Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE LIFESTYLE

เหล็กดัดคืนชีพ! ศิลปินรุ่นใหม่สร้างงานจากความงามที่ถูกมองข้ามในย่านธนาลัย

เปิดมิติใหม่แห่งความคิดสร้างสรรค์: “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” นิทรรศการพลิกโฉมย่านประวัติศาสตร์เชียงราย สู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีชีวิตชีวา

เชียงราย, 9 สิงหาคม 2568 – เมื่อวานนี้ (8 สิงหาคม 2568) ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย ได้มีการเปิดม่านนิทรรศการครั้งสำคัญในชื่อ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” ภายใต้โครงการส่งเสริมศักยภาพและสร้างเครือข่ายนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จังหวัดเชียงราย นิทรรศการนี้ไม่เพียงเป็นการรวบรวมผลงานศิลปะ หากแต่เป็นหมุดหมายของการชุบชีวิตอดีต ผสานกับวิสัยทัศน์เพื่ออนาคต เพื่อขับเคลื่อนย่านการค้าเก่าแก่ให้กลายเป็นพื้นที่สร้างสรรค์และแหล่งรวมแรงบันดาลใจที่ยังคงคุณค่าอย่างร่วมสมัย

ย่านธนาลัยและในเวียงของจังหวัดเชียงรายนั้น เป็นพื้นที่ที่เปี่ยมไปด้วยเรื่องราวทางศิลปะ วัฒนธรรม และเป็นศูนย์รวมของร้านค้าเก่าแก่ที่ดำรงอยู่คู่กับธุรกิจของคนรุ่นใหม่ ในอดีต ย่านท่า นารายณ์ (ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “ธนาลัย”) ถือเป็นศูนย์กลางการค้าและความเจริญรุ่งเรือง นิทรรศการนี้จึงเข้ามาทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมร้อยเรื่องราวในอดีตสู่ปัจจุบัน โดยนำเสนอพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคม ศิลปะ วัฒนธรรม ผสมผสานกับการร่วมมือกันระหว่างผู้ประกอบการรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ เพื่อพัฒนาและต่อยอดแบรนด์กิจการดั้งเดิมไปสู่ธุรกิจสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ ความพิเศษของโครงการนี้คือการถ่ายทอดประสบการณ์ ความทรงจำ และข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่า เพื่อเปิดมุมมองสู่โอกาสใหม่ในการพัฒนาต่อยอดไปสู่การเป็นย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีชีวิต

ความงามที่ถูกมองข้าม” หัวใจสำคัญของการตีความใหม่จากเหล็กดัด

หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นและเป็นตัวอย่างสะท้อนแนวคิดหลักของนิทรรศการได้อย่างชัดเจนคือชิ้นงานชื่อ ธนาลัย” โดย นางสาวพุทธรักษ์ ดาษดา ศิลปินและนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ เธอได้หยิบยกแรงบันดาลใจจาก ความงามที่ถูกมองข้าม” ซึ่งปรากฏอยู่ในองค์ประกอบเล็กๆ ในสถาปัตยกรรมของเมืองเก่าเชียงราย นั่นคือ ลูกกรงเหล็กดัดหน้าต่าง” ที่พบเห็นได้มากมายในย่านธนาลัย เหล็กดัดเหล่านี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ส่วนประกอบทางสถาปัตยกรรม แต่ยังสะท้อนถึงรสนิยม ความตั้งใจ และภูมิปัญญาของผู้สร้างในยุคสมัยหนึ่ง รวมถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

นางสาวพุทธรักษ์ได้อธิบายถึงแรงบันดาลใจนี้ว่า จากการลงพื้นที่สำรวจย่านท่า นารายณ์ เธอได้พบเห็นเหล็กดัดเป็นจำนวนมาก ทั้งในส่วนของหน้าต่าง ประตู หรือแม้กระทั่งระเบียง ซึ่งนำไปสู่การเลือกใช้เทคนิคเหล็กดัดมาเป็นแกนหลักในการสร้างสรรค์ผลงาน โดยเปลี่ยนจากการทำงานภาพวาดหรือประติมากรรมแบบเดิมๆ ศิลปินได้ตีความลวดลายเหล็กดัดเหล่านี้ขึ้นใหม่ ผ่านการออกแบบในรูปแบบของ เหล็กดัดประดับฉากกั้นห้องแบบพับได้” ที่ไม่เพียงใช้งานได้จริง แต่ยังทำหน้าที่สื่อสารทางความคิดได้อย่างลึกซึ้ง กระบวนการสร้างสรรค์เริ่มต้นจากการสังเกตและเก็บข้อมูลรูปแบบของเหล็กดัดในย่านธนาลัยอย่างพิถีพิถัน จากนั้นจึงนำมาออกแบบร่างต้นแบบในขนาดเล็ก ก่อนจะขยายแบบให้เป็นสเกล 1:1 และดำเนินการดัดโลหะตามแบบ รวมถึงเชื่อมประกอบเข้าด้วยกันอย่างประณีต เพื่อให้ได้ลวดลายตรงตามจินตนาการของผู้สร้างสรรค์ และยังคงจิตวิญญาณของเหล็กดัดยุคเก่าไว้ได้อย่างร่วมสมัย นอกจากนี้ ผลงานยังผสมผสานธีมของพหุวัฒนธรรม โดยได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมจีน และลวดลายผ้ามาใช้ในการออกแบบฉากกั้น

จากศิลปะสู่จุดเริ่มต้นของการสนทนาและประโยชน์ต่อสาธารณะ

ผลงานชิ้นนี้ของพุทธรักษ์ ดาษดา ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงเพื่อความสวยงามเชิงประติมากรรมหรือการตกแต่งเท่านั้น แต่ยังตั้งใจให้เป็น จุดเริ่มต้นของการสนทนา” เกี่ยวกับการกลับมามองพื้นที่เก่าในเมืองด้วยสายตาใหม่ นี่คือหัวใจสำคัญที่นิทรรศการพยายามสื่อสารสู่สาธารณะ ผลงานศิลปะเหล่านี้ทำหน้าที่เชื้อเชิญให้ผู้คนร่วมกันจินตนาการถึงอนาคตของเมืองเก่า ว่าพื้นที่เหล่านี้สามารถถูกใช้เป็นพื้นที่สร้างสรรค์ เป็นพื้นที่แห่งแรงบันดาลใจ และเป็นพื้นที่ร่วมสมัยที่มีคุณค่าได้อย่างไรอีกครั้ง

ในมุมมองของประโยชน์ที่ประชาชนทั่วไปจะได้รับ นิทรรศการนี้เป็นมากกว่าการจัดแสดงงานศิลปะ แต่เป็นการกระตุ้นให้เกิดการตระหนักรู้ถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชุมชน ผ่านการนำเสนอที่เข้าถึงง่ายและน่าสนใจ การนำ “ความงามที่ถูกมองข้าม” อย่างเหล็กดัด มาสร้างสรรค์ใหม่ ทำให้ประชาชนได้เห็นว่าสิ่งเล็กๆ ในชีวิตประจำวันก็สามารถเป็นแรงบันดาลใจและมีคุณค่ามหาศาลได้ การจัดแสดงยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการคิดนอกกรอบ และการประยุกต์ใช้มรดกทางวัฒนธรรมเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในรูปแบบใหม่ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างงาน สร้างรายได้ และพัฒนาศักยภาพของคนในพื้นที่ ทั้งศิลปิน ผู้ประกอบการ และชุมชน การเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้ร่วมสร้างสรรค์และต่อยอดธุรกิจดั้งเดิม ยังเป็นการรักษาอัตลักษณ์ของเมืองไว้พร้อมกับการเติบโตในยุคสมัยใหม่ นอกจากนี้ การที่นิทรรศการเป็นความร่วมมือระหว่างศิลปิน นักสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการ ชุมชน และหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน สะท้อนให้เห็นถึงพลังของการรวมตัวกันเพื่อเป้าหมายร่วมกันในการยกระดับเชียงรายให้เป็นย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีชีวิตชีวาอย่างแท้จริง นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่า ศิลปะและวัฒนธรรมสามารถเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาเมือง และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับประชาชนได้อย่างไร

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม – 8 กันยายน 2568 เวลา 10.00 – 16.00 น. (หยุดวันจันทร์) ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย จึงขอเชิญชวนประชาชนและผู้สนใจร่วมสัมผัสประสบการณ์และแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของย่านธนาลัย ที่จะเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และชักชวนให้ร่วมกันจินตนาการถึงอนาคตของเมืองเชียงรายไปพร้อมกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ศิลปิน นางสาวพุทธรักษ์ ดาษดา
  • เอกสารเผยแพร่และข่าวประชาสัมพันธ์ของนิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย”
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เชียงใหม่ (CEA Chiang Mai)
  • มูลนิธิมดชนะภัย
  • กลุ่มเครือข่ายศิลปิน นักสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการ และชุมชน จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE LIFESTYLE

ศิลปินเอกพงษ์ ใจบุญ สร้างสรรค์ “Peony” จากรากเหง้าวัฒนธรรมไทย-จีนในเชียงราย

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” เปิดมิติใหม่แห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในจังหวัดเชียงราย

เชียงราย, 9 สิงหาคม 2568 –ผสมผสานรากเหง้าทางวัฒนธรรมเข้ากับแรงบันดาลใจจากคนรุ่นใหม่ เพื่อพลิกฟื้นย่านการค้าเก่าแก่ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย นิทรรศการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการส่งเสริมศักยภาพและสร้างเครือข่ายนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ในย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของจังหวัดเชียงราย

ย่านธนาลัยและในเวียงในอดีตนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการค้าที่รุ่งเรืองและเต็มไปด้วยเรื่องราวทางวัฒนธรรมอันหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผสมผสานของกลุ่มคนไทยเชื้อสายจีน แต่เดิมย่านนี้เคยเป็นเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจที่คึกคัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความคึกคักนั้นอาจไม่เท่าเดิมอีกต่อไป นิทรรศการนี้จึงถือกำเนิดขึ้นด้วยแรงปรารถนาที่จะนำเรื่องราว ประสบการณ์ ความทรงจำ และข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่ามาถ่ายทอด เพื่อเปิดมุมมองและโอกาสใหม่ในการพัฒนาต่อยอดสู่ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีชีวิตชีวา

การจัดแสดงครั้งนี้เป็นการรวบรวมผลงานการออกแบบสร้างสรรค์จากกลุ่มเครือข่ายศิลปิน นักสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการ และชุมชนในจังหวัดเชียงราย ที่ร่วมกันบอกเล่าเรื่องราวและแรงบันดาลใจจากย่านถนนธนาลัย ซึ่งเป็นย่านการค้าเก่าแก่ที่สะท้อนถึงความเป็นพหุวัฒนธรรมของเมืองเชียงรายได้อย่างชัดเจน เนื้อหาในนิทรรศการครอบคลุมพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคม ศิลปะ วัฒนธรรม ไปจนถึงเรื่องราวของร้านค้าเก่าแก่และธุรกิจของคนรุ่นใหม่ที่ร่วมกันพัฒนาและต่อยอดแบรนด์กิจการดั้งเดิมไปสู่ธุรกิจสร้างสรรค์ใหม่ โครงการนี้ได้รับความร่วมมือจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เชียงใหม่ พร้อมด้วยหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในพื้นที่

หนึ่งในผลงานชิ้นเอกที่ได้รับความสนใจอย่างมากในนิทรรศการนี้คือ ประติมากรรมชื่อ “Peony” หรือ “ดอกโบตั๋น” โดยนายเอกพงษ์ ใจบุญ ศิลปินร่วมสมัยผู้ให้ความสำคัญกับรากเหง้าทางวัฒนธรรมและศิลปะพื้นถิ่น นายเอกพงษ์เปิดเผยว่า ผลงานชิ้นนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากการลงพื้นที่ในย่านธนาลัย และได้นำเอาแนวคิดเรื่องพหุวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากวัฒนธรรมไทย-จีน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของย่านการค้านี้มาสร้างสรรค์ ดอกโบตั๋นในวัฒนธรรมจีนถือเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคลาภ ความมั่งคั่ง และความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งสอดคล้องกับภาพลักษณ์ในอดีตของย่านธนาลัยที่เคยรุ่งเรืองด้านการค้า

ผลงาน “Peony” ไม่ได้เป็นเพียงประติมากรรมนูนต่ำที่นำเสนอเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น หากแต่ยังสะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างอดีตกับปัจจุบันผ่านกระบวนการคิดอย่างลึกซึ้งและการเลือกใช้วัสดุที่มีความหมาย นายเอกพงษ์ได้ผสานความเชื่อเรื่องดอกโบตั๋นเข้ากับองค์ประกอบทางศิลปกรรมของสถาปัตยกรรมดั้งเดิมในย่านธนาลัย อาทิ เส้นสายของลายฉลุ ลวดลายไม้สลัก และรูปทรงที่ถอดแบบจากภูมิปัญญาช่างไม้โบราณ เพื่อแสดงถึงความงามอันเป็นนิรันดร์ของอดีตในบริบทของโลกปัจจุบัน

ความโดดเด่นของ “Peony” ยังอยู่ที่กระบวนการสร้างสรรค์ที่พิถีพิถัน ศิลปินได้เลือกใช้ไม้จากธรรมชาติ ซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็งและมีความงดงามในตัวเอง เช่น ไม้ตะเคียน ไม้แดง และไม้จำปี โดยนำมาแปรรูปเป็นองค์ประกอบทางศิลปะด้วยเทคนิคการตัดไม้เป็นรูปทรงอิสระ และนำมาประกอบเข้าด้วยกันอย่างประณีตผ่านวิธีการบากเดือยแบบช่างไม้โบราณ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมา นอกจากนี้ ยังเสริมความแข็งแรงและความงามของผลงานด้วยการประสานไม้ด้วยกาวและหมุดทองเหลือง

ในแง่มิติทางทัศนศิลป์ “Peony” ถ่ายทอดความสมดุลของแสง เงา และผิวสัมผัสที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อม สร้างประสบการณ์ทางสายตาที่ลุ่มลึกให้กับผู้ชม ผลงานชิ้นนี้ช่วยให้ผู้ชมสามารถสัมผัสถึงความเคลื่อนไหวที่นิ่งงัน ความร่วมสมัยที่อิงรากฐานของอดีต และการสื่อสารอย่างลึกซึ้งโดยไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำ นายเอกพงษ์เชื่อว่า “Peony” ไม่ใช่เพียงวัตถุทางศิลปะ แต่เป็นบทสนทนาระหว่างอดีตและปัจจุบัน ระหว่างศิลปะและวัฒนธรรม และระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ เป็นการตีความ “ความมั่งคั่ง” ในความหมายใหม่ ที่ไม่ได้จำกัดเพียงทรัพย์สินเงินทอง หากแต่รวมถึงความมั่งคั่งทางจิตวิญญาณ ความคิดสร้างสรรค์ และความงดงามของย่านธนาลัยอันไร้กาลเวลา

โครงการและนิทรรศการนี้จึงเป็นมากกว่าการจัดแสดงงานศิลปะ แต่เป็นการวางรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืนของจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ประชาชนทั่วไปจะได้รับประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม:

  • การฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่น: การนำเสนอและต่อยอดธุรกิจดั้งเดิมไปสู่ธุรกิจสร้างสรรค์ใหม่ จะช่วยกระตุ้นการค้าและบริการในย่านธนาลัยและพื้นที่ใกล้เคียง สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ให้กับผู้ประกอบการและชุมชน
  • การอนุรักษ์และต่อยอดมรดกทางวัฒนธรรม: การนำเรื่องราวประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรมของย่านเก่ามาสร้างสรรค์ในรูปแบบใหม่ เป็นการรักษาคุณค่าดั้งเดิมพร้อมทั้งสร้างความน่าสนใจให้กับคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยว
  • การสร้างแรงบันดาลใจและการพัฒนาศักยภาพ: โครงการนี้ส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาทักษะ ความรู้ และนวัตกรรมใหม่ ๆ ในสาขาต่าง ๆ เป็นการยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรในพื้นที่
  • การยกระดับคุณภาพชีวิตและภูมิทัศน์เมือง: การพัฒนาให้ย่านธนาลัยเป็น “ย่านสร้างสรรค์ที่มีชีวิตชีวา” ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความงามและอัตลักษณ์ของเมือง แต่ยังส่งเสริมให้เกิดพื้นที่สาธารณะที่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตของคนในชุมชน
  • การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม: นิทรรศการและแนวคิดเรื่องย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์จะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติให้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนใครในเชียงราย ซึ่งจะสร้างรายได้หมุนเวียนและกระจายไปสู่ธุรกิจในท้องถิ่น

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม ถึง 8 กันยายน 2568 เวลา 10.00 – 16.00 น. (หยุดวันจันทร์) เป็นการรวมพลังของหลายภาคส่วนเพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดของจังหวัดเชียงรายในการผสมผสานอดีตเข้ากับปัจจุบัน และสร้างสรรค์อนาคตที่รุ่งเรืองด้วยภูมิปัญญาและจินตนาการ

นายเอกพงษ์ ใจบุญ ในฐานะศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงาน "Peony" (ดอกโบตั๋น)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • โครงการส่งเสริมศักยภาพและสร้างเครือข่ายนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จังหวัดเชียงราย
  • บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เชียงใหม่ (Creative Economy Agency (Public Organization) – CEA Chiang Mai)
  • กลุ่มเครือข่ายศิลปิน นักสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการ ชุมชน และหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE LIFESTYLE

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE” ปลุกชีพย่าน “ธนาลัย” สู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” เปิดมิติใหม่สู่การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในจังหวัดเชียงราย

เชียงราย, 9 สิงหาคม 2568 –ผสมผสานรากเหง้าทางวัฒนธรรมกับนวัตกรรมของคนรุ่นใหม่ หวังปลุกชีพย่านการค้าเก่าแก่ให้กลับมาคึกคัก พร้อมดึงดูดนักสร้างสรรค์และนักลงทุนสู่ถิ่นฐาน เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย ได้มีการเปิดนิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” อย่างเป็นทางการ. นิทรรศการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการส่งเสริมศักยภาพและสร้างเครือข่ายนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ ในย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จังหวัดเชียงราย. โครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมืออันแข็งแกร่งระหว่างสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์กร มหาชน) เชียงใหม่, นักสร้างสรรค์ท้องถิ่น, และหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในจังหวัดเชียงราย. กิจกรรมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอผลงานผ่านแนวคิดการออกแบบและกิจกรรมสร้างสรรค์ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของย่านการค้าธนาลัย ตลอดจนถ่ายทอดประสบการณ์ ความทรงจำ และข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่า.

พลิกฟื้นย่านเก่าแก่จากอดีตสู่โอกาสในอนาคต

ย่านธนาลัยและย่านในเวียง ถูกเลือกให้เป็นพื้นที่เป้าหมายสำคัญในการขับเคลื่อนกิจกรรมครั้งนี้ เนื่องจากเป็นย่านการค้าเก่าแก่ที่มีความคึกคักในอดีต และยังคงเป็นจุดเชื่อมต่อของผู้คนหลากหลายเชื้อชาติและวัฒนธรรม ทั้งพ่อค้าชาวจีน ชาวพม่า และกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐาน. พื้นที่เหล่านี้มีเสน่ห์เฉพาะตัวจากวิถีชีวิต อาคารเก่า ร้านค้าโบราณ รวมถึงทุนทางศิลปะวัฒนธรรมที่ยังคงมีชีวิตชีวา. สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์มองเห็นว่าย่านทั้งสองแห่งนี้มีศักยภาพที่แข็งแกร่งจากรากฐานทางวัฒนธรรม วิถีชีวิต ศิลปะที่สืบทอดกันมา รวมถึงอาคารสถาปัตยกรรมและวัดวาอารามเก่าแก่. ความหลากหลายทางวัฒนธรรมนี้เองถือเป็นจุดแข็งที่สำคัญ และเป็นโอกาสในการพัฒนาต่อยอดสู่ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีชีวิต.

นายเอกพงษ์ ใจบุญ หัวหน้าโปรเจกต์ “Back to the future การละครั้งหนึ่ง ณ พนาลัย” ได้กล่าวถึงวิสัยทัศน์ว่า โครงการนี้ไม่เพียงแค่ส่งเสริมเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นกระบวนการฟื้นฟู รักษา และต่อยอดมรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น เพื่อส่งต่อคุณค่าเหล่านี้สู่ “อนาคตอย่างยั่งยืน”. โดยมีเป้าหมายให้เชียงรายเป็นต้นแบบและเมืองต้นแบบสำคัญที่สามารถหลอมรวมอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเข้าด้วยกันได้อย่างกลมกลืน. หนึ่งในวัตถุประสงค์หลักคือการสร้างเครือข่ายของนักสร้างสรรค์และชุมชน เพื่อแสดงพลังในการขับเคลื่อนพื้นที่ไปสู่เป้าหมายเดียวกัน. นอกจากนี้ยังมุ่งสร้างการรับรู้ถึงศักยภาพของพื้นที่ เพื่อให้คนภายนอกและคนเชียงรายเองมองเห็นโอกาสในการต่อยอดสร้างอาชีพ สร้างเศรษฐกิจ และดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้กลับคืนถิ่นเพื่อลงทุนและพัฒนาพื้นที่. ในท้ายที่สุด นำไปสู่การเป็นย่านที่น่าอยู่ น่าลงทุน และน่าท่องเที่ยวในอนาคต.

ถักทอเรื่องราวผ่านผลงานศิลปะการตีความใหม่จากนักสร้างสรรค์

นิทรรศการครั้งนี้รวบรวมผลงานของนักสร้างสรรค์ 5 กลุ่ม/ท่าน ซึ่งแต่ละผลงานล้วนได้รับแรงบันดาลใจและสะท้อนเรื่องราวจากย่านธนาลัยในมุมมองที่แตกต่างกันออกไป.

นายเอกพงษ์ ใจบุญ ในฐานะศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงาน "Peony" (ดอกโบตั๋น)
นายเอกพงษ์ ใจบุญ

ในฐานะศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงาน “Peony” (ดอกโบตั๋น) ได้นำเสนอประติมากรรมนูนต่ำเชิงสัญลักษณ์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากย่านธนาลัย ซึ่งในอดีตเคยเป็นย่านการค้าที่รุ่งเรืองและมีคนไทยเชื้อสายจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก. “ดอกโบตั๋น” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคลาภ ความมั่งคั่ง และความเจริญรุ่งเรืองในวัฒนธรรมจีน ถูกนำมาผสานกับองค์ประกอบศิลปกรรมของสถาปัตยกรรมดั้งเดิม เช่น ลายฉลุ ลายไม้แกะสลัก โดยใช้เทคนิคช่างไม้โบราณและวัสดุธรรมชาติอย่างไม้ตะเคียน ไม้แดง และไม้จำปี พร้อมประยุกต์การประกอบไม้ด้วยกาวและหมุดทองเหลือง. ผลงานนี้ไม่เพียงสะท้อนความงามเหนือกาลเวลา แต่ยังตีความ “ความมั่งคั่ง” ในความหมายใหม่ที่รวมถึงความมั่งคั่งทางจิตวิญญาณและความคิดสร้างสรรค์.

นางสาวพุทธรักษ์ ดาษดา นำเสนอผลงานชื่อ "ธนาลัย" โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก "เหล็กดัด"
นางสาวพุทธรักษ์ ดาษดา

 นำเสนอผลงานชื่อ “ธนาลัย” โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก “เหล็กดัด” ที่พบเห็นได้ทั่วไปในย่านธนาลัย ไม่ว่าจะเป็นหน้าต่าง ประตู หรือระเบียง. เธอได้เปลี่ยนเทคนิคจาก Painting และปั้น มาใช้เหล็กดัดในการสร้างสรรค์ฉากกั้นห้องแบบพับได้ โดยผสมผสานเรื่องราวของพหุวัฒนธรรมและลายผ้าเข้าด้วยกัน. ลวดลายเหล็กดัดเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนรสนิยมและภูมิปัญญาในอดีต แต่ยังแฝงไว้ด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์. ผลงานของเธอตั้งใจเป็น “จุดเริ่มต้นของการสนทนา” เพื่อชวนให้มองพื้นที่เก่าในเมืองด้วยสายตาใหม่ ว่าสามารถเป็นพื้นที่สร้างสรรค์และแรงบันดาลใจที่ร่วมสมัยได้อีกครั้ง.

นางสาวสิริฉาย เอาฬาร เลือกที่จะหันกลับมามอง "ราก" ของผู้คนในย่านธนาลัยผ่านแนวคิด "Sketch the past, Draw the future" หรือ "วาดอดีต สู่ อนาคต". โครงการ "Food Sketch Tour"
นางสาวสิริฉาย เอาฬาร

เลือกที่จะหันกลับมามอง “ราก” ของผู้คนในย่านธนาลัยผ่านแนวคิด “Sketch the past, Draw the future” หรือ “วาดอดีต สู่ อนาคต”. โครงการ “Food Sketch Tour” ของเธอเชิญชวนเยาวชนให้วาดภาพอาหารจากร้านเก่าแก่และรับฟังเรื่องเล่าจากเจ้าของร้านผู้ผ่านประสบการณ์ยาวนาน. กิจกรรมนี้สร้างบทสนทนาระหว่างรุ่นที่เต็มไปด้วยความเข้าใจและความอบอุ่น ซึ่งเรื่องเล่าเหล่านี้ถูกกลั่นกรองออกมาเป็นภาพวาดอาหารที่เปี่ยมด้วยความทรงจำและความหมาย. การจัดแสดงผลงานที่ไม่เหมือนใครนี้ โดยการจัดวางภาพวาดบนโต๊ะอาหารจริงใน “มื้อสร้างสรรค์” เชิญชวนผู้ชมให้ “ลิ้มรสเรื่องราว” ทั้งผ่านสายตาและประสบการณ์การกิน. แนวคิดนี้จึงไม่หยุดแค่การอนุรักษ์ปัญญาเก่าแก่ แต่เป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืนผ่านการเชื่อมโยงคนต่างวัยและส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในระดับชุมชน.

กลุ่มศิลปิน ไส้ติ่ง โซไซตี้ (SIDETHINK SOCIETY) ให้ความสนใจกับ "ประวัติศาสตร์" ที่ไม่ถูกบันทึกไว้ในตำรา แต่ถ่ายทอดผ่านสิ่งของ สถานที่ และวิถีชีวิต.
กลุ่มศิลปิน ไส้ติ่ง โซไซตี้ (SIDETHINK SOCIETY)

 ให้ความสนใจกับ “ประวัติศาสตร์” ที่ไม่ถูกบันทึกไว้ในตำรา แต่ถ่ายทอดผ่านสิ่งของ สถานที่ และวิถีชีวิต. พวกเขามองเห็นคุณค่าของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในย่านธนาลัย ซึ่งเป็นจุดบรรจบของเรื่องราวมากมายทั้งมิติชาติพันธุ์ ศาสนา และเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ “ประวัติศาสตร์การค้า” ที่สะท้อนผ่านอาคาร ร้านค้า และวิถีชีวิต. กลุ่มฯ ได้จัดกิจกรรม “การเสวนาแลกเปลี่ยน” เพื่อเชื่อมโยงประวัติศาสตร์กับพหุวัฒนธรรมของย่านธนาลัย. นอกจากการเสวนาแล้ว กลุ่มศิลปินยังได้รวบรวม “ของเก่า” และ “ผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่จริง” ในย่านธนาลัย เพื่อนำมาจัดแสดงในนิทรรศการภายใต้ชื่อ “ลุ้นรรจความสัมพันธ์” ซึ่งเปรียบเสมือนภาชนะทางความคิดที่เก็บรวบรวมความทรงจำและเรื่องราวของผู้คน. แนวคิดนี้มุ่งเน้นว่า “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการร้อยเรียงอดีตเข้ากับปัจจุบันอย่างลึกซึ้ง เคารพต่อความหลากหลาย และเปิดโอกาสให้เรื่องเล่าเก่าๆ กลับมามีความหมายใหม่อีกครั้ง.

นายรชรินทร์ อินธุระ ศิลปินอีกท่านหนึ่ง ได้นำเสนอแนวคิดในการ "ยกระดับสินค้า" ของย่านธนาลัยให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง.
นายรชรินทร์ อินธุระ

ศิลปินอีกท่านหนึ่ง ได้นำเสนอแนวคิดในการ “ยกระดับสินค้า” ของย่านธนาลัยให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง. ภายใต้แนวคิด “Remake Thanalai” หรือ “ทนัย กู” (ของดีธนาลัย) เขาพยายามนำของที่มีอยู่ในร้านค้าต่างๆ มาจัดองค์ประกอบด้วยความคิดสร้างสรรค์ เพื่อให้กลายเป็นของใหม่ที่น่าสนใจยิ่งขึ้น. ผลงานของเขา เช่น โคมไฟตั้งโต๊ะ โคมไฟตั้งพื้น ชั้นวางของ โต๊ะเล่นหมากรุก และพัด ล้วนเป็นองค์ประกอบที่ผสมผสานจากของที่ได้จากร้านค้าในย่าน. จุดประสงค์หลักคือการนำเสนอความเป็นไปได้ที่หลากหลายและความสนุกในการเดินช้อปปิ้งในธนาลัยจากมุมมองใหม่ เพื่อให้เกิดแนวทางที่น่าสนใจในอนาคต สำหรับนักออกแบบหรือผู้คนในพื้นที่ที่จะร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และสร้างความคึกคักให้กับพื้นที่ต่อไป.

ประโยชน์ของประชาชนการฟื้นฟูที่จับต้องได้และการสร้างโอกาสใหม่

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” และโครงการที่เกี่ยวข้องนี้ นำมาซึ่งประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมต่อประชาชนในหลายมิติ:

  • การฟื้นฟูและรักษาเอกลักษณ์ของพื้นที่: ประชาชนในท้องถิ่นได้เห็นคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของตนเองได้รับการอนุรักษ์และต่อยอด. การนำเสนอเรื่องราวผ่านศิลปะช่วยให้วิถีชีวิต อาคารเก่าแก่ และวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของย่านธนาลัยได้รับการจดจำและส่งต่อสู่คนรุ่นใหม่.
  • การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและอาชีพ: โครงการนี้กระตุ้นให้เกิดการมองเห็นศักยภาพของพื้นที่ในแง่ของการสร้างสรรค์ ทำให้เกิดโอกาสในการพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ๆ ที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมท้องถิ่น. การที่คนรุ่นใหม่กลับมาลงทุนและสร้างสรรค์ธุรกิจในพื้นที่ย่อมส่งผลให้เกิดการจ้างงานและรายได้หมุนเวียนในชุมชน.
  • การกระตุ้นการท่องเที่ยว: ด้วยการนำเสนอเสน่ห์ของย่านธนาลัยในมุมมองใหม่ ผสมผสานศิลปะ ประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิต นิทรรศการนี้จะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติให้มาเยี่ยมเยือน ทำให้พื้นที่กลับมามีชีวิตชีวาและคึกคักอีกครั้ง.
  • การเสริมสร้างเครือข่ายและความร่วมมือ: โครงการเปิดโอกาสให้ชุมชน ผู้ประกอบการ และนักสร้างสรรค์ ได้ทำงานร่วมกัน. นี่คือเวทีที่ประชาชนสามารถสะท้อนความคิดเห็นและร่วมกำหนดทิศทางการพัฒนาบ้านเกิดของตนเองผ่านความร่วมมือ. การสร้างเครือข่ายนี้จะนำไปสู่โครงการระยะยาวที่ยั่งยืน.
  • การเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจ: ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะเยาวชน ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของท้องถิ่นผ่านรูปแบบที่น่าสนใจและเข้าถึงง่าย. ผลงานศิลปะที่จัดแสดงยังเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนได้มองเห็นสิ่งรอบตัวด้วยมุมมองใหม่ และเปิดโอกาสให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ในชีวิตประจำวัน.

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” จึงไม่ได้เป็นเพียงการแสดงงานศิลปะ แต่เป็นต้นแบบของการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอย่างสร้างสรรค์ โดยมีเชียงรายเป็นศูนย์กลางในการหลอมรวมอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เพื่อสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้กับชุมชนและประเทศชาติ. นิทรรศการจะจัดแสดงไปจนถึงวันที่ 8 กันยายน 2568 เวลา 10.00 – 16.00 น. (หยุดวันจันทร์).

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เชียงใหม่
  • บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย
  • นักสร้างสรรค์และศิลปินกลุ่มต่างๆ: นายเอกพงษ์ ใจบุญ, นางสาวพุทธรักษ์ ดาษดา, นางสาวสิริฉาย เอาฬาร, กลุ่มศิลปิน ไส้ติ่ง โซไซตี้, และนายรชรินทร์ อินธุระ
  • เครือข่ายศิลปิน ชุมชน ผู้ประกอบการ ร้านค้าในพื้นที่ย่าน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ข่าวดีผู้ใช้ Samsung จอเขียว! สภาผู้บริโภคเปิดให้ยื่นขอคืนเงินค่าซ่อมแล้ววันนี้

ซัมซุงจอเขียวสะเทือนวงการ! สภาผู้บริโภคเปิดศึกคดีกลุ่ม จุดชนวน ‘เลมอน ลอว์’ ยุคใหม่ของการทวงคืนสิทธิ

กรุงเทพฯ, 8 สิงหาคม 2568 – การฟ้องคดีแบบกลุ่ม (Class Action) ของผู้บริโภคกว่า 100 รายต่อบริษัทซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ ประเทศไทย สะท้อนภาพใหม่ของการลุกขึ้นสู้เพื่อสิทธิผู้บริโภคในสังคมไทย ยิ่งไปกว่านั้น การต่อสู้ในครั้งนี้ยังเป็นการเปิดเวทีผลักดันกฎหมายใหม่ “เลมอน ลอว์” หรือ พระราชบัญญัติความรับผิดชอบต่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า ที่จะปฏิวัติความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายอย่างมีนัยสำคัญ

ปัญหาจากเส้นสีเขียวในจอ สู่คลื่นพลังของผู้บริโภคยุคใหม่

เริ่มต้นจากผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ Samsung Galaxy หลายรุ่นพบปัญหาหน้าจอมีเส้นสีเขียวหรือสีชมพูหลังจากอัปเดตซอฟต์แวร์ ซึ่งไม่เพียงสร้างความไม่สะดวกในการใช้งาน แต่ยังเป็นภาระทางการเงินมหาศาลให้กับผู้บริโภคที่ต้องเสียเงินค่าซ่อมจอใหม่ในราคาตั้งแต่ 7,000–15,000 บาท โดยที่บริษัทปฏิเสธความรับผิดชอบ อ้างว่าเป็นปัญหาที่ไม่อยู่ในประกันหรือเกิดจากการใช้งานของผู้ใช้เอง

เมื่อจำนวนผู้ร้องเรียนเพิ่มขึ้นกว่า 250 ราย สภาองค์กรของผู้บริโภค หรือ “สภาผู้บริโภค” จึงเริ่มลงมือรวบรวมหลักฐาน และในที่สุด ได้ยื่นฟ้องศาลแพ่งกรุงเทพใต้เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2567 โดยมีผู้เสียหาย 119 รายเป็นตัวแทนในการฟ้องคดีแบบกลุ่มต่อบริษัท ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด และ บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด

เมื่อ “คดีกลุ่ม” กลายเป็นเครื่องมือสร้างความยุติธรรม

นายโสภณ หนูรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาผู้บริโภค อธิบายว่า คดีแบบกลุ่มเป็นกลไกทางกฎหมายที่ทรงพลัง โดยช่วยลดต้นทุนการฟ้องของแต่ละบุคคล และยังส่งผลให้ผู้เสียหายทั้งหมดได้รับการเยียวยาเมื่อคำพิพากษาถึงที่สุดโดยไม่ต้องแยกยื่นฟ้องใหม่ ซึ่งถือเป็นการสร้างความเป็นธรรมอย่างทั่วถึงในระบบกฎหมาย

“การฟ้องคดีกลุ่มครั้งนี้ไม่เพียงเพื่อซ่อมมือถือ แต่เป็นการซ่อมแซมระบบความยุติธรรมที่ผู้บริโภคไทยควรได้รับมานานแล้ว” นายโสภณกล่าว

จากความเสียหายเฉพาะราย สู่กฎหมายแห่งความเท่าเทียม “เลมอน ลอว์”

การฟ้องคดีซัมซุงจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของสินค้าเสียหาย แต่ยังเปิดโปงช่องโหว่ของกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศไทยที่ไม่ครอบคลุม และเปิดช่องให้ผู้ประกอบการปฏิเสธความรับผิดชอบอย่างง่ายดาย

สภาผู้บริโภคจึงเดินหน้าผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.ความรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า หรือที่เรียกกันว่า เลมอน ลอว์” ซึ่งจะให้อำนาจผู้บริโภคในกรณีที่ซื้อสินค้ามีปัญหา โดยสามารถเลือกได้ 5 แนวทาง ได้แก่:

  1. ขอซ่อม
  2. ขอเปลี่ยน
  3. ขอลดราคา
  4. ขอเลิกสัญญาและคืนเงิน
  5. ขอปฏิเสธการชำระเงินงวด (หากเป็นสินค้าที่ผ่อนชำระ)

กฎหมายนี้ได้ถูกใช้ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ และกำลังถูกบรรจุเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของรัฐสภาไทย เพื่อสร้างการปกป้องสิทธิอย่างรอบด้านในสังคมที่เทคโนโลยีและการซื้อขายออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว

ประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่แค่คดี แต่คือระบบที่ดีกว่า

การฟ้องคดีกลุ่มในกรณีซัมซุงกลายเป็น “ต้นแบบ” ที่สำคัญของการรวมตัวของผู้บริโภคเพื่อปกป้องสิทธิของตนเองอย่างมีระบบ และยังแสดงให้เห็นถึงพลังขององค์กรกลางอย่างสภาผู้บริโภคในการเป็นสื่อกลางและผู้ผลักดันการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย

นางสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวย้ำว่า “นี่เป็นเพียงก้าวแรกของการสร้างเมืองที่ผู้บริโภคอยู่ได้อย่างเป็นธรรม ผู้บริโภคต้องได้รับสิทธิอย่างเต็มที่ และไม่ควรถูกมองว่าเป็นผู้ที่ไม่มีทางเลือก”

จากข้อมูลสถิติปี 2567 (ต.ค. 2566 – ก.ย. 2567) สภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนจำนวน 17,028 เรื่อง โดยสามารถดำเนินการช่วยเหลือสำเร็จ 80.10% รวมเป็นเงินชดเชยมากกว่า 236 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทขององค์กรภาคประชาชนที่กำลังเติบโตและกลายเป็นเสาหลักของความยุติธรรมในสังคมยุคใหม่

ซัมซุงไม่ใช่รายแรก และจะไม่ใช่รายสุดท้าย

กรณีของซัมซุงอาจจบลงด้วยคำพิพากษาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่ผลกระทบเชิงโครงสร้างของคดีนี้จะยังคงสั่นสะเทือนตลาดและวงการธุรกิจไปอีกนาน เพราะสิ่งที่ผู้บริโภคเรียกร้องไม่ใช่แค่เงินคืน แต่คือการยอมรับความผิดและการเปลี่ยนแปลงของระบบ

ผู้ประกอบการในอนาคตจะต้องคำนึงถึงคุณภาพสินค้าอย่างแท้จริง เพราะเมื่อเสียงของผู้บริโภครวมพลังกัน เสียงนั้นจะดังเกินกว่าจะเพิกเฉยได้ และผู้บริโภคเองก็ต้องเรียนรู้ว่าตนมีสิทธิมากกว่าที่คิด — หากมีเครื่องมือและองค์กรที่พร้อมยืนเคียงข้างพวกเขา

ประชาชนได้อะไร?

  1. สิทธิตามกฎหมายชัดเจนขึ้น หากเลมอน ลอว์ผ่าน พ.ร.บ. นี้จะกลายเป็นหมุดหมายใหม่ของสิทธิขั้นพื้นฐานในการซื้อสินค้า
  2. เยียวยารวดเร็วขึ้น จากการใช้คดีแบบกลุ่มแทนการฟ้องร้องเดี่ยว
  3. ลดภาระค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องรวมตัวต่อสู้กับบริษัทขนาดใหญ่
  4. เสริมสร้างวินัยให้ผู้ผลิต เพราะทุกการละเลยความรับผิดชอบอาจนำไปสู่การเสียชื่อเสียงและผลกระทบทางธุรกิจในวงกว้าง

สรุป

ในโลกที่เทคโนโลยีเติบโตเร็ว ปัญหาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เสียหายไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่สิ่งสำคัญกว่าคือ ระบบ” ที่รองรับและเยียวยาอย่างยุติธรรม ซึ่งกรณีซัมซุงจอเขียวครั้งนี้ได้จุดประกายให้เห็นว่า เสียงของประชาชน เมื่อรวมกันอย่างมีพลังและอยู่ภายใต้การนำที่ถูกต้อง ย่อมสามารถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง

ใครก็ตามที่ใช้งานโทรศัพท์มือถือ Samsung 11 รุ่นที่ระบุ และมีปัญหาหน้าจอขึ้นเส้นแนวตั้ง ซึ่งได้นำไปซ่อมและชำระเงินค่าซ่อมเองก่อนวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 มีสิทธิยื่นขอคืนเงินค่าซ่อมได้ โดยต้องยื่นเอกสารภายในวันที่ 19 สิงหาคม 2568 เท่านั้น

รุ่นโทรศัพท์ที่เข้าข่าย

มีทั้งหมด 11 รุ่นดังนี้:

  • Note 20 / Note 20 5G
  • Note 20 Ultra / Note 20 Ultra 5G
  • S20 Plus / S20 Ultra
  • S21 FE / S21 Ultra
  • S22 / S22 Plus / S22 Ultra

วิธีการยื่นขอคืนเงิน

ผู้ที่มีสิทธิตามเงื่อนไขสามารถยื่นเอกสารได้ 2 ช่องทาง คือ:

  1. ออนไลน์: ผ่านเว็บไซต์สภาผู้บริโภคที่ลิงก์ https://www.tcc.or.th/samsung-greenline/
  2. ออฟไลน์: (ไม่มีระบุไว้ในข้อมูล)

เอกสารที่ต้องใช้

ในการยื่นเรื่องขอคืนเงิน ต้องแนบเอกสารดังต่อไปนี้:

  • สำเนาบัตรประชาชน (พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง)
  • ภาพถ่ายหน้าจอโทรศัพท์ที่ขึ้นเส้นและหน้าจอ “About phone”
  • ใบเสร็จค่าซ่อมหรือใบสั่งซ่อมจากศูนย์บริการ
  • ภาพหรือข้อมูลหมายเลข Serial Number หรือ IMEI
  • ข้อมูลติดต่อ (ชื่อ-นามสกุล, เบอร์โทรศัพท์, อีเมล)

การยื่นเอกสารต้องทำภายในวันที่ 19 สิงหาคม 2568 หากพ้นกำหนดจะไม่สามารถพิจารณาสิทธิได้

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค)
  • สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)
  • ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
  • Statista
  • เว็บไซต์: www.tcc.or.th
  • สายด่วนผู้บริโภค: 1502
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

รถไฟฟ้า 20 บาท ความท้าทายของความเท่าเทียมในระบบของผู้บริโภคต่างจังหวัด

รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ความท้าทายของความเท่าเทียมในระบบผู้บริโภค

เชียงราย, 8 สิงหาคม 2568กรณีศึกษา EV Bus เชียงรายที่ต้องหยุดให้บริการแม้ประชาชนต้องการ นโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ที่รัฐบาลนำเสนอเป็นนโยบายเพื่อคนไทยทุกคน แต่ในอีกมุมหนึ่งกลับเผยให้เห็นความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนระหว่างกรุงเทพฯ และจังหวัดต่าง ๆ อย่างชัดเจนขึ้น เมื่อกรณีของรถ EV Bus ในจังหวัดเชียงรายที่ต้องหยุดให้บริการในปี 2567 แม้จะมีผู้โดยสารใช้บริการอย่างสม่ำเสมอ และได้รับการตอบรับจากประชาชนในจังหวัดเชียงรายเป็นอย่างดี

จุดเริ่มต้นของความหวัง EV Bus เชียงราย เปิดตัว

เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2566 จังหวัดเชียงรายได้เปิดให้บริการรถประจำทางปรับอากาศ EV Bus เชียงรายเป็นครั้งแรก โดยให้บริการเส้นทางที่ครอบคลุมในสถานที่สำคัญของจังหวัด เริ่มต้นจากท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ไปตามถนนเวียงบูรพา ผ่านองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย สนามกีฬากลางจังหวัด อนุสาวรีย์พญามังราย สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงราย ไนท์บาซาร์ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และสิ้นสุดที่สถานีขนส่งผู้โดยสารเชียงรายแห่งที่ 2

รถ EV Bus นี้ให้บริการวันละ 4 เที่ยว คิดค่าโดยสาร 28 บาทต่อคน และได้รับความนิยมจากผู้โดยสารเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากสนามบิน ด้วยความสะดวกสบายและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ความจริงเบื้องหลังการขาดทุน

แม้จะมีผู้โดยสารเฉลี่ย 78 คนต่อวัน และรายได้ประมาณ 65,520 บาทต่อเดือน แต่ต้นทุนการดำเนินกิจการกลับสูงถึง 320,000 บาทต่อเดือน ทำให้เกิดการขาดทุนสุทธิ 254,480 บาทต่อเดือน รายละเอียดค่าใช้จ่ายประกอบไปด้วย เงินเดือนค่าจ้างพนักงาน 10 คน รวม 150,000 บาท ค่าชาร์จไฟฟ้า 90,000 บาท ค่าเช่าสถานที่ 30,000 บาท และค่าบริหารอื่น ๆ อีก 50,000 บาท

จากการวิเคราะห์พบว่า หากไม่มีการสนับสนุนจากภาครัฐ โครงการนี้จะขาดทุนสะสมกว่า 11 ล้านบาทในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการเอกชนไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้

อุปสรรคที่เกินกว่าจะแก้ไขได้

ปัญหาหลักที่ทำให้โครงการ EV Bus เชียงรายล้มเหลว มาจากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยภายใน และภายนอก

ด้านปัจจัยภายใน ได้แก่ ต้นทุนและข้อจำกัดด้านสัมปทาน เนื่องจากรูปแบบสัมปทานรถโดยสารจากกรมขนส่งฯ ให้ผู้ประกอบการแบกรับต้นทุนการจัดการทั้งหมด ตั้งแต่การจัดหารถยนต์ไฟฟ้า การบริหารจัดการ รวมถึงการที่ทางขนส่งไม่มีสถานีประจำ หรือที่พักรถให้ ส่งผลให้เกิดภาระหนักทั้งด้านการลงทุนและการซ่อมบำรุง

นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ แม้จะมีการเปิดสถานีชาร์จไฟฟ้าเพิ่มในภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย แต่การเข้าถึงสถานีชาร์จที่เพียงพอและมีมาตรฐานสูงยังไม่ครอบคลุมระบบเดินรถ EV ในเมืองอย่างเหมาะสม

ส่วนปัจจัยภายนอก พบว่า ระบบภาครัฐของไทยมีการยื่นขอเอกสารกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องค่อนข้างล่าช้า และไม่ยืดหยุ่น ประกอบกับการต่อต้านจากระบบขนส่งเดิม ๆ ที่เห็นว่า EV Bus เป็นคู่แข่งที่มาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาด จึงมีการยื่นเรื่องขัดขวางกับทางขนส่ง

เสียงจากผู้ประกอบการที่ทำเพื่อสังคมแม้ขาดทุน

ตัวแทนจากทีมงาน EV Bus เชียงรายเปิดเผยว่า “การประมาณงบคร่าว ๆ ทำให้รู้ว่าจะขาดทุน แต่เราก็ทำ เพราะอยากให้นักศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงและคนจากสนามบินเข้าเมืองได้สะดวก แต่ปัจจัยภายนอกกระทบมาก และแบกรับต้นทุนไม่ไหว จึงต้องหยุด”

จากการสัมภาษณ์พบว่า ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงและนักท่องเที่ยว ซึ่งต้องการระบบขนส่งที่สะดวกและราคาไม่แพง หากมีการสนับสนุนจากภาครัฐ อาจช่วยให้โครงการสามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืน

ความเหลื่อมล้ำในนโยบายขนส่งมวลชน

นโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ที่ถูกชูว่าเป็นนโยบายเพื่อคนไทยทุกคน ในความเป็นจริงกลับถูกจำกัดอยู่แค่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ขณะที่ประชาชนและผู้บริโภคในต่างจังหวัดยังต้องเสียค่าเดินทางสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งค่ารถเหมา ค่ามอเตอร์ไซค์รับจ้าง หรือค่ารถสองแถว ที่ยังไม่มีโครงข่ายขนส่งมวลชนทันสมัยมารองรับ

การที่นโยบายนี้ใช้งบประมาณจากภาษีของประชาชนทั้งประเทศ แต่ประโยชน์กลับตกแค่เฉพาะคนในพื้นที่บางพื้นที่เท่านั้น ทำให้เกิดคำถามว่า นี่คือนโยบาย “เพื่อคนไทยทุกคน” หรือ “เพื่อคนบางพื้นที่” กันแน่

แนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้

จากการวิเคราะห์กรณี EV Bus เชียงราย พบว่า หากภาครัฐต้องการให้ระบบขนส่งสาธารณะครอบคลุมอย่างแท้จริง ควรมีการสนับสนุนในหลายรูปแบบ อย่างเช่น

  • การอุดหนุนการลงทุนเริ่มต้น โดยสนับสนุน 30-50% ของราคารถยนต์ไฟฟ้า หรือให้กู้ยืมดอกเบี้ยต่ำผ่านกองทุนรัฐ เพื่อลดภาระต้นทุนรถยนต์ไฟฟ้า
  • การอุดหนุนค่าพลังงานไฟฟ้า โดยรัฐช่วยอุดหนุนค่าชาร์จไฟฟ้า เช่น 50% ของค่าไฟใน 3 ปีแรก และส่งเสริมสถานีชาร์จของรัฐร่วมกับเทศบาล
  • การอุดหนุนการเดินรถตามจำนวนเที่ยวหรือคนโดยสาร โดยจ่ายอุดหนุนแบบ “per passenger” เช่น รัฐช่วย 10 บาทต่อคนที่ขึ้นรถ หรือ “per trip” เช่น ช่วย 500-1,000 บาทต่อเที่ยววิ่งที่กำหนด
  • การให้ใช้ทรัพย์สินรัฐฟรี โดยใช้สถานที่ราชการที่ว่าง เช่น สถานีขนส่งเก่า โรงเรียนไม่ใช้ช่วงวันหยุด มาทำจุดจอดหรือสถานีชาร์จ รวมถึงยกเว้นค่าเช่าพื้นที่ 3 ปีแรก
  • การประชาสัมพันธ์และสวัสดิการให้ประชาชนใช้งาน โดยให้เครดิตเดินทางฟรีแก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทำแคมเปญ “ขึ้นฟรี 1 เดือนแรก” หรือลดค่าโดยสารสำหรับนักเรียน นักศึกษา และผู้สูงอายุ

จากการประมาณการ หากมีการสนับสนุนตามแนวทางดังกล่าว รัฐจะต้องใช้งบประมาณประมาณ 5 ล้านบาทต่อปี สำหรับโครงการ EV Bus ขนาด 3 คัน ซึ่งจะลดลงเมื่อจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นและสามารถพึ่งพาตนเองได้

บทเรียนสำคัญจากจังหวัดเชียงราย

ความล้มเหลวของ EV Bus เชียงรายพิสูจน์แล้วว่า แม้จะมีความตั้งใจดี หากไม่มีโครงสร้างสนับสนุนจากภาครัฐ ระบบก็ไม่สามารถไปต่อได้ แม้จะมีประชาชนพร้อมใช้บริการก็ตาม ความล้มเหลวครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดของผู้ประกอบการหรือประชาชน แต่อาจจะเป็นความผิดพลาดในการออกแบบนโยบาย โดยที่ไม่ได้เล็งเห็นความจริง และความจำเป็นในพื้นที่

ผลกระทบต่อประชาชน

ในทางปฏิบัติ ผู้ที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายอย่างชัดเจน คือ ผู้โดยสารในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงผู้ประกอบการที่ได้รับเงินชดเชยจากรัฐ ส่วนผู้เสียประโยชน์ คือ คนในต่างจังหวัดที่ต้องจ่ายภาษีเท่ากัน แต่กลับไม่มีสิทธิ์ ไม่มีโอกาสได้ใช้บริการใด ๆ จากนโยบายนี้เลย

การขาดแคลนระบบขนส่งมวลชนในต่างจังหวัดส่งผลให้ประชาชนต้องพึ่งพายานพาหนะส่วนตัว ซึ่งเป็นการเพิ่มต้นทุนการครองชีพ เพิ่มมลพิษทางอากาศ และสร้างปัญหาการจราจร โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีแหล่งท่องเที่ยวหรือสถานศึกษาขนาดใหญ่

ข้อเสนอแนะจากประชาชน

ประชาชนในต่างจังหวัดต้องการเห็นนโยบายที่เท่าเทียมกัน ไม่ใช่เฉพาะในเมืองใหญ่ รัฐบาลควรเปิดพื้นที่ให้เอกชนและท้องถิ่นได้พัฒนาโดยมีภาครัฐหนุนหลัง โดยเฉพาะการเชื่อมต่อเส้นทางจากสนามบิน โรงพยาบาล สถานศึกษา และแหล่งท่องเที่ยวภายในจังหวัด

กรณีของจังหวัดเชียงรายอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี หากภาครัฐปรับเปลี่ยนวิธีคิดจากการให้สิทธิพิเศษแก่คนในพื้นที่บางพื้นที่ มาเป็นการสร้างโอกาสให้ในทุก ๆ พื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะเมืองรองที่ภาครัฐต้องการจะสนับสนุนให้คนมาท่องเที่ยวเพื่อกระจายรายได้ และกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้มีระบบขนส่งมวลชนที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

วิเคราะห์ผลกระทบระยะยาว

หากรัฐบาลยังคงดำเนินการในการจัดทำนโยบายแบบเดิม อาจส่งผลให้เกิดความแตกแยกทางสังคมมากขึ้น เมื่อคนในกรุงเทพฯ มีสิทธิประโยชน์มากกว่า ในขณะที่คนในต่างจังหวัดไม่มี ทั้งที่ทุกคนเป็นผู้เสียภาษีเท่ากัน

ในระยะยาว การขาดระบบขนส่งมวลชนในต่างจังหวัด อาจจะส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น เนื่องจากการเดินทางที่ไม่สะดวก อาจลดการเคลื่อนย้ายของแรงงานและนักท่องเที่ยว ส่งผลให้การกระจายรายได้นั้นไม่ทั่วถึง

ขนส่งมวลชนคือความยุติธรรมเชิงพื้นที่

นโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” เป็นเรื่องของความยุติธรรมทางพื้นที่ ไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลขหรืองบประมาณ หากรัฐบาลยังเลือกสนับสนุนเพียงพื้นที่ที่เสียงดัง และปล่อยให้ภูมิภาคหรือพื้นที่อื่นเงียบหาย เท่ากับตอกย้ำความเหลื่อมล้ำของระบบขนส่งสาธารณะของผู้บริโภคคนไทย

กรณีศึกษาของ EV Bus เชียงรายแสดงให้เห็นว่า ความตั้งใจดีและความต้องการของประชาชนเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ หากไม่มีนโยบายจากภาครัฐมาสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม ระบบขนส่งมวลชนในต่างจังหวัดจะยังคงเป็นเพียงความฝัน

คนไทยทุกคนควรมีสิทธิ์เข้าถึงระบบขนส่งที่มีคุณภาพ ไม่ว่าจะอยู่จังหวัดไหน ไม่ใช่แค่ในเมืองหลวง การสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนจึงเป็นภารกิจสำคัญที่ภาครัฐต้องดำเนินการอย่างจริงจัง หากต้องการให้นโยบายขนส่งเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคคนไทยทุกคนอย่างแท้จริง

สภาองค์กรของผู้บริโภคมีช่องทางการร้องเรียนดังนี้

Line: @tccthailand
ใครพบปัญหาผู้บริโภคสามารถร้องเรียนสภาองค์กรของผู้บริโภค
Facebook / X (Twitter): สภาองค์กรของผู้บริโภค
Tiktok: tccthailand 
โทร 1502 และ 022391839
หรือแจ้งเรื่องร้องเรียนออนไลน์ได้ที่ https://complaint.tcc.or.th และทาง E-mail : complaint@tcc.or.th

หากคุณมีปัญหาเสามารถติดต่อเพื่อขอคำแนะนำและดำเนินการร้องเรียนได้ฟรี

#สภาผู้บริโภค #เพื่อนผู้บริโภค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สัมภาษณ์ทีมงาน EV Bus เชียงราย (2568)
  • กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม
  • รายงานสำนักงบประมาณ ปี 2568
  • บทวิเคราะห์เศรษฐกิจจาก TDRI (สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย)
  • คณะกรรมาธิการการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

ภัยเงียบหลังน้ำลด แม่สายเผชิญโคลนโลหะหนัก ขาดหน่วยงานหลักดูแล ประชาชนรอความจริง

แม่สายเผชิญภัยเงียบ “โคลนโลหะหนัก” หลังน้ำท่วม 3 ระลอก เร่งหาทางออกมลพิษข้ามพรมแดน

เชียงราย, 7 สิงหาคม 2568 – หลังจากสถานการณ์น้ำท่วมในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย คลี่คลายลง ชาวบ้านในพื้นที่กลับต้องเผชิญกับ “ภัยเงียบ” ที่อาจอันตรายกว่าน้ำท่วมเสียอีก นั่นคือ “โคลนปนเปื้อนโลหะหนัก” ที่ผลตรวจจากห้องปฏิบัติการยืนยันแล้วว่ามีค่าเกินมาตรฐาน พร้อมเปิดเผย “จุดบอด” ของระบบราชการที่ขาดหน่วยงานหลักรับผิดชอบ ทีมข่าวได้ลงไปพื้นที่จริงเพื่อนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องและรอบด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นใหม่ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของทุกท่าน รายงานชิ้นนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการรับรู้และไขข้อสงสัยเกี่ยวกับผลกระทบจากตะกอนน้ำท่วมที่อาจปนเปื้อนโลหะหนัก ไม่ได้มีเจตนาเพื่อตัดสินหรือสร้างความตื่นตระหนก แต่เพื่อมอบข้อมูลที่ครบถ้วนให้ประชาชนสามารถพิจารณาและตัดสินใจในการดูแลตนเองและครอบครัวภายใต้บริบทความกังวลของการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม เพราะนี่คือเรื่องใหม่ที่ต้องการการพิสูจน์และทำความเข้าใจร่วมกัน

เรื่องเล่าจากสายลมจอยความทุกข์ทรมานของประชาชน

ในย่านสายลมจอย ซึ่งเป็นหัวใจทางเศรษฐกิจของอำเภอแม่สาย ชาวบ้านคนหนึ่งเล่าด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า “ปีนี้โดนมาแล้ว 3 รอบ รอบที่ 2 เก็บของไม่ทัน” คำพูดสั้นๆ นี้สะท้อนถึงความเหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้กับภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แม้จะเผชิญกับความยากลำบาก แต่ชาวบ้านยังคงมีความหวัง ชาวบ้านร้องขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยจัดหา “รถดูดโคลน” ขนาดใหญ่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะปัจจุบันพวกเขามีเพียงอุปกรณ์ป้องกันขั้นพื้นฐานอย่างรองเท้าบูทและถุงมือเท่านั้น

สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ หลายคนไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย หรือหากสวมก็เป็นเพียงหน้ากากเกรดธรรมดา ซึ่งไม่เพียงพอต่อการป้องกันฝุ่นละอองและสารปนเปื้อนที่อาจแฝงมากับโคลนและตะกอนดิน

• ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ว่าน วิริยา, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ห้องแล็บเผยความจริงตะกอนปนเปื้อนโลหะหนักสูงกว่าปกติ

ความกังวลของชาวบ้านไม่ใช่เรื่องที่ไร้มูลเหตุอีกต่อไป เมื่อผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ว่าน วิริยา จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เปิดเผยผลการตรวจวิเคราะห์ตะกอนดินที่เก็บตัวอย่างจากแม่น้ำสาย

“ผลการตรวจพบว่ามีสารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐานอย่างชัดเจน โดยเฉพาะ สารหนู ตะกั่ว และแมงกานีส” ดร.ว่าน อธิบาย “เมื่อเปรียบเทียบกับตัวอย่างจากลำน้ำที่ใสสะอาดในสภาวะปกติ พบว่าความเข้มข้นในแม่น้ำสายสูงกว่ามากอย่างมีนัยสำคัญ”

สิ่งที่น่าตกใจคือ เมื่อน้ำลดและโคลนเริ่มแห้ง สารพิษเหล่านี้จะกลายเป็นฝุ่นละอองที่ฟุ้งกระจายในอากาศ “ถ้ามันเป็นฝุ่นที่ฟุ้งกระจายมา มันจะมีโอกาสที่จะมีโลหะหนักปะปนอยู่ด้วย” ดร.ว่าน เตือน

หากอนุภาคฝุ่นมีขนาดเล็กกว่า PM2.5 และฟุ้งกระจายในระดับความเข้มข้นสูงอย่างต่อเนื่อง จะสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจและส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว นอกจากนี้ยังมีอันตรายจากการสัมผัสผ่านผิวหนัง การปนเปื้อนในอาหารและน้ำดื่ม

ในส่วนความเสี่ยงต่อสุขภาพ มีการคำนวณหลายรูปแบบ อันดับแรก คือ ดัชนีความเสี่ยงต่อสุขภาพที่ไม่ใช่โรคมะเร็ง อาจจะเป็นความเสี่ยงต่อการทำให้เกิดโรคอื่น ๆ หรือที่เป็นสารเดียวซึ่งเรียกว่า Hazard Quotient – HQ ซึ่งอิงการคำนวณตามมาตรฐานสากลทั้งองค์การอนามัยโลก WHO และ US EPA ซึ่งหากนำแม่น้ำกก มาดื่มสองลิตรต่อวัน และการสัมผัสในรูปแบบอื่นทั้งในส่วนของการหายใจและผิวหนังในทุกวันก็จะทำให้เกิดอันตรายและโรคต่าง ๆ ได้ ส่วนดัชนีความเสี่ยงรวม หรือ Hazard Index – HI ซึ่งไม่ใช่การตรวจวัดเพียงสารเดียว แต่มีสารหนู แคดเมียม โครเมียม ตะกั่ว และนิกเกิล ค่าการตรวจวัดที่ยอมรับได้คือน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 ถ้ามากกว่านั้นก็คือเสี่ยงและยอมรับไม่ได้ เมื่อเอาค่าเหล่านี้ไปคำนวณความเสี่ยงพบว่าในส่วนของการกินและดื่มน้ำที่ปนเปื้อนสารโลหะหนัก พบว่ามีความเสี่ยงอย่างมากทั้งผู้ใหญ่และเด็ก โดยในส่วนของผู้ใหญ่ค่าสารหนูอย่างเดียวเกินมากว่า 42 เท่า และเมื่อคิดค่าสารโลหะหนักรวมพบว่าเกินมากถึง 64 เท่า ส่วนในเด็กเสี่ยงกว่าผู้ใหญ่มาก เพราะการรับสัมผัสต่างจากผู้ใหญ่ โดยเด็กมีความเสี่ยงต่อค่าสารหนูอยู่ที่ 65 เท่า และเมื่อรวมค่าสารปนเปื้อนต่าง ๆ รวมกันจะพบว่าเสี่ยงมากถึง 100 เท่า

• ดร.สืบสกุล กิจนุกร, สำนักวิชานวัตกรรมสังคม ม.แม่ฟ้าหลวง

“จุดบอด” ระบบราชการวิกฤตที่ไม่มีใครตอบ

แม้จะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชัดเจนแล้ว แต่การรับมือกับปัญหายังคงเผชิญอุปสรรค อาจารย์ ดร.สืบสกุล กิจนุกร จากสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาโครงสร้างที่สำคัญ

“พอมีน้ำท่วมที่แม่สายเนี่ย มันไม่มีหน่วยงานไหนลงไปตรวจ” ดร.สืบสกุล กล่าว “นี่คือจุดบอดของระบบราชการที่ขาดหน่วยงานหลักในการรับผิดชอบอย่างชัดเจน”

ปัญหาไม่ได้จบแค่นั้น เครื่องมือตรวจวัดของหน่วยงานราชการบางแห่งมีอายุมากและขาดการสอบเทียบมานาน ทำให้ไม่สามารถใช้ตรวจวัดได้อย่างแม่นยำตามมาตรฐาน

สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความไม่พร้อมของระบบรัฐในการเผชิญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อน โดยเฉพาะปัญหามลพิษข้ามพรมแดนที่ต้องใช้ความร่วมมือระหว่างประเทศ

• นายวรายุทธ ค่อมบุญ, นายอำเภอแม่สาย

แผนรับมือระยะยาวจากผังเมืองใหม่สู่การเจรจาข้ามพรมแดน

ในขณะที่ปัญหาเชิงโครงสร้างยังคงเป็นความท้าทาย นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย ได้เปิดเผยแผนการทำงานเชิงรุกเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ

“ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้มีเพียงมิติด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังรวมถึงมิติทางกายภาพของแม่น้ำสายที่เป็น ‘คอขวด’ ทำให้ไม่สามารถระบายน้ำได้ทันเมื่อเกิดน้ำหลาก” นายวรายุทธ อธิบาย

แผนการแก้ไขประกอบด้วย 3 แนวทางหลัก

  1. ผังเมืองใหม่ รัฐบาลมอบหมายให้กรมโยธาธิการศึกษาและออกแบบผังเมืองใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืน ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการสำรวจและออกแบบ คาดใช้เวลาประมาณ 1 ปี
  2. รถดูดโคลน อำเภอแม่สายได้ประสานงานขอรถดูดโคลนขนาดใหญ่จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อจัดการโคลนและตะกอนที่ตกค้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. การเจรจาข้ามพรมแดน นายอำเภอวรายุทธชี้ให้เห็นถึงปัญหาซับซ้อนจากการทำเหมืองแร่ในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งอยู่ในเขตอิทธิพลของชนกลุ่มน้อยที่ไม่สามารถควบคุมได้อย่างเต็มที่

“ทางการเมียนมาเองก็ยอมรับปัญหานี้ การแก้ไขปัญหาที่ต้นตอจึงจำเป็นต้องมีการยกระดับการเจรจาระหว่างประเทศอย่างจริงจัง” นายอำเภอวรายุทธกล่าว

ไม่สามารถจำแนกได้อย่างละเอียดว่าเกิดจากฝุ่น PM2.5 หรือโลหะหนัก

ส่วนสิ่งแวดล้อม สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย  (ทสจ.เชียงราย) ที่ให้ข้อมูลทีมข่าวเกี่ยวกับประเด็นฝุ่นละอองและโลหะหนักในพื้นที่ โดยเฉพาะอำเภอแม่สาย ความสัมพันธ์ระหว่างฝุ่น PM2.5 และการเจ็บป่วยเจ้าหน้าที่ระบุว่าในปัจจุบันการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับฝุ่นและโลหะหนักจะถูกวินิจฉัยรวมเป็น “โรคระบบทางเดินหายใจ” โดยยังไม่สามารถจำแนกได้อย่างละเอียดว่าเกิดจากฝุ่น PM2.5 หรือโลหะหนักชนิดใดโดยเฉพาะ

 เงื่อนไขการเข้าสู่ร่างกายการที่ฝุ่นและโลหะหนักจะส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจได้ต้องเกิดจากการฟุ้งกระจายในอากาศในระดับที่สูงและมีความเข้มข้นมากพอ โดยฝุ่นต้องมีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ซึ่งระบบการกรองตามธรรมชาติของร่างกาย (เช่น ขนจมูก) ไม่สามารถดักจับได้ สถานการณ์ในช่วงฤดูฝนในช่วงฤดูฝนฝุ่นและสารปนเปื้อนในดินโคลนจะถูกน้ำชะล้างและตกตะกอนอยู่กับพื้น ทำให้ไม่ได้ฟุ้งกระจายในอากาศมากนัก ความเสี่ยงจากการสูดดมจึงลดลง อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ย้ำว่าเมื่อน้ำแห้ง ฝุ่นอาจกลับมาฟุ้งกระจายได้อีก ความเสี่ยงจากการสัมผัสโดยตรง: สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือการสัมผัสฝุ่นที่มีสารโลหะหนักปนเปื้อนโดยตรง

หลักใจความสำคัญความเสี่ยงมากที่สุดคือการปนเปื้อนในอาหารและน้ำดื่ม

อาจเกิดขึ้นจากการสัมผัสทางผิวหนัง (เท้า) หรือการปนเปื้อนในอาหารและน้ำดื่ม ซึ่งเป็นช่องทางที่สารพิษเข้าสู่ร่างกายและสะสมในระยะยาวได้โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก การตรวจวัดและข้อมูลจากหน่วยงานอื่น มีการตั้งข้อสังเกตถึงผลการตรวจวัดของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ที่ระบุว่าสารโลหะหนักยังมีปริมาณไม่มากพอที่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเจ้าหน้าที่ของ ทสจ. สันนิษฐานว่าการตรวจนั้นอาจเป็นไปได้ว่ายังไม่ถึงขั้นมีการตรวจในเลือดหรือมีการตรวจเฉพาะในช่วงที่ฝุ่นไม่ได้ฟุ้งกระจาย

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายทางออกที่ประชาชนได้ประโยชน์

การแก้ไขปัญหาวิกฤตแม่สายต้องใช้ยุทธศาสตร์แบบบูรณาการจากทุกภาคส่วน โดยมีข้อเสนอแนะสำคัญ 4 ประการ

  1. ยกระดับการเจรจาข้ามพรมแดน

รัฐบาลไทยต้องใช้ทุกกลไกเพื่อเจรจาและกดดันให้มีการแก้ไขปัญหามลพิษจากเหมืองแร่ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างจริงจังและยั่งยืน ซึ่งจะช่วยลดปัญหาที่ต้นเหตุและป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ

  1. กำหนดหน่วยงานรับผิดชอบหลัก

รัฐบาลควรมีคำสั่งชัดเจนว่าหน่วยงานใดเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการจัดการและเฝ้าระวังปัญหามลพิษที่มาพร้อมภัยพิบัติ เพื่อให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพและไม่เกิดความล่าช้า

  1. เร่งจัดหาเครื่องมือและงบประมาณ

อำเภอและเทศบาลควรได้รับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อจัดหาเครื่องมือจำเป็นในการจัดการโคลนที่ปนเปื้อนโลหะหนักอย่างถูกวิธี รวมถึงเครื่องมือตรวจวัดที่ทันสมัยและได้มาตรฐาน

  1. ให้ข้อมูลและสร้างความตระหนัก

หน่วยงานสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมต้องเร่งประชาสัมพันธ์และให้ความรู้แก่ประชาชนถึงความเสี่ยงจากฝุ่นปนเปื้อนโลหะหนัก รวมถึงวิธีการป้องกันที่ถูกต้อง เช่น การสวมหน้ากากป้องกันฝุ่นเกรด N95 และการสวมถุงมือเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรง

ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ

การดำเนินการตามข้อเสนอแนะเหล่านี้จะส่งผลให้

  • ประชาชนได้รับการปกป้องสุขภาพ จากการได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและเครื่องมือป้องกันที่เหมาะสม
  • ลดความเสี่ยงในระยะยาว จากการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุผ่านการเจรจาข้ามพรมแดน
  • เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการภัยพิบัติ จากการมีหน่วยงานหลักรับผิดชอบที่ชัดเจน
  • สร้างความมั่นใจในระบบการทำงานของรัฐ จากการมีแผนการแก้ไขปัญหาที่เป็นระบบ

วิกฤตที่อำเภอแม่สายต้องเผชิญครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติที่ซับซ้อนมากขึ้นในอนาคต การดำเนินการอย่างจริงจังและเป็นระบบจะช่วยป้องกันไม่ให้วิกฤตเช่นนี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในระยะยาว และรักษาความเชื่อมั่นในระบบการทำงานของภาครัฐไว้ได้ ประเด็นสำคัญที่ผู้เชี่ยวชาญชี้ให้เห็นคือ ปัญหาการขาดการสื่อสารที่ชัดเจนจากหน่วยงานภาครัฐ ทำให้ข้อมูลยังกระจัดกระจายและไม่ถูกส่งตรงถึงประชาชน ซึ่งนำไปสู่ความไม่เข้าใจและการรับมือที่ไม่เหมาะสม ข้อมูลการตรวจวัดคุณภาพน้ำหรืออากาศในช่วงเวลาและสถานที่ต่างกันย่อมให้ผลที่ต่างกันได้ เนื่องจากกลศาสตร์การไหลและช่วงเวลาการปล่อยสารพิษที่ไม่แน่นอน สร้างความสับสนและเป็นข้อกังวลที่ประชาชนต้องการความชัดเจนในการใช้ชีวิตประจำวัน

มาตรการเบื้องต้นสำหรับประชาชนคือสวมหน้ากาก

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำมาตรการเบื้องต้นสำหรับประชาชนคือ ควรสวมหน้ากากป้องกันหากอยู่ในพื้นที่ฝุ่นฟุ้งกระจาย และใช้เครื่องฟอกอากาศภายในบ้าน สำหรับภาครัฐ หน่วยงานท้องถิ่นควรมีมาตรการป้องกันการฟุ้งกระจายของฝุ่น เช่น การรดน้ำถนนในพื้นที่ดินโคลนแห้ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ว่าน วิริยา จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุย้ำกับทีมข่าวว่าปัจจุบัน 

“คณะอนุกรรมธิการของสภาผู้แทนราษฎรมีแผนที่จะรวบรวมข้อมูลจาก 24 หน่วยงานภาครัฐทั้งหมดให้อยู่ในแพลตฟอร์มเดียวกัน เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้อย่างโปร่งใสและเป็นธรรม”

การนำเสนอข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญและการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่น่าเชื่อถือและสามารถนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจในชีวิตประจำวันของตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันตนเองหรือการตั้งข้อสังเกตอาการเบื้องต้น เราเชื่อมั่นว่าการได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนจะช่วยให้ทุกท่านสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชาญฉลาดและมีสุขภาวะที่ดีในยุคดิจิทัลและยุคของปัญญาประดิษฐ์ที่กำลังส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตมากยิ่งขึ้น 

การนำเสนอข่าวในครั้งนี้จึงเป็นไปเพื่อส่งเสริมการรู้เท่าทันและตรวจสอบข้อมูลลวง เสริมสร้างระบบนิเวศน์ข้อมูลข่าวสารที่น่าเชื่อถือและอ้างอิงได้เพื่อประโยชน์สาธารณะ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ว่าน วิริยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • อาจารย์ ดร.สืบสกุล กิจนุกร สำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
  • กรมโยธาธิการและพัฒนาเมือง
  • ชาวบ้านในพื้นที่สายลมจอย อำเภอแม่สาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

โปร่งใสกว่าเดิม อำเภอแม่สายเปิดให้ยื่นขอสัญชาติโดยตรงหลังมีข่าวร้องเรียนเรื่องเรียกรับเงิน

ที่ว่าการอำเภอแม่สายปฏิรูประบบ “ยื่นขอสัญชาติไทย” เปิดทางประชาชนเข้าถึงบริการตรง ลดทุจริต-เพิ่มความโปร่งใส

เชียงราย, 6 สิงหาคม 2568 – การขอสัญชาติไทยในพื้นที่ชายแดนไม่เคยเป็นเรื่องง่ายสำหรับประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์ ชนกลุ่มน้อย หรือผู้อพยพที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติสูง และมีประชาชนจำนวนมากยังขาดสถานะทางทะเบียนหรือสถานะทางสัญชาติ ส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานต่างๆ ทั้งด้านการศึกษา การรักษาพยาบาล และสวัสดิการของรัฐ

ที่ผ่านมา มีเสียงสะท้อนจากประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ประสบปัญหาในการยื่นคำร้องขอสัญชาติไทยว่า ต้องผ่านตัวกลางอย่างกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่บางรายที่อาจเรียกรับผลประโยชน์โดยมิชอบ ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคสำคัญของคนที่ต้องการเพียงแค่ “การรับรองว่าเขาคือคนไทย”

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 ที่ว่าการอำเภอแม่สาย ได้ออกประกาศฉบับสำคัญที่อาจถือได้ว่าเป็น “จุดเปลี่ยนของระบบราชการชายแดน” โดยระบุว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ผู้ที่ประสงค์จะยื่นคำร้องขอสัญชาติไทยจะต้อง “เดินทางมายื่นเรื่องด้วยตนเองเท่านั้น” ณ ที่ว่าการอำเภอแม่สาย และขอรับบัตรคิวจากเจ้าหน้าที่โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องผ่านผู้นำชุมชนอีกต่อไป เพื่อให้กระบวนการทั้งหมดดำเนินไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และเท่าเทียม

จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงจากเสียงร้องเรียน สู่การปรับระบบ

การประกาศเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีที่มาจากเสียงร้องเรียนของประชาชนในพื้นที่ ทั้งในโซเชียลมีเดียและการยื่นคำร้องผ่านช่องทางต่าง ๆ ว่ามีการเรียกรับเงินในการดำเนินเรื่องสัญชาติ โดยเฉพาะกลุ่มคนไร้สถานะซึ่งอยู่ในสถานะเปราะบางและเข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสาร

สถานการณ์ดังกล่าวสร้างแรงกดดันต่อภาครัฐในระดับอำเภอ ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายโดยนายวรายุทธ  ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย ที่ได้เร่งสั่งการเปิด “ห้องสถานะบุคคลและสัญชาติ” ขึ้นอย่างเป็นทางการ และจัดตั้ง “ศูนย์บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ” หรือ OSS (One Stop Service) เพื่อให้ประชาชนสามารถยื่นคำร้องได้โดยตรงกับเจ้าหน้าที่เฉพาะกิจ โดยไม่ต้องผ่านระบบเดิมที่เปิดช่องให้เกิดความไม่โปร่งใส

ระบบใหม่ชัดเจน โปร่งใส และลดความเหลื่อมล้ำ

เพื่อให้กระบวนการยื่นคำร้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อำเภอแม่สายได้วางแนวทางดำเนินการไว้ 3 ประการหลัก ได้แก่:

  1. ยื่นคำร้องด้วยตนเอง: ผู้มีความประสงค์ต้องเดินทางมาด้วยตนเองและรับบัตรคิวที่อำเภอ โดยไม่มีการลงชื่อจองคิวล่วงหน้า
  2. จำกัดจำนวนผู้ยื่นคำร้อง: เปิดรับเพียง 50 รายต่อวัน โดยเริ่มแจกคิวเวลา 08.00 น. เพื่อควบคุมปริมาณและรักษาคุณภาพของการบริการ
  3. ตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่เฉพาะกิจ: มีการตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจขึ้นเพื่อตรวจสอบเอกสาร และให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน

นอกจากนี้ ยังได้กระจายจุดบริการ OSS ไปยังตำบลต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและกระจายภาระงานอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ

  • ห้องทะเบียนราษฎร: สำหรับตำบลแม่สายและเกาะช้าง
  • อาคาร OSS กลาง: สำหรับตำบลเวียงพางคำและโป่งงาม
  • สำนักงานเทศบาลตำบลห้วยไคร้: สำหรับตำบลห้วยไคร้และบ้านแซว

วิเคราะห์มิติของการเปลี่ยนแปลงก้าวใหม่ของระบบราชการไทย

  1. การต่อสู้กับทุจริตระดับรากหญ้า

การที่อำเภอแม่สายตัดระบบ “ตัวกลาง” ออกจากกระบวนการรับคำร้อง คือการหักวงจรแห่งการเรียกรับผลประโยชน์อย่างจริงจัง เป็นการแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติจริงจังตามนโยบายของรัฐในการต่อต้านคอร์รัปชันระดับท้องถิ่น และเป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้ “กลไกจากข้างล่าง” มาสร้างความโปร่งใสในระบบราชการ

  1. ยกระดับสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน

การได้สถานะทางทะเบียนและสัญชาติไทย หมายถึงสิทธิในการได้รับการรักษาในระบบสาธารณสุข สิทธิทางการศึกษา และการเข้าถึงสวัสดิการอื่น ๆ จากรัฐ สำหรับกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในประเทศมานานโดยไม่ได้รับสถานะ สิ่งนี้คือการ “เปลี่ยนชีวิต” อย่างแท้จริง

  1. นวัตกรรมการบริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จ

การนำระบบ OSS มาใช้ เป็นสัญญาณว่า ราชการในระดับอำเภอกำลังปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน และมีแนวโน้มขยายแนวทางนี้ไปยังอำเภออื่น ๆ ที่เผชิญปัญหาเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มศักยภาพของกลไกรัฐ

ประโยชน์ที่ประชาชนได้รับจากความหวัง สู่ความเป็นจริง

ผู้ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงคือกลุ่มเป้าหมาย 37,987 ราย ที่อยู่ในพื้นที่อำเภอแม่สาย ซึ่งเป็นกลุ่มที่อาศัยอยู่ในไทยมานาน บางรายเกิดในประเทศไทยแต่ไม่มีหลักฐานแสดงตัวตนหรือทะเบียนบ้าน การได้สัญชาติไทยอย่างถูกต้องคือการได้ตัวตนทางกฎหมาย

นอกจากนี้ ประชาชนทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้ เช่น ครู เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ผู้นำชุมชน และนักพัฒนาสังคม ก็จะสามารถทำงานช่วยเหลือผู้ไม่มีสถานะได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ด้วยกระบวนการที่เปิดเผยและตรวจสอบได้

ข้อคิดและแนวทางในอนาคต

แม้การปฏิรูประบบในครั้งนี้จะเป็นเพียง “จุดเริ่มต้น” แต่ก็ถือว่าเป็นต้นแบบที่ดีในการนำระบบราชการให้ใกล้ชิดประชาชนมากขึ้น การตัดวงจรการทุจริตด้วยนโยบายเชิงรุกที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงรัฐได้โดยตรง คือแนวทางที่ควรได้รับการยกย่องและขยายผลในระดับนโยบาย

หากหน่วยงานอื่นในพื้นที่ชายแดน หรือพื้นที่ที่มีปัญหาคล้ายคลึงกัน ได้นำแนวคิดเดียวกันนี้ไปประยุกต์ใช้ ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างราชการในระดับรากฐานของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

ผู้จัดปางอ่ายโอเพ่นคัพไกล่เกลี่ยจบ! ย้ำจุดยืนกีฬาต้องไร้ความรุนแรง หลังเหตุทำร้ายผู้ตัดสิน

 “ปางอ่ายโอเพ่นคัพ 2025” ปิดดราม่าความรุนแรงในสนามบอล หลังผู้จัดประสานไกล่เกลี่ยสำเร็จ ย้ำจุดยืนกีฬาต้องไร้ความรุนแรง

เชียงราย, 6 สิงหาคม 2568 – การแข่งขันฟุตบอลสมัครเล่นในระดับชุมชนที่ควรจะเป็นเวทีแห่งมิตรภาพ กลับกลายเป็นเหตุการณ์ความรุนแรงที่สร้างแรงสั่นสะเทือนในวงการฟุตบอลท้องถิ่น เมื่อการแข่งขันรายการ “ปางอ่ายโอเพ่นคัพ 2025 ครั้งที่ 3 รุ่น VIP SENIOR 35+” ต้องหยุดลงกลางคัน จากเหตุการณ์ผู้เล่นทีม CREATIVE. FC ทำร้ายร่างกายผู้ตัดสินหลังไม่พอใจคำตัดสินใบแดง เหตุการณ์ดังกล่าวจุดกระแสสังคมออนไลน์ให้ลุกเป็นไฟ เรียกร้องให้ผู้จัดการแข่งขันและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาแสดงความรับผิดชอบและจัดการกับผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด

จุดเริ่มต้นของความรุนแรง ใบแดงที่กลายเป็นหมัด

ในนาทีที่ 24 ของครึ่งหลัง ในการแข่งขันรอบ 8 ทีมสุดท้ายระหว่าง “ทีมเอื้องฟ้า A” และ “ทีม CREATIVE. FC” ณ สนามโรงเรียนบ้านปางอ่ายห้วยชมภู ต.แม่เจดีย์ใหม่ อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ขณะที่สกอร์ยังคง 0-0 ผู้เล่นหมายเลข 7 ของทีม CREATIVE. FC ได้ยกเท้าสูงเข้าใส่คู่ต่อสู้อย่างอันตราย ผู้ตัดสินจึงตัดสินใจแจกใบแดงไล่ออกจากสนามทันที

อย่างไรก็ตาม ผู้เล่นรายดังกล่าวกลับไม่ยอมรับคำตัดสิน และแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวโดยการชกใบหน้าผู้ตัดสินอย่างต่อเนื่อง และมีผู้เล่นอีกคนจากทีมเดียวกันวิ่งเข้ามาร่วมทำร้าย ทำให้บรรยากาศในสนามตึงเครียดจนต้องยุติการแข่งขันทันที

เสียงสะท้อนในโลกออนไลน์ความเสียใจที่กลายเป็นพลังเรียกร้องความยุติธรรม

ผู้ตัดสินผู้ได้รับบาดเจ็บได้โพสต์ภาพใบหน้าที่มีรอยฟกช้ำผ่านเฟซบุ๊ก พร้อมข้อความว่า “แล้วผมจะกลับมาได้อีกไหม จิตใจผมจะเป็นยังไง” ทำให้เกิดความห่วงใยและเสียงสนับสนุนจากชาวโซเชียลเป็นจำนวนมาก หลายคนแสดงความไม่พอใจต่อการกระทำอันรุนแรง และตั้งคำถามถึงมาตรการของฝ่ายจัดงานที่ควรต้องมีบทลงโทษที่ชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดซ้ำอีก

จากโซเชียลสู่สถานีตำรวจบทบาทของกฎหมายเข้ามามีส่วน

ผู้ตัดสินได้เดินทางไปแจ้งความ ณ สภ.แม่เจดีย์ เพื่อดำเนินคดีกับผู้เล่นทั้งสองรายที่เกี่ยวข้อง โดยมีการบันทึกหลักฐานและเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายควบคู่ไปกับการพิจารณาทางด้านจริยธรรมกีฬา โดยสภาแม่เจดีย์ได้มีบทบาทสำคัญในการเป็นพื้นที่กลางสำหรับการเจรจาไกล่เกลี่ยระหว่างคู่กรณี เพื่อหาทางออกอย่างสันติ

การไกล่เกลี่ยที่นำไปสู่บทสรุปความเสียใจที่กลายเป็นบทเรียน

เพจเฟซบุ๊ก “แม่ไหมมีทุกอย่าง Jewliannaire” ในนามของผู้จัดการแข่งขัน ได้โพสต์ชี้แจงเหตุการณ์ พร้อมทั้งยืนยันว่า “พ่อฑน” ผู้จัดงาน ได้เร่งดำเนินการประสานงานเพื่อให้คู่กรณีได้พบกันที่ สภ.แม่เจดีย์ เพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยอย่างเป็นทางการ

ผลลัพธ์ของการเจรจาเป็นไปในทางที่ดี เมื่อผู้เล่นทั้งสองคนที่กระทำผิดได้ยอมรับผิดทุกข้อกล่าวหา ขอโทษต่อหน้าสาธารณะ และรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล พร้อมทั้งซื้อนาฬิกาใหม่แทนเรือนที่เสียหายให้กับผู้ตัดสิน ขณะเดียวกัน ผู้ตัดสินได้แสดงความให้อภัย และไม่ติดใจเอาความ

วิเคราะห์ผลกระทบเชิงสังคมกีฬาในชุมชนควรสร้างสันติ ไม่ใช่ความรุนแรง

แม้เหตุการณ์จะคลี่คลายลงได้ด้วยการไกล่เกลี่ยและการให้อภัย แต่ก็สะท้อนถึงความเปราะบางของการแข่งขันกีฬาในระดับชุมชนที่อาจไม่ได้มีระบบควบคุมหรือกติกาที่เข้มแข็งพอ การที่เหตุการณ์ความรุนแรงเช่นนี้เกิดขึ้นในกลุ่ม VIP 35+ ซึ่งควรจะเป็นผู้มีวุฒิภาวะ กลับกลายเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้กับเยาวชนที่อาจได้รับชมการแข่งขันอยู่

การเรียกร้องของสังคมให้ผู้จัดการแข่งขันมีบทลงโทษที่ชัดเจน และวางแนวทางป้องกันในอนาคต จึงไม่ใช่เพียงการลงโทษบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เป็นการวางกรอบทางสังคมสำหรับการแข่งขันกีฬาในระดับชุมชนทั้งหมด

ความเคลื่อนไหวในอนาคตสร้างมาตรฐานใหม่ให้กีฬาเดินสาย

จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ผู้จัดการแข่งขันได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะทบทวนกติกา มาตรฐานการคัดเลือกนักกีฬา รวมถึงการอบรมด้านจิตวิทยาและจริยธรรมให้กับนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนร่วมทุกคน เพื่อให้การแข่งขันกีฬาในระดับชุมชนเป็นพื้นที่แห่งความสามัคคี ความสุข และสุขภาพที่ดีอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้มีการสร้าง “มาตรการความปลอดภัยในสนาม” สำหรับการแข่งขันกีฬาเดินสาย เช่น การจัดให้มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย การติดตั้งกล้องวงจรปิด หรือการจัดทำทะเบียนประวัตินักกีฬาที่เข้าร่วมในแต่ละปี เพื่อสามารถควบคุมพฤติกรรมที่อาจเป็นอันตรายต่อส่วนรวมได้มากขึ้น

ข้อคิดและบทเรียนสำหรับสังคม

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเสมือนบทเรียนครั้งใหญ่ที่ตอกย้ำว่า “กีฬาไม่ใช่พื้นที่ของอารมณ์” และไม่ควรถูกใช้เป็นเวทีระบายความรุนแรง แม้การแข่งขันจะเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น แต่ความเคารพต่อกติกาและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องคือสิ่งที่ต้องยึดถืออย่างเคร่งครัด

หากทุกภาคส่วน ทั้งผู้จัด ผู้เล่น และผู้ชม ต่างร่วมกันสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมคุณค่าของกีฬา ความเชื่อมั่นต่อการแข่งขันในระดับชุมชนจะกลับมาอีกครั้ง และกีฬาจะเป็นพื้นที่แห่งความรัก ความสามัคคี และสุขภาพที่แท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เพจเฟซบุ๊ก “แม่ไหมมีทุกอย่าง Jewliannaire” (โพสต์วันที่ 6 สิงหาคม 2568)
  • บัญชีเฟซบุ๊กผู้ตัดสินที่ได้รับบาดเจ็บ (โพสต์ภาพและข้อความหลังเหตุการณ์)
  • ข้อมูลจากสถานีตำรวจภูธรแม่เจดีย์ จังหวัดเชียงราย
  • รายงานข่าวจากกลุ่มฟุตบอลสมัครเล่นในเชียงราย และผู้จัด “ปางอ่ายโอเพ่นคัพ 2025”
  • ข้อมูลพื้นฐานจากชมรมฟุตบอลสมัครเล่นแห่งประเทศไทย (AFAT)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

หยุดเอาเปรียบ! สภาผู้บริโภคเรียกร้องรัฐคุมค่ารักษาฯ แก้ปัญหาประกันภัยที่ไม่เป็นธรรม

หยุดเอาเปรียบ! สภาผู้บริโภคจี้รัฐคุมค่ารักษาพยาบาล – สะสางกลโกงประกันภัย ชี้ Co-Payment แก้ไม่ตรงจุด

เชียงราย, 6 สิงหาคม 2568 – ท่ามกลางวิกฤตค่ารักษาพยาบาลที่พุ่งสูง และความไม่เป็นธรรมจากเงื่อนไขกรมธรรม์ที่เปลี่ยนไปโดยไม่แจ้งล่วงหน้า สภาองค์กรของผู้บริโภคได้ออกมาเปิดโปงพฤติกรรมของบริษัทประกันสุขภาพที่ “เอาเปรียบผู้บริโภค” พร้อมเรียกร้องให้รัฐเร่งควบคุมโครงสร้างราคาของโรงพยาบาลเอกชนอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อคืนความมั่นคงให้ระบบประกันภัย และสร้าง “ภูมิคุ้มกัน” ที่ยั่งยืนให้แก่ผู้บริโภคไทย

เรื่องเล่าจากสนามร้องเรียนจุดเริ่มต้นของปัญหา

จุดเริ่มต้นของข่าวนี้มาจากกรณีผู้บริโภคจำนวนหนึ่ง ร้องเรียนไปยังสภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค) ว่าบริษัทประกันสุขภาพหลายแห่งได้ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขกรมธรรม์ รวมถึงอัตราเบี้ยประกัน โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า หรือให้ข้อมูลที่ชัดเจน โดยเฉพาะในกรณีของบริษัท “กรุงไทย-แอกซ่า” ซึ่งกลายเป็นกรณีตัวอย่างที่จุดชนวนความไม่พอใจจากผู้เอาประกันทั่วประเทศ

แม้ว่ากรณีดังกล่าวจะมีการเจรจาและยุติปัญหาไปแล้วในระดับหนึ่ง แต่กรณีนี้ก็กลายเป็นเครื่องชี้วัดความเปราะบางของระบบประกันสุขภาพในประเทศไทย ที่อาจเปิดช่องให้บริษัทประกันใช้กลไกภายในเพื่อปรับสิทธิประโยชน์แบบเงียบ ๆ โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อภาระที่ผู้บริโภคต้องแบกรับ

การแสดงจุดยืน สภาผู้บริโภคชี้ชัด – “ไม่ยุติธรรม!”

นายจิณณะ แย้มอ่วม อนุกรรมการด้านการเงินและการธนาคาร ของสภาผู้บริโภค ได้ออกมาแถลงข่าวและให้สัมภาษณ์โดยระบุว่า การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกรมธรรม์หลังจากผู้บริโภคได้ทำสัญญาไปแล้ว เป็นพฤติกรรมที่ “ไม่ยุติธรรม” และละเมิดจริยธรรมในอุตสาหกรรมประกันภัยโดยตรง เพราะบริษัทได้ผ่านการประเมินความเสี่ยงมาแล้วก่อนเสนอผลิตภัณฑ์ต่อผู้บริโภค หากพบว่ารายจ่ายสูงเกินควร บริษัทควรบริหารความเสี่ยง ไม่ใช่โยนภาระให้ผู้บริโภคในภายหลัง

ปัญหาเชิงโครงสร้างการผลักภาระและ Co-payment ที่แก้ไม่ตรงจุด

หนึ่งในนโยบายที่หลายบริษัทประกันนำมาใช้อย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา คือระบบ “Co-Payment” หรือการให้ผู้เอาประกันจ่ายร่วมกับบริษัทประกันในแต่ละเคสการรักษา แต่สภาผู้บริโภคชี้ว่าแนวทางนี้เป็นเพียง “การแก้ที่ปลายเหตุ” เพราะไม่ได้แก้ปัญหาค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้นอย่างไม่มีเพดานในภาคเอกชน

ในบางกรณี โรงพยาบาลเรียกเก็บค่าห้องพิเศษสูงกว่าระดับสากล หรือมียาและอุปกรณ์ที่กำหนดราคาสูงเกินจริง โดยไม่มีการกำกับจากหน่วยงานรัฐที่ชัดเจน ส่งผลให้บริษัทประกันนำต้นทุนที่สูงผิดปกตินั้นมากำหนดเบี้ยเพิ่ม หรือปรับลดสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกัน แทนที่จะควบคุมต้นตอปัญหา

ทางรอดที่แท้จริง กลไกควบคุมค่ารักษาในโรงพยาบาลเอกชน

สภาผู้บริโภคจึงเรียกร้องอย่างเร่งด่วนให้ภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เข้ามาควบคุมโครงสร้างราคาค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชน ด้วยมาตรการชัดเจน เช่น

  • กำหนดเพดานราคายา
  • เปิดเผยต้นทุนค่ารักษาต่อสาธารณะ
  • สร้างระบบเปรียบเทียบราคาผ่านแพลตฟอร์มกลาง

เพื่อให้ทั้งบริษัทประกันและผู้บริโภคสามารถตัดสินใจได้อย่างเป็นธรรม

ผลกระทบที่ประชาชนควรเข้าใจจากความไม่รู้ สู่ความรับผิดชอบ

การที่ผู้บริโภคไม่ทราบว่าเงื่อนไขประกันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้พวกเขาไม่มีอำนาจต่อรองหรือร้องเรียนได้ทันเวลา สภาผู้บริโภคจึงแนะนำให้ผู้เอาประกันทุกคนหมั่นตรวจสอบรายละเอียดกรมธรรม์ทุกปี และหากมีข้อสงสัยหรือพบความผิดปกติ สามารถยื่นร้องเรียนผ่านเว็บไซต์ของสภาผู้บริโภคโดยตรง https://complaint.tcc.or.th/complaint

สร้างภูมิคุ้มกันให้ตลาดประกันภัย

การออกมาเคลื่อนไหวของสภาผู้บริโภคในครั้งนี้ แม้จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่ถือเป็นการ “วางหมาก” อย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างภูมิต้านทานให้กับผู้บริโภคในระยะยาว ผ่านการเรียกร้องสิทธิอย่างมีข้อมูล และมีองค์กรที่คอยหนุนหลังทางกฎหมายและนโยบาย

เมื่อผู้บริโภคตื่นรู้มากขึ้น บริษัทประกันจะต้องกลับมาทบทวนบทบาท ไม่ใช่เพียงเป็น “ผู้ขายกรมธรรม์” แต่ต้องเป็น “ผู้บริหารความเสี่ยง” ที่อยู่บนหลักธรรมาภิบาลอย่างแท้จริง

จากวิกฤตสู่โอกาสในการปฏิรูประบบ

ในระยะยาว การควบคุมค่ารักษาพยาบาลและการปรับบทบาทของบริษัทประกัน คือหัวใจของการปฏิรูประบบสุขภาพเชิงเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน หากภาครัฐเข้ามาจัดการได้อย่างเป็นระบบ ร่วมกับการเสริมสร้างความรู้ให้ผู้บริโภค ระบบประกันภัยไทยจะสามารถกลับมาเป็น “เครื่องมือแห่งความมั่นคง” แทนที่จะเป็นภาระของคนไทยอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สภาองค์กรของผู้บริโภค (https://www.tcc.or.th)
  • สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) (https://www.oic.or.th)
  • บทสัมภาษณ์นายจิณณะ แย้มอ่วม – สภาผู้บริโภค
  • สถิติเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับประกันสุขภาพจากสภาผู้บริโภค (2567 – 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลเชียงรายรับมอบ “ผนังกั้นน้ำยางพาราเคลื่อนที่ได้” เสริมแกร่งรับมืออุทกภัยเมือง

เทศบาลนครเชียงรายรับมอบ “ผนังกั้นน้ำยางพาราเคลื่อนที่ได้” จากภาคเอกชน เสริมแกร่งระบบรับมืออุทกภัยเมือง

เชียงราย, 6 สิงหาคม 2568 – จากบทเรียนอุทกภัย สู่แนวทางใหม่ในการสร้างเมืองปลอดภัย ท่ามกลางสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงและความถี่ของภัยพิบัติที่เพิ่มสูงขึ้น จังหวัดเชียงรายซึ่งเผชิญปัญหาอุทกภัยซ้ำซากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้ก้าวสู่การเตรียมความพร้อมเชิงรุกด้วยนวัตกรรมใหม่ล่าสุด “ผนังกั้นน้ำยางพาราเคลื่อนที่ได้” ซึ่งเทศบาลนครเชียงรายได้รับมอบจากภาคเอกชนเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา

การส่งมอบอุปกรณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นที่สำนักงานเทศบาลนครเชียงราย โดย พ.จ.อ. อัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา ปลัดเทศบาล เป็นผู้แทนรับมอบจากนายแก่นฟ้า แสนเมือง นักวิจัยอิสระ และนายเกริกพล แสนเมือง กรรมการผู้จัดการบริษัท อีโวเทค จำกัด ผู้พัฒนาผนังกั้นน้ำรูปแบบใหม่ ที่ถูกออกแบบให้เหมาะสมกับภูมิประเทศของเมืองไทย และสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพในสถานการณ์ฉุกเฉิน

อุปกรณ์ที่ได้รับมอบ ได้แก่ ผนังกั้นน้ำยางพาราเคลื่อนที่ได้จำนวน 4 ชุด และเครื่องสูบน้ำชนิดหอยโข่ง ซึ่งจะถูกนำไปติดตั้งและใช้งานในจุดเสี่ยงของพื้นที่เขตเมืองที่มีแนวโน้มจะเกิดน้ำท่วมฉับพลันในช่วงฤดูฝนนี้

นวัตกรรมฝีมือคนไทย ทางเลือกใหม่ที่เหนือกว่ากระสอบทราย

ในอดีต การป้องกันน้ำท่วมในระดับชุมชนมักใช้วิธีแบบดั้งเดิม เช่น การวางแนวกระสอบทราย ซึ่งใช้แรงงานจำนวนมาก ติดตั้งช้า และไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ผนังกั้นน้ำยางพาราเคลื่อนที่ได้จึงเข้ามาเติมเต็มในจุดอ่อนดังกล่าว

คุณสมบัติเด่นของผนังกั้นน้ำยางพารา

  • ติดตั้งง่ายภายในไม่กี่นาที ด้วยโครงสร้างสำเร็จรูป ความยาวชุดละ 10 เมตร กั้นระดับน้ำได้สูงถึง 60 ซม.
  • น้ำหนักเบาและเคลื่อนย้ายสะดวก ทำให้สามารถนำไปวางใช้งานตามจุดเสี่ยงต่างๆ ได้อย่างคล่องตัว
  • วัสดุผลิตจากยางพาราไทย สนับสนุนเกษตรกรชาวสวนยาง และเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตภาคเกษตรกรรม
  • สามารถใช้ซ้ำได้หลายครั้ง ลดของเสีย และต้นทุนในการจัดการวัสดุป้องกันน้ำท่วมในระยะยาว

นวัตกรรมนี้ยังสะท้อนถึงศักยภาพของนักวิจัยไทยในการคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของชุมชน และสอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ที่รัฐบาลผลักดัน

แบบอย่างความร่วมมือเมื่อรัฐจับมือเอกชน สร้างระบบรับมือภัยพิบัติที่ยั่งยืน

นายเกริกพล แสนเมือง ได้กล่าวในการส่งมอบว่า “เราไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นแค่ผู้ผลิตอุปกรณ์ แต่เราอยากเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างระบบความปลอดภัยให้กับเมือง โดยเฉพาะเชียงรายที่มีความเสี่ยงจากอุทกภัยเป็นประจำ”

ด้านเทศบาลนครเชียงรายยืนยันว่า การได้รับอุปกรณ์ในครั้งนี้จะทำให้หน่วยงานมีความพร้อมมากขึ้นในการวางแนวป้องกันน้ำท่วมฉับพลัน โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจ ถนนสายหลัก และพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น

นอกจากนี้ ยังมีแผนจะจัดฝึกอบรมเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครในพื้นที่ให้สามารถติดตั้งและใช้งานอุปกรณ์ได้อย่างคล่องแคล่ว เพื่อให้สามารถใช้งานจริงได้ทันท่วงทีเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

นวัตกรรมท้องถิ่นที่สร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ

กรณีการรับมอบผนังกั้นน้ำในครั้งนี้สะท้อนประเด็นสำคัญ 3 ประการที่ควรจับตา:

  1. การบริหารจัดการภัยพิบัติเชิงรุกในระดับท้องถิ่น

เทศบาลนครเชียงรายได้แสดงให้เห็นว่าไม่รอให้เหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนจึงเตรียมการ แต่เริ่มจัดหาและเสริมอุปกรณ์ไว้ล่วงหน้า เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

  1. ภาคเอกชนไทยมีศักยภาพในการสร้างนวัตกรรมที่ใช้งานได้จริง

ผลิตภัณฑ์อย่างผนังกั้นน้ำยางพารา ไม่ได้เป็นแค่ผลงานวิจัยในห้องทดลอง แต่ถูกนำไปใช้งานจริงในชุมชน เสริมศักยภาพของระบบป้องกันภัย และยังเป็นช่องทางสร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจฐานราก

  1. ความร่วมมือข้ามภาคส่วน คือกุญแจสำคัญในการสร้างเมืองปลอดภัย

กรณีนี้แสดงให้เห็นว่า หากภาครัฐสามารถเปิดพื้นที่ให้ภาคเอกชนและนักวิจัยเข้ามามีบทบาทสนับสนุน เชียงรายก็สามารถพัฒนาระบบรับมือภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพสูงได้ แม้มีงบประมาณจำกัด

ประโยชน์สู่ประชาชนรับมือภัยพิบัติด้วยความมั่นใจ

ผลลัพธ์สำคัญที่สุดจากการรับมอบผนังกั้นน้ำในครั้งนี้ คือ ความมั่นใจของประชาชนในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม โดยเฉพาะในเขตเทศบาลนครเชียงรายที่มีทั้งแหล่งเศรษฐกิจ โรงเรียน สถานพยาบาล และบ้านเรือนประชาชนอยู่หนาแน่น

  • เมื่อเกิดน้ำหลากจากฝนตกหนักหรือแม่น้ำกกเอ่อล้น สามารถนำผนังกั้นน้ำไปติดตั้งได้ทันที ลดความเสียหายและป้องกันการตัดขาดเส้นทางคมนาคม
  • ลดภาระของเจ้าหน้าที่ภาคสนามที่ไม่ต้องใช้แรงงานบรรจุกระสอบทรายจำนวนมาก
  • ประชาชนสามารถมั่นใจได้ว่า เมืองมีเครื่องมือที่ทันสมัยพร้อมรับมือทุกสถานการณ์

 “นวัตกรรมไทย” คือทางรอดของเมืองไทยในยุคภัยพิบัติถี่ขึ้น

ในขณะที่ภัยพิบัติเกิดขึ้นบ่อยครั้งและมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น การจัดการที่มีประสิทธิภาพไม่ใช่แค่การเตรียมเจ้าหน้าที่ให้พร้อม แต่คือการมีเครื่องมือที่ทันสมัยและเหมาะสมกับบริบทจริงของพื้นที่

กรณีการรับมอบ “ผนังกั้นน้ำยางพาราแบบเคลื่อนที่ได้” โดยเทศบาลนครเชียงราย จึงเป็นตัวอย่างของความสำเร็จในการผสานนโยบายของรัฐ นวัตกรรมจากเอกชน และความต้องการของประชาชนเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างระบบรับมือภัยพิบัติที่ตอบโจทย์ ทันเวลา และยั่งยืนในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • บริษัท อีโวเทค จำกัด
  • รายงานการรับมอบอุปกรณ์ป้องกันน้ำท่วม ณ เทศบาลนครเชียงราย วันที่ 5 สิงหาคม 2568
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย
  • ข้อมูลด้านวัสดุนวัตกรรมยางพารา จากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News