Categories
SOCIETY & POLITICS

คุรุสภายกเลิกสอบ “วิชาเอก” คงเหลือสอบ “วิชาครู” เร่งป้อนกำลังคนเข้าสู่วิชาชีพ

สรุปประเด็นสำคัญ (Key Takeaways)

  • ประชาชนเรียกร้องเร่งด่วนที่สุด: ปรับหลักสูตรให้ทันสมัย-ใช้ได้จริง (44.27%), ลดค่าใช้จ่ายให้เรียนฟรีจริงถึง ม.6 (44.05%), เน้นทักษะกับงานจริง (37.86%), ยกระดับความเท่าเทียม (35.95%)
  • ลดภาระครูคือคันโยกใหญ่: 57.40% มองว่าครูมีภาระงานที่ไม่ใช่งานสอนมากเกินไป และกว่า 80% เชื่อว่าการลดภาระช่วยพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้จริง
  • ก.ค.ศ. ปรับเกณฑ์วิทยฐานะ: ยึด “ผลงานเชิงประจักษ์” แทนงานวิจัยในหลายกรณี, ยกระดับกระบวนการประเมินผ่านระบบ DPA, กำหนดมาตรฐานงานวิจัยเชี่ยวชาญพิเศษให้พิมพ์ในวารสารที่มี peer-review
  • TRS ยืดหยุ่น-ลดต้นทุน: เปิดให้ระบุได้ 3 วิชาเอกต่อ 1 อัตราว่าง ลดค่าใช้จ่ายเอกสารรวมครูราว 14–21 ล้านบาท/ปี
  • คุรุสภา “ยกเลิกสอบวิชาเอก”: คงสอบเฉพาะ “วิชาครู”, เปิด “7 โมดูล” ขอ P-License ชั่วคราวให้ครูใหม่เข้าสู่ระบบเร็วขึ้น แต่ต้องออกแบบการเปลี่ยนผ่านให้เป็นธรรมต่อผู้ที่เคยสอบผ่านเกณฑ์เดิม

ปฏิรูปการศึกษาไทยเร่งเครื่อง นิด้าโพลชี้ “หลักสูตรล้าสมัย–ค่าใช้จ่ายแฝง” ขณะแกนกลางนโยบายขยับพร้อมกัน—ก.ค.ศ. ลดภาระครู–ยกระดับวิทยฐานะเชิงประจักษ์ คุรุสภายกเลิกสอบวิชาเอก จัด 7 โมดูล P-License

ประเทศไทย, 30 ตุลาคม 2568 — เสียงประชาชนต้องการ “ปรับหลักสูตร–ลดค่าเทอม” ทำทันที มากกว่า 44% สอดรับมติสำคัญ 30 ต.ค. 2568 ที่ขยับทั้งสมรรถนะครู ระบบย้ายครู และใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ แนวทางใหม่ถูกยกให้ลดภาระและเพิ่มความคล่องตัว แต่สังคมยังถกเถียงเรื่องมาตรฐานทางวิชาการและมาตรการเยียวยาผู้ที่ผ่านการสอบวิชาเอกเดิม

 สัญญาณการปฏิรูปการศึกษาไทยเดินหน้าเป็นรูปธรรม เมื่อผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนโดย “นิด้าโพล ร่วมกับ Thailand Education Partnership (TEP)” ระหว่างวันที่ 17–21 ตุลาคม 2568 ชี้ชัด “หลักสูตรไม่ทันสมัย” และ “ขาดทักษะทำงาน” เป็นปัญหาเร่งด่วน ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ภายใต้การนำของ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เร่งเครื่องสองแนวรุกพร้อมกัน—คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ปรับเกณฑ์วิทยฐานะแบบยึดผลงานเชิงประจักษ์และลดภาระเอกสาร พร้อมยกระดับระบบย้ายครู (TRS) ให้ยืดหยุ่น ส่วนคุรุสภา “ยกเลิกสอบวิชาเอก” คงเฉพาะ “วิชาครู” และจัดหลักสูตร 7 โมดูลเพื่อขอใบอนุญาตชั่วคราว (P-License) เพื่อเปิดทางให้ครูรุ่นใหม่เข้าสู่ระบบเร็วขึ้น

เสียงของประชาชนต่อการศึกษาไทย

ผลสำรวจ “ต้อนรับรัฐบาลใหม่ แก้ปัญหาการศึกษาไทย” จากกลุ่มตัวอย่าง 1,310 คนทั่วประเทศ สะท้อนภาพความคาดหวังที่ชัดเจนต่อรัฐบาลชุดใหม่ โดยปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข 3 อันดับแรก ได้แก่ (1) หลักสูตรล้าสมัย ไม่ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน ร้อยละ 49.31 (2) หลักสูตรขาดการฝึกทักษะและประสบการณ์สำหรับการทำงานจริง ร้อยละ 48.09 และ (3) ความปลอดภัยในโรงเรียน (บูลลี่ การล่วงละเมิด ยาเสพติด แก๊งเด็กเกเร) ร้อยละ 38.78 ขณะเดียวกัน ประเด็น “คุณภาพโรงเรียน/ครูไม่เท่ากัน” (ร้อยละ 37.33) และ “เรียนฟรีไม่มีจริงเพราะมีค่าใช้จ่ายแฝง” (ร้อยละ 31.30) ถูกยกเป็นปัญหาหนักต่อความเสมอภาคและภาระครัวเรือน

สิ่งที่ประชาชนอยากให้รัฐบาลทำ “ทันที” สะท้อนความเป็นรูปธรรมสองด้าน ได้แก่ “ปรับหลักสูตร–การเรียนรู้ให้ทันสมัย ใช้ได้จริง” ร้อยละ 44.27 และ “ลดค่าใช้จ่ายทางการศึกษา ให้เรียนฟรีจริงถึง ม.6” ร้อยละ 44.05 ตามด้วย “เน้นฝึกทักษะเพื่อการทำงานจริง” ร้อยละ 37.86 และ “เพิ่มโอกาส–ความเท่าเทียมทางการศึกษา” ร้อยละ 35.95 ประชาชนกว่าร้อยละ 80 เชื่อว่าการลดภาระงานที่มิใช่งานสอนของครูจะช่วยขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษา โดยร้อยละ 55.19 ระบุ “ช่วยได้มากแน่นอน” และร้อยละ 25.50 ระบุ “ค่อนข้างช่วยได้”

ด้านความรู้สึกต่อรัฐบาลชุดใหม่ในการแก้ปัญหาการศึกษา สังคมยัง “หวังแบบระแวดระวัง” ร้อยละ 30.84 ระบุ “กังวลแต่ยังมีความหวัง” ขณะที่ร้อยละ 25.11 ระบุ “ไม่กังวลแต่ไม่มีความหวัง” และร้อยละ 21.99 ระบุ “ไม่กังวลและมีความหวัง” สัญญาณนี้ชี้ว่าประชาชนพร้อม “ให้โอกาส” แต่จะติดตาม “ผลลัพธ์จริง” อย่างใกล้ชิด

มติก.ค.ศ.—วิทยฐานะเชิงประจักษ์ ลดภาระงานครู และ TRS ยืดหยุ่น

เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมก.ค.ศ. ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน มีมติสำคัญเพื่อลดภาระงาน บูรณาการเกณฑ์วิทยฐานะให้ยึด “ผลการปฏิบัติหน้าที่/ผลงานเชิงประจักษ์” เป็นฐานหลัก มากกว่าการ “ผลิตงานวิจัย” เป็นรายชิ้น ดังสรุปสาระสำคัญดังนี้

  • โครงสร้างผลงานทางวิชาการ แบ่ง 2 ประเภท ได้แก่ (1) รายงานการสร้าง/พัฒนานวัตกรรมเชิงประจักษ์ และ (2) รายงานการวิจัย (กรณีทำร่วมต้องมีส่วนร่วม ≥60%)
  • วิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ หากเสนอเป็นงานวิจัย ต้องตีพิมพ์ในวารสารที่ผ่าน peer-review ในฐานข้อมูล TCI กลุ่ม 1 หรือ 2 หรือฐานข้อมูลวิชาการนานาชาติ
  • ระบบประเมินด้านที่ 3 (ผลงานทางวิชาการ) ผ่าน DPA ปรับกระบวนการเป็นความลับ โปร่งใส และมีคณะกรรมการ 3 คน พร้อมประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
  • วันมีผลใช้บังคับ ส่วนใหญ่ (ว 9–11/2564 และ ว 18/2567) เริ่ม 16 พฤษภาคม 2569 ส่วนการแก้ไข ว 12/2564 เริ่ม 1 ธันวาคม 2568 โดยคำขอที่ยื่นไปก่อนยังให้เดินตามหลักเกณฑ์เดิมจนแล้วเสร็จ

ขนานไปกับเกณฑ์วิทยฐานะ ก.ค.ศ. เห็นชอบแนวทางพัฒนา ระบบย้ายครู TRS ระยะที่ 3 เพื่อเพิ่มโอกาสการย้าย ลดต้นทุนเอกสาร และจัดคนให้เหมาะสมกับงานมากขึ้น โดยปรับ “ความยืดหยุ่นของตำแหน่งว่าง” จากเดิม 1 วิชาเอก/อัตราว่าง เป็น “ระบุกลุ่มวิชา/ทาง/สาขาวิชาเอก” ได้สูงสุด 3 สาขา/อัตราว่าง ช่วยให้โรงเรียนเติมเต็มครูครบชั้น ครบวิชา สอดรับบริบทพื้นที่ นอกจากนี้ การทำคำร้องย้ายกว่า 70,000 คำร้อง/ปี จะลดค่าใช้จ่ายรวมราว 14–21 ล้านบาท/ปี จากการใช้ดิจิทัลสนับสนุนแทนเอกสารแบบเดิม

ในเชิงนโยบาย มติก.ค.ศ. สอดรับผลสำรวจที่สะท้อนว่าครู “แบกภาระงานนอกสอนมากเกินไป” (ร้อยละ 57.40) โดยการปรับเกณฑ์และระบบงานบุคคลที่ยึด “ผลงานจริง” และ “การใช้เทคโนโลยี” อาจช่วยคืนเวลาให้ครูได้โฟกัสกับการสอนและพัฒนาผู้เรียนมากขึ้น

มติคุรุสภา—ยกเลิกสอบวิชาเอก คงเฉพาะ “วิชาครู” และ 7 โมดูล P-License

ในวันเดียวกัน คุรุสภามีมติซึ่งถือเป็น “การปรับเชิงระบบ” ที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายปี โดย ยกเลิกการสอบวิชาเอก และคงไว้เฉพาะการสอบ “วิชาครู” มีผลตั้งแต่สนามสอบเดือน มกราคม 2569 เป็นต้นไป เหตุผลสำคัญคือการลดภาระผู้เข้าสอบและทำให้การทดสอบ “ตรงประเด็น” มากขึ้น ในขณะที่มาตรฐานความรู้วิชาเอกให้พึ่งพา “ระบบประกันคุณภาพของมหาวิทยาลัย” ภายใต้กำกับของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และการคัดกรองภายหลังผ่านสนามสอบบรรจุครูผู้ช่วย

ควบคู่กัน คุรุสภาจะจัดทำ หลักสูตร “7 โมดูล” เพื่อขอ ใบอนุญาตปฏิบัติหน้าที่ครู (P-License) ซึ่งเป็นใบอนุญาตชั่วคราวสำหรับผู้จบหลักสูตรที่คุรุสภารับรองแล้วแต่ยังไม่ผ่านเกณฑ์ทดสอบสมรรถนะ ทั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อ “เปิดทางวิชาชีพครูรุ่นใหม่” ให้เข้าสู่ห้องเรียนเร็วขึ้น สอดรับโจทย์ความขาดแคลนครูในบางกลุ่มวิชา และใช้ช่วงเวลาปฏิบัติการเป็น “สะพาน” เตรียมความพร้อมก่อนยื่นขอใบอนุญาตถาวร

มติดังกล่าวตามมาด้วยการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการประเมินมาตรฐานวิชาชีพ และการรับรองคุณวุฒิ/หลักสูตรของสถาบันการศึกษาจำนวนหนึ่ง เพื่อให้ห่วงโซ่การผลิตครูสอดคล้องกับทิศทางใหม่ทั้งเชิงมาตรฐานและตลาดแรงงาน

ปฏิกิริยาและข้อถกเถียง มาตรฐาน–ความเป็นธรรม–การเยียวยา

แม้มติ “ยกเลิกสอบวิชาเอก” จะได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่เห็นว่าช่วยลดภาระและซ้ำซ้อนของระบบเดิม แต่แรงสะท้อนจากผู้เข้าสอบบางรุ่น—โดยเฉพาะกลุ่มที่ผ่านวิชาเอกมาแล้ว (“รุ่น 66”)—สะท้อน “ความค้างคาใจ” และคำถามเรื่องความเสมอภาคของผู้ที่ลงทุนทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายไปกับการสอบเดิม ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาชีพครูอย่าง รศ.ดร.สมบัติ นพรัก ก็ชี้ให้เห็น “เหตุผลด้านสมรรถนะวิชาชีพ” ว่าความรู้เฉพาะทางของวิชาเอกเป็นรากฐานที่จะส่งผลต่อคุณภาพการสอนและผลลัพธ์ผู้เรียน จึงควรมีระบบประกันคุณภาพที่เข้มแข็งและเป็นที่ยอมรับ

ในเชิงนโยบาย คำถามที่ท้าทายมีอย่างน้อยสามมิติ

  1. มาตรฐานทางวิชาการ: เมื่อ “วิชาเอก” ไม่ใช่สนามสอบกลาง สิ่งทดแทนคืออะไร?—คำตอบหนึ่งคือ “ระบบประกันคุณภาพมหาวิทยาลัย” และ “สนามบรรจุครูผู้ช่วย” จะต้องเข้มข้น โปร่งใส และอธิบายได้ว่าควบคุมคุณภาพเชิงเนื้อหาเพียงพอ
  2. ความเป็นธรรมและการเยียวยา: กลุ่มที่ผ่านวิชาเอกเดิมควรได้รับการชดเชยหรือเทียบโอนคุณค่า (recognition) อย่างไร เพื่อไม่ให้ “ภาระที่ได้จ่ายไปแล้ว” กลายเป็น “ต้นทุนจม” ทางนโยบาย
  3. การสื่อสารสาธารณะ: เมื่อสังคม “กังวลแต่ยังมีความหวัง” ภาครัฐจำเป็นต้องจัดทำคำอธิบายนโยบายอย่างเป็นระบบ มี “ไทม์ไลน์–คู่มือ–FAQ” ที่ตอบคำถามเชิงปฏิบัติ เพื่อให้ผู้เรียน ผู้สอน และผู้บริหารสถานศึกษาปรับตัวทันเวลา

ผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders)

  • ครูในระบบ: การประเมินวิทยฐานะที่ยึด “ผลงานเชิงประจักษ์” ช่วยเปิดพื้นที่ให้ครูที่ทำงานกับผู้เรียนจริงได้สะท้อนคุณค่าการทำงานผ่านนวัตกรรมชั้นเรียน/การพัฒนาคุณภาพผู้เรียน แทนการต้องจัดทำงานวิจัยรูปแบบเดิม ลดภาระงานเอกสาร และทำให้ “เวลาสอน” กลับมาเป็นหัวใจ
  • ครูรุ่นใหม่/ผู้จบใหม่: การมี P-License 7 โมดูล ทำให้เข้าสู่ระบบงานสอนได้เร็วขึ้น มีเวลาพัฒนาทักษะบนเวทีจริง แต่ต้องแลกกับวินัยตนเองในการสะสมสมรรถนะเพื่อขอใบอนุญาตถาวรในอนาคต
  • มหาวิทยาลัย/สถาบันผลิตครู: บทบาท “แนวหน้า” ด้านประกันคุณภาพความรู้วิชาเอกจะเพิ่มขึ้น ต้องทำให้มาตรฐาน หลักสูตร และการประเมินผล “ตรวจสอบได้–เปรียบเทียบกันได้” และสอดรับตลาดแรงงาน
  • ผู้ปกครอง/นักเรียน: คาดหวัง “คุณภาพในห้องเรียน” ที่สัมผัสได้—ความปลอดภัย บรรยากาศการเรียนรู้ และทักษะเพื่ออนาคต ขณะเดียวกันยังหวังให้รัฐลดค่าใช้จ่ายแฝงเพื่อทำให้ “เรียนฟรี” เป็นจริงมากขึ้น
  • ผู้กำหนดนโยบาย: ต้องสร้างสมดุลระหว่าง “ลดภาระ” กับ “คงมาตรฐาน” พร้อมระบบติดตามประเมินผล (M&E) ที่วัดผลลัพธ์จริงของผู้เรียนและโรงเรียน และมีฐานข้อมูลสาธารณะให้ตรวจสอบได้

ความเสี่ยง–โอกาส และตัวชี้วัดความสำเร็จ

โอกาส ของแพ็กเกจปฏิรูปคือการทำให้ “เวลาและแรงครู” กลับคืนสู่ห้องเรียน ปรับหลักสูตรให้ทันสมัย เน้นทักษะ และขยายโอกาสการเข้าถึงอย่างเท่าเทียม หากทำสำเร็จ สังคมจะเห็นคุณภาพผู้เรียนที่ “ใช้การได้จริง” ในตลาดแรงงาน พร้อมการลดภาระทางการเงินของครัวเรือน

ความเสี่ยง อยู่ที่ “ช่วงเปลี่ยนผ่าน” หากมาตรการรองรับไม่ชัดเจน อาจเกิดความสับสนในสนามสอบและการรับรองคุณวุฒิ ผลักภาระไปยังสถาบันผลิตครูโดยขาดทรัพยากรสนับสนุน และเกิดความไม่เป็นธรรมต่อผู้ที่ปฏิบัติตามกติกาเดิมแล้วผ่านเกณฑ์ไปก่อนหน้า

ตัวชี้วัด ที่ควรถูกติดตาม ได้แก่

  • เวลาเฉลี่ยที่ครูใช้กับงานสอน/เตรียมสอนต่อสัปดาห์ (ควรเพิ่มขึ้น)
  • สัดส่วน/ตัวอย่าง “ผลงานเชิงประจักษ์” ที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ผู้เรียน (เช่น อัตราการอ่านออกเขียนได้ ระดับชั้นประถม การคิดวิเคราะห์ระดับมัธยม และทักษะอาชีพ/ดิจิทัล)
  • อัตราการย้ายครูที่ตอบโจทย์ “ครบชั้น–ครบวิชา” ภายในจังหวัด/เขต และความพึงพอใจของครูต่อระบบ TRS
  • ค่าใช้จ่ายทางการศึกษาของครัวเรือน (ค่าใช้จ่ายแฝง) และดัชนีความปลอดภัยในโรงเรียน
  • คุณภาพผลการเรียนรู้ที่วัดด้วยการประเมินภายนอกและเส้นทางสู่อาชีพหลังจบการศึกษา

สิ่งที่ต้องจับตา (What to Watch)

  1. คู่มือ–แนวปฏิบัติ–FAQ: ศธ./ก.ค.ศ./คุรุสภาจะสื่อสารชุดเอกสารอธิบายนโยบายอย่างละเอียดทันเวลาเพียงใด
  2. มาตรการเยียวยา/เทียบโอน: จะมีรูปแบบการรับรองคุณค่าแก่ผู้ที่สอบวิชาเอกผ่านแล้วอย่างไร
  3. ความเข้มแข็งของระบบประกันคุณภาพมหาวิทยาลัย: จะตอบโจทย์มาตรฐานความรู้วิชาเอกให้สังคมเชื่อมั่นได้แค่ไหน
  4. หลักสูตร 7 โมดูล P-License: เนื้อหา–กลไกประเมิน–คุณภาพการนิเทศภาคสนาม เพียงพอหรือไม่
  5. ตัวชี้วัดผลลัพธ์ผู้เรียน: ภาคนโยบายจะรายงานข้อมูลผลสัมฤทธิ์เชิงประจักษ์ต่อสาธารณะเป็นระยะอย่างไร

ผลสำรวจสะท้อน “ความต้องการที่ชัดเจน” ของประชาชนให้รัฐ “ปรับหลักสูตร–ลดค่าใช้จ่าย” และ “คืนเวลาให้ครูได้สอน” มติของก.ค.ศ. และคุรุสภาในวันเดียวกันจึงถือเป็นการ “ล็อกทิศ” จากระบบเดิมที่พึ่งพาเอกสารและเส้นทางสอบหลายด่าน ไปสู่ระบบที่ยึด “ผลงานในห้องเรียนจริง” และ “การรับรองคุณภาพโดยสถาบันผลิตครู” อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่จำเป็นต้องมีมาตรการเยียวยาที่เหมาะสมกับผู้ที่ผ่านเกณฑ์เดิม สื่อสารอย่างโปร่งใส และวัดผลด้วยตัวชี้วัดผลลัพธ์ผู้เรียนที่ตรวจสอบได้ เพื่อให้สังคมมั่นใจว่า “ลดภาระ” แล้ว “คุณภาพดีขึ้นจริง” ตามที่ประชาชนคาดหวัง

สถิติสำคัญจากผลสำรวจ (คัดประเด็น)

  • ปัญหาเร่งด่วน: หลักสูตรล้าสมัย 49.31% | ขาดทักษะทำงานจริง 48.09% | ความปลอดภัยในโรงเรียน 38.78%
  • สิ่งที่อยากให้ทำทันที: ปรับหลักสูตร–ใช้ได้จริง 44.27% | ลดค่าใช้จ่าย–เรียนฟรีจริงถึง ม.6 44.05% | เน้นฝึกทักษะเพื่อการทำงาน 37.86%
  • ภาระครู: ประชาชน 57.40% เห็นว่าครูมีภาระงานอื่นมากเกินไป | กว่า 80% เชื่อว่าลดภาระช่วยคุณภาพการศึกษา
  • ความรู้สึกต่อรัฐบาล: “กังวลแต่ยังมีหวัง” 30.84% | “ไม่กังวลแต่ไม่มีความหวัง” 25.11% | “ไม่กังวลและมีความหวัง” 21.99%
  • TRS และต้นทุน: คำร้องย้ายเฉลี่ย ~70,000 เรื่อง/ปี | ลดค่าใช้จ่ายโดยรวม ~14–21 ล้านบาท/ปี หลังใช้ดิจิทัล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ร่วมกับ ภาคีเครือข่ายเพื่อการศึกษาไทย (Thailand Education Partnership – TEP
  • กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)
  •  คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.
  • รศ.ดร.สมบัติ นพรัก
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

จากถุงยางถึงตัวเลขผลงาน สปสช. ชี้แจงปมงบประมาณ ย้ำ NGO คือแขนขาเข้าถึงกลุ่มเสี่ยง HIV

สปสช. แจงปม “ถุงยางอนามัย-ตัวเลขผลงาน” หลังถูกตั้งคำถามเรื่องงบประมาณและความโปร่งใส ย้ำจัดซื้อผ่านองค์การเภสัชกรรม ราคาต่อชิ้นถูกลง เน้นเข้าถึงกลุ่มเสี่ยงเอชไอวีเชิงรุกในชุมชน

เชียงราย,29 ตุลาคม 2568 – เรื่องเริ่มจากข้อความที่เผยแพร่โดย นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ ซึ่งตั้งคำถามต่อสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ว่ามี “บัญชีเงินสวัสดิการ” หรือบัญชีงบประมาณที่ใช้จ่ายจริงเกี่ยวกับการจัดซื้อถุงยางอนามัยหรือไม่ พร้อมระบุถึงความเป็นไปได้ของ “ถุงยางอนามัยเหลือในคลัง” จากการจัดซื้อในปริมาณสูงต่อเนื่องทุกปี ขณะที่ยอดแจกจริงต่ำกว่าจำนวนเป้าหมายอย่างมีนัยสำคัญ

ข้อสงสัยของ นพ.เอกภพ มีหลายชั้น โดยสามารถสรุปได้ดังนี้

  1. ปริมาณจัดซื้อ – เท่าเดิมทุกปีจริงหรือไม่
    นพ.เอกภพระบุว่า สปสช. ตั้งเป้าจัดซื้อถุงยางอนามัยจำนวน 94,566,600 ชิ้น ขณะที่รายงานประจำปีของ สปสช. ระบุว่ามีการแจกจ่ายไปจริง 42,814,800 ชิ้น หรือไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเป้าหมาย เขาตั้งคำถามว่า หากจัดซื้อในปริมาณสูงทุกปีและแจกได้เพียงบางส่วน แสดงว่ามีถุงยางเหลือสะสมในคลังกลางทุกปีหรือไม่ และถ้ามีเหลือ สปสช.ยังจัดซื้อซ้ำด้วยปริมาณเดิมไปเพื่ออะไร
  2. ราคาและต้นทุน
    นพ.เอกภพอ้างอิงข้อมูลราคาจากระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (e-GP) ว่าโรงพยาบาลบางแห่งจัดซื้อถุงยางอนามัยได้ในราคาประมาณ 2 บาทต่อชิ้น แต่ไม่พบข้อมูลราคาการจัดซื้อของ สปสช. ที่จัดซื้อในภาพรวมระดับประเทศผ่านองค์การเภสัชกรรม (อภ.) อย่างชัดเจน จึงตั้งคำถามว่า ถ้าคิดเฉพาะจำนวนที่แจก 42,814,800 ชิ้น และใช้ราคา 2 บาทต่อชิ้น จะเท่ากับงบประมาณอย่างน้อยราว 85,629,600 บาท ยังไม่รวม “ค่าแจกถุงยาง” “ค่าให้คำปรึกษา” “ค่าคัดกรอง” หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
  3. การกระจายงบประมาณ
    นพ.เอกภพยังตั้งข้อสงสัยว่า เงินประมาณ 60% ในระบบให้คำปรึกษาและคัดกรองความเสี่ยงด้านเอชไอวีถูกจ่ายให้แก่องค์กรที่ไม่ใช่หน่วยบริการสุขภาพของรัฐ เช่น เอ็นจีโอ มูลนิธิ หรือกลุ่มบุคคล เขาตั้งประเด็นต่อว่า การจ่ายเงินให้หน่วยงานนอกระบบบริการปกติเช่นนี้ ตรวจสอบได้มากน้อยเพียงใด มีการประเมินผลที่น่าเชื่อถือหรือไม่ และสอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายหลักประกันสุขภาพหรือไม่

ประเด็นสุดท้ายที่จุดกระแสความสนใจอย่างหนัก คือ “ตัวเลขผลงานที่เปลี่ยนไป” โดย นพ.เอกภพระบุว่า รายงานผลการดำเนินงานฉบับหนึ่งของ สปสช. ระบุปริมาณการให้คำปรึกษาเลิกบุหรี่ทางโทรศัพท์ไว้ที่ 48,672 ครั้ง แต่ในรายงานฉบับภายหลัง (อ้างอิงข้อมูลจากวันที่เดียวกัน แหล่งเดียวกัน) ตัวเลขกลับเพิ่มเป็น 169,610 ครั้ง เขาตั้งคำถามว่า ตัวเลขใดถูกใช้เป็นฐานเบิกงบ? ตัวเลขใดถูกใช้รายงานต่อสาธารณะ? และหากตัวเลขเปลี่ยนหลังถูกวิจารณ์ แสดงว่ามีการปรับข้อมูลย้อนหลังหรือไม่

คำถามทั้งหมดทำให้ สปสช. ต้องออกมาชี้แจงอย่างเป็นทางการ

สปสช. โต้ทุกประเด็น “ข้อมูลคลาดเคลื่อน” – ยืนยันจัดซื้อตามความต้องการจริง ไม่ได้ซื้อทับซ้อน และปี 2567 ไม่ได้จัดซื้อเพิ่ม

ทันตแพทย์อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการและโฆษก สปสช. ชี้แจงว่า ข้อมูลที่ถูกนำไปเผยแพร่มีความคลาดเคลื่อนหลายส่วน โดยเฉพาะความเข้าใจว่าการจัดซื้อถุงยางอนามัยของ สปสช. ทำในปริมาณ “เท่าเดิมทุกปีโดยอัตโนมัติ” ซึ่งโฆษก สปสช. ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง

ตามคำชี้แจง กระบวนการจัดซื้อเป็นดังนี้

  1. สปสช. ไม่ได้จัดซื้อเองโดยตรงในเชิงปฏิบัติ แต่ “มอบหมายให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) เป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อรวมในระดับประเทศ”
    การจัดซื้อรวมลักษณะนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์มาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศในราคาที่เหมาะสม และลดความซ้ำซ้อนการจัดซื้อรายหน่วยบริการ นอกจากนี้ อภ. จะจัดซื้อถุงยางอนามัยทั้ง 4 ขนาด คือ 49, 52, 54 และ 56 มิลลิเมตร เพื่อรองรับการใช้งานจริงของประชากรหลากหลายกลุ่ม
  2. “ปริมาณจัดซื้อทุกปีไม่ได้ตั้งต้นที่ตัวเลขเดิม”
    โฆษก สปสช. ระบุว่า สปสช. จะประเมินความต้องการก่อนการจัดซื้อทุกครั้ง โดยใช้ 3 ปัจจัยหลัก
  • การคาดการณ์ความต้องการใช้ถุงยางตามข้อมูลผู้เชี่ยวชาญทางระบาดวิทยาและนโยบายสุขภาพเชิงป้องกันของปีนั้น
  • ข้อมูลผลงานบริการจริงในปีที่ผ่านมา เช่น อัตราการแจกจ่ายและอัตราการเข้าถึงกลุ่มเสี่ยง
  • ปริมาณคงเหลือใน “คลังกลาง” (สต็อก) ซึ่งจะถูกนำมาหักออกจากความต้องการ เพื่อป้องกันการจัดซื้อเกินจำเป็น

กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากมีของคงเหลือมาก สปสช. จะจัดซื้อให้น้อยลงหรืออาจไม่จัดซื้อเพิ่มเติมในปีถัดไป

  1. ราคาต่อหน่วยต่ำกว่าที่หลายฝ่ายคาด
    สปสช. ชี้แจงว่า การจัดซื้อถุงยางอนามัยในปีงบประมาณ 2565 และ 2566 มีจำนวนรวม 126.4 ล้านชิ้น ด้วยราคากลางเฉลี่ยประมาณ 1.2 บาทต่อชิ้น ซึ่งต่ำกว่าราคาที่กรมควบคุมโรคเคยจัดหาในอดีต
    การซื้อรวมผ่าน อภ. ช่วยต่อรองราคาให้ต่ำลง ซึ่ง สปสช. ระบุว่านี่คือการใช้เงินของประชาชน “อย่างคุ้มค่า”
  2. ปี 2567 ไม่ได้จัดซื้อใหม่
    โฆษก สปสช. ย้ำชัดว่า “ปีงบประมาณ 2567 ไม่มีการจัดหาถุงยางอนามัยเพิ่มเติม” เนื่องจากมีจำนวนคงเหลือเพียงพอจากรอบก่อนหน้า
    คำชี้แจงข้อนี้ตอบโจทย์ข้อสงสัยสำคัญของสังคม หากมีของเหลือในคลังกลางเพียงพอ ทำไมรัฐยังต้องใช้เงินซื้อเพิ่มทับซ้อนในปีถัดไป ซึ่ง สปสช. ระบุว่าไม่ได้ซื้อเพิ่มในปี 2567
  3. ทำไมบางปีรัฐต้องจัดซื้อเพิ่มขึ้นอย่างมาก
    ประเด็นนี้ สปสช. ให้เหตุผลเชิงโครงสร้างมากกว่าการตอบเชิงบัญชีตัวเลข โดยอธิบายว่า การจัดซื้อในปี 2565 มีความจำเป็นต้องขยายปริมาณ เพราะหน่วยงานอื่นที่เคยเป็นผู้จัดหาและกระจายถุงยางอนามัยให้ประชาชนหยุดบทบาทลง ทั้งกรมควบคุมโรค (ที่เคยจัดซื้อราว 12 ล้านชิ้น), สำนักอนามัยกรุงเทพมหานคร (ประมาณ 4 ล้านชิ้น) และกองทุนโลก (Global Fund) อีกราว 10 ล้านชิ้น

เมื่อ “ผู้เล่นเดิม” หยุดจ่าย สปสช. จึงต้องรับบทบาทแทน เพื่อไม่ให้ช่องว่างการเข้าถึงการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มเสี่ยงเกิดขึ้น

ตัวเลขสากลยังถูกนำมาอ้างอิงในเชิงยุทธศาสตร์สาธารณสุข โฆษก สปสช. ระบุว่า UNAIDS (โครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ) ประเมินว่าประเทศไทยควรมีการจัดหาถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันเชื้อ HIV ราว 200 ล้านชิ้นต่อปี ซึ่งสะท้อนมาตรฐานเชิงสาธารณสุขเชิงป้องกัน ไม่ใช่แค่ตัวเลขงบประมาณ

ในจุดนี้ สปสช. พยายามสื่อสารว่า การจัดซื้อถุงยางอนามัยไม่ใช่เรื่อง “ซื้อเยอะ-แจกไม่หมด” อย่างที่ถูกตั้งคำถามเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่อง “ปิดช่องโหว่ของระบบป้องกันโรค” เมื่อหน่วยงานเดิมหยุดสนับสนุน

โฆษก สปสช. กล่าวย้ำว่า “การจัดซื้อถุงยางอนามัยของ สปสช. ไม่ได้ทำจำนวนเท่าเดิมทุกปี แต่มีการประเมินยอดคงเหลือก่อนทุกครั้ง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน”

NGOs กับงานเชิงรุก ช่องทางป้องกัน HIV ที่ สปสช. บอกว่าระบบปกติทำแทบไม่ได้

อีกจุดที่ นพ.เอกภพ หยิบขึ้นมาวิจารณ์อย่างหนัก คือการจ่ายเงินชดเชยค่าบริการให้แก่องค์กรภาคประชาชนหรือ NGO ในการทำงานลงพื้นที่เชิงรุก เช่น การให้คำปรึกษา การคัดกรองการติดเชื้อเอชไอวี การจ่ายถุงยางอนามัย การให้ยาป้องกันก่อนสัมผัสเชื้อ HIV (PrEP) หรือหลังสัมผัสเชื้อ HIV (PEP)

เขาตั้งข้อสงสัยว่า การจ่ายเงินลักษณะนี้ “เป็นการจ่ายออกไปนอกหน่วยบริการปกติ” ซึ่งอาจไม่โปร่งใส และตรวจสอบยากกว่าการจ่ายตรงให้โรงพยาบาลและ รพ.สต. (สถานีอนามัย/หน่วยบริการสุขภาพระดับตำบล)

สปสช. ตอบกลับในเชิงยุทธศาสตร์สาธารณสุขว่า บริการเชิงรุกเหล่านี้คือหัวใจสำคัญของการ “ค้นหาและเข้าถึงกลุ่มเสี่ยง” ที่มักไม่เข้ามาหาที่โรงพยาบาลด้วยตัวเอง เช่น กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย กลุ่มวัยรุ่นที่ยังไม่เปิดเผยตัวตนทางเพศ กลุ่มแรงงานบริการบางประเภท หรือกลุ่มที่กังวลเรื่องการตีตราทางสังคม

โฆษก สปสช. ระบุข้อมูลดังนี้

  • งบประมาณรวมด้านบริการสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์อยู่ที่กว่า 4,000 ล้านบาทต่อปี
  • ในจำนวนนี้ ราว 3,000 ล้านบาท (ประมาณร้อยละ 83) เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการรักษาโดยตรง เช่น ค่ายาและค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ
  • อีกประมาณ 600 ล้านบาท (ร้อยละ 16.3) เป็นงบเชิงป้องกัน เพื่อควบคุมการติดเชื้อรายใหม่

เงินกลุ่มที่สองนี่เองที่ถูกใช้สนับสนุนรูปแบบบริการเชิงรุก ซึ่งรวมถึงการทำงานขององค์กรภาคประชาชน

สปสช. ให้เหตุผลว่า

  1. องค์กรภาคประชาชนที่ได้รับการชดเชยต้องผ่านการอบรมและได้รับการรับรองมาตรฐานจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ไม่ใช่องค์กรลอยตัว
  2. บริการเชิงรุกนอกสถานบริการทำให้เข้าถึงกลุ่มเสี่ยงได้ถึงร้อยละ 84 ของประชากรเป้าหมายทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าการรอรับที่โรงพยาบาล
  3. งบดำเนินการของกลไกเชิงรุกนี้คิดเป็นเพียงประมาณร้อยละ 5.9 ของงบภาพรวม

กล่าวอีกนัยหนึ่ง สปสช. มองบทบาท NGO ไม่ใช่ “คู่สัญญารับงบ” แต่เป็น “แขนขาเชิงพื้นที่ของระบบสาธารณสุข” ในกลุ่มที่ระบบปกติเอื้อมไม่ถึง และเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการยุติปัญหาเอดส์ พ.ศ. 2560 – 2573 ซึ่งระบุถึงความจำเป็นในการลดการติดเชื้อรายใหม่ และป้องกันการแพร่เชื้อในชุมชนที่เข้าถึงยาก

ประเด็นนี้จึงสะท้อนความต่างเชิงมุมมองอย่างชัดเจน

  • ฝั่งผู้ตั้งคำถาม มองเรื่อง “ความถูกต้องตามกรอบกฎหมายหลักประกันสุขภาพ / ความโปร่งใสในการจ่ายเงิน”
  • ฝั่ง สปสช. มองเรื่อง “ประสิทธิภาพเชิงสาธารณสุขในการเข้าถึงกลุ่มเสี่ยง” และอ้างกรอบยุทธศาสตร์ชาติด้านเอดส์มารองรับ

อย่างไรก็ดี นพ.เอกภพยังตั้งข้อสังเกตในมิติความโปร่งใส ว่าในบางกรณีองค์กรที่ได้รับงบประมาณจำนวนหลายสิบล้านบาทต่อปี เช่น การทำสายด่วนเลิกบุหรี่ กลับไม่มีเว็บไซต์ ไม่มีช่องทางสื่อสารสาธารณะชัดเจน และไม่มีรายงานประจำปีที่เผยแพร่อย่างกว้างขวาง เขาย้ำว่าประเด็นนี้สำคัญมาก เพราะ “ตัวเลขผลงาน” ของบริการเหล่านี้ถูกนำไปใช้เป็นฐานเบิกงบประมาณจาก สปสช.

นี่คืออีกปมหนึ่งที่ยังไม่ได้คลี่คลายในการชี้แจงปัจจุบัน และยังเป็นคำถามสาธารณะต่อไป

ปมกฎหมาย อำนาจ สปสช. ในการจ่ายเงินให้องค์กรนอกหน่วยบริการปกติ

นอกจากตัวเลขและความคุ้มค่าทางงบประมาณแล้ว นพ.เอกภพยังได้เชื่อมประเด็นเข้าสู่กรอบกฎหมาย โดยระบุว่า การจ่ายเงินให้องค์กรชุมชนหรือมูลนิธิ “อาจไม่สามารถทำได้” หากยึดตามถ้อยคำในพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เนื่องจาก พ.ร.บ. ฉบับนี้ออกแบบมาเพื่อให้ สปสช. จัดสรรงบประมาณแก่ “หน่วยบริการ” ที่ขึ้นทะเบียนในระบบ (เช่น โรงพยาบาล คลินิก หน่วยบริการสาธารณสุข) ไม่ใช่องค์กรชุมชนทั่วไป

เขาระบุว่า เหตุผลที่ สปสช. สามารถอนุมัติการจ่ายงบให้องค์กรภาคประชาชนได้ มาจากคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 37/2559 ซึ่งเป็นคำสั่งในยุค คสช. ที่ขยายขอบเขตการใช้งบประมาณในลักษณะนี้ รวมถึงคำสั่งที่ 41/2560 ที่ให้อำนาจ สปสช. จัดซื้อยาได้โดยตรง

ในมุมของ นพ.เอกภพ คำถามจึงไม่ใช่แค่ว่า “จ่ายเงินถูกหรือผิด” แต่คือ “เราจะยังควรใช้คำสั่ง คสช. เป็นฐานอำนาจทางงบประมาณด้านสุขภาพต่อไปอีกหรือไม่” เพราะหากยกเลิกคำสั่งเหล่านี้ งบประมาณที่ปัจจุบันจ่ายให้องค์กรภาคประชาชนและโครงการจัดซื้อยาบางส่วน อาจถูกส่งตรงสู่โรงพยาบาลภาครัฐเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งเขาประเมินรวมกันว่าอาจสูงถึง 30,000 ล้านบาท

จุดนี้สะท้อนการปะทะกันของสองภาพใหญ่ ภาพแรก: ระบบสุขภาพที่พยายาม “ยืดแขน” ไปถึงชุมชน ผ่านการใช้เครือข่ายภาคประชาชน ภาพที่สอง: ระบบงบประมาณภาครัฐที่ต้องตอบคำถามต่อสังคมในภาษา “ความถูกต้องตามกฎหมาย-การตรวจสอบได้-ความโปร่งใส” และนี่คือจุดที่ความขัดแย้งเชิงข้อมูลอาจลุกลามไปสู่ความขัดแย้งเชิงนโยบายในระดับประเทศ

ไม่ใช่แค่ถุงยาง แต่เป็นคำถามถึงทิศทางระบบหลักประกันสุขภาพ

จากข้อมูลทั้งสองฝ่าย มีประเด็นหลักที่สังคมควรจับตาต่อไปอย่างใกล้ชิด ความโปร่งใสของข้อมูล ตัวเลขการจัดซื้อถุงยางอนามัย ตัวเลขการแจกจ่ายจริง ตัวเลขบริการเชิงรุก ตัวเลขการให้คำปรึกษาเลิกบุหรี่ และตัวเลขการคัดกรองเอชไอวี ล้วนเป็นตัวเลขที่ถูกใช้ยืนยัน “ประสิทธิภาพของการใช้งบประมาณ” และในบางกรณีถูกใช้เป็นฐานเบิกจ่ายโดยตรงต่อรัฐ การที่ตัวเลขเดียวกันปรากฏในสองรูปแบบต่างกัน (เช่น 48,672 ครั้ง เทียบกับ 169,610 ครั้ง) เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่สังคมจะเรียกร้องคำอธิบายแบบตรวจสอบย้อนกลับได้

ต้นทุน-ประโยชน์ของการใช้ NGO เป็นกลไกบริการ

สปสช. ระบุว่า NGO สามารถเข้าถึงกลุ่มเสี่ยงเอชไอวีได้ถึง 84% ในขณะที่ใช้งบประมาณเชิงรุกเพียง 5.9% ของงบด้านเอชไอวี/เอดส์ทั้งหมด ซึ่งถ้ามองเชิงนโยบาย นี่คือความคุ้มค่า แต่ในอีกด้านหนึ่ง ฝ่ายวิจารณ์ตั้งคำถามว่า กลไกตรวจสอบคุณภาพงานและปริมาณผลงานขององค์กรเหล่านี้เข้มข้นพอหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อองค์กรบางแห่งไม่มีการสื่อสารสาธารณะให้ตรวจสอบได้ง่ายเหมือนโรงพยาบาลรัฐ

ฐานกฎหมายและความยั่งยืน

โครงการจำนวนมากที่ สปสช. ใช้ในการทำงานเชิงรุก อาศัยคำสั่งหัวหน้า คสช. เป็นกรอบอำนาจ หากประเทศเดินหน้าเข้าสู่โหมดการบริหารปกติเต็มรูปแบบ คำถามคือ ควรปรับ พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพฯ เพื่อยืนยันบทบาทงานชุมชนและการป้องกันโรคเชิงรุกให้ถาวร หรือควรดึงงบทั้งหมดกลับเข้าโรงพยาบาลหลักเพื่อให้การตรวจสอบเป็นเส้นตรงมากขึ้น นี่ไม่ใช่ประเด็นเทคนิคทางกฎหมายอย่างเดียว แต่เป็นการกำหนด “หน้าตาของระบบบัตรทอง” ในอีกทศวรรษข้างหน้า

ความเชื่อมั่นของสาธารณชน

ในท้ายที่สุด ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทำงานได้บนความร่วมมือของประชาชนและหน่วยบริการ ถ้าประชาชนเชื่อว่า “ขอถุงยางได้ฟรีจากรัฐ” หรือ “ตรวจเอชไอวีได้โดยไม่ถูกตีตรา” เขาจะกล้าเข้ารับบริการ ถ้าประชาชนเชื่อว่า “งบประมาณถูกใช้โดยสุจริตและตรวจสอบได้” เขาจะยอมปกป้องระบบบัตรทองเมื่อต้องเผชิญแรงกดดันทางการเมือง

โฆษก สปสช. ทิ้งท้ายด้วยสารที่ตั้งใจสื่อถึงประชาชน ไม่ใช่เฉพาะนักการเมืองหรือคนทำงานนโยบายว่า “บริการสนับสนุนถุงยางอนามัย เป็นบริการเพื่อคนไทยทุกคน เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และคุมกำเนิดในกรณีที่ยังไม่พร้อมมีบุตร ประชาชนสามารถขอรับถุงยางอนามัยได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลของรัฐ ร้านยา คลินิกเวชกรรม และคลินิกพยาบาลทุกแห่งที่อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ”

ประโยคนี้สะท้อนภาพคู่ขนานชัดเจน

ด้านหนึ่งคือสิทธิด้านสุขภาพเชิงป้องกันที่เป็นรูปธรรมมาก เช่น ถุงยางอนามัย PrEP/PEP การคัดกรองเอชไอวี
อีกด้านหนึ่งคือคำถามที่ยังไม่จบลงง่าย ๆ เกี่ยวกับตัวเลขรายงาน ผลการดำเนินงาน งบประมาณ และความถูกต้องตามกรอบกฎหมาย

กล่าวโดยสรุป ประเด็นที่เริ่มต้นจาก “ถุงยางอนามัย” ได้ขยายไปสู่การตรวจสอบเชิงโครงสร้างของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเป็นโครงสร้างเดียวกันกับที่คนไทยจำนวนมากพึ่งพาในยามเจ็บป่วย ตั้งแต่การคลอดลูกจนถึงการรักษาเอชไอวีระยะยาว และนั่นทำให้คำถามนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
  • นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สมการแรงงานชายแดน ทำไมธุรกิจเชียงรายหาคนทำงานไม่ได้ แม้งานว่างนับพันอัตรา?

เมื่อเชียงรายกำลังหาคนทำงาน – แต่ทั้งจังหวัดกลับส่งคนหนุ่มสาวไปทำงานต่างประเทศ ขณะที่รัฐกลางกำลังเผชิญปัญหา “ขาดคนดูแลประชาชน” โดยเฉพาะในระบบสาธารณสุข

เชียงราย,29 ตุลาคม 2568 – นี่คือภาพสะท้อนของตลาดแรงงานไทยในปี 2568 ที่ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลข แต่คือสัญญาณเตือนความมั่นคงทางเศรษฐกิจและคุณภาพการให้บริการประชาชน ในระดับจังหวัด ในระดับภูมิภาค และในระดับประเทศ

บทความนี้รวบรวมข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.), หนังสือกำลังพลภาครัฐ ปีงบประมาณ 2567, รายงานสถานการณ์แรงงานจังหวัดเชียงราย ไตรมาส 4 ปี 2567 ของสำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงราย ตลอดจนถ้อยแถลงล่าสุดจากกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน (อัปเดตวันที่ 26-27 ตุลาคม 2568) เพื่อฉายภาพ “สมการแรงงานไทย” ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในห้วงเวลาไม่ถึง 5 ปีที่ผ่านมา

ชายแดนเชียงราย — เมืองที่ยังต้องใช้แรงงาน แต่แรงงานท้องถิ่นกำลังหายไป

เชียงรายในปี 2567-2568 ไม่ใช่เพียงจังหวัดท่องเที่ยวหรือเมืองหน้าด่านด้านวัฒนธรรม หากแต่เป็น “ประตูเศรษฐกิจชายแดน” ของภาคเหนือที่เชื่อมไทยกับเมียนมาผ่านอำเภอแม่สายและแม่จัน และเชื่อมไทยกับ สปป.ลาว ผ่านอำเภอเชียงของ ตลอดจนเป็นจุดหมุนเวียนสินค้าของภูมิภาคลุ่มน้ำโขงตอนบนและเส้นทางโลจิสติกส์สู่จีนตอนใต้

เศรษฐกิจนี้สร้างความต้องการแรงงานปฏิบัติการจำนวนมาก ทั้งแรงงานก่อสร้าง แรงงานโลจิสติกส์ คนขับรถบรรทุกหัวลาก ทักษะซ่อมบำรุงเครื่องยนต์ ตลอดจนแรงงานบริการแนวหน้าที่ต้องติดต่อกับนักท่องเที่ยวและลูกค้าข้ามชาติ โดยเฉพาะในเขตเมืองเชียงราย แม่จัน แม่สาย และเชียงของซึ่งเป็นพื้นที่พาณิชยกรรมสำคัญของจังหวัด

แต่ปัญหาที่เชียงรายเผชิญอยู่ในวันนี้ไม่ใช่ “ไม่มีงานให้ทำ” ตรงกันข้าม สำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงรายระบุว่า ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 จังหวัดมีตำแหน่งงานว่างรวม 1,482 อัตรา (ก่อนหน้านั้นทั้งปีพบตำแหน่งว่างรวมหลักหมื่นอัตรา) แต่มีผู้ลงทะเบียนสมัครงานในระบบเพียง 1,368 คนในไตรมาสดังกล่าว ตัวเลขนี้สะท้อนช่องว่างอย่างชัดเจนระหว่าง “อุปสงค์แรงงาน” กับ “แรงงานไทยที่ยอมเข้าสู่ระบบจ้างงานทางการ” ซึ่งยังคงต่ำกว่าความต้องการของนายจ้างอย่างมีนัยสำคัญ

ในเวลาเดียวกัน รายงานฉบับเดียวกันยังชี้ว่าแรงงานจำนวนมากในเชียงรายไม่ได้อยู่ในระบบการจ้างงานที่เป็นทางการ แต่ทำงานในฐานะแรงงานนอกระบบสูงถึง 507,372 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 86.25 ของประชากรที่มีงานทำทั้งหมดของจังหวัด และส่วนใหญ่ยังคงผูกพันอยู่กับภาคเกษตรกรรมดั้งเดิม โดยมีแรงงานภาคเกษตรมากกว่า 374,000 คนจากผู้มีงานทำทั้งหมดราว 588,000 คน

กล่าวอีกแบบ หนึ่งจังหวัดมีคนทำงานจำนวนมาก แต่คนจำนวนมหาศาลเหล่านั้นไม่เข้าสู่ตลาดแรงงานทางการ ไม่สมัครทำงานในภาคบริการสมัยใหม่ ไม่เข้าศูนย์บริการรถยนต์ ไม่เข้าสู่ธุรกิจโลจิสติกส์ ไม่เข้าสู่ภาคค้าปลีกสมัยใหม่ ทั้งที่ตำแหน่งงานยังว่างอยู่

คำถามเชิงนโยบายจึงไม่ใช่เพียง “ทำไมคนตกงาน” แต่กลับกลายเป็น “ทำไมธุรกิจในเชียงรายหาคนทำงานไม่ได้ แม้อัตราว่างงานทางการของจังหวัดจะอยู่เพียงร้อยละ 0.40 เท่านั้น” (2,368 คน ณ ไตรมาส 3 ปี 2567)

คนเชียงรายจำนวนหนึ่งไม่ตกงาน – แต่ “ย้ายออก”

เมื่อมองลึกลงไปในข้อมูล สำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงรายรายงานว่า ในไตรมาสเดียวกัน มีแรงงานไทยจากเชียงราย 1,160 คนยื่นคำขออนุญาตเดินทางไปทำงานต่างประเทศ และเมื่อดูทั้งปี 2567 ตัวเลขการย้ายออกเพื่อไปทำงานนอกประเทศสูงกว่าสองพันคน โดยส่วนใหญ่เป็นแรงงานกึ่งทักษะหรือไร้ทักษะ เช่น งานก่อสร้างและงานรับใช้ในครัวเรือนในต่างประเทศ ซึ่งมีค่าจ้างสูงกว่าในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

นี่คือ “การอพยพทางรายได้” (income migration) คนทำงานไม่ได้ออกจากกำลังแรงงาน แต่ย้ายกำลังแรงงานของตัวเองออกนอกจังหวัดหรือนอกประเทศเพื่อแลกกับรายได้ที่สูงกว่า ในขณะที่ธุรกิจในพื้นที่ยังคงต้องเดินต่อ และจึงหันไปพึ่งแรงงานจากภายนอกมากขึ้น

นั่นทำให้แรงงานต่างด้าวกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจเชียงรายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ข้อมูลจากสำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงรายระบุว่า จังหวัดเชียงรายมีแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานตามกฎหมายจำนวน 36,568 คนในไตรมาส 4 ปี 2567 คิดเป็นร้อยละ 6.21 ของแรงงานทั้งหมด โดยแรงงานเหล่านี้กระจุกตัวอยู่ในภาคก่อสร้าง ภาคบริการขั้นพื้นฐาน และงานใช้แรงกายจำนวนมากซึ่งแรงงานท้องถิ่นบางส่วนไม่ต้องการทำ

ยิ่งไปกว่านั้น แรงงานต่างด้าวในเชียงรายจำนวนมากไม่ได้มีสถานะเดียวกันทั้งหมด แต่กระจายอยู่ในหลายฐานะตามกฎหมาย เช่น กลุ่มชนกลุ่มน้อยและผู้ไม่มีสัญชาติที่ได้รับอนุญาตทำงานตามมาตรา 63/1 มากถึง 16,999 คน และกลุ่มที่ได้รับการผ่อนผันตามมติคณะรัฐมนตรี (มาตรา 63/2) รวม 17,349 คน ซึ่งสะท้อนว่ากลไกเศรษฐกิจท้องถิ่นในจังหวัดชายแดนพึ่งพา “แรงงานข้ามชาติภายใต้มาตรการผ่อนผัน” มากกว่าที่มักเข้าใจกันในภาพรวม

กล่าวโดยสรุป เชียงรายเป็นพื้นที่ที่ “ต้องมีแรงงานข้ามชาติ” เพื่อให้ภาคบริการ ภาคก่อสร้าง และภาคโลจิสติกส์เดินต่อ ในขณะที่แรงงานท้องถิ่นบางส่วนเดินทางไปทำงานข้ามพรมแดนในทิศทางกลับด้านเพื่อหารายได้ที่สูงกว่า

ส่วนกลางเองก็เริ่ม “ไม่มีคน” — โดยเฉพาะในโรงพยาบาลของรัฐ

หากมองออกจากระดับจังหวัดไปยังระดับประเทศ จะพบปรากฏการณ์คู่ขนานที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือรัฐบาลไทยเองกำลังเผชิญโจทย์เรื่อง “กำลังคนภาครัฐ” ซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับคุณภาพของบริการสาธารณะ โดยเฉพาะสาธารณสุข การศึกษา การปกครองท้องถิ่น และความปลอดภัยสาธารณะ

ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และหนังสือ “กำลังพลภาครัฐ 2567” ระบุว่า ประเทศไทยมี “กำลังคนภาครัฐ” รวมประมาณ 3,004,485 คน ในปีงบประมาณ 2567 หรือราว 3 ล้านคน คิดเป็นประมาณร้อยละ 4.6 ของกำลังแรงงานทั้งหมดของประเทศ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ราว 40.5 ล้านคนจากประชากรทั้งประเทศประมาณ 65.95 ล้านคน.

ในจำนวนนี้ “ข้าราชการ” ตามความหมายทางกฎหมายมีอยู่ 1,756,606 คน โดยกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดคือครูและบุคลากรทางการศึกษา 444,168 คน รองลงมาคือข้าราชการพลเรือนสามัญ 414,088 คน ข้าราชการทหาร 368,711 คน และข้าราชการตำรวจ 213,086 คน. ตัวเลขสะท้อนชัดว่าระบบการศึกษาและระบบความมั่นคงยังคงเป็นเจ้าของกำลังคนจำนวนมากในระบบราชการไทย.

ส่วนอีกกว่า 1.24 ล้านคนคือแรงงานภาครัฐประเภทอื่น เช่น ลูกจ้างชั่วคราว 271,917 คน พนักงานจ้างท้องถิ่น 223,528 คน พนักงานรัฐวิสาหกิจ 214,860 คน และพนักงานราชการ 179,567 คน ซึ่งกลุ่มเหล่านี้ถือเป็น “เครื่องยนต์ปฏิบัติการ” ของภาครัฐในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในบริการสาธารณสุขและบริการเชิงพื้นที่ระดับจังหวัดและอำเภอ.

ตัวเลขดังกล่าวบอกอะไรเรา?
มันบอกว่ารัฐไทยยังเป็นนายจ้างรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของประเทศ และบุคลากรของรัฐคือคนที่เราพบในชีวิตประจำวัน – ครูในโรงเรียนลูกเรา พยาบาลที่ห้องฉุกเฉิน ที่ว่าการอำเภอ คนเก็บภาษีท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในด่านชายแดนที่เชียงรายกำลังรับภาระประชากรข้ามแดน

แต่ในอีกด้านหนึ่ง ข้อมูลเชิงโครงสร้างกลับเตือนถึงความเปราะบางที่กำลังขยายตัว

สาธารณสุข” ทั้งบรรจุสูงสุด ทั้งว่างตำแหน่งสูงสุด ทั้งลาออกสูงสุด

ในสายตาของนักนโยบายแรงงาน ตัวเลขที่น่ากังวลที่สุดอยู่ในกลุ่มสาธารณสุข

ตำแหน่งที่ภาครัฐต้องบรรจุมากที่สุด 10 อันดับแรกในปีงบประมาณ 2567 ส่วนใหญ่เป็นวิชาชีพทางการแพทย์ โดยอันดับหนึ่งคือ “พยาบาลวิชาชีพ” 4,372 ตำแหน่ง ตามด้วย “นายแพทย์” 2,194 ตำแหน่ง และ “นักวิชาการสาธารณสุข” 1,025 ตำแหน่ง ตัวเลขเหล่านี้ยืนยันว่าระบบสุขภาพสาธารณะยังต้องการคน ทั้งในโรงพยาบาลจังหวัด โรงพยาบาลอำเภอ รวมถึงโรงพยาบาลชายแดนที่มีภาระการดูแลทั้งคนท้องถิ่นและแรงงานข้ามชาติ.

แต่เมื่อมองไปข้างหน้า กลับพบว่าตำแหน่งว่างที่คาดการณ์ว่าจะยังไม่มีคนทำในอนาคตอันใกล้ก็อยู่ในสายงานเดียวกัน ได้แก่ พยาบาลวิชาชีพที่คาดว่าจะมีตำแหน่งว่าง 3,439 ตำแหน่ง นักวิชาการสาธารณสุข 2,751 ตำแหน่ง และนายแพทย์ 1,882 ตำแหน่ง ขณะที่ในกลุ่มสายปฏิบัติการทั่วไป อันดับหนึ่งของตำแหน่งที่ยังว่างคือ “เจ้าพนักงานธุรการ” 2,011 ตำแหน่ง และ “เจ้าพนักงานสาธารณสุข” 1,753 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นกลุ่มที่สนับสนุนการทำงานแนวหน้าในโรงพยาบาลและหน่วยบริการสุขภาพ.

ยิ่งกว่านั้น เมื่อดูสถิติ “การสูญเสียบุคลากร” ของข้าราชการพลเรือนสามัญในปีงบประมาณ 2566 พบว่ามีการสูญเสียรวม 19,006 คน แบ่งเป็นการลาออก (47.93%) การเกษียณอายุ (48.66%) การเสียชีวิต (2.38%) และการออกด้วยเหตุผิดวินัย (1.04%).

กระทรวงสาธารณสุขกลายเป็นกระทรวงที่มีตัวเลขโดดเด่นที่สุดในแทบทุกหมวดพร้อมกัน

  • เกษียณอายุ: 4,237 คน มากที่สุดในบรรดากระทรวงทั้งหมด
  • ลาออก: 4,674 คน มากที่สุดเช่นกัน
  • เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่หรือสภาพงาน: 169 คน สูงที่สุดในบรรดาหน่วยงานรัฐ (เทียบกับกระทรวงอื่นที่ตัวเลขหลักสิบหรือต่ำกว่านั้นมาก)
    กระทรวงมหาดไทยตามมาเป็นอันดับสองในหลายตัวเลข แต่ก็ยังต่ำกว่ากระทรวงสาธารณสุขอย่างชัดเจน.

คำอธิบายหนึ่งที่มักถูกพูดในแวดวงบุคลากรสาธารณสุขก็คือ ภาระงานหน้าด่าน สูง ความเสี่ยงสูง คุณภาพชีวิตการทำงานผูกติดกับภารกิจที่ไม่มีวันหยุด ทั้งในเขตเมืองและโดยเฉพาะชายแดน เช่น เชียงราย ที่ต้องรองรับทั้งคนไทย คนต่างด้าวถูกกฎหมาย และผู้ที่ยังไม่มีสถานะทางทะเบียน

หากมองภาพระยะยาว ก.พ. คาดการณ์ว่าภายใน 10 ปีข้างหน้า “พยาบาลวิชาชีพ” จะเป็นตำแหน่งที่มีการเกษียณอายุมากที่สุดของประเทศ มากถึง 23,725 อัตรา ขณะที่ตำแหน่งด้านธุรการแนวหน้าของหน่วยบริการสาธารณะอย่าง “เจ้าพนักงานธุรการ” ก็จะเกษียณมากกว่า 3,800 อัตรา ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงสำหรับงานสนับสนุนเชิงระบบ.

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนโจทย์เชิงโครงสร้าง
ระบบสุขภาพไทยกำลังจะขาดคนในรุ่นต่อไป ในขณะที่คนรุ่นปัจจุบันกำลังลาออกก่อนเกษียณ

โครงสร้างกำลังคนรัฐ คนเยอะจริงหรือ? หรือแค่กระจุกผิดที่?

อีกหนึ่งคำถามที่สังคมมักตั้งคือ “เรามีข้าราชการเยอะเกินไปหรือไม่”

หากมองในเชิงสัดส่วน จะพบว่ากำลังพลภาครัฐคิดเป็นประมาณร้อยละ 4.6 ของกำลังแรงงานทั้งประเทศ ซึ่งถือว่าไม่สูงเมื่อเทียบกับหลายรัฐสวัสดิการขนาดกลางในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม โครงสร้างการกระจายคนภาครัฐในประเทศไทยไม่ได้สม่ำเสมอ กระจุกตัวอยู่ในบางภารกิจและบางภูมิภาค

ข้อมูลปีงบประมาณ 2567 ชี้ว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีข้าราชการฝ่ายพลเรือนมากที่สุดประมาณ 417,445 คน หรือร้อยละ 30.08 ของข้าราชการพลเรือนทั้งหมด ขณะที่ภาคกลางและภาคเหนืออยู่ที่ราวร้อยละ 19.57 และ 17.68 ตามลำดับ ส่วนกรุงเทพมหานครมีข้าราชการฝ่ายพลเรือนราว 177,897 คน หรือ 12.82% ของทั้งหมด.

ตัวเลขนี้ชวนคิดในสองมิติ
มิติแรก — ภาคอีสานและภาคเหนือ (รวมเชียงราย) เป็นพื้นที่ที่รัฐยังต้องปล่อย “คนของรัฐ” ลงไปให้บริการโดยตรง ทั้งการศึกษา ปกครองท้องที่ เกษตร สาธารณสุขขั้นปฐมภูมิ
มิติที่สอง — เมื่อบุคลากรสาธารณสุขและบุคลากรท้องถิ่นในพื้นที่เหล่านี้ลาออกหรือย้ายออก ระบบบริการพื้นฐานของรัฐย่อมสั่นคลอนทันที โดยเฉพาะบริการที่ “แทนกันไม่ได้ง่าย” อย่างพยาบาลฉุกเฉินในโรงพยาบาลชายแดน หรือเจ้าหน้าที่ควบคุมโรคติดต่อตามช่องทางเข้าเมืองตามแนวชายแดนเชียงราย

นั่นหมายความว่า “การขาดคนในระบบราชการ” ไม่ใช่แค่ปัญหาของส่วนกลางในเชิงงบประมาณบุคลากร แต่เป็นปัญหาคุณภาพชีวิตของประชาชนชายขอบ ซึ่งรวมถึงชุมชนจังหวัดชายแดนภาคเหนือ

ย้อนกลับมาที่ชายแดนอีกครั้ง ทำไมเชียงรายจึงกลายเป็นแนวหน้าของนโยบายแรงงานระดับชาติ

เมื่อแรงงานท้องถิ่นจำนวนหนึ่งเลือกออกไปทำงานต่างประเทศ ชั่วโมงเดียวกันเชียงรายกลับต้องพึ่งแรงงานข้ามชาติที่ถูกกฎหมายและกึ่งถูกกฎหมายจำนวนมาก เพื่อคงกิจกรรมทางเศรษฐกิจไว้ แต่โครงสร้างดังกล่าวก็กำลังสร้างแรงเสียดทานทางสังคมอย่างชัดเจน

ในช่วงวันที่ 26-27 ตุลาคม 2568 นายพิเชษฐ์ ทองพันธ์ อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) กระทรวงแรงงาน ระบุว่ากรมฯ ได้สั่งการเชิงรุกให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบแรงงานต่างชาติทั่วประเทศ จากกรณีที่มีการร้องเรียนว่ามีชาวต่างชาติประกอบธุรกิจในลักษณะ “นอมินี” ใช้ชื่อคนไทยบังหน้า และเข้ามาทำอาชีพแข่งขันกับคนไทยอย่างไม่ถูกต้องกฎหมาย เช่น ธุรกิจเช่ารถ ธุรกิจบริการนำเที่ยว และร้านตัดผม โดยระบุพื้นที่ตรวจเข้มพิเศษทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล จังหวัดท่องเที่ยวสำคัญอย่างภูเก็ต เชียงใหม่ เกาะสมุย เมืองพัทยา ตลอดจนพื้นที่เศรษฐกิจชายแดน

อธิบดีกรมการจัดหางานย้ำว่า เป้าหมายของการปฏิบัติการครั้งนี้ไม่ใช่การ “กวาดล้างคนต่างด้าว” แบบไร้เงื่อนไข แต่เพื่อป้องกันไม่ให้แรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในอาชีพที่กฎหมายไทยสงวนไว้ให้คนไทยเท่านั้น และเพื่อไม่ให้การจ้างงานที่ผิดกฎหมายกดค่าแรงหรือเบียดโอกาสการประกอบอาชีพของคนในพื้นที่ โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวและจังหวัดชายแดน

สิ่งที่น่าสนใจคือ “ความเข้มงวดทางกฎหมาย” ที่ประกาศใช้ควบคู่กัน

  • คนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือทำงานเกินสิทธิที่กฎหมายอนุญาต มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท ต่อคน พร้อมทั้งถูกส่งกลับประเทศต้นทาง และถูกห้ามขอใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยเป็นเวลา 2 ปี
  • นายจ้างที่รับแรงงานไม่มีใบอนุญาต หรือปล่อยให้แรงงานต่างด้าวทำงานในอาชีพต้องห้าม ต้องเผชิญโทษปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน และหากทำผิดซ้ำ อาจถูกลงโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท พร้อมมาตรการห้ามจ้างแรงงานต่างด้าวเป็นเวลา 3 ปี

ประกาศกระทรวงแรงงานยังคงระบุ “40 อาชีพต้องห้ามคนต่างด้าวทำ” ซึ่งครอบคลุมอาชีพระดับฐานรากหลายประเภท เช่น งานขายปลีกย่อยในตลาด งานตัดผมชาย-หญิง งานมัคคุเทศก์ท้องถิ่น หรืองานธุรกิจให้เช่าในพื้นที่ท่องเที่ยวบางรูปแบบ เพื่อคุ้มครองอาชีพของคนไทยโดยตรง

หากมองจากเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนและมีแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานกว่า 36,000 คน การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวจะส่งผลโดยตรงทั้งต่อผู้ประกอบการท้องถิ่น ร้านเช่ารถนำเที่ยว ร้านบริการตัดผม-เสริมสวยในพื้นที่ท่องเที่ยว รวมถึงธุรกิจนำเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและทัวร์ชายแดนที่พึ่งพาบุคลากรที่สื่อสารได้หลายภาษา

คำถามเชิงโครงสร้างจึงตามมาทันที
ถ้ารัฐ “กวาด” อาชีพต้องห้ามออกจากมือแรงงานต่างด้าว แล้วใครจะเข้ามาทำงานแทน?
คำตอบหนึ่งที่รัฐเสนอ คือการจูงใจแรงงานไทยให้กลับเข้าสู่ระบบงานในพื้นที่ ผ่านทั้งการบังคับใช้กฎหมายแรงงาน การอำนวยความสะดวกให้แรงงานต่างด้าวเข้าสู่ระบบที่ถูกกฎหมายภายใต้มติคณะรัฐมนตรี (เช่น มติ ครม. เดือนสิงหาคม 2568 ที่เปิดทางให้นายจ้างขึ้นทะเบียนแรงงานที่ไม่มีสถานะถูกกฎหมาย เพื่อออกใบอนุญาตทำงานชั่วคราวเป็นเวลา 1 ปี) และการยกระดับทักษะในสาขาขาดแคลน เช่น โลจิสติกส์และบริการด้านพยาบาลผู้ช่วย

กล่าวให้ชัด นี่ไม่ใช่แค่มาตรการ “ไล่จับคนผิดกฎหมาย” แต่คือความพยายามใช้กฎหมายเป็นคันโยกเพื่อรีเซ็ตสมดุลแรงงานชายแดน

ประเทศไทยกำลังอยู่ในสมการซับซ้อน 3 ชั้น

  1. ชั้นประเทศ – รัฐต้องการคนทำงานในระบบราชการ โดยเฉพาะสาธารณสุขและการบริการประชาชนระดับพื้นที่ แต่บุคลากรที่มีอยู่เริ่มลาออกเร็วกว่าที่ระบบจะผลิตคนใหม่เข้ามาทดแทน ขณะที่ตำแหน่งสำคัญอย่างพยาบาลวิชาชีพและนักวิชาการสาธารณสุขกำลังจะขาดแคลนในระดับโครงสร้างภายใน 5-10 ปีข้างหน้า.
  2. ชั้นจังหวัดชายแดน – จังหวัดอย่างเชียงรายยังต้องพึ่งแรงงานต่างด้าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะแรงงานในพื้นที่จำนวนหนึ่งไม่เข้าสู่ระบบจ้างงานทางการ และอีกจำนวนหนึ่งเลือกเดินทางไปทำงานต่างประเทศเพื่อรายได้ที่สูงกว่า ขณะที่เศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะโลจิสติกส์ การท่องเที่ยว การก่อสร้าง และบริการหน้าด่าน ยังเดินอยู่ทุกวัน
  3. ชั้นผู้ประกอบการท้องถิ่น – ผู้ประกอบการในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษชายแดนจำเป็นต้องรักษาต้นทุนให้อยู่ในระดับที่แข่งขันได้ในตลาดภูมิภาค ซึ่งกดดันให้พึ่งแรงงานต้นทุนต่ำและยืดหยุ่นสูง บางส่วนจึงหันไปใช้แรงงานต่างด้าวในอาชีพบางประเภท แม้จะเสี่ยงต่อการถูกตีความว่า “แย่งงานคนไทย” และถูกจัดอยู่ในอาชีพสงวนตามกฎหมาย

ความขัดแย้งที่ดูเหมือนเป็นการเมืองเรื่องอาชีพในพื้นที่ชายแดน จึงแท้จริงแล้วเป็นผลสะสมจากโครงสร้างประชากรไทยที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย อัตราการเกิดต่ำลง แรงงานรุ่นใหม่ไม่ยึดติดกับงานประเภทใช้แรงกายซ้ำซาก แรงงานรุ่นกลางอายุจำนวนหนึ่งต้องการค่าตอบแทนสูงขึ้นหรือการปรับทักษะใหม่ (re-skill / up-skill) ขณะที่แรงงานต่างด้าวจำนวนมากยินดีทำงานหนักด้วยค่าแรงที่แข่งขันได้เพราะยังมองเห็นโอกาสในฝั่งไทยมากกว่าที่บ้านเกิด

3 ล้านคนที่ต้องดูแลประเทศทั้งประเทศ

ข้อมูลล่าสุดจากฐานข้อมูลสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) และหนังสือกำลังพลภาครัฐ ปีงบประมาณ 2567 ระบุว่า ประเทศไทยมี “กำลังคนภาครัฐ” รวมทั้งสิ้น 3,004,485 คน หรือประมาณ 3.00 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 4.60 ของกำลังแรงงานทั้งหมดของประเทศ

หากเทียบกับโครงสร้างประชากร ประเทศไทยมีประชากร 65.95 ล้านคนในปี 2567 (และประมาณ 71.6 ล้านคนในปี 2568 ตามฐานข้อมูลคาดการณ์ที่นำมาอ้างอิง) โดยในจำนวนประชากรทั้งหมด มีผู้ที่อยู่ในวัยแรงงาน 40.54 ล้านคน หรือร้อยละ 61.47 ของประชากรทั้งประเทศ นั่นหมายความว่า ในแรงงานทุก ๆ 100 คน มีเพียงประมาณ 4-5 คนเท่านั้นที่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ “แรงงานภาครัฐ” ซึ่งครอบคลุมทั้งครู หมอ พยาบาล ตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่การคลัง วิศวกร โยธา เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ธุรการในหน่วยงานย่อยระดับอำเภอและตำบล

ตัวเลข 3 ล้านคนนี้ ไม่ใช่เพียงข้าราชการในความหมายปกติแบบ “คนใส่เครื่องแบบสีกากี” เท่านั้น แต่ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่

  1. กลุ่มข้าราชการ รวม 1,756,606 คน
    กลุ่มนี้คือโครงสร้างดั้งเดิมของภาครัฐ ประกอบด้วย
    • ครูและบุคลากรทางการศึกษา 444,168 คน
    • ข้าราชการพลเรือนสามัญ 414,088 คน
    • ทหาร 368,711 คน
    • ตำรวจ 213,086 คน
    • พนักงานส่วนตำบล 83,137 คน
    • พนักงานเทศบาล 70,367 คน
    • ครูส่วนท้องถิ่น 53,574 คน
    • บุคลากรกรุงเทพมหานคร 35,126 คน
    • ข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด 27,833 คน
    • บุคลากรในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เช่น หน่วยงานด้านตุลาการ อัยการ องค์กรตรวจสอบ 26,364 คน
    • พลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา 9,408 คน
    • ตุลาการ 5,297 คน
    • อัยการ 4,257 คน
    • รัฐสภาสามัญ 3,164 คน
  2. กลุ่มประเภทอื่น (ไม่ได้อยู่ในสถานะ “ข้าราชการ” ตามพ.ร.บ.ข้าราชการ) รวม 1,247,879 คน
    นี่คือแรงงานที่สังคมมักมองข้าม แต่แบกรับงานหน้างานจำนวนมาก เช่น
    • ลูกจ้างชั่วคราว 271,917 คน
    • พนักงานจ้าง 223,528 คน
    • พนักงานรัฐวิสาหกิจ 214,860 คน
    • พนักงานราชการ 179,567 คน
    • พนักงานมหาวิทยาลัย 136,859 คน
    • พนักงานกระทรวงสาธารณสุข 121,285 คน
    • ลูกจ้างประจำ 82,111 คน
    • พนักงานองค์การมหาชน 13,598 คน

หากมองเชิงนโยบาย กลุ่มที่ไม่ใช่ข้าราชการเหล่านี้คือแรงงาน “ยืดหยุ่น” ของรัฐ เป็นกำลังที่ถูกจ้างเพิ่มเพื่ออุดช่องว่างของโครงสร้างข้าราชการประจำ โดยเฉพาะในภารกิจบริการสาธารณะ เช่น โรงพยาบาล สาธารณสุขชุมชน งานพัฒนาสังคม และงานปฏิบัติการเชิงพื้นที่ ซึ่งสะท้อนความจริงอย่างหนึ่งว่า ระบบราชการไทยยุคใหม่ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วย “ข้าราชการประจำเท่านั้น” อีกต่อไป

ครูมากที่สุด แต่สาธารณสุขคือด่านหน้า

ในจำนวนข้าราชการทั้งหมด กลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดคือ “ครูและบุคลากรทางการศึกษา” 444,168 คน ตามมาด้วยพลเรือนสามัญ 414,088 คน และทหาร 368,711 คน

การที่ครูอยู่ในกลุ่มใหญ่ที่สุด ชี้ให้เห็นว่ารัฐไทยยังคงวางน้ำหนักเชิงโครงสร้างไว้ที่ระบบการศึกษาในฐานะบริการสาธารณะพื้นฐานระดับชาติ โรงเรียนยังต้องมีครูประจำการในทุกตำบล เด็กยังต้องเข้าถึงครูประจำชั้นและชั้นเรียนสาธารณะโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

แต่เมื่อลงรายละเอียดเชิง “ทักษะวิชาชีพเฉพาะทาง” กลับพบภาพอีกแบบหนึ่ง — ภาครัฐกำลังพึ่งพาบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขอย่างเข้มข้น ทั้งในมิติของการ “บรรจุ” (คือการรับคนเข้าใหม่) และในมิติของ “ตำแหน่งว่างที่ยังหาไม่ได้”

ข้อมูลการบรรจุอัตรากำลังระบุว่า 10 อันดับตำแหน่งงานที่มีการบรรจุมากที่สุดประเภทวิชาการในปีงบประมาณ 2567 ได้แก่

  1. พยาบาลวิชาชีพ 4,372 คน
  2. นายแพทย์ 2,194 คน
  3. นักวิชาการสาธารณสุข 1,025 คน
  4. นิติกร 531 คน
  5. นักวิชาการพัฒนาชุมชน 484 คน
  6. นักจัดการงานทั่วไป 474 คน
  7. ทันตแพทย์ 437 คน
  8. นักวิเคราะห์นโยบายและแผน 436 คน
  9. นักวิชาการเงินและบัญชี 428 คน
  10. นักทรัพยากรบุคคล 277 คน

หากพิจารณาเฉพาะ 3 อันดับแรก จะเห็นว่าทั้งหมดเป็นตำแหน่งด้านสาธารณสุขและการแพทย์ ซึ่งหมายความว่า “ถ้ารัฐต้องรับคนเข้าระบบวันนี้ รัฐกำลังเลือกบรรจุคนเพื่อรักษาชีวิตประชาชนก่อนเรื่องอื่น”

ในฝั่งตำแหน่งประเภททั่วไป (ไม่ใช่วิชาชีพเฉพาะ) 10 อันดับแรกที่มีการบรรจุมากที่สุด ได้แก่

  1. เจ้าพนักงานธุรการ 958 คน
  2. เจ้าพนักงานราชทัณฑ์ 683 คน
  3. เจ้าพนักงานการเงินและบัญชี 517 คน
  4. นายช่างโยธา 406 คน
  5. เจ้าพนักงานสรรพากร 388 คน
  6. นายช่างรังวัด 345 คน
  7. เจ้าพนักงานเภสัชกรรม 205 คน
  8. เจ้าพนักงานพัสดุ 134 คน
  9. เจ้าพนักงานสรรพสามิต 132 คน
  10. เจ้าพนักงานขนส่ง 104 คน และนายช่างไฟฟ้า 104 คน

จะเห็นว่าหน่วยงานบริการสาธารณะ “เชิงพื้นที่และเชิงโครงสร้าง” ทั้งเรือนจำ การเงินการคลังท้องถิ่น โยธา โครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ และภาษีท้องถิ่น ยังคงต้องการคนจำนวนมากเช่นกัน

แต่ตำแหน่งว่างก็ยังเป็นกลุ่มเดิม — สาธารณสุขนำโด่ง

เมื่อดู “ตำแหน่งที่ยังว่างและต้องการบรรจุ” หรือพูดง่าย ๆ ว่า งานที่มีคนรออยู่แต่ยังไม่มีคนไปทำ พบว่าเป็นภาพที่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่ชัดเจน

ประเภทวิชาการที่มีตำแหน่งว่างสูงสุด 10 อันดับ ได้แก่

  1. พยาบาลวิชาชีพ 3,439 ตำแหน่ง
  2. นักวิชาการสาธารณสุข 2,751 ตำแหน่ง
  3. นายแพทย์ 1,882 ตำแหน่ง
  4. เจ้าพนักงานปกครอง 1,272 ตำแหน่ง
  5. นักวิเคราะห์นโยบายและแผน 1,005 ตำแหน่ง
  6. ทันตแพทย์ 825 ตำแหน่ง
  7. นิติกร 823 ตำแหน่ง
  8. นักจัดการงานทั่วไป 682 ตำแหน่ง
  9. นักวิชาการเงินและบัญชี 740 ตำแหน่ง
  10. นักตรวจสอบภาษี 590 ตำแหน่ง

ส่วนประเภททั่วไป ได้แก่

  1. เจ้าพนักงานธุรการ 2,011 ตำแหน่ง
  2. เจ้าพนักงานสาธารณสุข 1,753 ตำแหน่ง
  3. เจ้าพนักงานการเงินและบัญชี 1,101 ตำแหน่ง
  4. เจ้าพนักงานสรรพากร 522 ตำแหน่ง
  5. เจ้าพนักงานทันตสาธารณสุข 483 ตำแหน่ง
  6. นายช่างโยธา 470 ตำแหน่ง
  7. เจ้าพนักงานพัสดุ 377 ตำแหน่ง
  8. นายช่างสำรวจ 295 ตำแหน่ง
  9. นายช่างไฟฟ้า 289 ตำแหน่ง
  10. นายช่างเครื่องกล 280 ตำแหน่ง

คำถามที่ตามมาคือ ถ้าพยาบาลจำเป็นต่อชีวิตประชาชน ทำไมตำแหน่งว่างของพยาบาลจึงยังสูงขนาดนี้?

สำนักงาน ก.พ. ยังประเมินแนวโน้มในอีก 10 ปีข้างหน้า พบว่า “พยาบาลวิชาชีพ” เป็นตำแหน่งที่จะเกษียณอายุสูงที่สุด คาดว่ามีมากถึง 23,725 คน ตามด้วย “นักวิชาการสาธารณสุข” 5,589 คน และ “นายแพทย์” 2,368 คน นั่นหมายความว่า ไม่ใช่แค่ปัจจุบันที่ขาดคน แต่ในอนาคตอันใกล้ เราอาจยิ่งขาดหนักกว่าเดิม

ความเป็นจริงนี้ตีคู่กับแรงกดดันภาคสนามที่สะท้อนออกมาชัดที่สุดใน “กระทรวงสาธารณสุข” ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่สูญเสียกำลังคนสูงสุด ทั้งจากการเกษียณ การลาออก และแม้กระทั่งการเสียชีวิต

แรงกดดันในกระทรวงสาธารณสุข คนออกมากกว่าคนเกษียณ

ข้อมูลปีงบประมาณ 2566 ระบุว่าการสูญเสียกำลังคนของข้าราชการพลเรือนสามัญอยู่ที่ 19,006 คน แบ่งเป็น

  • ลาออก 47.93%
  • เกษียณอายุ 48.66%
  • เสียชีวิต 2.38%
  • ออกด้วยเหตุผิดวินัย 1.04%

เมื่อแยกรายกระทรวง พบความแตกต่างที่น่าจับตา

กระทรวงสาธารณสุขมีข้าราชการเกษียณอายุ 4,237 คน ซึ่งสูงที่สุดในบรรดาทุกกระทรวง และยังมีข้าราชการ “ลาออก” สูงถึง 4,674 คน มากกว่าตัวเลขเกษียณเสียอีก ในขณะที่กระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นกระทรวงหลักด้านการบริหารพื้นที่ มีข้าราชการเกษียณอายุ 1,094 คน ลาออก 988 คน แต่สะดุดตาตรงตัวเลข “ออกด้วยเหตุผิดวินัย” ที่สูงสุด 49 คน

การที่บุคลากรสาธารณสุขลาออกมากเกษียณ เป็นสัญญาณถึงภาระงาน ความเหนื่อยล้า และปัจจัยความอยู่รอดทางอาชีพในระยะยาว เช่น ความก้าวหน้าในตำแหน่ง ความมั่นคงรายได้ และความสมดุลชีวิต-งาน

นี่ไม่ใช่ตัวเลขเชิงโครงสร้างเฉพาะกรุงเทพฯ แต่กระจายไปถึงจังหวัดชายแดนเช่นเชียงราย ซึ่งต้องรองรับทั้งคนไทย นักท่องเที่ยว และแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาทำงานในพื้นที่ ซึ่งหลายคนไม่มีหลักประกันสุขภาพตามระบบปกติ โรงพยาบาลชายแดนบางแห่งจึงต้องรับภาระต้นทุนการรักษาที่เรียกเก็บไม่ได้ในระดับหลายพันล้านบาทต่อปีในภาพรวม

กล่าวอีกแบบ เราอาศัยระบบสาธารณสุขเป็นด่านหน้า ทั้งด้านสาธารณสุขชุมชน ด้านความมั่นคงชายแดน และด้านมนุษยธรรม แต่คนที่อยู่ด่านหน้ากำลังไหลออกจากระบบ

ข้าราชการกระจุกตัวที่ไหน? ใครดูแลใคร?

เมื่อดูเชิงพื้นที่ สำนักงาน ก.พ. รายงานว่า ข้าราชการฝ่ายพลเรือนของไทยกระจุกตัวมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 417,445 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 30.08 ของข้าราชการพลเรือนทั้งหมด รองลงมาคือ ภาคกลาง 271,603 คน (19.57%) ภาคเหนือ 245,392 คน (17.68%) ภาคใต้ 216,093 คน (15.57%) กรุงเทพมหานคร 177,897 คน (12.82%) และน้อยที่สุดคือภาคตะวันออก 58,518 คน (4.22%)

ตัวเลขนี้สะท้อนสองมิติพร้อมกัน

หนึ่ง ภาครัฐยังวางน้ำหนักด้านกำลังคนไว้กับจังหวัดนอกเมืองหลวงอย่างจริงจัง โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ซึ่งรวมถึงจังหวัดชายแดนอย่างเชียงราย นั่นหมายถึง รัฐรู้ว่าการให้บริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน—โรงเรียน อนามัย โรงพยาบาลชุมชน ที่ว่าการอำเภอ—ต้องเข้าถึงได้แม้ในพื้นที่ห่างไกล

สอง จำนวนบุคลากรไม่ได้แปลว่า “มีพอ” เสมอไป เพราะลักษณะพื้นที่ชายแดนมีความซับซ้อนกว่าเชิงจำนวน เช่น เชียงรายอาจไม่ได้มีขนาดประชากรเท่ากรุงเทพฯ แต่มีแรงงานเคลื่อนย้ายข้ามแดนทุกวัน ทั้งแรงงานข้ามชาติถูกกฎหมาย แรงงานผ่อนผันสถานะตามนโยบายรัฐ และแรงงานที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน ทำให้ความต้องการบริการรัฐ (ตั้งแต่สาธารณสุขถึงงานทะเบียนราษฎร) สูงกว่าที่ตัวเลขประชากรทางการสะท้อน

ข้อมูลแรงงานจังหวัดเชียงราย ปี 2567 ระบุว่าจังหวัดมีประชากรรวมประมาณ 1,297,483 คน และมีกำลังแรงงานจำนวนมากถึง 507,372 คนที่จัดอยู่ในกลุ่มแรงงานนอกระบบ คิดเป็นถึงร้อยละ 86.25 ของผู้มีงานทำทั้งหมด กล่าวคือ ประชากรทำงานส่วนใหญ่ของเชียงรายไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคมปกติ ไม่ได้อยู่ในระบบการจ้างงานที่มีสัญญาชัดเจน ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขสวัสดิการตามกฎหมายแรงงาน

ในเวลาเดียวกัน เชียงรายยังพึ่งพาแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานตามกฎหมายมากถึง 36,568 คน (ปี 2567) โดยแรงงานข้ามชาติเหล่านี้เป็นกำลังหลักในภาคการผลิต การก่อสร้าง การค้าชายแดน และบริการพื้นฐาน เช่น ร้านอาหาร โรงแรม งานยกของ งานขนส่ง

คำถามเชิงนโยบายจึงเกิดขึ้นชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่า “ใครคือคนที่ระบบราชการต้องดูแลจริง ๆ”
คือเฉพาะคนสัญชาติไทยเท่านั้นหรือ?
หรือรวมแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาทำงานเลี้ยงเศรษฐกิจจังหวัดชายแดน?
หรือรวมครอบครัวของแรงงานที่พาลูกหลานเข้ามาด้วยแต่ไม่มีสิทธิในระบบสวัสดิการสาธารณะ?

ทุกคำถามนี้ สุดท้ายตกไปที่กลุ่มวิชาชีพสาธารณสุขหน้าเส้นชายแดน

เชียงราย เขตเศรษฐกิจพิเศษแรงงาน แต่แรงงานไทยย้ายออกไปทำงานต่างประเทศ

ในภาพรวมโครงสร้างตลาดแรงงานเชียงราย ปี 2567-2568 พบความไม่สมดุลเชิงโครงสร้างรุนแรง (structural imbalance) กล่าวคือ ความต้องการแรงงาน (ตำแหน่งงานว่างที่ประกาศอย่างเป็นทางการ) มีมากถึง 12,254 อัตราในรอบปี แต่มีผู้ลงทะเบียนสมัครงานตลอดทั้งปีเพียง 1,197 คนเท่านั้น ช่องว่างมากกว่า 10 เท่าเช่นนี้บ่งชี้ว่า ปัญหาไม่ใช่ “ไม่มีงานให้ทำ” แต่คือ “ไม่มีคนไทยยอมเข้าไปทำงานในเงื่อนไขที่เสนอ”

จึงไม่น่าแปลกใจที่ภาคธุรกิจในเชียงราย ทั้งโลจิสติกส์ การค้าชายแดน การบริการยานยนต์ การพาณิชย์ปลีก ไปจนถึงบริการสินเชื่อและการเร่งรัดหนี้สิน ต้องอาศัยแรงงานข้ามชาติเข้ามาเติมเต็มตำแหน่งในระดับปฏิบัติการ ขณะเดียวกัน โรงพยาบาลและหน่วยบริการสุขภาพชายแดน—ทั้งของรัฐและเอกชน—ก็รับสมัครบุคลากรอย่างต่อเนื่อง

สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้นเมื่อพบว่า ในปี 2567 มีแรงงานไทยในเชียงรายไม่น้อยกว่า 2,085 คน ยื่นคำขอไปทำงานต่างประเทศ ส่วนใหญ่เป็นงานไร้ทักษะหรือทักษะกึ่งฝีมือ เช่น งานก่อสร้างและงานในครัวเรือนในต่างประเทศ ปรากฏการณ์นี้อธิบายได้ด้วยคำว่า “การอพยพทางรายได้” (income migration) เมื่อค่าจ้างในพื้นที่ชายแดนไม่สามารถแข่งขันกับค่าจ้างในต่างประเทศ คนวัยทำงานในพื้นที่จึงเลือกเดินออก

ผลลัพธ์คืออะไร?

  1. ธุรกิจท้องถิ่นขาดแรงงานไทย
  2. ต้องหันไปจ้างแรงงานข้ามชาติ
  3. ความรู้สึกของชุมชนบางส่วนคือ “ต่างด้าวมาแย่งงาน”
  4. ภาครัฐถูกกดดันให้เข้มงวดการตรวจคนต่างด้าวและอาชีพต้องห้าม
  5. แต่ในอีกมุมหนึ่ง รัฐก็ผ่อนผันให้นายจ้างขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมายเพื่อให้ระบบเศรษฐกิจเดินต่อ

นี่คือความย้อนแย้งเชิงนโยบายที่เชียงรายกำลังเผชิญอยู่ทุกวัน

ความกดดันนโยบาย ควบคุม หรือผ่อนผัน?

ในระดับนโยบาย รัฐบาลได้ดำเนินการสองทางพร้อมกันในช่วงปีงบประมาณล่าสุด

ด้านหนึ่ง กระทรวงแรงงานและหน่วยงานความมั่นคงชายแดนเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบแรงงานต่างด้าว โดยย้ำการบังคับใช้ 40 อาชีพต้องห้ามของคนต่างด้าว และเตือนโทษทั้งจำทั้งปรับสำหรับทั้งแรงงานต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตและนายจ้างที่รับเข้าทำงานโดยฝ่าฝืน เพื่อปกป้องอาชีพที่สงวนไว้ให้คนไทยและลดความตึงเครียดทางสังคม

แต่อีกด้านหนึ่ง คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 เปิดทางให้นายจ้างยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ที่ยังไม่มีเอกสารถูกต้อง เพื่อให้แรงงานเหล่านี้เข้าสู่กระบวนการตรวจสุขภาพ เก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล (ไบโอเมตริกซ์) และรับใบอนุญาตทำงานชั่วคราว 1 ปีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

กล่าวอีกมุม มตินี้สะท้อนการปรับท่าทีของรัฐจาก “การจัดการความมั่นคงสังคมด้วยการกวาดล้าง” ไปสู่ “การจัดการความมั่นคงเศรษฐกิจด้วยการทำให้แรงงานอยู่บนโต๊ะกฎหมาย”

นี่คือสัญญาณเชิงนโยบายที่สำคัญ เพราะยอมรับกลาย ๆ ว่า เศรษฐกิจชายแดนไทย โดยเฉพาะจังหวัดอย่างเชียงราย ไม่สามารถเดินต่อได้โดยไม่มีแรงงานข้ามชาติ

แล้วทั้งหมดนี้เชื่อมกับโครงสร้างข้าราชการอย่างไร?

คำตอบอยู่ที่ “ความสามารถของภาครัฐในการรองรับความเปลี่ยนแปลงเชิงประชากร”

หนึ่ง ภาครัฐกำลังจะเสียบุคลากรสำคัญจำนวนมากภายใน 10 ปี โดยเฉพาะในระบบสาธารณสุข ขณะเดียวกันความต้องการใช้บริการสาธารณสุข โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดน กลับไม่ลดลง ตรงกันข้าม มีแต่จะเพิ่มขึ้นจากการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามชาติและการสูงวัยของคนไทยเอง

สอง แรงงานในระบบราชการใหม่ อายุแรกบรรจุไม่ได้เริ่ม “หนุ่มสาวเสมอไป” เพราะข้อมูลระบุว่า อายุแรกบรรจุเฉลี่ยของข้าราชการในหลายกระทรวงอยู่ช่วงประมาณ 28-35 ปี เช่น กระทรวงการต่างประเทศเฉลี่ย 28 ปี กระทรวงสาธารณสุขเฉลี่ย 28 ปี กระทรวงยุติธรรมเฉลี่ย 35 ปี และมีกรณีแรกบรรจุที่อายุมากสุดถึง 59 ปีในบางหน่วยงาน นี่แปลว่า ภาครัฐกำลังดึงทั้งคนรุ่นใหม่และคนวัยกลางคนเข้าสู่ระบบ พร้อมกัน เพื่ออุดช่องว่างที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน

สาม ข้าราชการและบุคลากรภาครัฐส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปถึงร้อยละ 60.52 และระดับปริญญาโทอีก 21.75% แต่แรงงานที่จะรองรับเศรษฐกิจชายแดนระดับปฏิบัติการจำนวนมากในเชียงรายกลับเป็นแรงงานนอกระบบและแรงงานข้ามชาติ ซึ่งส่วนหนึ่งไม่มีหลักฐานการศึกษาในระบบไทย ทำให้ “ทักษะ” และ “วุฒิการศึกษา” ที่รัฐพยายามพัฒนา อาจยังไม่เชื่อมกับความต้องการแรงงานเชิงพื้นที่

นี่คือโจทย์เชิงยุทธศาสตร์ จะทำอย่างไรให้โครงสร้างกำลังคนภาครัฐขนาด 3 ล้านคน (ส่วนใหญ่ถือปริญญาตรีขึ้นไป) ช่วยยกระดับระบบเศรษฐกิจที่พึ่งแรงงานระดับปฏิบัติการซึ่งเป็นแรงงานนอกระบบและต่างด้าว โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และไม่สร้างความตึงเครียดในชุมชน?

ทางไปข้างหน้า โครงสร้างกำลังคนภาครัฐต้องปรับอย่างไร

จากข้อมูลเชิงโครงสร้างทั้งหมด หน่วยงานด้านแรงงานและภาครัฐในพื้นที่เสนอแนวทางหลัก 3 ด้านซึ่งสะท้อนแนวโน้มเชิงนโยบายในระดับจังหวัดและระดับประเทศ คือ

  1. เร่งพัฒนาทักษะที่การันตีการจ้างงานทันที
    โมเดลฝึกอบรมเชิงรุก เช่น หลักสูตรขับรถลากจูง (โดยเฉพาะการขนส่งวัตถุอันตราย) หรือหลักสูตรควบคุมรถยกสินค้าขนาดไม่เกิน 10 ตัน ของสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานนานาชาติเชียงแสน พบว่าสามารถจัดหางานให้ผู้ผ่านการอบรมได้เต็ม 100% ทันทีหลังจบหลักสูตร สะท้อนว่าหากรัฐ-เอกชนร่วมกันออกแบบทักษะให้ตรงกับซัพพลายเชนชายแดนจริง ๆ ไม่ใช่แค่คำว่า “ยกระดับฝีมือแรงงาน” บนกระดาษ โอกาสการจ้างงานในพื้นที่ยังมีอยู่มาก
  2. พัฒนาทักษะภาษา-บริการ เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์
    ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในเชียงราย โดยเฉพาะกลุ่มโฮมสเตย์ ไร่กาแฟ ไร่ชา และท่องเที่ยวชุมชนในอำเภอแม่จัน แม่สาย แม่สรวย ระบุว่าปัญหาไม่ใช่ “ไม่มีนักท่องเที่ยว” แต่คือ “สื่อสารกับนักท่องเที่ยวไม่ได้” ซึ่งทำให้เสียโอกาสในการขายเรื่องราว วัฒนธรรม วิถีเกษตรคุณภาพสูง และสินค้าแปรรูป มหาวิทยาลัยในพื้นที่จึงเริ่มจัดคอร์สภาษาอังกฤษเชิงปฏิบัติ (functional English) แบบเข้มข้นเพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการท้องถิ่นสามารถต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นภาษาอังกฤษระดับพื้นฐาน เช่น อธิบายวิธีชงชา วิธีคั่วกาแฟ ความหมายของพันธุ์กาแฟท้องถิ่น ฯลฯ นี่ไม่ใช่แค่การสอนภาษา แต่คือการยกระดับอำนาจต่อรองรายได้ของชุมชน
  3. จัดการแรงงานข้ามชาติด้วยหลักความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่ด้วยความรู้สึก
    เส้นแบ่งระหว่าง “แรงงานต่างด้าวที่จำเป็นต่อเศรษฐกิจ” กับ “แรงงานต่างด้าวที่ถูกมองว่าแย่งอาชีพคนไทย” กำลังบางลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดน รัฐจึงเริ่มขยับจากการมองแรงงานข้ามชาติเป็นเพียง “ปัญหาความมั่นคง” มาสู่การมองว่าเป็น “ทุนมนุษย์ชั่วคราวที่ควรอยู่ในระบบภาษีและระบบสวัสดิการขั้นต่ำ” เพื่อควบคุม ติดตาม และวางแผนร่วมกันในระยะยาว การผ่อนผันให้ขึ้นทะเบียนแรงงานไม่มีสถานะถูกกฎหมายจึงต้องถูกมองว่าเป็นการวางโครงสร้างกำกับ ไม่ใช่การปล่อยเสรี

โครงสร้างกำลังคนภาครัฐไทยในปัจจุบันคือโครงสร้างที่กำลังถูกท้าทายจากหลายทิศทางพร้อมกัน

  • ระบบการศึกษายังต้องใช้ “ครู” จำนวนมากที่สุดในประเทศ เพื่อประคองสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กทุกคน
  • ระบบสาธารณสุขกำลังเป็นเสาหลักทั้งด้านการแพทย์ การสาธารณสุขชุมชน และความมั่นคงชายแดน แต่กลับเป็นวิชาชีพที่ทั้งถูกบรรจุมากที่สุด ขาดแคลนมากที่สุด และกำลังจะเกษียณมากที่สุดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
  • จังหวัดชายแดนอย่างเชียงราย ซึ่งเป็นด่านหน้าทั้งเศรษฐกิจชายแดน การท่องเที่ยว และการเคลื่อนย้ายแรงงาน กำลังเผชิญช่องว่างเชิงโครงสร้างที่ชัดเจน ตำแหน่งงานว่างนับหมื่น แต่คนไทยสมัครเพียงหลักพัน ขณะที่แรงงานต่างด้าวเข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ภายใต้สายตาจับตามองของชุมชนท้องถิ่นและหน่วยงานรัฐ
  • ในอีกฟากหนึ่ง ข้าราชการและบุคลากรของรัฐเองก็เผชิญภาระงานหนักขึ้น โดยเฉพาะในสาธารณสุขและงานบริการเชิงพื้นฐาน และบางส่วนเลือก “ลาออกก่อนเกษียณ” ซึ่งสะท้อนความเหนื่อยล้าและปัญหาเชิงแรงจูงใจในอาชีพ

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพียงตัวเลขบนกระดาษ แต่เป็นคำถามเชิงอนาคตของประเทศว่า “เราจะมีใครยืนอยู่ด่านหน้าดูแลสังคมไทยในอีก 5-10 ปีข้างหน้า” โดยเฉพาะในพื้นที่ซึ่งเป็นแนวหน้าในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชายแดนอย่างเชียงราย

โจทย์ของรัฐจึงไม่ใช่เพียงการเพิ่มจำนวนคนในระบบ แต่คือการบริหาร “คุณภาพงาน-คุณภาพชีวิต-คุณภาพบริการ” ไปพร้อมกัน เพื่อให้กำลังคนภาครัฐ 3 ล้านคนที่เหลืออยู่ สามารถแบกภารกิจของประเทศต่อไปได้อย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักข่าวไทยพับลิก้า
  • สำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงราย / กระทรวงแรงงาน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มรภ.เชียงราย ผนึกจีน พัฒนาหลักสูตร AI, ยานยนต์ไฟฟ้า และแพทย์แผนจีนสู่สากล

มรภ.เชียงราย ผนึกจีน พัฒนาหลักสูตร AI, ยานยนต์ไฟฟ้า และแพทย์แผนจีนสู่สากล

เชียงราย, 26 ตุลาคม 2568 – แทบจะไม่มีมหาวิทยาลัยระดับภูมิภาคใดในประเทศไทยที่ต้องเผชิญโจทย์ซับซ้อนเท่ากับมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.เชียงราย) ในวันนี้ โจทย์นั้นไม่ใช่แค่ “ผลิตบัณฑิตให้เพียงพอกับตลาดแรงงาน” อีกต่อไป แต่เป็นการสร้างกำลังคนที่เข้าใจทั้งเศรษฐกิจท้องถิ่นและเศรษฐกิจภูมิภาคลุ่มน้ำโขง รู้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง AI และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) มีความสามารถทางภาษาและวัฒนธรรมข้ามชาติ และที่สำคัญต้องเชื่อมโยงกับห่วงโซ่เศรษฐกิจจีน–ไทยที่กำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนใหม่ของภาคเหนือ

ทั้งหมดนี้คือภาพสะท้อนจากการที่ รศ.ดร.ไพโรจน์ ด้วงนคร อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย นำคณะผู้บริหารเดินทางเยือนมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 เพื่อหารือและขยายความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์กับสองสถาบันการศึกษา ได้แก่ Yuxi Normal University และ Yunnan Economics Trade and Foreign Affairs College ซึ่งเป็นการยกระดับความร่วมมือทางวิชาการจากระดับปริญญาตรีสู่ระดับบัณฑิตศึกษา พร้อมวางรากฐานหลักสูตรด้านเทคโนโลยีอนาคตและอาชีพแห่งวันพรุ่งนี้

นี่ไม่ใช่การไปลงนาม MOU เพื่อรูปแบบ หากแต่เป็นการวางกรอบการผลิตบุคลากรให้ “ตรงกับอนาคต” ของเชียงรายและของภาคเหนือตอนบน

21 ปีแห่งความร่วมมือที่ไม่ใช่เพียงความสัมพันธ์ทางวิชาการ จาก “ภาษาไทย–วัฒนธรรมไทย” สู่ “ศูนย์กลางการพัฒนาครูภาษาจีนระดับภูมิภาค”

ช่วงเช้า คณะผู้บริหาร มรภ.เชียงราย เข้าพบหารือกับ Yuxi Normal University เมืองยวี่ซี มณฑลยูนนาน โดยมี Prof. Dr. Yang Wei รองอธิการบดีของ Yuxi Normal University นำทีมผู้บริหารให้การต้อนรับอย่างเป็นทางการ การพบกันครั้งนี้ไม่ใช่จุดเริ่มต้น แต่เป็นการต่อยอดความสัมพันธ์ยาวนานถึง 21 ปี ภายใต้โครงการความร่วมมือ 2+2 หรือ Duo-Degree สาขาภาษาและวัฒนธรรมไทย

โครงการดังกล่าวเปิดโอกาสให้นักศึกษาจีนมาเรียนรู้ภาษาไทยและวัฒนธรรมไทยอย่างเข้มข้น ขณะเดียวกันนักศึกษาจาก มรภ.เชียงราย ก็เดินทางไปเสริมทักษะภาษาจีนและเรียนรู้วัฒนธรรมยูนนานในสภาพแวดล้อมจริง ตัวเลขสะสมชี้ให้เห็นความต่อเนื่องที่ยั่งยืน ไม่ใช่ความร่วมมือเชิงสัญลักษณ์ชั่วคราว

ข้อมูลความร่วมมือทางวิชาการ (สะสมจนถึงปัจจุบัน)

  • นักศึกษา Yuxi ที่เข้าร่วมโครงการกับ มรภ.เชียงราย: มากกว่า 323 คน
  • นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายที่เข้าร่วมแลกเปลี่ยนภาษาจีน: 141 คน
  • อาจารย์ชาวไทยที่ถูกส่งไปสอนที่ Yuxi Normal University: 13 คน

ตัวเลขเหล่านี้เล่าความจริงสำคัญ 2 ประการ

หนึ่ง, สายสัมพันธ์ไทย–จีนในระดับมหาวิทยาลัยภูมิภาคไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ถูกวางไว้และขยายผลอย่างเป็นระบบยาวนานกว่าสองทศวรรษ แสดงให้เห็นการพัฒนาความเข้าใจข้ามพรมแดนในระดับมนุษย์ (people-to-people connectivity) ไม่ใช่แค่ในระดับรัฐหรือภาคธุรกิจ

สอง, โครงสร้างความร่วมมือไม่หยุดอยู่ที่ “การแลกเปลี่ยนระยะสั้น” แต่เริ่มเคลื่อนไปสู่การบูรณาการหลักสูตรและการออกแบบเส้นทางวิชาชีพร่วมกันในระยะยาว

การหารือครั้งล่าสุดระหว่าง มรภ.เชียงราย และ Yuxi Normal University สะท้อนพัฒนาการนี้อย่างชัดเจน โดยมีการพูดคุยถึงการขยับระดับความร่วมมือจากปริญญาตรี สู่ระดับปริญญาโทและปริญญาเอกในบางสาขา เช่น พละศึกษา กฎหมาย และการค้าระหว่างประเทศ

การหารือร่วม มีดังนี้

  1. การพัฒนาหลักสูตรร่วมระดับปริญญาโท–เอก
    ทั้งสองมหาวิทยาลัยอยู่ระหว่างการออกแบบหลักสูตรบัณฑิตศึกษา เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาและบุคลากรจากทั้งสองประเทศสามารถเรียนรู้ร่วมกันอย่างเป็นระบบ โดยตั้งเป้าให้เกิดหลักสูตรพิเศษในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีความเชี่ยวชาญ เช่น พละศึกษาและวิทยาศาสตร์การกีฬา ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดแข็งของสถาบันครู เช่น Yuxi Normal University
  2. หลักสูตรกฎหมายและการค้าระหว่างประเทศ
    ประเด็นนี้มีนัยสำคัญทางยุทธศาสตร์ เพราะแนวโน้มทางเศรษฐกิจของภาคเหนือ โดยเฉพาะเชียงราย ซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงชายแดนไทย–ลาว–เมียนมา กำลังเปลี่ยนไปสู่บทบาทความเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์และการค้าชายแดน การเตรียมบุคลากรที่เข้าใจกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ กฎระเบียบข้ามแดน และความตกลงทางเศรษฐกิจระหว่างไทย–จีน จึงเป็นหนึ่งในทักษะจำเป็นของตลาดแรงงานรุ่นใหม่
  3. การพัฒนาครูสอนภาษาจีนเชิงระบบ
    จุดที่โดดเด่นและสะท้อนถึงคุณค่าที่จับต้องได้ คือการร่วมกันพัฒนาครูสอนภาษาจีนให้กับเครือข่ายโรงเรียนและสถาบันการศึกษาในพื้นที่ภาคเหนือของไทย
    Yuxi Normal University ได้รับการจัดอันดับให้เป็น “หนึ่งใน 8 มหาวิทยาลัยของสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นศูนย์พัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการสอนภาษาจีนระดับชาติ” หมายความว่า มหาวิทยาลัยดังกล่าวไม่ใช่เพียงสถาบันการศึกษาในระดับภูมิภาคของจีน แต่เป็นสถาบันที่ทำหน้าที่พัฒนาครูและมาตรฐานการสอนภาษาจีนทั้งระบบของประเทศจีนเอง
    ในการหารือครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้วางแนวทางร่วมกันในการอบรมเชิงเทคนิคการสอน (Teaching Pedagogy) แนวใหม่ การออกแบบหลักสูตรสอดคล้องกับบริบทการเรียนรู้ของผู้เรียนไทย และการใช้ทรัพยากรบุคลากรจีนในการยกระดับคุณภาพครูภาษาจีนในพื้นที่ของ มรภ.เชียงราย และโรงเรียนเครือข่าย

ที่สำคัญ มีการยืนยันว่าในเดือนพฤศจิกายน 2568 นี้ Prof. Dr. Cao Bingxue ผู้อำนวยการศูนย์ภาษาและอักษรจีนของ Yuxi Normal University จะเดินทางมายังมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เพื่อหารือการดำเนินงานเชิงปฏิบัติจริง ซึ่งเป็นสัญญาณว่าความร่วมมือไม่หยุดอยู่บนกระดาษ

  1. การเชื่อมเส้นทางการศึกษาต่อเนื่อง ป.ตรี – โท – เอก
    การออกแบบ “เส้นทางการศึกษาต่อเนื่อง” หมายความว่า นักศึกษาของราชภัฏเชียงรายอาจไม่ต้องหยุดอยู่ที่ปริญญาตรีอีกต่อไป หากแต่สามารถต่อยอดสู่ปริญญาโทและเอก ผ่านหลักสูตรร่วมที่ทั้งสองสถาบันออกแบบร่วมกัน
    นี่คือการเปิดเพดานความก้าวหน้าให้กับนักศึกษาจังหวัดชายแดน นักศึกษาจากครอบครัวฐานราก และครูรุ่นใหม่ในพื้นที่ภาคเหนือ ที่อาจไม่เคยมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาระดับสูงในต่างประเทศมาก่อน

กล่าวได้ว่า ความร่วมมือระหว่าง มรภ.เชียงราย และ Yuxi Normal University ไม่ใช่ “กิจกรรมต่างประเทศ” หากแต่เป็น “ยุทธศาสตร์การสร้างทุนมนุษย์ระดับจังหวัดและภูมิภาค” อย่างเป็นระบบ

 

จากห้องเรียนสู่โรงงาน ซ่อม EV จากแปลงเกษตรสู่ห้องแล็บ AI: โจทย์ใหม่จาก Yunnan Economics Trade and Foreign Affairs College

ช่วงบ่ายวันเดียวกัน คณะผู้บริหาร มรภ.เชียงราย ได้เดินทางต่อไปยัง Yunnan Economics Trade and Foreign Affairs College โดยมี Prof. Yang Fei เลขาธิการพรรคประจำสถาบัน และ Prof. Jing Yang อธิการบดี พร้อมคณะผู้บริหารของสถาบันฝั่งจีนให้การต้อนรับอย่างเป็นมิตรและเป็นทางการ

ต่างจาก Yuxi Normal University ซึ่งเน้นการพัฒนาครู นักภาษาศาสตร์ และบุคลากรด้านมนุษยศาสตร์–สังคมศาสตร์ สถาบันแห่งนี้มีความโดดเด่นด้านเทคโนโลยีการประยุกต์ใช้งานจริง (applied technology) ในสาขาที่สอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจใหม่ของภูมิภาค เช่น

  • การแพทย์แผนจีน
  • นวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV)
  • อากาศยานและระบบรางความเร็วสูง
  • AI และระบบอัจฉริยะทางอุตสาหกรรม (รวมถึงความร่วมมือด้านเทคโนโลยีกับภาคเอกชน เช่น Huawei)

ในการหารือ ได้มีการวางกรอบความร่วมมือเชิงปฏิบัติที่มุ่ง “ยกระดับกำลังคน” ในพื้นที่เชียงรายและภาคเหนือตอนบน โดยไม่ต้องรอส่วนกลาง ได้แก่

  1. ศูนย์ฝึกปฏิบัติการซ่อมรถยนต์ไฟฟ้า ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบแนวทางจัดตั้ง “ศูนย์ฝึกปฏิบัติการซ่อมรถยนต์ไฟฟ้า” ที่เชียงราย เป้าหมายไม่ใช่แค่ให้นักศึกษาได้ทดลอง แต่เพื่ออบรมเชิงวิชาชีพจริงให้กับนักศึกษา ช่างเทคนิค และแรงงานฝีมือในพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อเตรียมรับการขยายตัวของอุตสาหกรรม EV ในอนาคตอันใกล้

การเคลื่อนไหวนี้สอดคล้องกับโครงสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า โดยสัญญาณทางเศรษฐกิจบ่งชี้ว่าภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดชายแดนที่มีโครงสร้างโลจิสติกส์เชื่อมจีน อาจมีบทบาทเพิ่มขึ้นทั้งในฐานะจุดซ่อมบำรุง ศูนย์กระจายชิ้นส่วน หรือฐานทดลองบริการหลังการขายของค่ายผู้ผลิตจีน

หากศูนย์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงที่เชียงราย หมายความว่ามหาวิทยาลัยราชภัฏ ซึ่งเดิมถูกมองว่าเน้นครู ศิลปศาสตร์ และงานพัฒนาชุมชน จะมีบทบาทใหม่ในฐานะ “สถาบันฝึกอบรมเทคนิคขั้นสูง” ด้าน EV ให้กับภูมิภาค

  1. หลักสูตรร่วมและการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ

มีการหารือถึงการจัดหลักสูตรร่วมในสาขาเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น AI, EV, อากาศยาน รวมถึงโครงการฝึกงานที่ออกแบบร่วมระหว่าง

  • ภาคเอกชน
  • Yunnan Economics Trade and Foreign Affairs College
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

กล่าวคือ นี่คือการนำรูปแบบ “Triple Partnership” หรือความร่วมมือ 3 ฝ่าย (เอกชน–สถาบันจีน–สถาบันไทย) มาใช้ในระดับจังหวัดโดยตรง เพื่อให้ผู้เรียนไม่ได้จบออกมาพร้อมใบปริญญาเพียงอย่างเดียว แต่จบออกมาพร้อมทักษะวิชาชีพที่ตลาดแรงงานต้องการทันที

  1. การแลกเปลี่ยนนักศึกษาและเทียบโอนหน่วยกิต

ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องถึงรูปแบบการแลกเปลี่ยนนักศึกษาทั้งระยะสั้นและระยะยาว พร้อมระบบเทียบโอนหน่วยกิต ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการลดอุปสรรคเชิงโครงสร้างในการไปศึกษาต่อในต่างประเทศของนักศึกษาไทย โดยเฉพาะนักศึกษาที่ไม่ได้มาจากครอบครัวรายได้สูง แต่ต้องการโอกาสการยกระดับทักษะมืออาชีพในเวทีนานาชาติ

  1. การจัดการศึกษาต่อเนื่องตั้งแต่ “อนุปริญญา – ตรี – โท – เอก”

Yunnan Economics Trade and Foreign Affairs College แสดงความพร้อมในการร่วมพัฒนาเส้นทางการศึกษาต่อเนื่องกับ มรภ.เชียงราย ให้สอดคล้องกับอาชีพสมัยใหม่ เช่น ช่างเทคนิค EV นักเทคโนโลยีระบบราง นักวิชาชีพด้านอากาศยาน นักวิเคราะห์ระบบ AI ฯลฯ
จุดสำคัญคือโครงสร้างนี้จะช่วย “ยกระดับคนทำงาน” ให้สามารถเติบโตตามสายวิชาชีพโดยไม่ต้องออกจากพื้นที่บ้านเกิด และเปิดโอกาสให้บุคลากรในท้องถิ่นที่เริ่มจากทักษะสายปฏิบัติการ (hands-on skill) สามารถเติบโตจนถึงระดับผู้เชี่ยวชาญเชิงยุทธศาสตร์

  1. การแลกเปลี่ยนอาจารย์และนักวิจัย

ทั้งสองฝ่ายวางกรอบร่วมกันในการแลกเปลี่ยนอาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญภาคอุตสาหกรรม และนักวิจัย เพื่อให้เกิดการยกระดับความรู้ในสถาบันทั้งสองแบบสองทาง ไม่ใช่เพียงให้ไทยไปรับเทคโนโลยีจากจีนเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้ มรภ.เชียงราย ส่งบุคลากรไปสอนหรือถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านภูมิภาคศึกษา ภาษา วัฒนธรรมชายแดน และเศรษฐกิจท้องถิ่น ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของฝั่งไทยเช่นกัน

  1. การเรียนรู้เชิงประจักษ์ผ่านศูนย์นวัตกรรม

คณะผู้บริหาร มรภ.เชียงราย ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมสถานที่ปฏิบัติการจริงของสถาบันจีน เช่น

  • ศูนย์ฝึกปฏิบัติการแพทย์แผนจีน
  • ศูนย์นวัตกรรม AI ที่ดำเนินการร่วมกับ Huawei
  • ศูนย์ฝึกซ่อมรถยนต์ไฟฟ้า
  • ห้องปฏิบัติการรถไฟความเร็วสูงและอากาศยาน

การเยี่ยมชมดังกล่าวมีความหมายมากกว่าการดูงาน เพราะสะท้อน “รูปแบบการสอนที่ยึดโรงปฏิบัติการเป็นฐาน” (Lab-based / Workshop-based Learning) ซึ่งเป็นรูปแบบการผลิตบุคลากรสายเทคนิคที่หลายพื้นที่ในไทยยังขาดอยู่ การนำโมเดลนี้กลับมาประยุกต์ใช้ในเชียงรายจึงตีความได้ว่า ราชภัฏเชียงรายต้องการขยับบทบาทตนเองจาก “มหาวิทยาลัยครู” ไปเป็น “ศูนย์กลางการพัฒนากำลังคนเพื่อรองรับเศรษฐกิจใหม่ของลุ่มน้ำโขง”

จากความร่วมมือสู่ยุทธศาสตร์จังหวัด เชียงรายกับบทบาท “ประตูสู่จีน” ที่กำลังเป็นจริง

เชียงรายคือจังหวัดเหนือสุดของประเทศไทย และเป็นจุดเชื่อมเศรษฐกิจ การศึกษา แรงงาน และโลจิสติกส์ ระหว่างไทย จีน ลาว และเมียนมา พื้นที่นี้ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่ท่องเที่ยว หรือพื้นที่ชายแดนทางวัฒนธรรมอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็น “จุดรองรับการไหลบ่าของเทคโนโลยีและโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่จากจีนสู่ไทย”

ความร่วมมือของ มรภ.เชียงราย กับสถาบันการศึกษาชั้นนำในมณฑลยูนนานจึงต้องอ่านในเชิงยุทธศาสตร์ด้วยว่า

  • นี่คือการเตรียมคนให้พร้อมรับเศรษฐกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ผู้ผลิตรายใหญ่ของจีนกำลังขยายฐานจำหน่ายและบริการหลังการขายในภูมิภาค
  • นี่คือการเตรียมคนให้เข้าใจระบบซัพพลายเชนใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และระบบอัตโนมัติ
  • นี่คือการเตรียมบุคลากรสาธารณสุขและการแพทย์ทางเลือก (เช่น แพทย์แผนจีน) เพื่อตอบสนองตลาดสุขภาพและผู้สูงอายุที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วภาคเหนือ
  • และนี่คือการยกระดับความสามารถด้านภาษา กฎหมาย การค้าระหว่างประเทศ เพื่อให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นในเชียงราย เชียงของ แม่สาย หรือแม้กระทั่ง SMEs เชียงใหม่–พะเยา สามารถเจรจา ทำสัญญา ทำธุรกิจ และขยายกิจการสู่ตลาดจีนโดยไม่ต้องพึ่ง “คนกลางในกรุงเทพฯ” อีกต่อไป

กล่าวอย่างตรงไปตรงมา: การเดินทางครั้งนี้คือการขยับราชภัฏเชียงรายจาก “สถาบันผลิตครู” ไปสู่ “โครงสร้างพื้นฐานเชิงยุทธศาสตร์ของจังหวัด”

มรภ.เชียงรายในบทบาทใหม่ สถาบันการศึกษาหรือโครงสร้างพื้นฐานการพัฒนาบุคลากรของภูมิภาค?

เมื่อมองภาพรวมจากทั้งสองการหารือ จุดที่เห็นชัดคือ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายกำลังวางตัวเองในสามบทบาทหลักพร้อมกัน

  1. ผู้พัฒนาครูและบุคลากรด้านภาษา–วัฒนธรรม–การศึกษา
    ผ่านความร่วมมือกับ Yuxi Normal University ที่มีความเชี่ยวชาญระดับชาติจีนด้านการสร้างครูสอนภาษาจีน พร้อมทั้งยกระดับสายการศึกษาในสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สู่ระดับบัณฑิตศึกษา (โท–เอก)
  2. ศูนย์กลางการฝึกเทคโนโลยีประยุกต์ (Applied Technology Hub)
    ผ่านการเตรียมจัดตั้งศูนย์ฝึกซ่อมรถยนต์ไฟฟ้าในเชียงราย และการเชื่อมโยงหลักสูตรกับเทคโนโลยีที่ตลาดกำลังต้องการ เช่น EV, AI, อากาศยาน, ระบบรางความเร็วสูง ซึ่งเป็นฐานอาชีพใหม่ของภูมิภาคในอีก 5-10 ปีข้างหน้า
  3. สะพานเชื่อมเศรษฐกิจการค้าชายแดนและการเจรจาระดับภูมิภาค
    ด้วยการออกแบบหลักสูตรทางด้านกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ การเจรจาทางธุรกิจไทย–จีน การเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการท้องถิ่นกับระบบการผลิต การฝึกงาน และการฝึกอาชีพจากฝั่งจีน

ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับแนวโน้มใหญ่ของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจภูมิภาค ที่กำลังเคลื่อนจาก “การผลิตแบบแรงงานราคาถูก” สู่ “การผลิตมูลค่าสูงด้วยเทคโนโลยีและทักษะเฉพาะทาง” รวมถึงสอดรับบริบทโลกที่เปลี่ยนผ่านด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล การปรับตัวต่อสภาวะภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitical shifts) และการเติบโตของอุตสาหกรรมสีเขียวและเศรษฐกิจพลังงานสะอาด

เสียงสะท้อนจากผู้บริหาร “นี่ไม่ใช่การไปเยี่ยม นี่คือการไปวางระบบอนาคตของเชียงราย”

ภายหลังการประชุมและการเยี่ยมชมศูนย์ปฏิบัติการต่าง ๆ คณะผู้บริหารของ มรภ.เชียงราย ระบุถึงเจตนารมณ์ร่วมในทิศทางเดียวกันว่า ความร่วมมือครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการยกระดับชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่คือการสร้างช่องทางใหม่ให้เยาวชน ครู นักศึกษา แรงงานเทคนิค และผู้ประกอบการในพื้นที่ มีโอกาสก้าวสู่ระบบเศรษฐกิจใหม่อย่างมีศักดิ์ศรีและแข่งขันได้จริง

แนวทางนี้ยังสอดรับกับวิสัยทัศน์การพัฒนาจังหวัดเชียงรายในฐานะ “จังหวัดชายแดนเชิงยุทธศาสตร์” ที่ต้องการสร้างระบบเศรษฐกิจบนฐานทุนมนุษย์คุณภาพ ไม่ใช่เพียงหวังพึ่งการท่องเที่ยวเชิงฤดูกาลหรือการค้าผ่านแดนเท่านั้น

กล่าวให้ชัดกว่านั้นคือ มหาวิทยาลัยไม่ได้ทำหน้าที่ “ผลิตบัณฑิตส่งใบปริญญา” หากกำลังวางตัวเองเป็น “โครงสร้างพื้นฐานด้านบุคลากรของทั้งจังหวัดและทั้งภูมิภาคลุ่มน้ำโขง”

มองไปข้างหน้า ผลกระทบที่คาดได้ต่อจังหวัดและภูมิภาค

จากกรอบความร่วมมือในครั้งนี้ สามารถคาดการณ์ผลกระทบเชิงนโยบายและสังคมในระยะกลางได้ดังนี้

  1. เชียงรายจะมีศูนย์ฝึก EV ระดับภูมิภาค
    ศูนย์ฝึกซ่อมรถยนต์ไฟฟ้าที่จะตั้งในมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มีโอกาสกลายเป็นฐานฝึกอบรมเทคนิคยานยนต์ไฟฟ้าสำหรับแรงงานท้องถิ่น ผู้ประกอบการศูนย์บริการ รวมถึงผู้จบใหม่ในสายช่างยนต์ ซึ่งจะช่วยลดภาวะสมองไหลของแรงงานฝีมือออกนอกจังหวัด และสร้างรายได้ให้ชุมชนในพื้นที่โดยตรง
  2. ครูภาษาจีนรุ่นใหม่ที่เข้าใจบริบทไทยจริง
    เมื่อการฝึกอบรมครูร่วมกับ Yuxi Normal University เริ่มเดิน มีแนวโน้มว่าคุณภาพการสอนภาษาจีนในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะภายใต้มรภ.เชียงรายและเครือข่ายโรงเรียน จะถูกยกระดับทั้งในเชิงภาษา เชิงวัฒนธรรม และเชิงการสื่อสารในบริบทไทย–จีนทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว
  3. หลักสูตรกฎหมาย–การค้าไทย–จีนสร้างผู้เล่นใหม่ในเศรษฐกิจชายแดน
    ผู้ประกอบการท้องถิ่น โดยเฉพาะในเชียงของ แม่สาย และอำเภอที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งชายแดน อาจไม่จำเป็นต้องพึ่งที่ปรึกษาจากส่วนกลางในการทำธุรกิจข้ามแดนอีกต่อไป หากสามารถเข้าถึงบุคลากรที่ถูกฝึกขึ้นจากหลักสูตรร่วมด้านการค้าและกฎหมายระหว่างประเทศ
  4. เชียงรายสามารถเป็นปลายทางการศึกษานานาชาติระดับภูมิภาค
    โมเดลการเทียบโอนหน่วยกิต การแลกเปลี่ยนระยะสั้น–ยาว และการศึกษาแบบต่อเนื่องจากอนุปริญญาถึงเอก จะทำให้เชียงรายไม่ใช่แค่จังหวัดที่ส่งคนออกไปเรียนต่างประเทศ แต่สามารถเป็น “จุดหมายปลายทาง” ของนักศึกษาจากประเทศเพื่อนบ้าน และจากจีนบางส่วนที่ต้องการเรียนรู้เศรษฐกิจและวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขงในบริบทจริง

หากต้องสรุปภาพรวมในประโยคเดียว การเดินทางของผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายสู่มณฑลยูนนานเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 คือ “การประกาศบทบาทใหม่ของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ในฐานะผู้วางโครงสร้างกำลังคนยุคใหม่ให้จังหวัดเชียงรายและภาคเหนือตอนบน”

ความร่วมมือกับ Yuxi Normal University คือการเสริมรากฐานด้านภาษาจีน การศึกษา ครู วิชาชีพมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ พร้อมเปิดเส้นทางสู่ปริญญาโท–เอก
ขณะเดียวกัน ความร่วมมือกับ Yunnan Economics Trade and Foreign Affairs College คือการปูสะพานเชื่อมระหว่างนักศึกษาไทยกับอุตสาหกรรมอนาคตจริง ๆ ทั้ง EV, AI, อากาศยาน, ระบบราง และการแพทย์แผนจีน

หากความร่วมมือเหล่านี้เดินหน้าอย่างเป็นระบบ เชียงรายจะไม่ได้เป็นเพียงจังหวัดชายแดนอีกต่อไป แต่จะเป็นศูนย์กลางการพัฒนาทุนมนุษย์ของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง – ด้วยมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายเป็นหนึ่งในกำลังหลัก

นี่ไม่ใช่เพียงสัญญาในห้องประชุม หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของการออกแบบอนาคตของจังหวัดทั้งจังหวัด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.เชียงราย)
  • Yuxi Normal University เมืองยวี่ซี มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

น้ำท่วมใหญ่ 2567 ทิ้งปัญหาไว้ใต้ดิน! ทส. สั่ง คพ. ตรวจ 18 แห่ง ฟื้นความเชื่อมั่นแหล่งน้ำชุมชน

วิกฤตน้ำใช้ลุ่มน้ำกก! รัฐบาลสั่ง “ป้องกันก่อนป่วย” สั่งล้างบ่อบาดาล 4 จุดเสี่ยงทันที

เชียงราย, 25 ตุลาคม 2568 — ในช่วงปลายฤดูฝนของจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านคาดหวังว่าน้ำจะใสสะอาดและเริ่มกลับมาใช้ได้ตามปกติหลังน้ำหลากผ่านไป กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความกังวลครั้งใหม่ เมื่อมีการส่งสัญญาณเตือนถึง “การปนเปื้อนสารหนู” ในน้ำประปาหมู่บ้านบางแห่ง ในพื้นที่ลุ่มน้ำกกและพื้นที่ใกล้เคียง กระทั่งปัญหาดังกล่าวถูกยกระดับสู่เรื่องเร่งด่วนระดับรัฐบาลกลางและลงพื้นที่ตรวจสอบโดยตรงจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ภายใต้การกำกับของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายสุชาติ ชมกลิ่น ซึ่งได้รับข้อสั่งการโดยตรงจากนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีระกูล

การเคลื่อนไหวดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงการตรวจสอบคุณภาพน้ำเท่านั้น แต่สะท้อนโจทย์ที่ใหญ่กว่า นั่นคือ “ความเชื่อมั่นต่อแหล่งน้ำกินน้ำใช้ของชุมชน” ในจังหวัดชายแดนภาคเหนือซึ่งเพิ่งผ่านเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่ในปี 2567 และยังคงฟื้นตัวจากผลกระทบด้านโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งแวดล้อม และสุขภาพประชาชน

วิกฤตน้ำใช้ในพื้นที่ลุ่มน้ำกก จากคำถามของชาวบ้านสู่ภารกิจระดับรัฐ

จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้เกิดจากความกังวลของชุมชนในพื้นที่ริมแม่น้ำกก แม่น้ำรวก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ทั้งในอำเภอเมืองเชียงรายและอำเภอใกล้เคียง โดยเฉพาะพื้นที่ประปาหมู่บ้านที่ใช้น้ำบาดาลเป็นแหล่งผลิต เมื่อน้ำลดจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปีที่ผ่านมา หลายชุมชนพบว่าน้ำมีสีและตะกอนผิดปกติ จนนำไปสู่การร้องเรียนและการตั้งข้อสงสัยว่าแหล่งน้ำใต้ดินอาจได้รับผลกระทบจากน้ำหลากหรือตะกอนที่ถูกพัดพามากับกระแสน้ำหลากอย่างฉับพลัน

เพื่อคลี่คลายปัญหาและตอบสนองต่อข้อร้องเรียนอย่างเป็นรูปธรรม ทส. ได้สั่งการให้กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ร่วมกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาล สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย (ทสจ.เชียงราย) เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ผู้นำชุมชน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ ลงพื้นที่ตรวจสอบคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้านอย่างเร่งด่วน ระหว่างวันที่ 17–19 ตุลาคม 2568

นายสุรินทร์ วรกิจธำรง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยถึงผลการตรวจสอบเบื้องต้นเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 ว่า มีการลงพื้นที่ตรวจคุณภาพน้ำในระบบประปาหมู่บ้านรวมทั้งสิ้น 18 แห่ง ครอบคลุมทั้งแหล่งน้ำประปาภูเขา น้ำบาดาล และน้ำผิวดิน ในตำบลแม่ยาว ตำบลดอยฮาง ตำบลรอบเวียง ตำบลริมกก ในอำเภอเมืองเชียงราย ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเวียงชัย ตำบลดงมหาวัน อำเภอเวียงเชียงรุ้ง ตำบลหนองป่าก่อ อำเภอดอยหลวง ตำบลท่าข้าวเปลือก อำเภอแม่จัน และตำบลบ้านแซว อำเภอเชียงแสน

การสุ่มตรวจดังกล่าวไม่ได้ทำเฉพาะในจุดจ่ายน้ำปลายทางเท่านั้น แต่รวมไปถึงการเก็บตัวอย่างน้ำดิบก่อนเข้าระบบกรอง ซึ่งถือเป็นจุดสำคัญในการประเมินความปลอดภัยของทั้งระบบ เพราะหากน้ำดิบมีการปนเปื้อนสูงกว่ามาตรฐาน ก็อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของระบบกรองและความปลอดภัยของผู้ใช้น้ำในระยะยาว

ผลตรวจสารหนู พบปนเปื้อน 4 จุด แต่ยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

จากการตรวจวัดสารหนูเบื้องต้นด้วยชุดตรวจภาคสนามในพื้นที่ทั้ง 18 แห่ง พบว่า มี 4 แห่งที่ตรวจพบการปนเปื้อนสารหนู แบ่งเป็น

  1. น้ำดิบ (ก่อนเข้าระบบกรอง) จำนวน 3 แห่ง
    • หมู่ 3 เทศบาลตำบลดอยฮาง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
    • หมู่ 4 บ้านเมืองงิม ตำบลริมกก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
    • หมู่ 12 บ้านสันต้นแหน ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย
  2. น้ำประปาหมู่บ้าน (น้ำที่จ่ายให้ประชาชนหลังการปรับปรุงคุณภาพน้ำ) จำนวน 1 แห่ง
    • หมู่ 5 บ้านป่ายางมน ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย

อย่างไรก็ตาม นายสุรินทร์ย้ำว่า การปนเปื้อนสารหนูที่ตรวจพบในทั้ง 4 แห่งยังอยู่ในระดับ “ไม่เกินมาตรฐาน” ซึ่งหมายความว่า ณ เวลาตรวจวัด คุณภาพน้ำยังไม่ถูกจัดให้อยู่ในระดับอันตรายตามเกณฑ์ด้านสาธารณสุข

แต่ประเด็นสำคัญคือ แม้ “ไม่เกินมาตรฐาน” หน่วยงานก็ยังไม่ปล่อยผ่าน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ความเห็นอย่างชัดเจนว่า “การปนเปื้อนที่มียังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน แต่อย่างไรก็ตาม การที่มีสารปนเปื้อนอยู่ในน้ำประปาหมู่บ้าน แม้ว่าจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเกณฑ์ แต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการปรับปรุงแก้ไขเพื่อสุขภาพของพี่น้องประชาชน”

คำกล่าวนี้สะท้อนแนวทางการทำงานของรัฐบาลในลักษณะเชิงรุก คือ ไม่รอให้สถานการณ์เลวร้ายจนเป็นวิกฤตด้านสุขภาพแล้วค่อยแก้ แต่เลือกที่จะ “ป้องกันก่อนป่วย” ผ่านมาตรการสิ่งแวดล้อมและโครงสร้างน้ำสะอาดในระดับชุมชน

น้ำท่วมใหญ่ปี 2567 ตัวแปรสำคัญที่อาจฝังปัญหาไว้ใต้ดิน

การตรวจพบสารหนูไม่ใช่จุดจบของการวิเคราะห์ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของ “การหาสาเหตุ” เนื่องจากสารหนูเป็นธาตุที่อาจเกิดขึ้นได้จากทั้งกระบวนการทางธรรมชาติ (เช่น แร่ธาตุในชั้นดินใต้ดินบางพื้นที่) และกิจกรรมของมนุษย์ (เช่น การรั่วไหลของของเสียหรือดินตะกอนจากพื้นที่ที่ถูกพัดพา)

นายสุชาติระบุว่า ปัจจัยหนึ่งที่กำลังได้รับการพิจารณาคือ เหตุการณ์ “น้ำท่วมใหญ่จังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2567” ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อหลายชุมชนในพื้นที่ลุ่มน้ำกกและลำน้ำสาขา น้ำหลากที่รุนแรงอาจพัดพาดิน ตะกอน หรือสารปนเปื้อนลงสู่พื้นที่ต่ำและซึมลงบ่อบาดาล โดยเฉพาะบ่อที่ไม่มีระบบป้องกันตะกอนหรือไม่มีการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ

รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า “การปนเปื้อนที่เกิดขึ้นอาจมาจากสาเหตุอื่นที่ไม่ได้มาจากแหล่งน้ำบาดาลที่ใช้ในการผลิตน้ำประปาหมู่บ้านโดยตรง เนื่องจากเมื่อปีที่ผ่านมาจังหวัดเชียงรายมีน้ำท่วมใหญ่ อาจมีการพัดพาสารปนเปื้อนมาตกตะกอนในบ่อน้ำบาดาลที่ใช้ผลิตน้ำประปาหมู่บ้านได้”

ในแง่นี้ สถานการณ์น้ำท่วมไม่ได้จบลงเมื่อระดับน้ำลด แต่ทิ้งมรดกปัญหาทางสิ่งแวดล้อมที่ซ่อนอยู่ในบ่อบาดาล ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดื่มและน้ำใช้สำคัญของชนบท การที่ตะกอนสะสมอยู่ก้นบ่อและในระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำ สามารถกลายเป็น “แหล่งเสี่ยงเรื้อรัง” หากไม่มีการดูแลบ่ออย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง

คำสั่งเร่งด่วน เป่าล้างบ่อบาดาล – ตรวจซ้ำ – สร้างความเชื่อมั่น

หลังได้รับรายงานผลตรวจเบื้องต้น นายสุชาติได้สั่งการโดยตรงให้ดำเนินมาตรการ 2 ระยะ คือ มาตรการแก้ไขทันที และมาตรการติดตามผล

มาตรการเร่งด่วนประกอบด้วย

  1. การล้างบ่อบาดาลเชิงรุก
    สั่งให้กรมควบคุมมลพิษ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย และกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ทำการ “เป่าล้างบ่อบาดาล” ทั้ง 4 จุดที่ตรวจพบสารหนูทันที พร้อมดำเนินการขจัดตะกอนและตะกอนแขวนลอยที่อาจเป็นตัวพาสารปนเปื้อน ซึ่งรวมถึงการปรับสภาพระบบกรองและการตรวจสอบความสมบูรณ์ของระบบกรองประปาหมู่บ้าน
  2. การตรวจวัดคุณภาพน้ำซ้ำ
    หลังการล้างบ่อ จะมีการเก็บตัวอย่างน้ำและตรวจวิเคราะห์ซ้ำ เพื่อยืนยันว่าการปนเปื้อนลดลงและอยู่ในระดับปลอดภัย พร้อมจัดทำรายงานสรุปผลเพื่อสื่อสารกับผู้นำท้องถิ่นและชาวบ้านในพื้นที่โดยตรง

มาตรการทั้งสองถือเป็นการทำงานเชิงระบบ คือ ไม่เพียงแก้ที่อาการ (ค่าปนเปื้อน) แต่แก้ที่ต้นตอ (ตะกอนและการบำรุงรักษาบ่อ) และไม่เพียงแก้ในเชิงเทคนิค แต่รวมถึงการ “สื่อสารความเสี่ยง” เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของประชาชน

ในทางสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ความเชื่อมั่นไม่ใช่เรื่องรอง แต่เป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ชุมชนยังยอมใช้น้ำในระบบที่รัฐจัดหาโดยไม่ตื่นตระหนกหรือหันไปใช้น้ำที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการบำบัด ซึ่งอาจยิ่งเสี่ยงกว่า

ทำไม “ไม่เกินมาตรฐาน” แต่ยังต้องเร่งแก้?

คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นในสังคมคือ เมื่อหน่วยงานยืนยันว่าค่าที่ตรวจพบ “ยังไม่เกินมาตรฐาน” เหตุใดจึงต้องเร่งล้างบ่อบาดาลและตรวจซ้ำ เหตุใดจึงต้องตั้งทีมลงพื้นที่หลายหน่วยงานพร้อมกันในเวลาอันสั้น

คำตอบนี้สะท้อนวิธีคิดด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมเชิงป้องกัน (precautionary approach) ที่รัฐบาลกลางต้องการใช้ในพื้นที่เชียงราย ซึ่งเป็นจังหวัดที่เผชิญความเสี่ยงสิ่งแวดล้อมซ้ำซาก ทั้งดินถล่ม น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลัน และภัยแล้งสลับในบางฤดู

หากชุมชนป้อนสัญญาณความเสี่ยงเข้าระบบรัฐ แล้วรัฐนิ่งเฉย ความรู้สึก “ไม่ปลอดภัย” จะเร่งขยายเป็นความไม่ไว้วางใจต่อระบบน้ำประปาหมู่บ้านโดยรวม ส่งผลกระทบในระยะยาว เช่น ประชาชนหันไปใช้น้ำบาดาลส่วนตัวที่ไม่ได้ตรวจคุณภาพ ไม่มีระบบกรอง ไม่มีการกำจัดโลหะหนักและจุลินทรีย์ ซึ่งจะยิ่งเสี่ยงต่อสุขภาพมากกว่าในเชิงโครงสร้าง

การเร่งจัดทีมตรวจสอบ 18 หมู่บ้านใน 9 ตำบล 7 อำเภอจึงไม่ใช่เพียงการตอบสนองคำสั่งของฝ่ายบริหารระดับสูง แต่คือการสร้าง “โครงสร้างความไว้วางใจ” ระหว่างรัฐกับชุมชน ว่าประชาชนในพื้นที่ไม่ได้ถูกปล่อยให้อยู่กับความเสี่ยงลำพัง

เชียงราย จังหวัดชายแดนกับต้นทุนความเปราะบางด้านทรัพยากรน้ำ

เชียงรายเป็นจังหวัดชายแดนที่ตั้งอยู่บนพื้นที่รับน้ำจากลุ่มน้ำหลายสาย ทั้งแม่น้ำกก แม่น้ำรวก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ลักษณะภูมิประเทศที่มีทั้งพื้นที่ราบลุ่มริมน้ำ พื้นที่รอยต่อภูเขา–ที่ราบเชิงเขา และพื้นที่เมืองที่กำลังขยายตัว ทำให้ปัญหา “คุณภาพน้ำ” ไม่ใช่ปัญหาของคนปลายน้ำเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นปัญหาที่เชื่อมโยงตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

เมื่อเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ เช่นที่เชียงรายประสบในปี 2567 น้ำหลากที่รุนแรงไม่ได้ทิ้งไว้เพียงร่องรอยความเสียหายของบ้านเรือนและพื้นที่เกษตร แต่ยังรวมถึงตะกอนดินและสารต่าง ๆ ที่ไหลลงสู่พื้นที่ลุ่มต่ำ ซึ่งจำนวนไม่น้อยจากตะกอนเหล่านี้อาจซึมสะสมลงไปในชั้นบ่อบาดาลที่ชุมชนใช้เป็นต้นทางของระบบประปาหมู่บ้าน

การที่หน่วยงานภาครัฐยอมรับในเชิงนโยบายว่า การปนเปื้อนอาจเชื่อมโยงกับ “น้ำท่วมใหญ่ พ.ศ. 2567” เป็นสัญญาณว่าสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติไม่ใช่เรื่องชั่วคราว แต่กำลังกลายเป็นปัจจัยโครงสร้างด้านสาธารณสุขของจังหวัดชายแดน ซึ่งจำเป็นต้องวางแผนระยะยาวทั้งในมิติการจัดแหล่งน้ำสำรอง การยกระดับระบบกรอง และการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำเชิงพื้นที่

กล่าวอีกแบบคือ ตั้งแต่นี้ไป ทุกครั้งที่เชียงรายถูกน้ำท่วมใหญ่ หน่วยงานน้ำและสิ่งแวดล้อมอาจต้องมองเลยกว่าการซ่อมสะพานหรือขุดลอกแม่น้ำ แต่ต้องลงไปถึง “ไส้ในของระบบน้ำดื่มหมู่บ้าน” ด้วย

บทบาทของส่วนกลางกับท้องถิ่น รัฐบาลสั่งการ – ท้องถิ่นร่วมปฏิบัติ

อีกประเด็นสำคัญของกรณีเชียงรายครั้งนี้ คือรูปแบบการประสานงานระหว่างส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และท้องถิ่น ซึ่งเป็นตัวอย่างของการทำงานแบบบูรณาการ

ข้อมูลที่เปิดเผยระบุชัดว่า การตรวจสอบคุณภาพน้ำครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงภารกิจของกรมควบคุมมลพิษในฐานะหน่วยงานวิเคราะห์คุณภาพสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังมีกรมทรัพยากรน้ำบาดาลเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างบ่อและระบบน้ำใต้ดิน สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงรายทำหน้าที่เชื่อมหน่วยงานรัฐกับชุมชนในพื้นที่ ขณะที่เทศบาล อบต. ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ เข้าร่วมทั้งการเก็บตัวอย่าง การให้ข้อมูลในพื้นที่จริง และการติดตามผล

โครงสร้างแบบนี้แตกต่างจากการแก้ปัญหาแบบบนลงล่าง (top-down) ที่มักจะจบลงด้วยการประกาศคำสั่ง แต่ไม่ถึงมือประชาชน เพราะในกรณีนี้ ฝ่ายปฏิบัติการในพื้นที่สามารถลงมือ “เป่าล้างบ่อบาดาล” และประสานการใช้น้ำชั่วคราวได้ทันทีเมื่อได้รับคำสั่ง ไม่ต้องรอการเดินเรื่องใหม่อีกหลายขั้น

ความหมายเชิงสังคม น้ำประปาหมู่บ้านไม่ใช่แค่สาธารณูปโภค แต่เป็น “ความมั่นคงของชีวิตประจำวัน”

สำหรับครัวเรือนในระดับชุมชน ประปาหมู่บ้านไม่ใช่เพียงท่อน้ำ แต่มันคือเส้นเลือดหลักของชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การหุงหาอาหาร การอาบน้ำ การดูแลเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ไปจนถึงการทำการเกษตรขนาดย่อมในครัวเรือน

ดังนั้น เมื่อเกิดการพูดถึงคำว่า “ปนเปื้อนสารหนู” ในพื้นที่ แม้จะมีคำยืนยันว่า “ยังไม่เกินมาตรฐาน” คำนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ประชาชนจำนวนมากเกิดความกังวล ว่าน้ำที่ใช้ทุกวันปลอดภัยจริงหรือไม่ การต้มน้ำพอหรือไม่ ต้องซื้อน้ำดื่มเพิ่มหรือไม่ ครัวเรือนยากจนจะรับภาระได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้เป็นคำถามที่เกิดขึ้นทันทีตามธรรมชาติของสังคมในภาวะเสี่ยง

นั่นคือเหตุผลที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุว่า รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการดำเนินการเชิงรุก และสั่งให้ “ตรวจซ้ำ” หลังการล้างบ่อ เพื่อให้มีหลักฐานรองรับในการสื่อสารกับประชาชน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง การตรวจซ้ำไม่ใช่เพื่อตรวจระบบ แต่เพื่อตอบประชาชนตรง ๆ ว่า “ใช้น้ำได้หรือยัง” ด้วยข้อมูลวัดผลจริงหลังการฟื้นฟู

จากความกังวลสู่แผนฟื้นฟูระยะยาว

เมื่อพิจารณาทั้งกระบวนการจะเห็นว่าปมสำคัญของข่าวนี้มีอยู่สองชั้น

ชั้นแรก คือ ประเด็นด้านความปลอดภัยเฉพาะหน้า ซึ่งได้รับการตอบสนองด้วยการลงพื้นที่ตรวจวัดสารหนู การยืนยันค่าปนเปื้อน และคำสั่งล้างบ่อบาดาลในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงทั้งสี่จุด

ชั้นที่สอง คือ ประเด็นด้านความยั่งยืนของระบบน้ำสะอาดชุมชนในจังหวัดเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งได้รับการยกระดับสู่การทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงาน ทั้งกรมควบคุมมลพิษ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยทั้งหมดอยู่ภายใต้กรอบนโยบายที่นายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีสั่งการเพื่อคุ้มครองสุขภาพประชาชน

ในเชิงนโยบายสาธารณะ สิ่งนี้สะท้อนความพยายามสร้าง “มาตรฐานใหม่” ในการดูแลระบบประปาหมู่บ้าน ไม่ใช่แค่ซ่อมเฉพาะจุดเมื่อเสีย แต่ต้องบริหารจัดการเชิงป้องกัน ตรวจเฝ้าระวังหลังภัยพิบัติ และสื่อสารผลตรวจอย่างโปร่งใส

น้ำสะอาด คือศักดิ์ศรีของชุมชน

กรณีเชียงรายครั้งนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เรื่องน้ำไม่ใช่เพียงทรัพยากรธรรมชาติ แต่เป็นเรื่องของคุณภาพชีวิต ความไว้วางใจต่อรัฐ ความมั่นคงของชุมชน และความยั่งยืนในการฟื้นตัวหลังภัยพิบัติ

ในระยะสั้น การลงพื้นที่ตรวจ 18 จุด การพบการปนเปื้อนสารหนู 4 จุด (แม้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน) การสั่งการ “เป่าล้างบ่อบาดาล” ในพื้นที่เสี่ยง และการตรวจซ้ำ ล้วนเป็นมาตรการเชิงรุกที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและป้องกันปัญหาสุขภาพในอนาคต

ในระยะยาว กรณีนี้ได้ส่งสัญญาณเตือนว่าหลังภัยพิบัติใหญ่ เช่น น้ำท่วมปี 2567 หน้าที่ของรัฐไม่ได้จบลงเมื่อระดับน้ำลด แต่เพิ่งเริ่มต้นในภารกิจที่ซับซ้อนกว่านั้น นั่นคือการฟื้นฟูทรัพยากรพื้นฐานที่สุดของชีวิตมนุษย์ น้ำที่ปลอดภัย

และในมุมของประชาชน สิ่งที่หลายคนต้องการอาจไม่ใช่เพียงการประกาศตัวเลขทางเทคนิค แต่คือการยืนยันที่ตรวจสอบได้ว่า “น้ำที่บ้านฉันยังปลอดภัยสำหรับคนในครอบครัว” ซึ่งเป็นเป้าหมายเดียวกับที่หน่วยงานรัฐระบุว่ากำลังเร่งดำเนินการอยู่ในขณะนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)
  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) โดย นายสุรินทร์ วรกิจธำรง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ
  • กรมทรัพยากรน้ำบาดาล
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบลในพื้นที่ตรวจสอบคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้านจังหวัดเชียงราย
  • ถ้อยแถลงของนายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • ข้อสั่งการของนายอนุทิน ชาญวีระกูล นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้านในจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“ธรรมนัสโมเดล” ถึงเวียงป่าเป้า! รมช.เกษตรฯ มอบ “โฉนดเกษตร” พร้อมเร่งกู้ชีพพื้นที่หลังภัยพิบัติ

ธรรมนัสโมเดล” ถึงเวียงป่าเป้า รมช.เกษตรฯ มอบโฉนดเพื่อการเกษตร–โฉนดต้นไม้ 265 ราย เดินหน้าฟื้นฟูพื้นที่เกษตรเสียหายหลังพายุ “ยางิ” ปักหมุดความมั่นคงที่ดิน–ทุน–ดิน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตชาวเชียงราย

เชียงราย, 24 ตุลาคม 2568 — เช้าวันฟ้าหลังฝนที่อำเภอเวียงป่าเป้า บริเวณลานกิจกรรมของสหกรณ์การเกษตรเวียงป่าเป้า จำกัด คลาคล่ำไปด้วยเกษตรกรจากหลายตำบล ผู้คนสวมหมวกผ้าคลุมไหล่ รอคอยเอกสารชิ้นสำคัญในชีวิตการทำกิน เสียงประกาศบนเวทีดังชัด “โฉนดเพื่อการเกษตร และโฉนดต้นไม้ พร้อมมอบแล้ว” และทันทีที่ชื่อนายแรกถูกเรียก เสียงปรบมือก็ลั่นขึ้นเป็นระลอก ความหวังเรื่อง “หลักประกัน” ที่จับต้องได้กำลังงอกงามกลางหุบเขาเชียงราย

พิธีมอบเอกสารสิทธิครั้งนี้นำโดย นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำหน้าที่ประธานในพิธี มอบ โฉนดเพื่อการเกษตร 250 ราย และ โฉนดต้นไม้ 15 ราย รวม 265 ราย แก่เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินของอำเภอเวียงป่าเป้า โดยมี นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวต้อนรับ และ นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) รายงานวัตถุประสงค์และภาพรวมโครงการ

ภาพของซองเอกสารสีขาวเรียงรายบนโต๊ะยาวสะท้อนนโยบายที่รัฐบาลผลักดันต่อเนื่อง ภายใต้การกำกับของ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งมุ่งแก้ปมเชิงโครงสร้างเรื่อง “ความมั่นคงในที่ดิน” ของเกษตรกรไทย และเชื่อมต่อสู่ความมั่นคงทางรายได้และคุณภาพชีวิตในระยะยาว

 “โฉนดเพื่อการเกษตร” คือกุญแจไขสู่ทุนและโอกาส

ส.ป.ก. ก่อตั้งตั้งแต่ปี 2518 เพื่อจัดการปัญหาการขาดแคลนที่ดินทำกิน ลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับประสิทธิภาพการใช้ที่ดิน เครื่องมือสำคัญในระยะหลังคือการ ปรับปรุงเอกสารสิทธิ ส.ป.ก. 4-01 ให้เป็น “โฉนดเพื่อการเกษตร” ซึ่งสามารถใช้เป็น หลักประกันทางเศรษฐกิจ เข้าถึงแหล่งทุน สินเชื่อและบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรวางแผนลงทุนพัฒนาอาชีพได้อย่างมั่นคง

นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ กล่าวบนเวทีว่าวันนี้ไม่ใช่แค่มอบเอกสาร แต่คือการส่งต่อโอกาส “การมอบโฉนดครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเพิ่มสิทธิ์และโอกาสให้เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินสามารถใช้ที่ดินได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เข้าถึงแหล่งทุน และยกระดับคุณภาพชีวิตได้อย่างยั่งยืน” คำกล่าวสั้นกระทัดรัด แต่มีน้ำหนักต่อชีวิตหลายครัวเรือน

ด้าน นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ อธิบาย “โฉนดเพื่อการเกษตร” ว่าเป็นหัวใจของการปฏิรูปที่ดินยุคใหม่ เพราะเชื่อมโยง “สิทธิในที่ดิน” เข้ากับ “ทุนและตลาด” ทำให้เกษตรกรต่อยอดได้จริง ตั้งแต่การปรับปรุงระบบน้ำ การซื้อเครื่องจักรขนาดเล็ก ไปจนถึงการเปลี่ยนผ่านสู่เกษตรคุณภาพสูงและเกษตรยั่งยืน

ข้อมูลสำคัญระดับจังหวัด สะท้อนความก้าวหน้าในภาพใหญ่ของเชียงราย คือ มีพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินรวมประมาณ 932,061 ไร่ จัดสรรให้เกษตรกรแล้วกว่า 76,000 ราย รวมกว่า 583,000 ไร่ และ ปรับปรุงเอกสารสิทธิเป็นโฉนดเพื่อการเกษตรแล้วกว่า 22,000 ราย รวมกว่า 178,000 ไร่ ส่วนในอำเภอเวียงป่าเป้า มีเกษตรกรได้รับจัดสรรที่ดินกว่า 3,800 ราย รวมกว่า 32,000 ไร่ ตัวเลขเหล่านี้ทำให้วันนี้ไม่ใช่เหตุการณ์โดดเดี่ยว แต่คือจิ๊กซอว์อีกชิ้นในแผนงานระยะยาวของพื้นที่

เมื่อ “ดิน–น้ำ–โครงสร้าง” บาดเจ็บจากภัยพิบัติ

ช่วงบ่าย คณะรัฐมนตรีช่วยฯ เคลื่อนคาราวานไปยัง โรงเรียนดอยเวียงผาพิทยา ตำบลเวียง เพื่อประชุมติดตามการฟื้นฟูพื้นที่การเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากอิทธิพล พายุ “ยางิ” เมื่อเดือนกันยายน 2567 ภาพจำของคนเวียงป่าเป้าคือสายน้ำเชี่ยวและดินโคลนหนาทึบกวาดผ่านทุ่งนาทุ่งข้าวโพด เหลือร่องรอยคล้ายรอยแผลเป็นบนภูมิประเทศ

ดร.สุมิตรา วัฒนา รองอธิบดี รักษาราชการแทนอธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน รายงานว่า พายุครั้งนั้นสร้างความเสียหายในพื้นที่ บ้านแม่ปูนล่าง ตำบลเวียง เป็นบริเวณกว้าง รวมกว่า 12,000 ไร่ โดยเฉพาะนาข้าวและข้าวโพดราว 400 ไร่ ที่ถูกตะกอนดินทับถมจนหน้าดินเสียสมดุล การฟื้นฟูจึงต้องใช้ทั้งวิทยาศาสตร์ดินและการมีส่วนร่วมของชุมชน

แผนฟื้นฟูแบบเป็นขั้นตอน ของกรมพัฒนาที่ดินประกอบด้วย

  • สำรวจและออกแบบระบบอนุรักษ์ดินและน้ำแบบมีส่วนร่วมรายแปลง เพื่อให้มาตรการเหมาะกับลักษณะพื้นที่จริง
  • อนุรักษ์ดินและน้ำในพื้นที่ป่าแม่ลาวฝั่งซ้าย (ได้รับอนุญาตจากสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 เชียงราย) เน้น จัดระบบขั้นบันไดดิน ฝายชะลอน้ำ และคูเบนน้ำ เพื่อลดความเร็วการไหลบ่าของน้ำและพัดพาตะกอน
  • ปรับปรุงพื้นที่นาที่ถูกตะกอนทับถม 350 ไร่ ด้วยการปรับระดับแปลงนา เติมอินทรียวัตถุ และปรับปรุงโครงสร้างดิน
  • สนับสนุนพืชปุ๋ยสด วัสดุปรับปรุงดิน และปุ๋ยหมัก เพื่อคืนความอุดมสมบูรณ์อย่างยั่งยืน
  • ถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องหญ้าแฝก ให้เกษตรกรใช้เป็นแนวกันชะล้างพังทลาย ลดความเสี่ยงดินถล่มในฤดูฝนหน้า

การฟื้นฟูเช่นนี้ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ทันที แต่เป็นการ “รักษาแผลลึก” ให้ดินกลับมาแข็งแรง ซึ่งเมื่อผนวกกับ “โฉนดเพื่อการเกษตร” ที่เพิ่งได้ จะทำให้เกษตรกรมีทั้ง สิทธิในที่ดิน และ ศักยภาพของดิน ไปพร้อมกัน

จากใบตองรองข้าวสู่เอกสารรองชีวิต

บนเก้าอี้แถวหลังเวที ชายชาวนาในวัยห้าสิบปลายก้มลงลูบซองเอกสาร เขาเล่าว่าพายุปีที่แล้วพัดตะกอนเข้าทุ่งข้าวจนเทือกดินเสียรูป ต้องทำนาแบบไม่รู้ผล “แต่พอมีทีมกรมพัฒน์ฯ เข้ามาช่วยวางคันนาใหม่ สอนปลูกหญ้าแฝก แถมวันนี้ได้โฉนดเพื่อการเกษตรอีก ก็คงกล้าคุยกับธนาคารเรื่องน้ำและเครื่องสูบแล้ว” ประโยคสั้นอาจไม่ใช่คำสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการ หากคือภาพสะท้อนโครงสร้างโอกาสที่เปลี่ยนไป

เรื่องเล่าทำนองนี้ทำให้พิธีมอบเอกสารสิทธิไม่ใช่เรื่อง “พิธีกรรม” แต่เป็นจุดเริ่มของ เส้นทางทุน–ความรู้–การตลาด ที่เกษตรกรจะก้าวเดินต่อไป

ความมั่นคง 3 มิติ “ที่ดิน–ทุน–ดิน” และผลต่อเศรษฐกิจฐานราก

  1. มิติที่ดิน (Land Security)
    โฉนดเพื่อการเกษตรช่วยรับรองสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดินที่ชัดเจน ลดความเสี่ยงข้อพิพาท และเพิ่มความสามารถในการวางแผนระยะยาว เปิดทางสู่การรวมกลุ่มจัดการน้ำ การรับรองมาตรฐาน GAP/ออร์แกนิก และการเชื่อมโยงสหกรณ์
  2. มิติทุน (Financial Inclusion)
    เอกสารสิทธิรูปแบบใหม่นี้ถูกออกแบบให้ใช้เป็นหลักประกัน จึงช่วยให้เข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยเหมาะสม เกิดการลงทุนย่อยจำนวนมาก เช่น ระบบน้ำหยด โรงเรือนเพาะปลูก เครื่องจักรกลขนาดเล็ก ซึ่งสร้าง ผลิตภาพ และ รายได้ต่อไร่ ที่สูงขึ้นกว่าการทำแบบเดิม
  3. มติดิน (Soil Health & Climate Resilience)
    แผนฟื้นฟูหลังพายุยางิที่เน้น “โครงสร้างดิน–ระบบชะลอน้ำ–หญ้าแฝก” ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นต่อสภาพอากาศสุดขั้ว และลดความเสี่ยงซ้ำซากในฤดูฝนหน้า เมื่อดินดี น้ำดี การผลิตก็กลับมาเร็วขึ้น ต้นทุนลดลง และวงจรหนี้ระยะสั้นของเกษตรกรคลายตัว

เชิงเศรษฐกิจระดับท้องถิ่น ผลคูณจากการลงทุนเล็กๆ หลายร้อยแปลงสามารถขับเคลื่อน ห่วงโซ่ธุรกิจชุมชน ตั้งแต่ร้านปุ๋ย–เครื่องมือเกษตร–ช่างซ่อม–ขนส่ง ไปจนถึงตลาดชุมชนและท่องเที่ยวชุมชน ที่เชื่อมกับภาพรวมของจังหวัดที่กำลังผลักดัน “เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ” คู่ขนานไปกับ “เมืองเกษตรคุณภาพสูง”

บทบาทสหกรณ์และท้องถิ่นสะพานเชื่อมรัฐสู่ไร่นา

การมอบโฉนดวันนี้เกิดขึ้นที่ สหกรณ์การเกษตรเวียงป่าเป้า ซึ่งทำหน้าที่เป็น “ศูนย์รวม” ของข้อมูล สมาชิก และบริการทางการเงินของเกษตรกรในพื้นที่ สหกรณ์มีบทบาทสำคัญสามด้าน

  • คัดกรอง–ยืนยันข้อมูลแปลง เพื่อความถูกต้องของเอกสารสิทธิ
  • ออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินร่วมธนาคารคู่ค้าสหกรณ์ ให้สอดรับฤดูกาลผลิต
  • ทำตลาดร่วม ช่วยรวมผลผลิตและยกระดับคุณภาพเพื่อให้ขายได้ราคาดีขึ้น

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเวียงป่าเป้ายังเดินหน้าจัดการโครงสร้างพื้นฐานหมู่บ้าน เช่น ถนนคันนา ฝายในลำเหมือง และพื้นที่ปลอดภัยจากอุทกภัย ร่วมกับหน่วยงานกระทรวงเกษตรฯ เพื่อให้ผลของ “เอกสารสิทธิ + การฟื้นฟูดิน” ส่งผลจริงในไร่นา

ตัวเลขสำคัญที่ควรรู้ (เชียงรายและเวียงป่าเป้า)

  • มอบเอกสารสิทธิวันนี้โฉนดเพื่อการเกษตร 250 ราย, โฉนดต้นไม้ 15 ราย รวม 265 ราย
  • เชียงรายทั้งจังหวัด เขตปฏิรูปที่ดินรวม ประมาณ 932,061 ไร่; จัดสรรแล้วกว่า 76,000 ราย รวมกว่า 583,000 ไร่; ปรับเป็น โฉนดเพื่อการเกษตรกว่า 22,000 ราย รวมกว่า 178,000 ไร่
  • เวียงป่าเป้า เกษตรกรได้รับจัดสรรที่ดินกว่า 3,800 ราย รวมกว่า 32,000 ไร่
  • ความเสียหายจากพายุ “ยางิ”  พื้นที่เกษตรเสียหายรวมกว่า 12,000 ไร่; แปลงข้าว–ข้าวโพดเสียหายราว 400 ไร่; โครงการปรับปรุงพื้นที่นาที่ถูกตะกอนทับถม 350 ไร่

ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงสถิติ แต่คือ แนวเส้นทาง ของการทำงานเชิงระบบ ตั้งแต่ปฏิรูปที่ดินจนถึงการพัฒนาดิน ช่วยให้ประชาชนเห็นภาพก้าวต่อไปของอำเภอและจังหวัด

มองไปข้างหน้า จาก “เอกสารในมือ” สู่ “รายได้ในกระเป๋า”

การได้โฉนดเพื่อการเกษตรคือจุดเริ่ม ไม่ใช่ปลายทาง เพื่อให้ เงินลงทุน กลายเป็น รายได้ อย่างยั่งยืน หน่วยงานเกี่ยวข้องควรเดินหน้า 5 ประเด็นเร่งด่วน

  1. แพ็กเกจสินเชื่อชลประทานย่อย–ระบบน้ำอัจฉริยะ สำหรับแปลงนาและพืชไร่ที่ผ่านการฟื้นฟู ช่วยลดความเสี่ยงภัยแล้งสั้นและยกระดับคุณภาพผลผลิต
  2. แผนปรับตัวภัยพิบัติชุมชน จัดทำแผนที่เสี่ยงน้ำหลาก–ดินถล่ม ควบคู่ระบบเตือนภัยและประกันภัยพืชผลภาคสมัครใจ
  3. เร่งเครื่องมาตรฐานคุณภาพ เช่น GAP/เกษตรอินทรีย์ เพื่อให้เข้าถึงตลาดที่ราคาดีกว่า และสอดรับดีมานด์ผู้บริโภคยุคใหม่
  4. ส่งเสริมรวมกลุ่มการตลาดผ่านสหกรณ์ เชื่อมอีคอมเมิร์ซท้องถิ่นและตลาดท่องเที่ยวจังหวัด สร้างเรื่องเล่าต้นทาง–ปลายทาง
  5. ติดตามประเมินผลแบบโปร่งใส เผยแพร่ความคืบหน้าฟื้นฟูรายตำบล เปิดข้อมูลให้สาธารณชนติดตามได้

หากทำครบวงจร “ที่ดินมั่นคง–ดินแข็งแรง–ทุนเข้าถึงง่าย–ตลาดรองรับ” จะช่วยยกระดับรายได้ต่อไร่ ลดการโยกย้ายแรงงาน และสร้างภูมิคุ้มกันให้เกษตรกรเวียงป่าเป้าผ่านฤดูกาลที่ผันผวน

ทำให้ “โฉนด” มีชีวิต

โฉนดเพื่อการเกษตร และ โฉนดต้นไม้ เป็นเอกสารที่สัมผัสได้ แต่ “ชีวิต” ของมันเริ่มต้นเมื่อถูกนำไปใช้จริง แปลเป็นเครดิตน้ำ แปลเป็นระบบสูบน้ำพลังงานสะอาด แปลเป็นคันนาขั้นบันไดที่ลดการชะล้าง หรือแปลเป็นโรงเรือนที่ต่อยอดรายได้แกนที่สองของครัวเรือน เมื่อบวกกับกระบวนการฟื้นฟูดินอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ภาพใหญ่ที่เห็นคือ ความมั่นคงสามชั้น ของเกษตรกร คือ สิทธิในที่ดิน–การเข้าถึงทุน–ความอุดมสมบูรณ์ของดิน ซึ่งจะหนุนคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน

สุดท้าย พิธีวันนี้ไม่เพียง “มอบกระดาษ” หากคือการส่งมอบความเชื่อมั่น เกษตรกรในเวียงป่าเป้าไม่ได้เดินลำพัง แต่มีรัฐ สหกรณ์ ท้องถิ่น และวิทยาศาสตร์ดินเดินไปด้วยกัน บนถนนสายยาวของการฟื้นฟูหลังพายุและการอยู่ร่วมกับภูมิอากาศที่ผันผวน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  •  สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.)
  • กรมพัฒนาที่ดิน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลนครเชียงรายจัดใหญ่ ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 5,000 โดส ต้อนรับฤดูกาลท่องเที่ยว

เชียงรายยกระดับ “เมืองสุขภาพดี เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ” เทศบาลนครฯ ลั่นฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 5,000 โดส-คัดกรองมะเร็งปากมดลูกฟรี รองรับไฮซีซัน พร้อมแผนสกัดระบาดเชิงรุกทั้งเมือง

เชียงราย, 23 ตุลาคม 2568 — ปลายฝนต้นหนาว กับโจทย์สุขภาพที่ต้องตัดสินใจเร็ว สายลมหนาวแรกพัดผ่านลุ่มน้ำกก ผู้คนเริ่มนึกถึงเทศกาลท่องเที่ยวปลายปี ร้านอาหารและโรงแรมทยอยเตรียมรับแขก ช่วงเวลาเดียวกัน สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ในภาคเหนือยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ ตัวเลขสะสมของจังหวัดเชียงรายปี 2567 พุ่งแตะ 9,190 ราย สะท้อน “ภาระโรค” ที่กดดันระบบสุขภาพและเศรษฐกิจท้องถิ่นพร้อมกัน เทศบาลนครเชียงรายจึงขยับเชิงรุก เปิดแผนฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 5,000 โดสควบคู่คัดกรองมะเร็งปากมดลูกฟรี สร้างภูมิคุ้มกันสาธารณะก่อนนักท่องเที่ยวนับแสนเดินทางเข้าจังหวัด

ข่าวนี้ไม่ใช่เพียงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ แต่คือ “ยุทธศาสตร์เมือง” ที่ผสานสุขภาพกับท่องเที่ยวเข้าด้วยกัน ตั้งกรอบคิดว่า สุขภาพที่ดีคือรากฐานของคุณภาพชีวิต และเป็นเงื่อนไขสำคัญของเศรษฐกิจบริการในเมืองท่องเที่ยว

ภาพรวมสถานการณ์ เชียงรายติดกลุ่มอัตราป่วยสูงของประเทศ สายพันธุ์หลักยังเป็น A/H1N1

ข้อมูลระบาดวิทยาจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ระบุจำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ปี 2567 สะสม 9,190 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 797.17 ต่อประชากรแสนคน เมื่อเทียบกับช่วงต้นปี 2568 เชียงรายถูกจัดเป็นจังหวัดอัตราป่วยสูงลำดับต้น ๆ ของประเทศ รองจากพะเยาและลำพูน แนวโน้มสอดคล้องกับภาพรวมภาคเหนือที่มีฤดูหนาวยาวนาน ทำให้การรวมกลุ่มในอาคารเพิ่มขึ้นและเอื้อต่อการแพร่เชื้อ

กรมควบคุมโรคชี้ว่า สายพันธุ์ที่พบมากในรอบปีคือไข้หวัดใหญ่ชนิด A/H1N1 (2009) ซึ่งรวมอยู่ในวัคซีนตามฤดูกาล แต่ประสิทธิผลต่อประชากรขึ้นกับ “ความครอบคลุม” ของการฉีดและพฤติกรรมป้องกันโรคในชุมชน หากครอบคลุมต่ำ วัคซีนย่อมปกป้องระดับชุมชนได้ไม่เต็มที่

ภาระโรคสูงกว่าค่าเฉลี่ย ต้องอธิบาย “ฐานประชากร” ให้ตรงกัน

จำนวนผู้ป่วย 9,190 รายทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงอัตราป่วยที่รายงาน เทศบาลนครฯ และ สสจ.เชียงราย จึงร่วมกันทบทวน “ตัวหาร” ที่ใช้คำนวณอัตราป่วย ต่อแสนประชากร เพื่อให้การสื่อสารต่อสาธารณะชัดเจน การระบุฐานประชากรอย่างโปร่งใสช่วยให้ผู้กำหนดนโยบายจัดสรรวัคซีน ยาต้านไวรัส และบุคลากรได้ตรงจุด และยังทำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวเห็นภาพความเสี่ยงจริงในพื้นที่

เด็กเล็ก-วัยเรียนเป็นตัวขับการระบาด โรงเรียนจึงคือสนามปฏิบัติการสำคัญ

ข้อมูลระดับประเทศปี 2567 ชี้ว่า กลุ่มอายุ 0–4 ปี และ 5–14 ปี มีอัตราป่วยต่อแสนประชากรสูงสุด สถานศึกษา สถานเลี้ยงเด็ก และกิจกรรมรวมกลุ่มจึงกลายเป็น “จุดขยายสัญญาณ” การแพร่เชื้อ เทศบาลนครฯ เตรียมใช้มาตรการ 3 ชั้นในเขตเมือง ได้แก่

  1. ปรับมาตรฐานสุขาภิบาลโรงเรียน เน้นล้างมือ สวมหน้ากากเมื่อป่วย และทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสถี่ขึ้น
  2. ระบบคัดกรองอาการรายวัน และนโยบายให้หยุดเรียนเมื่อมีไข้หรือไอ เพื่อหยุดวงจรการแพร่เชื้อ 3–7 วัน
  3. การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่แก่กลุ่มเสี่ยงตามเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงบุคลากรด่านหน้าในภาคบริการ

เชียงรายคือเมืองชายแดน การเฝ้าระวังด่านควบคุมโรคต้องพร้อม

เชียงรายมีด่านแม่สาย เชียงแสน และสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 เชียงของ ซึ่งรองรับการเดินทางและขนส่งระหว่างประเทศอย่างคึกคัก เทศบาลนครฯ ประสานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและด่านควบคุมโรคติดต่อ เพื่อเฝ้าระวังเชิงรุก ตรวจจับคลัสเตอร์จากผู้เดินทาง และติดตามสายพันธุ์ที่หมุนเวียน หากพบสัญญาณผิดปกติ จะสื่อสารเตือนภัยอย่างตรงจุดแก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวและสาธารณชนในเมือง

วัคซีนความมั่นใจนักเดินทาง” ทำไม 5,000 โดสจึงสำคัญ

เทศบาลนครเชียงราย โดยนายกวันชัย จงสุทธานามณี วางกลยุทธ์ฉีดวัคซีน 5,000 โดสสำหรับกลุ่มเสี่ยงในเมือง โดยเน้นผู้ทำงานสัมผัสนักท่องเที่ยว เช่น พนักงานโรงแรม ร้านอาหาร คนขับรถรับจ้าง ไกด์ แม่ค้า และประชาชนทั่วไปในย่านท่องเที่ยว เหตุผลมี 4 ประการ

  • ลดความรุนแรงของโรค วัคซีนช่วยลดโอกาสปอดบวมและการนอนโรงพยาบาล
  • คงเสถียรภาพธุรกิจบริการ ลดการลาป่วยพร้อมกันจำนวนมากในไฮซีซัน
  • สร้างความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยว เมืองที่ให้ความสำคัญด้านสุขภาพดึงดูดนักเดินทางคุณภาพ
  • เสริมระบบเตือนภัยชุมชน เมื่อประชาชนฉีดวัคซีนมากพอ สัญญาณผู้ป่วยรุนแรงจะลดลง ทำให้หน่วยงานมุ่งทรัพยากรไปยังจุดที่จำเป็นที่สุด

นอกจากนี้ เทศบาลยังจัดคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ฟรี เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตสตรี และตอกย้ำว่า นโยบายสุขภาพเมืองต้องครอบคลุมโรคเรื้อรังและคัดกรองเชิงป้องกันควบคู่โรคระบาด

เสียงจากผู้นำท้องถิ่น “สุขภาพที่ดี คือรากฐานของการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน”

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวในพิธีเปิดว่า เทศบาลต้องทำมากกว่าการดูแลพื้นฐานเมือง เป้าหมายคือทำให้ชาวเมืองและผู้มาเยือน “รู้สึกปลอดภัย” เพราะความปลอดภัยด้านสุขภาพแปลงเป็นความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจได้ทันที มาตรการครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงงานสาธารณสุข แต่คือการคุ้มครองแบรนด์ “เชียงรายเมืองท่องเที่ยวคุณภาพ”

ด้านนายณรงค์ ลือชา รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย เสริมว่า วัคซีนตามฤดูกาลช่วยลดความรุนแรงได้ชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคเรื้อรัง เด็กเล็ก และหญิงตั้งครรภ์ การมารับบริการให้ทันก่อนหน้าหนาว คือการปกป้องครอบครัวและลดภาระระบบสุขภาพในช่วงพีก

ขับเคลื่อนแบบ “หนึ่งเมือง หนึ่งแนวร่วม” รายชื่อหน่วยงานหลัก

การรณรงค์ครั้งนี้เกิดจากความร่วมมือของทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาชน

  • เทศบาลนครเชียงราย (กองการแพทย์ และเครือข่าย อสส.)
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ และเครือข่ายบริการปฐมภูมิ
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองเชียงราย
  • สมาคมผู้ประกอบการท่องเที่ยว ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาในพื้นที่

โครงสร้างความร่วมมือแบบ “หนึ่งเมือง หนึ่งแนวร่วม” ทำให้การสื่อสารและการจัดคิวฉีดวัคซีนเชื่อมกับไทม์ไลน์ท่องเที่ยวได้อย่างลื่นไหล ลดคอขวด และกระจายบริการไปยังชุมชนสำคัญทั้งฝั่งตะวันออก-ตะวันตกของตัวเมือง

เชิงปฏิบัติการฉีดที่ไหน-อย่างไร-ใครได้ก่อน

เทศบาลกำหนด จุดฉีดเคลื่อนที่ ในตลาดท่องเที่ยว ถนนคนเดิน ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว และศูนย์สุขภาพชุมชนในเขตเทศบาล จัดทีมพยาบาล-เวชปฏิบัติครอบครัว และหน่วยเวชศาสตร์ครอบครัวจากโรงพยาบาลเครือข่ายลงพื้นที่ในวันพีค โดยใช้ระบบจองคิวผ่านไลน์ออฟฟิเชียลเทศบาล พร้อมรับ “วอล์ก-อิน” สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่ระบุไว้

กลุ่มเป้าหมายลำดับแรก ได้แก่ ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค บุคลากรภาคบริการท่องเที่ยว เด็กเล็กตามดุลยพินิจของแพทย์ และหญิงตั้งครรภ์ ทั้งหมดต้องผ่านการประเมินความพร้อมเบื้องต้นและได้รับคำแนะนำการดูแลหลังฉีด

บทเรียนจากปีก่อนเมื่อ “สื่อสารความเสี่ยง” คือกุญแจ

รายงานผลการฉีดวัคซีนปี 2567 สะท้อนว่า บางกลุ่มยังปฏิเสธรับวัคซีนจากความเข้าใจคลาดเคลื่อน เทศบาลจึงปรับแผนสื่อสารใหม่ ใช้ อินโฟกราฟิกง่าย ๆ สรุปประโยชน์และผลข้างเคียงที่พบบ่อย พร้อมคลิปสั้นจากแพทย์โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ตอบคำถามยอดฮิต เช่น “ฉีดแล้วป่วยได้ไหม” “คนเป็นภูมิแพ้ฉีดได้หรือไม่” และ “เว้นระยะกับวัคซีนอื่นเท่าใด” นอกจากนี้ ยังเปิดสายด่วนให้คำปรึกษาก่อนตัดสินใจ เพื่อเพิ่มอัตรารับวัคซีนจริง

ควบคุมโรคแบบ “แพ็กเกจ” หน้ากาก-ล้างมือ-อากาศถ่ายเท-หยุดเมื่อป่วย

เทศบาลย้ำว่า วัคซีนไม่ใช่ “ยาวิเศษ” หากประชาชนละเลยมาตรการพื้นฐาน จึงเดินหน้ารณรงค์ “แพ็กเกจ 4 ข้อ” คือ สวมหน้ากากเมื่อป่วย ล้างมือบ่อย เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท และหยุดเรียนหรือหยุดงานเมื่อมีไข้ไอเจ็บคอ พร้อมแนะให้ใช้ ATK คัดกรองเมื่อเริ่มมีอาการ เพื่อแยกตัวได้เร็ว ลดโอกาสแพร่เชื้อในที่ทำงานและสถานศึกษา

มองผ่านเลนส์เศรษฐกิจเมืองค่าเสียโอกาสของการ “ป่วยพร้อมกัน”

ผู้ประกอบการโรงแรมและร้านอาหารในตัวเมืองสะท้อนตรงกันว่า ปลายปีคือช่วงทำรายได้หลัก หากพนักงานลาป่วยพร้อมกัน 10–20% การให้บริการสะดุดทันที ต้นทุนจ้างงานชั่วคราวสูงขึ้น และความพึงพอใจนักท่องเที่ยวลดลง มาตรการฉีดวัคซีนและคัดกรองเชิงรุกจึงช่วย “ล็อกเสถียรภาพ” การให้บริการ และปกป้องชื่อเสียงเมืองในช่วงที่ผู้คนจับจ่ายสูง

ความพร้อมของระบบรักษาโฟกัสการคัดกรองเร็ว-รักษาเร็ว

โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์เตรียมคลินิกทางเดินหายใจช่วงพีก พร้อมแนวปฏิบัติการใช้ยาต้านไวรัสตามเกณฑ์แพทย์และระยะเวลาที่เหมาะสม ย้ำว่า ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงควรมาพบแพทย์เร็วเพื่อประเมินภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ นอกจากนี้ ระบบส่งต่อโรงพยาบาลชุมชน-ศูนย์สุขภาพชุมชนในเขตเทศบาลถูกตั้งค่าไว้ล่วงหน้า เพื่อรองรับกรณีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเฉียบพลัน

คัดกรองมะเร็งปากมดลูกฟรียกระดับคุณภาพชีวิตสตรีในเมือง

การคัดกรองมะเร็งปากมดลูกจัดควบคู่ในจุดฉีดวัคซีนหลายแห่ง เพื่อให้สตรีวัยทำงานเข้าถึงบริการได้สะดวก เทศบาลเน้นย้ำว่า มะเร็งปากมดลูก “ป้องกันและรักษาหายได้” หากตรวจพบเร็ว การผนวกบริการคัดกรองเข้ากับแผนวัคซีนจึงช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายของประชาชน และสะท้อนแนวทาง “เมืองสุขภาพดี” ที่มองสุขภาพแบบองค์รวม

จากข้อมูลสู่ยุทธศาสตร์ปีหน้าวัคซีน-ข้อมูล-ความร่วมมือ ต้องเดินพร้อมกัน

บทเรียนปี 2567 บอกเราว่า ภาระโรคสูงไม่ได้มาจากเชื้ออย่างเดียว แต่เกิดจากพฤติกรรม การเข้าถึงวัคซีน ความหนาวยาวนาน และการรวมกลุ่มในอาคารมากขึ้น เมืองจึงต้องยกระดับ 3 เรื่อง

  1. วัคซีน เพิ่มครอบคลุมในกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะเด็กเล็ก-วัยเรียน-ผู้สูงอายุ-ผู้มีโรคเรื้อรัง และแรงงานท่องเที่ยว
  2. ข้อมูล ปรับมาตรฐานฐานประชากรในการคำนวณอัตราป่วย ให้หน่วยงานและสาธารณชนใช้ตัวเลขชุดเดียวกัน
  3. ความร่วมมือ ร้อยเครือข่ายภาครัฐ-เอกชน-ชุมชน ให้สื่อสารความเสี่ยงไปในทิศทางเดียว นำไปสู่การตัดสินใจที่รวดเร็วและมีวินัยร่วมกัน

เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ เริ่มจากคนเมืองที่สุขภาพดี

การฉีดวัคซีน 5,000 โดสและคัดกรองมะเร็งปากมดลูกฟรี คือก้าวแรกในฤดูกาลนี้ แต่สาระสำคัญยิ่งกว่าคือ “วิธีคิด” ที่วางสุขภาพไว้เคียงข้างเศรษฐกิจ เทศบาลนครเชียงรายแสดงบทบาทเจ้าบ้านที่ดีด้วยมาตรการเชิงระบบ เชื่อมโรงเรียน โรงพยาบาล ตลาดท่องเที่ยว และด่านพรมแดนเข้าด้วยกัน เมื่อคนเมืองแข็งแรง นักท่องเที่ยวมั่นใจ และธุรกิจบริการเดินได้ต่อเนื่อง ภาพ “เชียงราย เมืองสุขภาพดี เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ” ก็ไม่ใช่สโลแกน หากเป็นความจริงที่สัมผัสได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (สสจ.เชียงราย)
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • ศูนย์เฝ้าระวังทางระบาดวิทยา เขตสุขภาพที่ 1
  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
  • คู่มือสื่อสารความเสี่ยงไข้หวัดใหญ่ กรมควบคุมโรค
  • สำนักทะเบียนกลาง/สถิติทางการจังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย
  • คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

3 ทางคู่ขนานสู่ทางรอด! อบจ.เชียงรายเร่งสำรวจ-อนุญาต-ขุดลอก ลำน้ำจันก่อนฤดูฝนหน้า

นายก อบจ.เชียงราย สั่งเร่งเครื่อง “ปลดล็อกลำน้ำจัน” แม่จัน—ป่าตึง แก้น้ำท่วมซ้ำซากด้วย 3 ทางคู่ขนาน สำรวจ-อนุญาต-ขุดลอกตามกฎหมาย

เชียงราย, 23 ตุลาคม 2568สัญญาณจากลุ่มน้ำที่ไม่เคยเงียบ ลำน้ำจันในอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ไม่ใช่เพียงเส้นน้ำที่ไหลผ่านทุ่งนาและชุมชน หากแต่เป็น “เส้นเลือด” ของเศรษฐกิจฐานราก—ตั้งแต่ข้าวไร่ ข้าวนา ไปจนถึงเส้นทางสัญจรและโครงสร้างพื้นฐานท้องถิ่น ทุกครั้งที่ฝนหลงฤดูกาลหรือลมมรสุมทวีแรง ระดับน้ำในลำน้ำจันขยับขึ้นอย่างฉับพลัน ภาพน้ำเอ่อสองฝั่งและข่าวสะพานขาดจึงปรากฏซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกลายเป็น “เรื่องเล่าประจำฤดู” ของแม่จันและตำบลป่าตึง โดยเฉพาะเหตุการณ์ท่วมฉับพลันหลายครั้งในช่วงปี 2566–2568 ที่ย้ำเตือนให้หน่วยงานรัฐต้องลงมือแก้ที่ “ต้นเหตุ” มากกว่าไล่ปิดจุดเสี่ยงทีละจุดในนาทีสุดท้ายของวิกฤต และยิ่งเมื่อลำน้ำแม่จัน—เครือข่ายเดียวกับลำน้ำจัน—เป็นหนึ่งในลุ่มน้ำสำคัญของเชียงราย ความชัดเจนด้าน “แผนงาน–อำนาจ–กฎหมาย” จึงต้องมาก่อนเครื่องจักรกลหนักเสมอ

อบจ.เชียงรายประกาศวาระเร่งด่วน “ลำน้ำจัน”

วันที่ 22 ตุลาคม 2568 นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย มอบหมายให้นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ. พร้อมนายประเสริฐ ชุ่มเมืองเย็น ประธานสภา อบจ. นำทีมลงพื้นที่ตรวจสอบลำน้ำจัน ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน รับฟังข้อเท็จจริงจากผู้นำท้องที่–ท้องถิ่น และประชาชน โดยสรุปสาเหตุหลักของปัญหาว่า “ทางน้ำตื้นเขินจากตะกอนดินทับถมและวัชพืชหนาแน่น” ขณะที่การเข้าเครื่องจักรขุดลอกติดข้อจำกัดเชิงกฎหมาย เพราะแนวลำน้ำบางตอนทับซ้อนพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และเป็นทางน้ำที่อยู่ในความดูแลของกรมเจ้าท่า (สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาเชียงราย) จึงต้องดำเนินการ “ขออนุญาตตามขั้นตอน” ก่อนทุกครั้ง. (ถ้อยแถลง/สรุปสาระจากการลงพื้นที่)

ประเด็นนี้ไม่ใช่ข้ออ้าง หากแต่เป็น “ข้อเท็จจริงทางกฎหมาย” ที่ทุกหน่วยในสนามต้องยึดถือการปรับปรุงลำน้ำ–ขุดลอกในทางน้ำสาธารณะอยู่ภายใต้ระเบียบกรมเจ้าท่า และเมื่อแนวลำน้ำพาดผ่านเขตป่าสงวนแห่งชาติ งานดังกล่าวต้องสอดคล้องกับกฎหมายป่าสงวนฯ และหลักเกณฑ์อนุญาตใช้ประโยชน์ในเขตป่าโดยเคร่งครัด

ภูมิทัศน์ภัยเสี่ยงลำน้ำตื้นเขิน–วัชพืชหนาแน่น–ฝนหลากเร็ว

ชุมชนริมลำน้ำจันและลุ่มน้ำแม่จันรู้ซึ้งดีว่า “ความเสี่ยงเกิดไว” แค่ฝนต่อเนื่องไม่กี่ชั่วโมง น้ำป่าไหลหลากก็ทวีแรง เกิดน้ำเอ่อสองฝั่ง กระทบพื้นที่อยู่อาศัย–ถนน–สะพาน และพื้นที่เกษตร ข้อมูลข่าวและคลิปเหตุการณ์ในช่วงปีที่ผ่านมา สะท้อนรูปแบบภัยซ้ำระดับน้ำขึ้นรวดเร็วในเวลากลางคืน ก่อนลดลงในชั่วโมงถัดมา ทิ้งโคลนตมและความเสียหายไว้เบื้องหลัง ขณะเดียวกัน สะพานและจุดข้ามที่เป็น “คอขวด” กลับยิ่งเปราะบางเมื่อทางน้ำตื้นเขิน เพราะแรงดันน้ำกระแทกโครงสร้างโดยตรงในช่วงพีก

นอกจากนี้ จุดวัดระดับน้ำใกล้สะพานบ้านป่าตึงในแม่จัน ซึ่งเผยแพร่ค่าระดับเตือนภัย–วิกฤตอย่างสม่ำเสมอ ยังชี้ให้เห็น “กระพือคลื่นระดับน้ำ” ในบางเหตุการณ์ ที่ระดับน้ำไต่เส้นเตือนภัยอย่างฉับพลัน ขีดเส้นใต้ข้อเท็จจริงว่า การรู้เท่าทันสถานการณ์แบบเรียลไทม์ และการเพิ่ม “ความสามารถระบายน้ำ” ในทางน้ำหลัก คือเงื่อนไขขั้นต่ำในการลดความเสียหายซ้ำรอบ

โครงสร้างกฎหมายทำไม “มีรถ–มีแบ็กโฮ” แต่ยังลงมือไม่ได้

1) ทางน้ำสาธารณะในกำกับกรมเจ้าท่า
ระเบียบและหลักเกณฑ์ของกรมเจ้าท่ากำหนดชัดว่า งานขุดลอกเพื่อดูแลรักษาสภาพลำน้ำ–ลำคลอง–แม่น้ำ ต้อง “ขออนุญาตเป็นหนังสือ” แนบแบบคำขอ รายละเอียดแนวขุดลอก ปริมาณวัสดุ วิธีขนย้าย–ทิ้งกอง และหนังสือยินยอมของเจ้าของที่ดินกรณีนำวัสดุขึ้นฝั่ง รวมถึงเอกสารสิ่งล่วงล้ำลำน้ำที่เกี่ยวข้อง ทั้งหมดนี้เพื่อป้องกันผลกระทบต่อการไหล–การเดินเรือ–ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมลำน้ำ

2) เขตป่าสงวนแห่งชาติในกำกับกรมป่าไม้
เมื่อแนวลำน้ำบางช่วงทับซ้อนเขตป่าสงวนฯ การเข้าดำเนินการต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ และหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนกำหนด อนุญาตเป็นรายกรณี–ตามวัตถุประสงค์–ตามช่วงเวลา และเงื่อนไขลดผลกระทบต่อทรัพยากร ก่อนจะเดินหน้าเครื่องจักรได้จริง

3) หลักคิด “กฎหมายก่อนเครื่องจักร”
สำหรับท้องถิ่น หลักคิดนี้หมายความว่า แม้องค์กรจะพร้อมด้วยเครื่องจักรและคน แต่หากยังไม่ “เคลียร์อำนาจและอนุญาต” ทุกฟันเฟืองก็ขยับไม่ได้ เพราะการขุดลอกโดยมิชอบอาจก่อผลกระทบข้ามเขต ทั้งตลิ่งพัง–ตะกอนไหล–รุกล้ำตลิ่งสาธารณะ และอาจเป็นความผิดตามหลายกฎหมายพร้อมกัน

เสียงจากสนามคำย้ำชัดของรองนายก อบจ.เชียงราย

นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ.เชียงราย ให้ข้อมูลหลังลงพื้นที่ว่า “เครื่องจักร อบจ. พร้อมเข้าทำงาน แต่ ณ ตอนนี้ยังเข้าเครื่องจักรไม่ได้ เพราะต้องรอการอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาเชียงราย และกรมป่าไม้ เพื่อให้ทุกขั้นตอนถูกต้องตามระเบียบ” พร้อมมอบหมายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 5 แห่งในแนวลำน้ำที่ได้รับผลกระทบร่วมกัน “เร่งจัดทำคำขอ–แผนที่สังเขป–แนวขุดลอก–จุดทิ้งตะกอน และเอกสารแนบ” เพื่อยื่นขออนุญาตให้ทัน “ช่วงฤดูแล้ง” ซึ่งเป็นหน้าต่างเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับงานในลำน้ำ

สาระสำคัญของถ้อยแถลงนี้ชี้เป้าไปที่ “การจัดการเชิงระบบ” มากกว่าการแก้จุดเฉพาะหน้า เพราะถ้าเอกสารไม่ครบหรือเสนอไม่ตรงตามหลักเกณฑ์ งานจะสะดุดตั้งแต่ชั้นพิจารณา และฤดูฝนรอบใหม่อาจมาถึงก่อนที่เครื่องจักรจะได้แตะตลิ่ง

จากข้อมูลสู่แผน3 ทางคู่ขนาน “สำรวจ–อนุญาต–ขุดลอก”

ทางที่ 1: สำรวจ–ออกแบบเชิงชลศาสตร์
เริ่มจากสำรวจความกว้าง–ลึก–ความลาดเอียงของท้องน้ำ ระบุ “คอขวดไฮดรอลิก” ที่เกิดจากตะกอน–ผักตบ–ไม้ล้ม–สิ่งปลูกสร้างที่ล่วงล้ำ กำหนดระยะขุดลอกและแนวตัดแต่งพืชน้ำแบบมี “บัฟเฟอร์โซน” รักษาตลิ่ง ลดการพังทลาย พร้อมกำหนดจุดพักตะกอน–จุดทิ้งกอง และเส้นทางขนย้ายที่ไม่ผ่านพื้นที่อ่อนไหว

ทางที่ 2: อนุญาต–เคลียร์กฎหมาย
ยื่นคำขอขุดลอกตามแบบของกรมเจ้าท่า (แบบ ข.1) แนบเอกสารให้ครบถ้วน รวมถึงหนังสือยินยอมพื้นที่ทิ้งกอง วางแผนเวลา–วิธีการทำงานในเขตป่าสงวนฯ ตามกรอบของกรมป่าไม้ ทำ TOR และมาตรการป้องกันผลกระทบ (เช่น ควบคุมขุ่น–ป้องกันตลิ่งพัง–จัดการตะกอน) ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เพื่อให้ฝ่ายอนุญาตพิจารณาได้เร็วและเชื่อมั่นได้

ทางที่ 3: ขุดลอก–บำรุงรักษาต่อเนื่อง
เมื่อได้รับใบอนุญาต ให้เข้าดำเนินการในฤดูแล้ง ลดความเสี่ยงน้ำหลาก ระบุ “ช่วงยกระดับมาตรฐาน” เช่น ตัดวัชพืชซ้ำทุก 3–6 เดือน ในจุดที่เป็นคอขวด ติดตามระดับความลึกหลังขุดลอก พร้อมระบบรายงานผล–โปร่งใส เปิดเผยแก่สาธารณะ

ทำไม “ฤดูแล้ง” คือหน้าต่างเวลา

งานในลำน้ำระหว่างฤดูแล้งช่วยลดผลกระทบ 3 ประการ หนึ่ง ลดความเสี่ยงน้ำขุ่นและตะกอนเคลื่อนย้ายลงท้ายน้ำ สอง เครื่องจักรทำงานได้ปลอดภัยและแม่นจุดมากขึ้น สาม เปิดพื้นที่ท้องน้ำให้พร้อมรับปริมาณน้ำช่วงต้นฤดูฝน ทั้งหมดสอดคล้องกับแนวทางของกรมเจ้าท่าที่ให้ความสำคัญต่อการดูแลสภาพลำน้ำเพื่อการเดินเรือ–ป้องกันอุทกภัย–และความปลอดภัยสาธารณะ

มิติสังคม–เศรษฐกิจ เม็ดเงินซ่อมสะพาน vs งบป้องกัน

เมื่อสะพานหรือถนนได้รับผลกระทบจากน้ำหลาก งบซ่อมบำรุงมักสูงและใช้เวลานาน ขณะที่การ “เพิ่มความสามารถระบายน้ำ” ตั้งแต่ต้นทางผ่านการขุดลอกตามหลักวิศวกรรม และการจัดระเบียบสิ่งล่วงล้ำลำน้ำตามกฎหมาย อาจใช้งบน้อยกว่าและสร้างผลคุ้มค่าในระยะกลาง–ยาว ที่สำคัญคือคืน “ความมั่นใจ” ให้ประชาชนและผู้ประกอบการ เพราะการคาดการณ์เส้นระดับน้ำในเหตุการณ์ฝนหนักจะดีขึ้น เมื่อช่องทางน้ำไม่ถูกหรี่ด้วยตะกอนและวัชพืช

รู้จักเครือข่ายลำน้ำ  “น้ำแม่จัน–น้ำจันน้อย–ลำน้ำจัน”

ฐานภูมิศาสตร์บอกเราว่า น้ำแม่จันมีสาขาสำคัญหลายเส้น รวมทั้งน้ำจันน้อย และไหลผ่านตำบลป่าตึงก่อนลงสู่พื้นที่ปลายน้ำในเชียงแสน ความยาวลำน้ำราว 86 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ลุ่มน้ำราว 236 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็น “แหล่งปลูกข้าวสำคัญ” ของเชียงราย โจทย์น้ำท่วมในแม่จัน–ป่าตึง จึงไม่ใช่เรื่องเฉพาะหมู่บ้าน แต่กระทบเครือข่ายเศรษฐกิจทั้งลุ่มน้ำ หากบริหารจัดการได้ดี ผลลัพธ์จะสะท้อนกลับเป็น “เสถียรภาพรายได้” ของครัวเรือนเกษตรจำนวนมาก

หลักฐานภาคสนาม ร่องรอยเหตุการณ์ซ้ำ–ข้อมูลเตือนภัย

ข่าวและรายงานภาคสนามต่อเนื่องในช่วงพายุฝน ปี 2566–2567–2568 ยืนยันภาพ “น้ำหลากฉับพลัน” ในแม่จันและป่าตึง แม้ทรัพย์สินเสียหายไม่รุนแรงในบางครั้ง แต่จุดวิกฤตอย่างสะพานเหล็กข้ามลำน้ำจันเคยถูกน้ำพัดขาด ขณะเดียวกัน จุดวัดระดับน้ำในป่าตึงมีเกณฑ์เตือนภัย–วิกฤตชัดเจนให้ติดตามแบบเรียลไทม์ ซึ่งหน่วยงานท้องถิ่นและประชาชนควรใช้เป็น “เรดาร์ร่วม” เพื่อกำหนดขั้นปฏิบัติการอพยพ–ปิดจุดเสี่ยง–และเปิดทางน้ำทดแทนในระยะสั้น.

แนวทางปฏิบัติ (เช็กลิสต์) สำหรับท้องถิ่น 5 องค์กรในแนวลำน้ำ

  1. ตั้ง “คณะทำงานเอกสารอนุญาต” ร่วมกับ อบจ.–สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค–หน่วยป่าไม้ ระบุแนวขุดลอก–จุดทิ้งตะกอน–บัฟเฟอร์โซนตลิ่งให้ชัด
  2. ใช้ “ข้อมูลระดับน้ำ” จากสถานีป่าตึงและจุดใกล้เคียง เป็นฐานออกแบบทางชลศาสตร์และกำหนดช่วงเวลาทำงาน
  3. จัดทำ “แผนที่สิ่งล่วงล้ำลำน้ำ” แบบเปิดเผย—ท่าเทียบเรือ ท่อ–คู–คลองเชื่อม เสา–สะพาน พร้อมแผนรื้อเฉพาะที่จำเป็นตามกฎหมาย
  4. กำหนด “มาตรการสิ่งแวดล้อม” เฉพาะจุด เช่น ผ้ากรอง–บ่อดักตะกอน–เสริมตลิ่งแบบนุ่ม ลดการพังทลายหลังขุด
  5. ออกแบบ “ปฏิทินบำรุงรักษา” ตัดวัชพืชซ้ำ–กำจัดตะกอนคอขวดทุก 3–6 เดือน โดยรายงานต่อสาธารณะ

เสียงประชาชนต้องมากับ “ข้อมูลที่จับต้องได้”

ความเชื่อมั่นของชุมชนไม่ได้เกิดจากรถแบ็กโฮที่ลงทำงานเท่านั้น แต่อยู่ที่ “ข้อมูล–กติกา–ความโปร่งใส” เช่น ป้ายประชาสัมพันธ์หน้าพื้นที่ทำงาน แสดงแผนที่แนวขุด–ปริมาณตะกอน–ช่วงเวลา–ผู้รับผิดชอบ–เลขที่ใบอนุญาตกรมเจ้าท่า–เลขที่อนุญาตเขตป่าสงวนฯ และช่องทางร้องเรียน เมื่อประชาชนเห็นกระบวนการครบถ้วน จะพร้อมเป็น “ผู้ร่วมเฝ้าระวัง” มากกว่าเป็นเพียง “ผู้ถูกกระทบ”

 “ฤดูแล้งนี้” คือความท้าทาย

ถ้าทุกเอกสารสามารถยื่นและพิจารณาได้ทันฤดูแล้งปีนี้ โอกาสแก้คอขวดไฮดรอลิกในช่วงสำคัญของลำน้ำจันจะสูงขึ้นมาก ระดับน้ำพีกในฤดูฝนถัดไปมีแนวโน้มลดลง และความเสียหายต่อสะพาน–ถนน–พื้นที่เกษตรจะลดความถี่ลง แต่หากเอกสารสะดุดหรือติดเงื่อนไขพื้นที่ซับซ้อน งานขุดลอกอาจต้องเลื่อนไป ซึ่งหมายถึง “ต้นทุนเวลา” ที่ชุมชนต้องแบกรับ

กฎหมาย–เครื่องจักร–ชุมชน ต้องเดินพร้อมกัน

กรณีลำน้ำจัน ป่าตึง–แม่จัน คือบทพิสูจน์ของการบริหารจัดการเชิงบูรณาการ อบจ.เป็นแม่งานประสาน เชื่อม 5 ท้องถิ่นให้ยื่นอนุญาตเร็ว กรมเจ้าท่ากำกับตามหลักวิชาชีพและความปลอดภัยทางน้ำ กรมป่าไม้สร้างสมดุลการใช้ประโยชน์–การอนุรักษ์ ขณะที่ชุมชนช่วยเฝ้าระวัง–แจ้งเตือนและร่วมดูแลตลิ่ง หาก “เอกสาร–วิศวกรรม–การมีส่วนร่วม” เดินทันฤดูแล้ง เครื่องจักรจะได้ลงทำงานอย่างถูกต้อง และฤดูฝนหน้าจะไม่เป็น “ฤดูซ้ำรอย” อีกต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • กฎหมายป่าสงวนแห่งชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

พาณิชย์เร่งคุมเกม “ข้าวเหนียวเชียงราย” เปิดตลาดนัดข้าวเปลือก-เข้มเครื่องชั่ง ปิดช่องกดราคา

พาณิชย์เร่งคุมเกม “ข้าวเหนียวเชียงราย” ช่วยเกษตรกรขายได้เป็นธรรม เปิดตลาดนัดข้าวเปลือก–เข้มเครื่องชั่ง–ชูกรอบกฎหมาย ปิดช่องกดราคา

เชียงราย,23 ตุลาคม 2568 – สัญญาณเตือนจากทุ่งนา และแผนตอบสนองที่ต้องทันเวลา เสียงสะท้อนจากชาวนาอำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย ในช่วงต้นฤดูเก็บเกี่ยวปีนี้ ไม่ได้เป็นเพียง “ข่าวปลายไร่” อีกต่อไป เมื่อความกังวลเรื่องระบายผลผลิตและแรงกดราคาหวนกลับมาในจังหวะผลผลิตเริ่มเทลงตลาด รัฐจึงขยับทันที กรมการค้าภายในประสานสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย สหกรณ์การเกษตร และโรงสีในพื้นที่ เพื่อยืนยัน “ช่องทางขายมีจริง–รับซื้อมีต่อเนื่อง–การซื้อขายต้องโปร่งใส” พร้อมเปิดแผน “ตลาดนัดข้าวเปลือก” สองระลอกในเดือนพฤศจิกายน และส่งทีมชั่งตวงวัดลงพื้นที่ ตรวจเครื่องชั่ง–เครื่องวัดความชื้น และป้ายราคารับซื้อให้ชัดเจนตามกฎหมายที่บังคับใช้ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นมา เพื่อปิดทางเอาเปรียบเกษตรกรอย่างเด็ดขาด

ภาพรวมสถานการณ์ข้าวเหนียวครองสัดส่วน 62%—ตัวเลขที่บอกทั้ง “โอกาส” และ “แรงกดดัน”

ข้อมูล ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2568 ระบุว่า จังหวัดเชียงรายมีผลผลิตข้าวออกสู่ตลาดแล้ว 24% หรือ 202,854 ตัน จากประมาณการผลผลิตทั้งหมด 845,225 ตัน โดยเป็นข้าวเหนียวมากที่สุด 539,977 ตัน คิดเป็น 62% ข้าวเจ้า 22% ข้าวหอมมะลิ 14% และข้าวหอมปทุม 2% ด้านราคารับซื้อ “ข้าวเหนียว” ความชื้น 25–30% อยู่ที่ 6.70–7.30 บาทต่อกิโลกรัม ตัวเลขเหล่านี้ชี้ชัดว่าความเข้มข้นของข้าวเหนียวในโครงสร้างผลผลิตปีนี้ คือ “ฐานรายได้หลัก” ของครัวเรือนนาในพื้นที่ แต่ก็คือ “แรงกดดันราคา” หากกลไกตลาดไม่โปร่งใสพอหรือการแข่งขันไม่เป็นธรรม

ปฏิบัติการเชิงรุก “ตลาดนัดข้าวเปลือก” + “เข้มงวดเครื่องมือวัด” + “กฎหมายเอาผิด”

เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองให้เกษตรกรและผ่อนแรงกดดันด้านราคา กรมการค้าภายในร่วมกับจังหวัดกำหนด “ตลาดนัดข้าวเปลือก” จำนวน 2 ครั้ง

  • ระหว่าง 11–13 พฤศจิกายน 2568 ที่สหกรณ์การเกษตรป่าแดด จำกัด อำเภอป่าแดด
  • และ 18–20 พฤศจิกายน 2568 ที่สหกรณ์การเกษตรแม่สาย จำกัด อำเภอแม่สาย

เวทีนี้เปิดให้ชาวนานำผลผลิตมาพบผู้ซื้อหลากรายมากขึ้น เกิดการแข่งขันราคา โปร่งใส และตรวจสอบได้ ขนาบด้วยมาตรการ “คุมเข้ม” การชั่งตวงวัด ลงพื้นที่ตรวจเครื่องชั่ง–เครื่องวัดความชื้น และกำกับให้สถานประกอบการติดป้ายราคารับซื้ออย่างชัดเจนตามกฎหมาย ซึ่งหากพบการฝ่าฝืน เช่น ไม่ติดป้ายราคา ติดป้ายไม่ถูกต้อง หรือใช้อุปกรณ์ไม่ได้มาตรฐาน จะมีโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 และประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ที่เพิ่งประกาศใช้ในปีนี้

“กรมฯ ติดตามสถานการณ์รับซื้ออย่างใกล้ชิด และย้ำให้มั่นใจว่าการรับซื้อเป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม หากพบการเอาเปรียบเกษตรกร จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด” — นางสาวญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน (สรุปสาระคำให้สัมภาษณ์)

กรอบกฎหมายที่ “ฟันได้จริง” จากป้ายราคา–เครื่องชั่ง สู่บทลงโทษจำคุก

เครื่องมือทางกฎหมายคือฐานความเชื่อมั่นที่ทำให้มาตรการภาคสนาม “กัดได้จริง” โดยเฉพาะ ประกาศ กกร. ฉบับที่ 69 พ.ศ. 2568 เรื่องการแสดง “ราคารับซื้อสินค้าเกษตร” ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่ 2 กรกฎาคม 2568 กำหนดให้ผู้รับซื้อในห่วงโซ่ต้องแสดงราคารับซื้อให้ชัดเจน โปร่งใส และตรวจสอบได้ ทั้งนี้ หาก “ไม่ปิดป้ายราคา” หรือ “แสดงราคาไม่ถูกต้อง” มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และหาก “กดราคา” หรือ “เอาเปรียบเกษตรกร” เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 อาจมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งถือเป็นสัญญาณ “แดงก้าวข้ามเหลือง” ให้ผู้เล่นในตลาดต้องยึดกติกาอย่างเคร่งครัด

พญาเม็งราย จุดเริ่ม “เสียงกังวล” ที่กลายเป็น “แผนปฏิบัติการ”

กรณีเกษตรกรในอำเภอพญาเม็งรายสะท้อนความห่วงใยเรื่องการขายผลผลิต คือเหตุปัจจัยที่ทำให้หน่วยงานรัฐ “ลงมือทันที” สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายเชิญสหกรณ์–โรงสี–ตัวแทนเกษตรกร ประชุมคลี่สถานการณ์ เร่งยืนยัน “สหกรณ์รับซื้อได้ต่อเนื่อง” ไม่มีการหยุดหรือปฏิเสธรับซื้อ และระดมโรงสีในจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียงเข้ารับซื้อเพิ่มในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงราคาถูกกด และทำให้ตลาดแข่งขันอย่างเป็นธรรมมากขึ้น

ตลาดนัดข้าวเปลือก” เวทีแข่งขันราคาที่เห็นผลเร็ว

ตลาดนัดข้าวเปลือกมิใช่เพียง “อีเวนต์ขายข้าว” แต่เป็นการสร้าง แพลตฟอร์มแข่งขันราคา ในระยะสั้น ให้ชาวนาพบผู้ซื้อได้โดยตรงมากขึ้น รัฐ–สหกรณ์–โรงสี–ผู้ซื้อจากนอกพื้นที่จึงมารวมกันในจุดเดียว ขยายจำนวน “ผู้เสนอราคา” ให้มากกว่าโครงสร้างปกติที่มีผู้ซื้อจำกัด และหากเชื่อมโยงกับระบบตรวจเครื่องชั่ง–วัดความชื้น–ป้ายราคาในพื้นที่ จะทำให้การประกาศราคาในตลาดนัดกลายเป็น “จุดอ้างอิง” ที่กดแรงฮั้วหรือการบิดเบือนราคาได้ในทางปฏิบัติ. ขณะเดียวกัน การรวมผู้ซื้อจำนวนมากไว้ในที่เดียว ยังลดต้นทุนธุรกรรมของชาวนา ทั้งเรื่องการเดินทางและเวลา เป็นผลบวกทางเศรษฐศาสตร์จุลภาคที่สะท้อนในกระเป๋าเงินอย่างชัดเจน

 “โครงสร้างผลผลิต” และ “กรอบราคารับซื้อ”

  • ผลผลิตออกสู่ตลาด: 24% หรือ 202,854 ตัน จากรวม 845,225 ตัน (ณ 19 ต.ค. 2568)
  • สัดส่วนข้าวเหนียว: 62% หรือ 539,977 ตัน (ฐานหลักรายได้เกษตรกรนาในพื้นที่)
  • ราคารับซื้อข้าวเหนียว (ความชื้น 25–30%): 6.70–7.30 บาท/กก.

ตัวเลขทั้งสามเส้นนี้สะท้อน “โจทย์กำกับตลาด” ที่ต้องเร่งจัดการ เพราะยิ่งส่วนแบ่งข้าวเหนียวสูง แรงกดดันด้านราคายิ่งมีแนวโน้มชัด หากการแข่งขันไม่เปิดกว้างพอหรือมาตรฐานการซื้อขายขาดความโปร่งใส

พันธุ์ “กข 22” กับปัญหากลายพันธุ์ จากข้อร้องเรียนสู่กระบวนการพิสูจน์

อีกประเด็นที่รัฐต้องเร่งขานรับ คือข้อเรียกร้องเรื่องพันธุ์ กข 22 ที่เกษตรกรบางส่วนระบุว่า “ไม่ได้คุณภาพ” เพราะเกิดปัญหากลายพันธุ์ จนทำให้ขายได้ราคาไม่ดีดังเดิม กรมการค้าภายในจึงประสานหน่วยงานในพื้นที่และ กรมการข้าว เพื่อ “ลงพื้นที่พิสูจน์พันธุ์” แยกให้ชัดว่าความผิดปกติเกิดที่ใด—เมล็ดพันธุ์ การเพาะปลูก หรือกระบวนการหลังเก็บเกี่ยว—ก่อนจะกำหนดมาตรการแก้ไขที่ตรงจุดต่อไป นี่คือตัวอย่างของ “ลูปข้อมูล–วิทยาศาสตร์–นโยบาย” ที่ต้องทำงานร่วมกัน เพื่อไม่ให้ “ราคา” เป็นคำตอบสุดท้ายของปัญหาเชิงโครงสร้าง

ภูมิทัศน์การแข่งขัน บทบาท “โรงสี–สหกรณ์” และเครือข่ายนอกพื้นที่

สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายได้ประสาน ชมรมโรงสีข้าวจังหวัด และเครือข่ายโรงสีในพื้นที่ใกล้เคียง ให้เข้าร่วมรับซื้อในช่วงผลผลิตออกมาก เพื่อเพิ่มคู่แข่งด้านราคาและดึง “ราคาอ้างอิง” ให้สะท้อนอุปสงค์–อุปทานจริงมากขึ้น ขณะเดียวกัน “สหกรณ์การเกษตร” ในจังหวัดยังทำหน้าที่เป็น “กลไกหลัก” ด้านการรับซื้อ–รวบรวม–เชื่อมต่อกับผู้ซื้อปลายน้ำ ซึ่งในหลายพื้นที่ได้ขยายความร่วมมือกับภาคเอกชนผ่าน MOU รับซื้อข้าวในราคายุติธรรม เพื่อถัก “เสถียรภาพตลาด” ให้แน่นขึ้นในระยะกลาง

ชุดมาตรการ “รักษาเสถียรภาพราคาข้าว” ระดับประเทศ

ควบคู่ปฏิบัติการภาคสนาม รัฐบาลยังเดินนโยบายเชิงระบบ อาทิ โครงการสินเชื่อชะลอการขายและมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวนาปี 2568/69 เพื่อเสริมสภาพคล่อง–ยืดการขาย และลดแรงเทขายเมื่อผลผลิตออกกระจุกตัว มาตรการชุดนี้ช่วย “คาน” แรงกดราคาจากฝั่งอุปทาน และเชื่อมโยงกับตลาดในระดับจังหวัดอย่างเชียงรายที่กำลังเดินหน้ามาตรการคุมเกมการซื้อขายอย่างใกล้ชิด

กรณีศึกษา “การคุ้มครองเชิงรุก”  เมื่อกฎหมาย + การตรวจสอบ ณ จุดซื้อ ทำงานร่วมกัน

หัวใจสำคัญของการคุ้มครองเกษตรกรคือ “การบังคับใช้กฎหมายเชิงรุก” ไม่ใช่รอให้เกิดปัญหาจึงค่อยแก้ การลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ชั่งตวงวัดไปยังจุดรับซื้อ ทำให้ “มาตรฐานการซื้อขาย” ถูกยกขึ้นในระดับเดียวกัน ไม่ว่าผู้ซื้อจะเป็นโรงสีรายใหญ่ ผู้รวบรวม หรือผู้ค้ารายย่อย การตรวจเครื่องชั่ง–เครื่องวัดความชื้น และการบังคับ “ป้ายราคารับซื้อ” ตามประกาศ กกร. ทำให้การเอาเปรียบทำได้ยากขึ้น และหากมีการกดราคาโดยไม่เป็นธรรม ก็จะมี “หลักฐาน” สำหรับดำเนินคดีได้ทันที ซึ่งแตกต่างจากอดีตที่ข้อพิพาทมักจบเพียง “คำต่อคำ”

เสียงจากกรมการค้าภายใน

สาระสำคัญจากคำชี้แจงของ นางสาวญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน สะท้อน 3 ประเด็นหลัก

  1. ความต่อเนื่องของการรับซื้อ—สหกรณ์ในพื้นที่ไม่ได้หยุดหรือปฏิเสธการรับซื้อ เพื่อให้ชาวนามั่นใจว่าขายได้จริง
  2. ตลาดนัดข้าวเปลือก—เป็นเครื่องมือเพิ่มอำนาจต่อรอง และสร้างสภาพแข่งขันราคาในช่วงผลผลิตล้น
  3. การคุ้มครองตามกฎหมาย—ส่งเจ้าหน้าที่ตรวจเข้มเครื่องชั่ง–วัดความชื้น–ป้ายราคา และพร้อมดำเนินคดีหากพบการเอาเปรียบ

แม้ข้อความที่สื่อออกมาจะกระชับ แต่หาก “แปลความ” สู่งานภาคสนาม นี่คือการส่งสัญญาณ “รัฐอยู่ตรงหน้าไซโล” ไม่ใช่อยู่แค่หลังโต๊ะ

ข้อเสนอเชิงปฏิบัติสำหรับเกษตรกร ใช้สิทธิ–ลดความเสี่ยง–เพิ่มอำนาจต่อรอง

  • ตรวจสภาพความชื้น ให้ใกล้มาตรฐานที่ตลาดยอมรับ เพื่อไม่ถูกกดราคาระหว่างชั่ง
  • ชั่งน้ำหนักก่อนขาย ที่จุดชั่งอิสระของสหกรณ์ในพื้นที่ เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง
  • บันทึกภาพป้ายราคา ณ จุดรับซื้อ พร้อมวัน–เวลา เพื่อเป็นหลักฐานอ้างอิง
  • ขายผ่านตลาดนัดข้าวเปลือก ในวันที่กำหนด เพื่อเปิดเวทีแข่งขันราคาหลายราย
  • ร้องเรียน 1569 เมื่อพบพฤติกรรมเอาเปรียบ หรือพบเครื่องมือชั่ง–วัดไม่ได้มาตรฐาน

ข้อปฏิบัติเหล่านี้สอดรับกับกรอบกฎหมายและมาตรการของรัฐ และสำคัญที่สุดคือ “เกษตรกรต้องมีข้อมูลในมือ” ทุกครั้งก่อนตัดสินใจ

จากฤดูเก็บเกี่ยวนี้ สู่ “ระเบียบวินัยตลาด” ระยะยาว

ปฏิบัติการในเชียงรายวันนี้ คือภาพจำลองของ “วินัยตลาดสินค้าเกษตร” ที่ควรเกิดทั่วประเทศ—ข้อมูลราคาเปิดเผย ตรวจสอบได้ เครื่องมือวัดได้มาตรฐาน ผู้ซื้อ–ผู้ขายรู้สิทธิ–รู้หน้าที่ และรัฐ “เปิดไฟหน้า–ยืนอยู่ในตลาดจริง” เมื่อทั้งห่วงโซ่ทำงานบนกติกาเดียวกัน ผลที่เกิดขึ้นย่อมมากกว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะจะกลายเป็น “ความคาดหวังใหม่” ของผู้เล่นในตลาด—กติกาที่ชัดเจน ยุติธรรม และทำให้รายได้ของครัวเรือนเกษตร คาดเดาได้มากขึ้น ในทุกฤดูกาล.

 “ขายได้ เป็นธรรม ตรวจสอบได้” ต้องเกิดพร้อมกัน

เรื่องเล่าจากพญาเม็งรายอาจเริ่มจากความกังวลของชาวนา แต่วันนี้กำลังขยายผลเป็นชุดปฏิบัติการเต็มรูปแบบ—สหกรณ์รับซื้อต่อเนื่อง ตลาดนัดข้าวเปลือก 2 ระลอก โรงสีใน–นอกจังหวัดเข้าร่วมแข่งราคา เจ้าหน้าที่ชั่งตวงวัดลงพื้นที่ และ “กรอบกฎหมายใหม่” ที่บังคับให้แสดงราคารับซื้อ ตอกย้ำความโปร่งใส พร้อมบทลงโทษชัดเจน การขับเคลื่อนเช่นนี้ไม่ได้หมายถึงการ “แก้ข่าว” แต่คือการ “แก้ตลาด” ให้เดินได้ด้วยตัวเอง และที่สุดแล้ว “ขายได้–เป็นธรรม–ตรวจสอบได้” จะไม่ใช่แค่สโลแกน หากทุกข้อกำหนดและการบังคับใช้ดำเนินไปอย่างจริงจังในทุกจุดรับซื้อของจังหวัด.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมการค้าภายใน
  • สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“นายกนก” ลุยนโยบาย ขยาย “มหกรรมไม้ดอกโซนอำเภอ” กู้ชีพหนองหลวงรับฤดูกาลท่องเที่ยว

นายกนก” ลุยนโยบายท่องเที่ยวทั้งจังหวัด อบจ.เชียงรายจับมือเวียงชัย จัด “มหกรรมไม้ดอกโซนอำเภอ” ควบคู่ปฏิบัติการกู้ชีพ “หนองหลวง” เร่งเคลียร์ผักตบ 40% ภายใน 28 วัน รับฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี

เชียงราย, 21 ตุลาคม 2568 – เมื่อเสียงลมหนาวกระทบยอดดอยและแม่น้ำกกเริ่มนิ่งสงบ เมืองเชียงรายก็กำลังเตรียมตัวต้อนรับเทศกาลปลายปีด้วย “สองภารกิจใหญ่” ที่เดินหน้าไปพร้อมกันอย่างมีทิศทาง—ภารกิจแรกคือการ ขยายงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย ออกจากตัวเมืองสู่ระดับ “โซนอำเภอ” โดยเลือก อำเภอเวียงชัย เป็นจุดเริ่มต้น เพื่อแผ่รัศมีเศรษฐกิจสร้างสรรค์และท่องเที่ยวไปให้ถึงชุมชนฐานราก; ภารกิจที่สองคือ ปฏิบัติการกู้ชีพ “หนองหลวง” แหล่งน้ำสำคัญของเวียงชัยที่ถูกวัชพืชน้ำรุกคืบยาวนาน—วันนี้เริ่มเห็นทางออกด้วยตัวเลขก้าวกระโดด กำจัดผักตบชวาแล้วกว่า 40% ภายใน 28 วัน

การขับเคลื่อนครั้งนี้นำโดย อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ หรือที่ชาวบ้านคุ้นปากเรียกว่า “นายกนก” นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ซึ่งย้ำทิศทางนโยบาย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ว่าต้องไปไกลกว่า “อีเวนต์สวยงาม” และต้องลงถึง “พื้นที่จริง” เพื่อให้เกิดผลทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่จับต้องได้

มหกรรมไม้ดอก “โซนอำเภอ” จุดติดเศรษฐกิจฐานราก

ภาพจำของงานไม้ดอกเชียงรายในช่วงหลายปีที่ผ่านมามักผูกอยู่กับพื้นที่ใจกลางเมือง—สวนไม้งามริมน้ำกก—ซึ่งจะยังคงเป็น “เวทีหลัก” ของเทศกาลปลายปีนี้ ระหว่าง 18 ธันวาคม 2568 – 7 มกราคม 2569 แต่ปีนี้ อบจ.เชียงรายเพิ่มเดิมพันด้วยการ “แตกจุดจัด” ไปยัง อำเภอเวียงชัย เปิดโซนใหม่ภายใต้ชื่อ มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย โซนอำเภอ เวียงชัย” ในช่วงเวลาเดียวกัน เพื่อกระจาย “นักท่องเที่ยว–รายได้–โอกาส” ออกจากตัวเมืองสู่ชุมชน

เหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ ของการย้ายบางกิจกรรมไปโซนอำเภอมีอย่างน้อย 3 ข้อ

  1. กระจายประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ให้กับผู้ประกอบการรายย่อยในท้องถิ่น—ตั้งแต่โฮมสเตย์ ร้านอาหาร ไปจนถึงสินค้าชุมชน
  2. เพิ่มจุดหมาย สำหรับนักท่องเที่ยวให้เดินทาง “วนรอบจังหวัด” แทนการเที่ยวเพียงย่านเดียว ลดการแออัดของเมือง
  3. ต่อยอดทรัพยากรพื้นที่ โดยเฉพาะ “หนองหลวง” ให้กลับมาเป็นเวทีท่องเที่ยวเชิงนิเวศ พร้อมพื้นที่กิจกรรมริมน้ำที่มีเอกลักษณ์เฉพาะเวียงชัย

การตัดสินใจเชิงนโยบายนี้ถูกแปรรูปเป็นงานปฏิบัติเมื่อ 20 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา—นายกนก พร้อม สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย (ส.อบจ.) และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ลงนั่งโต๊ะประชุมกับผู้นำ ท้องที่–ท้องถิ่น อ.เวียงชัย ณ ห้องประชุมธรรมรับอรุณ ชั้น 2 อบจ.เชียงราย เพื่อ ล็อกแผนภูมิทัศน์–พื้นที่กิจกรรม–ผลประโยชน์ชุมชน ให้ไปในทิศทางเดียวกัน

“งานใหญ่จะมีความหมายก็ต่อเมื่อชาวบ้านมีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์จริง—เราจะทำให้ ทุกอำเภอมี ‘เรื่องเล่า’ ของตัวเอง และนำเสนอเชียงรายในแบบที่หลากหลายตลอดทั้งปี” – แนวคิดที่ทีมงานอ้างถึง นายกนก ในที่ประชุม

 “หนองหลวง” แหล่งน้ำใหญ่กำลังขอความช่วยเหลือ

เบื้องหลังการขยับขยายงานไม้ดอกไปเวียงชัย มี “เงื่อนไขสำคัญ” ที่ทีมงานต้องเร่งแก้ไขให้ได้ก่อน—คือการฟื้นฟู หนองหลวง” แหล่งน้ำขนาดใหญ่ของอำเภอที่ ผักตบชวาและวัชพืชน้ำ บุกรุกหนาแน่นมานาน ส่งผลให้ทิวทัศน์เสื่อมโทรม ระบบนิเวศอ่อนแอ และประโยชน์ใช้สอยของชุมชนลดลง

Storytelling ของหนองหลวง—ในความทรงจำของคนเวียงชัย หนองหลวงเคยเป็นพื้นที่ทอดสายลมเย็น มีแพประมงและเส้นทางจักรยานเลียบฝั่งน้ำ เด็ก ๆ ลงเล่นน้ำช่วงปิดเทอม ผู้เฒ่าผู้แก่พายเรือวางอีจู้ดักปลา เมื่อเวลาผ่านไป วัชพืชก็มากับน้ำดีและตะกอน ทับถมจนผิวหนองแน่นขึ้นทุกปี ความงามค่อย ๆ ถูกบัง—และเทศกาลปลายปีที่กำลังจะมาถึง กลายเป็น “แรงผลัก” ให้การฟื้นฟูครั้งใหญ่ต้องเริ่มต้นอย่างจริงจัง

หน่วยปฏิบัติการ ของ อบจ.เชียงราย จึงถูกส่งเข้าแนวหน้า—นำโดย พันจ่าเอกทวีป เชี่ยวสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งเปิดเผยความคืบหน้าว่า ตลอด 28 วันของการทำงานต่อเนื่อง สามารถเคลียร์พื้นที่วัชพืชแล้วกว่า 40% ของเป้าหมาย ตัวเลขนี้ไม่เพียงหมายถึงทิวทัศน์ที่โปร่งตา หากยังส่งผลเชิงโครงสร้าง 3 ประการ ได้แก่

  • ด้านท่องเที่ยว เปิดฉากให้กิจกรรมริมน้ำและเส้นทางเดิน–ปั่นจักรยานกลับมาเป็นไฮไลต์ของเวียงชัย
  • ด้านป้องกันภัย เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ ลดจุดอุดตัน ลดความเสี่ยงน้ำท่วมเฉียบพลัน
  • ด้านคุณภาพชีวิต คืนความสะอาดให้แหล่งน้ำชุมชน สร้างโอกาสต่อยอด เกษตร–ประมงพื้นบ้าน อย่างปลอดภัย

ทีมงานเดินแผน เร่ง–รัด–ละเอียด” ควบคู่กัน—ใช้งานเครื่องจักรหนักกำจัดผักตบชวาเป็นตอตั้ง จากนั้นเก็บเศษซากขึ้นฝั่งเพื่อขนย้ายไปกำจัดอย่างถูกวิธี ปิดท้ายด้วยการปรับสโลป–เกลี่ยตลิ่งให้เป็นแนวทางเดินเล่น–ปั่นจักรยานที่เชื่อมพื้นที่กิจกรรมหลักของงานไม้ดอก

 “สวนไม้งามริมน้ำกก” กับ “โซนเวียงชัย” – สองเวที หนึ่งประสบการณ์

งานมหกรรมไม้ดอกปลายปีนี้ถูกวางตำแหน่งเป็น “ของขวัญส่งท้ายปี” ให้คนเชียงรายและนักท่องเที่ยว ทั้งในเชิง ภาพลักษณ์เมืองงาม และ แรงส่งเศรษฐกิจท่องเที่ยว โดย อบจ.เชียงรายกำหนดให้ สวนไม้งามริมน้ำกก ทำหน้าที่เป็น “เวทีหลัก” ที่ผู้คนคุ้นเคย—เนรมิตทุ่งดอกไม้หลากสีพร้อมโครงสร้างศิลป์ร่วมสมัย ขณะเดียวกัน โซนเวียงชัย จะเป็น “เวทีย่อย” ที่โดดเด่นด้วย เรื่องเล่าท้องถิ่น และ กิจกรรมริมน้ำ เช่น ตลาดชุมชน โซนชิม–ช็อป–เช็กอิน และพื้นที่เดิน–ปั่นชมวิวหนองหลวงที่เพิ่งรีเฟรช

การจัด สองเวทีคู่ขนานในช่วงเวลาเดียวกัน มีเป้าหมายให้ผู้มาเยือนใช้เวลาในจังหวัดนานขึ้น—จาก “ทริปเช้าเย็นกลับ” กลายเป็น ค้างคืน 2–3 คืน กระจายการจับจ่ายในวงกว้างขึ้น โดยผู้ประกอบการที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ตรง ได้แก่ ที่พักขนาดเล็ก โฮมสเตย์ ร้านอาหารชุมชน ผู้ผลิตสินค้าพื้นเมือง และผู้ให้บริการนำเที่ยวท้องถิ่น

โครงสร้างการทำงาน ผนึกกำลัง “ท้องที่–ท้องถิ่น–ท้องถิ่นใหญ่”

เพื่อให้ระบบเดินหน้าอย่างไร้รอยต่อ อบจ.เชียงรายขับเคลื่อนผ่าน สามวงแหวนความร่วมมือ

  1. วงใน – ทีมปฏิบัติการ อบจ. ฝ่ายปกครอง, สำนักช่าง, ฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม ทำหน้าที่วางแบบ–เร่งงาน–กำกับมาตรฐานความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม
  2. วงกลาง – อำเภอเวียงชัยและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เทศบาล/อบต. ร่วมกำหนดพื้นที่ เวลาจัดกิจกรรม ระบบจราจร–ที่จอดรถ และเงื่อนไขการใช้พื้นที่ของชุมชนเพื่อให้ “คนในพื้นที่ได้ประโยชน์สูงสุด”
  3. วงนอก – ภาคีเครือข่ายเศรษฐกิจและสังคม ภาคธุรกิจท่องเที่ยว, โรงแรม, กลุ่มอาชีพ, ภาคประชาสังคม ทำบทบาท “สื่อสาร–ต้อนรับ–ดูแลนักท่องเที่ยว” ให้ประสบการณ์โดยรวมของผู้มาเยือนราบรื่น

ในเชิงธรรมาภิบาล ทีมงานย้ำหลัก โปร่งใส–ตรวจสอบได้–มีส่วนร่วม” เช่น การชี้แจงข้อมูลการปรับภูมิทัศน์และการใช้พื้นที่สาธารณะต่อชุมชนรอบหนองหลวง การเปิดช่องทางรับฟังข้อเสนอแนะก่อนปิดแบบพื้นที่กิจกรรม และการตั้งคณะทำงานร่วมติดตามความคืบหน้ารายสัปดาห์จนถึงวันเปิดงาน

ตัวเลขเล็ก ๆ ที่เล่าเรื่องใหญ่ของเมือง

  • 28 วัน – 40%: คือความคืบหน้ากำจัดวัชพืชน้ำในหนองหลวงภายใต้การนำของฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย—ตัวเลขที่ไม่เพียงสะท้อน “ความเร็ว” แต่หมายถึง “ความตั้งใจ” ที่ถูกแปลงเป็นผลลัพธ์จริงบนพื้นที่
  • 18 ธ.ค. 2568 – 7 ม.ค. 2569: เป็น “ช่วงโกลเดนไทม์” ของการท่องเที่ยวปลายปี—การเลือกจัดงานไม้ดอกในช่วงนี้คือการกดปุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นด้วยจังหวะเวลา
  • เที่ยวได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ”: สโลแกนที่กำลังถูกพิสูจน์ผ่านการลงมือในเวียงชัย—หากโมเดลโซนอำเภอสำเร็จ สามารถขยายไปสู่อำเภออื่น ๆ ได้ทันที ทั้งแม่จัน แม่สาย พาน เชียงของ ฯลฯ โดยปรับ “เรื่องเล่า–สินค้า–กิจกรรม” ให้เหมาะกับบริบทพื้นที่

ทำอย่างไรให้ “โซนอำเภอ” เป็นมากกว่าพื้นที่เสริม

เพื่อให้การจัดมหกรรมไม้ดอกในระดับอำเภอไม่ใช่เพียง “สีสันตามเทศกาล” แต่เป็น โครงสร้างการพัฒนาเชิงพื้นที่ ที่ยืนระยะได้ ข่าวชิ้นนี้สรุป ข้อเสนอเชิงระบบ 5 ประการจากการแลกเปลี่ยนในที่ประชุมและภาคสนาม ดังนี้

  1. วางผังประสบการณ์ (Experience Mapping) – กำหนดจุดเริ่ม–จบ เส้นทางเดิน–ปั่น จุดถ่ายรูป จุดชิม–ช็อป และจุดพัก เพื่อควบคุมโฟลว์นักท่องเที่ยวและลดคอขวด
  2. โควตาพื้นที่ขายสำหรับชุมชน – กันสัดส่วนพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้วิสาหกิจชุมชน–OTOP–เกษตรแปรรูปในเวียงชัย เพื่อให้รายได้ตกสู่คนในพื้นที่อย่างแท้จริง
  3. กฎสิ่งแวดล้อมเข้ม–สื่อสารเป็นสากล – กำหนดมาตรฐานขยะ แยกถัง จุดรับคืนบรรจุภัณฑ์ พร้อมสื่อสาร 2 ภาษา (ไทย–อังกฤษ) อย่างชัดเจน
  4. ความปลอดภัยน่านฟ้า–ภาคพื้น – ประสานท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงฯ ตำรวจ–ท้องถิ่น ย้ำมาตรการ งดโคม–ควบคุมโดรน ในช่วงกิจกรรมเพื่อความปลอดภัยของการบินและผู้ร่วมงาน
  5. ระบบติดตามหลังงาน (After Action Review) – เก็บข้อมูลผู้เข้าร่วม ยอดใช้จ่าย ปัญหา–ข้อเสนอแนะ เพื่อนำไปปรับปรุงโมเดลโซนอำเภอในปีถัดไป

เสียงสะท้อนจากพื้นที่ งานใหญ่ที่ชาวบ้านต้องเป็น “เจ้าของร่วม”

แม้ข่าวนี้จะเป็นการรายงานจากฝั่งนโยบายและการปฏิบัติงานของ อบจ.เชียงราย แต่หัวใจของความสำเร็จอยู่ที่ การมีส่วนร่วมของชุมชน—ทั้งในบทบาทผู้จัด ผู้ต้อนรับ และผู้เก็บรักษาพื้นที่หลังงานเลิก “งานของเมือง” จะยั่งยืนได้ต่อเมื่อ “เป็นงานของชุมชน” ด้วย

เวทีหารือกับผู้นำท้องที่–ท้องถิ่นเวียงชัยจึงเน้นคำถามพื้นฐานที่สำคัญ เช่น จะทำอย่างไรให้ตลาดชุมชนต่อยอดได้หลังเทศกาล? จะเก็บรักษาหนองหลวงให้สะอาดต่อเนื่องอย่างไร? และ จะใช้เรื่องเล่าท้องถิ่นให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวได้อย่างไร?—คำถามเหล่านี้ไม่ได้ต้องการ “คำตอบสวยงามในห้องประชุม” แต่ต้องการ “การลงมือจริง” ร่วมกันของทุกฝ่าย

จากเมืองสวย…สู่เมืองน่าอยู่ ความหมายของ “ทุ่งดอกไม้” ที่มากกว่าความงาม

เมื่อย้อนมองภาพรวม “มหกรรมไม้ดอก” อาจเริ่มต้นจากความงามทางสายตา แต่ปลายทางที่ อบจ.เชียงราย พยายามมุ่งให้ถึงคือ คุณภาพชีวิต—ท้องถิ่นที่สะอาด สวยงาม ปลอดภัย มีรายได้หมุนเวียน และมีพื้นที่สาธารณะที่ชุมชนใช้ได้จริงตลอดปี ไม่ใช่เพียงช่วงเทศกาล

หนองหลวง ที่กำลังกลับมาหายใจได้ จึงไม่ใช่เพียงฉากหลังของงานอีเวนต์ แต่คือ สัญลักษณ์ของการฟื้นฟูร่วมกัน ระหว่างรัฐท้องถิ่นและชุมชน—วันนี้ตัดผักตบชวา วันหน้าอาจปลูกต้นไม้ริมน้ำ สร้างเส้นทางจักรยาน และจัดกิจกรรมวิ่ง–ปั่น–เรียนรู้ธรรมชาติที่ลูกหลานเวียงชัยภูมิใจ

Roadmap ต่อจากนี้ นับถอยหลัง 60 วัน ก่อนดอกไม้บาน

หลังประชุม 20 ตุลาคม 2568 ทีมงานตั้งกรอบเวลาทำงาน รายสัปดาห์ จนถึงวันเปิดงาน (18 ธ.ค.) โดยมีหมุดหมายสำคัญ ได้แก่

  • สัปดาห์ที่ 1–2: เก็บกวาดวัชพืชคงค้าง, ปรับสโลปตลิ่ง, วางแบบพื้นที่เดิน–ปั่น
  • สัปดาห์ที่ 3–4: ติดตั้งโครงสร้างชั่วคราว (ลานกิจกรรม/ตลาดชุมชน), จัดระบบไฟ–น้ำ–สุขา
  • สัปดาห์ที่ 5–6: ซ้อมเสมือนจริง (Dry Run) ระบบจราจร–ที่จอดรถ–จุดคัดแยกขยะ, อบรมอาสาสมัครต้อนรับ
  • ก่อนงาน 7 วัน: ตรวจความพร้อมขั้นสุดท้ายร่วมกับอำเภอ–ท้องถิ่น–ตำรวจ–หน่วยแพทย์ฉุกเฉิน

ระหว่างทาง อบจ.เชียงรายจะออกเอกสารประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ประชาชนรับรู้ความคืบหน้า พร้อมเปิดช่องทางสื่อสารสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าร่วมจำหน่ายสินค้าและบริการในพื้นที่งาน

 “เที่ยวได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” จากคำขวัญสู่การลงมือ

เชียงรายกำลังทดลอง “แบบฝึกหัดสำคัญ” ของเมืองท่องเที่ยวยุคใหม่—ไม่ปล่อยให้ความงามกระจุกอยู่เพียงในเมือง ไม่ปล่อยให้เทศกาลเป็นเพียงภาพถ่าย แต่แปลง “งานวัฒนธรรม” ให้กลายเป็น “เครื่องมือพัฒนาเชิงพื้นที่” ที่สร้างรายได้และคุณภาพชีวิตไปพร้อมกัน

การ ขยายงานมหกรรมไม้ดอกไปเวียงชัย และ เร่งกู้ชีพหนองหลวง คือภาพสะท้อนการเดินหมากเชิงยุทธศาสตร์ของ อบจ.เชียงราย ที่ตั้งใจขับเคลื่อนนโยบาย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ให้สัมผัสได้จริง—ถ้างานนี้สำเร็จ “โซนอำเภอ” ถัดไปก็มีโอกาสเกิดขึ้นต่อเนื่อง และเชียงรายจะยิ่งเข้าใกล้เป้าหมาย “เมืองท่องเที่ยวที่งดงามและยั่งยืน”

สารที่อยากชวนจำ ตัวเลข 40% ใน 28 วัน ไม่ใช่เพียงสถิติของการกำจัดผักตบ แต่คือ “ความเชื่อ” ว่าเมื่อ รัฐท้องถิ่น–ชุมชน–ภาคธุรกิจ ร่วมมือกัน เมืองทั้งเมืองก็ขยับได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News