Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

“อวดเมือง 2568” เจาะกลยุทธ์ 3 จังหวัดอีสานผงาดเวที Soft Power เชียงรายสู้ต่อ

เปิดม่าน “อวดเมือง 2568”  เจาะลึกกลยุทธ์ 3 จังหวัดอีสานผงาดเวที Soft Power พร้อมถอดบทเรียน “เชียงราย” สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

กรุงเทพมหานคร, 10 กรกฎาคม 2568 – ท่ามกลางบรรยากาศอันคึกคักของงาน SPLASH – Soft Power Forum 2025 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กิจกรรมไฮไลต์ที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามคือการนำเสนอ City Showcase ในโครงการ “อวดเมือง 2568 The Pitching” ซึ่งเฟ้นหา 2 จังหวัดต้นแบบที่จะได้รับการยกระดับเป็นเมืองที่ “น่าลงทุน น่าอยู่ น่าเที่ยว” จากผู้เข้าร่วม 51 จังหวัดทั่วประเทศ และในรอบ 12 จังหวัดสุดท้ายที่ผ่านการคัดเลือก ได้แก่ กาญจนบุรี, ขอนแก่น, จันทบุรี, เชียงราย, นครราชสีมา, พิษณุโลก, เพชรบุรี, แพร่, เลย, ศรีสะเกษ, สุโขทัย และอุบลราชธานี มี 3 จังหวัดจากภาคอีสานอย่าง ขอนแก่น นครราชสีมา และศรีสะเกษ ที่สามารถตีตั๋วเข้าสู่รอบสุดท้ายได้อย่างน่าจับตา ขณะที่เชียงราย แม้จะไม่ได้ไปต่อในรอบนี้ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและแนวทางในการพัฒนาตนเองอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงความท้าทายด้านทรัพยากรน้ำที่จังหวัดต้องเผชิญ

การที่ 3 จังหวัดอีสานอย่างขอนแก่น นครราชสีมา และศรีสะเกษ สามารถก้าวเข้าสู่รอบสุดท้ายของโครงการ “อวดเมือง 2568 The Pitching” ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความบันเทิงหรือเทศกาลดนตรีเท่านั้น หากแต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลในการนำ Soft Power มาเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองในมิติที่หลากหลาย ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในท้องถิ่นให้ดียิ่งขึ้น

ถอดรหัสความสำเร็จของ 3 จังหวัดอีสาน เมื่อ Soft Power สร้างมูลค่าที่จับต้องได้

การวิเคราะห์โครงการของทั้ง 3 จังหวัดที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย ชี้ให้เห็นถึงกลยุทธ์ที่เฉียบคมในการนำเสนออัตลักษณ์ท้องถิ่น ผสมผสานกับแนวคิดสมัยใหม่ เพื่อสร้างความน่าสนใจและโอกาสในการลงทุนอย่างยั่งยืน

  1. ขอนแก่น “เทศกาลม่วน เมื่อผืนไหมขับร้อง และหัวใจเต้นไปกับจังหวะหมอลำ”

ขอนแก่นนำเสนอ “เทศกาลม่วน” ที่ถักทออัตลักษณ์สองสายเข้าด้วยกันอย่างลงตัว คือ “ม่วนไหม” ที่ยกระดับผ้าไหมมัดหมี่จากผืนผ้าสู่ภาษาแห่งอีสานและนวัตกรรม และ “ม่วนหมอลำ” ที่ขับขานเรื่องราวชีวิตผ่านเสียงดนตรีและบทกลอน สิ่งที่ทำให้ขอนแก่นโดดเด่นคือการมองไปข้างหน้าด้วยแนวคิด MICE และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน โดยเน้นกระบวนการทอผ้าแบบลดขยะ (Zero-Waste Weaving) เทศกาลไร้กระดาษ (Paperless Festival) และการร่วมสร้างจากชุมชนอย่างแท้จริง

ผศ.ดร.ดลฤทัย โกวรรธนะกุล ผู้อำนวยการโครงการ กล่าวอย่างชัดเจนว่า “เราไม่ได้แค่แสดงวัฒนธรรม แต่เรากำลังออกแบบอนาคตของมัน” นี่คือหัวใจสำคัญที่คณะกรรมการมองเห็น ขอนแก่นไม่ได้หยุดอยู่แค่การอนุรักษ์ แต่ต่อยอดด้วยนวัตกรรม มีเวิร์กช็อปสำหรับคนรุ่นใหม่ในการแปลงลายผ้าท้องถิ่นเป็นดิจิทัล ดีไซเนอร์รุ่นใหม่สร้างแฟชั่นจากไหมพื้นบ้าน และวงหมอลำร่วมสมัยเตรียมออกสู่เวทีนานาชาติ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงระบบนิเวศทางวัฒนธรรมที่ครบวงจร ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความสนุกสนาน แต่ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและอาชีพให้กับคนในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน การนำเสนอที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมเข้ากับเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ทำให้ขอนแก่นมีศักยภาพที่จะเป็นเมืองที่ “น่าลงทุน น่าอยู่ น่าเที่ยว” ได้อย่างแท้จริง

  1. นครราชสีมา “K-BATTLE International HIPHOP Festival” เทศกาลที่จะอวดเมืองโคราชให้โลกรู้ ด้วยการเต้น เสียงดนตรี และศิลปะ

โคราชเลือกหยิบยกวัฒนธรรมฮิปฮอปที่หยั่งรากลึกในพื้นที่มานานกว่าสิบปี มายกระดับเป็นเทศกาลระดับนานาชาติ “K-BATTLE International HIPHOP Festival” ซึ่งเป็นศูนย์กลางของผู้คนที่สนใจศิลปะและวัฒนธรรมร่วมสมัย ทั้งการเต้น ดนตรี กราฟฟิตี้ และสตรีทอาร์ต สิ่งที่น่าสนใจคือการเชื่อมโยง Soft Power นี้เข้ากับปรากฏการณ์ระดับโลก เช่น MILLI บนเวที Coachella หรือ LISA กับมิวสิกวิดีโอที่เยาวราช

เทศกาลนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงความบันเทิง แต่ตั้งใจที่จะสร้างและผลักดันบุคลากรที่มีศักยภาพในการเป็นตัวแทน Soft Power ไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านดนตรี ศิลปะ และวัฒนธรรม มีกิจกรรมที่เสริมสร้างแรงบันดาลใจแก่เยาวชน ไม่ว่าจะเป็นเวิร์กช็อป งานดีไซน์ ไปจนถึงการแข่งขันในศิลปะหลากหลายแขนง การผนึกกำลังกันของหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างแรงดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกด้วยความสุขและความสนุกในศิลปะที่เป็นสากล แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการเป็น Destination ระดับโลกที่น่าลงทุน น่าเที่ยว และน่าอยู่ การนำเสนอที่จับกระแสความนิยมของคนรุ่นใหม่และมีแผนการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ทำให้โคราชมีจุดแข็งที่ชัดเจนในการดึงดูดการลงทุนและสร้างภาพลักษณ์เมืองที่ทันสมัย

  1. ศรีสะเกษ “Sound of Sisaket: ซาวสีเกด” มากกว่าเทศกาลดนตรี เพราะที่นี่ทุกท่วงทำนองคือพลัง

ศรีสะเกษนำเสนอ “Sound Of Siaket” ซึ่งไม่ใช่แค่เทศกาลดนตรี แต่เป็นเทศกาลประจำเมืองที่รวบรวมความหลากหลายของท่วงทำนอง ทั้งแบบดั้งเดิมและร่วมสมัย ความโดดเด่นอยู่ที่ไอเดียการเปลี่ยนย่านเมืองเก่าให้กลายเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ มีเวทีร้อง เต้น เล่นดนตรี สนามประลองความยิ่งใหญ่ของวงโยธวาทิตระดับโลก โดยมีหมุดหมายในการเข้าสู่เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ด้านดนตรีของยูเนสโก

สิ่งที่ทำให้ “ซาวสีเกด” แตกต่างคือการที่ทุกตรอก ซอก ซอย บ้านเก่า หรือแม้แต่ธุรกิจคาเฟ่ และร้านอาหารในย่าน ยังกลายเป็นสตูดิโอมีชีวิต อัดแน่นด้วยกิจกรรม อาทิ เวิร์กช็อป เสวนา พื้นที่แสดงผลงานของคนในพื้นที่ การรวมพลังสร้างสรรค์จากหลากหลายกลุ่มคน ตั้งแต่ผู้บริหารท้องถิ่น ศิลปิน ครูอาจารย์ ไปจนถึงชาวบ้านทุกวัยที่ร่วมมือร่วมใจกันสร้างบทบาท แสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างแท้จริง เทศกาลนี้ไม่ได้มีดีแค่ “เรื่องเที่ยว” แต่เป็นงานที่ชวนทุกคนมาร่วมสร้างเมืองน่าลงทุน น่าอยู่ และน่าภาคภูมิใจไปด้วยกัน การที่ศรีสะเกษมีเป้าหมายชัดเจนในการเป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านดนตรีของยูเนสโก และมีการขับเคลื่อนจากทุกภาคส่วนในท้องถิ่น ทำให้โครงการมีความแข็งแกร่งและมีวิสัยทัศน์ระยะยาว

จากการวิเคราะห์ทั้งสามจังหวัด จะเห็นได้ว่า แม้หัวข้อหลักจะเป็นเรื่องของ “ดนตรี” หรือ “เทศกาล” แต่เนื้อหาและเป้าหมายของแต่ละโครงการล้วนเชื่อมโยงไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การยกระดับคุณภาพชีวิต การสร้างโอกาสในการลงทุน และการดึงดูดนักท่องเที่ยวในระยะยาว ไม่ได้เป็นเพียงความบันเทิงฉาบฉวยอย่างที่บางคนอาจเข้าใจผิด

เมื่อความท้าทายกลายเป็นโอกาสด้วยพลังแห่งความร่วมมือ

สำหรับจังหวัดเชียงราย แม้จะไม่ได้ผ่านเข้ารอบสุดท้ายในโครงการ “อวดเมือง 2568 The Pitching” ด้วยเทศกาล “Chiang Rai BREW Festival” แต่การเดินทางมาได้ไกลถึงรอบ 12 จังหวัดสุดท้าย ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความพยายามและการทำการบ้านอย่างหนักของทีมงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจังหวัดต้องประสบกับปัญหาด้านน้ำ ซึ่งเป็นความท้าทายที่สำคัญ

“Chiang Rai BREW Festival” นำเสนอจุดแข็งของเชียงรายในฐานะเมืองแห่งชาและกาแฟคุณภาพระดับโลก ที่เปี่ยมด้วยอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและศักยภาพทางเศรษฐกิจ ด้วยระบบโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้าน กำลังผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพจาก 3 มหาวิทยาลัยเลื่องชื่อ และทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลาย เทศกาลนี้ออกแบบมาเพื่อต่อยอดมูลค่าของชาและกาแฟจากผลผลิตท้องถิ่น สู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ด้วยแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยเชื่อมโยงเส้นทางจากแหล่งผลิตถึงปลายน้ำผ่านกิจกรรมตลอดปี เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่และเปิดโอกาสในการลงทุนบนเส้นทางชา-กาแฟ

สิ่งที่เชียงรายเน้นย้ำคือการไม่เพียงมุ่งเน้นด้านการบริโภค แต่ขยายไปสู่การจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการท้องถิ่น นักวิชาการ นักเศรษฐกิจสร้างสรรค์ กับนักลงทุนรุ่นใหม่ เพื่อการยกระดับ Local Business to International Business และการสร้างมูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรมภาคเกษตร ภาคการท่องเที่ยว การพัฒนานวัตกรรม โดยเฉพาะกลุ่ม Specialty ที่ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์เพื่อความยั่งยืน เทศกาลนี้สะท้อนพลังของทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคการศึกษา และประชาชน ที่มาร่วมกันออกแบบอนาคตของเมืองด้วยเครื่องมือที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังผ่านเครื่องดื่มอัตลักษณ์ของเมือง

แม้ปัญหาด้านน้ำจะเป็นอุปสรรคสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรและอุตสาหกรรมชา-กาแฟของเชียงรายได้ แต่การที่ทีมงานยังคงมุ่งมั่นนำเสนอศักยภาพของจังหวัดผ่านเทศกาลนี้ แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในแก่นแท้ของ Soft Power นั่นคือการสร้างมูลค่าจากสิ่งที่มีอยู่ และการสร้างความร่วมมือเพื่อก้าวข้ามความท้าทาย

จุดวิเคราะห์ผลลัพธ์ของ การที่เชียงรายสามารถมาได้ไกลขนาดนี้ แม้จะมีปัญหาเรื่องน้ำ แสดงให้เห็นว่าศักยภาพของจังหวัดในด้าน Soft Power และเศรษฐกิจสร้างสรรค์นั้นมีสูงมาก และปัญหาเรื่องน้ำไม่ได้บั่นทอนความพยายามของทีมงาน การที่จังหวัดไม่ผ่านเข้ารอบ ไม่ได้หมายความว่าโครงการนี้ล้มเหลว แต่เป็นโอกาสให้เชียงรายได้กลับมาทบทวนและปรับปรุงแผนงานให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผนึกกำลังกันทั้งจังหวัดเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำอย่างยั่งยืน และนำจุดแข็งด้านชา-กาแฟมาเป็นหัวหอกในการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ต่อไป

การร่วมมือกันทั้งจังหวัดกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของเชียงราย

แนวคิดที่ว่า “เชียงรายต่อให้ไม่เข้ารอบแต่เราสามารถทำเองได้โดยต้องร่วมมือกันทั้งจังหวัด” เป็นประเด็นที่สำคัญและเป็นไปได้จริง ปัญหาด้านน้ำในเชียงรายเป็นความท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างบูรณาการ การนำเสนอ “Chiang Rai BREW Festival” เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการแสดงศักยภาพ แต่การจะก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น

  • ภาครัฐ: กำหนดนโยบายและแผนแม่บทในการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนงบประมาณและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น
  • ภาคเอกชน: ลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการใช้น้ำอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับชา-กาแฟ
  • ภาคการศึกษา: วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ชา-กาแฟที่ทนทานต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการให้ความรู้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการในการบริหารจัดการน้ำและพัฒนาคุณภาพสินค้า
  • ภาคประชาชนและชุมชน: มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้น้ำ และร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนจากชา-กาแฟ

การที่เชียงรายมี “Chiang Rai BREW Festival” เป็นธงนำในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์จากฐานทุนทางวัฒนธรรมและทรัพยากรธรรมชาติ เป็นสัญญาณที่ดีว่าจังหวัดมีความพร้อมที่จะเดินหน้าต่อด้วยตัวเอง การเรียนรู้จากประสบการณ์ในโครงการ “อวดเมือง 2568” จะเป็นบทเรียนอันล้ำค่าที่ช่วยให้เชียงรายสามารถพัฒนาแผนงานให้มีความแข็งแกร่งและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผสาน Soft Power เข้ากับการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างปัญหาเรื่องน้ำ ซึ่งหากทำได้สำเร็จ เชียงรายจะกลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาเมืองที่สามารถก้าวข้ามความท้าทายและสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างแท้จริง

สรุปและก้าวต่อไป

โครงการ “อวดเมือง 2568 The Pitching” ได้เปิดโอกาสให้จังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศได้นำเสนอศักยภาพและ Soft Power ของตนเอง ขอนแก่น นครราชสีมา และศรีสะเกษ ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการนำอัตลักษณ์ท้องถิ่นมาต่อยอดเป็นเทศกาลและกิจกรรมที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน ไม่ใช่เพียงแค่ความบันเทิง แต่เป็นการลงทุนในอนาคตของเมือง

สำหรับเชียงราย แม้จะไม่ได้ผ่านเข้ารอบสุดท้าย แต่การเดินทางมาได้ไกลขนาดนี้พร้อมกับความท้าทายด้านสถานการณ์น้ำ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและศักยภาพอันมหาศาล การที่จังหวัดสามารถ “ทำเองได้โดยต้องร่วมมือกันทั้งจังหวัด” คือบทสรุปที่สำคัญที่สุด การใช้ Soft Power อย่างชาและกาแฟเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างการบริหารจัดการน้ำ จะทำให้เชียงรายก้าวขึ้นเป็นเมืองที่ “น่าลงทุน น่าอยู่ น่าเที่ยว” ได้อย่างแท้จริงในอนาคตอันใกล้ เทศกาลนี้ไม่ใช่แค่กิจกรรมเฉพาะฤดูกาล แต่มีเป้าหมายในการยกระดับ SME และเศรษฐกิจท้องถิ่น เชื่อมโยงสายการผลิต–โลจิสติกส์–ท่องเที่ยว–วัฒนธรรม โดยมีมหาวิทยาลัย 3 แห่งรองรับองค์ความรู้ พร้อมทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ แม้ในปีนี้จังหวัดจะประสบปัญหาด้านน้ำ แต่ทีมงานได้ลงมือทำการบ้านกันอย่างหนัก สามารถขับเคลื่อนงานร่วมกับทุกภาคส่วน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)

  • สมาคมส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรมสร้างสรรค์ไทย (THACCA)

  • งาน SPLASH – Soft Power Forum 2025

  • ข้อมูลสรุปโครงการอวดเมือง 2568 The Pitching

  • Facebook : Narumon Namsom Nilmanon

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

‘ดาวทะเลแห่งป่าดิบ’ คืนชีพในป่าเชียงราย! พืชหายากโผล่หลังเงียบหายศตวรรษ

การกลับมาของ ‘ดาวทะเลแห่งป่าดิบ’ Heterostemma brownii พืชหายากโผล่กลางป่าเชียงราย หลังเงียบหายกว่าศตวรรษ – จุดเปลี่ยนเร่งอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพ

เรื่องเล่าบนผืนป่าลึกปรากฏการณ์ฟื้นคืนของพืชลึกลับที่หลายคนคิดว่าสาบสูญ

เชียงราย, 10 กรกฎาคม 2568 – กว่าร้อยปีที่โลกพฤกษศาสตร์จารึกชื่อ “Heterostemma brownii” หรือ ‘ดาวทะเลแห่งป่าดิบ’ ไว้บนรายชื่อสิ่งมีชีวิตหายากอย่างเงียบงัน จนกระทั่งในปี 2562 ความหวังใหม่ก็ถือกำเนิดอีกครั้งจากการค้นพบของ ดร.วรนาถ ธรรมรงค์ นักอนุกรมวิธานพืช สำนักวิจัยและอนุรักษ์ องค์การสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ (QSBG) และทีมงาน ซึ่งออกสำรวจผืนป่าดิบชื้นในจังหวัดเชียงราย ด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นว่าธรรมชาติยังคงมีความลับซุกซ่อนอยู่

“มันเหมือนเราค้นพบขุมทรัพย์ที่คิดว่าสาบสูญไปแล้ว” ดร.วรนาถกล่าวถึงความรู้สึกขณะเผชิญกับดาวทะเลแห่งป่าดิบครั้งแรก พืชชนิดนี้ในอดีตมีรายงานเฉพาะในไต้หวัน จีน และเวียดนาม โดยมีการค้นพบครั้งสุดท้ายตั้งแต่ปี พ.ศ. 2449 (ค.ศ. 1906) การพบ H. brownii ในไทยครั้งนี้จึงเป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันการกระจายพันธุ์ในประเทศไทยและประเทศลาวเป็นครั้งแรก

ภาพถ่ายและข้อมูลเชิงลึกจากการค้นพบครั้งนี้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Thai Forest Bulletin (Botany) ปี 2563 และเผยแพร่ต่อสาธารณชนโดย QSBG ผ่านโซเชียลมีเดียเมื่อ 10 กรกฎาคม 2568 จุดประกายความสนใจในแวดวงวิทยาศาสตร์และกลุ่มอนุรักษ์ทั่วประเทศทันที

เสน่ห์แห่ง “ดาวทะเล” บนม่านมอสป่าดิบ

‘Heterostemma brownii’ จัดอยู่ในวงศ์ดอกรัก (Apocynaceae) เป็นไม้เลื้อยเนื้ออ่อนที่พบเฉพาะในป่าดิบชื้นระดับความสูง 500-1,100 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ลักษณะดอกมีความโดดเด่น กลีบดอกสีเหลืองสดใส 5 แฉกแต้มจุดประแดง และกระบังรอบสีแดงเข้ม 5 แฉกกลางดอก คล้ายดาวทะเลกลางป่ามืด ยิ่งเมื่ออวดโฉมท่ามกลางฤดูฝนในเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม พื้นที่ป่าดิบจึงงดงามราวเทพนิยาย

แม้จะค้นพบดอกอันสมบูรณ์ แต่นักวิจัยยังไม่พบผลหรือเมล็ดของ H. brownii จากตัวอย่างที่เก็บรวบรวม นี่คือช่องว่างทางวิทยาศาสตร์ที่จำเป็นต้องเร่งศึกษาเพิ่มเติม เพื่อเข้าใจวงจรชีวิต กระบวนการสืบพันธุ์ และเงื่อนไขที่เอื้อต่อการกระจายพันธุ์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญต่อการวางแผนอนุรักษ์ระยะยาว

ความเปราะบางและการไม่ถูกประเมินสถานะ เงื่อนปมของการอนุรักษ์

  1. brownii นับเป็นพืชหายากอย่างแท้จริง และยังไม่มีการประเมินสถานะความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์อย่างเป็นทางการในบัญชีแดงของ IUCN สาเหตุหลักคือข้อมูลที่ยังไม่เพียงพอและการปรากฏตัวอย่างจำกัดตลอดศตวรรษที่ผ่านมา

“การไม่มีสถานะอนุรักษ์ทำให้พืชชนิดนี้ตกอยู่ในความเสี่ยงต่อภัยคุกคามโดยตรงและอ้อม” ดร.วรนาถกล่าว โดยภัยที่น่ากังวล ได้แก่

  • การสูญเสียถิ่นที่อยู่: การขยายพื้นที่เกษตรกรรม ตัดไม้ผิดกฎหมาย และอุตสาหกรรมที่รุกรานพื้นที่ป่า
  • การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ: ทำให้อุณหภูมิและปริมาณฝนผันผวนจนระบบนิเวศที่อ่อนไหวอย่าง H. brownii ปรับตัวไม่ทัน
  • มลพิษและชนิดพันธุ์ต่างถิ่น: เคมีเกษตรและการบุกรุกของพืชต่างถิ่นส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพของป่าและพันธุ์ไม้หายาก
  • การโจรกรรมชีวภาพ: การลักลอบนำพันธุ์พืชหายากไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์โดยไม่ได้รับอนุญาต

ภัยเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการบูรณาการอนุรักษ์ H. brownii เข้ากับยุทธศาสตร์การปกป้องป่าดิบโดยรวม

ต้นแบบความมุ่งมั่นในงานอนุรักษ์ไทย

องค์การสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ (QSBG) จังหวัดเชียงใหม่ ดำรงบทบาทศูนย์กลางของการวิจัยและอนุรักษ์พืชหายากในไทย QSBG ไม่เพียงเก็บรวบรวมพืชพันธุ์ไว้ในสวนและพิพิธภัณฑ์พืชเท่านั้น แต่ยังเน้นงานอนุกรมวิธานและโครงการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อปิดช่องว่างความรู้และขยายผลสู่นโยบายอนุรักษ์ระดับประเทศ

ความสำเร็จในการค้นพบ H. brownii อีกครั้ง ตอกย้ำถึงศักยภาพของทีมวิจัย QSBG และเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น Singapore Botanic Gardens และนักวิทยาศาสตร์จากลาวที่ร่วมศึกษาเส้นทางการกระจายพันธุ์ของพืชชนิดนี้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ก้าวต่อไปเพื่อ “ดาวทะเลแห่งป่าดิบ”

  1. ประเมินสถานะอนุรักษ์อย่างเป็นทางการ: เร่งสำรวจข้อมูลเพื่อจัดอันดับในบัญชีแดงของ IUCN อาจพิจารณาสถานะ “ข้อมูลไม่เพียงพอ” เพื่อกระตุ้นการเก็บข้อมูลอย่างจริงจัง
  2. วิจัยเชิงลึกทางชีววิทยา: สำรวจวงจรชีวิต กระบวนการสืบพันธุ์ และความต้องการด้านนิเวศวิทยาเพื่อเตรียมแผนฟื้นฟูทั้งในธรรมชาติและนอกพื้นที่
  3. ปกป้องถิ่นที่อยู่: ร่วมมือกับหน่วยงานรัฐและท้องถิ่น ป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่า และผลักดันมาตรการคุ้มครองเฉพาะบริเวณที่พบ H. brownii
  4. สร้างเครือข่ายภูมิภาค: ขยายความร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์จากจีน ลาว ไต้หวัน เวียดนาม เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด
  5. รณรงค์ให้ความรู้ชุมชน: ถ่ายทอดคุณค่าและความสำคัญของระบบนิเวศป่าดิบและ H. brownii สู่เยาวชนและชาวบ้าน สนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่ยั่งยืน ควบคู่กับการอนุรักษ์

 “ดาวทะเลแห่งป่าดิบ” – จากตำนานสู่ความหวังใหม่ของป่าไทย

การค้นพบ Heterostemma brownii Hayata อีกครั้งในประเทศไทย คือตัวอย่างที่ชี้ชัดว่าธรรมชาติยังมีเรื่องราวซ่อนเร้นอีกมากมาย และความหลากหลายทางชีวภาพยังมีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงของระบบนิเวศและคุณภาพชีวิตมนุษย์

การดำเนินนโยบายอนุรักษ์ที่เข้มข้นและต่อเนื่อง คือหนทางเดียวที่จะรักษาพืชพันธุ์ล้ำค่านี้ไว้ให้เป็นสมบัติของป่าฝนไทยสืบไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เพจสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
  • ดร.วรนาถ ธรรมรงค์ | สำนักวิจัยและอนุรักษ์ QSBG
  • Thammarong, W., Raksa-chat, S., & Rodda, M. (2020). Thai Forest Bulletin (Botany), 48(2), 114–117.
  • IUCN Red List: International Union for Conservation of Nature’s Red List
  • The Plant List (2013) | http://www.theplantlist.org/
  • IPNI (International Plant Names Index)
  • Global Biodiversity Information Facility (GBIF)
  • คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ที่ปรึกษาศูนย์ฯ ชงแผนเด็ด แก้มลพิษน้ำเชียงราย ผสานสื่อสาร-เยียวยา-ข้ามแดน

 “สารปนเปื้อนในน้ำ” วิกฤตซ้ำซ้อนของลุ่มน้ำกก-สาย-รวก-โขง ที่ปรึกษาศูนย์อำนวยการฯ เสนอแนวคิดสื่อสาร-เยียวยา พร้อมดันมาตรการข้ามพรมแดน

น้ำที่เคยมั่นใจ กลายเป็นความกังวลของคนเชียงราย

เชียงราย, 10 กรกฎาคม 2568 — ฤดูฝนวนกลับมาอีกครั้งในจังหวัดเชียงราย ทว่าแทนที่จะนำความชุ่มชื้นและชีวิตชีวาสู่ชุมชนริมฝั่งแม่น้ำ สายน้ำในปีนี้กลับกลายเป็นแหล่งแห่งความวิตกกังวล เมื่อสารปนเปื้อนที่มองไม่เห็นได้แทรกซึมเข้าสู่แม่น้ำสำคัญอย่างแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง ประชาชนในพื้นที่และภาคส่วนต่าง ๆ ต่างเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

ล่าสุด นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมคณะที่ปรึกษาศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) จังหวัดเชียงราย ณ ห้องประชุมอูหลง ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ร่วมกับคณะผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในรูปแบบออนไซต์และออนไลน์ เพื่อสรุปข้อเสนอเชิงลึกที่หวังจะแก้ไขวิกฤตน้ำที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ

ประเด็นร้อนกลางวงประชุม “ประชาชนต้องการชัดเจน-มีส่วนร่วม”

เสียงสะท้อนจากภาคประชาชน ภาควิชาการ และตัวแทนภาคเอกชนต่างเน้นย้ำว่า “ข้อมูลที่โปร่งใส-เข้าถึงได้” คือหัวใจสำคัญของการจัดการวิกฤตน้ำครั้งนี้ โดยเฉพาะ 5 คำถามสำคัญที่ต้องการคำตอบเร่งด่วนจากภาครัฐ

  • รัฐบาลมีไทม์ไลน์ชัดเจนหรือไม่ในการควบคุมมลพิษที่ต้นทาง?
  • จะลดสารหนูและสารพิษอื่นในแม่น้ำด้วยวิธีใด?
  • จะมีคู่มือรับมือภาวะน้ำปนเปื้อนสำหรับประชาชนหรือไม่?
  • แหล่งน้ำทางเลือกและการเข้าถึงน้ำสะอาดมีทางออกอย่างไร?
  • จะมีเวทีวงสนทนาเปิดพื้นที่ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มได้อย่างไร?

คณะที่ปรึกษาฯ ยังเสนอให้ภาครัฐดำเนินการ “Social Listening” รับฟังเสียงและความกังวลจากโซเชียลมีเดียอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างฐานข้อมูลปัญหาและแนวทางแก้ไขที่แท้จริง

สื่อสาร-แก้ข้ามพรมแดน-เยียวยาอย่างยั่งยืน

การประชุมมีข้อเสนอสำคัญที่ต้องเร่งขับเคลื่อน ดังนี้

  1. สื่อสารความเสี่ยงแบบโปร่งใสและจริงใจ

ที่ประชุมเน้นให้ภาครัฐเผยแพร่แผนตรวจสอบและรายงานคุณภาพน้ำฉบับเต็มบนเว็บไซต์หน่วยงาน เช่น กรมควบคุมมลพิษ เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้ตลอดเวลา สื่อสารข้อมูลให้สม่ำเสมอและชัดเจน รวมถึงอธิบายข้อจำกัดและความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นระหว่างรัฐและประชาชน

  1. เปิดเผยข้อมูลเหมืองแร่ในเมียนมา

สารพิษจำนวนมากในแม่น้ำมีต้นกำเนิดข้ามพรมแดน คณะที่ปรึกษาฯ เสนอให้รัฐบาลไทยผลักดันการเปิดเผยข้อมูลเหมืองแร่ในเมียนมา ทั้งที่ตั้ง จำนวน และประเภทของเหมือง เพื่อวางแผนรับมือและเจรจากับเพื่อนบ้านอย่างเป็นทางการ

  1. แผนเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ

เสนอให้สำรวจผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ ผู้ใช้น้ำเพื่ออุปโภคบริโภคในพื้นที่เสี่ยง ชาวประมงที่ต้องหยุดกิจการ ผู้ประกอบการร้านอาหารและแพท่องเที่ยว รวมถึงกำหนดมาตรการเยียวยาและชดเชยภายใน 2 เดือน

  1. แผนรับมือน้ำท่วมที่มีสารพิษ

ทุกชุมชนควรได้รับคู่มือและความรู้ในการป้องกันตัวเมื่อต้องเผชิญน้ำท่วมที่มีสารโลหะหนัก เช่น วิธีหลีกเลี่ยงสัมผัสน้ำปนเปื้อน การล้างบ้านหลังน้ำลด และการจัดการโคลนที่มีสารพิษ

  1. เฝ้าระวังผลผลิตทางการเกษตร

แผนเฝ้าระวังและตรวจสอบผลผลิตเกษตรกรรมที่ใช้น้ำจากแม่น้ำที่มีสารปนเปื้อน เช่น การจัดทำห่วงโซ่อุปทาน และการตรวจสอบผลผลิตก่อนออกสู่ตลาด โดยเฉพาะข้าวนาปี หากพบการปนเปื้อนต้องมีมาตรการเยียวยาและดึงผลผลิตออกจากระบบ

  1. จัดตั้งศูนย์ตรวจสอบสารโลหะหนักประจำจังหวัด

ยกระดับศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์และศูนย์ตรวจมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เพิ่มศักยภาพการตรวจสอบในจังหวัด ลดเวลารอผลและต้นทุน

  1. สร้างพลเมืองวิทยาศาสตร์-แก้ปัญหามลพิษข้ามพรมแดน

ผลักดันการสอนวิชาพลเมืองวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน-มหาวิทยาลัย และจัดกิจกรรมสัปดาห์เรียนรู้สำหรับประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย

  1. เพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน

ภาครัฐควรเพิ่มสัดส่วนภาคประชาชนในคณะทำงาน แทนที่จะเน้นประชาสัมพันธ์ ควรเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นและให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจแก้ปัญหาอย่างแท้จริง

วิกฤตข้ามพรมแดนต้องอาศัยพลังของ “ความโปร่งใส-ความร่วมมือ”

การประชุมครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าการแก้ปัญหาคุณภาพน้ำในเชียงรายไม่ใช่เรื่องในประเทศอีกต่อไป หากแต่โยงใยกับมลพิษข้ามพรมแดนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อุปสรรคสำคัญคือ การเปิดเผยข้อมูลและการเจรจากับเมียนมา ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ทั้งเวลาและความพยายามจากทุกฝ่าย

ขณะเดียวกัน แม้จะมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่หลากหลาย การผลักดันให้เป็นรูปธรรมยังต้องการทรัพยากร บุคลากร งบประมาณ และระบบติดตามที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

“ความเชื่อมั่น” ของประชาชนในพื้นที่จะฟื้นคืนได้ ก็ต่อเมื่อรัฐแสดงให้เห็นความโปร่งใส จริงใจ และสามารถขับเคลื่อนข้อเสนอเหล่านี้ให้เกิดผลจริงทั้งระยะสั้นและระยะยาว

จุดเปลี่ยนของลุ่มน้ำเชียงรายบนเส้นทางความร่วมมือใหม่

การประชุมครั้งนี้คือจุดเริ่มต้นของการจัดการปัญหาน้ำในเชียงรายอย่างบูรณาการ ทุกข้อเสนอจะต้องถูกขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นจริง ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค หากคุณคือผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ คุณจะให้ความสำคัญกับข้อเสนอใดเป็นอันดับแรก เพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้แก่ประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิ่งแวดล้อมภาคเหนือ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

พลเอก ณัฐพล ตรวจเชียงราย! แนวกันน้ำแม่สายคืบ 93% พร้อมรับมือฝน

เชียงรายรับมือภัยพิบัติ! รัฐเร่งเดินหน้าแนวป้องกันน้ำหลากแม่สาย-แม่น้ำกก

เชียงราย, 9 กรกฎาคม 2568 – พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย ติดตามการดำเนินงานโครงการป้องกันและลดผลกระทบจากดินโคลนถล่มและน้ำหลาก โดยเฉพาะที่อำเภอแม่สาย ซึ่งประสบอุทกภัยใหญ่ในปี 2567

ประชาชนในพื้นที่ชุมชนถ้ำผาจม, บ้านไม้ลุงขน และเกาะลอย ร่วมให้การต้อนรับ พร้อมแสดงความขอบคุณต่อเจ้าหน้าที่ทหารที่เร่งสร้างแนวป้องกันแบบกึ่งถาวร เพื่อรองรับฤดูฝนปีนี้

แนวกันน้ำกึ่งถาวรแม่สาย คืบหน้าแล้ว 93.63%

พลเอก ณัฐพล ได้ตรวจสอบความคืบหน้าโครงการเสริมพนังป้องกันน้ำหลากบริเวณแม่น้ำสาย ระยะทางกว่า 2.3 กิโลเมตร ครอบคลุม 6 ชุมชน เขตแม่สาย โดยใช้โครงสร้างแบบผสมผสานระหว่างแนวกันน้ำเดิมและวัสดุก่อสร้างเสริมแรง

โครงการดังกล่าวคืบหน้าแล้วกว่า 93% และคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์กลางเดือนกรกฎาคมนี้

ขุดลอกแม่น้ำรวกฝั่งไทย เดินหน้าเต็มกำลัง 32 กิโลเมตร

อีกภารกิจหลักของกองทัพคือการขุดลอกแม่น้ำรวกฝั่งไทย ตั้งแต่บ้านสบสาย ตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สาย ไปจนถึงบ้านวังลาว ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน รวมระยะทางกว่า 32 กิโลเมตร

แบ่งการดำเนินงานเป็น 2 ช่วง ได้แก่

  • กองทัพภาคที่ 3 รับผิดชอบช่วงต้นทาง 14 กิโลเมตร
  • กรมการทหารช่างรับผิดชอบอีก 18 กิโลเมตร

ขณะนี้มีความคืบหน้าแล้วกว่า 81.67% คาดว่าจะเสร็จภายในวันที่ 21 กรกฎาคม

ตรวจแม่น้ำกก ชื่นชมความสำเร็จขุดลอกแล้วเสร็จ 100%

จากแม่สาย พลเอก ณัฐพล เดินทางต่อไปยังหาดเชียงราย อำเภอเมือง เพื่อตรวจโครงการขุดลอกแม่น้ำกก ซึ่งมีเป้าหมายลดความเสี่ยงน้ำท่วมและส่งเสริมภูมิทัศน์ท่องเที่ยว

งานขุดลอกดำเนินการแล้วเสร็จครบ 4 จุด รวมปริมาณดินขุดกว่า 189,108 ลูกบาศก์เมตร ใช้งบประมาณกว่า 12.1 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 55 วัน

ห่วงพื้นที่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ ยังไม่ได้รับการจัดการ

แม้แม่น้ำกกจะขุดลอกแล้วเสร็จ แต่รัฐมนตรีช่วยฯ ยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับจุดต้นน้ำและปลายน้ำที่ยังไม่มีการดำเนินการ ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในภาพรวม

จึงได้สั่งการให้ประสานงานกับกระทรวงเกษตรและกระทรวงคมนาคม เพื่อเร่งรัดการดำเนินงานในจุดที่ยังขาดการพัฒนา

รัฐเดินหน้าเตรียมรับมือฝนเดือนกันยายน

พลเอก ณัฐพล เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานเตรียมแผนรับมือฤดูฝน โดยเฉพาะเดือนกันยายนซึ่งคาดว่าอาจมีฝนตกหนักอีกครั้ง โดยร่วมมือระหว่างมณฑลทหารบกที่ 37 กับจังหวัดเชียงราย เพื่อบริหารจัดการและเตรียมแผนเผชิญเหตุอย่างมีระบบ

ยุทธศาสตร์เชิงรุกสู้ภัยธรรมชาติ

การลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การตรวจงาน แต่เป็นสัญญาณสำคัญของรัฐบาลต่อการบริหารความเสี่ยงจากภัยพิบัติ

  1. ยกระดับมาตรการฉุกเฉินสู่โครงการระยะยาว

โครงการแนวกันน้ำแบบกึ่งถาวรถือเป็นระยะเร่งด่วน ในขณะที่แนวกันน้ำถาวรจะเริ่มก่อสร้างและคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2572 เพื่อสร้างความมั่นคงระยะยาว

  1. บูรณาการภาครัฐ-ท้องถิ่น-ทหาร

การทำงานร่วมกันระหว่างกองทัพ, หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35, กรมการทหารช่าง และจังหวัดเชียงราย แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือที่แน่นแฟ้น และประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว

  1. ความพร้อมของแผนสำรอง

แม้จะมีแผนหลักครบถ้วน แต่รัฐยังต้องวางแผนสำรอง และมีระบบเตือนภัยที่ทันสมัย เพื่อรับมือภัยธรรมชาติที่อาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ความมั่นใจของประชาชนขึ้นอยู่กับ “การลงมือทำ”

การลงพื้นที่ของ พลเอก ณัฐพล ไม่เพียงแต่ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และประชาชน แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความจริงจังของภาครัฐ ที่ต้องการให้ทุกโครงการเดินหน้าอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ

ด้วยความคืบหน้าที่ชัดเจนของแต่ละโครงการ ชาวเชียงรายจึงเริ่มรู้สึกมั่นใจว่าจะสามารถผ่านพ้นฤดูฝนปีนี้ไปได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงกลาโหม
  • กรมการทหารช่าง
  • กองทัพภาคที่ 3
  • หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35
  • มณฑลทหารบกที่ 37
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • กระทรวงคมนาคม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

สามนายทหารเพื่อนร่วมรุ่นนำทัพ! ขุดลอกแม่น้ำรวก กอบกู้แม่สายจากอุทกภัย

สามนายทหารเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร รุ่น 26 ผนึกกำลังแก้วิกฤตน้ำท่วมเชียงราย: บทบาทนำสู่ความหวังของคนในพื้นที่

เชียงราย, 9 กรกฎาคม 2568 – ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายจากภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นซ้ำซากในหลายพื้นที่ การรวมพลังของสามนายทหารเพื่อนร่วมรุ่นจากโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 26 กลายเป็นแสงแห่งความหวังในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่คุกคามจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอแม่สายที่ได้รับผลกระทบหนักจากอุทกภัยในอดีต

เบื้องหลังวิกฤตที่ซ่อนเรื่องราว

นอกเหนือจากการเป็นเพื่อนร่วมรุ่นแล้ว การที่ พลตรี วรเทพ บุญญะ รองแม่ทัพภาคที่ 3 และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการก่อสร้าง กองทัพภาคที่ 3, พลโท สิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง, และ พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 มาร่วมมือกันในครั้งนี้ ยังสะท้อนถึงการตระหนักรู้ในความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างเป็นระบบ

เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในเดือนกันยายน 2567 ได้ทำลายอำเภอแม่สายอย่างรุนแรง ใช้เวลาถึง 2 เดือนในการทำความสะอาดและฟื้นฟูพื้นที่ ความเสียหายครั้งนั้นไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดเผยจุดอ่อนของระบบป้องกันน้ำท่วมที่มีอยู่

ภารกิจสำคัญของ “สามทหารเสือ”

การทำงานของนายทหารทั้งสามท่านนี้มีการแบ่งบทบาทหน้าที่ที่ชัดเจนและเสริมซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นจุดแข็งที่สำคัญในการขับเคลื่อนโครงการใหญ่ๆ ให้บรรลุเป้าหมาย

พลตรี วรเทพ บุญญะ ในฐานะรองแม่ทัพภาคที่ 3 ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานนโยบายระดับสูงและบูรณาการการทำงานในระดับภาค ท่านได้เน้นย้ำการปฏิบัติงานให้ได้มาตรฐานตามโครงการพัฒนาพื้นที่เพื่อป้องกันและลดผลกระทบภัยพิบัติ พร้อมทั้งมอบขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่

พลโท สิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง เป็นผู้นำทางด้านเทคนิคการก่อสร้างและควบคุมมาตรฐานการดำเนินงาน ท่านลงพื้นที่กำกับดูแลการปฏิบัติงานของกำลังพลกรมการทหารช่างอย่างใกล้ชิด และจัดลำดับความเร่งด่วนในการปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง

พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 มีบทบาทสำคัญในการประสานงานระดับพื้นที่ และการสนับสนุนกำลังพลและยุทโธปกรณ์อย่างเต็มกำลัง

ความคืบหน้าโครงการขุดลอกแม่น้ำรวกหัวใจสำคัญของการแก้ไขปัญหา

โครงการขุดลอกแม่น้ำรวกเป็นโครงการสำคัญที่สุดในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในอำเภอแม่สาย ซึ่งปัจจุบันมีความคืบหน้าที่น่าพอใจ ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 7 กรกฎาคม 2568 แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

  • งานขุดลอกแม่น้ำ: 96.23%
  • งานถากถางพื้นที่: 100%
  • ผลงานรวมทั้งหมด: 96.18%

โครงการนี้ครอบคลุมระยะทาง 14 กิโลเมตรภายใต้ความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 3 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการใหญ่ที่ขุดลอกแม่น้ำรวกทั้งหมด 32 กิโลเมตร โดยกรมการทหารช่างรับผิดชอบอีก 18 กิโลเมตรหลัง

ความสำคัญของโครงการนี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขความคืบหน้าเท่านั้น แต่ยังเป็นการอุดช่องว่างและแก้ไขจุดอ่อนที่เคยเป็นสาเหตุของอุทกภัยในอดีต การดำเนินการที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพนี้ แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทของกำลังพลที่ทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อให้โครงการแล้วเสร็จก่อนฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง

การเตรียมความพร้อมเชิงรุก MOU และการฝึกซ้อมครอบคลุม

การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น การเตรียมความพร้อมด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน

พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ได้นำทีมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ด้านความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกับ 7 หน่วยงานหลักในจังหวัดเชียงราย ซึ่งประกอบด้วย

  1. จังหวัดเชียงราย
  2. มณฑลทหารบกที่ 37
  3. ศูนย์เฝ้าระวังและตอบโต้ภัยพิบัติเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย
  4. มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  5. ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 15 เชียงราย
  6. องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

การลงนาม MOU นี้ไม่ใช่เพียงแค่การลงนามเป็นพิธีการ แต่เป็นการวางรากฐานสำคัญในการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ให้เป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีการจัดกำลังพลเข้าร่วมการฝึกซ้อมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (อุทกภัย) ระดับจังหวัด ระหว่างวันที่ 7-10 กรกฎาคม 2568 ซึ่งครอบคลุมการฝึกปฏิบัติระบบการแจ้งเตือน การกู้ภัยด้วยอากาศยาน การขับเรือยนต์ห้องแบน การใช้เครื่องสูบน้ำท่วมขัง การใช้เครื่องสูบน้ำระยะไกล และการใช้เครื่องจักรกลสำหรับช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย

ความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

สถานการณ์น้ำท่วมในเชียงรายไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่ทำให้ฝนตกหนักและมีความถี่มากขึ้น ข้อมูลจากการติดตามสถานการณ์ล่าสุดแสดงให้เห็นว่าระดับน้ำในแม่น้ำสายยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เช้าวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 และใกล้จะล้นตลิ่ง

การที่ทหารได้เข้าไปช่วยเหลือและสนับสนุนการสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการตอบสนองต่อภัยฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่หมู่บ้านเกาะทรายซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงสูง

ความสำคัญของความร่วมมือข้ามหน่วยงาน

การทำงานร่วมกันของนายทหารทั้งสามท่านนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการบูรณาการทำงานข้ามหน่วยงาน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนอย่างปัญหาน้ำท่วม การที่แต่ละคนมีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ และสามารถประสานงานกันได้อย่างราบรื่น เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงการต่างๆ ดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความสำเร็จของโครงการขุดลอกแม่น้ำรวกที่มีความคืบหน้าถึง 96.18% ในช่วงเวลาอันสั้น แสดงให้เห็นถึงพลังของการทำงานเป็นทีม และความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน

ผลกระทบต่อชุมชนและเศรษฐกิจท้องถิ่น

ปัญหาน้ำท่วมในอำเภอแม่สายไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่ต่อการดำรงชีวิตของประชาชนเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นที่พึ่งพาการท่องเที่ยวและการค้าขายชายแดนเป็นหลัก การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืนจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวและนักลงทุน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะยาว

การที่รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณเกือบ 2 หมื่นล้านบาทสำหรับการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง

มุมมองอนาคต ความยั่งยืนและการป้องกันเชิงรุก

การดำเนินการของนายทหารทั้งสามท่านนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการวางรากฐานสำหรับการจัดการภัยพิบัติในอนาคต การจัดตั้งเขตปลอดการก่อสร้างกว้าง 40 เมตรเพื่อขยายฝั่งแม่น้ำ และการรื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาตในเขตดังกล่าว เป็นมาตรการป้องกันเชิงรุกที่จะช่วยลดความเสี่ยงในอนาคต

แผนการฟื้นฟูที่แบ่งออกเป็นระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว แสดงให้เห็นถึงการมองการณ์ไกลและการวางแผนที่มีระบบ ซึ่งจะช่วยให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างยั่งยืน

พลังแห่งมิตรภาพเพื่อชาติและประชาชน

การรวมพลังของพลตรี วรเทพ บุญญะ, พลโท สิรภพ ศุภวานิช, และพลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การทำงานร่วมกันของเพื่อนร่วมรุ่น แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงพลังของความสามัคคีและความมุ่งมั่นที่จะใช้ความรู้ความสามารถเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชน

ความสำเร็จของโครงการขุดลอกแม่น้ำรวกที่มีความคืบหน้าเกือบ 100% และการเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ ที่ครอบคลุมและเป็นระบบ เป็นสิ่งที่สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในพื้นที่ในช่วงฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง

การทำงานของทหารทั้งสามท่านนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการที่กองทัพบกไทยสามารถปรับตัวและตอบสนองต่อภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ภัยทางการทหารเท่านั้น แต่รวมถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติและปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีความซับซ้อน

ในท้ายที่สุดแล้ว ความสามารถในการบูรณาการภารกิจทางทหารเข้ากับการบริการสาธารณะและการพัฒนาประเทศ เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยสร้างความไว้วางใจจากประชาชนและเสริมสร้างความเข้มแข็งของชาติโดยรวม การที่สามเพื่อนร่วมรุ่นจากเตรียมทหาร รุ่นที่ 26 สามารถมาทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญของชาติ เป็นเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจและความหวังให้กับทุกคนในสังคมไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย กันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อตั้งนครเชียงรายนิวส์
  • เรียบเรียงโดย มนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้ร่วมก่อตั้งนครเชียงรายนิวส์
  • ข้อมูลความคืบหน้าโครงการขุดลอกแม่น้ำรวก: กองทัพภาคที่ 3 (7 กรกฎาคม 2568)
  • ข้อมูลการลงนาม MOU และการฝึกซ้อม: มณฑลทหารบกที่ 37 (7 กรกฎาคม 2568)
  • Nation Thailand: “Mae Sai flooding: Military reinforces flood barriers” (24 May 2025)
  • Nation Thailand: “Residents evacuate as downpour causes flooding in Mae Sai” (24 May 2025)
  • Bangkok Post: “Stemming the floodwaters” (2 June 2025)
  • Chiang Rai Times: “Flood Warning Issues For Mae Sai Chiang Rai” (July 2025)
  • กองทัพภาคที่ 3: https://www.army3.mi.th/
  • กรมการทหารช่าง: https://www.engineer.rta.mi.th/
  • กองทัพบกไทย: https://www.rta.mi.th/
  • รายงานสถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดเชียงราย: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • ข้อมูลการฟื้นฟูพื้นที่น้ำท่วม: Nation Thailand (25 December 2024)
  • Dailynews: “กรมควบคุมมลพิษแนะแนวทางจัดการตะกอนดินจากการขุดลอกแม่น้ำ” (June 2025)
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายลุย! โครงการ “สัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัย” สกัดพิษสุนัขบ้าถวายพระปณิธาน

เชียงรายลุย! ปศุสัตว์เดินหน้า “สัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัย” ตามพระปณิธานกรมพระศรีสวางควัฒนฯ สกัดพิษสุนัขบ้าให้หมดสิ้น

เชียงราย, 9 กรกฎาคม 2568 – จังหวัดเชียงราย ร่วมเทิดพระเกียรติฯ พร้อมลงมือแก้ไขปัญหาโรคพิษสุนัขบ้าอย่างยั่งยืน เดินหน้าเต็มกำลังในการขับเคลื่อนโครงการ “สัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้า” เพื่อน้อมถวายพระปณิธานของ ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ที่ทรงห่วงใยสุขภาพของประชาชนและสัตว์เลี้ยง และทรงมีพระประสงค์อย่างแรงกล้าที่จะขจัด “โรคพิษสุนัขบ้า” ให้หมดไปจากแผ่นดินไทย

พิธีเปิดโครงการจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ หอประชุมเทศบาลตำบลจันจว้า อำเภอแม่จัน โดยมี นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยหน่วยงานภาครัฐ ท้องถิ่น และประชาชนจำนวนมากเข้าร่วม

โรคพิษสุนัขบ้าภัยเงียบที่ยังคร่าชีวิตได้ หากละเลย

แม้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยสามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้าลงได้มาก แต่ “โรคกลัวน้ำ” นี้ยังคงเป็นภัยเงียบที่สามารถคร่าชีวิตมนุษย์และสัตว์ได้อย่างรุนแรง และยังคงมีการแพร่ระบาดในบางพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ชนบทที่สัตว์เลี้ยงยังไม่ได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง

ด้วยพระเมตตาและวิสัยทัศน์ของ ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒนฯ ที่ทรงเน้นการป้องกันโรคก่อนเกิดภัย ภาครัฐจึงได้น้อมนำพระปณิธานมาสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

ปศุสัตว์เชียงรายเคลื่อนทัพบริการเชิงรุกถึงชุมชน

นำโดย นายอนุสรณ์ รัฐอนันต์พินิจ ปศุสัตว์จังหวัดเชียงราย พร้อมเจ้าหน้าที่และสัตวแพทย์ ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจิตอาสา ลงพื้นที่ให้บริการประชาชนแบบเชิงรุก ครอบคลุมกิจกรรมสำคัญ 3 ด้าน:

  1. บริการผ่าตัดทำหมันสัตว์เลี้ยง

เพื่อลดปัญหาการเพิ่มจำนวนของสุนัขและแมวจรจัด ซึ่งเป็นพาหะสำคัญในการแพร่กระจายเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า การทำหมันยังช่วยให้สัตว์มีสุขภาพดี และลดพฤติกรรมเสี่ยงในช่วงฤดูผสมพันธุ์

  1. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า

การฉีดวัคซีนอย่างครอบคลุมให้กับสุนัขและแมวในชุมชน ถือเป็นหัวใจของโครงการ โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงที่ยังพบการระบาดของโรค การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่จะเป็นเกราะป้องกันโรคที่มีประสิทธิภาพที่สุด

  1. ให้ความรู้และสร้างความเข้าใจแก่ประชาชน

เจ้าหน้าที่ได้ให้ความรู้เรื่องอาการของโรค กฎหมายเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง และการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเมื่อถูกสัตว์กัดหรือสัมผัสสัตว์ต้องสงสัย เพื่อส่งเสริมความรู้ที่ถูกต้องและยกระดับความตระหนักของสังคม

ชาวบ้านแห่ร่วมงานแน่น หวังให้สัตว์เลี้ยงได้รับวัคซีนครบ

ในวันเปิดโครงการ บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก ชาวบ้านจากหลายตำบลได้นำสุนัขและแมวมารับบริการฉีดวัคซีนและทำหมันอย่างต่อเนื่อง การตอบรับที่ดีแสดงถึงความพร้อมของประชาชนในการเป็นส่วนหนึ่งของการขจัดโรคนี้ให้หมดไปจากชุมชน

เป้าหมายใหญ่ของโครงการ”สัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัย” อย่างยั่งยืน

ภายใต้กรอบของยุทธศาสตร์แห่งชาติและพระปณิธานของพระองค์ โครงการนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อทำให้ ประเทศไทยปลอดโรคพิษสุนัขบ้าอย่างถาวร ภายในระยะเวลาอันใกล้ โดยอาศัยการมีส่วนร่วมจากประชาชนอย่างแท้จริง ดังนี้:

  • ส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์อย่างมีความรับผิดชอบ: ไม่ปล่อยปละละเลยหรือปล่อยสัตว์ออกนอกบ้านโดยไม่มีการดูแล
  • สร้างความรู้ในการเฝ้าระวัง: ชี้แจงสัญญาณของโรค วิธีปฏิบัติเมื่อพบสัตว์ป่วย หรือเมื่อถูกกัด
  • ขยายจุดบริการครอบคลุมทุกหมู่บ้าน: ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการฉีดวัคซีนและทำหมันได้ง่ายขึ้น
  • ลดจำนวนสัตว์จรจัด: เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อในที่สาธารณะ เช่น ตลาด วัด โรงเรียน

ปัจจัยสำเร็จของการแก้ไขปัญหา

จากการลงพื้นที่และติดตามการดำเนินงานพบว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงการนี้มีแนวโน้มประสบผลสำเร็จ ได้แก่:

  • การนำพระปณิธานมาสู่แผนปฏิบัติที่ชัดเจน: การเชื่อมโยงพระราชปณิธานกับแผนงานที่วัดผลได้
  • การบูรณาการหน่วยงานแบบไร้รอยต่อ: การทำงานร่วมกันของสำนักงานปศุสัตว์ องค์กรปกครองท้องถิ่น หน่วยสาธารณสุข และภาคประชาชน
  • การสื่อสารที่เข้าถึงง่าย: การใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายในการรณรงค์ และการเปิดพื้นที่รับฟังความคิดเห็นจากประชาชน
  • การสร้างแรงจูงใจในชุมชน: เช่น การแจกของรางวัลเล็กน้อย หรือประกาศเกียรติคุณแก่ชุมชนปลอดโรค

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายขยายผลสู่ระดับประเทศ

เพื่อให้โรคพิษสุนัขบ้าหมดไปจากประเทศไทยอย่างแท้จริง ข้อเสนอที่ควรพิจารณา ได้แก่:

  • ขยายการจัดโครงการ “สัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัย” ครอบคลุมทุกอำเภอ
  • เพิ่มงบประมาณสนับสนุนวัคซีนคุณภาพสูง
  • พัฒนาแอปพลิเคชันลงทะเบียนสัตว์เลี้ยงระดับชาติ
  • สนับสนุนการศึกษาวิจัยวัคซีนสายพันธุ์ใหม่ที่ตอบสนองไวรัสกลายพันธุ์
  • จัดให้มีวัน “สัตว์ปลอดโรคแห่งชาติ” เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมระดับชาติ

 

เมื่อพระปณิธานกลายเป็นพลังขับเคลื่อนเพื่อชีวิตที่ปลอดภัย

โครงการ “สัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้า” ไม่เพียงเป็นการเทิดพระเกียรติพระราชวงศ์ หากแต่เป็นการส่งต่อความห่วงใยสู่ประชาชนในระดับรากหญ้าอย่างแท้จริง เชียงรายอาจเป็นเพียงจังหวัดหนึ่ง แต่กำลังแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงระดับประเทศเริ่มต้นได้จากการร่วมมืออย่างจริงจังในระดับชุมชน

หากทุกจังหวัดนำแนวทางนี้ไปปรับใช้ ร่วมกับการขับเคลื่อนจากภาครัฐ ประชาชน และภาคส่วนต่างๆ เชื่อได้ว่า “โรคพิษสุนัขบ้า” ที่เคยเป็นฝันร้ายของคนไทยมาหลายทศวรรษ จะหมดไปจากแผ่นดินไทยได้ในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ข่าวประชาสัมพันธ์สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดเชียงราย
  • ข้อมูลโครงการสัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัย จากโรคพิษสุนัขบ้า
  • สำนักงานควบคุมโรคติดต่อ กรมปศุสัตว์
  • รายงานการประชุมขับเคลื่อนพระปณิธานฯ ปี 2567
  • ข้อมูลโรคพิษสุนัขบ้า จากองค์การอนามัยโลก (WHO)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เมืองแห่งชาและกาแฟ เชียงรายยกระดับกาแฟไทยสู่เวทีโลก สร้างมูลค่าพันล้าน

เชียงรายผงาด! ศูนย์กลางกาแฟโลก ผนึกกำลังรัฐ-เอกชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยั่งยืน

เชียงราย, 9 กรกฎาคม 2568 – เชียงรายก้าวสู่ผู้นำกาแฟระดับโลก ด้วยสายพันธุ์-แบรนด์-นวัตกรรมครบเครื่อง กำลังก้าวเข้าสู่บทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางกาแฟระดับโลก ด้วยความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ พันธุ์กาแฟอาราบิก้าคุณภาพสูง การส่งเสริมจากภาครัฐ และการเติบโตของธุรกิจเอกชน ตั้งแต่ฟาร์มปลูกกาแฟจนถึงแบรนด์ร้านกาแฟระดับประเทศ

การขับเคลื่อนเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ ด้วยแนวนโยบาย “เมืองแห่งชาและกาแฟ” ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2565 ส่งผลให้เชียงรายกลายเป็นโมเดลเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ผสานเกษตรกรรม การท่องเที่ยว และนวัตกรรมเข้าไว้ด้วยกันอย่างยั่งยืน

ตลาดกาแฟโตไม่หยุด “เชียงราย” ตัวแปรสำคัญขับเคลื่อนประเทศ

จากข้อมูลการวิเคราะห์ตลาดปี 2567-2568 พบว่าตลาดกาแฟไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มสูงถึง 3-5 เท่าของกาแฟทั่วไป และเชียงรายกลายเป็นจังหวัดที่ครองบทบาทสำคัญในห่วงโซ่การผลิตนี้

กาแฟ GI อย่าง “ดอยตุง” และ “ดอยช้าง” เป็นเครื่องการันตีคุณภาพระดับประเทศ สอดรับกับแบรนด์ใหม่ที่เติบโตเร็ว เช่น 1:2 Coffee ที่เน้น “คุณภาพดี ราคาจับต้องได้” และขยายสาขาทั่วประเทศกว่า 50 แห่ง กลายเป็นตัวแบบสำเร็จในการต่อยอดผลิตภัณฑ์จากท้องถิ่นสู่สเกลชาติ

เทศกาลกาแฟทั่วเชียงราย ยกระดับเมืองแห่งประสบการณ์กาแฟ

เชียงรายไม่ได้เป็นเพียงแหล่งผลิตกาแฟเท่านั้น แต่ยังสร้าง “ประสบการณ์” ให้กับนักท่องเที่ยวผ่านงานเทศกาลตลอดปี 2568 ดังนี้

  • Tea & Coffee Central CEI 25–29 มิ.ย. 2568 ณ เซ็นทรัล เชียงราย
  • Eastern Lanna Tea & Coffee 25–28 ก.ค. 2568
  • Brewtopia ไร่แม่ฟ้าหลวง 17–20 ส.ค. 2568
  • TEDxChiangRai 23 ส.ค. 2568 (เจาะลึกองค์ความรู้และนวัตกรรมกาแฟ)
  • CCL Coffee Journey by TCEB 26–28 ส.ค. 2568

ภายในงานมีการแข่งขัน Latte Art ชิงแชมป์บาริสต้ามือทอง เวิร์คช็อปคั่วบด การชิมกาแฟเชิงลึก (cupping) และกิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ ที่มีเป้าหมายกระตุ้นเศรษฐกิจภาคเหนือด้วยเม็ดเงินหมุนเวียนมากกว่า 700 ล้านบาทต่อปี

นวัตกรรม-วิจัย อาวุธลับสร้างความต่างสู่เวทีโลก

เชียงรายไม่เพียงแต่ผลิตกาแฟคุณภาพสูง หากแต่ยังลงทุนวิจัยอย่างต่อเนื่อง โดยกรมวิชาการเกษตรพัฒนาสายพันธุ์ “เชียงราย 1” และ “เชียงราย 2” ให้เหมาะกับภูเขาสูงโดยเฉพาะ

นอกจากนี้ยังมีการสร้างต้นแบบ “จมูกอิเล็กทรอนิกส์” ที่สามารถวิเคราะห์รสชาติเฉพาะของกาแฟแต่ละสายพันธุ์ และงานวิจัยลดปริมาณคาเฟอีนในกาแฟได้มากถึง 93.12% โดยไม่สูญเสียรสชาติ ถือเป็นการตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ

ภาครัฐรวมพลังทุกภาคส่วน ยกระดับเมืองกาแฟ

การยกระดับ “เชียงรายเมืองแห่งชาและกาแฟ” ไม่ได้เกิดขึ้นจากหน่วยงานเดียว แต่เกิดจากการผนึกกำลังของภาครัฐ ภาควิชาการ และชุมชน ได้แก่

  • จังหวัดเชียงราย ตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายตั้งแต่ปี 2565
  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สนับสนุนทุนวิจัยด้านกาแฟ
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และ ราชภัฏเชียงราย ร่วมจัดกิจกรรมการศึกษา สัมมนา และหลักสูตรกาแฟ
  • สมาคมกาแฟพิเศษไทย ช่วยประสานเครือข่ายระดับประเทศและต่างประเทศ

การสนับสนุนนี้ครอบคลุมตั้งแต่การรับรองมาตรฐาน (GMP, HACCP, GAP) ไปจนถึงการขยายพื้นที่ผลิตแบบ Organic Thailand ที่ช่วยผลักดันกาแฟเชียงรายสู่ตลาดพรีเมียมได้อย่างมั่นคง

ความท้าทายที่ต้องรับมือ โอกาสแฝงในวิกฤต

แม้เชียงรายจะมีศักยภาพมหาศาล แต่ก็ยังเผชิญกับหลายปัจจัยท้าทาย

  • สภาพภูมิอากาศแปรปรวน ทำให้ผลผลิตผันผวนและต้นทุนสูงขึ้น
  • การแข่งขันจากกาแฟนำเข้า ที่มีต้นทุนต่ำกว่าในบางตลาด
  • การรับรู้ในระดับโลก กาแฟไทยยังไม่เป็นที่รู้จักในบางภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นโอกาสใหม่ เช่น การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงกาแฟ ผสานไร่กาแฟกับฟาร์มสเตย์ โรงคั่ว และร้านกาแฟท้องถิ่นในรูปแบบ Coffee Trail ซึ่งไม่เพียงสร้างรายได้จากการขายเมล็ด แต่ยังเพิ่มรายได้ผ่านการท่องเที่ยวและการให้บริการประสบการณ์กาแฟโดยตรง

ข้อเสนอเชิงกลยุทธ์ สู่อนาคตกาแฟยั่งยืน

  1. เกษตรกรและผู้ผลิต
    • รวมกลุ่มในรูปแบบสหกรณ์หรือวิสาหกิจชุมชน
    • พัฒนาผลิตภัณฑ์กาแฟพิเศษที่มีมาตรฐาน
    • ใช้นวัตกรรมเพิ่มมูลค่า ลดต้นทุน และรักษาสิ่งแวดล้อม
  2. ผู้ประกอบการและธุรกิจ
    • สร้างแบรนด์ที่มีเรื่องราว
    • ขยายช่องทางออนไลน์และส่งออก
    • พัฒนาโมเดลธุรกิจที่เข้าถึงได้ง่ายและแตกต่าง
  3. ภาครัฐและนโยบาย
    • ขยายผลแผน “เมืองแห่งชาและกาแฟ” ให้เป็นนโยบายระดับชาติ
    • สนับสนุนทุนวิจัย แพลตฟอร์มประชาสัมพันธ์ และการเข้าถึงเงินทุน
    • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบขนส่ง บรรจุภัณฑ์ และลอจิสติกส์

เชียงรายไม่ใช่แค่แหล่งปลูกกาแฟ แต่คือเมืองแห่งอนาคต

เชียงรายกำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟไม่ใช่แค่เรื่องของการเกษตร แต่คือการออกแบบเศรษฐกิจอย่างชาญฉลาด ที่เชื่อมโยงผู้ผลิต นวัตกรรม วัฒนธรรม และการท่องเที่ยวเข้าด้วยกัน

หากเดินตามแนวทางอย่างต่อเนื่อง เชียงรายจะไม่ใช่แค่ “เมืองแห่งชาและกาแฟ” ของไทย แต่จะเป็นหนึ่งใน “จุดหมายกาแฟระดับโลก” ที่สร้างทั้งรายได้ ความยั่งยืน และความภาคภูมิใจให้กับคนในพื้นที่อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
  • กรมวิชาการเกษตร
  • สมาคมกาแฟพิเศษไทย
  • งานวิจัย “จมูกอิเล็กทรอนิกส์วิเคราะห์กาแฟ GI” ปี 2567
  • รายงานการตลาด Specialty Coffee ปี 2567 โดย TCEB และ Cluster Coffee Lab
  • บันทึกการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเมืองแห่งชาและกาแฟ จังหวัดเชียงราย (3 พ.ค. 2565)
  • CCL Chiangrai Coffee Lovers
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENTERTAINMENT

วิกฤตแม่น้ำกก สารหนูข้ามแดนคุกคามชีวิต “ปลาป่วย” สัญญาณเตือนภัยเงียบ!

วิกฤตแม่น้ำกก สารหนูข้ามแดนคุกคามชีวิต ปลากลายเป็นสัญญาณเตือน “ภัยเงียบ” ที่ไม่ควรมองข้าม!

เชียงราย,8 กรกฎาคม 2568  – ผลวิจัยล่าสุดจาก สกสว. และมหาวิทยาลัยนเรศวร ตอกย้ำข้อเท็จจริงสุดช็อก! แม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย กำลังเผชิญหน้ากับการปนเปื้อนสารหนูและโลหะหนักข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่ในประเทศพม่า สารพิษจากเหมืองแร่หายากและเหมืองทองคำกำลังรุกคืบเข้าสู่ระบบนิเวศอันเปราะบาง แม้สถานการณ์ปัจจุบันยังไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพมนุษย์ แต่ “ปลาป่วย” ได้ส่งสัญญาณเตือนภัยอันตรายที่ไม่อาจละเลย การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนต้องพุ่งเป้าไปที่ “ต้นตอ” ด้วยการเจรจาข้ามประเทศ พร้อมเร่งพัฒนาระบบเฝ้าระวังอัจฉริยะเพื่อปกป้องแม่น้ำกกและชีวิตของชาวบ้านในระยะยาว

กว่าสิบปีที่ผ่านมา ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนได้กลายเป็นประเด็นร้อนที่คุกคามทรัพยากรธรรมชาติและวิถีชีวิตของผู้คนในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามแนวชายแดนที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเข้มข้น ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้เปิดเผยผลการศึกษาที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับวงการสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุข นั่นคือการประเมินความเสี่ยงจากการปนเปื้อนโลหะและกึ่งโลหะใน แม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย ซึ่งผลวิจัยได้ชี้ชัดอย่างไม่น่าสงสัยว่า แม่น้ำสายสำคัญนี้กำลังรับพิษจากมลภาวะข้ามพรมแดนจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างสาหัส

เปิดหลักฐานเชิงประจักษ์ สารหนูจากพม่าเข้าสู่แม่น้ำกก

รายงานผลการศึกษาฉบับนี้ ได้ใช้เทคนิคนิติวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมผสานการมีส่วนร่วมของวิทยาศาสตร์พลเมือง เพื่อระบุ “แหล่งที่มา” ของการปนเปื้อนโลหะหนักในแม่น้ำกกอย่างแม่นยำ และผลลัพธ์ที่ได้นั้นเป็นเหมือนฟ้าผ่ากลางใจแม่น้ำ การวิเคราะห์ยืนยันว่า ร้อยละ 69.7 ของสารปนเปื้อนมาจากเหมืองแร่หายาก (Rare Earth) ในประเทศพม่า และอีก ร้อยละ 30.3 มาจากเหมืองทองคำ สารปนเปื้อนเหล่านี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในเขตแดนของประเทศต้นทาง แต่ได้ไหลหลั่งข้ามพรมแดนเข้ามาตามกระแสน้ำ และแม้จะมีการเจือจางไปบ้างตามระยะทาง แต่ปริมาณที่ตรวจพบก็เพียงพอที่จะสร้างความกังวลอย่างยิ่งต่อระบบนิเวศและสุขภาพของสิ่งมีชีวิตในพื้นที่

“การค้นพบนี้ไม่ใช่แค่เพียงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่เป็นเสียงสะท้อนจากธรรมชาติที่กำลังส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ” นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนเรศวรกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของผลการศึกษาชิ้นนี้

ปลาป่วย” สัญญาณเตือนภัยเชิงระบบนิเวศที่ไม่อาจมองข้าม

แม้ว่าในปัจจุบัน สถานการณ์การปนเปื้อนยังอยู่ในระดับที่นักวิจัยระบุว่า “ปลอดภัย” ต่อสุขภาพของมนุษย์ ทั้งจากการใช้น้ำบาดาลตื้น การบริโภคพืชผักที่เพาะปลูกริมฝั่งแม่น้ำ และการบริโภคปลาจากแม่น้ำกก แต่สิ่งที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญต้องขมวดคิ้วด้วยความกังวล คือการตรวจพบ สัญญาณเตือน” ที่น่าจับตาอย่างยิ่ง นั่นคือ ปลาในแม่น้ำกกมีอาการป่วยผิดปกติ

อาการป่วยของปลานี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลโดยตรงจากสารปนเปื้อนโลหะและกึ่งโลหะที่อยู่ในน้ำ สารพิษเหล่านี้ไม่ได้ฆ่าปลาโดยตรงในทันที แต่กลับค่อยๆ บ่อนทำลายภูมิคุ้มกันของปลา ทำให้ปลาอ่อนแอและติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เปรียบเสมือนปลาที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษจึงต้องต่อสู้กับโรคร้ายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนักวิจัยระบุว่านี่คือ ตัวชี้วัดความเสี่ยงเชิงระบบนิเวศ” ที่สำคัญอย่างยิ่ง และเป็นสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพราะหากปลาซึ่งเป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดสุขภาพของแม่น้ำได้รับผลกระทบหนักขึ้นเรื่อยๆ ย่อมหมายความว่าสถานการณ์กำลังเลวร้ายลง และอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อห่วงโซ่อาหารและมนุษย์ในอนาคตอันใกล้

เดินหน้าประเมินความเสี่ยงและหาทางออก

เพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลาย นักวิจัยกำลังเร่งจัดทำรายงานเพิ่มเติมอีก 2 ฉบับภายใน 1 เดือน และ 2 เดือนตามลำดับ ซึ่งจะประเมิน แบบจำลองการปนเปื้อน” ที่ครอบคลุมไปถึงการสะสมของสารหนูในน้ำใต้ดินตื้น และดินเกษตรกรรม เพื่อตอบคำถามสำคัญว่า “เมื่อไหร่ที่สารพิษเหล่านี้จะเริ่มกระทบต่อความปลอดภัยทางอาหาร?” ซึ่งเป็นคำถามที่รอคำตอบและจะเป็นข้อมูลสำคัญในการกำหนดมาตรการรับมือต่อไป หากแหล่งกำเนิดมลพิษยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีการแก้ไข

“ดับไฟที่ต้นลม” ด้วยการเจรจาข้ามพรมแดนและเทคโนโลยี AI

การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการที่ ต้นเหตุ” ของมลพิษ ไม่ใช่เพียงแค่การบรรเทาผลกระทบที่ปลายน้ำ ดังนั้น การเร่งเจรจากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศพม่า หรือแม้กระทั่งกับผู้ซื้อแร่ เพื่อ หยุดการปล่อยน้ำเสียจากเหมือง” จึงเป็นหัวใจสำคัญ หากไม่มีการดำเนินการใดๆ สถานการณ์ความเสี่ยงก็จะขยายตัวมากขึ้นในอนาคต สร้างความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้ต่อสิ่งแวดล้อมและชีวิตของผู้คน

ในขณะเดียวกัน สกสว. และมหาวิทยาลัยนเรศวร ไม่ได้หยุดอยู่แค่การวิเคราะห์ปัญหา แต่ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาโซลูชันเพื่อรับมือกับวิกฤตนี้ โดยกำลังพัฒนา ระบบเฝ้าระวังด้วยวิทยาศาสตร์พลเมืองเสริมด้วย AI” ระบบนี้จะใช้เซนเซอร์ที่สามารถตรวจวัดสารหนูได้อย่างแม่นยำกว่า 71% และที่สำคัญคือสามารถแจ้งเตือนล่วงหน้าแบบ 24 ชั่วโมง ผ่านระบบที่เชื่อมโยงกับหน่วยงานรัฐและจังหวัด คาดว่าจะเริ่มทดสอบใช้งานจริงภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า ซึ่งหากระบบนี้ใช้งานได้ผลจริง จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยได้อย่างรวดเร็ว ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลและตัดสินใจแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที

การผสานพลังเพื่ออนาคตของแม่น้ำกก

รายงานฉบับนี้จึงมีความสำคัญในหลายมิติ ไม่เพียงแต่สะท้อนสถานการณ์มลพิษข้ามพรมแดนด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน แต่ยังชี้แนะแนวทางการป้องกัน ฟื้นฟู และเตือนภัยล่วงหน้าด้วยนวัตกรรมที่ผสานพลังจากภาครัฐ นักวิจัย และประชาชนเข้าด้วยกัน เพื่อรับมือกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบและทันเวลา

เรื่องราวของแม่น้ำกกไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของมลพิษจากสารหนูและโลหะหนักเท่านั้น แต่มันเป็นอุทาหรณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการทำงานร่วมกันข้ามพรมแดน การนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการแก้ไขปัญหา และที่สำคัญที่สุดคือการตระหนักถึง “สัญญาณเตือน” จากธรรมชาติ เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของทุกคนให้ยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.)
  • มหาวิทยาลัยนเรศวร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สัญญาณอันตรายจากแม่กก สารหนูปนเปื้อน! รัฐ-ชุมชนผนึกกำลังกอบกู้สายน้ำ

เฝ้าระวังแม่กก” รัฐลุยแก้มลพิษน้ำ โลหะหนักเกินมาตรฐาน กระตุ้นชุมชนมีส่วนร่วม

สัญญาณอันตรายจากสายน้ำแม่กก จุดเริ่มต้นของปฏิบัติการเชิงรุก

เชียงราย, 9 กรกฎาคม 2568 – สายน้ำแม่กก ซึ่งเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงชีวิตของคนเชียงราย กำลังเผชิญกับภัยคุกคามเชิงสิ่งแวดล้อม เมื่อสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ตรวจพบสารโลหะหนักบางชนิดในแม่น้ำกกเกินค่ามาตรฐาน โดยเฉพาะสารหนู (Arsenic) ที่อาจสะสมในระบบนิเวศและส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว

ด้วยความตระหนักถึงอันตรายที่อาจตามมา สำนักงานสิ่งแวดล้อมฯ จึงจัดกิจกรรม “ออกหน่วยเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมในชุมชน” ณ เทศบาลตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย เพื่อลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำ วิเคราะห์สารปนเปื้อน และสื่อสารข้อมูลให้ประชาชนเข้าใจสถานการณ์อย่างถูกต้อง

จากความวิตกของประชาชน สู่การขับเคลื่อนโดยหน่วยงานรัฐ

การตรวจพบค่าปนเปื้อนสารโลหะหนักในแม่น้ำกก ไม่เพียงแต่ส่งแรงสั่นสะเทือนไปถึงหน่วยงานรัฐ หากแต่ยังสร้างความวิตกกังวลในวงกว้างของชาวบ้านที่อาศัยและพึ่งพาน้ำจากแม่น้ำสายนี้โดยตรง

โดยมี นายสุรศักดิ์ วณิชอนุกูล ผู้อำนวยการส่วนสิ่งแวดล้อม สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย และ นางสาวปิยนุช ทรวงคำ ผู้อำนวยการส่วนการจัดการคุณภาพน้ำ อากาศและเสียง สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 นำทีมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำ วิเคราะห์ผลแบบทันที และให้ความรู้กับประชาชน

ปฏิบัติการ 7 ครั้ง 5 อำเภอ เฝ้าระวังน้ำจากต้นทาง

กิจกรรมจะจัดขึ้นทั้งหมด 7 ครั้ง ครอบคลุม 5 อำเภอหลักของจังหวัดเชียงราย ได้แก่ เมืองเชียงราย เวียงชัย เวียงเชียงรุ้ง ดอยหลวง และแม่จัน

ภารกิจหลักคือการเก็บตัวอย่างน้ำจากหลากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำบริโภค น้ำประปา หรือน้ำในแม่น้ำสาขา เพื่อวิเคราะห์ค่ามาตรฐานในระดับทันที ณ จุดตรวจสอบ ซึ่งช่วยให้สามารถตอบสนองต่อความผิดปกติได้รวดเร็วและตรงจุด

ผลการวิเคราะห์เบื้องต้นพบว่า แหล่งน้ำอุปโภคบริโภคส่วนใหญ่ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่แม่น้ำกกยังคงต้องได้รับการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการตรวจพบสารโลหะหนักที่สามารถเป็นอันตรายต่อสุขภาพและระบบนิเวศโดยรวม

ไม่ใช่แค่ตรวจน้ำ แต่สร้างความรู้ สื่อสาร และฟังเสียงชุมชน

ในกิจกรรมยังมีการจัดนิทรรศการ สื่อความรู้ และเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงสาเหตุของปัญหา และตระหนักรู้ถึงอันตรายของสารปนเปื้อน พร้อมเรียนรู้วิธีการเฝ้าระวังในระดับชุมชน

เป้าหมายหลักคือการกระตุ้นให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์แหล่งน้ำ และรู้จักการสังเกตสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นในชุมชนของตน รวมถึงรายงานข้อมูลต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การมีส่วนร่วมของประชาชน คือกุญแจสำคัญในการสร้างระบบเฝ้าระวังที่ยั่งยืน เพราะชุมชนที่ตื่นรู้และพร้อมมีส่วนร่วม จะช่วยลดช่องว่างระหว่างประชาชนกับหน่วยงานรัฐ และเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้มากขึ้น

แผนป้องกันระยะยาว ระบบเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมเชิงพื้นที่

สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1 ยังมีแผนต่อเนื่องในการพัฒนาระบบเฝ้าระวังคุณภาพน้ำแบบเชิงพื้นที่ โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ชุมชน และภาควิชาการ เพื่อป้องกันปัญหามลพิษจากต้นทาง

นอกจากนี้ ผลการตรวจวิเคราะห์จะถูกรวบรวมเพื่อใช้ประกอบการวางแผนและกำหนดมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่จริง สำนักงานสิ่งแวดล้อมยืนยันว่าจะดำเนินการประเมินและสื่อสารข้อมูลอย่างโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

บทเรียนจากแม่กก จากวิกฤติสู่โอกาสของการพัฒนา

แม่น้ำกกในวันนี้อาจกำลังเผชิญกับภาวะปนเปื้อน แต่ปฏิบัติการเชิงรุกของหน่วยงานรัฐในครั้งนี้ นับเป็นก้าวแรกของการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมจากรากฐาน

หากชุมชนสามารถยืนหยัดและร่วมมือกับภาครัฐอย่างเข้มแข็ง ปัญหานี้จะไม่เพียงแต่ได้รับการแก้ไขเฉพาะหน้า แต่จะนำไปสู่การจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน

เชียงรายในอนาคตอาจไม่ใช่เพียงเมืองที่ลุ่มน้ำแม่กกหล่อเลี้ยงชีวิต แต่จะกลายเป็นต้นแบบของการปกป้องแม่น้ำด้วยพลังของประชาชนและความรู้ที่เข้าถึง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่)
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย
  • ข่าวประชาสัมพันธ์และสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ ณ เทศบาลตำบลแม่ยาว
  • รายงานวิเคราะห์คุณภาพน้ำประจำเดือนกรกฎาคม 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

“ปีทอง” หรือ “ปีร่วง”? ลำไยเชียงรายผลผลิตล้นตลาด ราคาดิ่ง 40 เท่า

ปีทองลำไยเชียงราย หรือวิกฤตราคาดิ่ง? ผลผลิตทะลุล้านตัน เกษตรกรเสี่ยงขาดทุน

เชียงราย,8 กรกฎาคม 2568 – ผลผลิตลำไยพุ่งทะลุเป้า เกษตรกรภาคเหนือเฝ้าระวังราคาดิ่ง ปี 2568 กลายเป็นปีที่ผลผลิตลำไยในภาคเหนือพุ่งสูงเกินคาด จากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) พบว่า ผลผลิตรวมสูงถึง 1.06 ล้านตัน เพิ่มขึ้นถึง 12% จากปีที่ผ่านมา แม้พื้นที่ยืนต้นลำไยจะลดลงเล็กน้อยจากการโค่นต้นเก่าเพื่อปลูกพืชอื่น แต่สภาพอากาศที่เอื้ออำนวยทำให้การออกดอก-ติดผลสมบูรณ์

ในเดือนสิงหาคม 2568 ซึ่งเป็นช่วงผลผลิตออกมากที่สุด คาดว่าจะมีลำไยทะลักเข้าสู่ตลาดกว่า 422,000 ตัน หรือราว 57% ของผลผลิตฤดูทั้งหมด นับเป็นช่วงเสี่ยงที่สุดของปี

สวนทางคุณภาพ-ราคา ลำไยเกรดต่ำเสี่ยงเหลือแค่ 1 บาท

ในขณะที่ลำไยเกรด AA+A ราคายังยืนได้ที่ 40 บาทต่อกิโลกรัม แต่ลำไยเกรด C กลับมีราคาต่ำจนน่าตกใจเพียง 1 บาทต่อกิโลกรัม ความต่างนี้มากถึง 40 เท่า ซึ่งสะท้อนถึงการจัดการคุณภาพที่ยังไม่ทั่วถึง

ปัญหาสำคัญคือเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่สามารถรักษาคุณภาพได้สม่ำเสมอ หรือไม่สามารถเก็บเกี่ยวแบบช่อสดได้ ทำให้ต้องขายแบบ “รูดร่วง” ที่มีราคาต่ำกว่า

เชียงรายผลผลิตมากแต่ความเสี่ยงสูง

จังหวัดเชียงรายมีพื้นที่ปลูกลำไยราว 167,000 ไร่ โดยเฉพาะอำเภอป่าแดดที่เป็นแหล่งใหญ่สุด แต่กว่า 30% ของพื้นที่เหล่านี้ถูกจัดว่าไม่เหมาะสมทางการเกษตร ส่งผลต่อคุณภาพผลผลิตโดยตรง

นอกจากนี้ ภัยแล้งยังเป็นปัญหาซ้ำซ้อน โดยเฉลี่ย 20-30% ของพื้นที่เพาะปลูกได้รับผลกระทบทุกปี ส่งผลต่อขนาดและคุณภาพของลำไยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สศก. เร่งบริหารจัดการ สกัดล้นตลาดเดือนสิงหาคม

เพื่อไม่ให้ลำไยทะลักตลาดในเดือนสิงหาคมจนราคาตก รัฐบาลจึงเร่งแผนกระจายสินค้าและส่งเสริมการแปรรูป ดังนี้:

  • สนับสนุนการแปรรูป เช่น ลำไยอบแห้ง น้ำลำไยเข้มข้น ลำไยกระป๋อง เพื่อลดผลผลิตสดในตลาด
  • ส่งเสริมช่องทางการจำหน่ายใหม่ เช่น Modern Trade, ตลาดออนไลน์ และไปรษณีย์ไทย
  • อุดหนุนค่าบริหารจัดการกิโลกรัมละ 3 บาท สำหรับกลุ่มเกษตรกรหรือสหกรณ์

การส่งออกยังคงพึ่งพาจีนเป็นหลักถึง 73.1% จึงต้องเร่งขยายตลาดใหม่อย่างอินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม เพื่อลดความเสี่ยงระยะยาว

สหกรณ์เชียงรายจุดแข็งที่ยังมีจุดเปราะ

แม้สหกรณ์หลายแห่งในเชียงราย เช่น สหกรณ์ลำไยเมืองเชียงราย และสหกรณ์ป่าแดด จะมีบทบาทเชิงรุกในการรับซื้อลำไยและกระจายผลผลิต แต่ในอดีตยังมีปัญหาความไม่โปร่งใส เช่น กรณีสหกรณ์ในอำเภอพานที่เคยถูกร้องเรียนเรื่องเงินค้ำประกันลำไยค้างจ่าย

การฟื้นฟูความเชื่อมั่นและธรรมาภิบาลจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากหวังให้สหกรณ์กลายเป็นกลไกหลักในการพยุงราคาลำไย

ความหวังใหม่ศูนย์เรียนรู้แม่สรวย เสริมโอกาสเกษตรกร

อำเภอแม่สรวยของเชียงรายกลายเป็นต้นแบบที่น่าจับตา ด้วยการพัฒนาการปลูกลำไยนอกฤดูที่ประสบผลสำเร็จ ได้รับการยกเป็นศูนย์เรียนรู้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ช่วยให้เกษตรกรสามารถกระจายเวลาเก็บเกี่ยว ลดความเสี่ยงจากการออกผลพร้อมกันในฤดู

อนาคตลำไยเชียงราย ต้องยืนอยู่บนฐานความยั่งยืน

ลำไยจะไม่เป็นเพียงพืชเศรษฐกิจที่อยู่รอดชั่วคราว หากแต่ต้องมีอนาคตที่ยั่งยืน ด้วยยุทธศาสตร์ชัดเจน:

  • เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุน
  • วิจัยสายพันธุ์ทนแล้งและให้ผลผลิตสม่ำเสมอ
  • สร้างระบบน้ำที่มั่นคงเพื่อรองรับภัยแล้ง
  • ส่งเสริมการรวมกลุ่มเกษตรกรและธรรมาภิบาลในสหกรณ์
  • กระตุ้นการบริโภคในประเทศและแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า

เชียงรายยังมีศักยภาพมหาศาลในฐานะแหล่งผลิตลำไยระดับประเทศ เพียงแค่ต้องวางรากฐานอย่างเป็นระบบเพื่อไม่ให้ “ปีทอง” กลายเป็น “ปีร่วง”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.)
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงพาณิชย์
  • กรมส่งเสริมการเกษตร
  • ข่าวประชาสัมพันธ์ 7-8 พฤษภาคม 2568
  • ข้อมูลจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแม่บ้านเกษตรกร อ.พาน จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News