Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

รฟท. หยุดสร้างรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ รับมือพายุ “วิภา” เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

พายุ “วิภา” ถล่มเหนือ! รฟท. สั่งหยุดงานโครงการรถไฟเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ ชั่วคราว “ผู้ว่าฯ วีริศ” ย้ำ “ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับแรก”

เชียงราย, 24 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์ภัยพิบัติจากพายุ “วิภา” โครงการรถไฟสายยุทธศาสตร์ต้องหยุดชะงัก พายุโซนร้อน “วิภา” ที่สร้างผลกระทบหนักต่อหลายจังหวัดในภาคเหนือในสัปดาห์นี้ มิได้ส่งผลกระทบเพียงประชาชนในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังสร้างแรงสะเทือนต่อโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศอย่างรถไฟทางคู่สายเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ ซึ่งเป็นโครงการยุทธศาสตร์ระดับชาติด้านโลจิสติกส์และการเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทย-จีน-ลาว

ภายใต้สถานการณ์ฝนตกหนักและสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟฯ ได้ประกาศสั่ง “หยุดหรือชะลอการดำเนินงานชั่วคราว” ในบางช่วงของโครงการ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของพนักงาน วิศวกร และโครงสร้างต่างๆ ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ซึ่งครอบคลุมงานสำคัญ อาทิ การยกชิ้นส่วนโครงสร้าง (Girder), การติดตั้งนั่งร้านในที่สูง, และงานระบบไฟฟ้าต่างๆ

มาตรการเข้มงวด! เฝ้าระวัง 24 ชม. ป้องกันอุบัติเหตุและช่วยเหลือประชาชน

นอกจากคำสั่งหยุดงานแล้ว รฟท. ยังจัดเจ้าหน้าที่ประจำจุดต่างๆ ในโครงการให้เฝ้าระวังสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งเตรียมอุปกรณ์และแผนตอบโต้เหตุฉุกเฉิน เพื่อเข้าแก้ไขทันทีหากเกิดสถานการณ์คับขัน นอกจากนี้ยังมอบหมายให้มีเจ้าหน้าที่คอยประสานงานและให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่โครงการและชุมชนโดยรอบอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ผลกระทบจากเหตุการณ์ธรรมชาติครั้งนี้ “น้อยที่สุด”

ผู้ว่าการรถไฟฯ ยังเน้นย้ำว่า รฟท. มีการประเมินสถานการณ์พายุและสภาพอากาศอย่างใกล้ชิดโดยอาศัยข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา เพื่อวางแผนการทำงานและปรับแผนก่อสร้างแบบวันต่อวัน หากสภาพอากาศเอื้ออำนวยจะสามารถ “กลับเข้าสู่ภาวะปกติ” และเดินหน้าก่อสร้างได้อย่างรวดเร็ว

ความปลอดภัยต้องมาก่อนทุกความก้าวหน้า”  โมเดลบริหารจัดการในยุคภัยธรรมชาติรุนแรง

การตัดสินใจของ รฟท. ในครั้งนี้สะท้อนปรัชญา “ความปลอดภัยต้องมาก่อนความก้าวหน้า” อย่างแท้จริง แม้จะส่งผลกระทบต่อไทม์ไลน์ของโครงการ ซึ่งมีเป้าหมายจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาคในอนาคต แต่การยึดมั่นในมาตรการป้องกันอุบัติเหตุและลดความเสี่ยงในสถานการณ์วิกฤตถือเป็นแนวทางที่ถูกต้องและได้รับการยอมรับในระดับสากล

ในช่วงที่สภาพภูมิอากาศผันผวนรุนแรงบ่อยครั้ง โครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ทั่วโลกต่างต้องปรับแผน “บริหารความเสี่ยงเชิงรุก” มากขึ้น ตัวอย่างเช่น รฟท. ที่สั่งหยุดงานทันทีในงานที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การยกโครงสร้างหนักและงานบนที่สูง เพื่อปกป้องชีวิตและสุขภาพของบุคลากร รวมถึงปกป้องโครงสร้างที่อยู่ระหว่างก่อสร้างไม่ให้ได้รับความเสียหายรุนแรง

นอกจากนี้ รฟท. ยังนำข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยามาใช้ในการตัดสินใจและวางแผนงานอย่างเป็นระบบ (Data-driven Decision Making) เพื่อให้แต่ละช่วงของโครงการมีความยืดหยุ่นและสามารถรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้อย่างทันท่วงที

ผลกระทบและความท้าทาย การชะลอโครงการและโอกาสสู่การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย

แม้มาตรการหยุดงานชั่วคราวจะทำให้เกิดความล่าช้าต่อแผนการก่อสร้างรถไฟสายเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ แต่ก็เป็นโอกาสสำคัญในการทบทวนและยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในโครงการขนาดใหญ่ของไทยในยุคสภาพภูมิอากาศรุนแรง การบริหารความเสี่ยงและการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติได้อย่างเป็นระบบจะเป็น “ต้นแบบใหม่” ให้กับโครงการเมกะโปรเจกต์ในอนาคต

ประเด็นวิเคราะห์สำคัญ

  • การสร้างสมดุลระหว่างความก้าวหน้าและความปลอดภัย: การตัดสินใจหยุดงานในจุดเสี่ยงโดยไม่คำนึงถึงกำหนดเวลาที่ต้องเร่งรัด แสดงให้เห็นถึงการให้คุณค่ากับชีวิตและสุขภาพคนงานมากกว่าตัวเลขเป้าหมาย
  • การบูรณาการข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ: ใช้ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาและเครือข่ายเตือนภัยมาเป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติงานประจำวัน
  • ความรับผิดชอบต่อชุมชน: การเตรียมแผนช่วยเหลือประชาชนรอบพื้นที่โครงการ สะท้อนจริยธรรมองค์กรและความโปร่งใสในการบริหาร

ความท้าทายที่ยังต้องจับตา

  • ผลกระทบต่อไทม์ไลน์: โครงการจะต้องเร่งฟื้นฟูการทำงานเมื่อสถานการณ์เอื้ออำนวย เพื่อให้กระทบกับกำหนดการน้อยที่สุด
  • ความยืดหยุ่นและแผนสำรอง: ในอนาคต การปรับปรุงระบบการทำงานให้มีความยืดหยุ่นสูง และมีแผนสำรองที่ชัดเจน จะเป็นสิ่งจำเป็นต่อโครงการขนาดใหญ่

มาตรการรับมือภัยธรรมชาติของ รฟท. ในสถานการณ์พายุ “วิภา” ครั้งนี้ คือบทพิสูจน์สำคัญของ “ภาวะผู้นำเชิงรุก” ที่คำนึงถึงสวัสดิภาพชีวิตและความปลอดภัยของทุกฝ่ายอย่างสูงสุด แม้ต้องแลกมาด้วยเวลาที่ล่าช้าลงบ้าง แต่ถือเป็นแนวทางที่ทุกโครงการขนาดใหญ่ควรนำไปปรับใช้ เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและปลอดภัยสำหรับประชาชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายรวมพลังต้าน “วิภา” อุทกภัยรุนแรงท้าทายความเข้มแข็งของชุมชน

เชียงรายรวมพลังต้านพายุ “วิภา” อุทกภัยรุนแรงท้าทายความเข้มแข็งของชุมชน

เชียงราย, 23 กรกฎาคม 2568 – เมื่อพายุโซนร้อน “วิภา” พัดถล่มจังหวัดเชียงรายตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มในพื้นที่ 8 อำเภอ 23 ตำบล 114 หมู่บ้าน ประชาชนกว่า 400 ครัวเรือนเผชิญวิกฤต บ้านเรือนจมน้ำ พื้นที่เกษตรเสียหาย และโครงสร้างพื้นฐานพังพินาศ ภาพของชาวบ้านที่ต้องทิ้งบ้านเรือนหนีน้ำป่าไหลหลากกลายเป็นสัญลักษณ์ของความท้าทายครั้งนี้ แต่ท่ามกลางความโกลาหล ความหวังยังคงปรากฏผ่านการตอบสนองอย่างรวดเร็วของผู้นำท้องถิ่นและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

อำเภอเทิง หัวใจของวิกฤตและการตอบสนอง

ที่อำเภอเทิง หมู่บ้านร่องขามป้อมและบ้านใหม่ ตำบลเวียง กลายเป็นจุดศูนย์กลางของความเสียหาย น้ำท่วมสูงเกิน 1 เมตร ทำให้บ้านเรือนกว่า 200 หลังคาเรือนจมอยู่ใต้มวลน้ำ ชาวบ้านกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุและผู้พิการ ต้องอพยพอย่างเร่งด่วนไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวที่จัดตั้งโดยองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เวียง นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัด เดินทางลงพื้นที่เพื่อให้กำลังใจและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

“ตอนเช้าน้ำสูงมาก แต่ตอนนี้เริ่มลดลงแล้ว ถ้าไม่มีฝนเพิ่ม คาดว่าสถานการณ์จะดีขึ้นในไม่ช้า” ผู้ว่าฯ ชรินทร์กล่าว ขณะตรวจเยี่ยมศูนย์พักพิงที่ให้ที่พัก อาหาร และสิ่งของจำเป็นแก่ผู้ประสบภัย 18 ราย ด้านนายเอนก ปันทะยม นายอำเภอเทิง รายงานว่า อุทกภัยกระทบ 7 ตำบล 22 หมู่บ้าน รวม 420 ครัวเรือน โดยน้ำป่าจากลำน้ำหงาวเป็นสาเหตุหลัก การแจ้งเตือนล่วงหน้า 3-5 วันช่วยให้ชาวบ้านเตรียมพร้อมย้ายข้าวของขึ้นที่สูง ลดความสูญเสียได้ส่วนหนึ่ง

ความช่วยเหลือในพื้นที่นี้ไม่ได้มาจากภาครัฐเท่านั้น นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ส่งทีมบรรเทาสาธารณภัย 30 นาย พร้อมเครื่องมือหนัก เข้าสนับสนุนการอพยพและฟื้นฟูพื้นที่ ร่วมกับทหารจากกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 17, โครงการชลประทานจังหวัด, มูลนิธิกู้ภัย และจิตอาสา การผนึกกำลังนี้แสดงให้เห็นถึงพลังของชุมชนที่รวมใจรับมือภัยพิบัติ

วงกว้างของความเสียหายจากพญาเม็งรายถึงเมืองเชียงราย

นอกจากอำเภอเทิง พื้นที่อื่นๆ ของเชียงรายก็เผชิญสถานการณ์ไม่ต่างกัน อำเภอพญาเม็งรายมีครัวเรือนได้รับผลกระทบถึง 7,000 ครัวเรือน โดยเฉพาะตำบลแม่เปาและตาดควัน น้ำป่าไหลหลากทำให้ถนนสายเม็งราย-แม่ต๋ำสัญจรได้เพียงช่องทางเดียว ในอำเภอเวียงแก่น คอสะพานใกล้วัดถ้ำผาแลขาดจากมวลน้ำ ส่วนอำเภอดอยหลวงต้องเร่งกำจัดสิ่งกีดขวางในลำน้ำบงเพื่อลดความเสี่ยงน้ำท่วมเพิ่ม

ในเขตอำเภอเมืองเชียงราย สถานการณ์ยิ่งน่ากังวล ตำบลดอยลานเผชิญน้ำป่าท่วมโรงเรียนและหมู่บ้าน ตำบลสันทรายมี 9 หมู่บ้านถูกน้ำท่วมขัง และตำบลนางแลมีน้ำล้นตลิ่งกระทบพื้นที่โรงพยาบาลและชุมชน การสัญจรในหลายพื้นที่ถูกตัดขาดจากดินสไลด์และน้ำท่วมถนน นายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย ระบุว่า ทีมงานกำลังเร่งแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะการฟื้นฟูเส้นทางที่ถูกตัดขาด

แม่น้ำลาวภัยเงียบที่รออยู่

เมื่อเวลา 19.00 น. ของวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ได้รับแจ้งเตือนจากโครงการวิจัยระบบการเตือนภัยฯ ว่า ระดับน้ำในแม่น้ำลาวที่สถานีวัด G10 เพิ่มขึ้น 10-15 เซนติเมตรต่อชั่วโมง และอาจล้นตลิ่งที่ระดับ 3.50 เมตรในเวลา 02.00 น. ของวันที่ 24 กรกฎาคม เจ้าหน้าที่เทศบาลเร่งติดตั้งบิ๊กแบ็กและยกระดับแนวกั้นน้ำบริเวณประตูน้ำลาวใกล้ชุมชนทุ่งพญาหมี เพื่อป้องกันน้ำไหลเข้าท่วมเขตเมือง

“เราต้องทำงานแข่งกับเวลา” นายวันชัยกล่าว “การแจ้งเตือนล่วงหน้าช่วยให้เราเตรียมพร้อมได้ทันท่วงที แต่ทุกคนต้องช่วยกันจับตาสถานการณ์” การเตรียมการเชิงรุกนี้สะท้อนถึงความพยายามของหน่วยงานท้องถิ่นในการลดผลกระทบจากภัยพิบัติที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น

ความท้าทายและพลังแห่งความสามัคคี

สถานการณ์อุทกภัยจากพายุ “วิภา” เป็นบททดสอบครั้งสำคัญของเชียงราย การตอบสนองอย่างรวดเร็วของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของกลไกการจัดการภัยพิบัติ การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดและนายก อบจ. การแจ้งเตือนล่วงหน้า และการบูรณาการกำลังจากทุกภาคส่วน ล้วนเป็นจุดแข็งที่ช่วยลดความสูญเสียและสร้างความมั่นใจให้ประชาชน

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงมีอยู่ การที่น้ำในแม่น้ำลาวอาจล้นตลิ่งในคืนนี้บ่งชี้ถึงความผันผวนของสถานการณ์ที่ต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง ความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนและสะพาน จะเป็นอุปสรรคสำคัญในการฟื้นฟูหลังน้ำลด และการเยียวยาครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบกว่า 400 ครัวเรือนใน 8 อำเภอ จำเป็นต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและเป็นธรรม

เมื่อมองไปข้างหน้า การฟื้นฟูเชียงรายจะต้องครอบคลุมทั้งการซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน การเยียวยาพื้นที่เกษตร และการสนับสนุนจิตใจของประชาชนที่สูญเสียทรัพย์สิน ความร่วมมือที่แข็งแกร่งในวันนี้เป็นสัญญาณว่าเชียงรายพร้อมเผชิญหน้ากับความท้าทาย และจะก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.เชียงราย)
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • โครงการวิจัยระบบการเตือนภัยล่วงหน้าภาคเหนือ
  • กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 17
  • หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35 สำนักงานพัฒนาภาค 3 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา
  • โครงการชลประทานจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงราย ขุนตาลเผชิญน้ำป่าถล่ม เร่งแจกกระสอบทราย-สำรวจความเสียหาย

ขุนตาล! น้ำป่าหลากท่วม 3 ตำบล นายอำเภอขุนตาลสั่งเฝ้าระวัง 24 ชม. เร่งแจกกระสอบทราย-สำรวจความเสียหายช่วยเหลือประชาชน

เชียงราย, 23 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์น้ำป่าไหลหลากในอำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย ทวีความรุนแรงอย่างรวดเร็ว หลังฝนตกหนักต่อเนื่องตลอดวันที่ 22 กรกฎาคม ส่งผลให้น้ำจากเทือกเขาและลำห้วยสายต่าง ๆ ไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่ชุมชนใน 3 ตำบล ได้แก่ ป่าตาล ต้า และยางฮอม สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนจำนวนมาก ขณะที่นายอดิเรก ไลไธสง นายอำเภอขุนตาล/ผู้อำนวยการศูนย์อำเภอ พร้อมด้วยทีมงานฝ่ายปกครอง และหน่วยงานท้องถิ่น ได้ลงพื้นที่ตั้งแต่ช่วงเช้า เพื่อให้กำลังใจ สำรวจสถานการณ์ และออกมาตรการป้องกัน-บรรเทาความเสียหายอย่างเร่งด่วน

น้ำป่าทะลักกลางดึก แจกกระสอบทรายสกัดน้ำ – สั่งเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง

น้ำป่าที่ไหลหลากลงจากภูเขา ได้ท่วมพื้นที่อยู่อาศัยในทั้ง 3 ตำบลของอำเภอขุนตาล ทำให้บ้านเรือนจำนวนหนึ่งต้องอพยพขึ้นที่สูง หลายครัวเรือนเสียหายทั้งทรัพย์สินและพืชผลการเกษตร นายอำเภอขุนตาลพร้อมทีมงานได้เร่งแจกจ่ายกระสอบทรายเพื่อสกัดน้ำเข้าสู่บ้านเรือน ประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด สั่งการให้กำนันและผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่บ้าน รายงานสถานการณ์ทุกชั่วโมงและเตรียมความพร้อมเฝ้าระวังน้ำป่า 24 ชั่วโมง

เบื้องต้น ฝ่ายความมั่นคงและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ลงพื้นที่สำรวจจำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อวางแผนช่วยเหลือและเยียวยาโดยเร็วที่สุด ขณะเดียวกันก็มีการเร่งซ่อมแซมเส้นทางที่ได้รับความเสียหาย เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและการขนส่ง

ขุนตาลเมืองศักยภาพสูงแต่เปราะบางต่อภัยน้ำท่วม

อำเภอขุนตาล ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเชียงราย ห่างตัวเมืองเพียง 62 กิโลเมตร มีประชากรประมาณ 31,000 คน (ข้อมูลปี 2564) เป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ-สังคมของภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชื่อมโยงภูมิภาคกับลาวและจีน พื้นที่นี้โดดเด่นด้วยเทือกเขาสูง อย่างดอยพญาพิภักดิ์ และมีแม่น้ำอิงเป็นเส้นเลือดหลักของการเกษตรและชุมชน

เศรษฐกิจหลักของอำเภอขุนตาลคือภาคเกษตรกรรม เช่น ข้าวเหนียว ข้าวโพด ชา กาแฟ ผลไม้เมืองหนาว ฯลฯ ขณะที่ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ เช่น กลุ่มชาวม้ง บ้านพญาพิภักดิ์ ตำบลยางฮอม สะท้อนถึงมิติทางวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง และโอกาสพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงชุมชนเชิงอนุรักษ์

อย่างไรก็ตาม อำเภอขุนตาลยังคงเปราะบางต่อปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก โดยเฉพาะในฤดูฝน เมื่อฝนตกหนักระดับน้ำในแม่น้ำอิงและลำห้วยสายต่าง ๆ จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและมักเกิดน้ำป่าไหลหลาก แม้จะมีการปรับปรุงถนนสายหลักเช่น ทางหลวง 1421 และ 1020 และแผนพัฒนาระบบโลจิสติกส์เพื่อเสริมศักยภาพการค้า แต่การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบยั่งยืนและระบบเตือนภัยล่วงหน้ายังคงเป็นประเด็นสำคัญ

ขุนตาล…บทเรียนการพัฒนาเมืองเปราะบาง

เหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากในครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจถึงความสำคัญของการพัฒนาเมืองอย่างสมดุลและคำนึงถึงความเปราะบางทางสิ่งแวดล้อม แม้อำเภอขุนตาลจะมีศักยภาพสูงในเชิงเศรษฐกิจ เกษตรกรรม และการท่องเที่ยว หากแต่การเติบโตอย่างยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่มีประสิทธิภาพ การวางผังเมือง การใช้ที่ดินอย่างสมดุลระหว่างเกษตร อนุรักษ์ป่า และพื้นที่ชุมชน ตลอดจนการมีส่วนร่วมของชุมชนชาติพันธุ์อย่างเท่าเทียม

  1. โครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์
    การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะถนนสายหลักและโครงข่ายเชื่อมโยงกับเพื่อนบ้าน เป็นโอกาสสำคัญในการขยายเศรษฐกิจและการค้า แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องควบคู่กับการบริหารความเสี่ยงด้านภัยธรรมชาติ
  2. เกษตรกรรมและการแปรรูป
    ภาคเกษตรยังเป็นหัวใจหลักของชุมชน การเพิ่มมูลค่าโดยการแปรรูปและพัฒนาอุตสาหกรรมท้องถิ่น จะช่วยกระจายรายได้และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
  3. การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ
    อำเภอขุนตาลมีศักยภาพการท่องเที่ยวสูง ทั้งวัดวาอาราม ประวัติศาสตร์ และธรรมชาติ การพัฒนาเชิงกลยุทธ์โดยเน้นการสร้างอัตลักษณ์และการมีส่วนร่วมของชุมชน จะช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงดูดนักท่องเที่ยว
  4. การบริหารจัดการน้ำและภัยพิบัติ
    การตอบสนองฉับไวของนายอำเภอขุนตาลในการแจกกระสอบทราย สำรวจความเสียหาย และสั่งการเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง เป็นตัวอย่างของการบริหารจัดการในภาวะวิกฤต แต่สิ่งที่จำเป็นในระยะยาวคือการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ ระบบเตือนภัยล่วงหน้า และการวางแผนบูรณาการที่ครอบคลุมทั้งระดับอำเภอและภูมิภาค

ข้อเสนอแนะสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

  • สร้างระบบเตือนภัยและบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ ให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้านและตำบล
  • ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของกลุ่มชาติพันธุ์ ในกระบวนการตัดสินใจและรับประโยชน์จากการพัฒนาอย่างเท่าเทียม
  • พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และการเกษตรแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าในชุมชน
  • ใช้ข้อมูลภูมิศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ ในการวางแผนการใช้ที่ดินและเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ

เหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากในอำเภอขุนตาลครั้งนี้ สะท้อนทั้งความเปราะบางและศักยภาพของพื้นที่ในเวลาเดียวกัน การตอบสนองของนายอำเภอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแม้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น แต่การพัฒนาที่ยั่งยืนของขุนตาลต้องอาศัยการวางแผนระยะยาวที่บูรณาการทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานสถานการณ์อุทกภัย อำเภอขุนตาล วันที่ 23 กรกฎาคม 2568 (อำเภอขุนตาล)
  • กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
  • โครงการชลประทานเชียงราย
  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • กรมทางหลวง
  • เว็บไซต์ข่าวท้องถิ่นและบทความวิชาการที่เกี่ยวข้อง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

“วิภา” ถล่ม 8 อำเภอ 114 หมู่บ้าน “ภูมิธรรม-ธีรรัตน์” ย้ำเตือนภัยล่วงหน้าสูงสุดรับมือ

เชียงรายอ่วม! พายุ “วิภา” ถล่ม 8 อำเภอ 114 หมู่บ้าน “ภูมิธรรม-ธีรรัตน์” สั่ง War Room ชาติ เน้น “แจ้งเตือนภัยล่วงหน้า” สำคัญสูงสุด

เชียงราย, 23 กรกฎาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายเผชิญวิกฤตอุทกภัยและดินถล่มครั้งใหญ่ หลังได้รับอิทธิพลจากพายุโซนร้อน “วิภา” ที่พาดผ่านภาคเหนือ ส่งผลให้ฝนตกหนักต่อเนื่องนับแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2568 จนถึงปัจจุบัน มีประชาชนได้รับผลกระทบแล้วกว่า 400 ครัวเรือน ครอบคลุม 8 อำเภอ 23 ตำบล 114 หมู่บ้าน โรงเรียน 2 แห่ง ถนน 3 สายได้รับความเสียหาย ขณะที่หน่วยงานภาครัฐเร่งสำรวจความเสียหายเพิ่มเติม โดยล่าสุดยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ

 

ภัยธรรมชาติถล่มหนัก ฝนไม่หยุด-น้ำท่วมซ้ำซากในหลายอำเภอ

กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงรายรายงานสถานการณ์ล่าสุด (23 ก.ค. 68 เวลา 12.00 น.) พบว่าปริมาณฝนสะสมในรอบ 24 ชั่วโมงยังสูงในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในอำเภอเวียงแก่น เทิง พญาเม็งราย ขุนตาล ป่าแดด เวียงชัย แม่สรวย เมือง เวียงเชียงรุ้ง เชียงของ พาน ดอยหลวง เวียงป่าเป้า แม่สาย แม่จัน เชียงแสน แม่ลาว และแม่ฟ้าหลวง ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มในบางจุด ประชาชนจำนวนมากต้องอพยพขึ้นที่สูง ขณะที่ทางหลวงและถนนสายรองบางสายถูกตัดขาดหรือเสียหาย ชาวบ้านขาดแคลนไฟฟ้า น้ำสะอาด และเครื่องยังชีพ

แม้พายุ “วิภา” จะอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ กรมอุตุนิยมวิทยายังคงแจ้งเตือนว่าจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะโซนตะวันตกของภาคเหนือ (แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน ตาก) รวมถึงเชียงราย พะเยา น่าน ปริมาณน้ำฝนสะสมยังสูงมาก เช่น อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน วัดได้ 291.6 มม., อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา 264 มม., อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย 185 มม.

แนวโน้มสถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง มีโอกาสเกิดน้ำป่าไหลหลากและดินถล่มซ้ำอีกใน 24 ชั่วโมงข้างหน้า หน่วยงานในพื้นที่ต้องเตรียมกำลังพล เครื่องมือ ยุทโธปกรณ์ และระบบแจ้งเตือนเพื่อรองรับเหตุฉุกเฉินอย่างเต็มที่

 

ศูนย์บัญชาการ War Room ชาติ “แจ้งเตือนล่วงหน้า” คือหัวใจ

เวลา 09.30 น. 23 กรกฎาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) เป็นประธานประชุม War Room ชาติ ณ กระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยฯ และผู้บริหารส่วนกลาง ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด 30 จังหวัดภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์

นายภูมิธรรม เน้นย้ำว่า “การแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าเป็นเรื่องจำเป็นสูงสุด” โดยเฉพาะการนำระบบ Cell Broadcast มาใช้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย เพื่อให้มีเวลาตั้งรับ อพยพ และเตรียมการป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ขอให้ทุกจังหวัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ 24 ชั่วโมง จัดเตรียมกำลังคน เครื่องมือ และเครื่องจักรกลสำหรับพื้นที่เสี่ยง พร้อมขอบคุณทุกหน่วยงานที่ร่วมบูรณาการกันเต็มที่ ภารกิจการป้องกันภัยต้องมาก่อนเยียวยา แต่การเยียวยาก็จำเป็นเพื่อฟื้นขวัญประชาชน” นายภูมิธรรมกล่าว

น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เสริมว่า การสื่อสารสร้างความเข้าใจและแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่จริงอย่างทันท่วงที คือกุญแจสำคัญในการป้องกันความตื่นตระหนก พร้อมมอบ 6 แนวทางสำคัญ เช่น การเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงภัย การจัดตั้งโรงครัวคุณภาพสูง เยียวยาผู้ประสบภัย การดูแลจุดเสี่ยงอันตรายจากไฟฟ้า และการสำรวจรายงานความเสียหายอย่างโปร่งใส

 

กรมป้องกันฯ พร้อมเต็มพิกัด – “เครื่องมือ/ยุทโธปกรณ์-คน” เข้าพื้นที่ทันที

นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เผยว่า กรม ปภ. ได้ตั้ง War Room ประสานการช่วยเหลือกับทุกหน่วยงานทั้งส่วนกลางและท้องถิ่น พร้อมแจ้งเตือนล่วงหน้าทาง Cell Broadcast แล้ว 24 ครั้ง (เตือนอุทกภัย 15 ครั้ง เตือนดินโคลนถล่ม 9 ครั้ง) นอกจากนี้ยังระดมเครื่องจักรกลสาธารณภัยเข้าสู่ภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดพิษณุโลกเป็นจุดรวมพล พร้อมเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ เรือท้องแบน อากาศยาน เฮลิคอปเตอร์ KA-32 ที่พร้อมขึ้นบินทุกเวลาในจุดที่เข้าถึงยาก

“ภารกิจแรกคือต้องปกป้องชีวิตประชาชน หลังจากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการเยียวยาและฟื้นฟู เราเตรียมความพร้อมทั้งคนและเครื่องมืออย่างเต็มที่ ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงรับฟังคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด” อธิบดี ปภ. กล่าว

 

วิภา” อ่อนกำลัง แต่ “ร่องมรสุม” ยังเฝ้าระวัง

นายสมควร ต้นจาน จากกรมอุตุนิยมวิทยา ระบุว่า พายุโซนร้อน “วิภา” ได้อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำเหนือประเทศลาวและน่าน แต่พื้นที่ภาคเหนือยังต้องเฝ้าระวังฝนตกหนัก โดยเฉพาะร่องมรสุมและความกดอากาศต่ำจากฟิลิปปินส์ที่อาจพัฒนาเป็นพายุลูกใหม่ แม้พายุจะสลายตัวแต่ฝนตกต่อเนื่องก็ยังคงก่อให้เกิดปัญหาน้ำป่าไหลหลากและดินถล่มซ้ำ

 

เชียงราย – บทเรียน “รวมศูนย์-เชิงรุก” จัดการภัยพิบัติ

เหตุการณ์น้ำท่วม-ดินถล่มครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนชัดเจนว่าภาคเหนือ โดยเฉพาะเชียงรายมีความเปราะบางสูงต่อภัยธรรมชาติ ประเด็นที่น่าสนใจและควรขยายผลต่อเนื่อง ได้แก่

  • การรวมศูนย์บัญชาการและตอบสนองรวดเร็ว: War Room ส่วนกลางและท้องถิ่น พร้อมระบบสื่อสารฉุกเฉิน Cell Broadcast เป็นเครื่องมือสำคัญในการสั่งการและแจ้งเตือนประชาชนล่วงหน้า
  • การบูรณาการทรัพยากร: ภาครัฐทุกหน่วยระดมเครื่องมือ กำลังคน และเทคโนโลยีทันทีเมื่อเกิดเหตุ แสดงถึงศักยภาพของกลไกการจัดการภัยพิบัติไทยที่พัฒนาไปไกล
  • การสื่อสารอย่างเข้าใจง่าย: เน้นย้ำการแจ้งเตือนที่ชัดเจน ลดความตื่นตระหนก และสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนเชื่อฟังเจ้าหน้าที่

ประเด็นรอง

  • การสำรวจความเสียหาย-เยียวยา: ต้องทำให้ครอบคลุมและรวดเร็ว เพื่อฟื้นขวัญประชาชน
  • สภาพภูมิประเทศที่ท้าทาย: เชียงรายเป็นภูเขาสูง ชายแดน น้ำไหลแรง ตะกอนสูง ต้องวางแผนระยะยาวในการขุดลอก พร่องน้ำ และสร้างระบบเตือนภัยที่แม่นยำ
  • บริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน: การตอบสนองระยะสั้นต้องควบคู่กับแผนบริหารน้ำระยะยาว เพื่อป้องกันวิกฤตซ้ำซากในอนาคต

เหตุการณ์ครั้งนี้จึงเป็นทั้งบทเรียนและจุดเริ่มต้นของการยกระดับการบริหารจัดการภัยพิบัติแบบรวมศูนย์และเชิงรุก เพื่อคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • กระทรวงมหาดไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงราย-ม.ราชภัฏ-ครูบาอริยชาติผนึก! “เพชรล้านนา” มอบทุน 1.7 ล้าน ปั้นพลเมืองคุณภาพ

 “เพชรล้านนา 2568” กลับมาอย่างยิ่งใหญ่! ครูบาอริยชาติ เทศบาลนครเชียงราย และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ผนึกกำลังเฟ้นหา “คนดี-คนเก่ง” มอบทุนการศึกษากว่า 1.7 ล้านบาท จุดไฟความหวังให้เยาวชนภาคเหนือ

เชียงราย, 21 กรกฎาคม 2568 – หลังหยุดชะงักจากวิกฤตโควิด-19 และเหตุการณ์ไฟไหม้วัดแสงแก้วโพธิญาณที่สร้างความสูญเสียต่อศรัทธาชาวพุทธในพื้นที่ โครงการ “เพชรล้านนา” กลับมาอีกครั้งในปี 2568 อย่างทรงพลัง โดยได้รับการขับเคลื่อนจากความร่วมมือระหว่าง พระภาวนารัตนญาณ วิ. (ครูบาอริยชาติ อริยจิตฺโต) เจ้าอาวาสวัดแสงแก้วโพธิญาณ จังหวัดเชียงราย, นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศรชัย มุ่งไธสง อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

พิธีแถลงข่าวเปิดตัวโครงการและลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสามหน่วยงานหลักจัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมเทศบาลนครเชียงราย ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นและความคาดหวังจากผู้แทนเครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคการศึกษา ศาสนา ผู้ปกครอง ตลอดจนสื่อมวลชนและเยาวชนใน 8 จังหวัดภาคเหนือ

จุดยืน “เพชรล้านนา” สร้างคนดีควบคู่คนเก่ง สู่การพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน

รองศาสตราจารย์ ดร.ศรชัย มุ่งไธสง กล่าวย้ำถึงเป้าหมายสูงสุดของโครงการว่า “มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายดำเนินงานโครงการเพชรล้านนาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2560 ด้วยความเมตตาของครูบาอริยชาติและการสนับสนุนจากเทศบาลนครเชียงราย โดยเราเน้นการคัดเลือกเยาวชนที่มีความประพฤติดี มีจิตอาสา เป็นแบบอย่างแก่สังคม พร้อมกับความเป็นเลิศทางวิชาการ เพื่อหล่อหลอม ‘คนดี คนเก่ง’ ที่พร้อมจะเติบโตเป็นพลเมืองคุณภาพของท้องถิ่นและประเทศ”

ความท้าทายในการคัดเลือก “เพชรล้านนา” จึงไม่ใช่เพียงการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา แต่ยังต้องค้นหาเยาวชนที่มีหัวใจงดงาม รู้จักเสียสละ มีจิตสาธารณะ และสามารถนำความรู้กลับไปพัฒนาชุมชน สอดคล้องกับแนวทาง “บ่มเพาะคุณธรรม-ปัญญา” ของครูบาอริยชาติ และหลักคิด “พัฒนาคน พัฒนาชาติ” ที่ยังยืนหยัดในทุกบริบทสังคมยุคใหม่

เทศบาลนครเชียงราย ขยายโอกาส-ลดเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวเสริมว่า เทศบาลมุ่งมั่นที่จะสร้างเชียงรายให้เป็น “นครแห่งการศึกษา” ผ่านการผนึกเครือข่ายกับสถาบันการศึกษาท้องถิ่นและครูบาอริยชาติในการกระจายโอกาสทางการศึกษาให้ทั่วถึง “เมื่อครูบาอริยชาติริเริ่มโครงการเพชรล้านนา เทศบาลฯ จึงพร้อมผลักดันให้ขยายสู่ 8 จังหวัดภาคเหนือ เพราะเราเชื่อว่าการสร้าง ‘คนดี’ ที่พร้อมทั้งจริยธรรมและความรู้ จะเป็นรากฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมทั้งมอบทุนการศึกษาฟรีตลอดหลักสูตรระดับอุดมศึกษา จัดสร้างหอพักนักเรียนที่ได้มาตรฐาน และพัฒนาสวัสดิการรองรับ”

เทศบาลนครเชียงรายยืนยันจะขยายเครือข่ายและแรงสนับสนุนไปสู่ 16 จังหวัดภาคเหนือในอนาคต ด้วยเป้าหมายลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและสร้างสังคมแห่งโอกาสอย่างแท้จริง

กลไกคัดเลือก “โปร่งใส-รอบด้าน” กว่า 272 ทุน รวม 1.7 ล้านบาท

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ยิ่งศักดิ์ เพชรนิล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เปิดเผยว่า โครงการเพชรล้านนา 2568 เปิดรับสมัครเยาวชนใน 8 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย, เชียงใหม่, ลำปาง, ลำพูน, พะเยา, แพร่, น่าน, และแม่ฮ่องสอน แบ่งกลุ่มเป้าหมายเป็นระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย คัดเลือกเข้มข้น 3 รอบ ได้แก่

  1. รอบคัดเลือกเบื้องต้น: โรงเรียนเสนอรายชื่อเยาวชนที่มีศักยภาพ ทั้งด้านวิชาการและคุณธรรม กลุ่มสาระละไม่เกิน 5 คน
  2. รอบทดสอบความรู้: มหาวิทยาลัยร่วมกับเทศบาลฯ จัดสอบวัดผลวิชาการ (คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ พระพุทธศาสนา ศาสตร์ไทย และในระดับมัธยมปลายเพิ่ม ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา)
  3. รอบพิจารณาความเหมาะสม: คณะกรรมการคัดเลือกตามคุณสมบัติครบถ้วน

รวมรางวัลทุนการศึกษาทั้งสิ้น 272 รางวัล มูลค่ารวมกว่า 1,785,000 บาท แบ่งเป็นรางวัล “เพชรล้านนา” 136 รางวัล (ทั้งประเภทชนะเลิศ รองชนะเลิศ และชมเชย) และรางวัลเพชรล้านนาระดับจังหวัดอีก 136 รางวัล

โดยรับสมัครถึง 30 กันยายน 2568 เชิญชวนผู้บริหารโรงเรียน และภาคีเครือข่ายร่วมกันส่งเสริมเยาวชนสมัครเข้าร่วมคัดเลือก เพื่อสืบสานเจตนารมณ์ “ครูบาอริยชาติ” ในการกระจายโอกาสอย่างเท่าเทียม

 “เพชรล้านนา” โมเดลต้นแบบ สร้างชาติด้วย “คนดี-คนเก่ง”

โครงการเพชรล้านนา 2568 เป็นกรณีศึกษาชั้นดีของการผนึกกำลังทุกภาคส่วนในการพัฒนาเยาวชน โดยเฉพาะการบูรณาการบทบาทของศาสนา การศึกษา และท้องถิ่น จุดเด่นที่สำคัญคือ

  • เน้นคุณธรรมควบคู่วิชาการ: ให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะจิตอาสา ความรับผิดชอบ และแบบอย่างที่ดี โดยไม่มองข้ามความเก่งเชิงวิชาการ
  • ขยายเครือข่ายสู่ภูมิภาค: การประสานมหาวิทยาลัยราชภัฏหลายแห่งและเทศบาลนครใน 8 จังหวัด สะท้อนพลังร่วมที่ยั่งยืน
  • สนับสนุนต่อเนื่องจากพระศาสนา: ครูบาอริยชาติอุทิศทุนกว่า 1.7 ล้านบาท เป็นพลังใจให้สังคมมุ่งมั่นสืบทอดโครงการ
  • กลไกคัดเลือกโปร่งใส: พิจารณารอบด้าน ไม่ยึดติดแค่ผลการเรียน แต่ดูที่ศักยภาพและความเหมาะสมจริง

ความท้าทาย อยู่ที่การประชาสัมพันธ์ให้เข้าถึงเยาวชนชนบทห่างไกล และการติดตามผลความก้าวหน้าของเด็กทุนหลังรับรางวัลแล้ว เพื่อประเมินความสำเร็จและต่อยอดการสนับสนุนในอนาคต

โครงการเพชรล้านนา 2568 จึงมิใช่เพียงการมอบทุน แต่เป็นกลไกสร้าง “พลเมืองคุณภาพ” ที่มีทั้งคุณธรรมและปัญญา เป็นแรงบันดาลใจแก่ท้องถิ่นและประเทศชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • วัดแสงแก้วโพธิญาณ
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

สทนช. ลุยเชียงราย! ปูพรมข้อมูล วางแผนปฏิบัติการเชิงรุก รับมือพายุ “วิภา”

เลขาฯ สทนช. นำทัพ “ระดม-ประเมิน-ยกระดับ” บริหารจัดการน้ำรับมือพายุ “วิภา” ปูพรมข้อมูล-เดินหน้าแผนปฏิบัติการเชิงรุก

เชียงราย, 20 กรกฎาคม 2568  ท่ามกลางความผันผวนของสภาพอากาศและอิทธิพลจากพายุโซนร้อน “วิภา” ที่อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยในฤดูฝนปีนี้ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) โดย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสทนช. นำคณะทำงานบูรณาการระหว่างส่วนกลางและท้องถิ่นลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายอย่างเข้มข้น มุ่งหน้ารวบรวมข้อมูล วิเคราะห์สถานการณ์น้ำแบบรอบด้าน และยกระดับมาตรการบริหารจัดการน้ำในจุดเสี่ยงสำคัญ เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ประชุมใหญ่ “ระดมสรรพกำลัง” – วิเคราะห์น้ำท่วมเสี่ยงสูงลุ่มน้ำโขง

เมื่อเวลา 13.00 น. ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล ได้เป็นประธานการประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงเหนือ ครั้งที่ 7/2568 โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด ตลอดจนผู้แทนจากหน่วยงานระดับชาติ อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กรมควบคุมมลพิษ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

ที่ประชุมได้รับฟังและพิจารณาข้อมูลสถานการณ์น้ำครอบคลุมทุกมิติ ทั้งรายงานแนวโน้มฝน ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างในแม่น้ำหลักและลำน้ำสาขา คุณภาพน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคและการเกษตร รวมถึงความก้าวหน้าโครงการสำคัญ เช่น การขุดลอกลำน้ำสาย ลำน้ำกก และลำน้ำรวก ตลอดจนการวางมาตรการรับมือฤดูฝนปี 2568 อาทิ การพร่องน้ำ การระบายน้ำ และการตั้งจุดติดตามระดับน้ำ พร้อมระบบแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตอนบนที่เชื่อมโยงไทย-เมียนมา-ลาว

5 มาตรการเร่งด่วนตอบโจทย์การบริหารน้ำ “ยุคพายุ”

  1. ปรับปรุงการคาดการณ์ปริมาณฝน: สั่งการให้กรมอุตุนิยมวิทยาทบทวนแบบจำลองและฐานข้อมูลการคาดการณ์ฝนรายเดือนสำหรับสิงหาคม-กันยายน 2568 เป็นพิเศษ หลังปีที่ผ่านมาเกิดฝนสูงกว่าคาด และบางช่วงฝนน้อยเกินไป เพื่อให้แผนจัดการน้ำแม่นยำขึ้น
  2. วิเคราะห์ข้อมูลฝนระดับพื้นที่ย่อย: สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) ร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยา จัดทำข้อมูลอากาศและฝนอย่างละเอียดระดับพื้นที่ ส่งต่อให้จังหวัดและหน่วยปฏิบัติพื้นที่ เพื่อกำหนดจุดเฝ้าระวัง ปรับแผนระบายน้ำ วางมาตรการแจ้งเตือนแบบเฉพาะจุด ลดความเสี่ยงจากการใช้ค่าเฉลี่ยระดับประเทศที่ไม่สะท้อนสภาพจริงในพื้นที่ภูเขาและชายแดน
  3. แผนบริหารจัดการน้ำอ่างเก็บน้ำสำคัญ: กำชับกรมชลประทานและ กฟผ. ร่วมวางแผนจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำหลักทั้งลุ่มน้ำโขงเหนือ ยม และน่าน ให้คำนึงถึงปริมาณฝนจากพายุ “วิภา” ป้องกันกรณีปล่อยน้ำฉับพลันในช่วงฝนชุก
  4. เร่งพร่องน้ำกว๊านพะเยา: กำหนดแผนพร่องน้ำให้เสร็จทันก่อนฝนหนัก เพื่อเพิ่มพื้นที่กักเก็บ ลดความเสี่ยงน้ำท่วมพื้นที่เพาะปลูกและชุมชนในเดือนสิงหาคม-กันยายน 2568
  5. ปรับปรุงการรายงานคุณภาพน้ำ: กรมควบคุมมลพิษปรับเกณฑ์รายงานผลตรวจน้ำ เทียบมาตรฐาน FAO (สุขภาพ-การเกษตร) เสริมจากเกณฑ์น้ำผิวดินเดิม เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนต่อความปลอดภัยของน้ำกิน-น้ำใช้

ลงพื้นที่ “แม่สาย” – เจาะลึกจุดเสี่ยงลุ่มน้ำชายแดน

หลังประชุม ดร.สุรสีห์ และคณะได้ลงพื้นที่อำเภอแม่สาย เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ลำน้ำชายแดนซึ่งรับน้ำจากพื้นที่สูงและตะกอนจำนวนมากทุกปี เน้นโครงการขุดลอกตะกอนและกำจัดสิ่งกีดขวางในลำน้ำสาย-กก-รวก ซึ่งเป็น “เส้นเลือด” สำคัญของทั้งลุ่มน้ำโขง

มาตรการเร่งด่วนด้านการขุดลอกและบริหารจัดการลำน้ำเหล่านี้ จะช่วยให้กระแสน้ำเคลื่อนตัวอย่างเป็นธรรมชาติ ลดความเสี่ยงน้ำล้นตลิ่ง เปิดทางให้ระบบแจ้งเตือนน้ำหลากทำงานได้แม่นยำขึ้น ลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

 “เชียงรายต้นแบบจัดการน้ำลุ่มน้ำโขงเหนือ”

บทสรุปจากการลงพื้นที่ในครั้งนี้ ชี้ให้เห็นถึงความก้าวหน้าใน “การวางแผนเชิงรุก” การเชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์ การบูรณาการระหว่างหน่วยงานรัฐและท้องถิ่น ตลอดจนการปรับปรุงเกณฑ์การคาดการณ์และติดตามสถานการณ์อย่างละเอียด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการรับมือภัยน้ำหลากในยุคสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง

ประเด็นวิเคราะห์เพิ่มเติม ได้แก่

  • การวางแผนบนฐานข้อมูลจริง: ช่วยให้ตัดสินใจการปล่อยน้ำ/พร่องน้ำในอ่างเก็บน้ำได้แม่นยำ ลดความสูญเสียในพื้นที่ปลายน้ำ
  • บูรณาการข้อมูลข้ามพื้นที่-ข้ามหน่วยงาน: เสริมศักยภาพการตอบสนองภัยพิบัติอย่างทันท่วงที โดยเฉพาะจังหวัดชายแดนที่มีจุดเสี่ยงเฉพาะตัว
  • ระบบเตือนภัยทันสมัย: ป้องกันผลกระทบทางเศรษฐกิจ การเกษตร และสังคม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ลุ่มต่ำ

อย่างไรก็ดี ความต่อเนื่องของงบประมาณ ซ่อมบำรุงเครื่องมือ และความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องผลักดันต่อเนื่อง สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) จะติดตามและสรุปรายงานสถานการณ์ รวมถึงสนับสนุนการเชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์กับจังหวัดลุ่มน้ำโขง เพื่อใช้เป็นข้อมูลเชิงพื้นที่ในการเตรียมมาตรการรองรับสถานการณ์พายุ “วิภา” ต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • กรมชลประทาน
  • การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
  • สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

กฤตศรัทธาพระสงฆ์! นิด้าโพลเผยสังคมหนุนกฎหมายเข้ม หวังฟื้นพลังศาสนา

นิด้าโพลชี้ชัด! “วิกฤตพระพุทธศาสนา” จุดเปลี่ยนศรัทธาไทย สังคมหนุนกฎหมายเข้ม หวังฟื้นพลังศาสนา

กรุงเทพมหานคร, 20 กรกฎาคม 2568 – ในขณะที่ข่าวพระสงฆ์ประพฤติไม่เหมาะสมยังคงปรากฏบนหน้าสื่อแทบไม่ขาดสาย “ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจ “วิกฤตพระพุทธศาสนา!” ซึ่งทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างชาวพุทธทั่วประเทศ 1,310 ราย ระหว่างวันที่ 14–16 กรกฎาคม 2568 สะท้อนความวิตกกังวลของสังคมไทยที่ต้องการปฏิรูปและฟื้นฟูศรัทธาในศาสนาพุทธอย่างจริงจัง

พระสงฆ์ตัดไม่ขาดทางโลก

ข้อมูลเชิงลึกจากผลโพล ระบุชัดว่าสาเหตุสำคัญที่กัดกินศรัทธาในพระพุทธศาสนา คือพฤติกรรมของพระสงฆ์จำนวนหนึ่งที่ “ตัดไม่ขาดจากทางโลก” โดยเฉพาะปัญหายาเสพติด เหล้า การพนัน ความสัมพันธ์เชิงชู้สาว รวมถึงการแสวงหาลาภยศและหลงในวัตถุนิยมมากกว่าการมุ่งปฏิบัติเพื่อหลุดพ้น (76.11% ให้ความเห็นเช่นนี้) ขณะที่อีกกว่า 45% มองว่า พระหลงในตำแหน่งและอำนาจ ทั้งยังมีอีกไม่น้อยที่เห็นว่าวัดกลายเป็น “พุทธพาณิชย์” เน้นธุรกิจ-ผลประโยชน์ มากกว่าการเป็นศูนย์รวมศรัทธา

ในประเด็นการบริหารจัดการวัดร้อยละ 27.63 เห็นว่าขาดความโปร่งใส ขณะที่อีก 25.42% สะท้อนว่าหน่วยงานรัฐและองค์กรดูแลศาสนา “ขาดประสิทธิภาพ” ในการตรวจสอบและป้องกันปัญหาเหล่านี้

ศรัทธาต่อ “พระสงฆ์” ตกต่ำ แต่รากศรัทธาใน “ศาสนา” ยังมั่นคง

ท่ามกลางมรสุมข่าวฉาว พระสงฆ์ถูกลดศรัทธาลงอย่างชัดเจน – 58.40% ระบุว่าศรัทธาในพระสงฆ์ลดลง ขณะที่อีก 41.60% ยังคงศรัทธาเท่าเดิม แต่ในอีกมุมหนึ่ง 68.55% ยังศรัทธาในแก่นแท้ของศาสนาพุทธเท่าเดิม สะท้อนภาพ “ความมั่นคงของหลักธรรม” ท่ามกลางความเปราะบางของบุคคล

ประชาชนหนุน “กฎหมายเข้ม” สะสางพฤติกรรมไม่เหมาะสม

ผลโพลชี้ชัดว่าเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนสนับสนุนร่าง “พระราชบัญญัติส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา” ที่จะกำหนดโทษทางกฎหมายทั้งกับพระและฆราวาสที่กระทำผิด เช่น

  • 80.76% เห็นด้วยกับโทษหนักต่อพระสงฆ์ที่ผิดปาราชิก
  • 63.00% เห็นด้วยต่อบทลงโทษพระอวดอุตริมนุสธรรม
  • 44.00% เห็นด้วยต่อโทษผู้กล่าวหาโดยไม่มีหลักฐาน
  • 35.00% เห็นด้วยต่อโทษผู้ล้อเลียนศาสนา

ขณะที่ประเด็นการลงโทษหญิง-ชายที่สมัครใจเสพเมถุนกับพระ กลับมีเพียง 17% ที่เห็นด้วยอย่างมาก สะท้อนความเห็นที่ยังหลากหลายในสังคม

รากปัญหา-แนวทางแก้ไข

จากผลสำรวจนี้สามารถสังเคราะห์แกนกลางของวิกฤตศรัทธาว่าเกิดจาก

  • พฤติกรรมส่วนบุคคลของพระสงฆ์: การตัดไม่ขาดจากทางโลก การหลงในอำนาจ วัตถุนิยม และการมองศาสนาเป็นอาชีพ มากกว่าเป็นภารกิจแห่งจิตวิญญาณ
  • องค์กรศาสนาอ่อนแอ: ระบบกำกับตรวจสอบพระสงฆ์ วัด และทรัพย์สินยังไร้ประสิทธิภาพ ขาดความโปร่งใส
  • ช่องว่างระหว่างหลักธรรมกับการปฏิบัติ: ความเชื่อมั่นในพระสงฆ์ลดลง ขณะที่ความศรัทธาต่อหลักคำสอนยังมั่นคง

สิ่งที่สังคมต้องการเห็นจากนี้คือ “กลไกจัดการ” ที่เข้มแข็ง – ทั้งการตรวจสอบภายในวัด องค์กรคณะสงฆ์และภาคประชาชนที่สามารถมีส่วนร่วมสอดส่องความโปร่งใส รวมถึงมาตรการทางกฎหมายที่บังคับใช้จริงจังสำหรับทั้งพระสงฆ์และฆราวาสที่มีส่วนสร้างภาพลบให้ศาสนา

ความท้าทาย – ก้าวต่อไป

การสำรวจนี้คือกระจกสะท้อนความคาดหวังของสังคมไทยในวันที่พระพุทธศาสนาอยู่บนทางแยกสำคัญ ถ้ารัฐบาลและองค์กรศาสนาไม่เร่งปฏิรูป–ฟื้นฟูมาตรฐานคุณธรรมของพระสงฆ์–สร้างระบบตรวจสอบโปร่งใส–และยกระดับการใช้กฎหมายที่จริงจัง วิกฤตศรัทธาย่อมยากจะคลี่คลาย

การฟื้นฟูศรัทธาให้กลับมาแข็งแรง ไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาพฤติกรรมส่วนบุคคล แต่คือการสร้างวัฒนธรรมคุณธรรม-ธรรมาภิบาลในองค์กรศาสนา ตลอดจนเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนและสื่อมีบทบาทในการตรวจสอบอย่างโปร่งใส

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
  • กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

TCEB – ม.แม่ฟ้าหลวง เปิดวิสัยทัศน์ “เชียงราย Tea and Coffee Destination” มุ่งสู่ความยั่งยืนระดับโลกด้วยนวัตกรรม

Chiang Rai Brewtopia 2025: ชูเชียงรายสู่ศูนย์กลางชาและกาแฟแห่งอาเซียน

เชียงราย, 19 กรกฎาคม 2568 – เมืองเชียงรายถูกแต่งแต้มด้วยเมฆฝนแห่งฤดูฝน อุทยานศิลปวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง (ไร่แม่ฟ้าหลวง) กลับอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมกรุ่นของชาและกาแฟจากทั่วทุกมุมโลก งาน Chiang Rai Brewtopia (Green Season) 2025 ซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) และ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) หรือ TCEB ได้เปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่ ภายใต้การเป็นเจ้าภาพของ นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย งานนี้ไม่เพียงเป็นการแสดงศักยภาพของอุตสาหกรรมชาและกาแฟไทย แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันเชียงรายสู่การเป็น “Tea and Coffee Hub of ASEAN” ที่พร้อมก้าวไกลในเวทีโลก

เรื่องราวของกลิ่นหอมที่เริ่มจากไร่สู่ถ้วย

ลองจินตนาการถึงเช้าวันหนึ่งในหมู่บ้านเล็กๆ บนดอยสูงของเชียงราย เกษตรกรท้องถิ่นอย่าง ลุงต๊ะ เดินฝ่าหมอกยามเช้าไปยังไร่ชาของเขา ใบชาสีเขียวขจีที่โบกไหวในสายลมคือความหวังของครอบครัวและชุมชน แต่ในอดีต ลุงต๊ะและเกษตรกรอีกหลายคนต้องเผชิญกับความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง การขาดแคลนแรงงาน หรือการเข้าถึงตลาดที่จำกัด วันนี้ งาน Chiang Rai Brewtopia 2025 ได้กลายเป็นแสงสว่างที่เปลี่ยนเรื่องราวของลุงต๊ะและเกษตรกรอีกนับพันให้มีโอกาสเติบโต

งานนี้เป็นมากกว่าการจัดแสดงสินค้า แต่เป็นเวทีที่เชื่อมโยงเกษตรกร ผู้ประกอบการ และนักลงทุนจากทั่วโลกเข้าด้วยกัน ผ่านกิจกรรมหลากหลายที่ครอบคลุมทุกมิติของอุตสาหกรรมชาและกาแฟ ตั้งแต่ Global Coffee and Tea Association Forum 2025: Shaping the Future Together ซึ่งเป็นการประชุมระดับนานาชาติเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และนวัตกรรม ไปจนถึงการจัดแสดงสินค้าจาก 40 ร้านค้าชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงกิจกรรม Farm Visit: A Cup to Village ที่พานักท่องเที่ยวไปสัมผัสกระบวนการผลิตชาและกาแฟตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และ Workshop ที่มอบความรู้ให้กับเกษตรกรและผู้สนใจ

ภูริพันธ์ บุนนาค รองผู้อำนวยการรักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.)

วิสัยทัศน์สู่ศูนย์กลางชาและกาแฟแห่งอาเซียน

คุณภูริพันธ์ บุนนาค รองผู้อำนวยการรักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) กล่าวถึงความสำคัญของงานนี้ว่า “Chiang Rai Brewtopia 2025 เป็นก้าวสำคัญในการผลักดันเชียงรายให้เป็นศูนย์กลางชาและกาแฟของอาเซียน ด้วยการสร้างเครือข่ายธุรกิจและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศ” งานนี้ไม่เพียงเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้แสดงศักยภาพ แต่ยังช่วยยกระดับทักษะของเกษตรกรและสร้างโอกาสในการลงทุนระหว่างประเทศ

ด้าน ผศ.ดร.ปิยาภรณ์ เชื่อมชัยตระกูล หัวหน้าสถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เผยถึงวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่ของเชียงรายว่า “เรามุ่งมั่นพัฒนาเชียงรายให้เป็น Chiang Rai Tea and Coffee Destination ที่ครบวงจร ทั้งการผลิต การแปรรูป และการจำหน่ายชาและกาแฟคุณภาพสูง โดยมีเป้าหมายเป็นศูนย์กลางการค้าชาและกาแฟของประเทศไทยในอนาคต” สถาบันชาและกาแฟของ มฟล. ได้ทุ่มเททำงานวิจัยครอบคลุมทุกขั้นตอน ตั้งแต่การพัฒนาสายพันธุ์พืชที่ทนต่อสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ไปจนถึงการนำเทคโนโลยีอย่าง IoT มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

ความท้าทายและทางออกด้วยนวัตกรรม

อุตสาหกรรมชาและกาแฟของเชียงรายเผชิญกับความท้าทายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศที่ผันผวน การขาดแคลนแรงงาน หรือการแข่งขันในตลาดโลก ผศ.ดร.ปิยาภรณ์ กล่าวว่า “เรากำลังนำเทคโนโลยีและงานวิจัยมาแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เช่น การพัฒนาสายพันธุ์พืชที่ทนทานต่อสภาพอากาศ และการใช้เครื่องจักรทันสมัยรวมถึง IoT เพื่อลดการพึ่งพาแรงงานและเพิ่มคุณภาพผลผลิต” นวัตกรรมเหล่านี้ไม่เพียงช่วยเกษตรกรอย่างลุงต๊ะลดต้นทุน แต่ยังยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน

นอกจากนี้ การจัดงานยังส่งเสริมแนวทางการเกษตรแบบยั่งยืน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมชาและกาแฟ ด้วยการสนับสนุนให้เกษตรกรใช้เทคนิคการปลูกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการสร้างแบรนด์ “เชียงราย” ให้เป็นที่จดจำในฐานะแหล่งผลิตชาและกาแฟคุณภาพสูงในระดับโลก

เชียงรายต้นแบบ MICE City และโอกาสทางเศรษฐกิจ

คุณภูริพันธ์ บุนนาค จาก TCEB เน้นย้ำว่า งานนี้เป็นโมเดลต้นแบบของการพัฒนาเชียงรายสู่การเป็น MICE City ที่ใช้จุดแข็งของอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปเป็นตัวขับเคลื่อน “เชียงรายมีพื้นที่ปลูกกาแฟกว่า 40,000 ไร่ และชากว่า 20,000 ไร่ ซึ่งเป็นศักยภาพที่โดดเด่น งานนี้ไม่เพียงสร้างรายได้ให้เกษตรกร แต่ยังกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจและการลงทุนจากต่างชาติ”

งานนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน โดยมีการร่วมมือกับเมืองหางโจว ประเทศจีน และชิซูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งช่วยยกระดับงานให้เป็นเวทีระดับนานาชาติที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น การลงนาม MOU ระหว่าง TCEB กับสมาคมด้าน MICE ของจีนในเดือนกันยายน 2568 จะเป็นอีกก้าวสำคัญในการขยายโอกาสให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง MICE ของภูมิภาค

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปิยาภรณ์ เชื่อมชัยตระกูล หัวหน้าสถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

ผลลัพธ์และอนาคตที่ยั่งยืน

Chiang Rai Brewtopia 2025 ไม่เพียงเป็นงานที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ชาและกาแฟ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนที่ช่วยยกระดับอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปของไทย ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการจัดงานครั้งนี้ ได้แก่:

  • การพัฒนาทักษะและองค์ความรู้: เกษตรกรและผู้ประกอบการได้รับการฝึกอบรมผ่าน Workshop และการแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติ
  • การสร้างเครือข่ายธุรกิจ: การเชื่อมโยงผู้ประกอบการท้องถิ่นกับนักลงทุนและผู้ซื้อจากต่างประเทศ ช่วยขยายโอกาสทางการค้า
  • การส่งเสริมความยั่งยืน: การนำแนวปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ในการผลิต ช่วยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่
  • การกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น: การจัดงานดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ สร้างรายได้ให้กับชุมชนในเชียงรายผ่านการท่องเที่ยวและการบริโภค

ผศ.ดร.ปิยาภรณ์ มองว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องนำไปปฏิบัติจริงในวงกว้าง เพื่อให้เกิดผลเชิงบวกต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม

“พื้นที่ของจังหวัดเชียงราย เป็นพื้นที่ปลูกและผลิตชา-กาแฟที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยนะคะ” ผศ.ดร.ปิยาภรณ์ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมนี้ต่อคนในท้องถิ่น “สินค้าตัวนี้สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้เกษตรกรหรือผู้แปรรูปในพื้นที่ ดังนั้น ความยั่งยืนจึงต้องเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เพราะมันคือรายได้และเศรษฐกิจของคนในพื้นที่”

การจัดงานแสดงสินค้าอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ยังเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมให้คนภายในจังหวัด คนต่างถิ่น และชาวต่างชาติ รู้จักและเข้าใจในศักยภาพของชาและกาแฟจากประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การสนับสนุนเกษตรกรและผู้ประกอบการท้องถิ่นให้มีรายได้อย่างยั่งยืน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงรายให้เติบโตอย่างมั่นคง

 

ในท้ายที่สุด งาน Chiang Rai Brewtopia 2025 ไม่เพียงเป็นการเฉลิมฉลองความหอมกรุ่นของชาและกาแฟ แต่ยังเป็นการวางรากฐานให้เชียงรายก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางชาและกาแฟแห่งอาเซียน ด้วยนวัตกรรม ความยั่งยืน และความร่วมมือระดับโลก อนาคตของลุงต๊ะและเกษตรกรในเชียงรายกำลังถูกเขียนขึ้นใหม่ด้วยความหวังและโอกาสที่ไร้ขีดจำกัด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ข้อมูลบางส่วนได้รับการสนับสนุนจาก สถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.)

  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) หรือ TCEB: www.tceb.or.th
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, สถาบันชาและกาแฟ: www.mfu.ac.th
  • ข้อมูลจากงานแถลงข่าว Chiang Rai Brewtopia (Green Season) 2025, 18 กรกฎาคม 2568
  • รายงานอุตสาหกรรมชาและกาแฟแห่งประเทศไทย, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, 2567
  • ความร่วมมือระหว่างประเทศด้านชาและกาแฟ, สถาบันวิจัยชาแห่งประเทศจีน, 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“นายก นก” ลุยเอง! อบจ.เชียงรายเสริมแกร่งป้องกันน้ำท่วม เร่งเตรียมพร้อมรับมือพายุ

อบจ.เชียงราย “นายก นก” ลงพื้นที่เทิง เร่งมอบบิ๊กแบ็ค-สร้างทางเบี่ยง สั่งเตรียมพร้อมเต็มสูบรับมือ “พายุวิภา”

เชียงราย, 19 กรกฎาคม 2568 – ลงพื้นที่เชิงรุก ตอบโจทย์ภัยพิบัติ: อบจ.เชียงราย-ผู้นำท้องถิ่นเดินหน้าป้องกันน้ำท่วมอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอเทิง กลายเป็นหนึ่งในแนวหน้าการเตรียมรับมือภัยพิบัติในฤดูฝนปีนี้ เมื่อองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ภายใต้การนำของนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย หรือ “นายก นก” เดินหน้านำทีมลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งจัดการสถานการณ์และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดจากอิทธิพลของพายุโซนร้อน “วิภา” ที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยและมีแนวโน้มสร้างฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องในภาคเหนือ

เร่งมอบบิ๊กแบ็ค – เสริมแนวป้องกันชุมชนเวียงเทิง

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 19 กรกฎาคม 2568 นายก นก พร้อมด้วยสมาชิกสภา อบจ.เชียงราย เขตอำเภอเทิง ได้แก่ นายอาทิตย์ รู้ทำนอง (เขต 1), นายสุชัด เสนคำ (เขต 2), นายประจวบ แก้วข้าว (เขต 3) และเจ้าหน้าที่ อบจ.เชียงราย ได้ลงพื้นที่บ้านตั้งข้าว หมู่ 2 และหมู่ 14 ตำบลเวียง เทศบาลตำบลเวียงเทิง เพื่อมอบกระสอบบิ๊กแบ็คแก่ประชาชน โดยมีนายเอนก ปัญทะยม นายอำเภอเทิง และนายสิงห์ทอง หนุนนำศิริสวัสดิ์ นายกเทศมนตรีตำบลเวียงเทิง เป็นตัวแทนรับมอบ

นายก นก เปิดเผยกับประชาชนว่า “อบจ.เชียงราย ตระหนักถึงความเดือดร้อนที่อาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์น้ำท่วม โดยเฉพาะในฤดูฝนนี้ เรามุ่งเน้นการป้องกันเชิงรุก จึงได้เร่งมอบกระสอบบิ๊กแบ็ค เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมแนวป้องกันน้ำท่วม หวังว่าทุกครัวเรือนจะสามารถเตรียมตัวรับมือกับวิกฤตได้อย่างทันท่วงที”

กระสอบบิ๊กแบ็คที่ได้รับการจัดสรรในครั้งนี้ จะถูกนำไปวางเป็นแนวป้องกันน้ำและเตรียมการรับมือสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่เสี่ยง ช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อบ้านเรือนและทรัพย์สินของประชาชน ถือเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารความเสี่ยงเชิงรุกในระดับท้องถิ่น

ลุยสร้างทางเบี่ยง – รับมือปัญหาน้ำป่า “ลำน้ำหงาว”

ต่อมาเวลา 10.30 น. นายก นก และคณะเดินทางต่อไปยังบ้านปางค่า หมู่ 8 ตำบลหงาว อำเภอเทิง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เพิ่งเผชิญกับน้ำป่าไหลหลากเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ทางเบี่ยงขาดและชาวบ้านไม่สามารถสัญจรไปมาได้

อบจ.เชียงราย ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่สำนักช่างเร่งนำเครื่องจักรกลเข้าดำเนินการสร้างทางเบี่ยงชั่วคราว เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง พร้อมสนับสนุนการวางกระสอบบิ๊กแบ็คบรรจุทรายตลอดแนวตลิ่งลำน้ำหงาว ป้องกันการพังทลายและลดผลกระทบในระยะยาวต่อเส้นทางการสัญจรและทรัพย์สินของประชาชน โดยคาดว่าทางเบี่ยงใหม่จะแล้วเสร็จภายใน 2 วันนี้

นอกจากนี้ ยังได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นในอำเภอเทิง เพื่อวางแผนรับมือกับสถานการณ์อุทกภัยที่อาจเกิดขึ้น พร้อมกำชับให้ทุกฝ่ายเตรียมอุปกรณ์และแผนฉุกเฉินเต็มรูปแบบ

 “อบจ.เชียงราย” เดินหน้าทำงานเชิงรุก สร้างความมั่นใจชาวบ้าน

เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างอบจ.เชียงราย ที่สามารถเคลื่อนตัวและตอบสนองต่อภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม หลายประเด็นสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงแนวคิดการบริหารจัดการภัยพิบัติยุคใหม่ในระดับท้องถิ่น ได้แก่

  • การตอบสนองฉับไว: ทันทีที่มีรายงานผลกระทบ อบจ.เชียงรายสามารถจัดสรรและมอบกระสอบบิ๊กแบ็ค รวมถึงนำเครื่องจักรกลลงพื้นที่ทันที เป็นการสร้างความมั่นใจและลดความกังวลให้ประชาชนในยามวิกฤต
  • การเตรียมพร้อมล่วงหน้า: การมอบกระสอบบิ๊กแบ็คให้กับชุมชนเสี่ยงน้ำท่วม ช่วยให้ชาวบ้านมีเครื่องมือรับมือภัยธรรมชาติ ตั้งแต่ก่อนวิกฤตจะมาถึง เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการลดความเสียหาย
  • การแก้ปัญหาที่ตรงจุด: การสร้างทางเบี่ยงชั่วคราวหลังน้ำป่าหลาก ช่วยให้การเดินทางของชาวบ้านไม่สะดุด และลดผลกระทบในชีวิตประจำวัน
  • การสื่อสารเชิงบวกและสร้างขวัญกำลังใจ: คำมั่นของ “นายก นก” ที่ประกาศต่อหน้าชาวบ้านว่า อบจ.จะไม่ทอดทิ้งประชาชน เป็นการเสริมสร้างความไว้วางใจและความสามัคคีในชุมชน
  • การบูรณาการทุกภาคส่วน: ความร่วมมือระหว่างอบจ., สมาชิกสภา, นายอำเภอ, เทศบาลตำบล สะท้อนการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ

ข้อควรจับตาต่อไป

  • การซ่อมแซมถาวรในระยะยาวจำเป็นต้องวางแผนใช้งบประมาณและจัดสรรทรัพยากรให้เพียงพอ
  • ต้องประเมินและเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงภัยอื่น ๆ ทั่วจังหวัดอย่างต่อเนื่อง
  • การเสริมสร้างความรู้และฝึกอบรมชุมชนให้พร้อมรับมือและช่วยเหลือตนเองในภาวะฉุกเฉิน จะทำให้เชียงรายสามารถรับมือภัยธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน

วิเคราะห์สถานการณ์

การดำเนินงานของอบจ.เชียงรายในวันนี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความตั้งใจจริงของผู้นำท้องถิ่นในการปกป้องและดูแลประชาชนในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน การมุ่งเน้นทำงานเชิงรุกและบูรณาการทุกฝ่ายถือเป็นต้นแบบสำคัญของการบริหารจัดการภัยพิบัติระดับจังหวัด ที่จะสร้างความมั่นคงและปลอดภัยให้กับประชาชนเชียงรายในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลตำบลเวียงเทิง
  • อำเภอเทิง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

พายุ “วิภา” จ่อเชียงราย! ผู้ว่าฯ นำทัพตรวจน้ำ มทบ.37 เตรียมพร้อมรับมือ 24 ชม.

เชียงรายเฝ้าระวังน้ำ “วิภา” ไม่ประมาท! ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่แม่น้ำกก-อิง ยันระดับน้ำลด – มทบ.37 เตรียมกำลังพลพร้อมรับมือ 24 ชั่วโมง

เชียงราย, 18 กรกฎาคม 2568 – ติดตามสถานการณ์อย่างเข้มข้นรับมือพายุ “วิภา” ฝนหนักกลางเดือนกรกฎาคม จังหวัดเชียงรายยังคงเดินหน้าติดตามสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือนอิทธิพลของพายุโซนร้อน “วิภา” ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบให้ภาคเหนือมีฝนตกหนักระลอกใหม่ โดยเฉพาะในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2568 ที่สถานการณ์น้ำเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ เพราะเชียงรายมีแม่น้ำสายหลักหลายสายไหลผ่านใจกลางเมือง และเคยประสบเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในอดีต

ในภาวะเสี่ยงนี้ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย จึงนำคณะเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจและติดตามระดับน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำอิงด้วยตนเอง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่ารัฐบาลจังหวัดไม่ประมาทและเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ ขณะที่ มณฑลทหารบกที่ 37 หรือ มทบ.37 ได้สั่งตรวจความพร้อมกำลังพลและยุทโธปกรณ์ สนับสนุนการบรรเทาสาธารณภัยตลอด 24 ชั่วโมง

แม่น้ำกก ระดับน้ำลดต่อเนื่อง สัญญาณบวกต่อเมืองเชียงราย

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 18 กรกฎาคม 2568 นายชรินทร์ ทองสุข พร้อมด้วยนายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย และเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ได้ร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์ระดับน้ำในแม่น้ำกก บริเวณใต้สะพานขัวพญามังราย เขตเทศบาลนครเชียงราย ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของระบบเฝ้าระวังน้ำหลาก

จากการตรวจสอบพบว่า ระดับน้ำแม่น้ำกกยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยที่สถานีสะพานพ่อขุนเม็งราย ต.แม่ยาว อ.เมืองเชียงราย ระดับน้ำวัดได้ 4.72 เมตร (ณ เวลา 12.00 น.) ต่ำกว่าเกณฑ์วิกฤติที่ 5.50 เมตร ส่วนที่สถานีสะพานขัวพญามังราย (ชุมชนบ้านใหม่) ต.ริมกก วัดได้ 3.30 เมตร ต่ำกว่าเกณฑ์วิกฤติที่ 5.00 เมตร เช่นกัน

นายชรินทร์ ทองสุข เปิดเผยว่า “จังหวัดเชียงรายได้ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดและมีการประชุมร่วมทุกวัน พร้อมกับแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะริมแม่น้ำกกให้เฝ้าระวัง แต่ไม่ควรตื่นตระหนก และขอให้ติดตามข้อมูลจากทางราชการเป็นหลัก”

ด้านนายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย ระบุว่า ขณะนี้ได้เปิดบานประตูระบายน้ำทั้ง 11 บานเต็มที่ และใช้ระบบติดตามน้ำ 24 ชั่วโมง หากพบว่าน้ำจากต้นน้ำ (อำเภอแม่อาย) มีปริมาณมากขึ้น จะสามารถคำนวณเวลาและแจ้งเตือนล่วงหน้าได้ทัน (ประมาณ 10–12 ชั่วโมงถึงตัวเมืองเชียงราย)

นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการขุดลอกลำน้ำกกในจุดวิกฤติ เพื่อขจัดเนินทรายที่ขวางทางน้ำ ทำให้การไหลของน้ำในช่วงสะพานฮ่องอ้อถึงหาดเชียงรายคล่องตัวมากขึ้น ลดความเสี่ยงจากน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ลุ่มต่ำ ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการป้องกันน้ำท่วม

แม่น้ำอิง ระดับน้ำยังต่ำกว่าค่าวิกฤติ แต่คงเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น

ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายชรินทร์ ทองสุข พร้อมคณะ ได้ออกตรวจติดตามสถานการณ์น้ำในแม่น้ำอิง เขตอำเภอเทิง โดยลงพื้นที่สถานีเตือนภัยบ้านสันทรายงาม ตำบลสันทรายงาม อำเภอเทิง ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่เฝ้าระวังสำคัญ

จากการตรวจวัดระดับน้ำในแม่น้ำอิง พบว่าอยู่ที่ 8.462 เมตร ซึ่งต่ำกว่าระดับวิกฤติ แต่ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 19-24 กรกฎาคม ที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าจะมีฝนตกหนักจากอิทธิพลของพายุ “วิภา” ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายจึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมมือกันเฝ้าระวัง พร้อมเตรียมความพร้อมอุปกรณ์และบุคลากรสำหรับให้ความช่วยเหลือทันทีหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน

มณฑลทหารบกที่ 37 ปลุกศักยภาพ “บรรเทาสาธารณภัย” เตรียมเคลื่อนกำลังภายใน 1 ชั่วโมง

ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ที่กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 ค่ายเม็งรายมหาราช พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมทบ.37 ได้สั่งตรวจความพร้อมของชุดปฏิบัติการบรรเทาสาธารณภัย นำโดยพันเอก บุรฉัตร ภูนาเมือง หัวหน้าฝ่ายกิจการพลเรือน ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 36 นาย จากหลายหน่วยงาน เช่น โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช กองร้อยทหารสารวัตร และแผนกยุทธโยธา พร้อมยานพาหนะปฏิบัติการ 5 คัน

การตรวจความพร้อมในครั้งนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าหากได้รับคำสั่ง หน่วยจะสามารถเคลื่อนย้ายกำลังพล ยานพาหนะ และยุทโธปกรณ์ไปช่วยเหลือประชาชนได้ภายใน 1 ชั่วโมง พลตรี จักรวีร์ เน้นย้ำว่า “กำลังพลทุกนายต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน พร้อมสนับสนุนการบูรณาการทำงานกับจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอด 24 ชั่วโมง”

เชียงราย “ไม่ประมาท” บูรณาการทุกภาคส่วน รับมือสถานการณ์น้ำ

เหตุการณ์ครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงความพร้อมและความเข้มแข็งของจังหวัดเชียงราย ในการบริหารจัดการภัยพิบัติและตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินในยุคที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยขึ้นอย่างรวดเร็ว
จุดแข็งที่เห็นได้ชัด ได้แก่

  • การติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด: ผู้ว่าราชการจังหวัดลงพื้นที่ตรวจสอบด้วยตนเองและประชุมร่วมกับหน่วยงานต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
  • การบริหารจัดการน้ำ: โครงการชลประทานใช้วิธีบริหารประตูระบายน้ำ ขุดลอกแม่น้ำ และใช้ระบบเตือนภัยแบบเรียลไทม์
  • การสื่อสารกับประชาชน: มีการแจ้งเตือนผ่านสื่อท้องถิ่น และเน้นย้ำให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนกแต่ควรเตรียมพร้อม
  • ความพร้อมของหน่วยทหาร: มทบ.37 สามารถระดมกำลังเข้าช่วยเหลือภายในเวลา 1 ชั่วโมงหลังรับแจ้ง
  • การประสานงานทุกภาคส่วน: จากฝ่ายจังหวัด ชลประทาน ปภ. กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน จนถึงกองทัพ สะท้อนความเข้าใจในบทเรียนอดีต และมุ่งเน้นการป้องกันมากกว่าการเยียวยา

ข้อควรจับตา:

  • การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่คาดเดาได้ยาก อาจเปลี่ยนสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
  • พื้นที่เสี่ยงน้ำป่า ดินถล่ม และลุ่มต่ำริมแม่น้ำยังคงต้องเฝ้าระวัง
  • การนำข้อมูลและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาพัฒนา “ระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า” ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

บทเรียนจากอดีตคือการ “ไม่ประมาท” และการบูรณาการทุกภาคส่วนอย่างมีแผนงาน จะเป็นหัวใจสำคัญในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเชียงรายอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • โครงการชลประทานเชียงราย
  • ส่วนอุทกวิทยาที่ 2 เชียงราย สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ
  • มณฑลทหารบกที่ 37
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News