยมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเทคโนโลยี และแนวปฏิบัติที่ดีระหว่างกัน ทั้งนี้ สาธารณรัฐประชาชนจีนได้จัดสรร “กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง (MLC Special Fund)” เพื่อสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่เสนอโดยประเทศสมาชิกในภูมิภาค รวมถึงประเทศไทย

สถานีตรวจวัดน้ำเชียงแสน จุดยุทธศาสตร์สำคัญของความร่วมมือ

นายหลี่ กั๋วอิง และคณะได้ลงพื้นที่สถานีตรวจวัดน้ำเชียงแสน ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย โดยสถานีดังกล่าวมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบระดับน้ำในแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นข้อมูลพื้นฐานที่ใช้สำหรับการวางแผนป้องกันอุทกภัย และภัยแล้งของทั้งสองประเทศ การแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบเรียลไทม์ระหว่างไทยและจีน มีส่วนสำคัญในการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า

ลุ่มน้ำรวก-แม่น้ำสาย ปัญหาน้ำท่วม-แล้ง สร้างผลกระทบต่อประชาชน

แม่น้ำรวกและแม่น้ำสาย เป็นแม่น้ำชายแดนระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งมีลักษณะภูมิประเทศคดเคี้ยวผ่านที่ราบลุ่มและเขาสูง ทำให้ในฤดูฝนมักเกิดน้ำหลากรุนแรง ส่งผลให้น้ำท่วมพื้นที่เกษตรกรรมและเขตชุมชนทั้งสองฝั่งประเทศ ส่วนฤดูแล้งกลับประสบปัญหาขาดแคลนน้ำสำหรับการเพาะปลูกอย่างต่อเนื่อง

ที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยได้ดำเนินโครงการวิจัยร่วมกับฝ่ายจีนและเมียนมา เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารจัดการน้ำข้ามพรมแดน ทั้งในด้านการแจ้งเตือนภัยและการวางระบบโครงสร้างพื้นฐาน

ไทย-จีน-เมียนมา ร่วมผลักดันโครงการเสริมสร้างการปรับตัวของชุมชนเมือง

หนึ่งในโครงการสำคัญที่กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของรัฐบาลจีน คือ “โครงการเสริมสร้างการปรับตัวของชุมชนเมืองต่อภาวะอุทกภัยภายใต้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ซึ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า การประเมินความต้องการของชุมชน การพัฒนาระบบสนับสนุนการตัดสินใจ และการอบรมเพื่อเสริมศักยภาพชุมชน

นอกจากนี้ ยังมีการวางแผนจัดประชุมเชิงปฏิบัติการร่วม 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย เมียนมา และจีน เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และแนวทางปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพในระดับภูมิภาค

ลงพื้นที่ศึกษาผลกระทบอุทกภัยในแม่สาย – ท่าขี้เหล็ก

ก่อนหน้านี้ ระหว่างวันที่ 15-16 พฤศจิกายน 2567 คณะผู้แทนจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และผู้แทนจากจีน ได้ลงพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา เพื่อติดตามสถานการณ์และประเมินความเสียหายจากอุทกภัยที่เกิดขึ้น รวมถึงสำรวจโครงสร้างพื้นฐานในจุดเสี่ยง เช่น สถานีสูบน้ำ สะพานข้ามแม่น้ำ และตลาดท้องถิ่น

ภาพรวมของการสำรวจและประชุมหารือในครั้งนั้น นำไปสู่ข้อเสนอเบื้องต้นเพื่อวางแผนติดตั้งสถานีตรวจวัดข้อมูลอุตุ – อุทกวิทยาในบริเวณต้นน้ำสาย – รวก ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้ระบบแจ้งเตือนภัยในพื้นที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

แสดงความเห็นสองด้านต่อความร่วมมือดังกล่าว

ฝ่ายสนับสนุนความร่วมมือไทย-จีน มองว่าการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการน้ำ จะช่วยยกระดับความสามารถของชุมชนไทยในการตั้งรับภัยพิบัติ และเป็นโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนที่ยังขาดการพัฒนาอย่างทั่วถึง

ฝ่ายที่มีความกังวล บางฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า ความร่วมมือภายใต้กรอบพหุภาคีที่มีจีนเป็นผู้นำ อาจมีอิทธิพลต่อทิศทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในภูมิภาคมากเกินไป และอาจกระทบต่ออธิปไตยด้านสิ่งแวดล้อมในระยะยาว หากไม่มีการกำหนดเงื่อนไขที่ชัดเจนในการแบ่งปันข้อมูลและประโยชน์ร่วมกัน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • พื้นที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ปี 2567 รวมกว่า 9,200 ไร่ (ข้อมูลจาก สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, 2567)
  • จำนวนประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ยปีละ 13,000 คน (สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.เชียงราย, 2567)
  • จำนวนสถานีตรวจวัดน้ำในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยที่เชื่อมโยงระบบกับจีน ปัจจุบันมี 12 แห่ง (กรมทรัพยากรน้ำ, 2568)
  • กองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง (MLC Special Fund) จัดสรรงบประมาณสนับสนุนโครงการร่วมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี (สำนักงานความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • กระทรวงทรัพยากรน้ำแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
  • กรมทรัพยากรน้ำ
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • คณะกรรมการกรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง (MLC Secretariat)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

อินฟลูฯ-ขายออนไลน์ สรรพากรเตือน ยื่นภาษี ก่อนโดนปรับหนัก

กรมสรรพากรเร่งย้ำประชาชนยื่นภาษีภายในกำหนดปี 2568 – อินฟลูเอนเซอร์-อีคอมเมิร์ซเป้าหมายหลัก

กรุงเทพฯ, 22 มีนาคม 2568 – กรมสรรพากรแจ้งเตือนประชาชนทุกกลุ่มอาชีพให้เร่งยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2567 ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2568 โดยผู้ที่ยื่นผ่านระบบออนไลน์ เช่น D-MyTax หรือ e-Filing จะสามารถยื่นได้ถึงวันที่ 8 เมษายน 2568 พร้อมระบุว่า กลุ่มอาชีพอินฟลูเอนเซอร์ อีคอมเมิร์ซ และผู้ค้าขายออนไลน์ เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ต้องได้รับการติดตามอย่างเข้มข้น หลังพบว่าเป็นกลุ่มที่หลีกเลี่ยงการยื่นภาษีสูงสุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ยอดการยื่นแบบภาษีเพิ่มขึ้น แต่ยังมีผู้เลี่ยงภาษีจำนวนมาก

นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า รายได้จากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาถือเป็นรายได้อันดับที่สามของกรมสรรพากร โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 400,000 ล้านบาทต่อปี ข้อมูลล่าสุดถึงวันที่ 13 มีนาคม 2568 มีการยื่นแบบภาษีแล้วกว่า 7.4 ล้านแบบ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 13 โดยมีการขอคืนภาษีกว่า 3.5 ล้านแบบ คิดเป็นร้อยละ 46.9 ของจำนวนแบบที่ยื่นเข้ามาทั้งหมด และกรมฯ ได้คืนภาษีไปแล้วกว่า 82%

อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่น่าห่วงคือกลุ่มที่มีรายได้แต่ไม่เคยยื่นภาษีเลย ซึ่งจากการสำรวจพบว่าเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ กลุ่มผู้ทำงานอิสระ และกลุ่มที่มีรายได้จากช่องทางดิจิทัล เช่น ขายของออนไลน์ ทำคอนเทนต์ รีวิวสินค้า หรืออินฟลูเอนเซอร์

อินฟลูเอนเซอร์ไม่ยื่นภาษี เสี่ยงถูกตรวจย้อนหลัง

อธิบดีกรมสรรพากรยืนยันว่า มีการติดตามการเสียภาษีของกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ชั้นนำ ผ่านการวิเคราะห์จากข้อมูลในโซเชียลมีเดีย และพบว่าหลายรายไม่มีประวัติการยื่นภาษีย้อนหลังถึง 3-4 ปี ทั้งที่มีรายได้เข้าข่ายต้องเสียภาษี ซึ่งกรมฯ มีอำนาจตรวจสอบย้อนหลังได้ 2 ปี และขยายได้ถึง 5 ปี หากพบว่าไม่ยื่นแบบโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร จะต้องเสียภาษีพร้อมเบี้ยปรับ ซึ่งบางรายจากภาษีแค่ 10,000 บาท อาจต้องจ่ายถึง 50,000 บาท

แนวทางยื่นภาษีของอาชีพอินฟลูเอนเซอร์และผู้ขายออนไลน์

กรมสรรพากรได้กำหนดแนวทางชัดเจนในการยื่นภาษีสำหรับกลุ่มอาชีพอินฟลูเอนเซอร์ ดังนี้

  1. รายได้จากค่าจ้างทั่วไป ต้องยื่นแบบภาษีเหมือนพนักงานประจำ
  2. รายได้ที่มีต้นทุน เช่น รีวิวสินค้า สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริง
  3. รายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
  4. รายได้ที่ได้รับในรูปแบบสินค้า ต้องประเมินมูลค่าเทียบเท่าเงินสดและยื่นเป็นรายได้เช่นเดียวกับเงินสด

ทั้งนี้ อินฟลูเอนเซอร์ยังต้องยื่นภาษีกลางปี และสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้ตามรายการที่กำหนดกว่า 20 รายการ โดยมีสำนักงานสรรพากรพื้นที่ และช่องทางออนไลน์ให้คำแนะนำตลอดการยื่นแบบ

กรณีตัวอย่าง “เซฟ กระทะฮ้าง” จุดกระแสดราม่าภาษีบนโซเชียล

กรณี “เซฟ กระทะฮ้าง” หรือ นายสมบูรณ์ วรรณวงศ์ อดีตเชฟโรงแรมที่ผันตัวมาเป็นครีเอเตอร์ดิจิทัล โพสต์ตัดพ้อผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับภาษีที่ต้องจ่ายเกือบ 2 แสนบาท ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจเป็นการเลี่ยงภาษีหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวออกมายืนยันว่าจะจ่ายแน่นอนเพียงแต่ยังไม่ทราบกระบวนการที่ชัดเจน

เรื่องนี้กลายเป็นบทเรียนสำหรับผู้ที่ทำอาชีพอิสระ หรือมีรายได้จากโลกออนไลน์ว่า แม้จะไม่มีรายได้ประจำ แต่เมื่อมีรายได้เข้าข่ายเกณฑ์ ก็ควรต้องยื่นแบบเสียภาษีอย่างถูกต้อง

ทัศนะจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายกรมสรรพากร ยืนยันว่าไม่ได้มุ่งเล่นงานกลุ่มใดเป็นพิเศษ แต่ต้องดูแลความเป็นธรรมและสร้างระบบรายได้ของประเทศอย่างยั่งยืน พร้อมเน้นย้ำว่าการไม่ยื่นภาษีหรือหลบเลี่ยง อาจทำให้ต้องเผชิญกับค่าปรับจำนวนมากในอนาคต

ฝ่ายประชาชนและผู้เสียภาษี บางส่วนมีความกังวลว่าหากเข้าระบบแล้วจะถูกเรียกเก็บย้อนหลัง จึงเลือกไม่ยื่นแบบภาษี ขณะเดียวกันบางรายยังขาดความรู้ในการยื่นแบบภาษี ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง

บทลงโทษสำหรับผู้ไม่ปฏิบัติตาม

อธิบดีกรมสรรพากรชี้แจงว่า ผู้ไม่ยื่นแบบภาษีภายในกำหนด หรือไม่ชำระภาษี จะถูกปรับไม่เกิน 2,000 บาท และต้องชำระเงินเพิ่มอัตรา 1.5% ต่อเดือน หากพบว่ามีเจตนาหลบเลี่ยงภาษี อาจถูกจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากแจ้งข้อมูลเท็จ อาจถูกจำคุก 3 เดือนถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 บาทถึง 200,000 บาท

สถานการณ์ตลาดอินฟลูเอนเซอร์ในปี 2568

ปี 2568 เป็นปีที่มีแนวโน้มการเติบโตของอาชีพอินฟลูเอนเซอร์อย่างก้าวกระโดด โดยข้อมูลจาก MI GROUP คาดการณ์ว่าจำนวนอินฟลูเอนเซอร์ในประเทศไทยอาจแตะ 3 ล้านราย จากปี 2567 ที่มีประมาณ 2 ล้านราย เติบโตจากกลุ่ม Micro และ Nano Influencer ซึ่งมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคอย่างมาก

ในแง่เศรษฐกิจ สื่อดิจิทัลเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าเม็ดเงินโฆษณาในปี 2568 จะอยู่ที่ 92,048 ล้านบาท โดยเฉพาะโฆษณาผ่านอินฟลูเอนเซอร์จะมีมูลค่าแตะ 2,360 ล้านบาท และเติบโตเฉลี่ยปีละ 10.24% จนถึงปี 2572 ตามข้อมูลจาก Statista

ความเห็นจากภาคธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญ

นายภวัต เรืองเดชวรชัย จาก MI GROUP ระบุว่า อินฟลูเอนเซอร์จะยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำตลาด โดยเฉพาะกลุ่ม Micro และ Nano ที่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้สูงในงบประมาณจำกัด ขณะที่นายศิวัตม์ วิลาสศักดานนท์ จาก AnyMind Group เผยว่า อินฟลูเอนเซอร์ไทยเข้าสู่ยุคใหม่ที่เน้นความเรียลและเข้าถึงผู้บริโภคได้จริง พร้อมระบุว่าผู้ใช้จริงและนักขายออนไลน์จะเป็นกลุ่มหลักในอนาคตของอุตสาหกรรมนี้

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • ยอดการยื่นภาษีถึงวันที่ 13 มีนาคม 2568: 7.4 ล้านแบบ (กรมสรรพากร, 2568)
  • อัตราขอคืนภาษี: 46.9% หรือ 3.5 ล้านแบบ (กรมสรรพากร, 2568)
  • จำนวนอินฟลูเอนเซอร์ในประเทศไทย (คาดการณ์ปี 2568): 3 ล้านคน (MI GROUP, 2568)
  • มูลค่าตลาดโฆษณาผ่านอินฟลูเอนเซอร์ปี 2567: 2,360 ล้านบาท (Statista, 2567)
  • การซื้อสินค้าออนไลน์รายสัปดาห์ของคนไทย: 66.9% (DataReportal, 2567)
  • อัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของคนไทย: 89.5% (สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลฯ, 2566)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมสรรพากร
  • สำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
  • บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด (MI GROUP)
  • บริษัท AnyMind Group ประเทศไทย
  • Statista
  • สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.)
  • DataReportal
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเร่งช่วย พายุถล่ม 300 หลัง ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบวาตภัยตำบลแม่อ้อ อำเภอพาน หลังพายุฤดูร้อนถล่มเสียหายกว่า 300 ครัวเรือน

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย/ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย และนายสุรเชษฐ์ พุ้ยน้อย นายอำเภอพาน ได้นำคณะผู้แทนจากหน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานด้านการบรรเทาสาธารณภัย ลงพื้นที่ตำบลแม่อ้อ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย เพื่อตรวจเยี่ยม ติดตามสถานการณ์ และให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุวาตภัยที่เกิดขึ้นในช่วงค่ำของวันที่ 18 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา

โดยมีการเดินทางไปยังอาคารอเนกประสงค์ประจำหมู่บ้าน หมู่ที่ 17 บ้านแม่แก้วพัฒนา ซึ่งเป็นจุดรวบรวมข้อมูลและศูนย์ประสานการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ประสบภัย เพื่อรับฟังรายงานสถานการณ์ล่าสุดจากผู้นำชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งมอบถุงยังชีพและสิ่งของจำเป็นให้แก่ครัวเรือนที่ได้รับความเสียหายจากเหตุพายุฤดูร้อนในครั้งนี้

บ้านเรือนเสียหายกว่า 300 ครัวเรือนในตำบลแม่อ้อ

จากรายงานขององค์การบริหารส่วนตำบลแม่อ้อ พบว่าผลกระทบจากพายุฤดูร้อนซึ่งมีลมกระโชกแรงในช่วงค่ำวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ทำให้บ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ตำบลแม่อ้อได้รับความเสียหายอย่างหนัก รวมจำนวนกว่า 300 ครัวเรือน กระจายอยู่ในหลายหมู่บ้าน โดยเฉพาะในเขตบ้านแม่แก้วพัฒนา บ้านใหม่สามัคคี และบ้านใหม่ห้วยทราย ซึ่งมีบ้านเรือนที่หลังคาถูกลมพัดปลิว ไม้กระเบื้องและอุปกรณ์ภายในบ้านได้รับความเสียหาย บางหลังเสียหายทั้งหลังจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้

ขณะเดียวกันยังมีรายงานความเสียหายด้านสาธารณูปโภค เช่น สายไฟฟ้าหลุดขาด เสาไฟฟ้าหักโค่น ถนนบางเส้นมีต้นไม้ล้มขวางทางจราจร รวมถึงมีโรงเรือนเกษตรและแปลงเพาะปลูกที่ถูกกระแสลมทำลายจำนวนหนึ่ง ซึ่งอยู่ระหว่างการสำรวจเพิ่มเติมโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

หน่วยงานภาครัฐเร่งสำรวจและฟื้นฟูความเสียหายอย่างเร่งด่วน

ในเบื้องต้น หน่วยงานท้องถิ่น เช่น องค์การบริหารส่วนตำบลแม่อ้อ ได้ประสานกับสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย) เพื่อเร่งจัดส่งกำลังพลและเครื่องมือเข้าเคลียร์พื้นที่ซากปรักหักพัง และจัดหาที่พักชั่วคราวให้กับครัวเรือนที่ไม่สามารถอยู่อาศัยได้ พร้อมเร่งประเมินความเสียหายรายครัวเรือนเพื่อให้ความช่วยเหลือเยียวยาตามระเบียบของทางราชการ

ขณะเดียวกันเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และเครือข่ายภาคประชาชน ได้ลงพื้นที่นำถุงยังชีพ ซึ่งประกอบด้วยข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม ยารักษาโรค และเครื่องนุ่งห่ม แจกจ่ายให้แก่ผู้ประสบภัยโดยตรง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงวิกฤต

ผู้ว่าฯ ย้ำความห่วงใย พร้อมสั่งการให้ช่วยเหลืออย่างทั่วถึงและรวดเร็ว

ในการพบปะประชาชน นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวให้กำลังใจชาวบ้านที่ได้รับความเสียหาย พร้อมเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างครอบคลุมโดยไม่ตกหล่น

“เหตุการณ์ในครั้งนี้ถือเป็นภัยธรรมชาติที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ แต่เราต้องร่วมกันฟื้นฟูอย่างเป็นระบบ โดยเน้นการทำงานที่โปร่งใส ทันต่อสถานการณ์ และเข้าถึงประชาชนในทุกครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก ผู้ป่วยติดเตียง และผู้พิการ” นายชรินทร์กล่าว

ภัยพิบัติกับแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นในเขตภาคเหนือ

จากข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา ระบุว่าช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนของทุกปี คือช่วงฤดูเปลี่ยนผ่าน ซึ่งมักเกิดพายุฤดูร้อนในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีความเสี่ยงสูงจากกระแสลมร้อนและกระแสลมเย็นปะทะกัน ส่งผลให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกได้

กรณีตำบลแม่อ้อ อำเภอพาน ก็เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศอย่างฉับพลันในช่วงต้นปี 2568 โดยเหตุวาตภัยครั้งนี้นับเป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ภายในระยะเวลาไม่ถึง 3 ปี หลังจากเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันที่เคยเกิดขึ้นในปี 2566 ซึ่งทำให้บ้านเรือนเสียหายกว่า 250 หลังคาเรือน

ความคิดเห็นจาก 2 มุมมอง: บทบาทรัฐและความเข้มแข็งของชุมชน

ฝ่ายสนับสนุนภาครัฐ มองว่า การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นการแสดงความห่วงใยต่อประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมยอมรับว่าในภาวะวิกฤต รัฐมีบทบาทสำคัญในการระดมสรรพกำลังและงบประมาณเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างทันเวลา ซึ่งสะท้อนถึงความพร้อมของระบบการบริหารจัดการภัยพิบัติของไทยในระดับหนึ่ง

ขณะที่ฝ่ายวิจารณ์ ชี้ให้เห็นว่าการช่วยเหลือผู้ประสบภัยยังคงเผชิญปัญหาการสำรวจที่ล่าช้า การขาดแคลนเครื่องมือหนักและบุคลากรในพื้นที่ และบางรายที่ยังตกหล่นจากการได้รับความช่วยเหลือในระยะเริ่มต้น จึงเสนอให้มีการวางระบบสำรองฉุกเฉินแบบถาวร เช่น การจัดตั้งคลังยังชีพในแต่ละตำบล การฝึกอบรมอาสาสมัครให้สามารถช่วยเหลือเบื้องต้นได้โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลาง

เสียงสะท้อนจากทั้งสองฝ่ายชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการเสริมสร้าง “ความพร้อมเชิงระบบ” ทั้งในเชิงโครงสร้าง การสื่อสาร และกลไกความร่วมมือระหว่างรัฐกับชุมชน เพื่อให้การจัดการภัยพิบัติในอนาคตมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากวาตภัยในตำบลแม่อ้อ ครั้งล่าสุด (มีนาคม 2568): กว่า 300 ครัวเรือน
    ที่มา: องค์การบริหารส่วนตำบลแม่อ้อ, รายงานสถานการณ์ ณ วันที่ 20 มีนาคม 2568
  • เหตุวาตภัยที่เกิดขึ้นในอำเภอพาน ปี 2566 มีบ้านเรือนเสียหายรวม 251 ครัวเรือน
    ที่มา: สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย), รายงานภัยพิบัติประจำปี 2566
  • ช่วงเวลาที่เกิดพายุฤดูร้อนในประเทศไทยส่วนใหญ่: เดือนมีนาคม–เมษายน ของทุกปี
    ที่มา: กรมอุตุนิยมวิทยา, รายงานแนวโน้มสภาพอากาศประจำปี 2567
  • จังหวัดเชียงรายมีครัวเรือนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงวาตภัยกว่า 12,000 ครัวเรือน
    ที่มา: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, ฐานข้อมูลแผนที่ภัยพิบัติแห่งชาติ พ.ศ. 2566

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย,สำนักงานจังหวัดเชียงราย, สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย, องค์การบริหารส่วนตำบลแม่อ้อ, กรมอุตุนิยมวิทยา, กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 ครบรอบ 107 ปี จัดพิธีศักการะ เสริมสิริมงคล

มณฑลทหารบกที่ 37 จัดพิธีสักการะและพิธีทางศาสนาเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาหน่วย ครบรอบ 107 ปี สะท้อนบทบาทสำคัญของกองทัพบกในพื้นที่ภาคเหนือ

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) จัดพิธีสักการะและพิธีทางศาสนาอย่างสมเกียรติ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่หน่วย และรำลึกถึงประวัติศาสตร์อันทรงเกียรติของการก่อตั้งหน่วย เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนาครบรอบ 107 ปี ซึ่งตรงกับวันที่ 22 มีนาคม 2568 โดยได้จัดพิธีล่วงหน้าในวันที่ 21 มีนาคม 2568 ณ พื้นที่ต่าง ๆ ภายในและโดยรอบค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย โดยมี พล.ต.บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยบุคคลสำคัญจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนเข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง

พิธีในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงความเคารพและรำลึกถึงคุณงามความดีของเหล่าทหารกล้าที่ได้อุทิศตนรับใช้ชาติ รวมถึงการประกอบพิธีทางศาสนาเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่หน่วยและกำลังพลในสังกัด สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างกองทัพกับประชาชนในพื้นที่

พิธีกรรมสำคัญตามลำดับเวลาสะท้อนรากฐานทางจิตวิญญาณและประวัติศาสตร์

พิธีในช่วงเช้าของวันที่ 21 มีนาคม 2568 ประกอบด้วยลำดับพิธีกรรมที่มีความหมายลึกซึ้งทางวัฒนธรรมและจิตใจ ดังนี้

  • เวลา 07.09 น. พิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ ดอยเจดีย์ ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพของทหารและชาวเชียงราย
  • เวลา 08.00 น. พิธีบวงสรวง พ่อขุนเม็งรายมหาราช ณ พระตำหนักพ่อขุนเม็งรายฯ เพื่อแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ผู้ก่อตั้งเมืองเชียงราย
  • เวลา 08.29 น. พิธีบวงสรวง พระญามังรายมหาราช ณ หน้า บก.มทบ.37 เพื่อรำลึกถึงผู้นำผู้สร้างความมั่นคงให้แก่ดินแดนล้านนา
  • เวลา 10.09 น. พิธีบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทาน และเจริญพระพุทธมนต์ ณ อาคารอเนกประสงค์ มทบ.37 โดยมี พล.ท.ศุภอักษร สังประกุล เป็นประธานในพิธีทางศาสนาเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณของวีรชนผู้เสียสละชีวิตในการปกป้องแผ่นดินไทย

พิธีเหล่านี้สะท้อนถึงความเคารพต่อคุณค่าทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และศาสนา ซึ่งเป็นเสาหลักสำคัญของสถาบันทหารบกในการดำรงความมั่นคงทั้งทางกายภาพและทางจิตใจแก่สังคม

การมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน

พิธีดังกล่าวได้รับเกียรติจาก นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 ผู้แทนจากหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน อดีตผู้บังคับบัญชา หน่วยทหารในพื้นที่จังหวัดเชียงราย สมาคมสื่อมวลชน และตัวแทนชุมชนโดยรอบค่ายเม็งรายมหาราช เข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง แสดงให้เห็นถึงบทบาทของ มทบ.37 ในฐานะองค์กรที่ได้รับความเชื่อมั่นและเป็นที่เคารพจากประชาชนในพื้นที่อย่างกว้างขวาง

การรวมตัวของผู้แทนจากหลายภาคส่วนในพิธีแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างกองทัพบกกับประชาชนในพื้นที่ ซึ่งนับเป็นรากฐานที่มั่นคงของระบบความมั่นคงในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ชายแดนและภาคเหนือตอนบน ซึ่งมีความสำคัญทั้งในด้านความมั่นคง และการพัฒนาประเทศ

บทบาทของ มทบ.37 ในการสร้างความมั่นคงและสนับสนุนการพัฒนาท้องถิ่น

มณฑลทหารบกที่ 37 ถือเป็นหนึ่งในหน่วยทหารสำคัญในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมีเขตรับผิดชอบหลักอยู่ในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศเมียนมาและสาธารณรัฐประชาชนจีน ทำให้มีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ต่อการรักษาความมั่นคงของประเทศ

ภารกิจของ มทบ.37 ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะด้านการป้องกันประเทศ หากแต่รวมถึงการช่วยเหลือประชาชนในยามวิกฤต การสนับสนุนภารกิจด้านสาธารณสุข การฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ และการส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ เช่น การปลูกป่า สร้างฝายชะลอน้ำ การสนับสนุนการศึกษาผ่านโครงการจิตอาสา รวมถึงการร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่นในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน

ความเห็นเชิงกลาง: ความเชื่อมั่นและความคาดหวัง

ฝ่ายที่สนับสนุน บทบาทของ มทบ.37 มองว่ากองทัพบกโดยเฉพาะในระดับภูมิภาคมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างเสถียรภาพ ความสงบ และการพัฒนาท้องถิ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนที่มีความเปราะบางทางด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ กองทัพสามารถเข้าไปสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ได้อย่างทันท่วงที รวมถึงมีทรัพยากรบุคคลที่มีวินัยและสามารถปฏิบัติงานภายใต้สถานการณ์วิกฤตได้ดี

ขณะเดียวกัน ฝ่ายที่มีข้อกังวล ก็ได้แสดงความเห็นว่าบางกรณีการดำเนินงานของกองทัพอาจทับซ้อนกับหน้าที่ของหน่วยงานพลเรือน โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาท้องถิ่น หรือโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดคำถามเรื่องความโปร่งใส และประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณ นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้กองทัพเปิดพื้นที่รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนให้มากขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินงานของกองทัพเป็นไปตามความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง

ความคิดเห็นที่แตกต่างเหล่านี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการถ่วงดุลอำนาจ การมีส่วนร่วม และการตรวจสอบซึ่งเป็นหลักธรรมาภิบาลที่ควรนำมาใช้ในการบริหารงานของทุกภาคส่วน รวมถึงองค์กรด้านความมั่นคงด้วย

สถิติและข้อมูลอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง

  • มณฑลทหารบกที่ 37 จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2461 และในปี พ.ศ. 2568 มีอายุครบรอบ 107 ปี
    ที่มา: กองทัพบกไทย, สำนักประวัติศาสตร์กองทัพบก, รายงานประวัติการสถาปนาหน่วย
  • จังหวัดเชียงรายมีแนวชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านรวมระยะทางกว่า 283 กิโลเมตร
    ที่มา: กรมแผนที่ทหาร, รายงานเขตแดนประเทศไทย พ.ศ. 2566
  • กำลังพลในสังกัด มทบ.37 ณ ปีงบประมาณ 2567 มีประมาณ 1,200 นาย
    ที่มา: กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 3, รายงานสถานะกำลังพลประจำปี พ.ศ. 2567
  • โครงการจิตอาสาของ มทบ.37 ที่ดำเนินการต่อเนื่องในปี 2567 มีมากกว่า 50 โครงการครอบคลุม 9 อำเภอในเชียงราย
    ที่มา: ฝ่ายกิจการพลเรือน มทบ.37, รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2567

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37), กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 3, กรมแผนที่ทหาร, สำนักประวัติศาสตร์กองทัพบก

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“อปพร.” ฮีโร่ ‘เชียงราย’ จัดงาน ยกย่องอาสาสมัครผู้เสียสละ

เชียงรายจัดกิจกรรมวัน อปพร. ประจำปี 2568 ยกย่องอาสาสมัครผู้เสียสละ สร้างขวัญกำลังใจ พร้อมเดินหน้าพัฒนาเครือข่ายเพื่อรองรับภัยพิบัติในอนาคต

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – ศูนย์อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) จังหวัดเชียงราย ได้จัดกิจกรรมเนื่องใน “วัน อปพร.” ประจำปี 2568 อย่างเป็นทางการ ณ โดมศูนย์พักพิง ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 15 เชียงราย ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมืองเชียงราย โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และผู้อำนวยการศูนย์ อปพร. จังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สมาชิก อปพร. และภาคีเครือข่ายด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง

เพื่อรำลึกถึงความเสียสละ และเสริมพลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานแนวหน้า

การจัดกิจกรรมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อยกย่องและเชิดชูเกียรติแก่เหล่าอาสาสมัคร อปพร. ที่ปฏิบัติภารกิจด้วยความเสียสละในการดูแลความปลอดภัยของประชาชนในยามเกิดภัยพิบัติ รวมถึงการสนับสนุนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในระดับชุมชนและท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นก่อนเกิดภัย ระหว่างเกิดภัย และหลังจากเกิดภัย

ในพิธีเปิดงาน นายชรินทร์ ทองสุข ได้อ่านสารจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เนื่องในวัน อปพร. ประจำปี 2568 ซึ่งกล่าวถึงความสำคัญของบทบาท อปพร. ในการเสริมสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยให้กับสังคม พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและประชาชนในการเผชิญหน้ากับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

มอบรางวัลเชิดชูเกียรติอาสาสมัครดีเด่น ประจำปี 2567–2568

ในงานมีพิธีมอบรางวัลเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ที่มีผลงานโดดเด่นในการปฏิบัติหน้าที่ โดยมีการมอบรางวัลในประเภทต่าง ๆ ได้แก่

  • ศูนย์ อปพร. ดีเด่น ประเภทเทศบาลนคร ได้แก่ ศูนย์ อปพร. เทศบาลนครเชียงราย ซึ่งได้รับเงินรางวัล 15,000 บาท พร้อมโล่รางวัล โดยมีนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย เป็นผู้แทนรับมอบ
  • รางวัล อปพร. ดีเด่น จำนวน 3 ราย ได้แก่
    1. นายอนุสรณ์ อินทวงศ์ (เทศบาลนครเชียงราย)
    2. นายมนัส ปินตา (เทศบาลตำบลดอนศิลา อำเภอเวียงชัย)
    3. นายบุญมี สีใจสา (องค์การบริหารส่วนตำบลสันกลาง อำเภอพาน)
  • รางวัลอาสาสมัครดีเด่น ประจำปี 2567 ได้แก่ นายนพพล ทาเนตร จากองค์การบริหารส่วนตำบลต้า อำเภอขุนตาล

การมอบรางวัลดังกล่าวไม่เพียงเป็นการแสดงความขอบคุณต่อผู้มีบทบาทสำคัญในพื้นที่ แต่ยังเป็นการกระตุ้นและส่งเสริมให้เกิดแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิก อปพร. ทั่วทั้งจังหวัด

สานต่อความเข้มแข็ง สู่อนาคตการบริหารจัดการภัยพิบัติ

ในการกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดงาน นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวยกย่องบทบาทของ อปพร. ว่าเป็น “กลไกสำคัญของสังคมไทย” ที่ได้อุทิศตนในการรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชนมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 46 ปี พร้อมกล่าวว่า “สิ่งสำคัญในวันนี้คือ การสร้างความพร้อมให้กับ อปพร. ทุกระดับ ให้มีทักษะความรู้ที่ทันสมัย มีระบบการฝึกอบรมที่ตอบโจทย์สถานการณ์ และสามารถปรับตัวได้ทันต่อภัยคุกคามรูปแบบใหม่ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติจากธรรมชาติหรือภัยที่เกิดจากมนุษย์”

เขาเน้นย้ำว่า “อปพร. ไม่ใช่เพียงผู้ช่วยเหลือยามเกิดภัย แต่ยังเป็นผู้สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน และเป็นสะพานเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและประชาชนในการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน”

บทบาท อปพร. ต่อระบบความมั่นคงในระดับท้องถิ่น

ศูนย์ อปพร. นับเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการบริหารจัดการภัยพิบัติในระดับท้องถิ่น โดยปฏิบัติหน้าที่ทั้งการเฝ้าระวัง แจ้งเตือนภัย ให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น จัดตั้งศูนย์พักพิง และประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐในการฟื้นฟูพื้นที่หลังเกิดเหตุ

ในระดับประเทศ มีอาสาสมัคร อปพร. ทั่วประเทศกว่า 1.2 ล้านคน (อ้างอิงจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, พ.ศ. 2566) โดยในจังหวัดเชียงรายมีสมาชิก อปพร. อยู่ทั้งสิ้นกว่า 7,500 คน ซึ่งถูกกระจายตัวตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งในเขตเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล เพื่อดูแลและคุ้มครองชีวิตประชาชนในพื้นที่ห่างไกลที่มักจะเป็นจุดเสี่ยงภัยพิบัติ เช่น น้ำหลาก ดินถล่ม ไฟป่า และอุทกภัยซ้ำซาก

ความเห็นจากสองมุมมอง: สนับสนุน-ท้าทายการดำเนินงาน

ฝ่ายสนับสนุน มองว่า อปพร. เป็นพลังอาสาสมัครที่มีคุณค่าต่อสังคม โดยเฉพาะในช่วงเวลาวิกฤต อปพร. สามารถเข้าถึงพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว และมีความใกล้ชิดกับประชาชนในชุมชน จึงสามารถดำเนินการช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที ซึ่งแตกต่างจากหน่วยงานภาครัฐที่อาจใช้เวลานานกว่าในการจัดกำลังลงพื้นที่

ขณะที่ฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ ชี้ว่า การบริหารจัดการ อปพร. ในหลายพื้นที่ยังขาดระบบสนับสนุนด้านงบประมาณและอุปกรณ์ปฏิบัติงานที่เพียงพอ ทำให้อาสาสมัครต้องใช้ทรัพยากรส่วนตัวในการปฏิบัติภารกิจ รวมถึงบางพื้นที่ยังขาดการฝึกอบรมต่อเนื่อง ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการช่วยเหลือประชาชนลดลง

ข้อเสนอจากทั้งสองฝ่ายสะท้อนถึงความจำเป็นในการจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสม ควบคู่ไปกับการวางแผนพัฒนาศักยภาพของ อปพร. ให้ทันสมัยและมีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้นในระยะยาว

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • จำนวนสมาชิก อปพร. ทั่วประเทศ: 1.2 ล้านคน
    ที่มา: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย, รายงานประจำปี พ.ศ. 2566
  • จำนวนสมาชิก อปพร. จังหวัดเชียงราย: ประมาณ 7,500 คน
    ที่มา: ศูนย์ อปพร. จังหวัดเชียงราย, สถิติ ณ วันที่ 1 มีนาคม 2568
  • ระยะเวลาดำเนินงานของ อปพร. ทั่วประเทศ: มากกว่า 46 ปี
    ที่มา: พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 และแก้ไขเพิ่มเติม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย  / ศูนย์ อปพร. จังหวัดเชียงราย / กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News