Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเคาะ 61 วันปลอดเผา ลดปัญหา PM 2.5

ที่ประชุมเชียงรายเคาะ “61 วันปลอดการเผา” พร้อมกิจกรรมป้องกันไฟป่า-หมอกควัน

เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2568 ที่ห้องปฏิบัติงานรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมติดตามการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่น PM 2.5 ของจังหวัดเชียงราย โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม เพื่อวางมาตรการควบคุมการเผาและการจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่

สรุปมาตรการสำคัญ

ที่ประชุมมีมติกำหนดห้วงควบคุมการเผาในพื้นที่จังหวัดเชียงรายตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 และกำหนด “ห้วงห้ามการเผาในที่โล่งทุกชนิดโดยเด็ดขาด” ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 30 เมษายน 2568 ภายใต้ชื่อ “61 วันปลอดการเผาในพื้นที่จังหวัดเชียงราย” เพื่อควบคุมและลดมลพิษฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อม

หน่วยงานที่ได้รับมอบหมายมีหน้าที่เร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์ผ่านการจัดทำ One Page สาระสำคัญที่เข้าใจง่าย รวมถึงออกประกาศจังหวัดให้ประชาชนรับทราบถึงช่วงเวลาห้ามเผาอย่างชัดเจน พร้อมทั้งมีการจัดกิจกรรมสร้างความตระหนักรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชน

กิจกรรมสำคัญที่กำหนดในห้วงเดือนกุมภาพันธ์ 2568

  1. กิจกรรมทำแนวกันไฟ 2 แผ่นดิน
    กำหนดจัด ณ อุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย เพื่อแสดงถึงความร่วมมือระหว่างจังหวัดเชียงรายกับประเทศเพื่อนบ้านในพื้นที่ชายแดน
  2. ทอดผ้าป่าระดมทุนป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน
    กิจกรรมทอดผ้าป่าเพื่อสนับสนุนงบประมาณสำหรับใช้ในกิจกรรมป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน จะจัดขึ้นที่วัดเจ็ดยอด พระอารามหลวง อำเภอเมืองเชียงราย
  3. ประชุมติดตามสถานการณ์การเผาและฝุ่น PM 2.5 อย่างใกล้ชิด
    กำหนดให้สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย (ทสจ.) และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.) ซึ่งทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการ เร่งติดตามสถานการณ์ หากมีแนวโน้มรุนแรงให้จัดประชุมคณะทำงานอย่างเร่งด่วน พร้อมกำหนดการประชุมคณะทำงานทุกสัปดาห์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568

การจัดการปัญหาเชิงรุก

จังหวัดเชียงรายเน้นการทำงานร่วมกันระหว่างทุกภาคส่วน โดยให้ความสำคัญกับการสร้างการมีส่วนร่วมจากประชาชนและองค์กรท้องถิ่น พร้อมทั้งจัดเตรียมเครื่องมือและมาตรการรองรับสถานการณ์ หากเกิดเหตุไฟป่าหรือฝุ่น PM 2.5 ระดับรุนแรง

นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ กล่าวในการประชุมว่า “ปัญหาไฟป่าและหมอกควันเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบทั้งด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน จังหวัดเชียงรายจึงต้องเดินหน้าแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ โดยยึดหลักความร่วมมือจากทุกภาคส่วน พร้อมสร้างความเข้าใจกับประชาชนถึงความสำคัญของมาตรการที่กำหนด”

การมีส่วนร่วมของประชาชน

ทางจังหวัดเชียงรายขอความร่วมมือจากประชาชนในทุกพื้นที่ร่วมปฏิบัติตามมาตรการ “61 วันปลอดการเผา” อย่างเคร่งครัด รวมถึงเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลงและลดผลกระทบจากปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กและไฟป่า

ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการป้องกันไฟป่า หมอกควัน และ PM 2.5 ได้ที่สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย หรือโทรสอบถามเพิ่มเติมที่สายด่วน 1784

เชียงรายเดินหน้าลดฝุ่น-ไฟป่า สร้างชุมชนปลอดมลพิษอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ธนาคารที่ดินเชียงราย หนุนเกษตรกร ยกระดับวิสาหกิจชุมชน

ธนาคารที่ดิน” ลงพื้นที่เชียงราย หนุนเกษตรกร ยกระดับวิสาหกิจชุมชน

เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2568 นายศรัณยสันฑ์ วีรกุลสุนทร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) นำโดยนายกุลพัชร ภูมิใจอวด ผู้อำนวยการสถาบันฯ ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายเพื่อตรวจติดตามการดำเนินงานของ “ธนาคารที่ดิน” และพบปะเกษตรกรในพื้นที่ โดยมีนายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยส่วนราชการในพื้นที่ร่วมต้อนรับ

ตรวจเยี่ยมวิสาหกิจชุมชนศาสตร์พระราชา

ทีมงานได้เข้าตรวจเยี่ยมวิสาหกิจชุมชนศาสตร์พระราชาวัดพุทธอุทยานดอยอินทรีย์ ตำบลดอยฮาง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีเกษตรกรจำนวน 64 ครัวเรือน บนพื้นที่ทั้งหมด 84 ไร่ ที่นี่ถือเป็นชุมชนต้นแบบในการพัฒนาที่ดินและการดำเนินชีวิตตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง นายศรัณยสันฑ์ กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินและยินดีที่ได้เห็นความสำเร็จของโครงการดังกล่าว ซึ่งได้ช่วยเหลือเกษตรกรและขยายโอกาสในการพัฒนาพื้นที่เพื่อความยั่งยืน

โมเดลแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน

นายศรัณยสันฑ์ ระบุว่า การบริหารจัดการที่ดินในรูปแบบการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนที่ธนาคารที่ดินดำเนินการ ถือเป็นโมเดลสำคัญที่สามารถนำไปปรับใช้ในพื้นที่อื่นทั่วประเทศ เพื่อให้เกษตรกรและผู้ยากจนได้มีสิทธิในที่ดินทำกิน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของรัฐบาล โดยเน้นการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน

ขยายผลและสร้างความยั่งยืน

นายกุลพัชร ภูมิใจอวด ผู้อำนวยการสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน กล่าวเพิ่มเติมว่า ธนาคารที่ดินมุ่งมั่นขยายโครงการให้ครอบคลุมพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบทั่วประเทศ เพื่อกระจายการถือครองที่ดินอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับเกษตรกร และส่งเสริมการพึ่งพาตนเอง ทั้งนี้ ขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่สนับสนุนและผลักดันให้โครงการเดินหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ

การสนับสนุนจากทุกภาคส่วน

การดำเนินงานในพื้นที่เชียงรายได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน รวมถึงการบูรณาการกับหน่วยงานท้องถิ่นและวิสาหกิจชุมชน โดยเน้นการส่งเสริมผลิตภัณฑ์เกษตร ยกระดับสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่าทางการตลาด และเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้าถึงทรัพยากรอย่างเท่าเทียม

ฝากถึงทุกหน่วยงาน

นายศรัณยสันฑ์ ทิ้งท้ายว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน และขอฝากทุกหน่วยงานช่วยกันสนับสนุนธนาคารที่ดิน เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ดีของการแก้ไขปัญหาและสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในพื้นที่ชนบท.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ศึกเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงราย “ทักษิณ” เตรียมลุยโค้งสุดท้ายเข้มข้น!

การหาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย 2568 เข้มข้นในโค้งสุดท้าย

เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การหาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) ระหว่างนางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช อดีตนายก อบจ.เชียงราย ภรรยาของนายยงยุทธ ติยะไพรัช แกนนำพรรคเพื่อไทย และนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ อดีตนายก อบจ.เชียงราย กำลังเข้มข้นในโค้งสุดท้าย โดยนางสลักจฤฎดิ์และทีมงานได้ลงพื้นที่หาเสียงอย่างหนัก จัดเวทีปราศรัยใหญ่และย่อยทุกอำเภอในจังหวัด บางวันเปิดเวทีปราศรัยมากถึง 3-4 จุด

นายทักษิณ ชินวัตร เตรียมช่วยหาเสียง

ในวันที่ 29 มกราคม 2568 นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเดินทางมาเชียงรายเพื่อช่วยหาเสียงให้นางสลักจฤฎดิ์ โดยจะขึ้นเวทีปราศรัย 3 จุดสำคัญ ได้แก่ อำเภอแม่สรวย อำเภอพาน และสนามฟุตบอลเชียงรายยูไนเต็ด ซึ่งเป็นสนามกีฬาประจำจังหวัด ทั้งนี้ นายทักษิณเคยเดินทางมาช่วยหาเสียงในพื้นที่เมื่อวันที่ 5 มกราคมที่ผ่านมา

นโยบายเชียงรายโมเดล เน้นช่วยเหลือประชาชน

นายยงยุทธ ติยะไพรัช ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง กล่าวว่า การหาเสียงครั้งนี้แตกต่างจากรูปแบบเดิม โดยเน้นนำเสนอนโยบายที่จับต้องได้ เช่น เชียงรายโมเดลที่เชื่อมโยงการพัฒนาจังหวัดกับส่วนกลางและรัฐบาล เน้นการช่วยเหลือด้านเกษตรกรรมและการแก้ปัญหาหนี้สินของเกษตรกร อาทิ การสร้างตลาดกลาง (Marketplace) สำหรับเกษตรกรในพื้นที่ท่องเที่ยว เช่น น้ำตกและภูเขา โดยเกษตรกรสามารถขายสินค้าเกษตรได้โดยไม่คิดค่าพื้นที่ และส่งเสริมการขายแบบ Farm to Table เชื่อมโยงผลิตผลจากเกษตรกรถึงผู้บริโภคโดยตรง พร้อมนำเทคโนโลยีมาใช้ลดต้นทุนการผลิต

อบจ.เชียงรายต้องปรับตัวสู่ยุคใหม่

นายยงยุทธระบุว่า อบจ. ต้องไม่เพียงคิดถึงการสร้างถนน แต่ควรสนับสนุนการพัฒนาสาธารณสุข การศึกษา และส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาแก่ประชาชนและนักศึกษาในจังหวัด นอกจากนี้ยังต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง

เวทีปราศรัยในโค้งสุดท้าย

นอกจากนโยบายที่เน้นจับต้องได้ การหาเสียงยังมีการดึงบุคคลสำคัญมาช่วยเสริม เช่น นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีสำนักนายกรัฐมนตรี ที่เดินทางมาช่วยหาเสียงและขึ้นเวทีปราศรัยในวันนี้

การเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงรายในครั้งนี้ถือเป็นการวัดพลังทางการเมืองระหว่างฝ่ายต่าง ๆ โดยจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 08.00-17.00 น. ประชาชนสามารถตรวจสอบสิทธิ์และเตรียมพร้อมใช้สิทธิ์ได้ที่หน่วยเลือกตั้งใกล้บ้าน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายต้อนรับกงสุลใหญ่สหรัฐฯ ร่วมมือแก้ปัญหายาเสพติด PM 2.5

จังหวัดเชียงรายต้อนรับกงสุลใหญ่สหรัฐฯ เชียงใหม่ หารือความร่วมมือหลากมิติ

เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2568 ที่ห้องรับรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมให้การต้อนรับ นางลิสา เอ.บูเจนนาส กงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกา เชียงใหม่ และคณะ เพื่อเยี่ยมคารวะและพบปะหารือข้อราชการที่เกี่ยวข้องในหลากหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การศึกษา สิ่งแวดล้อม และสังคม

หารือการฟื้นฟูหลังอุทกภัยและส่งเสริมผู้ประกอบการ

หนึ่งในหัวข้อสำคัญคือ การหารือเรื่องสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดเชียงรายที่ผ่านมา โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้รายงานถึงมาตรการฟื้นฟูพื้นที่และการช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง พร้อมขอความร่วมมือจากสหรัฐอเมริกาในด้านการจัดการภัยพิบัติและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ยังได้พูดคุยถึงการส่งเสริมผู้ประกอบการท้องถิ่นผ่านการจัดเวิร์กช็อปเพื่อเรียนรู้การใช้เครื่องมือ AI เช่น Chat GPT และการใช้ช่องทางออนไลน์อย่าง Amazon เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มโอกาสทางการค้าให้กับผู้ประกอบการในเชียงราย

การพัฒนาความร่วมมือทางการศึกษา

กงสุลใหญ่สหรัฐฯ ได้หารือเรื่องความร่วมมือทางการศึกษาร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และพัฒนานักศึกษาให้มีทักษะที่สอดคล้องกับตลาดงานยุคใหม่ รวมถึงการสนับสนุนโครงการวิจัยและการเรียนรู้ระหว่างประเทศ

แก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน PM 2.5 และยาเสพติดตามแนวชายแดน

ประเด็นสำคัญอีกข้อที่ได้หารือกันคือ การจัดการปัญหาไฟป่าหมอกควัน PM 2.5 และปัญหายาเสพติดตามแนวชายแดน นายชรินทร์ได้รายงานว่าปัจจุบันจังหวัดเชียงรายมีมาตรการเข้มงวดในการป้องกันการลักลอบนำเข้ายาเสพติด โดยการเสริมศักยภาพบุคลากรและเครื่องมือบริเวณแนวชายแดน พร้อมเน้นย้ำว่าประเทศไทยไม่ใช่แหล่งผลิตยาเสพติด แต่เป็นทางผ่านที่สำคัญไปยังประเทศอื่นๆ ทางด้านสหรัฐอเมริกาได้แสดงความพร้อมที่จะสนับสนุนความร่วมมือผ่านหน่วยงาน DEA ในการป้องกันและปราบปรามปัญหาดังกล่าว

พัฒนาเชียงรายสู่เมืองแห่งการท่องเที่ยวและ MICE City

เชียงรายได้รับการเน้นย้ำถึงศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่โดดเด่น ด้วยความเป็นเมืองที่มีพี่น้องชาติพันธุ์กว่า 30 ชาติพันธุ์ และการเป็นจังหวัดชายแดนที่เชื่อมต่อกับเมียนมาและ สปป.ลาว ซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญของรถไฟความเร็วสูงจากลาวสู่จีนและยุโรป นอกจากนี้ เชียงรายยังได้รับการส่งเสริมให้เป็นเมือง MICE City และศูนย์กลาง Wellness Center เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ความสัมพันธ์กับชาวอเมริกันในเชียงราย

นายชรินทร์ยังได้กล่าวถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างจังหวัดเชียงรายกับชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ประมาณ 1,100 คน ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จของการบริหารจัดการร่วมกันระหว่างหน่วยงานท้องถิ่นและหน่วยงานต่างประเทศ

การส่งเสริมความร่วมมือที่ยั่งยืน

นางลิสา เอ.บูเจนนาส กงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกา เชียงใหม่ ได้แสดงความชื่นชมจังหวัดเชียงรายที่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดและปัญหาสังคมอย่างเป็นระบบ พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาความร่วมมือในระดับท้องถิ่นและระดับระหว่างประเทศ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในทุกมิติ

การเยือนครั้งนี้สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา และเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาความร่วมมือที่ครอบคลุมทุกมิติในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายสร้างโมเดลบวร ป้องกันไฟป่าอย่างยั่งยืน

พระอาจารย์วิบูลย์ ธมฺมเตโช นำเชียงรายสู่ต้นแบบจัดการไฟป่าด้วยพลัง “บวร”

เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด ลงพื้นที่วัดพุทธอุทยานดอยอินทรีย์ ตำบลดอยฮาง อำเภอเมืองเชียงราย เพื่อพบปะและรับฟังแนวทางการจัดการไฟป่าจาก พระอาจารย์วิบูลย์ ธมฺมเตโช” พระภิกษุสงฆ์ผู้มุ่งมั่นในการปกป้องป่าและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันในพื้นที่ โดยใช้แนวทาง “บวร” (บ้าน วัด ราชการ) และศาสตร์พระราชาเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อน

บวร: บ้าน วัด ราชการ แนวทางแห่งสามัคคี

พระอาจารย์วิบูลย์อธิบายว่า ไฟป่าและหมอกควัน มักเกิดจากการเผาป่าที่ไม่มีการควบคุม ซึ่งนำไปสู่ความเสียหายทางธรรมชาติและสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ แนวทาง “บวร” ได้กลายเป็นต้นแบบในการจัดการปัญหาไฟป่าด้วยความร่วมมือของชุมชน บ้าน วัด และหน่วยงานภาครัฐ โดยมุ่งเน้นการสร้างความสามัคคีและความเข้าใจร่วมกันในชุมชน

กิจกรรมเพื่อป้องกันไฟป่า

ในแต่ละปี พระอาจารย์วิบูลย์ได้ริเริ่มกิจกรรมต่าง ๆ เช่น

  1. การปลูกป่า: ส่งเสริมการฟื้นฟูป่าไม้ในพื้นที่เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
  2. การทำแนวกันไฟ: ใช้วิธี “ก้างปลา” เพื่อป้องกันการลุกลามของไฟ
  3. การสร้างหอดูไฟ: ช่วยในการตรวจสอบและเตือนภัยไฟป่าได้อย่างรวดเร็ว
  4. การเกษตรผสมผสาน: สนับสนุนการเกษตรที่ลดการพึ่งพาการเผา

พระอาจารย์ยังเน้นว่าการแก้ไขปัญหาที่สำเร็จต้องอาศัยความร่วมมือที่จริงจังจากทุกภาคส่วน โดยใช้ความสามัคคีเป็นเครื่องมือสำคัญ

หลักศาสตร์พระราชาและสามัคคีในชุมชน

พระอาจารย์วิบูลย์ได้น้อมนำหลักคำสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่ว่า ทุกปัญหาของสังคมและโลกใบนี้จะแก้ด้วยสามัคคี” มาเป็นแนวทางในการสร้างพลังสามัคคีในชุมชน ทั้งนี้ การบูรณาการระหว่างภาครัฐ ชุมชน และศาสนสถาน ได้ทำให้พื้นที่ดอยอินทรีย์กลายเป็นต้นแบบของการจัดการไฟป่าที่ประสบความสำเร็จ

ความสำเร็จและเป้าหมายในอนาคต

ในปัจจุบัน พื้นที่ดอยอินทรีย์ไม่มีปัญหาไฟป่าหรือหมอกควันรุนแรง เนื่องจากการจัดการที่เป็นระบบและความร่วมมือของทุกฝ่าย พระอาจารย์วิบูลย์กล่าวว่า แนวทางนี้ไม่เพียงช่วยรักษาป่าไม้และสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนและคนรุ่นหลัง

“เราต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยสามัคคี ไม่ใช่เพียงเพื่อเราในวันนี้ แต่เพื่ออนาคตของลูกหลาน” พระอาจารย์วิบูลย์กล่าวทิ้งท้าย

การยอมรับจากทุกภาคส่วน

แนวทาง “บวร” ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากคณะสงฆ์ ชุมชน และหน่วยงานภาครัฐ โดยจังหวัดเชียงรายวางแผนที่จะขยายผลโครงการนี้ไปยังพื้นที่อื่น ๆ เพื่อสร้างต้นแบบการจัดการปัญหาไฟป่าที่ประสบความสำเร็จในระดับประเทศ

โครงการดังกล่าวสะท้อนถึงพลังของความสามัคคีและการบูรณาการร่วมกัน ซึ่งเป็นแบบอย่างที่น่ายกย่องในระดับชุมชนและประเทศชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลเชียงรายเร่งฟื้นฟู ดูดโคลนเลน 52 ชุมชนหลังน้ำท่วม

เทศบาลนครเชียงรายฟื้นฟูเมืองหลังน้ำท่วมใหญ่ ดูดโคลนเลนแก้ปัญหาท่อระบายน้ำ 52 ชุมชน

เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 เทศบาลนครเชียงราย นำโดยนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมคณะผู้บริหาร ได้เดินหน้าฟื้นฟูพื้นที่ในเขตเทศบาลนครเชียงรายที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมา โดยเน้นการดูดโคลนและเลนที่สะสมในท่อระบายน้ำและพื้นที่สาธารณะ เพื่อฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและแก้ปัญหาการระบายน้ำในอนาคต

ดำเนินการฟื้นฟูใน 52 ชุมชน

เทศบาลนครเชียงรายได้ส่งรถดูดโคลนเลนพร้อมเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานใน 52 ชุมชนที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยมีเป้าหมายในการฟื้นฟูครบทั้ง 65 ชุมชนในเขตเทศบาล เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติในเวลาอันรวดเร็ว นอกจากนี้ การทำความสะอาดและขจัดสิ่งอุดตันในท่อระบายน้ำยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดน้ำท่วมซ้ำอีกในอนาคต

ฝาท่อชำรุด ปรับปรุงใหม่เพื่อความปลอดภัย

อีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่ได้รับการแก้ไขคือเรื่องฝาท่อระบายน้ำที่ชำรุดหรือหายไป ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เทศบาลฯ ได้ออกแบบฝาท่อใหม่ให้ยากต่อการโจรกรรม พร้อมคำนึงถึงความคงทนและสะดวกต่อการเปลี่ยนในกรณีที่เกิดความเสียหาย นอกจากนี้ ยังเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบการทำงานของผู้รับเหมา เพื่อให้มั่นใจว่ามาตรฐานด้านความปลอดภัยได้รับการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

ผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่

น้ำท่วมครั้งใหญ่ในจังหวัดเชียงรายได้สร้างความเสียหายให้กับชุมชนอย่างหนัก โดยเฉพาะในพื้นที่ต่ำที่น้ำไหลบ่าลงมาสะสมในระบบระบายน้ำ การฟื้นฟูดังกล่าวเป็นการแก้ไขปัญหาในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

นายวันชัย จงสุทธานามณี กล่าวว่า การฟื้นฟูครั้งนี้ไม่เพียงแค่การขจัดโคลนและเลน แต่ยังรวมถึงการวางแผนแก้ปัญหาเชิงรุก เช่น การตรวจสอบระบบระบายน้ำในพื้นที่เสี่ยง การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน และการวางมาตรการลดผลกระทบจากน้ำท่วมในระยะยาว

ร่วมมือฟื้นฟูชุมชน

นอกจากนี้ เทศบาลฯ ยังได้ร่วมมือกับชุมชนในพื้นที่เพื่อวางแผนการฟื้นฟูที่ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สุขอนามัย และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยชาวบ้านต่างให้ความร่วมมืออย่างดีในการช่วยกันฟื้นฟูชุมชนของตน

การดำเนินการฟื้นฟูครั้งนี้เป็นตัวอย่างที่แสดงถึงความมุ่งมั่นของเทศบาลนครเชียงรายในการพัฒนาชุมชนและสร้างความมั่นคงในพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนสามารถเผชิญกับสถานการณ์ในอนาคตได้อย่างมั่นใจ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

จุฬาฯ ร่วม World Economic Forum เปิดวิสัยทัศน์แรงงานโลก 2573

จุฬาฯ เผยวิสัยทัศน์ Future of Jobs 2025 ชี้ทักษะแห่งอนาคต เตรียมพร้อมคนไทยสู่การแข่งขันระดับโลก

เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ World Economic Forum เปิดตัวรายงาน “The Future of Jobs 2025” เพื่อเสนอแนวทางรับมือการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานในปี 2568-2573 โดย ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงถึงผลสำรวจและข้อแนะนำที่สำคัญเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับแรงงานไทย รายงานนี้อ้างอิงการสำรวจจาก 1,000 บริษัทใน 22 อุตสาหกรรม และพนักงานกว่า 14 ล้านคนใน 55 ประเทศทั่วโลก โดยสรุปข้อมูลสำคัญดังนี้

การเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงาน:

  1. ตำแหน่งงานใหม่ 170 ล้านตำแหน่งจะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม
  2. 92 ล้านตำแหน่งงานจะหายไปเนื่องจากระบบอัตโนมัติและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
  3. การจ้างงานจะเติบโตสุทธิ 7% หรือประมาณ 78 ล้านตำแหน่งทั่วโลก

ปัจจัยเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงานปี 2573:

  1. การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี: AI หุ่นยนต์ และนวัตกรรมพลังงาน
  2. การเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม: ความต้องการพลังงานหมุนเวียนและวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม
  3. ความผันผวนทางเศรษฐกิจ: ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
  4. การเปลี่ยนแปลงด้านประชากร: ผู้สูงอายุในประเทศรายได้สูงและแรงงานในประเทศรายได้ต่ำ
  5. การแบ่งแยกทางเศรษฐกิจ: ข้อจำกัดทางการค้าและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์

ทักษะที่สำคัญแห่งอนาคต:

  • ในประเทศไทย: ทักษะ AI และ Big Data, การคิดเชิงวิเคราะห์, การคิดสร้างสรรค์, ความปลอดภัยทางข้อมูล
  • ระดับโลก: ทักษะการใช้งานเทคโนโลยี, ความคิดสร้างสรรค์, AI และความปลอดภัยทางข้อมูล

กลยุทธ์ 5 ประการ สร้างมนุษย์แห่งอนาคต (Future Human):

  1. Holistic Skill Change: ยกระดับการ Upskill ครบทุกมิติ
  2. Future-Ready Organization: สร้างระบบพัฒนาทักษะในองค์กร
  3. Human Replacement: ใช้ระบบ Automation ทดแทนงานซ้ำซาก
  4. Enhancing Dynamic Work Role: ส่งเสริมบทบาทงานที่ปรับเปลี่ยนได้
  5. Integration of New Technology: ผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อสร้างนวัตกรรม

เป้าหมาย The University of AI:

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตั้งเป้าสู่การเป็น “มหาวิทยาลัยแห่ง AI” พร้อมสร้างคนพันธุ์ใหม่ (Future Human) ที่มีทั้ง AI (Artificial Intelligence) และ II (Instinctual Intelligence) หรือปัญญาสัญชาตญาณ ที่ไม่เพียงเก่งด้านเทคโนโลยี แต่ยังมีหัวใจที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม เพื่อสร้างประโยชน์แก่สังคมและโลกในอนาคต

ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ กล่าวสรุปว่า การเตรียมความพร้อมด้านทักษะแห่งอนาคตจะช่วยยกระดับขีดความสามารถของแรงงานไทย และสร้างความมั่นคงในเศรษฐกิจและสังคมระยะยาว พร้อมสร้างโอกาสให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในเวทีโลกในยุคดิจิทัลนี้.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : World Economic Forum 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

‘นักเรียนจีน’ เลือก ‘ประเทศไทย’ จุดหมายใหม่แห่งการศึกษาอาเซียน

แนวโน้มการศึกษานักเรียนจีนในอาเซียน: ไทยคือจุดหมายปลายทางยอดนิยม

เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 ฐานเศรษฐกิจ รายงานว่า นักเรียนและนักศึกษาชาวจีนจำนวนมากหันมาเลือกศึกษาต่อในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทย เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่จับต้องได้ วัฒนธรรมที่ใกล้ชิด และโอกาสในตลาดงานที่สดใสในอนาคต

การเปลี่ยนแปลงในระบบการศึกษาโลก: อาเซียนกลายเป็นตัวเลือกใหม่

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงของบริบทโลก ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดทางการเมือง วิกฤตเศรษฐกิจ และค่าใช้จ่ายในการศึกษาที่เพิ่มสูงขึ้นในประเทศตะวันตก ได้ทำให้นักเรียนจีนเปลี่ยนจุดหมายปลายทางในการศึกษา โดยภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ได้กลายเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

จากข้อมูลของ AP News พบว่าครอบครัวชาวจีนที่ต้องการหนีจากระบบการศึกษาที่แข่งขันสูงในจีน ได้มองหาทางเลือกใหม่ในไทย โดยในปี 2565 มีนักศึกษาจีนในไทยมากถึง 21,419 คน เพิ่มขึ้นถึง 130% เมื่อเทียบกับ 9,329 คน ในปี 2555 การเพิ่มขึ้นดังกล่าวมาจากระบบการศึกษาที่เปิดกว้าง ค่าเล่าเรียนที่ต่ำกว่า และขั้นตอนการดำเนินการด้านวีซ่าที่ไม่ซับซ้อน

เหตุผลที่อาเซียนเป็นตัวเลือกสำคัญ

  1. ค่าใช้จ่ายที่เข้าถึงได้
    การเรียนระดับปริญญาโทในไทยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 700,000 บาทสำหรับสองปี ซึ่งต่ำกว่าค่าใช้จ่ายในสหรัฐฯ หรือยุโรปที่อยู่ในช่วง 200,000-350,000 หยวนต่อปี
  2. วัฒนธรรมและภูมิศาสตร์ที่ใกล้ชิด
    การศึกษาระดับอุดมศึกษาในอาเซียนลดความกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรงในจีน อีกทั้งนักศึกษาจีนยังรู้สึกถึงความใกล้ชิดทางวัฒนธรรม
  3. กระบวนการด้านวีซ่าที่ง่าย
    การดำเนินการด้านเอกสารในประเทศอาเซียนสะดวกกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศตะวันตก

ตัวเลือกยอดนิยมในอาเซียน

นอกจากประเทศไทยแล้ว มาเลเซียและสิงคโปร์ก็ได้รับความสนใจเช่นกัน โดยในไตรมาสที่สองของปี 2566 มาเลเซียมีนักเรียนจีนสมัครเรียนเพิ่มขึ้นถึง 4,700 คน หรือ 18% จากปีก่อนหน้า ส่วนสิงคโปร์มีนักศึกษาต่างชาติกว่า 73,200 คน โดยครึ่งหนึ่งเป็นนักศึกษาจีน

ค่าใช้จ่ายและปัจจัยสำคัญ

ค่าเล่าเรียนที่จับต้องได้เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภูมิภาคอาเซียนเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ โดยค่าใช้จ่ายสำหรับปริญญาโทในประเทศไทยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 150,000 หยวน หรือประมาณ 700,000 บาท สำหรับระยะเวลา 2 ปี ซึ่งต่ำกว่าค่าใช้จ่ายในสหรัฐฯ ที่เฉลี่ยระหว่าง 200,000-350,000 หยวนต่อปี นอกจากนี้ ความคุ้นเคยทางวัฒนธรรมและความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์ยังช่วยดึงดูดนักเรียนจีน

ข้อจำกัดและความกังวล

แม้จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น แต่ยังมีความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพการศึกษาในภูมิภาคนี้ โดยนักเรียนจีนบางส่วนมองว่าปริญญาจากประเทศในอาเซียนยัง “ไม่แข็งแกร่ง” เทียบเท่ามหาวิทยาลัยในตะวันตก อย่างไรก็ตาม สำหรับนักเรียนจำนวนมาก การได้เรียนรู้ในสภาพแวดล้อมใหม่และการเปิดโลกทัศน์เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า

ความร่วมมือด้านการศึกษา: จีนและอาเซียน

ปี 2567 ถือเป็นปีแห่งการแลกเปลี่ยนประชาชนระหว่างจีนและอาเซียน โดยมีจำนวนผู้เรียนจีนในอาเซียนและนักเรียนอาเซียนในจีนรวมกว่า 175,000 คน ในปี 2566 ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าความร่วมมือด้านการศึกษาไม่เพียงสร้างโอกาสให้กับนักเรียน แต่ยังส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและสังคมระหว่างจีนและอาเซียนในระยะยาว

สรุปแนวโน้มที่เปลี่ยนไป

แม้อาเซียนจะยังไม่ใช่ตัวเลือกอันดับแรกของนักเรียนจีนทุกคน แต่แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบการศึกษาโลก และเปิดโอกาสให้อาเซียนก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการศึกษาระดับนานาชาติในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ฐานเศรษฐกิจ / apnews / sixthtone

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

รองนายกฯ ตรวจชายแดนเชียงราย คุมเข้มยาเสพติด-ค้ามนุษย์

รองนายกฯ ตรวจเยี่ยมหน่วยเรือโขง ย้ำแก้ปัญหายาเสพติด-ค้ามนุษย์เชิงรุก

เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พล.อ.ไตรศักดิ์ อินทรรัสมี เลขานุการ รมว.กลาโหม และ พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง (นรข.) ที่สถานีเรือเชียงของ อ.เชียงของ จ.เชียงราย เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหายาเสพติด ค้ามนุษย์ และอาชญากรรมข้ามชาติในพื้นที่ชายแดน ซึ่งเป็นวาระเร่งด่วนที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี

ตรวจเยี่ยมและวางแผนแก้ปัญหาชายแดน

ภายหลังรับฟังการบรรยายสรุป รองนายกฯ และคณะได้ขึ้นเรือตรวจการณ์เพื่อสำรวจภูมิประเทศและเยี่ยมชมสถานีเรือเชียงแสน ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ตั้งแต่สามเหลี่ยมทองคำถึงบ้านหาดบ้าย รวมระยะทาง 39 กิโลเมตร และสถานีเรือเชียงของที่รับผิดชอบตั้งแต่บ้านหาดบ้ายถึงแก่งผาได รวมระยะทาง 57 กิโลเมตร โดยพื้นที่ดังกล่าวครอบคลุม 34 หมู่บ้านใน 8 ตำบลของ 3 อำเภอ ได้แก่ อ.เชียงแสน อ.เชียงของ และ อ.เวียงแก่น รวมระยะทางตามลำน้ำโขงทั้งหมด 96 กิโลเมตร

ผลการปฏิบัติการในรอบ 3 เดือน

ในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2567 หน่วยงาน นรข. สามารถตรวจยึดยาเสพติดได้กว่า 15 ล้านเม็ด เฮโรอีน 56 กิโลกรัม และไอซ์ 135 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท รวมถึงการตรวจยึดของกลางอื่น ๆ เช่น รถยนต์ บุหรี่ต่างประเทศ รวมมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท และจับกุมผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายได้ 30 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นชาวลาวและจีน

แนวทางแก้ไขปัญหายาเสพติดและอาชญากรรมชายแดน

รองนายกฯ ระบุว่าการปฏิบัติการเชิงรุกจะเน้นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบและสกัดกั้นในพื้นที่ชายแดน โดยมีแผนดำเนินงานแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ

  1. แนวชายแดน: สนธิกำลังระหว่างกองกำลังป้องกันชายแดน ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และหน่วยทหารในพื้นที่
  2. พื้นที่ตอนใน: ประสานงานระหว่างตำรวจ นายอำเภอ ฝ่ายปกครอง และฝ่ายความมั่นคง โดยตั้งจุดตรวจและชุดปฏิบัติการลงพื้นที่

โครงการดังกล่าวจะเริ่ม Kick Off ในวันที่ 30 มกราคม 2568 โดยมีการตั้งเป้าหมายและตัวชี้วัดที่ชัดเจน และจะประเมินผลทุก 6 เดือน เพื่อสร้างความมั่นคงและลดปัญหายาเสพติดในระยะยาว

เป้าหมายปี 2568

รองนายกฯ ย้ำว่าแนวทางการแก้ไขปัญหาจะมุ่งเน้นการป้องกันและปราบปรามเชิงรุก พร้อมสร้างความปลอดภัยและความมั่นคงในพื้นที่ โดยเฉพาะการลดบทบาทของผู้มีอิทธิพลที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด เพื่อให้ประเทศไทยปลอดจากปัญหานี้ในปี 2568

กิจกรรมในครั้งนี้ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหายาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติอย่างจริงจัง โดยได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในพื้นที่ชายแดนทั้งทางบกและทางน้ำ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและยกระดับความมั่นคงของประเทศอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

กสศ.เดินหน้าดัน Thailand Zero Dropout ช่วยเด็กนอกระบบกลับสู่การเรียนรู้

กสศ. จัดสัมมนาพิเศษ ชูแนวทาง “Thailand Zero Dropout” สร้างโอกาสให้เด็กนอกระบบ

เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2568 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้จัดสัมมนาพิเศษในหัวข้อ “Exclusive Seminar ถอดรหัสการช่วยเหลือเด็กนอกระบบ ข้อค้นพบจากชีวิตจริงและปมปัญหาที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันแก้” ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีสื่อมวลชนและผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษาเข้าร่วมฟังข้อค้นพบจากโครงการ “Thailand Zero Dropout” ที่ดำเนินงานในปี 2567 เพื่อกำหนดทิศทางการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในปี 2568

ผลสำเร็จจากโครงการ Thailand Zero Dropout ปี 2567

ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการ กสศ. เปิดเผยว่า ในปี 2567 สามารถติดตามเด็กและเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษากลับเข้าสู่เส้นทางการเรียนรู้ได้จำนวน 304,082 คน จากจำนวนเด็กที่ไม่มีรายชื่อในระบบทั้งหมดกว่า 1 ล้านคน อย่างไรก็ตาม ข้อมูลล่าสุด ณ เดือนธันวาคม 2567 พบว่ายังมีเด็กนอกระบบการศึกษาอยู่กว่า 982,304 คน ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่มอายุ:

  1. เด็กก่อนวัยเรียนภาคบังคับ 279,296 คน
  2. เด็กในวัยเรียนภาคบังคับ 387,591 คน
  3. เด็กหลังวัยเรียนภาคบังคับ 315,417 คน

การแก้ปัญหาต้องเน้นสร้างโอกาสทางการศึกษาให้เด็กและเยาวชนกลับเข้าสู่ระบบการเรียนรู้ พร้อมป้องกันไม่ให้เด็กหลุดออกจากเส้นทางการศึกษากลางคัน

หัวใจของการแก้ปัญหา: ใช้ทั้งสมองและหัวใจ

ดร.ไกรยส ระบุว่า เพราะมองหาจึงมองเห็น” เป็นแนวคิดสำคัญของโครงการ โดยการทำงานต้องใช้ทั้ง การวิเคราะห์ข้อมูล และ ความเข้าใจเชิงลึก ถึงปัญหาที่เด็กแต่ละคนเผชิญ เพื่อสร้างแนวทางที่เหมาะสมกับบริบทชีวิตของเด็ก ทั้งยังเน้นย้ำว่า การศึกษาคือกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหาความยากจนและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

ยูเนสโก ได้ประเมินว่า หากประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมาย “Thailand Zero Dropout” ได้สำเร็จ จะช่วยเพิ่ม GDP ประเทศได้ถึงปีละ 1.7% ซึ่งถือเป็นตัวเลขสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ

มาตรการสำคัญของโครงการ

โครงการใช้กลไกการทำงานเชิงพื้นที่ (Area Based) โดยมี Case Manager หรือผู้ดูแลรายกรณีทำหน้าที่ค้นหาเด็กนอกระบบและเชื่อมโยงกับหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อพาเด็กกลับเข้าสู่การเรียนรู้ สำหรับกลุ่มที่ยังไม่พร้อมจะได้รับการดูแลฟื้นฟูจนสามารถกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาได้ นอกจากนี้ยังมีการขยายรูปแบบการศึกษาให้ยืดหยุ่นและเหมาะสมกับความหลากหลายของเด็ก เช่น

  1. โรงเรียนมือถือ (Mobile School)
  2. การเรียนรู้ผ่านศูนย์การเรียนในท้องถิ่น
  3. การสะสมหน่วยกิตผ่านระบบ Credit Bank
  4. การบูรณาการการเรียนรู้ร่วมกับสถานประกอบการ

มิติที่ซับซ้อนของปัญหาเด็กนอกระบบ

รศ.ดร.ลือชัย ศรีเงินยวง อนุกรรมการ กสศ. กล่าวว่า ปัญหาเด็กนอกระบบการศึกษามีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายด้าน เช่น วงจรครอบครัว ความเหลื่อมล้ำในสังคม หรือปัญหาบาดแผลทางจิตใจ การแก้ไขปัญหาจำเป็นต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน และสร้างพื้นที่ที่เด็กสามารถเข้าถึงได้โดยไม่มีเงื่อนไข

คุณนเรศ สงเคราะห์สุข รองผู้จัดการโครงการฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ระบบการศึกษาต้องปรับตัวให้ยืดหยุ่นมากขึ้น พร้อมสร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” เพื่อรองรับเด็กกลุ่มนี้ในระยะยาว

8 มาตรการสำคัญเพื่อแก้ปัญหาเด็กนอกระบบ

คุณพัฒนพงษ์ สุขมะดัน ผู้ช่วยผู้จัดการ กสศ. ได้สรุปแนวทาง 8 มาตรการที่เป็นหัวใจของโครงการ ได้แก่

  1. สร้างหลักประกันโอกาสทางการศึกษา เช่น ทุนเสมอภาค
  2. ขยายการจัดการศึกษา 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ
  3. จัดตั้งศูนย์การเรียนตามมาตรา 12
  4. ลดอุปสรรคและปรับการเรียนรู้ให้ยืดหยุ่น
  5. สร้างตำบลต้นแบบ Zero Dropout
  6. ใช้เทคโนโลยีช่วยการเรียนรู้ เช่น โรงเรียนมือถือ
  7. พัฒนาระบบสะสมหน่วยกิต (Credit Bank)
  8. บูรณาการเรียนรู้บนเส้นทางอาชีพ

อนาคตของเด็กไทย: ความหวังที่ยั่งยืน

โครงการ “Thailand Zero Dropout” ถือเป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยเปิดโอกาสให้เด็กทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาและพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งจะช่วยสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับทั้งเด็กและประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News