Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ชุมชนเกาะทองพลิกฟื้น! ใช้โซลาร์ปั๊ม-น้ำหมุนเวียน สร้างคลองแห่งความสุขแบบยั่งยืน

พลิกวิกฤตเป็นโอกาส นครเชียงรายเนรมิต ‘คลองบำบัดน้ำเสีย’ สู่แลนด์มาร์คสีเขียว ติดตั้งโซลาร์เซลล์–ระบบน้ำหมุนเวียน ยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนเกาะทอง

เชียงราย, 12 ตุลาคม 2568 — พื้นที่ซึ่งครั้งหนึ่งถูกมองว่าเป็น “รอยแผลของเมือง” กำลังถูกเยียวยาด้วยมือของคนในชุมชนและเทศบาล เมื่อ เทศบาลนครเชียงราย เดินหน้าโครงการปรับภูมิทัศน์ “คลองบำบัดน้ำเสียชุมชนเกาะทอง” เปลี่ยนเส้นทางนำน้ำเสียสู่บ่อบำบัดให้กลับมามีความสวยงาม สะอาด เป็นระเบียบ พร้อมพัฒนาพื้นที่โดยรอบให้เป็น สวนสาธารณะ–ลานกีฬากลางแจ้ง และเตรียม ติดตั้งเครื่องสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อสร้าง “ระบบน้ำหมุนเวียน” ให้น้ำไหลตลอดเวลา ลดการค้างเน่า สร้างสภาวะเหมาะสมแก่พืชน้ำ–สัตว์น้ำ และดึงชุมชนเข้ามาเป็น เจ้าของพื้นที่ร่วม อย่างแท้จริง

“เราเริ่มจากการลงพื้นที่ ฟังเสียงคนริมคลอง ไม่ใช่เดินเข้าไปด้วยคำตอบสำเร็จรูป” แนวทางของโครงการถูกสรุปสั้น ๆ ผ่าน ไทม์ไลน์ ที่จับต้องได้ 26 มิถุนายน 2568 นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมคณะและสมาชิกสภาเทศบาล ลงพื้นที่ ชุมชนเกาะทอง–ชุมชนวังดิน–ชุมชนร่องปลาค้าว เพื่อรับฟังปัญหาและความต้องการ ก่อนจะขยับจากแผนสู่การปฏิบัติ 10 ตุลาคม 2568 ด้วยกิจกรรม “ปลูกดอกไม้ริมคลอง พุทธรักษา และ ยี่โถสีม่วง เพื่อสร้างสีสันและความรู้สึกเป็นเจ้าบ้านร่วมกัน

จาก “คลองน้ำเสีย” สู่ “คลองแห่งความสุข” ภาพจำใหม่ของเมือง

หากเดินเท้าตามแนวคลองวันนี้ ภาพแรกที่เปลี่ยนไปคือ ความเป็นระเบียบและความสะอาด ริมตลิ่งถูกจัดรูปใหม่ ลดเศษวัชพืช–ขยะลอยน้ำ จุดคอขวดที่น้ำเคยค้างเน่าได้รับการแก้ไขเชิงกายภาพ พื้นที่เปิดโล่งกลายเป็น เส้นทางเดิน–วิ่ง–ปั่นจักรยาน ที่เชื่อมย่านที่อยู่อาศัยกับ ลานออกกำลังกายกลางแจ้ง เด็ก ๆ ได้พื้นที่วิ่งเล่น ผู้สูงวัยมีพื้นที่ยืดเหยียดร่มรื่น ผู้ค้าชุมชนเริ่มวางแผงกิจกรรมยามเย็นแบบไม่รุกล้ำทางน้ำ

แต่จุดเปลี่ยนสำคัญไม่ใช่เพียงภูมิทัศน์ภายนอก คือ ระบบน้ำหมุนเวียน ที่เทศบาลเตรียมติดตั้งผ่าน เครื่องสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Pump) เติม “น้ำดี” ไล่ “น้ำเสีย” ลงสู่บ่อบำบัดให้เร็วขึ้น ลดการตกค้าง–หมักหมม ของสารอินทรีย์และตะกอน ช่วยให้น้ำในคลอง เคลื่อนไหวสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นหัวใจของการฟื้นฟูคุณภาพน้ำเบื้องต้นในพื้นที่เปิดโล่งของเมือง ทั้งหมดใช้ พลังงานสะอาด ลดค่าไฟฟ้าในระยะยาว และทำงานประจำได้แม้ในวันที่ภารกิจของเทศบาลหนาแน่น

ฟัง–ร่วมคิด–ร่วมทำ เครื่องมือทางสังคมที่ซ่อมทั้งคลองและความรู้สึกเป็นเจ้าของ

โครงการนี้ไม่ใช่ “งานโครงสร้าง” อย่างเดียว หากแต่ย้ำ กระบวนการสังคม ที่สำคัญ ตั้งแต่การลงพื้นที่ 26 มิถุนายน 2568 เพื่อรับฟังความเห็นชุมชน 3 ย่าน ไปจนถึงกิจกรรม 10 ตุลาคม 2568 ที่ชักชวนคนทุกวัยมาปลูกดอกไม้ริมคลอง การมีส่วนร่วมทำให้ “คลอง” เปลี่ยนจาก “พื้นที่ของเทศบาล” เป็น “พื้นที่ของเรา” และเมื่อคนรู้สึกเป็นเจ้าของ พฤติกรรมการทิ้งขยะ การดูแลความสะอาด การเฝ้าระวังน้ำผิดปกติ ก็เปลี่ยนไปโดยอัตโนมัติ

เทศบาลยังจับมือกับ กรมโยธาธิการ เพื่อวางรูปแบบ ทางเท้า เขื่อน พื้นที่ชะลอน้ำ ให้รองรับทั้งการใช้งานและการระบายน้ำยามฝน รวมถึง จุดทางเชื่อม ที่เป็นมิตรกับผู้สูงวัยและคนใช้วีลแชร์ ซึ่งล้วนเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ เพิ่มคะแนนคุณภาพชีวิต ของเมืองได้จริง

นวัตกรรมที่พอดีเมือง ทำไมต้อง “เครื่องสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ + น้ำหมุนเวียน”?

หัวใจของคลองบำบัดน้ำเสีย คือ “อย่าให้น้ำหยุดนิ่ง” เพราะเมื่อน้ำหยุด สารอินทรีย์สะสม เกิด กลิ่น สีน้ำ ความขุ่น ที่สร้างผลกระทบต่อชุมชนรอบคลอง การใช้ Solar Pump จึงเหมาะกับเมืองที่มี แดดจัด ฝนสลับ อย่างเชียงราย สามารถเดินเครื่องกลางวันด้วยไฟแสงอาทิตย์ ลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากโครงข่าย ช่วย “ปั่นระบบ” ให้ น้ำไหล ต่อเนื่อง พร้อมกับการ “ปล่อยน้ำดี” เป็นช่วง ๆ เพื่อเร่งให้น้ำเสียในคลองเลื่อนไหลลงสู่บ่อบำบัดได้เร็วขึ้น เมื่อน้ำหมุนเวียน ออกซิเจนละลายน้ำ (DO) มีแนวโน้มดีขึ้น ระบบนิเวศริมคลองจะฟื้นตัวได้ง่ายกว่า เด็ก ๆ มีพื้นที่ชุมชนที่ รับกลิ่น รับลม ได้โดยไม่ต้องเบือนหน้าหนี

แม้กระนั้น เทศบาลย้ำว่าคุณภาพน้ำที่ดี “ต้องวัด ต้องติดตาม” ไม่ใช่แค่ มองด้วยตา จึงมีแผนเฝ้าระวัง ตัวชี้วัดพื้นฐาน เช่น BOD (ค่าความต้องการออกซิเจนทางชีวเคมี), COD, DO, ความขุ่น, สี, กลิ่น และ ชีวภาพเบื้องต้น เช่น พืชน้ำ/สัตว์น้ำที่ทน ไม่ทนมลพิษ เพื่อดู เทรนด์การฟื้นตัว มากกว่าการตัดสินจากภาพช่วงเปิดงานเพียงครั้งเดียว

พื้นที่สาธารณะคือวัคซีนใจ ฟังก์ชันสุขภาพ เศรษฐกิจ การเรียนรู้

เมื่อริมคลองสะอาดและปลอดภัยขึ้น เมืองก็ได้ วัคซีนป้องกันโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ไปพร้อมกันคนเดินมากขึ้น หัวใจแข็งแรงขึ้น ระดับน้ำตาล ไขมันดีขึ้น ค่าใช้จ่ายสาธารณสุขในระยะยาวก็ผ่อนเบา นอกจากนั้น พื้นที่สาธารณะยังเชื่อม เศรษฐกิจชุมชน ร้านน้ำสมุนไพร รถเข็นอาหาร สินค้าทำมือสามารถตั้งขายแบบ ไม่รุกล้ำทางเท้าและตลิ่ง ตามหลักเกณฑ์เทศบาลที่ชัดเจน กลายเป็น “เศรษฐกิจริมทาง” ที่สุภาพและปลอดภัย

ด้านการเรียนรู้ โรงเรียน มหาวิทยาลัยท้องถิ่นสามารถใช้คลองเป็น “ห้องทดลองมีชีวิต” สอนวงจรน้ำ เมือง สิ่งแวดล้อม พลังงานสะอาด ให้นักเรียนเก็บตัวอย่างน้ำเบื้องต้น สังเกตการเปลี่ยนแปลง ระหว่างก่อน หลังเปิดระบบน้ำหมุนเวียน ฝึกตั้งคำถามและสะท้อนผลด้วยภาษาเข้าใจง่ายนี่คือ ทุนสังคม ที่จะทำให้โครงการอยู่ยาว ไม่ใช่ “สวยเฉพาะวันเปิด”

ความท้าทายที่ต้องบอกกันตรง ๆ เมืองจะรักษาคุณภาพอย่างไรเมื่อปีงบฯ เปลี่ยน?

ทุกโครงการสาธารณะมี วัฏจักรงบประมาณ การบำรุงรักษา เป็นเงื่อนไขความยั่งยืน จุดแข็งของการใช้ Solar Pump คือ ต้นทุนพลังงานต่ำ ระยะยาว แต่ยังต้อง ดูแลอุปกรณ์–ทำความสะอาดตะแกรง–ตรวจมอเตอร์/อินเวอร์เตอร์–ไล่ตะกอน เป็นประจำ ด้านภูมิทัศน์ก็ต้อง ตัดหญ้า–ตัดแต่งพืช ต่อเนื่อง หนึ่งความเสี่ยงที่เทศบาลและชุมชนรับรู้ตรงกันคือ “เมื่อปีงบฯ เปลี่ยน คนเปลี่ยน งานจะตกหล่นไหม?” คำตอบของโครงการนี้คือ กำหนด “บทบาทชุมชน” ให้ชัด ชุดจิตอาสา/คณะกรรมการคลองทำหน้าที่ แจ้งเตือน–ร่วมดูแลเบื้องต้น–เป็นหูเป็นตา ให้เทศบาล และช่วย สื่อสารมารยาทการใช้พื้นที่ (เช่น ห้ามทิ้งเศษอาหารลงคลอง, พื้นที่ใดตั้งร้านได้ ไม่ได้) ลดแรงเสียดทานและค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงที่ไม่จำเป็น

เมืองแห่งความสุขแบบยั่งยืน นโยบายใหญ่ต้องลงบน “งานเล็กที่ทำจริง”

วิสัยทัศน์ “นครแห่งความสุขแบบยั่งยืน” จะเป็นเพียงคำสวยหากไม่ถูก แปลงเป็นงานพื้นที่ โครงการคลองเกาะทองจึงทำหน้าที่เป็น Prototype ของงานสิ่งแวดล้อมเมืองที่ จับต้องได้ จุดเล็ก ๆ แต่ต่อท่อไปสู่ สุขภาพ–เศรษฐกิจ–การเรียนรู้ และ ความภูมิใจร่วม ของคนเชียงราย

เพื่อให้เป้าหมายไม่หลุดกรอบ ข่าวนี้สรุป “สมการความสำเร็จ” ของคลองบำบัดน้ำเสียเกาะทองไว้ 4 ข้อ

  1. โครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะกับบริบท  แก้คอขวดทางกายภาพ + Solar Pump + ระบบน้ำหมุนเวียน
  2. การมีส่วนร่วมของชุมชน  ตั้งแต่ร่วมคิด, ลงมือปลูก, ดูแลประจำวัน
  3. ตัวชี้วัด–การสื่อสารข้อมูล  เฝ้าระวังคุณภาพน้ำและรายงานผลเป็นระยะ ด้วยภาษาที่ประชาชนอ่านเข้าใจ
  4. ระเบียบพื้นที่สาธารณะชัดเจน  เปิดโอกาสเศรษฐกิจริมคลองอย่างปลอดภัย ไม่รบกวนการระบายน้ำและการสัญจร

ตัวชี้วัดความสำเร็จที่ติดตามได้ (ไม่ใช่ความรู้สึก)

เพื่อให้สังคมตรวจสอบได้ โครงการควรกำหนด “ตัวเลขเป้าหมายเชิงผลลัพธ์” ที่สอดคล้องกับมาตรฐานงานเมือง/สิ่งแวดล้อม เช่น

  • ความถี่การสูบ–แลกเปลี่ยนน้ำ (ครั้ง/วัน) และ ชั่วโมงเดินเครื่อง Solar Pump (ชม./วัน)
  • แนวโน้ม ค่า DO–BOD–COD–ความขุ่น สี กลิ่น (รายเดือน/รายไตรมาส)
  • ปริมาณขยะที่เก็บได้ ริมคลอง (กก./เดือน) และ สัดส่วนขยะที่คัดแยกสำเร็จ
  • อัตราการใช้งานพื้นที่สาธารณะ (คน–ครั้ง/วันหยุด, วันธรรมดา) และ กิจกรรมชุมชน (ครั้ง/เดือน)
  • เหตุร้องเรียน/แจ้งเหตุ ที่เกี่ยวกับกลิ่น–น้ำค้างเน่า–การทิ้งขยะ (ครั้ง/เดือน) ที่ลดลง

ตัวชี้วัดเหล่านี้จะทำให้การสื่อสารต่อสาธารณะ ตรงไปตรงมา ถ้าดีขึ้นเห็นจากตัวเลข ถ้ายังไม่ดีกำหนด แผนแก้ไขรอบถัดไป และเปิดข้อมูลให้ตรวจสอบได้

เศรษฐกิจริมคลองกับ “เงื่อนไขสุขาภิบาลที่ไม่ต่อรอง”

การเปิดพื้นที่สาธารณะให้เกิดกิจกรรมเศรษฐกิจย่อมตามมาด้วย ความรับผิดชอบด้านสุขาภิบาล เทศบาลควรกำหนด เงื่อนไขไม่ต่อรอง น้ำทิ้งจากร้านต้องไม่ลงคลองโดยตรง มี จุดล้าง ดักไขมัน ที่ถูกสุขลักษณะ พื้นที่ขายต้อง ไม่ล้ำเขตน้ำ และ ไม่กีดขวางเส้นทางหนีไฟ/การสัญจรผู้ใช้รถเข็น มี ถังขยะคัดแยก เพียงพอ และกำหนด ช่วงเวลาขายเก็บร้าน ชัดเจน พร้อมกลไก เตือน ปรับ งดใช้พื้นที่ชั่วคราว เมื่อฝ่าฝืนซ้ำ เพื่อคงสมดุลระหว่าง “สง่าราศีของคลองใหม่” กับ “ความคึกคักของเศรษฐกิจชุมชน”

บทเรียนสำหรับเมืองอื่น เริ่มจาก “ปมเล็ก” ที่คนแตะได้ทุกวัน

หลายเมืองมี “คลองน้ำเสีย” หรือ “คูระบาย” เป็นจุดอับของภาพลักษณ์ แต่บทเรียนเชียงรายชี้ว่า ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากโครงการใหญ่ราคาแพง เสมอไป การเลือก “ปมเล็ก” ที่คนเห็นทุกวัน และใช้ เทคโนโลยีพอดี พลังงานสะอาด–การมีส่วนร่วม สามารถสร้าง วงจรไว้วางใจ ระหว่างเมืองกับประชาชนได้เร็วกว่า เมื่อความเชื่อมั่นเกิดขึ้น เมืองจะขยายโครงข่าย คลองดี–ทางเท้าดี–สวนดี ไปย่านอื่นได้ง่ายขึ้น

คลองบำบัดน้ำเสียชุมชนเกาะทองจากปัญหาสุขาภิบาลและภาพลักษณ์สู่ “แลนด์มาร์คสีเขียว” ด้วยเครื่องมือสามอย่าง ปรับภูมิทัศน์, ระบบน้ำหมุนเวียนพลังงานแสงอาทิตย์, และ การมีส่วนร่วมของชุมชน เมืองไม่ได้หวังภาพสวยชั่วคราว แต่กำลังวางกรอบ ตัวชี้วัด, การบำรุงรักษา, และ บทบาทชุมชน ให้คลองอยู่ได้ยาวคนใช้จริง สุขภาพดีขึ้น เศรษฐกิจริมคลองเดินไปกับกติกาที่ชัดเจน นี่คือภาพจำใหม่ของนครเชียงรายในฐานะ “นครแห่งความสุขแบบยั่งยืน” ที่ลงมือทำจริงในระดับคลองหนึ่งเส้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • กรมโยธาธิการ (กรมโยธาธิการและผังเมือง)
  • ชุมชนเกาะทอง–ชุมชนวังดิน–ชุมชนร่องปลาค้าว
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

คุณภาพวิจัย-นานาชาติ! มฟล. อันดับ 1 ของไทย 6 ปีซ้อน ขยับสู่ Top 1200 โลก

มฟล. ผงาดเวทีโลก คว้า “ดับเบิลแชมป์ไทย” ด้านคุณภาพงานวิจัย–ความเป็นนานาชาติ ขยับกลุ่ม 1001–1200 ของโลก ตอกย้ำเชียงรายสู่ศูนย์กลางวิชาการนานาชาติ

เชียงราย, 11 ตุลาคม 2568 — เช้าวันฝนพรำที่ดอยแม่ฟ้าหลวง ลมหอบกลิ่นดินชื้นพัดผ่านสวนสวยและอาคารเรียนทรงร่วมสมัย นักศึกษาต่างชาติกลุ่มเล็กกำลังยืนถ่ายภาพกับชุดครุยจำลองหน้าป้ายมหาวิทยาลัย ขณะที่นักวิจัยรุ่นใหม่ผลัดกันหิ้วกล่องตัวอย่างขึ้นตึกทดลอง บนสันเขาที่ทอดยาวนี้ “เมืองมหาวิทยาลัย” กำลังขยับตัว—และในสัปดาห์นี้การขยับตัวนั้นก้องไกลไปถึงแวดวงอุดมศึกษาทั่วโลก เมื่อ Times Higher Education (THE) ประกาศผล THE World University Rankings 2026 ให้ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) ขึ้นไปอยู่ในช่วง 1001–1200 ของโลก ขยับจากปีที่ผ่านมา และก้าวขึ้นเป็น อันดับ 4 ร่วมของประเทศไทย ในภาพรวม

มากกว่าตัวเลขอันดับโลก สอง “คะแนนยุทธศาสตร์” ยืนยันความก้าวกระโดดของ มฟล. แบบมี “ฐาน” และ “ความต่อเนื่อง” คือ
(1) Research Qualityอันดับ 1 ของประเทศ คะแนน 61.4 พุ่งจาก 49.3 และ
(2) International Outlookอันดับ 1 ของไทย ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 คะแนน 64.1 เพิ่มจาก 58.2

ทั้งสองแกนชี้ชัดว่า มฟล. มิได้เพียง “สวยงาม” ในเชิงภูมิทัศน์ หาก “เข้มแข็ง” ในระบบวิจัยและเครือข่ายนานาชาติที่ปลี่ยนเป็น “ทุนเชิงยุทธศาสตร์” ของจังหวัดเชียงรายและภาคเหนือ

“การเติบโตของคะแนน ‘คุณภาพงานวิจัย’ สะท้อนการยกระดับมาตรฐานเชิงวิชาการที่วัดผลได้ และการครองที่หนึ่งด้าน ‘ความเป็นนานาชาติ’ ต่อเนื่องหลายปี คือหลักฐานของโครงข่ายความร่วมมือที่ขยายตัวจริง” — ความเห็นเชิงวิเคราะห์จากแหล่งวิชาการในพื้นที่

เมื่อคะแนนไม่ใช่แค่คะแนน สัญญะของ “คุณภาพงานวิจัย” และ “ความเป็นนานาชาติ”

การจัดอันดับของ THE วัดสมรรถนะหลักผ่าน 5 เสาหลัก ได้แก่ Teaching, Research Environment, Research Quality, International Outlook, และ Industry (การเชื่อมกับภาคอุตสาหกรรม) ในมิตินี้ การที่ มฟล. ครองที่หนึ่งของไทยด้าน Research Quality พร้อมกับยืนหนึ่งด้าน International Outlook ต่อเนื่อง สื่อถึงสองพลังคู่ขนาน

  1. คุณภาพงานวิจัย—ไม่ใช่แค่จำนวนบทความ แต่รวมถึงผลกระทบเชิงวิชาการ (citation/field-weighted impact) ความเข้มแข็งของ peer recognition และมาตรฐานการตีพิมพ์ที่สม่ำเสมอ การขยับจาก 49.3 เป็น 61.4 คะแนน ภายในรอบปี คือการไต่ระดับที่ต้องมี “ฐานข้อมูล–ฐานคน–ฐานห้องปฏิบัติการ” รองรับ
  2. ความเป็นนานาชาติ—สะท้อนความร่วมมือข้ามพรมแดนในมิติการร่วมวิจัย (co-publication) ความหลากหลายของคณาจารย์–นักศึกษา การเคลื่อนย้ายนักวิชาการ และศักยภาพการดึงดูดทุนวิจัยต่างประเทศ คะแนนที่เพิ่มจาก 58.2 เป็น 64.1 พร้อมสถิติ อันดับ 1 ของไทย 6 ปีซ้อน คือหลักฐานของเครือข่ายที่หนาแน่นขึ้น ไม่ใช่ความสำเร็จเฉพาะกิจ

หากพิจารณาเชิงระบบ การขยับจากช่วง 1201–1500 ไปสู่ 1001–1200 ในปี 2026 (ในบริบทที่ THE จัดอันดับมหาวิทยาลัยทั่วโลก 2,191 แห่ง จาก 115 ประเทศ) แปลว่า มฟล. แข่งขันได้ในสนามที่ “แน่นขึ้นและยากขึ้น” กว่าทุกปี—การติด “ดับเบิลแชมป์ไทย” จึงให้สัญญะว่า “เชียงราย” ไม่ได้เป็นแค่เมืองปลายทางท่องเที่ยว แต่กำลังก้าวเป็น เมืองฐานความรู้” ในเชิงปฏิบัติ

เชียงรายในแผนที่อุดมศึกษาโลก เมื่อ “ภูมิศาสตร์ชายแดน” กลายเป็น “จุดยุทธศาสตร์ความรู้”

ผลการจัดอันดับมาถึงพร้อมข่าวใหญ่อีกชิ้น เชียงราย ถูกเลือกเป็นเจ้าภาพประชุมวิชาการนานาชาติ APACPH Conference ครั้งที่ 56 (4–7 พ.ย. 2568) ของ สมาพันธ์วิชาการสาธารณสุขภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งหมายความว่า เมืองมหาวิทยาลัยบนภูเขาแห่งนี้จะต้อนรับผู้เชี่ยวชาญสาธารณสุขจากทั่วภูมิภาค ในหัวข้อ “ความท้าทายด้านสาธารณสุขในโลกที่มีการหยุดชะงัก”

ในแง่เศรษฐกิจฐานความรู้ (knowledge-based economy) และงานประชุมสัมมนานานาชาติ (MICE) การมี มหาวิทยาลัยที่มีอันดับโลกขยับขึ้น และ ถือธงความเป็นนานาชาติ เป็นตัวดึงดูดสำคัญทั้งวิทยากร–ทุนวิจัย–ผู้เข้าร่วมระดับผู้กำหนดนโยบาย ซึ่งท้ายที่สุดจะเปลี่ยนเป็น การจับจ่าย–การจ้างงาน–และชื่อเสียงเมือง ในระยะกลาง–ยาว

ทำไม “Research Quality” ถึงสำคัญต่อจังหวัด?

ในระดับมหภาค “คุณภาพงานวิจัย” คือสมการที่แปลงเป็น ทุนทางปัญญา–นวัตกรรม–และอุตสาหกรรมใหม่ ได้จริง ยิ่งในพื้นที่ชายแดนที่มีเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เกษตรมูลค่าสูง ชีวเวชภัณฑ์ และ BCG เป็นโอกาส มฟล. ที่มีคะแนนวิจัยขยับเด่นจึงเป็น “เข็มทิศ” ให้จังหวัดจัดวางยุทธศาสตร์ จับคู่ ห้องปฏิบัติการ–ศูนย์วิจัย–สตาร์ทอัพ–ผู้ประกอบการท้องถิ่น

  • เกษตร–อาหาร–สุขภาพ งานวิจัยด้านสมุนไพร การแปรรูปอาหารฟังก์ชัน การแพทย์แม่นยำ และสาธารณสุขชายแดน สามารถเชื่อมกับห่วงโซ่คุณค่าในพื้นที่
  • ท่องเที่ยวคุณภาพสูง ความเชี่ยวชาญด้านสุขภาพ/สิ่งแวดล้อม ช่วยเพิ่มมาตรฐาน “ปลายทางสุขภาพ–ธรรมชาติ–วัฒนธรรม” ของเชียงรายให้ต่างชาติมั่นใจ
  • ความร่วมมือ GMS ฐานวิชาการนานาชาติของ มฟล. ทำให้เชียงรายเป็นจุดนัดหมายใหม่ของนักวิจัย–ผู้กำหนดนโยบายในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

ตัวเลขที่เล่าเรื่อง จากคะแนน…สู่ความหมายเชิงระบบ

  • กลุ่มอันดับโลกของ มฟล.: จาก 1201–1500 (ปีก่อน) → 1001–1200 (ปี 2026)
  • อันดับในไทย (รวม): อันดับ 4 ร่วม (ในบรรดา 21 สถาบัน ที่ติดอันดับปีนี้)
  • Research Quality: ที่ 1 ของไทย คะแนน 61.4 (↑ จาก 49.3)
  • International Outlook: ที่ 1 ของไทย ต่อเนื่องปีที่ 6 คะแนน 64.1 (↑ จาก 58.2)
  • กรอบการแข่งขันโลก: มหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับ 2,191 แห่ง จาก 115 ประเทศ

ตัวเลขเหล่านี้แปลว่าอะไร? ในภาษาที่เข้าใจง่าย—งานวิจัยของ มฟล. ถูกอ่าน อ้างอิง และยอมรับมากขึ้น ในขณะที่ ความสัมพันธ์กับโลกภายนอกแน่นแฟ้นขึ้น ทำให้การชวน “พันธมิตรต่างชาติ” มาร่วมทดลอง–ลงทุน–หรือเปิดหลักสูตรร่วม มีโอกาสสำเร็จมากขึ้น และนี่เองคือ “ทุนมองไม่เห็น” ที่เมืองมหาวิทยาลัยต้องใช้เป็นคันโยก

เสียงสะท้อนจากพื้นที่ นักศึกษาต่างชาติ–อาจารย์–ผู้ประกอบการท้องถิ่น

แม้รายงานอันดับไม่ได้รวบรวมคำให้สัมภาษณ์อย่างเป็นทางการ แต่สัญญาณในพื้นที่สะท้อนคล้ายกัน—นักศึกษาต่างชาติ ให้ความสนใจหลักสูตรที่บูรณาการ “สุขภาพ–ความยั่งยืน–ธุรกิจ” มากขึ้น ขณะที่ อาจารย์–นักวิจัย เห็นโอกาสยื่นทุนข้ามพรมแดนชัดเจนขึ้น เช่น กองทุนวิจัยร่วมในอาเซียนและ GMS ส่วน ผู้ประกอบการท้องถิ่น เริ่มจับมือมหาวิทยาลัยพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพ–อาหารพื้นถิ่นมูลค่าสูง เพื่อสร้างแบรนด์สู่ตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพ

จากวิสัยทัศน์สู่สนามจริง “The University for Well-being and Sustainable Future”

คำประกาศวิสัยทัศน์ของ มฟล.—“The University for Well-being and Sustainable Future”—มองเผินๆ อาจเป็นเพียงถ้อยคำสวยงาม แต่เมื่อเทียบกับคะแนนที่พุ่งใน Research Quality และการครองเบอร์หนึ่งด้าน International Outlook ต่อเนื่อง หลายโครงการของมหาวิทยาลัยเริ่มมี “ฟันเฟือง” ที่หมุนจริง เช่น

  • การบูรณาการทุนวิชาการกับทุนท้องถิ่น โครงการวิจัยที่ดึงผู้ประกอบการและชุมชนเข้ามาร่วมตั้งแต่ต้นทาง เพื่อให้ผลวิจัยต่อยอดได้จริง
  • จับมือภาคอุตสาหกรรม ยกระดับงานวิจัยสู่ผลิตภัณฑ์/บริการ เชื่อมโยงกับแนวทาง BCG (Bio–Circular–Green) ที่สอดคล้องกับภูมิประเทศเชียงราย
  • หลักสูตรสอดรับความยั่งยืน สอดแทรกประเด็นสุขภาพ–สิ่งแวดล้อม–ดิจิทัล เข้าในรายวิชา เพื่อผลิตบัณฑิตที่พร้อมตอบโจทย์ตลาดแรงงานสมัยใหม่

APACPH 2025 เวทีพิสูจน์ “บทบาทชายแดน” ในสาธารณสุขโลก

การที่ APACPH เลือกเชียงรายเป็นเจ้าภาพประชุมครั้งที่ 56 ภายใต้หัวข้อ “Public Health Challenges in a Disruptive World” ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ตำแหน่งที่ตั้งของเชียงราย—บรรจบเมียนมา–ลาว อยู่ในหัวใจอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง—ทำให้ประเด็น สุขภาพข้ามพรมแดน–ชนกลุ่มน้อย–ผู้อพยพ–ระบบสุขภาพชายแดน–ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ถูกหยิบขึ้นมาวางบนโต๊ะเจรจาโดยมี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เป็น “เวทีวิชาการกลาง” การมีอันดับและคะแนนที่สะท้อนศักยภาพด้านวิจัย–นานาชาติ จึงเป็น “ตราประทับความน่าเชื่อถือ” เพิ่มเติม

ในทางปฏิบัติ เมืองเจ้าภาพอย่างเชียงรายต้องจัดการ โลจิสติกส์–ความปลอดภัย–การสื่อสารสองภาษา–โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ให้พร้อม การมีมหาวิทยาลัยที่คุ้นเคยกับความร่วมมือข้ามชาติอยู่แล้วช่วยลดแรงเสียดทานและยกระดับมาตรฐานงานประชุมโดยรวม

เงื่อนไขความยั่งยืน จากปีแห่ง “ชัยชนะ” สู่ “ระบบที่ชนะต่อเนื่อง”

คำถามสำคัญหลังเสียงปรบมือคือ “จะรักษา–และขยาย–ความสำเร็จอย่างไร” นักวิเคราะห์ชี้ 4 เงื่อนไขสำคัญ

  1. ทุนวิจัยที่ต่อเนื่องและพอเพียง คะแนน Research Quality จะทรุดเร็วหากแหล่งทุนสะดุด ต้องวางพอร์ตโฟลิโอทุนในประเทศ–ต่างประเทศที่หลากหลาย และใช้ระบบ guidance/mentoring ให้นักวิจัยรุ่นใหม่ยื่นขอทุนได้สำเร็จ
  2. คน–โครงสร้าง–อุปกรณ์ ห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน เครื่องมือซ่อมบำรุงเร็ว และการเติมคนรุ่นใหม่อย่างสม่ำเสมอ คือฐานที่ทำให้งานวิจัย “วิ่ง” ต่อ
  3. พันธมิตรนานาชาติที่ลึกขึ้น จาก MOU สู่ co-author และจาก co-author สู่ co-fund/co-lab—เอาความเป็นอันดับ 1 ด้านนานาชาติมาแปลงเป็นโครงการที่วัดผลได้
  4. การสื่อสารสาธารณะ ดึงผลวิจัยออกไปสู่สังคมและตลาด—สร้าง “วงจรศรัทธา” ให้คนเชียงรายเห็นว่างานวิจัยช่วยชีวิต–ช่วยอาชีพอย่างไร

เมืองมหาวิทยาลัยที่ “จับต้องได้” เชียงรายในสายตานักลงทุนและนักวิจัยต่างชาติ

ด้วยสนามบินนานาชาติและความพร้อมของเมือง (โรงแรม ศูนย์ประชุม โครงข่ายการเดินทาง) การประกาศอันดับ THE ปีนี้เป็น “สัญญาณเชิญชวน” อย่างไม่เป็นทางการสำหรับ บริษัทเทคโนโลยีสุขภาพ–อาหาร–ท่องเที่ยวคุณภาพ–ดิจิทัลคอนเทนต์ ที่มองหา “ฐานวิจัย–ทดลองตลาด–ทดสอบผลิตภัณฑ์” ในเมืองที่ค่าใช้จ่ายเหมาะสมและมีบุคลากรพร้อม เชียงราย–มฟล. จึงมีโอกาสก่อรูปเป็น เขตนวัตกรรมระดับภูมิภาค ที่อิงศาสตร์สุขภาพและความยั่งยืนได้จริง

จากคะแนนบนกระดาษ…สู่การเปลี่ยนชีวิตผู้คนบนภูเขา

ท้ายที่สุด การได้ “ดับเบิลแชมป์ไทย” ของ มฟล. ไม่ใช่เพียงกล่องเช็คในเอกสารรับรองคุณภาพ หากคือ จุดเริ่มต้นของการใช้มหาวิทยาลัย “ขับเคลื่อนเมือง”—เมื่อห้องทดลองเชื่อมกับไร่กาแฟ–ไร่ชา–ชุมชนบนดอย งานประชุมวิชาการนานาชาติเดินทางมาที่ชายแดน และนักศึกษาไทย–ต่างชาติร่วมกันสร้างนวัตกรรมเล็กๆ ทุกวัน เมืองมหาวิทยาลัยบนสันเขาแห่งนี้จะค่อยๆ สะสม “ทุนความเชื่อมั่น” จนกลายเป็น ศูนย์กลางวิชาการระดับสากลของภาคเหนือ อย่างสมบูรณ์

ปีนี้ มฟล. ได้พิสูจน์ว่าคะแนนวิจัยและความเป็นนานาชาติ “แปล” เป็นความหมายที่จับต้องได้แล้ว ขั้นต่อไปคือการทำให้ความสำเร็จนี้ สถิต อยู่ในระบบ—ไม่ใช่เพียง สถิติ ในรายงาน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

รมว.นฤมล ลงพื้นที่เชียงราย ดัน 3 นโยบายใหญ่ ศธ. เร่งซ่อมบ้านพักครูสู่ Zero Dropout

รมว.นฤมล” ลงพื้นที่เชียงราย ดัน 3 นโยบายใหญ่ ศธ. เร่งซ่อม “บ้านพักครู 13,000 หลัง” – อาชีวะอาสาช่วยชุมชน – เตรียมเยียวยาค่าอาหารนักเรียนพักนอน เดินหน้าสู่เป้าหมาย “Zero Dropout”

เชียงราย, 11 ตุลาคม 2568 — ยามเช้าของหอประชุมที่ว่าการอำเภอเวียงชัยไม่เคยคึกคักเท่านี้มาก่อน แถวยาวของผู้ปกครอง ครู นักเรียน และช่างอาชีวะที่กำลังยกกล่องเครื่องมือเบาหนักต่างกันเข้าแถวอย่างมีระเบียบ ในมุมหนึ่งของเวที ผู้คนกำลังรอซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า อีกมุมหนึ่งช่างผมอาชีวะกำลังวัดทรงให้คุณลุงชาวบ้าน “บริการฟรี” คือคำที่ถูกย้ำโดยครูอาชีวะแต่เช้า—ภาพเล็กๆ เหล่านี้คือฉากหน้า ซึ่งกรุยทางไปสู่แกนหลักของการขับเคลื่อนการศึกษาไทยที่ ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นำลงพื้นที่เชียงรายในวันนี้ ร่วมคณะกับ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

การลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียง “การตรวจเยี่ยม” แต่เป็นการนำนโยบาย “ยกระดับคุณภาพชีวิตครู–เปิดทางโอกาสเด็ก–อาชีวะเพื่อชุมชน” ลงสู่ปฏิบัติการแบบจับต้องได้ โดยมีผู้บริหารระดับสูงของ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ตลอดจนผู้บริหาร กระทรวงศึกษาธิการ และเครือข่ายจังหวัดเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

“ครูคือพ่อแม่คนที่สอง ถ้าครูอยู่ดี มีแรง มีศักดิ์ศรี—เด็กก็จะมีอนาคตที่มั่นคง เราจึงต้องเริ่มที่คุณภาพชีวิตครู และเดินหน้าคุ้มครองโอกาสของเด็กไปพร้อมกัน”
นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

เสาหลักที่ 1 ครูต้องอยู่ดี—เร่งซ่อม “บ้านพักครู” เฟสแรก 13,000 หลัง วางเป้าปี 2570 ครบ 40,000 หลัง

เสียงสะท้อนจากครูบนพื้นที่สูงและโรงเรียนสาขาที่ต้องดูแลนักเรียนตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป รมว.ศธ. ประกาศเดินหน้า แผนปรับปรุงบ้านพักครูที่ทรุดโทรม และยังมีครูอาศัยอยู่ 13,000 หลัง ในเฟสแรก (จาก 14,000 หลัง) เพื่อยกระดับความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตครูให้เป็นรูปธรรม พร้อมบรรจุเป้าหมายใน ปีงบประมาณ 2570 ให้ปรับปรุงครบ 40,000 หลัง ทั้งระบบ—นี่คือสัญญาณชัดเจนว่า “บ้านพักครู” ไม่ใช่เพียงที่อยู่อาศัย แต่เป็น “โครงสร้างพื้นฐานทางสังคม” ที่กำหนดคุณภาพการเรียนรู้ของเด็กโดยตรง

ควบคู่กันนั้น ศธ.ผลักดัน สหกรณ์กลางรวมหนี้ครู เพื่อจัดระเบียบภาระหนี้สิน ให้ครูมีสภาพคล่อง–ลดดอกเบี้ย และเปิด ช่องทางพิเศษขอวิทยฐานะ ทั้งครูในสังกัด สอศ. และ สพฐ. เพื่อลดคอขวดทางเอกสารและเวลาพิจารณา ให้คุณภาพผลงานครูเป็นตัวตั้งของการเติบโตในวิชาชีพ

“ครูในพื้นที่สูงและทุรกันดารทำงานหนักมาก เรากำลังพิจารณา ‘เกณฑ์พิเศษ’ หรือการประเมินเชิงประจักษ์สำหรับครูกลุ่มนี้ เพื่อยืนยันคุณค่าของงานที่มองไม่เห็นในห้องประชุม”
— ถ้อยคำชี้แจงเชิงนโยบายที่เวทีรับฟังปัญหา จ.เชียงราย

เสาหลักที่ 2 อาชีวะอาสา—“Fix it Center” ทำจริง ช่วยจริง ลดต้นทุนชีวิตรายวัน

บริเวณลานกิจกรรม Fix it Center ซึ่ง สอศ.จังหวัดเชียงราย จัดร่วมกับ วิทยาลัยเทคนิคเชียงราย–วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย–วิทยาลัยการอาชีพเชียงราย เสียงไขควงและเครื่องทดสอบไฟดังขณะช่างอาชีวะกำลังซ่อมเครื่องปั๊มน้ำและพัดลมให้ชาวบ้าน ขณะอีกมุมทีมนักศึกษากำลังตั้งโซ่–ตั้งวาล์วรถจักรยานยนต์ พร้อมให้คำแนะนำการบำรุงรักษาเบื้องต้น

บริการที่เปิด ฟรี มีทั้ง ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า–ซ่อมรถจักรยานยนต์–ซ่อมเครื่องมือเกษตร–ตัดผม และ อบรมอาชีพระยะสั้น เพื่อให้ชาวบ้านสามารถนำทักษะไปต่อยอดสร้างรายได้ แนวทางนี้ช่วย “ลดค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุง” ซึ่งเป็นต้นทุนแฝงของครัวเรือน และช่วย “ยืดอายุสินทรัพย์” ในบ้าน—ผลลัพธ์คือเงินในกระเป๋าชุมชนหมุนต่อได้นานขึ้น

มากกว่านั้น Fix it Center ยังเป็น “ห้องเรียนจริง” ของนักศึกษาอาชีวะ—เรียนรู้วินัยงาน ช่างมืออาชีพ และการสื่อสารกับลูกค้า—เชื่อมตรงกับ ตลาดแรงงานท้องถิ่น ที่ต้องการช่างมีมาตรฐานในภาคเกษตร–การท่องเที่ยว–บริการ

เสาหลักที่ 3 คุ้มครองโอกาสเด็ก—สำรวจ–เยียวยา “ค่าอาหารนักเรียนพักนอน” และดันเข้าวงจรงบฯ 2570

อีกด้านหนึ่งที่ รมว.ศธ. ย้ำหนัก คือผลกระทบจากการยกเลิก ค่าอาหาร 20 บาท สำหรับ นักเรียนพักนอน ในโรงเรียนที่อยู่นอกพื้นที่พิเศษ—มาตรการดังกล่าวทำให้หลายโรงเรียนในภูเขาสูง–พื้นที่ห่างไกล ต้องหาทางเอาตัวรอด ขณะที่นักเรียนบางส่วนมีความเสี่ยงจะ หลุดจากระบบ เพราะครอบครัวไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น

ศธ.จึงมอบหมายให้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ทำ สำรวจจำนวนโรงเรียนและนักเรียนที่ได้รับผลกระทบ อย่างละเอียด เพื่อใช้เป็นฐานประกอบการ ของบกลางเพื่อเยียวยาเร่งด่วน และนำเข้า แผนงบประมาณปี 2570 ให้มีแหล่งเงินถาวรรองรับ—มาตรการนี้ผูกเป้ากับ Thailand Zero Dropout (TZD) ซึ่งตั้งเป้าลดจำนวน เด็กหลุดจากระบบการศึกษาให้เป็นศูนย์ ผ่านการดูแลเชิงระบบทั้งปัจจัยในและนอกโรงเรียน

“ถ้าเด็กต้องนอนค้างในโรงเรียน แต่มื้ออาหารไม่มั่นคง การเรียนรู้ก็ไม่มั่นคง เราจะเร่งสำรวจให้ครบ และเยียวยาให้ทันที่สุด ก่อนวางงบถาวรปี 2570”
— แนวนโยบายจาก รมว.ศธ. ต่อที่ประชุมพื้นที่

เชียงราย เวทีทดสอบนโยบายเชิงพื้นที่—ครูเข้มแข็ง เด็กถึงห้องเรียน ชุมชนได้บริการ

เชียงรายเป็นจังหวัดชายแดนที่มีภูมิประเทศผสมผสาน—ที่ราบ สันเขา หุบเขา—โรงเรียนจำนวนมากรับนักเรียน หลายชาติพันธุ์ และอยู่ห่างไกลบ้าน ทำให้การ พักนอนในโรงเรียน เป็น “สภาพจริง” ไม่ใช่ “ข้อยกเว้น” การลงพื้นที่ครั้งนี้จึงเป็น เวทีทดสอบ ว่า 3 นโยบายหลักของ ศธ.จะ “จับหัวใจปัญหา” ได้แค่ไหน

  • บ้านพักครู ที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน = ลดความเครียดของครู–ลดการโยกย้าย–เพิ่มเวลาคุณภาพกับนักเรียน
  • อาชีวะอาสา = ลดต้นทุนครัวเรือน–สร้างทักษะ–ขยายเครือข่ายบริการสาธารณะในพื้นที่
  • ค่าอาหารนักเรียนพักนอน = หลักประกันขั้นต่ำของการเรียนรู้—ยืนยันว่าความห่างไกลจะไม่ตัดสิทธิเด็กจากโภชนาการที่เหมาะสม

ทั้งสามเสาเมื่อขึงพร้อมกัน จะช่วย “รับน้ำหนัก” โจทย์ใหญ่คือการทำให้ โอกาสทางการศึกษา ไม่ถูกกำหนดด้วย ภูมิศาสตร์ และ รายได้ครัวเรือน

แม่สอด–ตาก” ถึง “เชียงราย” โมเดลโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษาที่ตอบโจทย์ภูมิประเทศจริง

ก่อนหน้านี้ รมว.ศธ. ลงพื้นที่ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อตรวจการศึกษาบนพื้นที่สูง–ชายแดน และได้รับข้อเสนอเรื่อง โดมเอนกประสงค์–โรงอาหาร–อินเทอร์เน็ต–โซลาร์เซลล์–ถังเก็บน้ำ–หอนอนสำหรับนักเรียนบ้านไกล ตลอดจนการ ปรับหลักสูตรแกนกลาง 2551 ให้ทันเทคโนโลยีและโลกการทำงาน

ประเด็นจากแม่สอดสะท้อนเข้ามาที่เชียงรายอย่างพอดิบพอดี—โรงเรียนบนภูเขา ต้องการไฟฟ้า–อินเทอร์เน็ต–น้ำ–อาหาร–ที่พัก และต้องการครูที่ อยู่ได้จริง—นี่คือเหตุผลว่าทำไม “บ้านพักครู–ค่าอาหาร–อาชีวะอาสา” จึงถูกวางเป็น แพ็กเดียว—เพราะทุกชิ้นเชื่อมกันเป็น คุณภาพชีวิต–คุณภาพการเรียนรู้–คุณภาพแรงงาน ในอนาคต

บทสนทนาที่ต้องเกิดขึ้นต่อ เกณฑ์ประเมินครูพื้นที่สูง–สวัสดิการ–ระบบข้อมูล

หนึ่งในข้อเสนอที่ปรากฏชัด คือ ปรับเกณฑ์ประเมินครูพื้นที่สูง/ทุรกันดาร ให้มี เกณฑ์พิเศษ หรือ การประเมินเชิงประจักษ์ ที่สะท้อนภาระงานนอกเวลา—ดูแลนักเรียนตลอด 24 ชั่วโมง—เดินทางยาก—ทำงานกับผู้เรียนต่างชาติพันธุ์—ซึ่งมักไม่ปรากฏในแบบฟอร์มและตารางคะแนน ปรับเกณฑ์ให้ “เห็นงานที่มองไม่เห็น” จะสร้าง ขวัญกำลังใจ ที่จับต้องได้

อีกด้านคือ ระบบข้อมูล—การเยียวยาอาหารนักเรียนพักนอนต้องตั้งอยู่บน ฐานข้อมูลโรงเรียน–จำนวนนักเรียน–ประเภทพื้นที่–ความต้องการโภชนาการ ที่ทันสมัยและตรวจสอบได้ เพื่อให้การของบกลางและการบรรจุแผนปี 2570 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส

ตัวชี้วัดความสำเร็จ (Key Indicators) ที่สังคมควรถาม

  1. จำนวนบ้านพักครูที่ได้รับการปรับปรุงจริง ในเฟสแรก—กี่หลัง—ที่ไหน—เสร็จเมื่อไร—ได้มาตรฐานอะไร
  2. เวลารออนุมัติวิทยฐานะ หลังเปิดช่องทางพิเศษ—ลดลงเท่าไร—ผลต่อแรงจูงใจครูเป็นอย่างไร
  3. บริการ Fix it Center—จำนวนชิ้นที่ซ่อม—มูลค่าค่าซ่อมที่ชาวบ้านประหยัด—จำนวนผู้ผ่านอบรมทักษะอาชีพ—อัตราการต่อยอดทำกิน
  4. การเยียวยาค่าอาหารนักเรียนพักนอน—จำนวนโรงเรียน/นักเรียนที่ได้รับการช่วยเหลือ—ระยะเวลาจ่ายเงิน—ผลต่อ อัตราหลุดจากระบบ ในพื้นที่สูง
  5. การสื่อสารข้อมูลสาธารณะ—เว็บไซต์/แดชบอร์ดที่แสดงความคืบหน้าอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้

ความเสี่ยง–เงื่อนไขสำเร็จ

  • ความเสี่ยงด้านงบประมาณและเวลา ซ่อมบ้านพักครู 13,000 หลังในเฟสแรก ต้องการ “แผนงาน–ผู้รับจ้าง–มาตรฐานงาน–งบ–การกำกับติดตาม” ที่ละเอียด หากสื่อสารไม่ทันหรือเบิก–จ่ายล่าช้า ความเชื่อมั่นอาจสั่นคลอน
  • ความเสี่ยงด้านข้อมูล การเยียวยาอาหารถ้าไม่มีฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ที่ครบถ้วน อาจพลาดกลุ่มเปราะบาง—ต้องให้ สพฐ. ทำงานเชิงรุกกับเขตพื้นที่–โรงเรียนสาขา–ศศช.
  • เงื่อนไขสำเร็จ บูรณาการระหว่าง ศธ.–สอศ.–สพฐ.–จังหวัด–อปท.–ชุมชน–สถาบันอุดมศึกษา ในพื้นที่ให้แน่นแฟ้น—โดยเฉพาะในเชียงรายซึ่งมีมหาวิทยาลัยและเครือข่ายอาชีวะพร้อมเป็นฐานปฏิบัติการ

จากเวียงชัยสู่อนาคต ภาพใหญ่ของ “การศึกษาเพื่อความเสมอภาค”

ภาพสุดท้ายของวันคือครูบนพื้นที่สูงยืนคุยกับช่างอาชีวะที่ยังเก็บเครื่องมือไม่เสร็จ “ขอบคุณนะ ถ้าไม่มีพวกเรามาช่วย ชาวบ้านคงต้องจ่ายแพงกว่านี้” เสียงตอบกลับเรียบง่าย “ยินดีครับครู เดี๋ยวอาทิตย์หน้าเรากลับมาฝึกอาชีพชุดใหม่”—บทสนทนาสั้นๆ แต่วางรากฐาน “วัฒนธรรมการดูแลกัน” ระหว่างโรงเรียน–อาชีวะ–ชุมชน

การลงพื้นที่เชียงรายของ รมว.นฤมล จึงไม่ใช่เพียงการประกาศนโยบาย แต่คือ การจัดวางโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษา–สังคม ที่เริ่มจาก “บ้านพักครูที่ปลอดภัย” “มื้ออาหารที่มั่นคงของเด็กพักนอน” และ “อาชีวะอาสาที่ทำได้จริง” เมื่อทั้งสามชิ้นประกอบกันอย่างมีกลไกและงบประมาณรองรับ เป้าหมาย Zero Dropout ก็ไม่ใช่เส้นขีดในเอกสารอีกต่อไป แต่เป็นถนนที่เดินได้จริง—จากเวียงชัยสู่หมู่บ้านบนสันเขา และต่อเนื่องไปทั่วประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)
  • สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

รองนายกฯ ธรรมนัส สั่งลุยปมสารปนเปื้อนแม่น้ำกก ดันวาระเข้า ครม. เจรจาเหมืองต้นน้ำ

ธรรมนัส’ สั่งลุยปัญหาสารปนเปื้อนแม่น้ำกก ดันวาระเข้า ครม. พร้อมตั้งคณะกรรมการจังหวัด ขีดเส้น 3 เดือน “ราคาข้าว–โค–ผลผลิตเกษตร” ต้องขยับขึ้น

เชียงราย, 11 ตุลาคม 2568 — เสียงกระซิบจากริมฝั่งน้ำกกในยามเช้า ไม่ได้เล่าถึงเพียงน้ำขึ้นน้ำลงตามฤดูกาล หากแต่กำลังบอกเรื่อง “ความไม่แน่นอน” ของชีวิตผู้คนที่ผูกพันกับแม่น้ำมากว่าชั่วคน ตั้งแต่ความปลอดภัยของน้ำกินน้ำใช้ ไปจนถึงปากท้องเกษตรกรที่ต้องชำเลืองดู “ราคาตลาด” ทุกครั้งที่เก็บเกี่ยว ในห้วงเวลานี้ รัฐบาล ปักธงแนวคิด “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” สู่ภาคเหนือตอนบนด้วยปฏิบัติการเชิงรุก นำโดย ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่พาคณะทำงานระดับนโยบาย–เทคนิค ลงพื้นที่ จังหวัดเชียงราย เป็นแห่งแรกของภารกิจ

ปลายเข็มนาฬิกาชี้ไปที่ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จุดเริ่มต้นของการรับฟังและสื่อสารนโยบายแบบ “ถึงพื้นที่–ถึงปัญหา–ถึงมือประชาชน” โดยมี นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ และ นายนเรศ ธำรงทิพยคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตลอดจนผู้บริหารในสังกัดร่วมขบวน ภาพที่เห็นจึงไม่ใช่เพียง “การลงพื้นที่” แต่คือ “การตั้งโต๊ะทำงาน” กลางจังหวัด—ตั้งแต่การแก้สารปนเปื้อนน้ำ ไปจนถึงการปรับโครงสร้างต้นทุนการผลิตทางการเกษตร และการยกระดับคุณภาพครู–การศึกษา

“ปัญหาเก่าก็ยังไม่ถูกแก้ ปัญหาใหม่ก็เพิ่มมาอีก… จึงต้องตั้งกลไกในจังหวัดให้ทำงานจริงจังและเห็นผล”
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี/รมว.เกษตรและสหกรณ์

ตั้งคณะกรรมการจังหวัด เปลี่ยนความเดือดร้อนให้กลายเป็นแผนงาน

มาตรการแรกที่ถูกหยิบขึ้นมาคือ การตั้งคณะกรรมการแก้ปัญหาและขับเคลื่อนการพัฒนาจังหวัดเชียงราย มี นายนเรศ ธำรงทิพยคุณ ทำหน้าที่ประธาน เพื่อให้ศูนย์บัญชาการอยู่ ในพื้นที่–ใกล้ประชาชน” และบูรณาการงานของ กรมปศุสัตว์–กรมส่งเสริมสหกรณ์–กรมวิชาการเกษตร ให้เคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน เป้าหมายชัดเจนคือ ลดต้นทุนการผลิต (ลดปุ๋ย–ยาฆ่าแมลง–ปัจจัยการผลิตสำคัญ) พร้อมขยาย ช่องทางตลาด โดยใช้ ระบบสหกรณ์ เป็นแกนกลาง เพื่อให้เกษตรกรรวมกลุ่มมีอำนาจต่อรองมากขึ้นและวิ่งเข้าสู่ตลาดได้เร็วขึ้น

ตัวชี้วัดระยะสั้น ถูกประกาศชัด—“ภายใน 3 เดือน ราคาข้าว–ราคาวัว–ราคาผลผลิตเกษตร ต้องปรับขึ้น”—ถ้อยคำนี้ย้ำแรงกดดันที่ฝ่ายปฏิบัติจะต้องเร่งเครื่อง ทำทั้งฝั่ง ลดต้นทุน และ เพิ่มรายได้ ไปพร้อมกัน

วาระด่วนเข้าคณะรัฐมนตรี ปัญหาสารปนเปื้อนน้ำ ต้องคุยข้ามพรมแดน

หัวใจของความกังวลในวันนี้คือ คุณภาพน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งประชาชนร้องเรียนมายาวนานว่ามี สารอันตรายปนเปื้อน จากกิจกรรมเหมืองแร่ ต้นน้ำในประเทศเพื่อนบ้าน ก่อความเสี่ยงต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของชุมชนชายฝั่ง การแก้ปัญหาจึงไม่อาจทำได้เพียง “กวาดหน้าบ้านตัวเอง” แต่ต้อง “เปิดประตูไปพูดคุยกับเพื่อนบ้าน” อย่างมีกลไก

“วันอังคารนี้ ผมจะนำเรื่องสารปนเปื้อนในแหล่งน้ำเข้าหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ กระทรวงการต่างประเทศ หรือนักการทูต ไปเจรจากับ เจ้าของเหมืองต้นน้ำกก–น้ำสาย อย่างเป็นระบบ”
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า

ขณะเดียวกัน มาตรการ เชิงวิศวกรรม–เชิงสิ่งแวดล้อม ภายในประเทศถูกสั่งเดินหน้าควบคู่ อาทิ ให้ กรมชลประทาน พิจารณา ประตูระบายน้ำ/ฝายดักตะกอน บริเวณต้นน้ำก่อนเข้าสู่ อำเภอแม่อาย เพื่อกรองสารปนเปื้อนและ ลดการไหลผ่านสู่จังหวัดเชียงราย พร้อมสั่งการ กรมพัฒนาที่ดิน กรมชลประทาน และกรมประมง ทำ เฝ้าระวัง–ตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และสัตว์น้ำ อย่างเข้มข้น เพื่อยืนยันความปลอดภัยต่อการอุปโภคบริโภค ที่สำคัญคือให้ จัดหาแหล่งน้ำสำรอง สำหรับประชาชน แม้ค่าความปนเปื้อน “ยังไม่เกินมาตรฐาน” เพื่อให้ความมั่นใจนำหน้าความเสี่ยง

เชียงราย เมืองชายแดน–ลุ่มน้ำ–เกษตร–ท่องเที่ยว ที่ต้องการ “การบริหารความเสี่ยงทั้งระบบ”

เชียงราย มีประชากรกว่า 1.2 ล้านคน บนพื้นที่ราว 7.2 ล้านไร่ ครอบคลุม 18 อำเภอ 124 ตำบล 1,725 หมู่บ้าน และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 144 แห่ง เป็นจังหวัดชายแดนที่เชื่อม เมียนมา–สปป.ลาว และมีระบบนิเวศทางน้ำสำคัญทั้ง กก–อิง–โขง รวมถึง หนองหลวง แหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ราว 9,000 ไร่ โครงสร้างเศรษฐกิจเอนเอียงสู่ เกษตร–ป่าไม้–ประมง–ท่องเที่ยว พืชเศรษฐกิจหลากหลายตั้งแต่ ข้าวเจ้า–ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์–ชา–กาแฟ–สับปะรด–มันสำปะหลัง–ส้มโอ–ลำไย–ลิ้นจี่ แต่ขณะเดียวกันก็เผชิญ น้ำท่วม–น้ำป่า–ดินถล่ม–หมอกควัน รวมถึง มลพิษน้ำ ที่ยืดเยื้อ นี่เองที่ทำให้ “แผนฟื้นฟูแหล่งน้ำ–สร้างแหล่งน้ำสำรอง–กำจัดวัชพืช” มีความหมายเกินกว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานธรรมดา เพราะมันคือ หลักประกันความมั่นคงมนุษย์

ในเวทีเดียวกัน องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) โดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ. นำเสนอโครงการเร่งด่วนหลายรายการ อาทิ ขุดลอกหนองหลวง–ก่อสร้างฝายดักตะกอนดินซีเมนต์–ธนาคารน้ำใต้ดินระบบเปิด–กำจัดผักตบชวา–พัฒนาโครงสร้างท่องเที่ยวบริเวณคันทางหนองหลวง เพื่อรองรับบทบาท Landmark สำหรับ มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 ซึ่งสอดคล้องกับ นโยบาย 7 เรือธง ของ อบจ. เชื่อม “น้ำ–เกษตร–ท่องเที่ยว–เศรษฐกิจชุมชน” เข้าด้วยกัน

ลดต้นทุน–เพิ่มรายได้ ใช้ “สหกรณ์” เป็นตัวคูณ

แกนยุทธศาสตร์ฝั่งเกษตรถูกวางเป็น “สองมือ” มือซ้าย ลดต้นทุน (ลดการใช้ปุ๋ย–สารเคมี–ปรับปัจจัยการผลิตให้เหมาะสมกับดิน–น้ำ–พืช) โดยอาศัยองค์ความรู้จาก กรมวิชาการเกษตร–กรมพัฒนาที่ดิน–กรมปศุสัตว์ ส่วนมือขวา เพิ่มรายได้ ผ่านการรวมกลุ่ม สหกรณ์ ให้เข้มแข็ง ทั้งเพื่อ แสวงหาตลาด–เพิ่มช่องทางจำหน่าย–ยกระดับมาตรฐานสินค้า และ ต่อรองราคา ในห่วงโซ่อุปทาน นัยของถ้อยแถลงคือทำให้ เงินลงทุน 1 บาท” เกิดผลคูณมากกว่า 1 เมื่อรวมกลุ่ม–จัดซื้อร่วม–ขายร่วม–ขนส่งร่วม

ด้านหนึ่ง คำมั่น 3 เดือน เป็นเสมือน ตัวตั้งเวลา สำหรับฝ่ายปฏิบัติให้ “สับเปลี่ยนเกียร์” ขณะที่อีกด้านเป็น แรงกดดันเชิงคาดหวัง ของตลาดในพื้นที่ การเดินเกมจึงต้อง สื่อสารตรง–โปร่งใส–รายงานผลต่อเนื่อง เพื่อรักษาความเชื่อมั่น ทั้งต่อเกษตรกรและผู้ซื้อปลายน้ำ

มิติการศึกษา ครู–โรงเรียน–มหาวิทยาลัย คือกลไก “ยกระดับทุนมนุษย์”

ในห้องเดียวกัน การศึกษา ถูกยกขึ้นมาคู่ขนานกับการเกษตร เพราะท้ายที่สุด “คน” คือผู้ทำให้แผนกลายเป็นผลลัพธ์ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รับลูกนโยบาย ยกระดับคุณภาพชีวิตครู ด้วยความเชื่อว่า “ครูคือพ่อแม่คนที่สอง” หากครูเข้มแข็ง เยาวชนก็มีแรงส่งสู่ตลาดแรงงานคุณภาพ พร้อมทั้ง บทบาท มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) และ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มร.ชร.) ในการสนับสนุน Thailand Zero Dropout (TZD) เป้าหมาย “เด็กและเยาวชนนอกระบบ = ศูนย์” ผ่านการพัฒนาทักษะ ภาษา เทคโนโลยี และการเรียนรู้ตลอดชีวิต

นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เสริมภาพรวมว่า เชียงรายเป็น “ประตูการค้า–การลงทุนลุ่มโขง” ที่พร้อมต่อยอด หากได้รับ แผนเร่งซ่อม–แผนลงทุนใหม่ ที่ยันบนทรัพยากรคน–น้ำ–ดิน–เกษตร–ท่องเที่ยวอย่างสมดุล

จากเวทีรับฟังสู่การมอบจริง สัญลักษณ์–สัญญาณ–ความหวัง

ภายหลังเวทีรับฟังปัญหา รองนายกฯ/รมว.เกษตรฯ มอบ โฉนดเพื่อการเกษตร เมล็ดพันธุ์–พันธุ์สัตว์น้ำ–หญ้าอาหารสัตว์พระราชทาน–น้ำหมักชีวภาพ–ต้นกาแฟ อาราบิก้า–โรบัสตา ให้ผู้แทนเกษตรกร และปล่อย คาราวานกล้ากาแฟ 64,150 กล้า ภาพเชิงสัญลักษณ์เหล่านี้ แม้ไม่ใช่มาตรการมหภาคในตัวเลขใหญ่ แต่สะท้อน ความต่อเนื่องจาก “พูด–ฟัง–ทำ” และความมุ่งหวังให้ “ต้นทุนชีวิต” ของเกษตรกรลดลงตั้งแต่ฤดูเพาะปลูก

มาตรการฟื้นฟูน้ำ วิศวกรรม–ข้อมูล–การมีส่วนร่วม

แกนเทคนิคของปัญหาน้ำปนเปื้อนมีสามเสาหลัก

  1. วิศวกรรม — ประตูระบายน้ำ/ฝายดักตะกอนบริเวณต้นน้ำก่อนแม่อาย ช่วย ชะลอ–กัก–กรอง เพื่อลดการแพร่ปนเปื้อนสู่ตอนล่าง และช่วยบริหารน้ำหลาก–แล้ง
  2. ฐานข้อมูลคุณภาพสิ่งแวดล้อม — เฝ้าระวัง น้ำ–ดิน–สัตว์น้ำ อย่างเป็นระบบ โดย กรมพัฒนาที่ดิน–กรมชลประทาน–กรมประมง เพื่อให้ ข้อมูลนำการตัดสินใจ และเผยแพร่สู่สาธารณะอย่างโปร่งใส
  3. การมีส่วนร่วมของพื้นที่ — คณะกรรมการจังหวัด–ผู้นำท้องถิ่น–ชุมชนริมลำน้ำ ร่วมออกแบบจุดติดตาม–มาตรการเร่งด่วน–แผนสื่อสารความเสี่ยง เพื่อให้ ความรู้–ความเชื่อมั่น เดินคู่กัน

ทั้งหมดนี้ผนวกกับการผลักดันในระดับ คณะรัฐมนตรี เพื่อเปิดช่องให้ กระทรวงการต่างประเทศ เจรจากับคู่ภาคีต้นน้ำ ตั้ง มาตรฐานร่วม–กลไกแจ้งเตือน–กรอบตรวจสอบ ที่จับต้องได้

โครงการของพื้นที่ หนองหลวง–ฝาย–ธนาคารน้ำ–ท่องเที่ยว

รายการที่ อบจ.เชียงราย เสนอต่อรองนายกรัฐมนตรี สะท้อนวิธีคิด “น้ำหนึ่งหยด ใช้หลายรอบ” ตั้งแต่ กำจัดผักตบชวา–วัชพืชกีดขวางน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการไหล, ธนาคารน้ำใต้ดินระบบเปิด 11 จุด เพื่อเติมน้ำลงชั้นใต้ดิน, ขุดลอก 4 จุด เพื่อเพิ่มความจุรับฤดูฝน–กักฤดูแล้ง, ฝายดักตะกอนดินซีเมนต์ เพื่อลดการไหลของสารแขวนลอย, และ พัฒนาโครงสร้างท่องเที่ยวรอบหนองหลวง เพื่อสร้าง ประโยชน์ทวีคูณ ให้กับชุมชน—ตั้งแต่การเกษตรถึงเศรษฐกิจท่องเที่ยว

โครงการเหล่านี้ผูกเข้ากับ ปฏิทินกิจกรรม ขนาดใหญ่อย่าง มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 ที่จะใช้พื้นที่หนองหลวงเป็น Landmark หนึ่งใน “7 เรือธง” ของจังหวัด เป้าหมายคือให้ น้ำ–ดิน–ภูมิทัศน์ กลายเป็น สินทรัพย์สาธารณะ ได้จริง

คำถามนโยบาย 3 เดือน ราคาเกษตรจะขึ้นอย่างไรให้ยั่งยืน?

คำประกาศ “3 เดือน ราคาเกษตรต้องขึ้น” คือ สัญญา ต่อชาวบ้าน และเป็น โจทย์นโยบาย ต่อข้าราชการและตลาด ทางปฏิบัติจำเป็นต้องเดินสามทางคู่กัน

  • ต้นทุน ต้องเห็นโครงการลดต้นทุนที่ จับต้องได้เร็ว เช่น การจัดหาปัจจัยการผลิตที่มีประสิทธิภาพกว่า, การใช้ปุ๋ย–สารเคมีอย่างเหมาะสมกับดิน (ลดปริมาณแต่ไม่ลดผลผลิต), การส่งเสริม ชีวภัณฑ์ ที่ต้นทุนต่ำกว่าในบางกรณี
  • ตลาด เร่งรวมกลุ่มผ่าน สหกรณ์ ทำ ดีลตลาด กับผู้ซื้อปลายน้ำ/ห้าง/แพลตฟอร์ม, วางเวลาเก็บเกี่ยว–ขนส่ง เพื่อ ลดการอิ่มตัวช่วงพีก, ส่งเสริม แปรรูปขั้นต้น เพื่อเพิ่มอายุเก็บรักษาและลดการขายตัดราคา
  • ข้อมูล–สื่อสาร ประกาศ ราคาอ้างอิง–สถิติปริมาณ–ความต้องการตลาด แบบรายสัปดาห์ ช่วยเกษตรกรตัดสินใจ, เปิดช่องทางร้องเรียน หักค่าชั่ง/หักคุณภาพไม่เป็นธรรม และวางกลไกไกล่เกลี่ยรวดเร็วในจังหวัด

หากทำสามทางนี้คู่กับ มาตรการน้ำ (ซึ่งกระทบต้นทุนจริง เช่น น้ำพอเพียง = ปุ๋ยน้อยลง–ผลผลิตคงที่) โอกาสบรรลุผลภายในกรอบเวลาที่ตั้งไว้จะสูงขึ้น

ความเสี่ยง–เงื่อนไขสำเร็จ ทางเทคนิค–ทางการเมือง–ทางเวลา

  • ทางเทคนิค การสร้างฝาย/ประตูน้ำต้องศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม–ตะกอน–การไหล–การอพยพของสัตว์น้ำ เพื่อไม่สร้างปัญหาใหม่ หาก ดีไซน์ถูก–บำรุงรักษาได้ จะเป็นเกราะป้องกันระยะยาว
  • ทางการเมือง/การทูต การเจรจากับต่างประเทศเรื่องเหมืองต้นน้ำต้องการ ข้อมูลวิทยาศาสตร์–กรอบกฎหมาย–คณะทำงานร่วม และ แรงหนุนทางการเมือง ในระดับ ครม.
  • ทางเวลา “3 เดือน” สั้นมากในวัฏจักรเกษตร จำเป็นต้อง เลือกผลิตภัณฑ์/พื้นที่เป้าหมาย ที่มีความพร้อมสูง เพื่อสร้าง “ชัยชนะระยะสั้น” (quick wins) ขณะวางฐานยั่งยืนระยะกลาง–ยาว

บทบาทมหาวิทยาลัย–โรงเรียน จากองค์ความรู้สู่บริการประชาชน

มฟล. และ มร.ชร. ไม่ได้ถูกกล่าวถึงเพียงในฐานะสถานที่ แต่คือ แหล่งความรู้ ที่สามารถเสริมภารกิจจังหวัดได้ เช่น ห้องปฏิบัติการทดสอบคุณภาพน้ำ–ดิน–อาหาร, โครงการวิจัยระบบการผลิตพืชในพื้นที่สูง–พืชเศรษฐกิจ, หลักสูตรสั้นสำหรับเกษตรกร/ผู้นำชุมชนด้านสิ่งแวดล้อม–การตลาดดิจิทัล, และบทบาทเป็น แพลตฟอร์ม TZD เพื่อตามเก็บเด็ก–เยาวชนให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา/อาชีพ

แนวคิด “ครูคือพ่อแม่คนที่สอง” ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการย้ำ ทำให้ สวัสดิการ–คุณภาพชีวิตครู กลายเป็น “เงื่อนไขโครงสร้าง” ของการพัฒนาคน เมื่อครูมั่นคง ห้องเรียนมั่นคง คุณภาพการเรียนรู้ก็จะมั่นคง

เสียงจากเวที–ภาพจากพื้นที่ เมื่อรัฐ–ท้องถิ่น–ประชาชนขยับพร้อมกัน

นายก อบจ.เชียงราย กล่าวถึงศักยภาพเชิงพื้นที่ที่รอการ “จุดระเบิด” ด้วยงบลงทุนที่แม่นยำและทันเวลา ขณะที่ ผู้ว่าราชการจังหวัด ชี้ช่อง “ประตูการค้า–การลงทุนลุ่มโขง” ที่จะขยายโอกาส หากปัญหาพื้นฐาน น้ำ–สิ่งแวดล้อม–ราคาเกษตร ได้รับการเยียวยาอย่างเป็นรูปธรรม

ในอีกมุม “โฉนด–พันธุ์พืช–กล้ากาแฟ” ที่ถูกมอบ เป็นภาพเล็กที่บอกเรื่องใหญ่—ความพร้อมของชุมชน ที่อยากกลับมายืนได้ด้วยขาตนเอง หากมีน้ำพอ–ต้นทุนลด–ตลาดชัด–เส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมหมู่บ้าน–หนองหลวงเป็นจุดหมายใหม่—วงจรเศรษฐกิจฐานรากก็มีโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่อง

จาก “ปัญหาน้ำ” สู่ “วาระจังหวัด” และ “การทูตน้ำ”

เรื่องราวที่เริ่มจาก “สารปนเปื้อนในแม่น้ำ” ถูกยกระดับเป็น “วาระจังหวัด” ผ่าน คณะกรรมการแก้ปัญหา และ “วาระแห่งชาติ” ผ่าน คณะรัฐมนตรี ซึ่งจะเปิดหน้าต่างไปสู่ “การทูตน้ำ” กับประเทศเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกัน คำมั่น 3 เดือน ให้ราคาข้าว–โค–ผลผลิตเกษตรขยับขึ้น ก็เป็นแรงขับภายในที่บังคับให้ทุกหน่วยต้อง บูรณาการ–ทำจริง–วัดผลได้ บททดสอบครั้งนี้จึงไม่ใช่โจทย์เดี่ยวของกระทรวงเกษตรฯ หากเป็น โจทย์รวม ของ เกษตร–ทรัพยากร–ต่างประเทศ–มหาดไทย–ศึกษา–ท้องถิ่น–ชุมชน และ มหาวิทยาลัย ซึ่งถ้าทำสำเร็จ เชียงรายจะไม่เพียง “ผ่านพ้นวิกฤตน้ำ” แต่จะมี “สัญญาใหม่กับอนาคต”—น้ำสะอาด–ราคายุติธรรม–ท่องเที่ยวยั่งยืน–เด็กไม่หลุดจากระบบ—ที่ทุกฝ่ายร่วมเป็นเจ้าของ

“เราจะตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัดขึ้นมาดูแลปัญหานี้โดยเฉพาะ…เพราะนี่คือความเดือดร้อนของประชาชนอย่างแท้จริง”
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • กระทรวงศึกษาธิการ
  • ที่ทำการปกครองจังหวัดเชียงราย
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

มรภ.เชียงราย ปั้น “ชาดอกซ้อ” ไทลื้อบ้านหาดบ้าย พลิกวิกฤตความหายาก สู่ Functional Tea ระดับโลก ด้วยนวัตกรรม

ดอกซ้อ” พืชพื้นถิ่นไทลื้อ พลิกวิกฤตความหายาก สู่ “Functional Tea” ระดับโลก ยุทธศาสตร์นวัตกรรมที่ท้าทายพลวัตตลาดชามูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ

เชียงราย, 10 ตุลาคม 2568 – ในขณะที่ตลาดค้าปลีกชาทั่วโลกยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าสูงถึง 51,470 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 แต่พลวัตการค้าระหว่างประเทศกลับแสดงการหดตัวในกลุ่มชาดั้งเดิมอย่างน่าตกใจ แต่กระแสของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างนี้ ภูมิปัญญาของกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อแห่งบ้านหาดบ้าย ตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ได้ถูกนำมาผนวกเข้ากับนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ เพื่อยกระดับ “ชาดอกซ้อ” ซึ่งเป็นพืชพื้นถิ่นที่ออกดอกเพียงปีละครั้ง ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่มีคุณค่าสูง (Functional Tea) ถือเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญของการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Creation) ให้กับสินค้าเกษตรเฉพาะถิ่นของไทย เพื่อตอบสนองอุปสงค์ของตลาดพรีเมียมโลกที่กำลังมองหาสินค้าที่มี “เรื่องราว” และ “คุณสมบัติที่เหนือกว่า”

การเดินทางของดอกซ้อจาก “ขนมประจำเทศกาล” สู่ “ชาสุขภาพไร้คาเฟอีน” ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความยืดหยุ่นทางวัฒนธรรมของชาวไทลื้อ แต่ยังเป็นการก้าวเข้าสู่สนามแข่งขันระดับโลกได้อย่างถูกจังหวะ ตามข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์ที่ระบุว่า ประเทศไทยควรเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชาเพื่อสุขภาพเพื่อรักษาและขยายความได้เปรียบทางการค้า

จากต้นไม้พื้นบ้านสู่ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ

ดอกซ้อ (Dok Sor) เป็นต้นไม้พื้นถิ่นทางภาคเหนือที่เป็นไม้ใหญ่ยืนต้น ซึ่งทุกส่วนของต้นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย เนื้อไม้นำมาทำเครื่องเรือน เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ครก เขียง ซึ่งเป็นที่นิยมเนื่องจากมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่เป็นเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ไม้ซ้อ ตัวใบใช้เป็นสมุนไพรในการต้มอาบหรือแก้ผดคัน ส่วนผลสุกสามารถนำมาขยี้แล้วกินกับข้าวเหนียว ซึ่งเป็นความรู้ด้านการใช้ประโยชน์ที่บรรพบุรุษชาวไทลื้อได้ส่งต่อกันมาเป็นเวลานาน

เดิมที ดอกซ้อมีบทบาทสำคัญทางวัฒนธรรมสำหรับชาวไทลื้อบ้านหาดบ้าย คือการนำดอกมาทำเป็น “ขนมดอกซ้อ” ซึ่งเป็นขนมที่รับประทานเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์หรือปีใหม่เมืองเท่านั้น การทำขนมดอกซ้อเพื่อถวายพระในวันสงกรานต์นั้นเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นปีใหม่ สัญญาว่าทั้งปีจะมีความเจริญรุ่งเรือง แต่ความคิดริเริ่มของชาวบ้านกลับพลิกเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ของพืชพื้นถิ่นนี้ให้ไปไกลกว่าขนมดั้งเดิม

นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานวิสาหกิจชุมชนอาหารท้องถิ่นไทลื้อบ้านหาดบ้าย

นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานวิสาหกิจชุมชนอาหารท้องถิ่นไทลื้อบ้านหาดบ้าย เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญว่า “เริ่มแรกเกิดจากความคิดที่ว่า หากดอกซ้อสามารถนำมาทำขนมได้ ไฉนจึงไม่สามารถนำมาทำเป็นเครื่องดื่มได้บ้าง” ความพยายามในการนำมาแปรรูปเป็นชาเริ่มต้นด้วยการลองผิดลองถูกหลายปี ก่อนที่จะได้รับความร่วมมือครั้งสำคัญจากคณะวิทยาการจัดการและคณะสังคมศาสตร์ สาขาคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ภายใต้โครงการนวัตกรรมการพัฒนาและเล่าเรื่องชาดอกซ้อตามแนวทางอาหารปลอดภัย

“ครั้งแรกที่เอามาทำเป็นน้ำดอกซ้อ เราก็ลองผิดลองถูกนานมาก เพราะไม่มีใครเคยทำมาก่อน ก็เลยต้องศึกษาจากภูมิปัญญาบ้านเรา แล้วก็ลองคิดคิดได้อะไรขึ้นมา เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่คุณภาพ” นางสนองเล่าให้ฟัง ตั้งแต่นั้นมา ความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาได้นำมาซึ่งการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมาตรฐาน การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สื่อถึงเรื่องราว และการสร้างแบรนด์ที่สะท้อนตัวตนของชุมชน

การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ และคุณสมบัติที่ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพโลก

ชาดอกซ้อไม่ได้เป็นเพียงเครื่องดื่มทั่วไป แต่มีคุณสมบัติที่แตกต่างจากชาสมุนไพรอื่นในตลาดอย่างมีนัยสำคัญ คณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายได้เสริมสร้างจุดเด่นของชาดอกซ้อในมิติทางวิทยาศาสตร์ นอกเหนือจากความหายากและมีกลิ่นเอกลักษณ์ ข้อค้นพบทางวิทยาศาสตร์ได้เผยให้เห็นความแตกต่างพื้นฐานของผลิตภัณฑ์นี้

ประการแรก คือกลิ่นและรสชาติเฉพาะตัว ชาดอกซ้อมีกลิ่นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เกิดจากกระบวนการหมักโดยธรรมชาติ (Fermentation) ซึ่งเกิดขึ้นอย่างทีเป็นธรรมชาติผ่านการตากแดด กลิ่นของมันจะหอมคล้าย “น้ำผึ้งป่า” และดอกไม้ ซึ่งเป็นกลิ่นที่ไม่พบได้ทั่วไปในชาสมุนไพรทั่วไป และมีรสหวานอ่อน ๆ ในตัวชาเอง ที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือกลิ่นอโรมา (Aroma) นี้ ผู้เชี่ยวชาญจากกรมป่าไม้ได้ตั้งข้อสังเกตว่า อาจเกี่ยวข้องกับผึ้งป่าที่ไปตอมต้นซ้อแล้วนำกลิ่นเนกตาร์มาสู่ดอกซ้อ เป็นเหตุให้ชาดอกซ้อมีลักษณะเฉพาะตัว

ผู้ช่วยศาสตราจารย์อภิสรา กฤตาวาณิชย์

คุณสมบัติด้านสุขภาพที่โดดเด่น ผู้ช่วยศาสตราจารย์อภิสรา กฤตาวาณิชย์ หัวหน้าโครงการนวัตกรรมการพัฒนาและเล่าเรื่องชาดอกซ้อตามแนวทางอาหารปลอดภัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ระบุว่า ชาชนิดนี้ไม่มีคาเฟอีน ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้คาเฟอีน เนื่องจากไม่กระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ความไม่มีคาเฟอีนนี้เองทำให้ชาดอกซ้อกลายเป็นตัวเลือกที่มีศักยภาพสูงสำหรับบุคคลที่ต้องการลดการบริโภคสารกระตุ้นระบบประสาท

นอกจากนั้น ชาดอกซ้อยังช่วยผ่อนคลายและส่งเสริมการหลับสบาย เนื่องจากไม่มีคาเฟอีน และมีกลิ่นอโรมาคล้ายดอกไม้ป่า นักโภชนาการจึงแนะนำว่า ชาชนิดนี้เหมาะสำหรับการดื่มก่อนนอน ชาดอกซ้อมีสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มที่เรียกว่า “ฟลาโวนอยด์” (Flavonoids) ซึ่งเป็นสารที่พบได้ในชาสมุนไพรทั่วไป แต่จากการส่งตรวจในห้องแล็บ พบว่าในปริมาณชา 500 กรัม มีสารฟลาโวนอยด์อยู่สูงถึงประมาณ 600 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงมากเมื่อเทียบกับชาสมุนไพรอื่นในตลาด สารกลุ่มนี้ช่วยลดไขมันในเลือด ต้านการเกิดอักเสบในร่างกาย

ความท้าทายในการผลิต และนวัตกรรมที่เปลี่ยนเกม

ความท้าทายหลักที่ขวางกั้นไม่ให้ชาดอกซ้อขยายตัวในตลาดคือ ข้อจำกัดด้านการเก็บวัตถุดิบและการรักษาคุณภาพ ดอกซ้อเป็นพืชพิเศษที่ออกดอกในช่วง ธันวาคมจนถึงเดือนเมษายน เท่านั้น ที่ยิ่งไปกว่านั้น ดอกซ้อที่เก็บมานั้นเน่าเสียง่ายมาก และต้องเก็บและนำเข้าสู่กระบวนการแปรรูป ภายใน 1 วัน มิฉะนั้นดอกจะเหี่ยวในตอนเย็น ซึ่งทำให้การผลิตมีข้อจำกัดด้านปริมาณและคุณภาพ

ไม่เพียงแต่เวลาการเก็บหรือระยะเวลาการรักษาความสด พื้นที่ปลูกดอกซ้อก็มีข้อจำกัด ต้นซ้อบางต้นใช้เวลาปลูกหลายปีกว่าจะเติบโตและออกดอกได้ การออกดอกเพียงปีละครั้งเท่านั้นนี้ ทำให้เกิดปัญหาใหญ่ด้านการบริหารจัดการวัตถุดิบเพื่อให้สามารถจัดจำหน่ายได้ตลอดทั้งปี

เพื่อแก้ไขปัญหาด้านคุณภาพ ปริมาณ และความปลอดภัย ทีมวิจัยจึงนำ “ตู้ตากพลังงานแสงอาทิตย์” เข้ามาใช้ ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่เปลี่ยนเกมในการผลิตชาดอกซ้อ

อาจารย์ธงชัย ลาหุนะ

ด้าน ผศ.กนกวรรณ ปลาศิลาและอาจารย์ธงชัย ลาหุนะ คณะสังคมศาสตร์ สาขาคหกรรมศาสตร์ คณะวิจัยผู้พัฒนาชาดอกซ้อตามแนวทางอาหารปลอดภัย อธิบายว่า หากตากแบบทั่วไปข้างนอก ต้องใช้เวลาประมาณ 3 วัน ซึ่งทำให้เกิดการหมัก (Fermentation) มากเกินไป และมีความเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อราและสิ่งปนเปื้อน เมื่อนำตู้ตากพลังงานแสงอาทิตย์เข้ามาใช้ ระยะเวลาการตากลดลงเหลือเพียง 1-2 วัน ซึ่งเป็นการเร่งให้ชาแห้งเร็วที่สุดโดยยังคงไว้ซึ่งคุณค่าของชา

นวัตกรรมนี้มีประโยชน์หลากหลาย ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มปริมาณการเก็บสต็อกให้จำหน่ายได้ตลอดปี แต่ยังช่วยรักษาคุณค่าทางโภชนาการ โดยเฉพาะกลิ่นต่างๆ ของชาดอกซ้อให้คงอยู่ และยังช่วยป้องกันความไม่ปลอดภัยที่อาจเกิดจากการตากภายนอก เช่น ฝุ่นละออง สัตว์ แมลง หรือเศษหญ้า ทำให้กระบวนการจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

มาตรฐาน GHP และกระบวนการผลิตที่เข้มงวด

เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าชาดอกซ้อมีกระบวนการผลิตที่ถูกสุขอนามัย ทางโครงการได้ให้ความรู้และส่งเสริมเรื่อง GHP (Good Hygiene Practice) หรือสุขลักษณะที่ดีในการผลิตอาหาร ซึ่งเป็นมาตรฐานการควบคุมคุณภาพอาหารรูปแบบหนึ่งที่รับรองโดยหน่วยงานสาธารณสุข

ผู้ช่วยศาสตราจารย์กนกวรรณ ปลาศิลา และอาจารย์ธงชัย ลาหุนะ จากคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เป็นผู้นำร่องในการให้ความรู้เรื่องนี้ พวกเขาได้ยกตัวอย่างขั้นตอนสำคัญที่ได้เข้าไปปรับปรุงและควบคุมอย่างเข้มงวด เพื่อให้ชาดอกซ้อถูกผลิตตามมาตรฐานการอาหารปลอดภัย

ขั้นตอนแรก คือการคัดแยกเบื้องต้นและการทำความสะอาด เนื่องจากดอกซ้อร่วงลงพื้นก่อนจึงมีการเก็บ จึงมีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อน ขั้นตอนแรกคือการคัดแยกดอกที่เสีย ดอกที่ไม่สมบูรณ์ หรือดอกที่มีการปนเปื้อนแมลงออกไปก่อน หลังจากนั้นต้องทำความสะอาดด้วยการล้างเพื่อขจัดฝุ่นละอองและเศษต่างๆ

ขั้นตอนที่สอง คือการควบคุมอุณหภูมิและการฆ่าเชื้อ การใช้ตู้ตากพลังงานแสงอาทิตย์ นอกจากจะช่วยให้ชาแห้งเร็วแล้ว ยังช่วยในการควบคุมอุณหภูมิและความร้อนจากแสงแดด เพื่อฆ่าเชื้อโรคบางชนิด เช่น เชื้อความชื้นและจุลินทรีย์ที่อยู่ในชา ซึ่งช่วยลดการเกิดเชื้อราและสิ่งปนเปื้อน

ขั้นตอนที่สาม คือการจัดการสินค้าคงคลังและการแปรรูปขั้นสุดท้าย มีการวางระบบ First in First Out (FIFO) ในการจัดเก็บ ก่อนการบรรจุลงถุงเล็กๆ ทางกลุ่มจะนำชามาผ่านกระบวนการทำความสะอาดอีกรอบ คือ การอบด้วยลมร้อน (Hot Air Oven) โดยใช้เตาอบขนาดเล็ก การอบด้วยเตาเล็กๆ มีเหตุผลสำคัญ คือ เพื่อป้องกันไม่ให้ชาดอกซ้อเสียความหอม หากอบปริมาณมากและทิ้งไว้นาน กลิ่นจะหายไป ขั้นตอนนี้เป็นการควบคุมคุณภาพขั้นสุดท้ายก่อนการแพ็ค

นอกจากนี้ ยังรวมถึงการควบคุมสุขอนามัยส่วนบุคคล เช่น การสวมเสื้อผ้า ใส่ถุงมือ และการแบ่งโซนการผลิตที่ชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนข้าม (Cross Contamination) ซึ่งอาจเกิดจากการสัมผัสของเชื้อจุลินทรีย์หรือสิ่งแปลกปลอม

ซึ่งเราได้วางแผนกระบวนการพัฒนาชาดอกซ้อให้ได้มาตรฐานความปลอดภัยและการควบคุมคุณภาพชาดอกซ้อ เพื่อเข้าสู่มาตราฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน(มผช) และการขอเลขสารบบขององค์การอาหารและยา(อย.) ในลำดับต่อไป

ผศ.กนกวรรณ ปลาศิลา

กลยุทธ์การเล่าเรื่องราว Storytelling และการสร้างแบรนด์

โครงการวิจัยไม่ได้มุ่งเน้นเพียงด้านวิทยาศาสตร์และการผลิตเท่านั้น แต่ยังใช้กลยุทธ์การ “เล่าเรื่อง” (Storytelling) เพื่อนำเสนออัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวไทลื้อบ้านหาดบ้ายผ่านผลิตภัณฑ์ชาดอกซ้อ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์อภิสรา กฤตาวาณิชย์ อธิบายว่า กลยุทธ์ในการสื่อสารเรื่องราวนี้คือการนำอัตลักษณ์ของบ้านหาดบ้ายมานำเสนอผ่านบรรจุภัณฑ์ โดยดึงเอาองค์ประกอบสำคัญของวิถีชีวิตไทลื้อมาใช้ในการออกแบบ

อย่างเช่น ผ้าทอไทลื้อบ้านหาดบ้าย มีความโดนเด่นด้านภูมิปัญญาหัตถกรรมการทอผ้า และยังเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงวิถีชีวิต วัฒนธรรม ลวดลายต่างๆ สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เช่น ลายแมงปอ ลายตาไก่ ลายขอใหญ่ ลายขอเล็ก โดยเราได้นำผ้าทอไทลื้อมาสื่อสารผ่านการออกแบบบนบรรจุภัณฑ์เพื่อทำเป็นของที่ระลึก ซึ่งเป็นการส่งเสริมการนำวัสดุในชุมชนมาต่อยอด สร้างสรรค์เป็นบรรจุภัณฑ์ไม่เพียงเพิ่มมูลค่า แต่ยังกระจายรายได้สู่ชุมชนและส่งเสริม Soft Power ไทย

ตลาดชาโลกและไทย ในปี 2567 สะท้อนการเปลี่ยนจากวัตถุดิบสู่สินค้ามูลค่าเพิ่ม

ความสำเร็จนี้สอดคล้องกับพลวัตตลาดชาโลกและไทย ในปี 2567 การส่งออกชาดำหดตัว -3.0% ชาเขียว -7.3% แต่ผลิตภัณฑ์ชาแปรรูป (HS 210120) เติบโต +11.9% สะท้อนการเปลี่ยนจากวัตถุดิบสู่สินค้ามูลค่าเพิ่ม ประเทศไทยสวนทางโลก โดยส่งออกชาและผลิตภัณฑ์เติบโต +13.6% (70.2 ล้านเหรียญสหรัฐ) ชาเขียว +65.2% และใน 8 เดือนแรกปี 2568 เติบโต +21.4% (53.3 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในประเทศ ตลาดชาพร้อมดื่ม (RTD) มีมูลค่า 16,834.7 ล้านบาท (+6.8%) ชา Specialty ร้านใหม่ +205% ใน 3 ปี มัทฉะฟีเวอร์ ยอดสั่งซื้อ 5 ล้านแก้ว (+78%) ชาดอกซ้อจึงมีโอกาสเติมช่องว่าง โดยเฉพาะการนำเข้าผลิตภัณฑ์ชาแปรรูปที่เพิ่ม +13.4% (22.9 ล้านเหรียญสหรัฐ) ขณะที่การส่งออกกลุ่มนี้หด -2.5%

การต่อยอดไม่ได้หยุดแค่ชา ทีมวิจัยวางแผนขยายสู่ผลิตภัณฑ์อื่น เช่น คุกกี้ชาดอกซ้อ ขนมปังสังขยาชาดอกซ้อ น้ำพริกผั่วทรายชาดอกซ้อ และกัมมี่ชาดอกซ้อสำหรับเด็ก อาจารย์ธงชัย กล่าวว่า “จริงๆ ทำอยู่นะ ได้นำแนวคิดในโครงการวิจัยครั้งนี้ เอาไปเป็นโปรเจ็กต์ให้กับนักศึกษา แล้วก็ได้มีการทดลองทำ ก็คือเป็นอาหารเป็นขนม จะมีขนมที่เกี่ยวกับเบเกอรี่ อย่างเช่น คุกกี้ชาดอกซ้อ ขนมปังชาดอกซ้อ ขนมปังสังขยาชาดอกซ้อ อันนี้ก็จะเป็นอีกทางเลือกที่เป็นแบบสมัยใหม่หน่อยก็คือเป็นอาหารแบบเบเกอรี่ น้ำพริกผั่วทราย ชามะนาวชาดอกซ้อน้ำชามะนาวจะเป็นแบบทานเย็นหรือร้อน อีกอันหนึ่งก็คือจะมีกัมมี่ชาดอกซ้อ ก็คือใช้ประโยชน์ที่เป็นตัวของมันด้วย ซึ่งมันก็บาง เด็กมันไม่ชอบกินเรื่องของผักแล้วก็เอาตัวใยอาหารที่มันอยู่ในดอกซ้อเอามาทำเป็นกัมมี่ มันก็เด็กมันก็กินได้ เพราะถ้าเป็นชาปกติทั่วไปเด็กมันไม่ค่อยกินกัน มันก็สามารถตอบโจทย์ให้กับเด็กได้ด้วย” การขยายเครือข่ายรับซื้อดอกซ้อจากชุมชนใกล้เคียงยังกระจายรายได้ ส่งเสริมการปลูกต้นซ้อซึ่งเป็นไม้ยืนต้น ช่วยสร้างพื้นที่สีเขียวและความยั่งยืน

เอกลักษณ์ ดอกซ้อ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำผึ้ง

นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานวิสาหกิจชุมชนอาหารท้องถิ่นไทลื้อบ้านหาดบ้าย กล่าวถึงจุดเปลี่ยนว่า “ตอนแรกที่เอามาทำเป็นดอกซ้อก็คือเอามาทำผ่านกระบวนการการแห้งเอาตากแห้งทำความสะอาดล้างตากแห้งอะไรต่างๆ พอเรามาทำเป็นน้ำดอกซ้อแรกๆ ก็มีหลายที่ก็ เอ๊ะ ทำไมชั้นก็ไม่เคยเห็น เหมือนเหมือนตอนนั้นว่าทำไมดอกซ้อมาทำเป็นน้ำดื่มได้เหรอ คือคนในพื้นที่เขาจะมองว่ามันมันไม่น่า แต่พอเราลองเอามาทำ เออก็กลายเป็น มันได้ผลตอบรับที่น่าภูมิใจ ก็คือนักท่องเที่ยวที่มา เขาบอกว่า เอ๊ะ ชิมแล้วมันแปลก แล้วก็มันกลิ่นหอมของดอกซ้อ มันเป็นเอกลักษณ์ ชงมันจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำผึ้ง จุดเปลี่ยนอย่างหนึ่งที่สำคัญมากก็คือ เมื่อมีหน่วยงานทางมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายเข้ามาสนับสนุนในเรื่องของการให้ความรู้ในเรื่องของชาดอกซ้อ โดยมีโครงการวิจัย ซึ่งตอนนั้นเราก็คิดอยู่เหมือนกันว่ามันจะได้ไหม เพราะหนึ่งเรายังไม่ได้มีมาตรฐานอะไรรับรองตอนนั้นตอนที่ทำใหม่ๆ เราทำเป็นแค่น้ำดอกซ้อเฉยๆ แต่พอเราทำไปทำมากลายเป็นว่าผลตอบรับที่เราได้จากนักท่องเที่ยว แล้วผู้คนที่มาเที่ยวบ้านเรา ลองชิมแล้วก็มาลองเราลองเอามาต้อนรับนักท่องเที่ยว กลายเป็นว่ามันเป็นผลตอบรับที่น่าภูมิใจ แล้วก็พอมีทางมหาวิทยาลัยเข้ามาสนับสนุนให้เรามั่นใจมากขึ้นในตัวผลิตภัณฑ์”

สำหรับการผลักดันให้ชาดอกซ้อเป็น “ของดีที่ต้องแวะชิม” นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานวิสาหกิจชุมชนอาหารท้องถิ่นไทลื้อบ้านหาดบ้าย กล่าวว่า “การที่เราแนะนำนำเสนอในส่วนของดอกซ้อตัวผลิตภัณฑ์ของดอกซ้อเองก็คือหนึ่งอันดับแรกก็คือการทำขนมแน่นอนอยู่แล้ว อันนี้เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิม มรดกที่บรรพบุรุษเขามอบให้เรามาเรามาสานต่อในเรื่องของการนำเสนอ ให้ให้แขกผู้มาเยือนได้ลองชิมทำขนมบ้างทำน้ำบ้าง ซึ่งเราจะใช้ในการต้อนรับแขกนักท่องเที่ยวที่มาจัดเบรกบ้าง ให้ต้อนรับทำเป็นนะคะ อันนี้ก็คือหลังจากที่เราทำท่องเที่ยวก็กลายเป็นว่าทำให้ดอกซ้อกลายเป็นมีชื่อเสียงขึ้นมา และก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าต่อไปในอนาคต ดอกซ้อจะสามารถทำอะไรได้หลายอย่างมากกว่านี้โดยเฉพาะทางมหาวิทยาลัยตอนนี้เริ่มเอา คิดค้นในเรื่องเมนูต่างๆ ขนม จากในไม่ว่าขนมแบบโบราณ หรือว่าขนมที่สากลแบบขนมแบบเค้กทำกัมมี่อะไรพวกนั้นเยอะแยะขึ้นไป อันนี้ก็จะเป็นแล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือ เราอยากเราเราทำให้เราให้นักท่องเที่ยวมาทำกิจกรรมเกี่ยวกับดอกซ้อด้วยเกี่ยวกับเรื่องอาหาร”

ผสานภูมิปัญญา วิทยาศาสตร์ และตลาด เพื่อยกระดับสินค้าเกษตรไทย

ในบทสรุป ชาดอกซ้อบ้านหาดบ้ายเป็นตัวอย่างชัดเจนของการผสานภูมิปัญญา วิทยาศาสตร์ และตลาด เพื่อยกระดับสินค้าเกษตรไทย ท่ามกลางตลาดชาโลกที่กำลังเปลี่ยนสู่ Functional Teas รัฐบาลควรสนับสนุนนโยบายการลงทุนในเทคโนโลยีแปรรูป เพื่อลดการพึ่งพานำเข้าและขยายส่งออก HS 210120 ซึ่งเติบโต +11.9% ชาดอกซ้อไม่ใช่แค่เครื่องดื่ม แต่เป็นสะพานเชื่อมวัฒนธรรมไทลื้อสู่โลก หากรัฐและชุมชนเดินหน้าต่อยอด ศักยภาพนี้จะสร้างรายได้ยั่งยืนและกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนได้อย่างมหาศาล คิดดูสิว่า พืชหายากปีละครั้งจะเปลี่ยนชีวิตชุมชนได้อย่างไร หากได้รับการสนับสนุนที่ถูกต้อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียง : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • ภาพถ่าย : กีรติ ชุติชัย
  • สนค. (สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า) กระทรวงพาณิชย์
  • กระทรวงพาณิชย์ (MOC)
  • The Standard
  • The Bangkok Insight
  • กรมการค้าต่างประเทศ (DFT)
  • ผู้ช่วยศาสตราจารย์อภิสรา กฤตาวาณิชย์ คณะวิทยาการจัดการ หัวหน้าโครงการนวัตกรรมการพัฒนาและเล่าเรื่องชาดอกซ้อตามแนวทางอาหารปลอดภัยของวิสาหกิจชุมชนอาหารท้องถิ่นไทลื้อบ้านหาดบ้าย จังหวัดเชียงราย
  • ผศ.กนกวรรณ ปลาศิลาและอาจารย์ธงชัย ลาหุนะ คณะสังคมศาสตร์
  • นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานวิสาหกิจชุมชนอาหารท้องถิ่นไทลื้อบ้านหาดบ้าย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

มฟล.–เชียงรายยืนยันเจ้าภาพ APACPH 2025 ชู “สุขภาพชายแดน” รับความท้าทายยุค Disruptive World

มฟล.–เชียงรายยืนยันเจ้าภาพ “APACPH 2025” เวทีสาธารณสุขเอเชีย–แปซิฟิก ชูสุขภาพชายแดน–ความเสมอภาค รับโลกยุค Disruption

เชียงราย, 10 ตุลาคม 2568 — ยามเช้าของปลายฝนต้นหนาว ลมเหนือพัดปรับอุณหภูมิให้เมืองชายแดนเย็นลงเล็กน้อย ขณะเดียวกันข่าวใหญ่ด้านสาธารณสุขก็พัดเข้าสู่ภาคเหนือเช่นกัน เมื่อ สมาพันธ์วิชาการสาธารณสุขภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APACPH) ประกาศยืนยันให้ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) จังหวัดเชียงราย เป็นเจ้าภาพจัด การประชุมวิชาการนานาชาติ APACPH Conference ครั้งที่ 56 ระหว่าง 4–7 พฤศจิกายน 2568 ภายใต้หัวข้อหลัก “Public Health Challenges in a Disruptive World” หรือ ความท้าทายด้านสาธารณสุขในโลกที่มีการหยุดชะงัก”

การตัดสินใจดังกล่าวไม่เพียงย้ำ “สถานะความเป็นนานาชาติ” ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงซึ่งได้รับการจัดอันดับ International Outlook ในระดับแถวหน้าของประเทศเท่านั้น หากยังสะท้อนบทบาทใหม่ของ เชียงราย ที่กำลังถูกมองเป็น “จุดตัดนโยบายสาธารณสุขชายแดน” ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) ท่ามกลางพลวัตใหญ่ของภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิก

“เราต้องนำเสียงจากแนวชายแดนเข้าสู่กระดานโลกให้ได้—ทั้งเรื่อง ความเสมอภาคทางสุขภาพของชนกลุ่มน้อย/ผู้ย้ายถิ่น/ผู้สูงอายุ, การเตรียมพร้อมต่อ โรคอุบัติใหม่–อุบัติซ้ำ, ไปจนถึงการบูรณาการ เทคโนโลยี–นโยบาย ในระบบสุขภาพ” สารจากคณะผู้จัด APACPH 2025 สะท้อนทิศทางยุทธศาสตร์ของงานปีนี้

ทำไม “เชียงราย” จึงเป็นสมรภูมิเสียงของภูมิภาค

เชียงรายตั้งอยู่บนทางเชื่อมของ อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประเด็นสุขภาพ ไม่รู้จักเส้นแบ่งเขตแดน ไม่ว่าจะโรคติดเชื้อที่เดินทางพร้อมการค้าและการย้ายถิ่น ปัจจัยแวดล้อม–อาชีวอนามัยจาก เศรษฐกิจข้ามแดน ไปจนถึงความเปราะบางเฉพาะบริบทของ แรงงานไร้เอกสาร–ชนกลุ่มน้อย–ผู้สูงอายุในชนบท การย้ายเวทีจากเมืองหลวงสู่ชายแดน จึงเป็นการ “หันไมค์” ไปยังผู้ที่มักอยู่ชายขอบของวงเสวนา สถานะความเป็นนานาชาติของ มฟล. และระบบนิเวศของเครือข่ายวิจัยด้านสุขภาพในภาคเหนือ ทำให้เมืองนี้ไม่ใช่เพียง “สถานที่จัดงาน” แต่เป็น ห้องทดลองเชิงนโยบาย ที่พาผู้เข้าร่วมเห็นของจริง—ตั้งแต่ชุมชนข้ามพรมแดน ไปถึงคลัสเตอร์ธุรกิจ–โลจิสติกส์ที่สร้างเงื่อนไขอาชีวอนามัยรูปแบบใหม่ ธีมย่อยของปีนี้ชัดถ้อยชัดคำ—สุขภาพของกลุ่มพลัดถิ่น ชายแดน และชนกลุ่มน้อย (Diaspora, border, and minority health)”—สะท้อนการปรับโฟกัสจาก กำหนดบนใช้ล่าง” ไปสู่ หลักฐานจากพื้นที่–ดันขึ้นนโยบาย” ที่รับมือความซับซ้อนจริงของภูมิภาค

กรอบวิชาการ 6 กลุ่มหัวข้อ เชื่อม “เทคโนโลยี นโยบาย ความยืดหยุ่น”

โครงสร้างวิชาการของ APACPH 2025 ถูกออกแบบเป็น 6 กลุ่มแกน (Core Tracks) ที่ครอบคลุมทั้ง “วันนี้” และ “วันพรุ่งนี้” ของระบบสุขภาพ:

  1. อนาคตของสังคมและสุขภาพ (Future Society & Health)  โฟกัส AI, เวชสารสนเทศ, Telehealth, Precision/Personalized Medicine และ Smart Care—คำถามใหญ่อยู่ที่กรอบกำกับดูแล จริยธรรมข้อมูล และความพร้อมของรัฐ–พื้นที่
  2. นโยบายและระบบสุขภาพ (Health Policy & Systems)  จาก ความมั่นคงทางสุขภาพโลก และ การเตรียมพร้อมโรคระบาด ไปถึง การเงินการคลังสาธารณสุข และแบบจำลอง Precision Public Health ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
  3. สุขภาพสิ่งแวดล้อมและอาชีวอนามัย (Environmental & Occupational Health)  ผลพวง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, มลพิษเมือง, และที่สำคัญคือ สุขภาพแรงงาน Gig—เศรษฐกิจแพลตฟอร์มที่เติบโตเร็วในอาเซียน แต่แบนบางด้านหลักประกันสุขภาพและความปลอดภัย
  4. ชุมชนและความเสมอภาค (Community & Equity)  ปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ (SDoH), ความเสมอภาคทางเพศ, การคุ้มครองกลุ่มเปราะบาง (ชนกลุ่มน้อย–ผู้สูงอายุ–ผู้ย้ายถิ่น) และการป้องกันความรุนแรงในชุมชน
  5. การควบคุมโรคและการศึกษาด้านสุขภาพ (Disease Control & Health Education)  ภัยคุกคามระบาดวิทยา, NCDs, การบาดเจ็บ, สุขภาวะพฤติกรรม และ health literacy—แก่นของ “การป้องกัน” ที่ยังคงเป็นฐานของระบบสุขภาพยั่งยืน
  6. วงจรชีวิตและสุขภาพ (Life Cycle & Health)  จาก “ปฐมวัย–มารดา” ไปสู่ “สังคมสูงวัยโรคเรื้อรัง” ครอบคลุมโภชนาการ การออกกำลังกาย และบริการดูแลต่อเนื่อง

เมื่อนำ 6 กลุ่มมา “วางคู่กัน” จะเห็น ยุทธศาสตร์สามชั้น ชัดเจน เทค นโยบาย ต้องเดินคู่ (Future Society × Policy & Systems), สิ่งแวดล้อม อาชีพ ผูกกับ ความเสมอภาค (Environmental/Occupational × Community & Equity), และป้องกัน วงจรชีวิต เป็น รากฐานความยืดหยุ่น ของสังคมในระยะยาว (Disease Control × Life Cycle)

เส้นตายกระชั้นชิด โอกาส ความเสี่ยงที่ต้องบริหาร

แม้การจัดงานสะท้อนความพร้อมของเจ้าภาพด้านโลจิสติกส์ แต่ปีนี้ กำหนดการทางวิชาการค่อนข้างบีบอัด โดยเฉพาะสำหรับผู้เข้าร่วมต่างชาติ

  • กำหนดส่งบทคัดย่อ (Extended): ถึง 15 ตุลาคม 2568
  • แจ้งผลตอบรับบทคัดย่อ (Extended): 20 ตุลาคม 2568
  • วันประชุมหลัก: 4–7 พฤศจิกายน 2568
  • Early-bird Registration (Extended): ถึง 15 กันยายน 2568

ช่วงเวลา ระหว่างการแจ้งผล (20 ต.ค.) กับวันประชุม (4 พ.ย.) มีเพียงราว สองสัปดาห์ ซึ่งอาจ ไม่เพียงพอ สำหรับผู้ที่ต้องขอวีซ่า/อนุมัติค่าใช้จ่ายจากองค์กรหรือวางแผนการเดินทางที่ซับซ้อน คำแนะนำเชิงปฏิบัติของผู้สื่อข่าวคือ เร่งจัดการงบประมาณnอนุมัติภายใน–เอกสารเดินทางให้ยืดหยุ่น และเตรียมแผนสำรองล่วงหน้า

ด้านค่าลงทะเบียน โครงสร้างราคามีแรงจูงใจชำระล่วงหน้า ชัดเจน:

  • Early-bird (25 เม.ย.–15 ก.ย. 2568)  นักศึกษา 150 USD/4,500 บาท, สมาชิก 250 USD/5,500 บาท, บุคคลทั่วไป 300 USD/6,500 บาท
  • On-site (16 ก.ย.–15 ต.ค. 2568)  นักศึกษา 200 USD/5,000 บาท, สมาชิก 300 USD/6,000 บาท, บุคคลทั่วไป 350 USD/7,000 บาท
  • Pre-conference Workshop (4 พ.ย.)  ต่างชาติ 50 USD, ผู้เข้าร่วมในประเทศ 1,000 บาท

ราคายัง ไม่รวมค่าธรรมเนียมธุรกรรมทางการเงิน (บัตรเครดิต/ธนาคาร)

จากตัวเลขข้างต้น นักศึกษา เสียโอกาสสูงสุดหากพลาด Early-bird (ต่าง 50 USD) ขณะที่หน่วยงานรัฐ–มหาวิทยาลัยควรปิดงบ ก่อน 15 ก.ย. เพื่อบริหารต้นทุนรวมให้ดีที่สุด

 

โลจิสติกส์–การเดินทาง ไกลเมืองแต่ใกล้สนามบิน

สถานที่จัดประชุม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) อำเภอเมืองเชียงราย

  • ห่าง ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI) ประมาณ 15 กม./20 นาที
  • ห่างตัวเมืองประมาณ 18 กม./20–30 นาที

ตัวเลือกการเดินทาง:

  • แท็กซี่สนามบิน/ศูนย์แท็กซี่เชียงราย
  • Grab (GrabCar/GrabTaxi/GrabRent) ให้บริการในเชียงราย
  • รถเช่า (Avis, Budget, Hertz, Chic Car Rent) มีเคาน์เตอร์ในสนามบิน

ที่พักที่คณะเจ้าภาพร่วมมือ:

  1. วนเวศน์ อินน์ (Wanawes Inn) — ที่พัก ในมหาวิทยาลัย เหมาะผู้ต้องการความสะดวกสูงสุด
  2. The Heritage Chiang Rai Hotel & Conventionสถานที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร (ECM) วันที่ 3 พ.ย. คาดเป็น ศูนย์กลางเครือข่าย ของผู้บริหาร/ตัวแทนสถาบัน
  3. The Phufa Waree Chiangrai Resort, The Riverie by Katathani, Kokotel Chiang Rai Airport Suites — ทางเลือกตามงบและทำเล (ใกล้สนามบิน/ใจกลางเมือง/รีสอร์ท)

ด้วยระยะของมหาวิทยาลัยที่ ค่อนข้างห่างจากตัวเมือง ผู้เข้าร่วมควร กันงบการเดินทางภายใน (เรียกรถ/เช่ารถ) และติดตาม ประกาศรถรับ–ส่งทางการ หากมีการยืนยันเพิ่มเติมจากผู้จัด

โครงสร้างโปรแกรม Plenary–Panel–Talk Concert–Workshop

กำหนดการโดยสังเขป (ตามกรอบที่ประกาศ):

  • 1 ก.ค. 2568 เผยแพร่โปรแกรมครั้งที่ 1
  • 3 พ.ย. 2568 Executive Committee Meeting (ECM) ที่ The Heritage
  • 4 พ.ย. 2568 (บ่าย)  ECN Pre-Workshop (14:00–17:00 น.) เปิดให้สมาชิก Early Career Network (ECN) และผู้รับรางวัล YITA เข้าร่วมโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
  • 4–7 พ.ย. 2568 งานประชุมหลัก (วิทยากรปาฐกถา–เวทีเสวนา–การนำเสนอแบบปากเปล่า/โปสเตอร์–กิจกรรมเครือข่าย)

สาระสำคัญของการจัดโปรแกรมคือ “ความร่วมสมัย” ตั้งแต่ Plenary ที่ยก “โจทย์ใหญ่” ของภูมิภาค ไปถึง Panel ที่ ผู้นโยบาย–นักวิจัย–ภาคประชาสังคม นั่งโต๊ะเดียวกัน และ Talk Concert ที่ “แปลภาษาเทคนิค” ให้สาธารณะเข้าใจง่าย—ทั้งหมดภายใต้ ธีม Disruptive World ที่สะท้อนความจริงปัจจุบัน ไม่ใช่ภาพอนาคต

ประเด็นเชิงยุทธศาสตร์ที่ต้องจับตา

  1. AI–Data Governance–Telehealth การยกระดับบริการสุขภาพด้วยเทคโนโลยีจะเดินไปได้ไกลแค่ไหน หาก กรอบกำกับดูแล–จริยธรรม ยังไม่ชัด? การประชุมนี้อาจวาง หลักคิดร่วม ของภูมิภาค
  2. Gig Worker Health แพลตฟอร์มเศรษฐกิจเติบโตไว แต่ ความคุ้มครองแรงงาน/อาชีวอนามัย ตามไม่ทัน—นโยบายแบบใด “รับทุกฝ่าย” ได้จริง
  3. Border & Minority Health จาก การเข้าถึงหลักประกันสุขภาพ ของแรงงานข้ามแดน ไปถึง บริการที่คำนึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม/ภาษา—เชียงรายอาจเป็น กรณีศึกษาจริง ที่ต่อยอดสู่ โมเดลข้ามพรมแดน
  4. Climate–Environment–NCDs ภูมิอากาศสุดขั้วและมลพิษเชื่อมโยงกับ NCDs/สุขภาพจิต อย่างไร—การออกแบบ นโยบายป้องกันเชิงระบบ คือคำตอบระยะยาว
  5. Resilience by Design ทุกกลุ่มหัวข้อย้ำ “การป้องกัน” และ “ความยืดหยุ่น”—เสียงส่วนใหญ่คาดหวังเอกสาร แนวปฏิบัติ (playbook) ที่องค์กรในประเทศต่าง ๆ นำไปใช้ได้จริง

เสียงสะท้อนจากเครือข่าย (Key Messages)

  • มฟล. เน้นบทบาท “มหาวิทยาลัยของภูมิภาค” ที่ เชื่อมศาสตร์–เชื่อมเมือง–เชื่อมชายแดน และเป็น พื้นที่กลาง ของงานนานาชาติด้านสุขภาพ
  • APACPH ตั้งธง “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ผ่านหัวข้อ Community & Equity และ Border/Minority Health เพื่อปิดช่องว่างที่การประชุมในเมืองใหญ่ มักมองข้าม
  • เครือข่ายนักวิจัยรุ่นใหม่ (ECN) ได้เวที Pre-Workshop สร้าง ผู้นำสาธารณสุขรุ่นต่อไป—สัญญาณของการลงทุนกับ ทุนมนุษย์ อย่างจริงจัง

สรุปสำหรับผู้วางแผนเข้าร่วม (Actionable Takeaways)

  • รีบปิด Early-bird (ถึง 15 ก.ย. 2568) ประหยัดงบชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษา/หน่วยงานภาครัฐ–สถาบันการศึกษา
  • ส่งบทคัดย่อ (ถึง 15 ต.ค. 2568) และเผื่อเวลาเอกสาร ระยะห่าง แจ้งผล 20 ต.ค. ถึง เริ่มงาน 4 พ.ย. สั้น—เตรียม แผน A–B เรื่องตั๋ว/ที่พัก/วีซ่า
  • วางแนวหัวข้องานวิจัยให้ “เข้าแกน 6 กลุ่ม”  โอกาสได้รับการคัดเลือก/สปอตไลต์สูงขึ้น โดยเฉพาะประเด็น ชายแดน–ความเสมอภาค–แรงงาน Gig–ภูมิอากาศ–AI/Telehealth
  • จองที่พักตามกลยุทธ์การเดินทาง หากต้องการเครือข่าย–ประชุมผู้บริหาร เลือก The Heritage; หากเน้นความสะดวกฝั่งสถานที่ประชุม เลือก Wanawes Inn (ในมฟล.)
  • ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของนักวิจัยรุ่นใหม่ ใช้สิทธิ ECN Pre-Workshop (4 พ.ย. 14:00–17:00 น.) ที่เปิดฟรีแก่สมาชิก ECN/YITA

 

APACPH 2025 @ เชียงราย ไม่ได้เป็นเพียง “โลเคชันใหม่” ของงานประชุมใหญ่ แต่เป็นการ จัดวางคำถามใหม่ ให้สอดคล้องกับ ความจริงใหม่ ของภูมิภาค—ความเปราะบางตามแนวชายแดน แรงงานรูปแบบใหม่ เศรษฐกิจแพลตฟอร์ม ภูมิอากาศสุดขั้ว และคลื่นเทคโนโลยีที่ทั้งสร้างโอกาสและตั้งคำถามเชิงจริยธรรม

ในโลกที่ Disruption กลายเป็นสภาวะปกติ งานนี้จึงมีความหมายมากกว่าเวทีนำเสนอผลงาน—มันคือ พื้นที่กำกับทิศทาง ที่ผู้กำหนดนโยบาย–นักวิจัย–ภาคประชาสังคม จะทดลอง “ประกบ” เทคโนโลยี–หลักฐาน–ความยุติธรรมทางสังคม เข้าด้วยกัน เพื่อสร้าง ระบบสุขภาพที่ยืดหยุ่นและเท่าเทียม กว่าเดิม

เชียงราย—เมืองชายแดนที่ครั้งหนึ่งถูกมองว่าอยู่ไกล—วันนี้กลายเป็น ใจกลางของบทสนทนาเอเชีย–แปซิฟิก ว่าด้วยสุขภาพของผู้คนที่ ไม่ควรถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาพันธ์วิชาการสาธารณสุขภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APACPH)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (MFU
  • APACPH 2025
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“ทอสายบุญ” จุลกฐินไทลื้อ: อบจ.เชียงรายผนึก 5 ภาคี สร้างงาน-รายได้ชุมชนจากวัฒนธรรม

เชียงรายสานศรัทธาไทลื้อ “ทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ บ้านหาดบ้าย” ลงนาม MOU 5 ภาคี ดันท่องเที่ยวริมโขง สร้างงาน–รายได้ชุมชน

เชียงราย, 9 ตุลาคม 2568 — ยามเย็นบนตลิ่งโขง แสงสีส้มแตะขอบน้ำสงบที่ ลานเวทีบ้านหาดบ้าย–หาดทรายทอง ต.ริมโขง อ.เชียงของ ผู้คนในชุดไทลื้อสีคราม–ไพลสลับลวดลายกำลังจัดขบวน “แห่ขันโตก” ขณะที่วงกลองสะบัดชัยกระทบจังหวะต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ—ฉากเปิดของงานแถลงข่าวและเสวนา “ทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ บ้านหาดบ้าย” ซึ่งปีนี้ยกระดับสู่ MOU เครือข่าย 5 ภาคส่วน เพื่อเดินหน้าพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน

ภายใต้แคมเปญจังหวัด “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปีมีดีทุกอำเภอองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) โดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ. นำภาคีเครือข่ายร่วมลงนาม ได้แก่ นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ, รศ.มาลี หมวกกุล ประธานสาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย, นายเกษม ปันทะยม นายก อบต.ริมโขง และ นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีบ้านหาดบ้าย เพื่อวางกรอบความร่วมมือจาก “วัฒนธรรม–พื้นที่–คน” สู่ “เศรษฐกิจท้องถิ่น–รายได้ชุมชน–ภาพลักษณ์จังหวัด”

“เรายกให้งานจุลกฐินบ้านหาดบ้าย–หาดทรายทองเป็นหนึ่งในปฏิทินท่องเที่ยวของจังหวัด สนับสนุนงบประมาณ 300,000 บาท เพื่อให้ชุมชนเดินต่อด้วยพลังของตนเองและเครือข่ายภาคี” — นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย กล่าวระหว่างเสวนา

จุลกฐินไทลื้อ “ทอผ้าทันใจ” ศรัทธาที่แปรเป็นเศรษฐกิจชุมชน

หัวใจของงานคือ พิธีจุลกฐิน—ประเพณีโบราณที่ชาวไทลื้อรวมพลัง ทอผ้าทันใจ” ภายในคืนเดียวเพื่อถวายแต่เช้า “ทอ–ปั่น–ฟั่น–กรอ—เสร็จในราตรีเดียว” คือความหมายเชิงสัญลักษณ์ของ ความสามัคคีและแรงศรัทธา ซึ่งปีนี้กำหนดจัดจริง 25–26 ตุลาคม 2568 ณ วัดหาดบ้าย พร้อมจำลองกระบวนการครบขั้นตั้งแต่เก็บสำลีฝ้าย ปั่นเส้น ไปจนถึงทอผ้าและแห่ถวาย

“เรื่องเล่าของ ‘ผ้าทันใจ’ คือพลังร่วมมือของชุมชน เมื่อครั้งต้องการถวายผ้าแด่พระภิกษุในเช้าวันถัดมา—วันนี้เราสืบสานเพื่อให้ลูกหลานเห็นคุณค่าศรัทธาที่จับต้องได้” — นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีบ้านหาดบ้าย กล่าว

นอกจากพิธีกรรม งานยังเปิดเวทีการแสดงอัตลักษณ์ไทลื้อ เช่น ฟ้อนขับลื้อ, ขบวน แห่ขันโตก ต้อนรับแขก และการร่วมแสดงของทั้ง แม่บ้าน–เยาวชน–ผู้สูงอายุ เพื่อให้เห็น “ชุมชนหนึ่งเดียวต่างวัย” ที่ขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมร่วมกัน

3 ทุนของบ้านหาดบ้ายวัฒนธรรม–พื้นที่–คน

เวทีเสวนาชี้ให้เห็น “ทุน” ของพื้นที่ที่พร้อมต่อยอดเป็นคุณค่าทางเศรษฐกิจ

  • ทุนวัฒนธรรม ภาษา การแต่งกาย ประเพณี และอาหารพื้นถิ่นที่ยังใช้จริงในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะ ผ้าทอไทลื้อ ที่มีลายเฉพาะถิ่น และพิธี จุลกฐิน
  • ทุนพื้นที่ ภูมิประเทศริมโขง โอบล้อมด้วยภูเขา บรรยากาศไฮซีซันที่โดดเด่น เหมาะแก่การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ–วัฒนธรรม
  • ทุนคน ความเข้มแข็งของชุมชน การรวมกลุ่มอาชีพ และความร่วมมือของผู้นำท้องถิ่นกับสถาบันการศึกษา

“ทุน 3 อย่างนี้—ถ้าเชื่อมกับการจัดการที่ดี จะกลายเป็น ‘เศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรม’ ที่สร้างคุณภาพชีวิตให้คนในพื้นที่จริง” — นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ ให้ความเห็น

มหาวิทยาลัยหนุนวิจัย–พัฒนาผลิตภัณฑ์ จากครัวชนบทสู่รางวัลระดับประเทศ

บทบาทของ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ไม่ได้หยุดอยู่ที่การถอดองค์ความรู้การทอผ้าไทลื้อเท่านั้น แต่ยังต่อยอด ห่วงโซ่อาหารพื้นถิ่น สู่ผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์และภาพลักษณ์ใหม่

  • น้ำพริกถั่วเน่าหอมหมื่นลี้” คว้ารางวัลระดับประเทศจากเวที “ยกพลคนน้ำพริก (ไทยพีบีเอส)” ทั้ง รองชนะเลิศ และ ขวัญใจมหาชน—ตัวอย่างการนำเครื่องปรุงพื้นบ้านยกระดับสู่สากล
  • ชาดอกซ้อ (ดอกเส้า)” วิจัยพัฒนาให้ผลิต–จำหน่ายได้ตลอดปี พร้อม แพ็กเกจจิ้ง ที่สะท้อนอัตลักษณ์ชุมชน เพิ่มมูลค่าเป็น “ของฝากริมโขง”

“สิบกว่าปีที่ทำงานร่วมพื้นที่ เราเห็นชัดว่าทุนคนคือจุดเริ่มต้น ทุกโครงการ—อาหาร ผ้า ศูนย์เรียนรู้—เกิดจากการที่ชุมชน ‘อยากทำ’ และ ‘ทำได้จริง’ มหาวิทยาลัยจึงทำหน้าที่ต่อยอดงานวิจัยและการตลาดให้ไปไกลขึ้น” — รศ.มาลี หมวกกุล กล่าวบนเวที

จากเวทีแถลงสู่เวทีขาย อาหาร–การแสดง–สินค้าชุมชนครบประสบการณ์

งานแถลงข่าวไม่เพียงนำเสนอสาระ แต่ “ลองรส–ลองชม–ลองช็อป” เพื่อสะท้อนประสบการณ์จริงของนักท่องเที่ยวในงานใหญ่ปลายเดือน เมนู ขันโตกไทลื้อ ที่เสิร์ฟบนเวที เช่น

  • แกงหางหวายอ่อน — วัตถุดิบพื้นบ้านหายาก ปรุงแบบดั้งเดิม
  • ลาบหมูล้านนา — อาหารมงคลของชาวเหนือ สื่อถึงการรวมคนในงานบุญ
  • น้ำพริกถั่วเน่าหอมหมื่นลี้ — เมนูสร้างชื่อของชุมชน
  • ต้มจืดฟักเขียว — เมนูกลางสำหรับทุกวัย

บนลานทรายริมโขง แผงสินค้าชุมชนเรียงรายตั้งแต่ ผ้าซิ่นไทลื้อ–เสื้อพื้นถิ่น–ของทานพื้นบ้าน ไปจนถึงบูธงานวิจัย–พัฒนาผลิตภัณฑ์จากมหาวิทยาลัย ภาพนักเรียน โรงเรียนริมโขงวิทยา ขึ้นแสดง–ร่วมจัดนิทรรศการ ยังสะท้อน “คนรุ่นใหม่” ที่สืบต่ออัตลักษณ์บ้านเกิด

MOU 5 ภาคส่วน กลไกขับเคลื่อนระยะยาว

เอกสาร MOU ที่ลงนามร่วมกันระบุ เจตนารมณ์ร่วม 3 ประการ คือ

  1. ยกระดับงาน “จุลกฐินถิ่นไทลื้อโบราณ” เป็นงานวัฒนธรรมประจำปีที่ชุมชนเป็นเจ้าของ
  2. สนับสนุน โครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว และ ระบบการสื่อสารสาธารณะ ให้เข้าถึงง่ายทั้งออนไลน์–ออฟไลน์
  3. ต่อยอด งานวิจัย–ผลิตภัณฑ์ชุมชน ให้ได้มาตรฐาน พร้อมช่องทางตลาด–โลจิสติกส์รองรับ

อบจ.เชียงราย ทำหน้าที่หนุนงบประมาณและการตลาดเชิงภาพรวมจังหวัด, อำเภอเชียงของ และ อบต.ริมโขง บูรณาการภาคส่วนในพื้นที่, มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย วางฐานองค์ความรู้–มาตรฐานผลิตภัณฑ์–ศูนย์เรียนรู้, ส่วน ชุมชนไทลื้อบ้านหาดบ้าย–หาดทรายทอง ทำหน้าที่เจ้าภาพเนื้อแท้ของวัฒนธรรมและประสบการณ์นักท่องเที่ยว

ตัวเลข–ข้อเท็จจริงชวนคิด

  • 300,000 บาท งบสนับสนุนงานปีนี้จาก อบจ.เชียงราย เพื่อผลักดันสู่ปฏิทินท่องเที่ยวจังหวัด
  • 2 วัน (25–26 ต.ค. 2568)  โครงสร้างงาน—คืนแรก ทอผ้าทันใจ, เช้าวันถัดมา แห่ผ้าทอถวาย
  • 5 ภาคีร่วมลงนาม อบจ.เชียงราย, อำเภอเชียงของ, ม.ราชภัฏเชียงราย, อบต.ริมโขง, ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีบ้านหาดบ้าย
  • รางวัลระดับประเทศ 2 รางวัล  “น้ำพริกถั่วเน่าหอมหมื่นลี้” จากเวทีไทยพีบีเอส (รองชนะเลิศ/ขวัญใจมหาชน) สะท้อนศักยภาพการยกระดับอาหารพื้นบ้าน
  • ระบบนิเวศคน 3 วัย แม่บ้าน–เยาวชน–ผู้สูงอายุ ร่วมเป็นผู้แสดง ผู้ผลิต และผู้ต้อนรับ สร้าง “บริการท่องเที่ยวที่เป็นเจ้าบ้านจริง”

เสียงจากพื้นที่ การมีส่วนร่วมคือคำตอบ

“เราจะรับนักท่องเที่ยวด้วยความเต็มใจ ด้วยวิถีไทลื้อและพหุชาติพันธุ์ใน ต.ริมโขง—งานนี้ระเบิดจากข้างในชุมชน หน่วยงานรัฐและมหาวิทยาลัยเข้ามาหนุนเสริม” — นายเกษม ปันทะยม นายก อบต.ริมโขง

“เมื่อชุมชนมีความภูมิใจในทุนของตนเอง นักท่องเที่ยวก็จะได้ประสบการณ์แท้จริง—นี่คือเหตุผลที่เราพัฒนา ศูนย์เรียนรู้ และ คลังความรู้การทอผ้า ในโรงเรียน ให้การสืบสานเป็น ‘ทักษะอาชีพ’ ได้” — รศ.มาลี หมวกกุล

“การทอผ้าทันใจไม่ใช่โชว์ แต่คือชีวิต—เราอยากให้ผู้มาเยือนได้สัมผัส ลงมือจริง และเข้าใจว่าทุกเส้นด้ายมีเรื่องเล่า” — นางสนอง จันต๊ะคาด

การสื่อสารร่วมสมัย จากเวทีริมโขงสู่ไลฟ์สดและคอนเทนต์ออนไลน์

เพื่อเข้าถึงคนเมือง–คนรุ่นใหม่ งานแถลงข่าวเปิด ไลฟ์สด ผ่านเพจหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เชิญชวน ครีเอเตอร์ ทดลองเก็บคอนเทนต์ “ชุดไทลื้อ–ริมโขง–แสงอาทิตย์ตก” พร้อมแนะนำ แฮชแท็กการท่องเที่ยวชุมชน กระตุ้นการรับรู้แบบไวรัล ขณะเดียวกัน ชุมชนเตรียม ชุดข้อมูลนักท่องเที่ยว (การเดินทาง ที่พัก โฮมสเตย์ ร้านอาหารพื้นถิ่น แหล่งซื้อผ้า) เพื่อให้การเดินทางในปลายเดือนเป็นไปอย่างราบรื่น

แผนงานก่อนถึงวันจริง ความพร้อมเชิงระบบ

หลังลงนาม MOU แต่ละฝ่ายเร่งดำเนินการตามบทบาท

  • ชุมชน: ฝึกซ้อมการแสดง สรุปเส้นทางเดินงาน จัดบูธผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น และระบบอาสาสมัครต้อนรับ
  • อบต.ริมโขง: การจราจร–ความปลอดภัย–จุดบริการสาธารณะ
  • อำเภอเชียงของ: ประสานหน่วยงานความมั่นคงและสาธารณสุขในพื้นที่
  • อบจ.เชียงราย: ประชาสัมพันธ์ส่วนกลางและเชื่อมเครือข่ายท่องเที่ยวจังหวัด
  • มหาวิทยาลัย: นัดหมายสาธิตงานวิจัย–พัฒนาผลิตภัณฑ์ สื่อสารเรื่องมาตรฐาน คุณภาพ และเรื่องเล่าเบื้องหลังผลิตภัณฑ์

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง คือ รายได้หมุนเวียนในชุมชน ผ่านการจำหน่ายผลิตภัณฑ์–บริการท่องเที่ยว, การจ้างงานชั่วคราว–กึ่งถาวร ในกลุ่มแม่บ้าน/เยาวชน, และ การรับรู้แบรนด์ปลายทาง “เชียงของ–ริมโขง–ไทลื้อ” ที่เข้มแข็งขึ้นในตลาดนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

คำเชิญชวนสุดท้าย มาเห็น “ศรัทธาที่ทอได้” ด้วยตาคุณเอง

เมื่อแสงสุดท้ายลับขอบน้ำ ขบวนแห่ขันโตกสิ้นสุดลง ผู้ร่วมงานหันไปมองกี่ทอผ้าจำลองที่ตั้งเด่นริมเวที—เครื่องหมายว่าภารกิจใหญ่กำลังใกล้เข้ามา ใน คืนวันที่ 25 ตุลาคม ทุกบ้านจะร่วมแรง ทอผ้าทันใจ” และในเช้าถัดมา 26 ตุลาคม ผืนผ้าที่ทอด้วยแรงกาย–แรงใจ จะถูกแห่อย่างสง่างามเข้าสู่วัดหาดบ้าย

อบจ.เชียงราย ฝากข้อความถึงนักท่องเที่ยวทั่วประเทศ  “มาเป็นส่วนหนึ่งของการสืบสานวัฒนธรรมไทลื้อ ลิ้มรสอาหารพื้นถิ่น ชมงานหัตถกรรมแท้ และช่วยกันกระจายรายได้สู่ชุมชนริมโขง” ความทรงจำจากทริปนี้อาจไม่ใช่เพียงภาพถ่ายยามอาทิตย์ตกบนโขง หากคือ เรื่องเล่าของผืนผ้าที่ทอขึ้นในคืนเดียว—ศรัทธาที่จับต้องได้ และเศรษฐกิจชุมชนที่เติบโตได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
  • องค์การบริหารส่วนตำบลริมโขง (อบต.ริมโขง)
  • ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีบ้านหาดบ้าย–หาดทรายทอง
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (สาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์)
  • โรงเรียนริมโขงวิทยา
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

แก้วิกฤตแม่น้ำกก รัฐ-วิชาการ-ประชาชน ผนึกกำลังหาแหล่งน้ำสำรองและหยุดมลพิษ

ปฏิบัติการลุ่มน้ำกก” รัฐ–ประชาชน–วิชาการ ร่วมคลี่ปมมลพิษข้ามพรมแดน รองนายกฯ สุชาติ เปิดเวทีรับฟัง–สั่งเร่งตรวจน้ำ–หาแหล่งน้ำสำรอง เดินเกมบูรณาการ “ข้อมูล–ความเชื่อมั่น–การทูตน้ำ”

เชียงราย/เชียงใหม่, 9 ตุลาคม 2568นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินทางถึง ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ก่อนเปลี่ยนเป็นอากาศยานปีกหมุนขึ้นสำรวจแนวลำน้ำกกต่อเนื่อง จากเชียงใหม่ถึงเชียงราย โดยมี ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงฯ และคณะผู้บริหารในสังกัดร่วมภารกิจ และได้รับการต้อนรับ รายงานสถานการณ์จาก ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่–เชียงราย ตลอดจนหน่วยงานทรัพยากรน้ำ สาธารณสุข และปกครองท้องถิ่น

“สิ่งที่มารับฟังในวันนี้คือ ความตั้งใจจริง ของรัฐบาล เราจะเร่งช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม”—นายสุชาติ ชมกลิ่น ย้ำต่อหน้าชาวบ้านและผู้นำชุมชนที่บ้านท่าตอน

น้ำ–ดิน–อาหาร–วิถีชีวิต ใต้เงามลพิษข้ามพรมแดน

ปมปัญหาที่ซับซ้อนเริ่มจาก ข้อกังวลเรื่องสารหนูและโลหะหนัก ในแม่น้ำกก–สาขา (รวก–สาย) ที่ไหลลงโขง สะท้อนผ่านความไม่มั่นใจของชุมชนต่อการ อุปโภค–บริโภค และผลกระทบ เศรษฐกิจท้องถิ่น–การท่องเที่ยว นานเดือน จนเกิดเสียงเรียกร้องให้รัฐ “เร่ง ตรงจุด โปร่งใส” โดยเฉพาะการตรวจวัดที่ “เร็วถึงพื้นที่” ไม่ต้องส่งตัวอย่างเข้าเมืองหลวงให้เสียเวลา

ด้านข้อมูลเชิงสุขภาพสิ่งแวดล้อม ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ รายงานว่าจากการเฝ้าระวังช่วงที่ผ่านมา ค่าคุณภาพน้ำเพื่อการอุปโภค (ประปาผิวดิน–ภูเขา–บาดาล–บ่อน้ำตื้น) รวมทั้งการตรวจ ค่าสารหนูในปัสสาวะของประชาชนกลุ่มเสี่ยง อยู่ในเกณฑ์ ไม่เกินมาตรฐาน เช่นเดียวกับผลตรวจ สารหนู–ตะกั่ว–ปรอท ในพืชผักและปลาในลุ่มน้ำ (ปริมาณ ไม่เกินค่ามาตรฐาน) ขณะ ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ กรมอนามัย ยืนยันว่าการบริโภคปลาในแม่น้ำ “ทานได้ไม่เป็นอันตราย” ในเงื่อนไขที่พบโดยทั่วไปและร่างกายขับออกได้ตามธรรมชาติ

แต่ ผลตรวจ “ไม่เกินมาตรฐาน” ไม่ได้แปลว่า ความเชื่อมั่น” จะกลับมาในทันที—ตัวแทนชาวบ้านสะท้อน ราคาพืชผลตกต่ำ–นักท่องเที่ยวชะลอ–ธุรกิจย่อยต้องควักเงินสำรอง ขณะข้อเสนอบางแนวทางโครงสร้าง (เช่น ฝายดักตะกอน) ยังก่อคำถาม “จะซ้ำเติมระบบนิเวศหรือไม่” และ “จะทำให้ชาวบ้านกลายเป็นหนูทดลองหรือเปล่า”

เวทีเดียว หลายเสียง 10 ข้อเสนอประชาชน ฝ่ายค้าน นักวิชาการ

จุดแข็งของวันลงพื้นที่คือ “การเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายได้พูด” ในเวทีเดียวกัน นายกัณวีร์ สืบแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม (ฝ่ายค้าน) ร่วมภารกิจตามคำเชิญของรองนายกฯ พร้อมยื่น 10 ข้อเสนอ ตั้งแต่การ จัดหาแหล่งน้ำดิบใหม่ ทดแทนแม่น้ำกก–รวก–สาย–โขง สำหรับเมืองหลักของเชียงราย (อ.เมือง–เวียงชัย–แม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ) การ จัดหาแหล่งน้ำใหม่/ปรับปรุงระบบประปาหมู่บ้าน อย่างน้อย 30 หมู่บ้าน ตลอดลำน้ำ การ ตรวจคุณภาพดิน–ผลผลิต ในลุ่มน้ำกก (พื้นที่ลุ่ม 12,000 ไร่ ใน ต.ท่าตอน) และ ข้าวนาปีมากกว่า 100,000 ไร่ ในเขตชลประทาน ก่อนเก็บเกี่ยว เพื่อคุ้มครองทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค

สาระสำคัญยังรวมถึงการตั้ง ศูนย์ตรวจโลหะหนักประจำจังหวัดเชียงราย–เชียงใหม่ เพื่อให้การเฝ้าระวังใน น้ำ–ตะกอน–ดิน–ผลผลิตเกษตร–ปลา–สัตว์น้ำ–มนุษย์ ทำได้ ใกล้–เร็ว–ต้นทุนต่ำ พ่วง “กลไกข้ามแดน” เช่น ยุติการนำเข้าแร่จากเมียนมา ที่เชื่อมโยงต้นเหตุ, ตั้ง คณะทำงานร่วม รัฐ–วิชาการ–ประชาชน เพื่อเฝ้าระวัง เยียวยาฟื้นฟูลุ่มน้ำ และการเปิดเวที การทูตน้ำ กับเมียนมา–จีน รวมถึงยกประเด็นสู่กรอบ GMS/ACMECS และเวทีโลกอย่าง COP (UNFCCC) เพื่อกดดันเชิงนโยบาย หยุดต้นตอมลพิษข้ามพรมแดน อย่างยั่งยืน

“เราเป็นฝ่ายค้าน แต่ถ้ารัฐบาลเชิญเพื่อประโยชน์ประชาชน เรายินดีไป และย้ำ 10 ข้อข้อเสนอเพื่อคืนความปลอดภัยน้ำ–ดิน–อาหารให้พี่น้อง”—นายกัณวีร์ สืบแสง

นักวิชาการมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ชี้เฉพาะพื้นที่เกษตร ~130,000 ไร่ ที่กำลังออกผลผลิต ต้องตรวจโลหะหนักเร่งด่วน ขณะที่ ภาคประชาสังคม สะท้อนภาพเหมืองฝั่งต้นน้ำในรัฐฉานที่ “มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า” ใกล้ชายแดนไทย—ตอกย้ำว่าทางออกจำเป็นต้อง คิดเชื่อมแดน–เชื่อมสถาบัน–เชื่อมข้อมูล” ไม่ใช่แก้เฉพาะหน้าฝั่งไทยเท่านั้น

คำตอบจากรัฐ เร่งตรวจ–เร่งน้ำ–เร่งข้อมูล และ “ไม่ยึดติดฝ่าย”

ต่อหน้าข้อเสนอและเสียงสะท้อน นายสุชาติ ขีดเส้น 3 งานเร่งด่วนที่ กระทรวง ทส. ทำได้ทันที

  1. งานข้อมูล–คุณภาพน้ำ มอบหมาย กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ตั้ง ชุดตรวจประจำจุด ในพื้นที่ให้ผลตรวจ “รวดเร็วและสื่อสารได้” ลดเวลารอจากการส่งเข้ากรุงเทพฯ และให้ผลระดับที่ประชาชน “อ่านเข้าใจได้”
  2. งานน้ำเร่งด่วน ให้ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล (ทธบ.) สำรวจ–ขุดแหล่งน้ำบาดาลฉุกเฉิน และให้ กรมทรัพยากรน้ำ (ทรพ.) ประสาน การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) หา แหล่งน้ำดิบสำรอง เพื่อกระบวนการผลิตน้ำประปาที่มีต้นทุน–สารเคมีต่ำลง ตอบโจทย์ “ปลอดภัย–เพียงพอ–ยืดหยุ่น”
  3. งานมีส่วนร่วม–โครงสร้าง กรณีโครงการ ฝายดักตะกอน ยืนยันต้องผ่าน เวทีรับฟัง/ประชาพิจารณ์ และการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน “อาจสร้าง–ไม่สร้าง–หรือปรับวิธีแก้” ก็ได้—ไม่ใช้ชาวบ้านเป็นหนูทดลอง

“เราไม่ยึดติดว่าใครฝ่ายค้านหรือรัฐบาล เราไม่ได้เก่งทุกอย่าง คนที่เก่งกว่าเรายังมี—เชิญมาให้ความรู้ แล้วเอาไปใช้เพื่อประชาชน” — สุชาติ ชมกลิ่น เน้นวัฒนธรรมการทำงาน “ไร้เส้นแบ่ง” ระหว่างรัฐ–ฝ่ายค้าน–เอ็นจีโอ–นักวิชาการ

ขณะเดียวกัน รองนายกฯ ระบุได้พูดคุยกับ รองนายกฯ/รมว.เกษตรฯ ธรรมนัส พรหมเผ่า เพื่อบูรณาการภารกิจที่เกี่ยวข้อง โดยย้ำว่าหากประชาชน ไม่ต้องการฝาย” เจ้าหน้าที่รัฐก็ ทำไม่ได้” เพราะคนในพื้นที่รู้ดีที่สุด

บ่ายเชียงราย กำลังใจแนวหน้า–ตั้งหลัก PM2.5 ก่อนฤดูไฟป่า

จากแม่อายสู่เมืองเชียงราย บ่ายวันเดียวกัน นายสุชาติ เดินทางไป ศูนย์ฝึกอบรมที่ 4 (เชียงราย) มอบเสบียง–ถุงยังชีพให้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และ กรมป่าไม้ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ “แนวหน้าดูแลผืนป่า” พร้อมเน้นการทำงานเชิงบูรณาการ อนุรักษ์–ฟื้นฟู–ใช้ประโยชน์อย่างสมดุล และการเตรียม แผนรับมือไฟป่า–หมอกควัน–PM2.5 ที่จะวนกลับมาในฤดูแล้ง

ภาพการให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ “เสือไฟ–ชุดควบคุมไฟป่า–อนุรักษ์สัตว์ป่า” ไม่ได้เป็นเพียงพิธี หากเชื่อมกับ บริบทคุณภาพอากาศ ที่ภูมิภาคนี้ต้องเผชิญเป็นประจำ และเชื่อมกับ บริบทคุณภาพน้ำ ที่กำลังแก้ไข—เพราะท้ายที่สุด น้ำ–ดิน–อากาศ–ป่า คือระบบเดียวกัน

ตัวเลขสำคัญ เหตุผลที่ “เร็ว–ชัด–ร่วม” จำเป็น

  • 30 หมู่บ้าน ตลอดลำน้ำกก–รวก–โขง (ฝั่งเชียงใหม่–เชียงราย) ที่ต้องปรับปรุงระบบประปาหมู่บ้าน–แหล่งน้ำใหม่
  • 12,000 ไร่ (ที่ราบลุ่มน้ำกก ต.ท่าตอน) และ >100,000 ไร่ (ข้าวนาปีในเขตชลประทานลุ่มน้ำกก–สาย–รวก) ที่ภาควิชาการเสนอให้ตรวจโลหะหนักก่อนเก็บเกี่ยว เพื่อ ความปลอดภัยของผู้บริโภค–ความมั่นใจของตลาด
  • การตั้ง ศูนย์ตรวจโลหะหนักระดับจังหวัด จะลด “ค่าใช้จ่าย–เวลา–ระยะทาง” เมื่อเทียบกับการส่งตรวจในกรุงเทพฯ ทำให้ ข้อมูลทันการสื่อสารสาธารณะ
  • งาน แหล่งน้ำดิบสำรอง/บาดาลฉุกเฉิน ลดการพึ่งน้ำผิวดินช่วง “สภาวะเสี่ยง” และลด ต้นทุนสารเคมี ในกระบวนการทำประปา
  • มาตรการ การทูตน้ำ และ การค้าระหว่างประเทศ (เช่น หยุดนำเข้าแร่จากเมียนมา ที่โยงแหล่งเหมืองเสี่ยง) ทำให้ การแก้ต้นเหตุ เป็นไปได้จริงในระยะกลาง–ยาว

บทสนทนาที่เริ่มแล้ว จากฝั่งฟ้าถึงฝั่งน้ำ

ช่วงท้ายวัน นายสุชาติ เข้าร่วมประชุมที่ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย กับผู้ว่าฯ เครือข่ายภาคประชาสังคม และหน่วยงานรัฐ โดยระบุว่า คพ. จะเป็น “แม่งานตรวจน้ำ” เพื่อให้ผลตรวจ เร็วและสม่ำเสมอ ส่วนงานประมง–ความปลอดภัยอาหาร ให้ สาธารณสุข ช่วยสื่อสาร “เกณฑ์–บริบท” อย่างเข้าใจง่ายและต่อเนื่อง

เสียงสะท้อนจากพื้นที่—ถนนกัดเซาะจากน้ำท่วม, ครัวเรือนต้องจัดหาน้ำเอง, พืชผล–การท่องเที่ยวสะดุด—ล้วนถูก จด–จำ–จับคู่หน่วย เพื่อให้การเยียวยา–กอบกู้ความเชื่อมั่นเดินคู่กับการเฝ้าระวังเชิงระบบ และการวาง แผนน้ำดิบระยะยาว (เช่น แนวทางปรับไปใช้แหล่งน้ำอื่นของ กปภ. ในบางจุด พร้อมกรอบก่อสร้างที่หน่วยงานแจ้งไทม์ไลน์ของตน)

“ปัญหาแม่น้ำกกเกี่ยวข้องความมั่นคงมนุษย์ เราต้องสู้เพื่อประชาชน ด้วยข้อมูล–ความร่วมมือ–และการสื่อสารที่ตรงไปตรงมา”—สารสำคัญที่รองนายกฯ ทิ้งไว้

เส้นทาง “สามขาความเชื่อมั่น” น้ำปลอดภัย–ข้อมูลโปร่งใส–ทูตน้ำเชิงรุก

  1. ความปลอดภัยเชิงปฏิบัติการ (Operational Safety) การตั้ง “จุดตรวจถี่–ผลเร็ว–อธิบายได้” ของ คพ. คือกุญแจเรียกความเชื่อมั่นกลับมา งานบาดาลฉุกเฉิน–แหล่งน้ำสำรองเป็น กันชนความเสี่ยง ให้ระบบประปาเดินได้แม้ในภาวะไม่แน่นอน
  2. ความโปร่งใสเชิงสื่อสาร (Risk Communication) ผล “ไม่เกินมาตรฐาน” ต้องมาคู่ บริบท–คำอธิบาย–คู่มือใช้ชีวิต (เช่น แนวทางบริโภคปลา, การล้าง–ปรุง, การคัดเลือกแหล่งน้ำในครัวเรือน) และ แดชบอร์ดสาธารณะ ที่อัปเดตรายวัน/รายสัปดาห์
  3. การทูตน้ำ–เศรษฐกิจ (Transboundary Governance) การยกระดับประเด็นสู่ GMS/ACMECS/COP และกลไกการค้า (หยุดนำเข้าแร่จากเหมืองเสี่ยง) คือ “แรงส่งต้นน้ำ” ที่ไทยต้องขับเคลื่อนคู่การแก้ปลายน้ำ เพื่อไม่ให้ “ลุ่มน้ำไทย” กลายเป็นผู้รับภาระฝ่ายเดียว

ลำน้ำเดียวกัน–ผลลัพธ์เดียวกัน

ภาพเฮลิคอปเตอร์ที่บินตามลำน้ำกกในเช้าวันนี้ เป็นทั้ง สัญลักษณ์ และ สัญญา ว่า “ลำน้ำเดียวกัน” ต้องได้ ผลลัพธ์เดียวกัน — น้ำที่ปลอดภัย อาหารที่ไว้วางใจได้ เศรษฐกิจชุมชนที่ฟื้นตัว และการตัดสินใจเชิงนโยบายที่ชัดเจนบนฐานข้อมูล รัฐ–ฝ่ายค้าน–นักวิชาการ–เอ็นจีโอ–ชุมชนต่างเห็นพ้อง “สู้ร่วมกันได้” หาก เป้าหมายคือประชาชน และ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)
  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)
  • กรมทรัพยากรน้ำ (ทรพ.)
  • กรมทรัพยากรน้ำบาดาล (ทธบ.)
  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช / กรมป่าไม้
  • ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ / จังหวัดเชียงราย และศาลากลางจังหวัด
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 / หน่วยงานปกครองท้องถิ่น
  • การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ กรมอนามัย / ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย กระทรวงสาธารณสุข
  • ภาคประชาสังคมในพื้นที่ลุ่มน้ำกก–รวก–สาย และผู้แทนชุมชน
  • นักวิชาการมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และเครือข่ายวิชาการที่เกี่ยวข้อง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

208 รอยยิ้มในห้องเรียนชีวิต อบจ.เชียงรายเปิดเทอมโรงเรียนผู้สูงอายุศิริเวียงชัย

อบจ.เชียงราย–ท้องถิ่นจับมือ เปิด “โรงเรียนผู้สูงอายุศิริเวียงชัย” ปั้นพลังสูงวัยสู่ห้องเรียนชีวิต ขับเคลื่อนชุมชนด้วยการเรียนรู้ตลอดชีวิต

เชียงราย, 9 ตุลาคม 2568 — แสงสายของเช้าวันพฤหัสบดีกรองผ่านหลังคาอาคารชุมชนที่เรียบง่าย ณ ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ เทศบาลตำบลศิริเวียงชัย กลายเป็นฉากหลังของ “พิธีเปิดการเรียนการสอนโรงเรียนผู้สูงอายุ” ประจำปี 2568 ที่อบอวลด้วยรอยยิ้มและแรงบันดาลใจ ผู้ร่วมงานบอกกันสั้น ๆ ว่า “วันนี้ไม่ใช่แค่การเปิดเทอม แต่เป็นการเปิดโอกาสให้คนทั้งชุมชนได้เริ่มรูปแบบการพัฒนาใหม่”—ภาพห้องเรียนที่เต็มไปด้วยคุณตาคุณยาย 208 คน สะท้อนสารสำคัญว่า การเรียนรู้ไม่สิ้นสุดตามอายุ” และการดูแลผู้สูงวัยที่ยั่งยืน เริ่มต้นจากการเสริมพลังให้พวกเขาเป็นเจ้าของศักยภาพของตนเอง

พิธีเปิดในวันนี้ได้รับเกียรติจาก นางสาวธมลวรรณ ปัญญาพฤกษ์ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย อำเภอเวียงชัย เขต 1 ผู้แทน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เข้าร่วมเป็นประธาน พร้อมด้วยผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกสภาเทศบาล ผู้นำชุมชน หน่วยงานภาครัฐ–เอกชน ตลอดจนสถาบันการศึกษาในจังหวัดเชียงรายที่มาร่วม “เชื่อมขีดความสามารถ” เข้ากับ “ความต้องการจริง” ของผู้สูงอายุในพื้นที่

เมล็ดพันธุ์ที่เพาะมานาน จากปี 2558 สู่รากฐานความยั่งยืน

โรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลตำบลศิริเวียงชัย ก่อตั้งเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2558 ท่ามกลางบริบทที่ประเทศไทยก้าวสู่สังคมสูงวัยอย่างต่อเนื่อง โมเดล “ห้องเรียนชีวิต” ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับวิถีชุมชน ไม่ใช่โครงสร้างการศึกษาที่แยกตัวจากชีวิตจริง โรงเรียนจึงทำหน้าที่มากกว่า “สถานที่ถ่ายทอดความรู้” แต่เป็น แพลตฟอร์มการพัฒนาคุณภาพชีวิต ที่ให้ผู้สูงอายุได้เรียนรู้ด้านสุขภาพ การดำเนินชีวิต การสร้างรายได้ และการมีส่วนร่วมทางสังคม—หัวใจสำคัญคือการให้ผู้สูงวัย “พึ่งพาตนเองได้มากขึ้น” และ “ยังมีบทบาทเป็นกำลังพัฒนาชุมชนได้จริง”

ตลอดเส้นทางกว่า 10 ปี โรงเรียนได้ขยายหลักสูตรหลากหลาย ตั้งแต่ความรู้ด้านการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โภชนาการและการออกกำลังกายที่เหมาะกับวัย ไปจนถึงทักษะดิจิทัลเบื้องต้น การสื่อสารออนไลน์อย่างปลอดภัย การเงินครัวเรือน–หนี้สินชุมชน งานฝีมือและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นเชิงอาชีพ รวมถึงกิจกรรมอาสาสมัครเพื่อสังคม หลักสูตรเหล่านี้ไม่ใช่เพียง “เนื้อหาในตำรา” หากแต่เป็น คำตอบต่อปัญหาจริงในชีวิตประจำวัน—จากการดูแลสุขภาพของตนเองและคู่ชีวิต การเข้าถึงสวัสดิการ การหาตลาดให้สินค้าชุมชน ไปจนถึงการสื่อสารกับลูกหลานที่อยู่ต่างจังหวัดผ่านช่องทางออนไลน์

เปิดเทอม 2568  “ห้องเรียน 4 มิติ” ที่ออกแบบจากโจทย์ชีวิต

ปีนี้ โรงเรียนวางโครงสร้างการเรียนรู้ไว้ 4 มิติหลัก เพื่อเชื่อมการศึกษาเข้ากับคุณภาพชีวิตอย่างเป็นรูปธรรม

  1. มิติสุขภาพกาย–ใจ (Active & Healthy Ageing):
    • เวิร์กช็อป “ยืดเหยียดอย่างปลอดภัย” ปรับใช้กับข้อเข่า–ข้อไหล่
    • ฝึกหายใจแบบมีสติ เพื่อลดความเครียดและเสริมคุณภาพการนอน
    • คลินิกความดันโลหิต น้ำตาลในเลือด และโภชนาการสำหรับผู้สูงวัย ร่วมกับ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเวียงชัย และ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  2. มิติการดำเนินชีวิตอย่างมั่นคง:
    • เคล็ดลับ “บ้านปลอดภัย” ลดการหกล้มและอุบัติเหตุในบ้าน
    • คู่มือสวัสดิการผู้สูงอายุ–เบี้ยยังชีพ–การเข้าถึงบริการรัฐ
    • ทักษะดิจิทัลจำเป็น เช่น การใช้แอปนัดหมายพบแพทย์ การโอนเงินอย่างปลอดภัย การระวังข่าวปลอมและกลโกงออนไลน์ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และ วิทยาลัยชุมชนเชียงราย
  3. มิติสร้างรายได้เสริม–เสริมพลังเศรษฐกิจครัวเรือน:
    • การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน (OTOP/ของฝาก) ตั้งราคาขาย คำนวณต้นทุน–กำไร
    • บัญชีครัวเรือนและแผนเงินออมเพื่อการดูแลระยะยาว
    • ช่องทางตลาดออนไลน์อย่างง่าย ใช้เพจ–กลุ่ม–แพลตฟอร์มท้องถิ่นสนับสนุนการขาย ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย
  4. มิติการมีส่วนร่วมทางสังคม (Silver Volunteer):
    • กลุ่มอาสาดูแลผู้สูงวัยติดบ้าน–ติดเตียงในชุมชน
    • โครงการ “เล่าเรื่องเมืองเวียงชัย” เก็บภูมิปัญญา–ประวัติชุมชนเพื่อนำไปใช้พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
    • สภาผู้สูงอายุย่อย เพื่อสะท้อนปัญหาและร่วมออกแบบคำตอบกับเทศบาล

การจัดมิติดังกล่าวทำให้ผู้เรียนไม่ได้รับความรู้แบบกระจัดกระจาย แต่ เห็นเส้นเชื่อมโยง ระหว่างสุขภาพ–รายได้–สิทธิ–การมีส่วนร่วม นำไปสู่พฤติกรรมใหม่ที่ยั่งยืนกว่า เช่น ผู้เรียนที่เคยกังวลเรื่องภาวะหกล้ม ปรับบ้านและจัดระเบียบพื้นที่เดินภายในหนึ่งสัปดาห์ หรือกลุ่มที่ทำของฝากชุมชน สามารถตั้งต้นทุน–กำหนดราคาที่เป็นธรรม พร้อมเรียนรู้วิธีบันทึกบัญชีอย่างเป็นระบบ

เครือข่าย” คือรากฐาน เมื่อทุกฟันเฟืองขยับไปในทิศทางเดียวกัน

ความสำเร็จของโรงเรียนผู้สูงอายุศิริเวียงชัยไม่ได้ยืนอยู่ลำพัง หากเกิดจาก การบูรณาการความร่วมมือ ของหลายหน่วยงาน ได้แก่

  • เทศบาลตำบลศิริเวียงชัย เจ้าภาพหลักในการบริหารจัดการพื้นที่ งบประมาณพื้นฐาน และการสื่อสารกับชุมชน
  • อบจ.เชียงราย บทบาทผู้เชื่อมโยงทรัพยากร สนับสนุนการจัดการเรียนรู้ และขยายผลสู่ระดับอำเภอ–จังหวัด
  • โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเวียงชัย และ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ให้ความรู้ด้านป้องกันโรค การคัดกรองสุขภาพ และระบบส่งต่อ
  • สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย สนับสนุนองค์ความรู้ด้านสวัสดิการ สังคมสงเคราะห์ และการป้องกันการถูกเอารัดเอาเปรียบ
  • สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย โค้ชชิ่งการสร้างอาชีพ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการเชื่อมตลาด
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และ วิทยาลัยชุมชนเชียงราย ถ่ายทอดองค์ความรู้เชิงวิชาการ ทักษะดิจิทัล และเครื่องมือประเมินผลหลักสูตร

เครือข่ายแบบนี้ทำให้โรงเรียนไม่ต้อง “คิดเอง–ทำเอง” ทุกเรื่อง แต่สามารถ ยกเวทีให้ผู้เชี่ยวชาญตรงสาขา เข้ามาส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง ช่วยยกระดับมาตรฐานการเรียนรู้ และประกันคุณภาพผลลัพธ์กับผู้เรียน

เสียงจากพื้นที่เมื่อผู้สูงวัยเป็น “ครูใหญ่” ของประสบการณ์

แม้ในพิธีเปิดจะไม่มีคำปราศรัยยาวเหยียด แต่ท่าทีและการมีส่วนร่วมของผู้เรียนสะท้อนความคาดหวังชัดเจน—หลายคนเลือกเข้าหลักสูตรสุขภาพเพื่อ “แข็งแรงอย่างพอดี” หลายคนอยากเรียนดิจิทัลเพื่อ “คุยกับหลานได้คล่องขึ้น” บางคนมองหาโอกาส “ต่อยอดงานฝีมือเป็นรายได้” ขณะที่อีกไม่น้อยต้องการ “ใช้เวลาให้มีคุณค่าและประโยชน์” ผ่านงานอาสาสมัคร

เมื่อบทบาทผู้สูงวัยเปลี่ยนจาก “ผู้รับบริการ” สู่ “ผู้มีส่วนร่วม” โรงเรียนจึงไม่ใช่ ที่สอน เพียงด้านเดียว แต่เป็น เวทีแลกเปลี่ยน ที่ผู้เรียนถ่ายทอดเทคนิคการครัวพื้นบ้าน วิธีการปลูกผักสวนครัวปลอดภัย แก้ปัญหาหนี้นอกระบบที่เคยผ่านมาก่อน ตลอดจนเรื่องเล่าเก่าก่อนของเวียงชัย—องค์ความรู้เหล่านี้กลายเป็นหลักสูตร “จากชุมชนสู่ชุมชน” ที่สถาบันการศึกษาภายนอกก็ย้อนกลับมาเก็บข้อมูลวิจัยเชิงพื้นที่ สร้างคุณค่าร่วมกันอย่างงดงาม

เชื่อมโยงยุทธศาสตร์จังหวัด ผู้สูงวัย = กำลังพลทางสังคม

ในระดับจังหวัด เชียงรายเดินหน้าวาระ “เมืองน่าอยู่–เศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็ง–ชุมชนเกื้อกูล” การลงทุนด้านผู้สูงอายุจึงไม่ใช่ภาระ แต่คือ ทุนทางสังคม ที่สร้างผลคูณ เศรษฐกิจชุมชนได้ประโยชน์จากแรงงาน–ทักษะ–เครือข่ายของผู้สูงวัย ขณะที่ระบบสุขภาพได้ประชากรที่ดูแลตนเองได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงโรคเรื้อรังและการเข้ารับบริการฉุกเฉินบ่อยครั้ง ส่วนระบบการศึกษาได้ “พี่เลี้ยง” ให้เยาวชนผ่านกิจกรรมบ่มเพาะทักษะชีวิตและภูมิปัญญาท้องถิ่น

สำหรับ อบจ.เชียงราย โครงการโรงเรียนผู้สูงอายุสอดรับแนวคิด “การพัฒนาคุณภาพชีวิตเชิงรุกทุกช่วงวัย” ลดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงบริการสังคม และสร้างกลไกให้ท้องถิ่นเป็นเจ้าของการพัฒนาอย่างแท้จริง—เมื่อเทศบาลสามารถออกแบบหลักสูตรจากโจทย์พื้นที่จริง และเชื่อมหน่วยงานเชี่ยวชาญเข้ามาสนับสนุน ผลลัพธ์จึง “อยู่ได้ยาว” ไม่ใช่กิจกรรมฉาบฉวย

จับต้องผลลัพธ์ ตัวชี้วัดง่าย แต่ทรงพลัง

เพื่อให้โครงการขับเคลื่อนต่อเนื่อง โรงเรียนวางกรอบ ตัวชี้วัดเชิงพฤติกรรม ที่ติดตามได้จริง ได้แก่

  • ผู้เรียนไม่น้อยกว่าร้อยละหนึ่งของประชากรผู้สูงอายุในตำบลเข้าร่วมอย่างสม่ำเสมอ
  • ร้อยละของผู้เรียนที่ปรับพฤติกรรมสุขภาพ (เช่น เดินวันละ 6–8 พันก้าว ปรับอาหารหวาน–มัน–เค็ม ลดหวานน้ำชา–กาแฟ) ภายใน 8–12 สัปดาห์
  • ร้อยละของผู้เรียนที่จัดทำบัญชีครัวเรือนต่อเนื่อง 3 เดือนขึ้นไป
  • จำนวน “กลุ่มย่อย” ที่เกิดขึ้นจริง (กลุ่มเดินเช้า กลุ่มสมุนไพร กลุ่มฝีมือ–ของฝาก กลุ่มอาสาดูแลผู้ป่วยติดบ้าน–ติดเตียง)
  • ความพึงพอใจต่อการเข้าถึงสวัสดิการและข้อมูลภาครัฐ

ตัวชี้วัดเหล่านี้ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีซับซ้อน แต่เพียง ความต่อเนื่อง ก็สะท้อนคุณภาพโครงการได้ชัดเจน—ห้องเรียนที่ผู้เรียนกลับมาอย่างสม่ำเสมอ คือห้องเรียนที่ “มีความหมาย” ต่อชีวิตจริงของพวกเขา

ความปลอดภัย–การเข้าถึง–สิ่งแวดล้อม มาตรฐานบริการเพื่อคนทุกวัย

การเรียนรู้ของผู้สูงอายุต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและความสะดวกเป็นพิเศษ ศูนย์ฯ จึงปรับสภาพแวดล้อม เช่น พื้นกันลื่น ทางลาดสำหรับรถเข็น ห้องน้ำผู้สูงวัย เก้าอี้พนักพิงสูงมีที่วางแขน พร้อมทีมอาสาจากโรงเรียนและชุมชนคอยประคองขึ้น–ลงบันได กำหนดช่วงเวลาพักทุก 45–60 นาที และมีมุมตรวจวัดความดัน–ระดับน้ำตาลก่อน–หลังเรียนในบางกิจกรรม

ด้านสิ่งแวดล้อม โรงเรียนใช้แนวคิด “ห้องเรียนปลอดขยะ” สนับสนุนกระติกน้ำส่วนตัว ภาชนะใช้ซ้ำ และถังคัดแยก 3 ประเภท โดยร่วมกับกลุ่มรีไซเคิลชุมชนมารับ–แยกต่อยอดรายได้ นอกจากลดภาระเทศบาลยังเป็นกิจกรรม “ขยายผล” ให้ผู้เรียนพาแนวทางกลับไปปรับใช้ที่บ้าน

บทเรียนจากเวียงชัยต้นแบบที่ขยายผลได้

สิ่งที่น่าสนใจคือโรงเรียนผู้สูงอายุศิริเวียงชัยไม่เพียงเป็น โมเดลของตำบล แต่มีศักยภาพจะเป็น ต้นแบบของอำเภอเวียงชัย–จังหวัดเชียงราย ด้วยองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ

  1. เจ้าภาพชัดเจน (เทศบาล–อบจ.) มีงบประมาณและบุคลากรรองรับ
  2. เครือข่ายหนุนหลังแข็งแรง ครอบคลุมสุขภาพ–สังคม–เศรษฐกิจ–การศึกษา
  3. หลักสูตรยืดหยุ่น ปรับตามบริบท เช่น ฤดูกาลเพาะปลูก เทศกาลท้องถิ่น และประเด็นปัจจุบัน (ภัยไซเบอร์–ข่าวปลอม–โรคระบาด)

เมื่อองค์ประกอบครบ โรงเรียนผู้สูงอายุจะไม่ใช่ “โครงการสั้น ๆ” แต่เป็น สถาบันการเรียนรู้ตลอดชีวิตของชุมชน ที่ตอบโจทย์ประชากรสูงวัยมากขึ้นทุกปี

มองภาพใหญ่ ผู้สูงวัยไม่ใช่ผู้ตาม แต่เป็น “ผู้นำภารกิจชุมชน”

หากมองลึกลงไป โรงเรียนผู้สูงอายุคือการ จัดวางบทบาทใหม่ให้ผู้สูงวัย จากภาพจำเดิม ๆ ว่าต้องได้รับการดูแล สู่ภาพของ “ผู้นำภารกิจ” หลายด้าน—ครูภูมิปัญญา ผู้ประสานรอยต่อรุ่น แกนนำสาธารณสุขชุมชน ผู้เฝ้าระวังภัยทางสังคมรูปแบบใหม่ และผู้ประกอบการรายย่อยที่ส่งต่อรายได้สู่ครัวเรือน การ “คืนพื้นที่นำ” ให้ผู้สูงวัยเช่นนี้ ทำให้ชุมชนเวียงชัยมี ทุนทางสังคม ที่แข็งแกร่งขึ้นโดยอัตโนมัติ และเมื่อทุนนี้หมุนกับระบบสนับสนุนของรัฐท้องถิ่น ก็ยิ่งขยายผลได้กว้าง

เปิดเทอมของใจ เปิดทางของเมือง

การเปิดการเรียนการสอนโรงเรียนผู้สูงอายุศิริเวียงชัยปี 2568 จึงไม่ใช่เพียงพิธีเชิงสัญลักษณ์ แต่คือการย้ำว่าการพัฒนาที่แท้จริงเริ่มจาก คน และ พื้นที่—เมื่อผู้สูงวัย 208 คนกลับเข้าห้องเรียน เมืองทั้งเมืองก็ได้ “ครูใหม่” เพิ่มอีก 208 คน ที่พร้อมถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิต สร้างสังคมเอื้อเฟื้อ เกื้อกูล และยืดหยุ่นต่อความเปลี่ยนแปลง

ความมุ่งมั่นของ อบจ.เชียงราย และเครือข่ายท้องถิ่นในการผลักดัน การเรียนรู้ตลอดชีวิต” ให้เป็นวาระปกติของเมือง คือคำตอบต่อคำถามใหญ่ของยุคสูงวัยว่า จะทำอย่างไรให้ทุกช่วงวัยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีศักดิ์ศรี—คำตอบอาจเรียบง่ายแต่ทรงพลัง เปิดห้องเรียนให้ชีวิต และเปิดชีวิตให้สังคม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลตำบลศิริเวียงชัย
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเวียงชัย  
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย (พม.)
  • สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • วิทยาลัยชุมชนเชียงราย
  • กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) — Healthy Ageing Framework
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เทศบาลนครเชียงรายสืบสานศรัทธาล้านนา ผู้ว่าฯ นำตักบาตรเทโวฯ 111 รูป เชิงบันไดวัดดอยงำเมือง

สืบสานศรัทธาล้านนา “ตักบาตรเทโวโรหณะ” ณ เชิงบันไดวัดดอยงำเมืองพลังศรัทธาของชุมชนที่หลอมรวมเมือง วัด และผู้มาเยือน

เชียงราย, 8 ตุลาคม 2568 — แสงแรกของเช้าในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ค่อย ๆ คลี่คลุมยอดไม้เหนือเนินเขาแห่งดอยงำเมือง ขณะที่ริ้วขบวนชาวพุทธยืนเรียงรายตามเชิงบันไดหินสุดสายตา เสียงสาธุการเบา ๆ คลอไปกับเสียงนกยามรุ่งอรุณ เทศบาลนครเชียงรายเปิดพิธีทำบุญ “ตักบาตรเทโวโรหณะ” ประจำปี 2568 อย่างสมศักดิ์สิทธิ์และเป็นระเบียบ ณ เชิงบันไดวัดดอยงำเมือง ต่อเนื่องยาวไปถึงบริเวณแยกศาลจังหวัดเชียงราย (หลังเดิม) โดยมี นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส และได้รับความเมตตาจาก พระเดชพระคุณ พระรัตนมุนี ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย นำพระภิกษุและสามเณร 111 รูป ออกรับบิณฑบาตข้าวสารอาหารแห้งจากพุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวที่พร้อมใจกันมาร่วมงานตั้งแต่เวลา 06.30 น.

พิธีครั้งนี้จัดโดย เทศบาลนครเชียงราย นำโดย นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย และ นางรัตนา จงสุทธานามณี นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย พร้อมคณะผู้บริหาร สมาชิกสภาเทศบาล ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และสถานศึกษาในสังกัดร่วมสนับสนุนอย่างพร้อมเพรียง สะท้อนความร่วมมือเชิงสถาบัน—ทั้งภาคปกครอง ศาสนา การศึกษา และชุมชน—ที่ขับเคลื่อนให้ “งานบุญออกพรรษา” ของเมืองเชียงรายยังคงเปล่งประกายความหมายเชิงวัฒนธรรมอย่างเข้มแข็ง

เรื่องเล่าในยามเช้า เมื่อพิธี “เทโวโรหณะ” ทำให้เมืองเต้นจังหวะเดียวกัน

ตักบาตรเทโวโรหณะ (หรือ “เทโว”) เป็นประเพณีที่ระลึกถึงวันที่ พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังทรงจำพรรษาและแสดงพระธรรมโปรดพระพุทธมารดา ชุดพิธีจึงมักจัดบนทางลาดหรือบันไดสูงจำลอง “คันธกุฎี” และ “บันไดทิพย์” ที่ปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา—ณ เชียงราย ภูมิประเทศของ วัดดอยงำเมือง ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขา โอบเมืองด้วยทะเลหมอกบาง ๆ และร่มไม้เก่าแก่ จึงเหมาะสมกับบรรยากาศอันสงบขรึมและศักดิ์สิทธิ์ เมื่อพระภิกษุและสามเณร 111 รูป แปรขบวนจากยอดเนินลงสู่เชิงบันได ภาพของผ้ากาสาวพัสตร์เป็นคลื่นสีเหลืองทองเคลื่อนไปในแสงแรก—กลายเป็นภาพจดจำที่สะท้อน “ศรัทธาซ้อนศรัทธา” ของผู้คน

การจัดระเบียบพื้นที่ของเทศบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้ “ความยาวของขบวน” กลายเป็น “ความพร้อมของเมือง” จุดเริ่มพิธีที่เชิงบันไดถูกกำหนดเป็นพื้นที่ศูนย์กลางทางพิธีกรรม ขณะที่แนวถนนต่อเนื่องไปยังแยกศาลจังหวัดเชียงรายกลายเป็น แนวรับบิณฑบาต ที่จัดการจราจรและความปลอดภัยอย่างเป็นระบบ ผู้สูงอายุและเด็กเล็กถูกจัดให้อยู่ในจุดที่เข้าถึงง่าย มีเต็นท์พักคอยและจุดบริการน้ำดื่ม เพื่อลดความแออัดและให้ทุกคนได้ร่วมบุญอย่างมีสมาธิ

ศรัทธาที่จับต้องได้ เมือง–วัด–โรงเรียน จับมือกันผลิต “ประสบการณ์บุญ” อย่างมืออาชีพ

เบื้องหลังงานสงบเรียบง่ายคือการเตรียมงานที่ละเอียดอ่อน เทศบาลนครเชียงรายทำงานประสานกับวัดดอยงำเมือง ส่วนราชการ หน่วยงานความมั่นคง และสถานศึกษาในพื้นที่อย่างใกล้ชิด กำหนด แผนการจราจรและที่จอดรถ, จุดคัดแยกขยะและดูแลสิ่งแวดล้อม, หน่วยปฐมพยาบาลและรถพยาบาลสแตนด์บาย ตลอดแนวพิธี การมีส่วนร่วมของโรงเรียนในสังกัดเทศบาลช่วยให้เยาวชนได้เรียนรู้ทั้งเรื่อง “กาลเทศะ” ของพิธีกรรม และ “ทักษะพลเมือง” เช่น การอำนวยความสะดวกผู้สูงอายุ การจัดแถว การประชาสัมพันธ์ และการรักษาความสะอาดพื้นที่สาธารณะ

ในเชิงสังคม งานบุญเช้าตรู่เช่นนี้ทำหน้าที่เป็น พื้นที่ฝึกซ้อมความเป็นเมือง” ไปพร้อมกัน—ผู้ประกอบการรายย่อยที่มาเปิดจุดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มจำเป็นได้รับคำแนะนำเรื่องภาชนะใช้ซ้ำและการจัดการขยะ หน่วยงานท้องถิ่นนำแนวคิด งานศาสนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” มาปรับใช้ เช่น จุดรับขวดน้ำสำหรับรีไซเคิล, ถังคัดแยกประเภท และการรณรงค์ “แบกบุญ–ไม่แบกขยะกลับบ้าน” ผ่านเสียงตามสายและสื่อชุมชน

พิธีกรรมในกรอบความหมาย ทำไม “วันเทโว” จึงสำคัญกับเมือง

วันเทโวโรหณะ มักถือเป็น “บทสรุป” ของช่วงเข้าพรรษา และเป็น “บทเปิด” ของชีวิตเมืองในฤดูกาลใหม่—หลังการจำพรรษา พระสงฆ์สามารถออกเดินทางปฏิบัติศาสนกิจค้างแรมได้โดยไม่ผิดพระวินัย ขณะที่ชาวบ้านได้มีวาระนัดหมายทำบุญใหญ่ร่วมกันอีกครั้ง การอาราธนาศีล รักษาศีล ฟังธรรม จึงเป็น กรอบปฏิบัติร่วม ที่ทำให้ผู้คนในเมืองได้ปรับจังหวะชีวิตและความคิดของตนกับ “ปฏิทินทางธรรม” ความสำคัญของวันเทโวยังอยู่ที่การ น้อมระลึกถึงพระคุณมารดา ผ่านเหตุการณ์เสด็จลงจากดาวดึงส์ ซึ่งลึกลงไป—คือการย้ำคุณธรรมแห่งความกตัญญูที่ถูกสถาปนาไว้ในวัฒนธรรมท้องถิ่นล้านนา

วัดดอยงำเมืองเองเป็น มรดกเชิงสัญลักษณ์ ที่ประชาชนคุ้นชิน เชิงบันไดที่ทอดยาวจึงไม่ได้เป็นเพียงทางขึ้นวัด แต่คือ เวทีชีวิต ที่ผู้คน “เดินขึ้น–เดินลง” ร่วมกันทุกปี ความคุ้นเคยของสถานที่ ทำให้พิธียิ่งมีพลัง ภาพของคนต่างวัย—บ้างถือปิ่นโต บ้างถือถุงข้าวสารอาหารแห้ง—ทำให้คำว่า “ชุมชน” ไม่ใช่คำสวยงามที่ลอยกลางอากาศ แต่เป็น ภาพจริงที่เห็นและสัมผัสได้

ด้านเศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรม งานศาสนาที่สร้างรายได้อย่างพอเพียงและกระจายตัว

แม้พิธีตักบาตรเทโวโรหณะจะมิใช่งานเทศกาลขนาดใหญ่เช่นงานลอยกระทงหรือปีใหม่ แต่ ผลเชิงเศรษฐกิจของกิจกรรมเช้า ก็มีนัยสำคัญ—ร้านอาหารเช้า รถรับจ้าง ที่จอดรถเอกชนใกล้พื้นที่งาน ร้านดอกไม้ ไปรวมถึงผู้ค้าขายรายย่อยที่นำของทำมือและของฝากพื้นถิ่นมาวางจำหน่ายล้วนได้รับอานิสงส์ การกระตุ้นเศรษฐกิจยามเช้าทำให้เกิด “รอบสั้นของรายได้” กระจายสู่ชุมชนโดยตรง ขณะเดียวกัน เมืองก็ใช้วาระนี้เชื้อเชิญนักท่องเที่ยว ให้อยู่ต่ออีกครึ่งวัน—เช่น แวะวัดใกล้เคียง พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ตลาดเช้า—เพื่อเพิ่มมูลค่าโดยไม่ต้องจัดกิจกรรมเสริมให้ฟุ้งเฟ้อ

ในมุมการบริหารจัดการ เทศบาลนครเชียงรายมี โครงร่างการวัดผลลัพธ์เบื้องต้น ที่เรียบง่ายแต่ใช้ได้จริง เช่น การสำรวจจำนวนผู้เข้าร่วมคร่าว ๆ ตามจุดคัดกรอง, ความพึงพอใจด้านความสะอาด–ความปลอดภัย, และข้อเสนอแนะของประชาชนต่อการจัดงานปีหน้า แนวทาง “ฟังเสียงพื้นที่” ช่วยให้พิธีกรรมที่อิงความเชื่อถูกรักษา รูป ไว้ครบถ้วน ขณะเดียวกันก็มี รส ของการบริการสาธารณะที่ทันสมัยและเป็นมิตร

มิติความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม สงบ งาม และไม่ทิ้งร่องรอย

งานบุญในพื้นที่ลาดชันจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับ การ์ดความปลอดภัย 3 ชั้น ได้แก่

  1. ชั้นพื้นที่—กั้นรั้วเชือกเตือนริมขอบบันได จุดปฐมพยาบาลพร้อมอุปกรณ์เบื้องต้น จัดทางขึ้น–ลงแยกทิศทางเพื่อลดการปะทะกันของคน
  2. ชั้นการจราจร—กำหนดเวลาปิด–เปิดถนนชัดเจน จัดเส้นทางจอดรถและรับ–ส่งผู้สูงอายุให้ใกล้จุดพิธีที่สุด
  3. ชั้นสื่อสาร—ใช้เสียงตามสายและเจ้าหน้าที่อาสาประกาศแนวปฏิบัติ งดใช้พลุ ประทัด โคมไฟในพื้นที่พิธีเพื่อคงบรรยากาศสงบ

ด้านสิ่งแวดล้อม เมืองส่งเสริมการ ใช้ภาชนะที่ย่อยสลายได้หรือใช้ซ้ำ จุดคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง และออกแบบ “เส้นทางขยะ” หลังจบพิธี เพื่อให้พื้นที่กลับสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็ว—หลักคิดคือ ฝากรอยยิ้ม ไม่ฝากรอยขยะ” ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มเมืองท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพพื้นที่สาธารณะ

ความหมายของ “111 รูป” ตัวเลขที่สื่อสารทั้งพิธีกรรมและการจัดการ

จำนวนพระภิกษุ–สามเณร 111 รูป ในปีนี้สะท้อนทั้ง ความสมบูรณ์ด้านพิธีกรรม และ ความพร้อมด้านการจัดการ ของพื้นที่—มากพอให้ประชาชนได้ทำบุญทั่วถึง แต่ไม่หนาแน่นจนกระทบเส้นทางหรือเวลา พิธีจึงดำเนินไปอย่างกระชับและสมศักดิ์ศรี ตัวเลขนี้ยังทำหน้าที่เป็น เกณฑ์จัดสรรทรัพยากร เช่น ชุดบิณฑบาต น้ำดื่ม และการจัดแนวรับ–ส่งบาตร ช่วยให้หน่วยงานสนามทำงานได้อย่างแม่นยำและลดความสูญเปล่า

เมืองกับ Soft Power ทางศาสนาอัตลักษณ์ล้านนาที่เล่าเรื่องได้ทั้งปี

เชียงรายมีวาระงานบุญ–งานวัฒนธรรมกระจายตลอดปี ตั้งแต่เข้าพรรษา ออกพรรษา ลอยกระทง ปีใหม่เมือง ฯลฯ การจัดพิธีเทโวอย่างมีเอกภาพจึงทำหน้าที่เป็น “ข้อพิสูจน์” ว่าเมืองสามารถ เล่าเรื่องอัตลักษณ์ล้านนา ได้อย่างต่อเนื่องและนุ่มนวล ไม่จำเป็นต้องอาศัยเพียงเทศกาลใหญ่เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว พิธีเช้า ๆ ที่สงบแต่มีพลังเช่นนี้ คือ Soft Power ทางศาสนา ซึ่งเชื่อม “ความทรงจำส่วนตัว” ของผู้ร่วมงานกับ “ความทรงจำร่วมของเมือง” สร้างความภาคภูมิในถิ่นฐาน และเชื้อชวนผู้มาเยือนให้เคารพวิถีท้องถิ่นอย่างเป็นธรรมชาติ

ทำอย่างไรให้ “พิธีปีหน้า” งดงามเท่าเดิม แต่บริการดียิ่งขึ้น

เพื่อต่อยอดความสำเร็จเมืองสามารถพิจารณาแนวทางดังต่อไปนี้โดยไม่เปลี่ยนสาระพิธีกรรม

  • ปฏิทินสื่อสารล่วงหน้า เพื่อกระจายคนและเวลามาร่วมบุญ ลดความหนาแน่นเฉพาะช่วง
  • แผนที่ดิจิทัล แสดงจุดจอดรถ ห้องน้ำสาธารณะ จุดปฐมพยาบาล และทางลาดสำหรับรถเข็น
  • ชุดความรู้วันเทโว แบบอ่านง่าย (infographic) แจกในสื่อสังคมออนไลน์และป้ายหน้างาน อธิบายความหมายพิธี กาลเทศะ และข้อควรปฏิบัติ
  • การเก็บข้อมูลโดยอาสาสมัคร หลังงาน 10–15 นาที เพื่อปรับปรุงจุดคอขวดด้านการจราจรและการสื่อสารปีถัดไป
  • สนับสนุนของฝากพื้นถิ่นอย่างรับผิดชอบ เน้นสินค้าที่ใช้วัสดุยั่งยืนและเคารพสัญลักษณ์ทางศาสนา

ทั้งหมดนี้สามารถทำได้โดยไม่รบกวน “แก่นพิธี” และยังช่วยยกระดับประสบการณ์ของทั้งชาวเมืองและผู้มาเยือน

เช้าวันเดียวที่คงอยู่ในความทรงจำทั้งปี

พิธีตักบาตรเทโวโรหณะ ณ เชิงบันไดวัดดอยงำเมืองปีนี้ ทำให้เห็นภาพใหญ่ที่เกาะเกี่ยวกัน—ศรัทธาของชุมชน ที่แปรเป็นแรงขับให้เมืองจัดการงานอย่างมืออาชีพ, เมตตาธรรมของพระสงฆ์ ที่ทำให้ผู้คนได้ตั้งต้นปีธรรมด้วยใจสงบ, และ บทบาทของเทศบาล ที่ทำให้พื้นที่สาธารณะรองรับพิธีได้ทั้งงดงามและปลอดภัย ตัวเลข พระภิกษุ–สามเณร 111 รูป, เวลา 06.30 น., สถานที่ เชิงบันไดวัดดอยงำเมืองถึงแยกศาลจังหวัด และ “การร่วมแรงร่วมใจของหน่วยงานกับประชาชน” คือรายละเอียดที่ถักทอให้พิธีครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ แต่เป็น บทเรียนของเมือง ที่จะส่งต่อไปยังปีถัดไป

ในโลกที่วุ่นวายยามข่าวด่วนและสารพัดเสียงดัง เช้าวันเทโวของเชียงรายค่อย ๆ กระซิบว่า ความงามอันยิ่งใหญ่ของเมือง อาจเริ่มต้นจากการยืนเงียบ ๆ ต่อหน้าพระ และวางข้าวสารลงในบาตรด้วยสองมือของเราเอง—เรียบง่าย แต่เปลี่ยนใจเราได้ทั้งวัน และเปลี่ยนเมืองได้ทั้งปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • จังหวัดเชียงราย (สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัด / ที่ทำการปกครองจังหวัด)
  • วัดดอยงำเมือง
  • สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
  • กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News