Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

ททท. ชี้เชียงรายโอกาสทองปลายปี ด้วย Soft Power และความปลอดภัยระดับโลก

ภาพรวมการท่องเที่ยวเชียงราย โอกาสทองปลายปี ขับเคลื่อนด้วย Soft Power และความปลอดภัยระดับโลก

เชียงราย, 6 กันยายน 2568 – เชียงรายกำลังเปลี่ยนผ่านจากกรีนซีซันสู่ไฮซีซันอย่างเต็มรูปแบบ ททท.สำนักงานเชียงรายประเมินว่าตลาดยัง “เป็นบวกและมีแรงส่ง” จากทั้งปัจจัยอากาศ ชุดกิจกรรมเชิงวัฒนธรรม และภาพลักษณ์เมืองปลอดภัยสำหรับนักเดินทาง โดยเฉพาะผู้หญิงและดิจิทัลโนแมด ขณะเดียวกัน เมืองเดินเกมเชิงรุกด้วย “สินค้าท่องเที่ยว” ที่แตกต่าง ได้แก่ ชา–กาแฟ งานศิลปะร่วมสมัย และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness) ซึ่งเปลี่ยนบทบาทเชียงรายจาก “เมืองผ่าน” เป็น “เมืองปลายทาง” สำหรับนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง

จากกรีนซีซันสู่ไฮซีซันตัวเลขบวกและจังหวะเร่งเครื่อง

นายวิสูตร บัวชุม ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานเชียงราย อธิบายว่า ช่วง 2–3 เดือนที่ผ่านมา อัตราเข้าพักเฉลี่ยอยู่ราว 55% สอดคล้องฤดูกาลฝน และเมื่อมองตั้งแต่ต้นปีถึงสิงหาคม ตัวเลขการท่องเที่ยว เติบโตประมาณ 5% แม้ไม่หวือหวา แต่ “เป็นบวกและน่าพอใจ” โดยมีปัจจัยหนุนจากสภาพอากาศช่วงต้นปีที่เป็นใจ และ ไม่มีน้ำท่วมใหญ่ เช่นบางปีที่ผ่านมา

“หากช่วงสี่เดือนสุดท้ายไม่มีเหตุฉุกเฉิน โดยเฉพาะน้ำท่วม และเมื่อเข้าสู่ปลายฝนต้นหนาว เราคาดว่า ตัวเลขจะดีขึ้นต่อเนื่อง” นายวิสูตรระบุ พร้อมย้ำว่าไฮซีซันซึ่งเริ่มกลางตุลาคมเป็นหัวใจสำคัญในการเร่งจังหวะการฟื้นตัวของทั้งที่พัก ร้านอาหาร และผู้ประกอบการนำเที่ยว

Soft Power เชียงราย ชา–กาแฟ ศิลปะ และ Wellness

แม้ภาคเหนือจะมีทรัพยากรธรรมชาติใกล้เคียงกัน แต่เชียงราย “สร้างความต่าง” ผ่านสามแกนหลัก

  1. ชา–กาแฟ: เชียงรายเป็นแหล่งปลูกสำคัญและกำลังยกระดับสู่ Specialty Coffee อย่างเป็นระบบ เส้นทางเรียนรู้ตั้งแต่ไร่ถึงแก้วช่วยยืดระยะเวลาพำนักและเพิ่มการใช้จ่ายต่อทริป
  2. การท่องเที่ยวเชิงศิลปะ: เมืองศิลปะร่วมสมัยของศิลปินแถวหน้าสร้างแลนด์มาร์กและอีเวนต์ที่ “ดึงกลุ่มใหม่” โดยเฉพาะผู้แสวงหาแรงบันดาลใจและนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
  3. Wellness Tourism: จังหวัดเดินนโยบาย Wellness อย่างจริงจัง เชื่อมทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำพุร้อน พื้นที่สีเขียว กิจกรรมโยคะ–สมาธิ กับบริการสปามาตรฐาน เพื่อยกระดับประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบองค์รวม

แกน Soft Power ดังกล่าวถูกออกแบบให้ “ทำงานร่วมกัน” ทั้งในเชิงเส้นทาง ทริป 2–3 วัน และคอนเทนต์สื่อสารเชิงเรื่องเล่าที่ชัดเจน

ความปลอดภัยคือใบเบิกทาง เมืองที่ผู้หญิงมั่นใจ

ความมั่นใจเรื่อง ความปลอดภัย คือปัจจัยตัดสินใจสำคัญ นายวิสูตรชี้ว่าเชียงรายเพิ่งถูกจัดอันดับให้เป็น เมืองปลอดภัยอันดับ 2 ของโลกสำหรับนักท่องเที่ยวผู้หญิง รองจากไทเป สะท้อนมาตรการดูแลทั้งเชิงป้องกันและการให้ความช่วยเหลือจริงจังในพื้นที่ ทั้งการทำงานของตำรวจท่องเที่ยวและศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว

“ปีที่ผ่านมา เชียงรายมีนักท่องเที่ยวกว่า 6.1 ล้านคน แต่ แทบไม่มีเหตุรุนแรง ที่กระทบชีวิตและทรัพย์สิน แม้เรามีแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติและเส้นทางภูเขาจำนวนมาก” ผู้บริหารททท.กล่าว นัยสำคัญคือ รีวิวเชิงบวกและการบอกต่อ ซึ่งสร้างผลทวีคูณต่อการกลับมาเยือนซ้ำ

นายวิสูตร บัวชุม ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย

แผนพร้อมรับไฮซีซัน ทั้งพื้นที่ เอกชน และการเดินทาง

เพื่อรองรับช่วงพีกซีซัน จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ “เข้าจังหวะ” เตรียมพร้อมในสามชั้น

  • พื้นที่แหล่งท่องเที่ยว: ทุกอำเภอและอุทยานแห่งชาติเร่งจัดการความพร้อม ทั้งความปลอดภัย เส้นทางเดิน–ชมวิว ป้ายสื่อความหมาย ห้องน้ำ และการจัดจุดถ่ายภาพที่เป็นระเบียบ
  • ภาคเอกชน: ททท.ประสานสมาคม–ชมรมท่องเที่ยว เพื่อยกระดับมาตรฐานบริการ โรงแรม–ที่พักทบทวนระบบจองหลายภาษา ร้านอาหารปรับเมนูฤดูกาล บริษัทนำเที่ยวเติมแพ็กเกจใหม่และโปรจับคู่ เช่น ที่พัก + สปา + เส้นทางชากาแฟ
  • การเดินทาง: ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงและสายการบินเตรียม เพิ่มเที่ยวบิน ช่วงปลายปี ขณะเดียวกัน Scoot เตรียมเปิด ไฟลต์ตรงสิงคโปร์–เชียงราย 1 มกราคม 2569 เปิดประตูสู่ตลาดอาเซียนโดยตรง และเพิ่มสัดส่วนนักท่องเที่ยวที่พักนาน–ใช้จ่ายสูง

สื่อสารเชิงรุก คอนเทนต์จริง พาเห็นหน้างาน

ในกรีนซีซันที่ผ่านมา ททท.สำนักงานเชียงรายพาสื่อมวลชนลงพื้นที่ “ตอนบน” และเชื่อมโยงกับ ประเพณีโล้ชิงช้า เพื่อสร้างคอนเทนต์เชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติที่ “จับต้องได้” วิธีการนี้ทำให้ผู้ชมเห็นภาพจริง รีแอคต์ต่อบรรยากาศ และเปลี่ยนใจสู่การจองทริปได้รวดเร็วกว่าแคมเปญภาพรวม

ยุทธศาสตร์คอนเทนต์ต่อไปคือ Wellness Storytelling ที่มีเส้นเรื่องชัดเจน เช่น “พักร้อน–พักใจ–พักกาย” เชื่อมคาเฟ่ไร่กาแฟกับออนเซ็นธรรมชาติ และเวิร์กช็อปชุมชน เพื่อเพิ่มเวลาพำนักเฉลี่ยและรายได้ให้คนในท้องถิ่น

เศรษฐกิจมหภาคในพื้นที่ เติบโต แต่ไม่ทั่วถึง

นอกเหนือจากตัวเลขท่องเที่ยวที่เป็นบวก รายงานเชิงวิเคราะห์ที่จัดทำจาก ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม ชี้ให้เห็นภาพรวมเศรษฐกิจเชียงรายปี 2568 ว่า เติบโตเด่นในระดับมหภาค ทั้งรายได้ท่องเที่ยวและการลงทุนธุรกิจใหม่ แต่เกิดปรากฏการณ์ เศรษฐกิจสองขั้ว” รายย่อยในตลาดดั้งเดิมยอดขายลดลงจากค่าครองชีพและการแข่งขันจากทุนใหญ่ ช่องว่างรายได้จึงกว้างขึ้น

ด้านการท่องเที่ยว ครึ่งปีแรก 2568 เชียงรายขึ้นแท่น เมืองรองอันดับ 1 รายได้รวมเกือบ 26,000 ล้านบาท แนวโน้มต่อเนื่องจากปี 2566 ที่มีรายได้กว่า 46,773.91 ล้านบาท และปี 2567 ราว 38,493 ล้านบาท (ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม) ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนผลของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและแผนการตลาดที่เน้นความต่างอย่างได้ผล

พลวัตการค้า ผ่านแดนพุ่ง ชายแดนชะลอ เสี่ยงพึ่งพาตลาดเดียว

ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียมระบุว่า กรกฎาคม 2568 มูลค่า การค้าผ่านแดน อยู่ที่ 99,805 ล้านบาท เพิ่ม 32.5% โดยจีนเป็นแรงขับหลัก สินค้าเด่นคือ ทุเรียนสด มูลค่าส่งออก 22,949 ล้านบาท โต 135.6% ขณะที่ การค้าชายแดน ชะลอลงมาที่ 66,220 ล้านบาท ติดลบ 20% และส่งออกติดลบ 29.5% สะท้อนข้อจำกัดด้านกฎระเบียบฝั่งเพื่อนบ้าน

ข้อค้นพบสำคัญคือ ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง จากการพึ่งพาสินค้าหรือ “ตลาดเดียว” สูงเกินไป หากอุปสงค์จีนชะลอ อาจ “ส่งแรงสั่นสะเทือน” ผ่านห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ชาวสวนจนถึงโลจิสติกส์และค้าปลีกในเมือง

ความท้าทายคาบเกี่ยว PM2.5 ภัยธรรมชาติ และการแข่งขันภูมิภาค

รายงานผู้ใช้ยังสะท้อน “จุดเปราะบาง” หลายด้าน ได้แก่

  • ฝุ่นควัน PM2.5 ที่กระทบภาพลักษณ์และสุขภาพ แม้มีนโยบาย “งดเผา 92 วัน” ค่าฝุ่นยังเกินมาตรฐานในบางช่วง ทำให้นักท่องเที่ยวบางส่วนเลื่อนหรือยกเลิกแผน
  • เหตุภัยธรรมชาติชายแดน เช่น แผ่นดินไหวฝั่งเมียนมา กระทบการเดินทางบางเส้นทางชั่วคราว
  • การแข่งขันภูมิภาค จากประเทศปลายทางยอดนิยมกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่มีต้นทุนทริปต่ำกว่า

ทางออกเชิงระบบคือ ความร่วมมือข้ามพรมแดน ในการจัดการไฟป่า–การเผา และการสื่อสารคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ พร้อมกับการยกระดับบุคลากรบริการและภาษา เพื่อชดเชยและสร้างสมดุลต่อแรงกดดันภายนอก

งบประมาณภาครัฐ ลงทุนมาก แต่การกระจายยังท้าทาย

ข้อมูลผู้ใช้ชี้ว่า งบกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรกปี 2568 ที่จัดสรรให้เชียงรายรวม 1,876.1 ล้านบาท กระจุกตัวในหน่วยงานส่วนกลาง โดยเฉพาะ กรมทางหลวง (713.9 ล้านบาท หรือ 38%) ขณะที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ไม่ได้รับจัดสรรโดยตรง แม้งบซ่อมฟื้นฟูหลังน้ำท่วมปลายปี 2567 อีก 363 ล้านบาท จะช่วยโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังมีคำถามถึง “ประสิทธิผลเชิงกระตุ้น” ต่อเศรษฐกิจฐานราก

ข้อเสนอเชิงนโยบายจากรายงานผู้ใช้คือ เพิ่มสัดส่วนงบตรงถึง อปท. และออกแบบเครื่องมือช่วย SME–ชุมชน ให้เข้าถึงง่าย ทั้งอบรมดิจิทัล มาร์เก็ตเพลส และสินเชื่อรายย่อย เพื่อ เชื่อมเศรษฐกิจบน–ล่าง ให้ไหลเวียนจริง

ยุทธศาสตร์เชื่อมการท่องเที่ยวกับชุมชน รายได้ไหลสู่ท้องถิ่น

เพื่อให้การเติบโต “ทั่วถึง” เชียงรายควรเดินหน้า แพ็กเกจร่วม ระหว่างโรงแรม–คาเฟ่–สปา–ชุมชน สร้างเส้นทาง “เรียนรู้–ลงมือทำ” เช่น เวิร์กช็อปชา–กาแฟ หัตถกรรม และอาหารท้องถิ่น เชื่อมบริการขนส่งท้องถิ่น ลดการรั่วไหลของรายได้ พร้อมมาตรฐาน ความปลอดภัย–ความสะอาด–ความเป็นมิตร โดยเฉพาะมุมบริการสำหรับนักเดินทางหญิง อาทิ ไฟส่องสว่าง ทางหนีไฟ กล้องวงจรปิด และบุคลากรที่ผ่านการอบรมปฐมพยาบาล

มาตรการเหล่านี้ช่วยสร้าง รีวิวดี–กลับมาเยือนซ้ำ–การบอกต่อ ซึ่งเป็น “ทุนทางสังคม” สำคัญของเมือง

โอกาสปลายปีและสมการความยั่งยืน

เมื่อรวมภาพทั้งหมด เชียงรายมี แรงส่งเชิงโครงสร้าง จากสินค้าท่องเที่ยวที่ต่าง วาระความปลอดภัยที่เด่น และไฟลต์ใหม่เชื่อมอาเซียนโดยตรง แต่ความยั่งยืนยังพึ่งพา “สามสมการ” ที่ต้องเดินพร้อมกัน

  1. Diversify – กระจายพอร์ตทั้งสินค้า–ตลาด (ท่องเที่ยวและการค้า) ลดเสี่ยงพึ่งพิงแหล่งเดียว
  2. Deconcentrate – คลายความกระจุกของงบและโอกาส สู่ อปท.–ชุมชน–SME เพื่อให้รายได้ไหลทั่วพื้นที่
  3. Decarbonize – เร่งมาตรการสิ่งแวดล้อม ลดควัน–ขยะ พร้อมสื่อสารข้อมูลคุณภาพอากาศโปร่งใส สร้างความมั่นใจนักเดินทางระยะยาว

หากทำได้พร้อมกัน เมืองจะ “ล็อกอิน” สถานะ เมืองปลายทางคุณภาพสูง ที่นักท่องเที่ยวพักนาน ใช้จ่ายสูง และกลับมาเยือนซ้ำในทุกฤดูกาล

ข้อเสนอสำหรับผู้ประกอบการในฤดูกาลนี้

  • ยกระดับระบบจอง รองรับหลายภาษา–มือถือ และเชื่อมแชต–ชำระเงิน
  • ทำแพ็กเกจร่วม ที่พัก + Wellness + เส้นทางชากาแฟ + รถรับส่งสนามบิน
  • สื่อสารความปลอดภัย ชัดเจนบนหน้าร้านและแพลตฟอร์ม พร้อมจุดติดต่อฉุกเฉิน
  • เก็บรีวิวคุณภาพ เน้นรูป–วิดีโอจริง สร้าง Social Proof ก่อนพีกซีซัน
  • อบรมบุคลากร ด้านภาษาที่สอง–บริการเชิงลึก ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวคุณภาพสูง

ไฮซีซันปลายปี 2568 คือ “จังหวะเร่งเครื่อง” ของเชียงราย ตัวเลขพื้นฐานบวก ความปลอดภัยเด่น และ Soft Power ชัดเจน ทั้งชา–กาแฟ ศิลปะ และ Wellness ขณะที่ไฟลต์ใหม่จากสิงคโปร์จะเปิดประตูตลาดอาเซียนโดยตรง ภาพความท้าทายยังมี ทั้ง PM2.5 การแข่งขันภูมิภาค และเศรษฐกิจสองขั้ว แต่ด้วยแผนเตรียมพร้อมของพื้นที่ ภาคเอกชน และการสื่อสารเชิงรุก เชียงรายมีศักยภาพจะ เปลี่ยนฤดูกาล ให้เป็น โอกาส และเปลี่ยน นักเดินทางครั้งแรก เป็น ผู้มาเยือนซ้ำ ที่หลงรักเมืองเหนือปลายทางแห่งนี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย กันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อตั้งนครชียงรายนิวส์
  •  เรียบเรียงโดย มนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้ร่วมก่อตั้งนครเชียงรายนิวส์
  • ภาพโดย กีรติ ชุติชัย ผู้สื่อข่าว
  • สัมภาษณ์ นายวิสูตร บัวชุม ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย วันที่ 6 กันยายน 2568: ภาพรวมฤดูกาลท่องเที่ยว อัตราเข้าพัก 55% การเติบโต 5% ประเด็นความปลอดภัยและนักท่องเที่ยว 6.1 ล้านคน รวมถึงแผนเพิ่มเที่ยวบินและไฟลต์ Scoot สิงคโปร์–เชียงราย 1 ม.ค. 2569
  • ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม: ตัวเลขรายได้ท่องเที่ยวปี 2566–2568 สถานะ “เมืองรองอันดับ 1” ครึ่งปีแรก 2568 และกรอบการวิเคราะห์เศรษฐกิจ–การท่องเที่ยวเชียงราย
  • ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม (การค้า): สถิติ การค้าผ่านแดน/ชายแดน เดือนกรกฎาคม 2568 มูลค่า 99,805 ล้านบาท (+32.5%) และ 66,220 ล้านบาท (–20%) สินค้าหลักทุเรียน 22,949 ล้านบาท (+135.6%)
  • ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม (นโยบาย–งบประมาณ): รายการจัดสรรงบกระตุ้นเศรษฐกิจจังหวัดเชียงรายปี 2568 รวม 1,876.1 ล้านบาท โครงสร้างหน่วยงานผู้รับงบ และงบซ่อมฟื้นฟูหลังอุทกภัยปลายปี 2567
  • ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม (สิ่งแวดล้อม–ความท้าทาย): สถานการณ์ PM2.5 มาตรการงดเผา 92 วัน เหตุภัยธรรมชาติชายแดน และการแข่งขันปลายทางในภูมิภาค
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“กองร้อยน้ำส้ม” เชียงของ สตรีอาสาผนึกกำลังสู่ชุมชนเข้มแข็งและสันติสุข

อบจ.เชียงราย–มทบ.37 ผนึกกำลัง “กองร้อยน้ำส้ม อ.เชียงของ” ปลุกพลังผู้นำสตรีจากฐานราก สร้างชุมชนเข้มแข็ง–สันติสุข–ยั่งยืน

เชียงราย, 6 กันยายน 2568เวลา 09.00 น. ค่ายเม็งรายมหาราช บริเวณหน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) อำเภอเมืองเชียงราย เสียงต้อนรับและรอยยิ้มของสตรีกว่า 100 คนจากอำเภอเชียงของดังขึ้นพร้อมกัน เมื่อพิธีเปิด “โครงการพัฒนาศักยภาพบทบาทสตรีและครอบครัวจังหวัดเชียงราย: กิจกรรมส่งเสริมพลังสตรีจิตอาสา ก่อเกิดชุมชนที่เข้มแข็ง สร้างสันติสุขสู่สังคม” เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ โดยมี นางทรงศรี คมขำ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย เป็นประธานเปิดงาน แทน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ซึ่งได้มอบหมายภารกิจและกำชับเป้าหมายของโครงการไว้อย่างชัดเจน

ตลอดสองวันของการอบรมระหว่าง 6–7 กันยายน 2568 ผู้เข้าร่วม—ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแกนนำสตรี ชมรมสตรีแม่บ้าน และตัวแทนชุมชนจากตำบลต่าง ๆ ของอำเภอชายแดน—จะได้เรียนรู้ แลกเปลี่ยน และสร้างเครือข่ายทำงานเชิงอาสาสมัคร โดยมีทีมบุคลากรจากกองสวัสดิการสังคม อบจ.เชียงราย นำโดย นางสาวนิโลบล ชาติเงิน ผู้อำนวยการกองสวัสดิการสังคม ร่วมกับภาคีจาก มทบ.37 และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ออกแบบกิจกรรมให้เหมาะกับบริบทพื้นที่และโจทย์จริงที่สตรีเผชิญอยู่ในชีวิตประจำวัน

กองร้อยน้ำส้ม” คำเปรียบเทียบที่เปลี่ยนเป็นพลังจริง

จากความสดชื่น–มีชีวิตชีวา สู่ระเบียบวินัย–ความเข้มแข็งของการทำงานเป็นทีม

ผู้จัดเรียกกลุ่มสตรีเชียงของชุดนี้ด้วยนามเรียกที่น่ารักและจำง่าย—กองร้อยน้ำส้ม” คำเปรียบเปรยที่มีสองมิติในตัวเอง หนึ่งคือ “พลังความสดชื่น” ของสตรีที่เติมความหวังให้ครอบครัวและชุมชนเสมอ สองคือ “ระเบียบวินัยและความเข้มแข็ง” แบบกองร้อยที่สอดประสานกันเพื่อพิชิตเป้าหมายร่วม เมื่อความหมายทั้งสองมาบรรจบ โครงการจึงไม่ได้เกิดมาเพื่อ “ให้ความรู้แล้วจบ” แต่ตั้งใจ “สร้างแกนกลางผู้นำสตรี” ที่มีทั้งหัวใจอาสาและวินัยของการทำงานสาธารณะ

ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมสมาชิกสภา อบจ. ได้เดินทางไปยังพื้นที่อำเภอเชียงของเพื่อ มอบเกียรติบัตร ให้ผู้เข้าร่วม และกล่าวให้กำลังใจด้วยสารสำคัญที่สะท้อนวิสัยทัศน์เชิงโครงสร้างของการพัฒนาสตรีในจังหวัดอย่างชัดถ้อยชัดคำ ว่า

การเสริมสร้างศักยภาพของสตรี มิใช่เพียงการยกระดับคุณภาพชีวิตของสตรีเท่านั้น หากยังเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาสังคมโดยรวม เพราะสตรีมีบทบาทเชื่อมโยงทั้งในฐานะผู้ดูแลครอบครัว ผู้ประกอบอาชีพ และผู้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนชุมชนและท้องถิ่น… เมื่อสตรีมีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ความรู้ ทักษะ และประสบการณ์เหล่านั้นจะย้อนกลับไปสร้างครอบครัวเข้มแข็ง ชุมชนก้าวหน้า และสังคมที่ยั่งยืน”

สารดังกล่าวคือ “นัทกราฟ” (แก่นเรื่อง) ของโครงการนี้—การยืนยันว่าการลงทุนกับสตรีคือการลงทุนกับสังคมทั้งระบบ

ทำไมต้องเริ่มที่ชายแดน โจทย์จริง–พื้นที่จริง–ผู้เล่นจริง

อำเภอเชียงของเป็นพื้นที่ชุมชนชายแดนที่ต้องรับมือกับโจทย์หลากหลาย ทั้งเศรษฐกิจฐานรากที่ผูกกับเกษตร–บริการ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมของครอบครัวขยายสู่ครอบครัวเดี่ยว การย้ายถิ่นเพื่อทำงาน รวมถึงต้นทุนการเข้าถึงบริการภาครัฐในบางโซนชนบทห่างไกล เมื่อมองผ่านเลนส์ “เพศภาวะ” ปัญหาเหล่านี้สะเทือนต่อ สตรีและเด็ก ก่อนเสมอ—ทั้งในฐานะแกนกลางครัวเรือน ผู้ดูแล ผู้หารายได้เสริม และผู้เป็นเสาหลักยามเกิดวิกฤต

การฝึกอบรมและรวมเครือข่ายที่เชียงของ จึงเป็นการแก้ปัญหาที่ “จุดกำเนิด” ไม่ใช่ “ปลายเหตุ” เป้าหมายของโครงการชี้ชัดว่าจะ สร้างเวทีให้สตรีได้พัฒนาความรู้–ทักษะ–เครือข่าย แล้วส่งต่อเป็นพลังจิตอาสาที่ขยายไปถึงงานชุมชน เช่น การดูแลผู้เปราะบาง กิจกรรมเยาวชน การจัดการสิ่งแวดล้อม และการสื่อสารสาธารณะในระดับหมู่บ้าน–ตำบล

บทบาท “สองขา” ท้องถิ่น–ทหาร โมเดลบูรณาการเพื่อคนตัวเล็ก

จุดแข็งของโครงการนี้คือการทำงานแบบ “สองขา” ระหว่าง อบจ.เชียงราย (ท้องถิ่น–สังคม) และ มทบ.37 (ความมั่นคง–ระเบียบวินัย–ทรัพยากรสถานที่) การได้ใช้พื้นที่ฝึกของหน่วยทหารที่มีระบบระเบียบ เครื่องมือพร้อม และบุคลากรด้านการฝึกวินัย นำมาปรับใช้กับ หลักสูตรพลังสตรีจิตอาสา ทำให้รูปแบบกิจกรรมมีทั้งความกระชับ จริงจัง และเป็นมิตรกับผู้เรียน

  • ขาแรก—อบจ.เชียงราย: กำหนดนโยบายและเป้าหมาย ออกแบบกิจกรรมที่จับต้องโจทย์ชุมชน ดูแลเนื้อหาด้านสังคมและสวัสดิการ เชื่อมเครือข่ายระดับตำบล–อำเภอ
  • ขาที่สอง—มทบ.37: หนุนทรัพยากรสถานที่และกำลังพล สร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ปลอดภัย มีวินัย และต่อเนื่อง เสริมภาพ “ทหารเพื่อประชาชน” ในมิติการพัฒนาสังคม

ผลลัพธ์คือ “สนามฝึกเชิงสังคม” ที่คนตัวเล็กเข้าถึงได้จริง ไม่ใช่แค่เวทีรับฟัง แต่เป็นพื้นที่ ลงมือทำและต่อยอด หลังอบรม

โครงเรื่องการอบรมจากการตื่นรู้สู่การจัดตั้งทีมภาคสนาม

ตลอดสองวันของกิจกรรม (ตามกำหนดการที่ผู้ใช้จัดเตรียม) โครงการย้ำ “สามเสาหลัก” ที่ต่อกันเป็นเรื่องเดียว

  1. ตระหนักรู้บทบาทสตรี – ทำความเข้าใจศักยภาพและอุปสรรคเชิงโครงสร้างของสตรีในครอบครัว–ชุมชน
  2. เสริมสมรรถนะผู้นำจิตอาสา – ฝึกการสื่อสารสาธารณะ การทำงานเป็นทีม การประสานภาคี การจัดกิจกรรมที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับเด็ก–ผู้สูงอายุ
  3. ตั้งทีมปฏิบัติการชุมชน – แตกกลุ่มตั้ง “ทีมงานย่อย” และ “ภารกิจนำร่อง” ที่จะกลับไปทดลองในหมู่บ้าน/เขตเมืองของตนเอง (เช่น ทีมดูแลผู้เปราะบาง ทีมสิ่งแวดล้อม ทีมเยาวชน)

เนื้อหาทั้งหมดถูกยึดโยงกับบริบทเชียงของโดยตรง และมี พิธีมอบเกียรติบัตร เพื่อยืนยันการเริ่มต้นบทบาทผู้นำสตรีอย่างเป็นทางการ

วาทะที่ชูประเด็น—และเดินหน้าไปข้างหน้า

คำกล่าวของนายก อบจ.เชียงราย ในช่วงบ่าย เป็นเหมือน “รหัสผ่าน” ที่เปิดประตูบทใหม่ของบทบาทสตรีในจังหวัด “สตรีไม่ใช่ผู้รับนโยบายเพียงอย่างเดียว แต่คือ ‘ผู้สร้าง’ นโยบายระดับฐานราก” เมื่อถ้อยคำนี้ถูกประกาศต่อหน้าแกนนำสตรีและภาคีภาครัฐ–ทหาร ความหมายจึงไปไกลกว่าคำให้กำลังใจ แต่คือ การอนุมัติทางสังคม ให้สตรีออกมายืนแถวหน้าของการเปลี่ยนแปลง

ในมุมปฏิบัติการ โครงการยังส่งสัญญาณชัดว่าการขับเคลื่อนต่อจากนี้ต้องอาศัย ผู้นำหลายชั้น—ตั้งแต่ผู้นำชุมชนระดับหมู่บ้าน ผู้นำศาสนา ผู้นำวัยรุ่น ไปจนถึงครูและ อสม. เพื่อเชื่อม “กองร้อยน้ำส้ม” ให้เป็น เครือข่ายสตรีจิตอาสาเชียงของ ที่ทำงานได้ต่อเนื่องทั้งปี

ตัวเลข–ข้อเท็จจริงชวนคิด

  • วัน–เวลา–สถานที่: เปิดโครงการ 6 กันยายน 2568 เวลา 09.00 น. ณ หน่วยฝึก นศท. มทบ.37 ค่ายเม็งรายมหาราช อำเภอเมืองเชียงราย
  • กรอบเวลาโครงการ: 6–7 กันยายน 2568 (สองวันเต็ม)
  • ผู้เข้าร่วม: กลุ่มสตรีในเขตอำเภอเชียงของ กว่า 100 คน
  • ผู้ร่วมพิธีเปิดและภาคีหลัก: รองนายก อบจ.เชียงราย / ผอ.กองสวัสดิการสังคม อบจ. / พันเอกสิงหนาท โลสุยา เสนาธิการ มทบ.37 / หัวหน้าส่วนราชการ มทบ.37
  • ภารกิจช่วงบ่าย: นายก อบจ.เชียงราย และสมาชิกสภา อบจ. เดินทางพบปะกลุ่มสตรีเชียงของ มอบเกียรติบัตร และกล่าวนโยบาย–วิสัยทัศน์

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าการพัฒนาสตรีได้ก้าวพ้นรูปแบบ “เวทีเชิญวิทยากร–เวทีกล่าวเปิด” ไปสู่ โครงสร้างร่วมรับผิดชอบ ระหว่างท้องถิ่น–ทหาร–ประชาชน ที่ลงมือทำจริง

ทำอย่างไรให้ “กองร้อยน้ำส้ม” เติบโตได้ตลอดปี

เพื่อให้พลังที่จุดติดแล้วเดินหน้าอย่างยั่งยืน ทีมข่าวสรุปข้อเสนอเชิงระบบจากบทเรียนกิจกรรมและข้อเท็จจริงหน้างาน ดังนี้

  1. ตั้งศูนย์ประสานงานสตรีจิตอาสา (ระดับอำเภอ) – ทำหน้าที่เป็น “แม่ข่าย” ออกแบบปฏิทินกิจกรรมรายไตรมาส รับปัญหาจริงจากหมู่บ้าน จับคู่ภารกิจกับหน่วยงาน
  2. คลังความรู้ท้องถิ่นออนไลน์ – รวมคู่มือกิจกรรมชุมชน ป้ายความปลอดภัยสำหรับงานสาธารณะ แบบฟอร์มประสานงานราชการ ให้สตรีเข้าถึงง่าย
  3. งบสนับสนุนจุดเล็ก–เร็ว–เห็นผล – มอบทุนย่อย (micro-grant) สำหรับทีมย่อย 3–5 คนที่พร้อมทำภารกิจนำร่อง เช่น พื้นที่ปลอดภัยเด็ก น้ำดื่มงานชุมชน การคัดแยกขยะคืนรายได้
  4. พี่เลี้ยงข้ามภาคส่วน – จับคู่ “พี่เลี้ยง” จาก อบจ./ มทบ.37/ สภาเด็กและเยาวชน/ สาธารณสุข ให้คำปรึกษารายทีมต่อเนื่อง 3–6 เดือน
  5. ตัวชี้วัดที่คนชุมชนกำหนด – ให้ชุมชนร่วมออกแบบตัวชี้วัด เช่น จำนวนกิจกรรมที่เกิดจริง จำนวนเครือข่ายที่ร่วมมือ หรือจำนวนครัวเรือนที่ได้ประโยชน์ โดยไม่เพิ่มภาระเอกสารเกินจำเป็น

ข้อเสนอนี้มุ่งให้ ภารกิจเล็ก” กลายเป็น “อิฐก้อนเล็ก” ที่ร่วมกันก่อกำแพงความเข้มแข็งของชุมชนได้ทั้งปี

เมื่อสตรีลุกขึ้นนำ—ชุมชนก็ไปต่อ

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา การพัฒนาชนบทและพื้นที่ชายแดนมักสะดุดเพราะ “ระยะห่าง” ระหว่างนโยบายกับชีวิตจริง โครงการในครั้งนี้เลือกวิธี ลดระยะห่าง ด้วยการดึง ผู้หญิงที่เป็นหัวใจของครอบครัวและชุมชน เข้ามาเป็น “ผู้เล่นตัวจริง” บนเวทีสาธารณะ สนามฝึกที่ตั้งอยู่ในค่ายทหารกลายเป็นพื้นที่ ปลอดภัย–เป็นระบบ–มีวินัย ให้การเรียนรู้เกิดขึ้นอย่างมีคุณภาพ และเมื่อ อบจ.เชียงราย แสดงเจตจำนงชัดว่าจะ “เปิดทาง–เปิดเวที–เปิดโอกาส” อย่างต่อเนื่อง พลังสตรีก็มี “รางวิ่ง” ที่ไปได้ไกลกว่าครั้งใด

ในทางข่าว ความเคลื่อนไหววันนี้จึงไม่ใช่เพียงภาพของพิธีเปิดหรือภาพมอบเกียรติบัตร หากคือ การเปิดฉากบทใหม่ของการพัฒนาท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วม ที่ให้สตรีเป็นแกนกลาง ขับเคลื่อนด้วยวินัยแบบกองร้อยและความสดชื่นแบบน้ำส้ม—รวมเป็น “กองร้อยน้ำส้ม” ที่พร้อมทำงานยาวทั้งปีให้เห็นผลในครัวเรือน–หมู่บ้าน–อำเภอ และในท้ายที่สุด สร้าง สันติสุข ที่จับต้องได้บนแผ่นดินเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เชียงรายพร้อม! ดัน “โล้ชิงช้าอาข่า” เป็น Soft Power แห่งการท่องเที่ยว

โล้ชิงช้าบ่อฉ่องตุ๊” ประเพณีศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่ฟ้าหลวง—อบจ.เชียงราย–อบต.แม่สลองใน ผนึกพลังชุมชน ขับเคลื่อน Soft Power ชนเผ่าอาข่าสู่สายตาโลก

เชียงราย, 6 กันยายน 2568 – เหนือยอดดอยแม่สลอง เสียงฆ้องและกระบอกไม้ไผ่กระทบกันเป็นจังหวะกังวาน ณ ลานพระสยามเทวาธิราช บ้านสามแยกอาข่า ตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย บรรยากาศเต็มไปด้วยความปลื้มปีติของชุมชนอาข่า—ชายหญิงแต่งชุดชาติพันธุ์อันวิจิตร สีเงินของเครื่องประดับสะท้อนแดดอ่อนราวประกายแห่งศรัทธา วันนี้คือ “วันสร้างชิงช้า”—วันสำคัญในลำดับพิธีของ เทศกาลโล้ชิงช้า “บ่อฉ่องตุ๊” ที่ชาวอาข่าขนานนามกันมายาวนานว่า “ปีใหม่อาข่า” และพรุ่งนี้ (7 กันยายน) คือวันไคลแมกซ์ที่ทั้งหญิงและชายจะออกมาโล้ชิงช้าอย่างสนุกสนานและสำรวมในคราวเดียวกัน

พิธีเปิดงานปีนี้ได้รับเกียรติจาก นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) เป็นประธาน ท่ามกลางการต้อนรับจากผู้นำชุมชน ผู้แทนหน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายวัฒนธรรมในพื้นที่ ภาพทั้งหมดสะท้อนพลัง “ร่วมจัด–ร่วมอนุรักษ์–ร่วมภาคภูมิใจ” และกำลังผลักเชียงรายให้โดดเด่นขึ้นในฐานะจุดหมายการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่มี “วิถีชนเผ่า” เป็นหัวใจ

พิธีกรรมที่มากกว่างานรื่นเริง บูชาพระแม่โพสพ–กตัญญูบรรพชน–ยกย่องบทบาทสตรี

ตาม ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม เทศกาลโล้ชิงช้าเป็นพิธีกรรมที่จัดปีละครั้งเพื่อบูชา “พระแม่โพสพ” และแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ เป้าหมายลึกซึ้งกว่าการเฉลิมฉลอง คือการทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับผืนดินและข้าวปลาอาหารที่หล่อเลี้ยงชีวิต ตลอดจนร้อยสายใยคนในชุมชนให้แน่นแฟ้น

สัญลักษณ์เด่นที่สุดของงานคือ “การโล้ชิงช้า” ซึ่งถูกมอบความหมายเชิงยกย่องบทบาทของสตรีชาวอาข่า ในเทศกาลนี้หญิงสาวจะสวมชุดประจำเผ่าที่ประดับงานโลหะ ลูกปัด และเครื่องตกแต่งแฮนด์เมดอันละเอียดอ่อน ออกมาโล้ชิงช้าอย่างสง่างาม ถึงพร้อมด้วยความสนุกและกิริยามารยาทที่อยู่บนฐานของมารยาทชุมชน ในสายตาคนนอก นี่คือภาพงดงามทางสุนทรียะ แต่สำหรับชาวอาข่า มันคือ “การประกาศตัวตน”—การสืบสานวิถีชีวิตและบทบาทสตรีที่มีเกียรติในโครงสร้างสังคมของชนเผ่า

แผนงาน 3 พื้นที่—หนึ่งอัตลักษณ์ร่วม

เทศกาลปี 2568 มิได้มีเพียง “บ่อฉ่องตุ๊” แห่งแม่ฟ้าหลวงเท่านั้น หากยังจัดต่อเนื่องในพื้นที่ชุมชนอาข่าชื่อดังของอำเภอแม่สาย ตาม กำหนดการในข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม ดังนี้

  • โล้ชิงช้าอาข่าบ้านผาฮี้ อ.แม่สาย : วันที่ 4–8 กันยายน 2568
  • โล้ชิงช้าอาข่าบ้านผาหมี อ.แม่สาย : วันที่ 6–8 กันยายน 2568
  • โล้ชิงช้า “บ่อฉ่องตุ๊” บ้านสามแยกอาข่า อ.แม่ฟ้าหลวง : วันที่ 6–7 กันยายน 2568

แม้จะต่างวันและต่างพื้นที่ แต่ทั้งสามต่างยึดแก่นพิธีเดียวกัน—การสำนึกในบุญคุณผืนดินและบรรพบุรุษพร้อมการเฉลิมฉลองชุมชน รายละเอียดปลีกย่อยในแต่ละชุมชนสะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ผสานอยู่ภายใต้ “รากเดียวกัน” ของอาข่า และนี่คือเสน่ห์ซึ่งนักเดินทางสมัยใหม่ที่มองหาประสบการณ์แท้ (authentic) ให้ความสนใจ

วัตถุประสงค์ชัด 4 ข้อ—โมเดลจัดงานที่วางบนฐานความยั่งยืน

นายปิยะเดช เชิงพิทักษ์กุล นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่สลองใน ย้ำถึงแกนกลางของงานว่า เทศกาลนี้มิใช่เพียง “งานรื่นเริง” แต่คือเครื่องมือสร้างความยั่งยืนให้ชุมชน โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 4 ประการ

  1. ฟื้นฟูประเพณี–พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม: ให้คนมา “เห็น–เข้าใจ–เคารพ” วิถีชนเผ่า ผ่านพิธีกรรมและกิจกรรมที่ชุมชนออกแบบ
  2. เสริมความเข้มแข็งและสามัคคี: ทุกเพศวัยมีบทบาทร่วมในงาน เกิดความภูมิใจและเป็นเจ้าของมรดกร่วม
  3. ปลูกจิตสำนึกเยาวชน: ถ่ายทอดความรู้ ขนบธรรมเนียม และบทบาทหน้าที่ทางวัฒนธรรมสู่คนรุ่นใหม่
  4. สืบทอดวิถีชนเผ่า: ให้ประเพณียัง “มีชีวิต” ไม่ใช่แค่ “จัดแสดง”

การกำหนดเป้าหมาย “เชิงสังคม–เชิงวัฒนธรรม–เชิงเศรษฐกิจ” ควบคู่กัน ทำให้งานนี้กลายเป็นต้นแบบการใช้วัฒนธรรมสร้างคุณค่าใหม่ (value creation) โดยไม่ทำลายแก่นแท้—ตรงกับหลักคิด “ท่องเที่ยวรับผิดชอบและยั่งยืน” ที่สังคมไทยและโลกกำลังมุ่งไป

กิจกรรมแน่นตลอดสองวัน—จากพิธีกรรมสู่เวทีสร้างสรรค์

ภายในงาน บ่อฉ่องตุ๊ 2568 ชุดกิจกรรมถูกออกแบบให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสทั้งพิธีกรรม วิถีชีวิต และความบันเทิงร่วมสมัย (ข้อมูลจาก ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม) อาทิ

  • พิธีและการละเล่นโล้ชิงช้า (ไฮไลต์ของงาน)
  • การละเล่นชิงช้าสวรรค์ และ การแสดงกระทุ้งกระบอกไม้ไผ่
  • เดินแบบชุดชาติพันธุ์อาข่า โชว์ศิลปะการแต่งกายอย่างเป็นระบบ
  • ประกวดประกอบอาหารชนเผ่า เปิดพื้นที่ให้สูตรดั้งเดิม–ดัดแปลงร่วมสมัย
  • การแสดงของพี่น้องรวม 7 ชนเผ่า สะท้อนความหลากหลายชาติพันธุ์บนดอย
  • นิทรรศการชุมชน และ ตลาดชนเผ่า” จำหน่ายผลิตภัณฑ์พื้นถิ่น
  • การแสดงจาก ศิลปินดาราชื่อดังชาวอาข่า เพิ่มสีสันยามค่ำคืน (มีการจัดพื้นที่นั่งโต๊ะแบบจองล่วงหน้า เพื่อความเรียบร้อยของงาน)

โครงสร้างกิจกรรมแบบ “พิธี–เรียนรู้–สร้างสรรค์–แบ่งปันรายได้” ทำให้งานไม่เพียงดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่ยังคืนรายได้สู่ครัวเรือนชุมชน ตั้งแต่กลุ่มแม่บ้านเครื่องประดับงานปัก ผู้สูงวัยที่เชี่ยวชาญงานฝีมือ ไปจนถึงเยาวชนที่ได้แสดงความสามารถบนเวทีร่วมสมัย

Soft Power ชนเผ่าบนฐานความเคารพ—ทางรอดของท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

เมื่อคำว่า “Soft Power” กลายเป็นยุทธศาสตร์ชาติ การผลักดันให้ วัฒนธรรมชนเผ่าอาข่า ก้าวออกสู่สาธารณะโดย เจ้าของวัฒนธรรมเป็นผู้นำ คือคำตอบที่ถูกทาง เทศกาลโล้ชิงช้า ทำให้โลกเห็น “ทุนทางวัฒนธรรม” ที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ตั้งแต่อาหาร เครื่องแต่งกาย พิธีกรรม ดนตรี ไปจนถึงเรื่องเล่าปากต่อปากที่ถ่ายทอดผ่านผู้นำชุมชนและผู้เฒ่าผู้แก่

อย่างไรก็ดี ความสำเร็จด้านภาพลักษณ์ต้องเดินคู่กับ หลักการคุ้มครองมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (intangible cultural heritage) ในเชิงปฏิบัติ—เช่น การกำหนดขอบเขตการถ่ายภาพบางช่วงพิธี การขออนุญาตก่อนบันทึกเสียง–ภาพ การซื้อสินค้า/อาหารจากร้านชุมชนจริง และการแต่งกายสุภาพในการร่วมงาน ทั้งหมดคือ “กติกาแห่งความเคารพ” ที่ทำให้งานเติบโตอย่างมีศักดิ์ศรีและยั่งยืน

เส้นทางสู่ความยั่งยืนข้อเสนอเชิงระบบจากบทเรียนพื้นที่

จากประสบการณ์การจัดงานซ้ำต่อเนื่องในหลายชุมชน ผู้สื่อข่าวสรุป “ข้อเสนอเชิงระบบ” ที่สะท้อนจาก ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม และข้อเท็จจริงหน้างานดังนี้

  1. ปฏิทินท่องเที่ยวร่วมเดียวกัน: รวมทุกงานโล้ชิงช้าในจังหวัดไว้ในหน้าเดียว (ออนไลน์/ออฟไลน์) กำหนดเวลา–สถานที่–ข้อควรรู้ให้เข้าใจง่าย ลดความสับสนของนักท่องเที่ยว
  2. เส้นทางเข้า–ออกและจุดจอดรถชัดเจน: โดยเฉพาะพื้นที่ภูเขา ทางคดเคี้ยว—ต้องมีแผนผังภาษาไทย–อังกฤษ–จีน พร้อมระบบรถรับ–ส่งจากจุดจอด
  3. มาตรฐานค้าขายชุมชน: ป้ายราคาเดียวกัน ชื่อสินค้า–แหล่งผลิตชัดเจน หนุนให้ “ตลาดชนเผ่า” เป็นหน้าต่างเศรษฐกิจของบ้านตนเองจริง ๆ
  4. พื้นที่เรียนรู้สำหรับเยาวชน: จัดมุมเวิร์กช็อปงานฝีมือ/การเล่าเรื่องโดยผู้เฒ่าผู้แก่ เพื่อ “ต่อสายใย” ระหว่างรุ่น
  5. คู่มือผู้เยี่ยมเยือน (Visitor Code): ข้อพึงระวังในพิธี กติกาการถ่ายภาพ การแต่งตัว และการมีส่วนร่วมอย่างเคารพ

มาตรการเหล่านี้ไม่ใช่แค่เพื่อ “ความเรียบร้อย” แต่เป็น “ระบบนิเวศ” ที่รักษาสมดุลระหว่างการท่องเที่ยวกับศักดิ์ศรีของวัฒนธรรม

จากลานชิงช้าสู่ความทรงจำร่วมปลายทางของเรื่องเล่า

เมื่อเสาสูงทั้งสี่ถูกผูกเข้าหากันเป็นชิงช้าขนาดใหญ่ และเชือกเส้นสุดท้ายถูกขึงตึงโดยมือของผู้อาวุโส—เสียงโห่ร้องของเด็ก ๆ คลอไปกับบทสวดสั้น ๆ ในภาษาชุมชน พรุ่งนี้คือวันสุดท้ายของพิธีในปีนี้ วันที่ทั้งหญิงและชายจะได้ “โล้ชิงช้า” ร่วมกันตามครรลอง เป็นการปิดพิธีอย่างรื่นเริงและสำรวมในคราเดียวกัน

ในมุมของนักเดินทาง นี่คือเทศกาลที่ “ต้องไปให้เห็นด้วยตา” สักครั้งหนึ่งในชีวิต แต่ในมุมของชุมชนอาข่า มันคือ “ชีวิตประจำปี” ที่กลับมาเติมเต็มความทรงจำร่วมของผู้คน—ยืนยันว่ารากเหง้าที่ยืนหยัดอยู่บนดอยสูงยังคงแข็งแรง และพร้อมส่งต่อสู่สายตาโลกด้วยภาษาวัฒนธรรมของตนเอง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.)
  • องค์การบริหารส่วนตำบลแม่สลองใน (อบต.)
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

“ทุเรียนไทย” ดันค้าผ่านแดนเชียงรายพุ่งสวนทางค้าชายแดนที่หดตัวหนัก

การค้าชายแดนเชียงรายหดตัวหนัก แต่การค้าผ่านแดนพุ่งสวนทาง “ทุเรียนไทย” เป็นพระเอกพยุงเศรษฐกิจ—รัฐเร่งอัดฉีดงบฟื้นโลจิสติกส์ชายแดน

เชียงราย, 6 กันยายน 2568ด่านพรมแดนเชียงของ รถบรรทุกต่อคิวเรียงยาวริมแม่โขง ภาพที่คุ้นตาในช่วงฤดูส่งออกผลไม้ไปจีน แต่ปีนี้มีสิ่งที่ต่างออกไปอย่างมีนัยสำคัญ ตัวเลขการค้าผ่านแดนของเชียงรายทะยานขึ้น ขณะที่การค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านกลับสะดุดแรง

รายงานการวิเคราะห์ครึ่งแรกของปี 2568 (ม.ค.–มิ.ย.) ระบุชัดว่า มูลค่าการค้ารวมของจังหวัดเชียงรายอยู่ที่ 54,258.61 ล้านบาท ทว่าเมื่อแยกโครงสร้าง จะพบความจริงที่สองด้านในภาพเดียวกัน—การค้าผ่านแดน (Transit Trade) มีมูลค่า 38,438.22 ล้านบาท คิดเป็น 70.84% ของทั้งหมด ขับเคลื่อนโดยด่านศุลกากรเชียงของและเส้นทาง R3A สู่จีน ขณะที่ การค้าชายแดน (Border Trade) ซึ่งเป็นการซื้อขายกับเมียนมาและ สปป.ลาว มีมูลค่า 15,820.39 ล้านบาท หรือเพียง 29.16% และยังมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องในหลายเดือน

ภาพรวมที่ “บวกและลบ” อยู่ในจังหวัดเดียวกัน ทำให้เชียงรายกลายเป็นกรณีศึกษาที่น่าจับตา—โอกาสเศรษฐกิจใหม่กำลังก่อตัวในเวลาเดียวกับที่ความเปราะบางบางด้านกำลังกัดกร่อนความมั่นใจของผู้ประกอบการชายแดน

แรงขับเคลื่อน “ทุเรียนสด” เส้นเลือดใหญ่ของการค้าผ่านแดน

หัวใจของการเติบโตครึ่งปีแรก คือคลื่นส่งออก ทุเรียนสด” สู่สาธารณรัฐประชาชนจีนผ่านด่านเชียงของ—ประตูการค้าบนระเบียงเศรษฐกิจเหนือ–ใต้ (R3A) ที่เชื่อมไทย–ลาว–จีน ข้อมูลยืนยันว่าเฉพาะผลไม้ชนิดนี้ได้ดันมูลค่าการค้าผ่านแดนให้พุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จนทำให้สัดส่วนของ Transit Trade ต่อการค้ารวมแตะเกิน 70% เป็นครั้งสำคัญ

อย่างไรก็ดี จุดแข็งข้างต้นก็แฝง “ความเสี่ยงตามฤดูกาล” ไว้ในตัวเอง เดือนมิถุนายน 2568 เป็นตัวอย่างชัดเจน—มูลค่าส่งออกหดตัวลงถึง 4,556.17 ล้านบาท โดย กว่า 4,450 ล้านบาท มาจากทุเรียนที่สิ้นสุดฤดูผลิต การเติบโตที่ผูกกับสินค้าไม่กี่ชนิด จึงทำให้กราฟการค้าเหวี่ยงตัวแรงระหว่าง “ฤดูกาล–นอกฤดูกาล” และกลายเป็นโจทย์สำคัญต่อการบริหารกระแสเงินสดของผู้ส่งออก ตลอดจนการวางแผนเสถียรภาพรายได้ของจังหวัด

ด้านมืดของกราฟ การค้าชายแดนสะดุด—เมียนมา–ลาวชะงักจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์

ในอีกฟากหนึ่งของจังหวัด เส้นแดนที่แม่สายและเชียงแสนเผชิญแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง การค้าชายแดนกับเมียนมาและลาวหดตัว ตามข้อมูลที่บันทึกไว้ในหลายเดือน สาเหตุหลักถูกชี้ไปยัง สถานการณ์ความไม่สงบภายในเมียนมา และ การตรวจสอบสินค้าที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งทำให้การขนส่งติดขัด เกิดต้นทุนแฝงจากการรอคิว การเสี่ยงต่อความเสียหายของสินค้า และความไม่แน่นอนในการปิด–เปิดด่านโดยไม่มีกำหนด

เมื่อนำปัจจัยดังกล่าวมารวมกับความผันผวนของค่าเงินเพื่อนบ้านและกำลังซื้อที่อ่อนแรง ภาพรวมฝั่งชายแดนจึงออกมาในเชิงลบ แม้ความต้องการของตลาดปลายทางในเมียนมาจะยังมีอยู่ก็ตาม

ภาพจำแนกตามด่านตัวเลขที่เล่าเรื่อง

เพื่อมองเห็นโครงสร้างการค้าของเชียงรายอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ข้อมูลครึ่งปีแรก 2568 แยกตามด่านมีดังนี้ 

  • ด่านศุลกากรเชียงของ (ค้าผ่านแดนกับจีน):
    • ส่งออก 32,299.41 ล้านบาท
    • นำเข้า 7,572.54 ล้านบาท
    • มูลค่ารวม 39,871.95 ล้านบาท
    • โครงสร้างสินค้าส่งออก: ผลไม้สด (โดยเฉพาะทุเรียน) 96.88%, สินค้าอุปโภค–บริโภค 1.64%, สินค้าเกษตรอื่น 0.98%
    • นำเข้าหลัก: ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 58.06%, สินแร่ 29.53%, และผลไม้สดบางส่วน
  • ด่านศุลกากรแม่สาย (ค้าชายแดนกับเมียนมา):
    • ส่งออก 5,496.64 ล้านบาท
    • นำเข้า 833.48 ล้านบาท
    • มูลค่ารวม 6,330.12 ล้านบาท
    • สินค้าส่งออกเด่น: น้ำมันเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์ 49.56%, น้ำมันเบนซิน/ดีเซล 18.58%, เครื่องอุปโภค–บริโภค 17.51%
    • นำเข้าหลัก: เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เมล็ดงา และสุราต่างประเทศ
  • ด่านศุลกากรเชียงแสน (ค้าชายแดนกับลาว/ทางน้ำ):
    • ส่งออก 6,896.43 ล้านบาท
    • นำเข้า 1,160.10 ล้านบาท
    • มูลค่ารวม 8,056.52 ล้านบาท
    • สินค้าส่งออกเด่น: เครื่องอุปโภค–บริโภค 17.51%, รถยนต์นั่ง 2.46%, อุปกรณ์ก่อสร้าง 5.08%
    • นำเข้าหลัก: ผักสด 59.01%, ปูนซีเมนต์ 11.81%, แร่พลวง 6.91%

เมื่อรวมทั้งสามด่าน จะได้ภาพรวม ส่งออก 44,692.48 ล้านบาท / นำเข้า 9,566.12 ล้านบาท / รวม 54,258.61 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนชัดเจนว่าการค้าของเชียงรายเอนตัวไปทาง “ผ่านแดนสู่จีน” มากกว่าค้าชายแดนกับเพื่อนบ้านโดยตรง

สัญญาณเชิงโครงสร้างเมื่อเชียงราย “เปลี่ยนบทบาท”

ข้อมูลอัปเดตเดือนกรกฎาคม 2568 (ที่ผู้ใช้จัดเตรียมไว้) ยิ่งตอกย้ำแนวโน้มการเปลี่ยนผ่าน: การค้าผ่านแดนเติบโต 32.5% ขณะที่ การค้าชายแดนหดตัว -20% นัยสำคัญคือเชียงรายกำลังขยับจาก “ศูนย์กลางการค้าภูมิภาค” ไปเป็น ประตูการค้าโลก” ที่เชื่อมไทยเข้ากับตลาดจีนโดยตรงผ่านโครงข่ายคมนาคมเหนือ–ใต้

ข้อดีของการเปลี่ยนบทบาทคือการเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่และห่วงโซ่โลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ข้อท้าทายคือ ความเข้มข้นของสินค้า (concentration risk) หากสินค้าเอกชน เพียงชนิดเดียว—เช่นทุเรียน—สะดุดจากปัญหาฤดูกาล โรคพืช หรือมาตรการกีดกันทางการค้า ผลกระทบจะสะเทือนทั้งระบบอย่างที่เห็นในเดือนมิถุนายน

นโยบายภาครัฐ อัดฉีดงบ 363.62 ล้านบาท ฟื้นโครงสร้างพื้นฐานชายแดน

เพื่อเสริม “เสถียรภาพกระดูกสันหลัง” ของเศรษฐกิจชายแดน คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติ งบกลาง 363.62 ล้านบาท สำหรับฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหายจากอุทกภัยปลายปี 2567 โดยมุ่งเน้นอำเภอแม่สายและแนวเชื่อมโยงโลจิสติกส์หลักในจังหวัด มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อ:

  1. ซ่อม–เสริมถนน โป๊ะ ท่า และระบบระบายน้ำที่เป็นจุดอ่อน
  2. เพิ่มความพร้อมด่านให้รองรับการตรวจปล่อยสินค้าอย่างรวดเร็ว (ลดเวลารอ ลดต้นทุน)
  3. เสริมความยืดหยุ่นของระบบห่วงโซ่อุปทานในครึ่งปีหลัง

การลงทุนดังกล่าวถูกคาดหวังให้เป็น “กันชน” หลังวิกฤตน้ำท่วม และเป็นฐานเร่งเครื่องการค้ารอบใหม่ในช่วงไฮซีซันของผลไม้ปลายปี

ความเสี่ยงที่ต้องระวัง ภูมิรัฐศาสตร์ ค่าเงิน และฤดูกาล

  1. ภูมิรัฐศาสตร์เมียนมา – ความไม่สงบภายในและการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบเฉียบพลัน ส่งผลโดยตรงต่อด่านแม่สาย ทั้งต่อเวลาและต้นทุนขนส่ง การปิด–เปิดด่านอย่างไม่แน่นอนเป็นความเสี่ยงเชิงระบบของผู้ประกอบการ
  2. ค่าเงินกีบและจ๊าด – การอ่อนค่าของสกุลเงินเพื่อนบ้าน บั่นทอนกำลังซื้อและความสามารถชำระเงิน ส่งผลต่อคำสั่งซื้อสินค้าจากฝั่งไทย
  3. ฤดูกาลสินค้าเกษตร – ทุเรียนและผลไม้สดสร้างรายได้ก้อนใหญ่ แต่หากไร้สินค้าทดแทนในช่วง “หลุม” นอกฤดู การค้าโดยรวมจะเหวี่ยงตัวแรง

โอกาสในความเปราะบาง ทางรอดที่เริ่มต้นได้ทันที

แม้ความท้าทายจะชัด แต่ข้อมูลครึ่งปีแรกก็เปิดหน้าต่างโอกาสหลายบาน

  • กระจายพอร์ตสินค้า: ใช้เส้นทาง R3A ที่พิสูจน์ประสิทธิภาพแล้ว เพื่อดันสินค้า ที่ต้องการสม่ำเสมอทั้งปี เช่น วัสดุก่อสร้าง เครื่องจักร และชิ้นส่วนอุตสาหกรรม ควบคู่ผลไม้ตามฤดูกาล
  • ยกระดับการแปรรูปผลไม้: เพิ่มมูลค่าและยืดอายุสินค้า—แช่แข็ง อบแห้ง หรือสกัดสารสำคัญ—เพื่อสร้างรายได้ข้ามฤดูกาล ลดแรงเหวี่ยงของกราฟส่งออก
  • บริหารความเสี่ยงโลจิสติกส์: ใช้เทคโนโลยีติดตามตู้สินค้าแบบเรียลไทม์ ประกันภัยด้านความเสี่ยงชายแดน และวางเส้นทางสำรอง (re-routing) รองรับเหตุไม่แน่นอน
  • การทูตเชิงพาณิชย์: ใช้กลไกความร่วมมือด่าน–ด่าน เพื่อบรรเทาอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) กับฝ่ายเมียนมา ลด “ความไม่แน่นอน” ซึ่งเป็นต้นทุนที่มองไม่เห็น
  • ทุนมนุษย์และมาตรฐาน: อบรมผู้ประกอบการขนาดกลาง–เล็ก ด้านมาตรฐานสุขอนามัย/กฎระเบียบจีน และการตลาดข้ามพรมแดนเพื่อเพิ่มศักยภาพสู้ตลาดใหญ่

เรื่องเล่าจากสามด่านสามบทบาท–หนึ่งเป้าหมาย

  • เชียงของ เป็น “สายพานส่งออก” เชื่อมไทย–ลาว–จีน ที่พิสูจน์แล้วว่าขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้จริง ตัวเลขมูลค่ารวมเกือบ 4 หมื่นล้านบาท ใน 6 เดือนแรกสะท้อนประสิทธิภาพโลจิสติกส์—แต่ก็เตือนให้ระวังการพึ่งพาทุเรียนมากเกินไป
  • แม่สาย คือ “ด่านใจกลางชุมชนการค้า” ที่โยงตลาดเมียนมาซึ่งยังต้องการสินค้าไทยหลายชนิด หากโครงสร้างความมั่นคงภายในเมียนมาดีขึ้น ด่านนี้พร้อมดีดตัวได้ทันที เพราะมีฐานผู้ประกอบการท้องถิ่นเข้มแข็งและคุ้นชินการค้าชายแดนมาอย่างยาวนาน
  • เชียงแสน เป็น “ท่าเชื่อมแม่น้ำโขง” ที่มีศักยภาพเติบโตในสินค้าก่อสร้าง เครื่องจักร และเกษตรสด การปรับปรุงท่าขนส่งและระบบตรวจปล่อยสินค้าให้ง่าย–เร็ว–โปร่งใส จะยิ่งเพิ่มบทบาทของด่านทางน้ำในห่วงโซ่ไทย–ลาว–จีน

สามด่าน สามจังหวะ แต่มี หนึ่งเป้าหมายร่วม—ทำให้เชียงรายเป็น “โหนด” การค้าที่แข่งขันได้ในลุ่มน้ำโขงและเชื่อมตรงสู่จีนได้อย่างยั่งยืน

จาก “ฤดูกาล” สู่ “ความยั่งยืน”

ข้อมูลครึ่งปีแรก 2568 ของเชียงรายให้บทเรียนสำคัญว่า “การเติบโตอย่างรวดเร็ว” และ “เสถียรภาพระยะยาว” ต้องพัฒนาไปพร้อมกัน การวิ่งแรงด้วยทุเรียนทำให้มูลค่าการค้าพุ่ง แต่การหดตัวทันทีที่หมดฤดูทำให้เห็นหลุมลึกในโครงสร้าง การค้าชายแดนกับเมียนมาที่ซบเซาเพราะปัจจัยนอกอำนาจควบคุม ยิ่งตอกย้ำว่าจังหวัดจำเป็นต้อง กระจายความเสี่ยงทั้งสินค้า เส้นทาง และตลาด

การอัดฉีดงบโครงสร้างพื้นฐาน 363.62 ล้านบาท ของภาครัฐ เป็นก้าวแรกที่ถูกทิศ—ซ่อม “รางวิ่ง” ของเศรษฐกิจชายแดนให้พร้อม—แต่ก้าวต่อไปที่ต้องทำควบคู่คือ แพ็กเกจเสริมสภาพคล่อง ให้ผู้ประกอบการโลจิสติกส์และ SME, ยกระดับมาตรฐาน–กฎระเบียบ ให้สอดรับข้อกำหนดจีน, และ เร่งเครื่องการทูตชายแดน เพื่อลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี

หากทำได้ เชียงรายจะไม่ใช่แค่ประตูผ่านฤดูกาลผลไม้ แต่จะกลายเป็น จุดตั้งหลักเศรษฐกิจข้ามแดน ที่ยืดหยุ่น ทนทาน และเติบโตบนฐานอุตสาหกรรม–เกษตรแปรรูปที่หลากหลายกว่าเดิม

สรุปสถิติโดยย่อ (ม.ค.–มิ.ย. 2568)

  • มูลค่าการค้ารวมจังหวัดเชียงราย: 54,258.61 ล้านบาท
  • โครงสร้าง: การค้าผ่านแดน 38,438.22 ล้านบาท (70.84%) / การค้าชายแดน 15,820.39 ล้านบาท (29.16%)
  • มูลค่าตามด่าน:
    • เชียงของ 39,871.95 (ส่งออก 32,299.41 / นำเข้า 7,572.54) ล้านบาท
    • แม่สาย 6,330.12 (ส่งออก 5,496.64 / นำเข้า 833.48) ล้านบาท
    • เชียงแสน 8,056.52 (ส่งออก 6,896.43 / นำเข้า 1,160.10) ล้านบาท
  • สินค้าหลักส่งออกผ่านเชียงของ: ทุเรียนสด (สัดส่วน ~96.88% ของหมวดผลไม้สด)
  • เหตุการณ์เด่น: เดือนมิถุนายน มูลค่าส่งออกลด 4,556.17 ล้านบาท จากการสิ้นสุดฤดูทุเรียน
  • แนวโน้มเดือนกรกฎาคม: การค้าผ่านแดน +32.5%, การค้าชายแดน -20%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สถิติการค้าจริงของจังหวัดเชียงราย ครึ่งปีแรก 2568 (ม.ค.–มิ.ย.) จำแนกตามด่านแม่สาย–เชียงของ–เชียงแสน, โครงสร้างส่งออก/นำเข้า, รายการสินค้า, และสัญญาณเดือนกรกฎาคม 2568
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
  • กรมศุลกากร
  • สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี/สำนักงบประมาณ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เชียงรายชูจุดขาย “คูลเคชั่น” พลิกวิกฤตโลกร้อนสู่ปีทองการท่องเที่ยว

อพยพหนีร้อนสู่ “คูลเคชั่น” เชียงรายชูจุดขายอากาศเย็น–ธรรมชาติสงบ พลิกวิกฤตโลกร้อนเป็น “ปีทองท่องเที่ยวใหม่”

เชียงราย, 6 กันยายน 2568 – เมื่อยุโรปเผชิญคลื่นความร้อนรุนแรงจนหลายเมืองแตะ 40°C พร้อมไฟป่าถี่กว่าที่เคย จุดหมายฤดูร้อนคลาสสิกอย่างสเปน โปรตุเกส และกรีซเริ่มถูกนักเดินทาง “หลบเลี่ยง” มากกว่า “ไหลเข้า” ปรากฏการณ์นี้ผลักดันคำใหม่ในพจนานุกรมท่องเที่ยวโลก—คูลเคชั่น (Coolcation)” หรือการท่องเที่ยวเพื่อแสวงหาอากาศที่เย็นกว่า เงียบกว่า และไม่แออัด—จากคำฮิตสู่ กติกาใหม่ของการวางแผนทริปหน้าร้อนปี 2025

คำถามจึงดังขึ้นในประเทศไทย โดยเฉพาะ เชียงราย เมืองเหนือที่โอบล้อมด้วยเทือกดอยและลำน้ำว่า นี่คือโอกาสพลิกวิกฤตสภาพอากาศ ให้กลายเป็นปีทองของเชียงรายได้หรือไม่?”

คลื่นร้อนเปลี่ยนยุโรป สัญญาณเตือนที่กลายเป็นสัญญาณตลาด

ตลอดสองฤดูร้อนที่ผ่านมา สื่อเศรษฐกิจระดับโลกและหน่วยงานด้านท่องเที่ยวของยุโรป รายงานคลื่นความร้อน/ไฟป่าที่ส่งผลกระทบต่อจุดหมายเมดิเตอร์เรเนียนอย่างเป็นระบบ ทั้งการอพยพปิดชายหาดชั่วคราว ความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐาน และความเสี่ยงต่อสุขภาพของนักเดินทาง โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเทรนด์ท่องเที่ยวสากลอย่าง เจนนี เซาธาน (Jenny Southan) ซีอีโอ Globetrender ประเมินว่า เดือนกรกฎาคม–สิงหาคม กำลังกลายเป็น “เขตเสี่ยงภูมิอากาศ” สำหรับการท่องเที่ยวมวลชนในแถบเมดิเตอร์เรเนียน—ภาษาธุรกิจคือ “ดีมานด์ย้ายฤดูกาลและย้ายพิกัด”

ข้อมูลเสริมจากเครือข่ายที่ปรึกษาท่องเที่ยว Virtuoso สะท้อนตรงกันว่า 79% ของที่ปรึกษายอมรับ “เหตุอากาศสุดขั้วมีผลต่อการวางแผนเดินทาง” และ 55% ของลูกค้าหันไปเลือก นอกฤดูกาล (shoulder season) มากขึ้น ขณะเดียวกัน European Travel Commission (ETC) ชี้แนวโน้ม “เลี่ยงที่แออัด/เปลี่ยนเส้นทาง” เริ่มปรากฏอย่างมีนัยสำคัญ และสายการบินในยุโรปเหนืออย่าง SAS รายงานยอดจองจากยุโรปใต้สู่ นอร์เวย์ สำหรับฤดูร้อนปี 2025 เติบโตเด่น (บางเส้นทางขยายตัวระดับสองหลัก) ยืนยันว่า “คูลเคชั่น” ไม่ใช่แฟชั่น แต่เป็น พฤติกรรมใหม่ที่วัดได้

สำหรับประเทศเศรษฐกิจพึ่งพาการท่องเที่ยวสูงอย่างกรีซ สเปน และโปรตุเกส ซึ่งสัดส่วนรายได้จากท่องเที่ยวต่อ GDP อยู่ที่ราว 18%, 12.3% และ 11.9% ตามลำดับ ความปั่นป่วนของฤดูกาลหมายถึงความเสี่ยงต่อรายได้ท้องถิ่นโดยตรง ยิ่งทำให้จุดหมาย “เย็นกว่า–โลว์คีย์กว่า” ทั่วโลกถูกมองหามากขึ้น

คูลเคชั่นคืออะไร และทำไมเชียงราย “เข้าแกน” เทรนด์นี้

คูลเคชั่น (Coolcation) คือการเดินทางที่มี อุณหภูมิ เป็นตัวตั้ง—ผู้เดินทางหลีกเลี่ยงความร้อนจัดและฝูงชน หันไปหาสถานที่ที่ เย็นกว่า สงบกว่า และมีประสบการณ์กลางแจ้งที่เข้ากับอากาศ กิจกรรมยอดนิยมจึงเปลี่ยนจากนอนอาบแดดสู่ เดินป่า ชมทะเลหมอก พายเรือในลำน้ำเย็น น้ำตก/ล่องแก่ง หรือ เที่ยวเมืองเล็กที่มีวัฒนธรรมเข้ม

เมื่อจับเลนส์นี้ไปส่องแผนที่ไทย เชียงราย สอดรับกับคำจำกัดความแทบทุกมิติ

  1. ภูมิประเทศสูง/ลมเย็นโดยธรรมชาติ – เทือกดอยตั้งแต่ ดอยตุง–ดอยช้าง–ดอยแม่สลอง (สันติคีรี) ไปจนถึงแนวสันเขา ภูชี้ฟ้า–ภูชี้ดาว–ผาตั้ง ทำให้อุณหภูมิบนที่สูง ต่ำกว่าพื้นราบหลายองศา โดยเฉพาะเช้าตรู่ที่มักแตะระดับเย็นสบายแม้ในฤดูฝนปลายฝนต้นหนาว
  2. สายน้ำคลายร้อน – เมืองถูกผ่าโดย แม่น้ำกก และรายล้อมด้วยน้ำตกชื่อดังอย่าง ขุนกรณ์–ห้วยแม่ซ้าย รวมถึงแหล่งน้ำธรรมชาติสำหรับ ล่องแพ/พายคายัค/เล่นน้ำ ที่มอบ “ความเย็นในกิจกรรม” แม้อากาศภายนอกจะอบอ้าว
  3. ความสงบและความเป็นท้องถิ่น – เทียบกับเมืองท่องเที่ยวเมกะฮิต เชียงรายเสนอ “จังหวะช้า” แบบ Slow Tourism ที่นักท่องเที่ยวยุคคูลเคชั่นมองหา ทั้งตลาดกลางคืนท้องถิ่น งานคราฟต์ชนเผ่า ร้านกาแฟ–ไร่ชา (ชาผู่อูหลง/ชาเขียวคุณภาพ) และพิพิธภัณฑ์/อาร์ตสเปซที่เดินชมแบบไม่ต้องเบียดคน
  4. การเข้าถึงหลากหลายเส้นทาง – สนามบินแม่ฟ้าหลวงเชื่อมกรุงเทพฯ/หัวเมืองหลัก และเครือข่ายถนนขึ้นดอยถูกปรับปรุงต่อเนื่อง ทำให้ “เที่ยวดอย–ลงเมือง–ลงน้ำ” ทำได้ภายในทริปเดียว

กล่าวให้ชัด เชียงราย มีทั้ง “เย็นโดยธรรมชาติ” และ “เย็นด้วยกิจกรรม” ซึ่งตรงสูตรคูลเคชั่นอย่างเป็นรูปธรรม

เช้าวันหมอกที่ภูชี้ฟ้า และยามเย็นริมน้ำกก

ลองจินตนาการเช้าวันหนึ่งปลายสิงหาคม หมอกขาวคลุมสันเขา ผู้คนจำนวนไม่มากค่อยๆ เดินขึ้นสู่จุดชมวิว ภูชี้ฟ้า เมื่อดวงอาทิตย์แตะขอบฟ้าลาว–ไทย คลื่นเมฆยวบลงใต้เท้า อุณหภูมิที่ผิวแก้มคือ “เย็นจริง ไม่ต้องพึ่งแอร์” กลางวันคุณลงเมือง จิบชาในไร่ชาที่ ดอยแม่สลอง หลบร่มใต้ต้นชาอายุหลายสิบปี แล้วเฉลียงยามเย็นปรับโหมดเป็น เรือหางยาวล่องแม่น้ำกก ลมเย็นปะทะใบหน้า เมืองทั้งเมืองเดินช้าลงโดยไม่ต้องบอก—นี่คือ ประสบการณ์คูลเคชั่นฉบับเชียงราย ที่พูดกับร่างกายมากกว่าคำโฆษณา

บทเรียนจากโลก เทรนด์ที่ “ย้ายฤดูกาล” และ “ย้ายแผนที่”

การเคลื่อนย้ายดีมานด์มีสองชั้นสำคัญ

  • ย้ายฤดูกาล – จากคิว Jul–Aug ไปสู่ May–Jun / Sep–Oct ซึ่งเย็นกว่าและปลอดภัยกว่า
  • ย้ายแผนที่ – จากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสู่ ละติจูดสูง/พื้นที่ภูเขา/เส้นทางน้ำ

ถ้าเชียงรายอ่านเกมนี้ได้เร็ว เมืองสามารถ อัพเกรดหน้าฝน” ให้เป็น “High Season ใหม่ของคูลเคชั่น” เพราะปลายฝน–ต้นหนาว คือหน้าที่ ภูมิทัศน์เขียวชุ่ม น้ำตกแรง หมอกหนา อุณหภูมิเย็นพอดี และ—ที่สำคัญ—ไม่ชนฤดูกาลหมอกควัน (ก.พ.–เม.ย.) ที่ภาคเหนือจำเป็นต้องบริหารความเสี่ยงร่วมกับชุมชน

กลยุทธ์ “เชียงรายคูลเคชั่น” ทำอย่างไรให้โอกาสกลายเป็นปีทอง

เพื่อให้คอนเซ็ปต์จากข่าวโลกลงจอดสู่เศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรม ทีมข่าวสรุป 9 ข้อเสนอเชิงปฏิบัติ สำหรับภาครัฐ–เอกชนเชียงราย ดังนี้

  1. รีแบรนด์ปลายฝน–ต้นหนาวเป็นฤดู “Cool & Green”
    ตั้งแคมเปญ “Coolcation Chiang Rai: Green Season, Blue Sky” สื่อสารจุดขาย “เย็น–เขียว–ไม่แออัด” พร้อมแพ็กเกจ 3 วัน 2 คืน ที่รวม “ดอย–น้ำ–เมือง” ในราคาพอจับต้อง
  2. สร้างเส้นทาง “เย็นโดยธรรมชาติ” + “เย็นด้วยกิจกรรม”
    จับคู่ ภูชี้ฟ้า/ดอยแม่สลอง (หมอก–ไร่ชา) กับ ล่องแม่น้ำกก/น้ำตกขุนกรณ์ (กิจกรรมคลายร้อน) ปิดท้ายด้วย Night Market/คาเฟ่ริมน้ำ ให้ครบมิติของคูลเคชั่น
  3. Night Economy = เครื่องปรับอากาศตามธรรมชาติ
    ผลักดัน เมืองเก่า–วัดสำคัญ–พิพิธภัณฑ์ภาพเก่า เปิดรอบค่ำ พร้อมไฟสวย–ทัวร์เดินเท้า–คอนเสิร์ตแจ๊สเบาๆ กลางลมแม่น้ำ ลดภาระเดินช่วงแดดจัด และกระจายรายได้หลังพระอาทิตย์ตก
  4. Green Mobility
    รถเวียนไฟฟ้าเส้น สนามบิน–ตัวเมือง–ท่าเรือแม่น้ำกก–สถานีขนส่ง–ขึ้นดอย พร้อม บัตรวันเดียว (Day Pass) ช่วยลดคาร์บอนและทำให้การเดินทางไร้รอยต่อ
  5. มาตรฐาน “ที่พักคูล”
    เชิญโรงแรม/โฮมสเตย์เข้าร่วมมาตรฐาน CF-Hotels (Carbon–Forest) เช่น ตั้งเป้าลดพลังงาน/เพิ่มร่มเงา/ใช้น้ำฝน/ขยายพื้นที่สีเขียว และเล่าเรื่องผ่าน Dashboard ง่ายๆ ให้แขกเห็น “คุณเย็นอย่างยั่งยืนอย่างไร”
  6. ปฏิทินเทศกาล “เย็นแล้วค่อยฉลอง”
    จัด งานชา–กาแฟ–อาร์ตบนดอย ใน Sep–Oct ที่อากาศพอดี เชิญช่างฝีมือชนเผ่า/ศิลปินร่วมสมัยร่วม Curate ประสบการณ์ Slow & Local
  7. บริหารความเสี่ยงหมอกควัน
    สื่อสารชัดว่า “หน้าร้อน (ก.พ.–เม.ย.) ไม่ใช่ หน้าคูลเคชั่น” พร้อมแผน Early Burning Control/ท่องเที่ยวอาสา ฟื้นฟูป่า และแจ้ง คุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ ผ่านช่องทางทางการ
  8. ทำการตลาดข้อมูล (Data-led Marketing)
    เก็บสถิติ อุณหภูมิ–ดัชนีความร้อน (HI)–จำนวนนักท่องเที่ยว–ระยะเวลาพำนัก–ค่าใช้จ่าย/ทริป รายเดือน แล้วเล่าเป็นอินโฟกราฟิกให้เอเจนซียุโรป/เอเชียเห็นว่า “เชียงราย = หนีร้อนแล้วสนุกกว่า
  9. เข้าระบบรางวัลคุณภาพ–ยั่งยืนของประเทศ
    กระตุ้นผู้ประกอบการสมัคร Thailand Tourism Awards หมวด Sustainability เพื่อใช้ “ตรากินรี” เป็นตรารับรองคุณภาพ–ยั่งยืน เพิ่มอำนาจต่อรองในตลาดต่างประเทศ

เสียงจากผู้เชี่ยวชาญ

  • ผู้ว่าการ ททท. เคยย้ำทิศทาง “ยกระดับคุณภาพ–ยึดความยั่งยืน” และผลักดันรางวัล/มาตรฐานที่สอดคล้อง GSTC เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยพร้อมแข่งขันในตลาดที่ให้ค่าด้านสังคม–สิ่งแวดล้อม
  • ผู้เชี่ยวชาญเทรนด์ท่องเที่ยวสากล ชี้ “คูลเคชั่น” จะแข็งแรงขึ้นใน 2–3 ปี และ ฤดูพีกเมดิเตอร์เรเนียนจะเลื่อนไป May–Jun / Sep–Oct
  • เอเยนต์–แพลตฟอร์ม ในยุโรปสะท้อนดีมานด์ “เย็นกว่า–เงียบกว่า” เพิ่มขึ้นจริง จากผลสำรวจ Virtuoso และความเคลื่อนไหวการจองที่ Scandinavia/Nordic

คำกล่าวเหล่านี้ แม้ต่างพื้นที่ แต่ส่งสัญญาณเดียวกัน: ตลาดโลกกำลังมองหาความเย็นและความสงบแบบมีคุณภาพ ใครตอบได้ก่อน ย่อมได้ส่วนแบ่งก่อน

เศรษฐกิจท้องถิ่นจะได้อะไร 4 เม็ดเงินที่มากับคูลเคชั่น

  1. ยืดฤดูกาล–ถ่างรายได้: จาก high season ช่วง พ.ย.–ก.พ. ไปถึง May–Jun / Sep–Oct ลดความผันผวนทางรายได้ของผู้ประกอบการ
  2. ค่าใช้จ่ายต่อหัวสูงขึ้น: นักท่องเที่ยวคูลเคชั่นมักซื้อประสบการณ์เชิงคุณภาพ (ไร่ชา–เวิร์กช็อปคราฟต์–ไกด์เฉพาะทาง) ซึ่ง มาร์จิ้นสูงกว่าทัวร์ปริมาณ
  3. กระจายรายได้สู่ชุมชน: เส้นทาง “ดอย–น้ำ–เมือง” เปิดโอกาส โฮมสเตย์–ช่างฝีมือ–ไกด์ท้องถิ่น–ชุมชนชนเผ่า เข้าห่วงโซ่
  4. ลดต้นทุนสังคม/สิ่งแวดล้อม: แทนการแบกรับภาระนักท่องเที่ยวหนาแน่นแบบพีกซัมเมอร์ เมืองจะ “หายใจได้” ทั้งทรัพยากรและคุณภาพชีวิตผู้อยู่อาศัย

ความท้าทายที่ต้องเผชิญตรงๆ

  • หมอกควัน/คุณภาพอากาศช่วงปลายฤดูหนาว–ต้นร้อน: จำเป็นต้อง “ล็อกอิน” ปฏิทินคูลเคชั่นไว้ช่วง ปลายฝน–ต้นหนาว และสื่อสารโปร่งใส
  • โครงสร้างพื้นฐานบางดอยยังจำกัด: ต้องปรับปรุง จุดจอด/ทางเดิน/ห้องน้ำ/ระบบขนส่งไฟฟ้า เพื่อรองรับแบบ “เพิ่มคุณภาพไม่เพิ่มปริมาณ”
  • การสื่อสารตลาดยังกระจัดกระจาย: ควรมี แพลตฟอร์มกลาง ของจังหวัดที่รวมเส้นทาง คิวกิจกรรม ค่า HI/อากาศ และจองบริการได้ในที่เดียว
  • การทำงานร่วมกัน: โอกาสนี้ต้องอาศัย พันธมิตรข้ามภาคส่วน—ท่าอากาศยาน/เอกชนท่องเที่ยว/ชุมชน/องค์กรสิ่งแวดล้อม—เพื่อให้ “เย็นและยั่งยืน” จริง

ตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPIs) ที่จับต้องได้

  • อัตราพักเฉลี่ย (AOR) ช่วง May–Jun / Sep–Oct เพิ่มขึ้น
  • ระยะเวลาพำนักเฉลี่ย (ALOS) ยาวขึ้นจากการทำเส้นทาง “ดอย–น้ำ–เมือง”
  • ค่าใช้จ่ายต่อทริป เพิ่ม จากสัดส่วนกิจกรรมคุณภาพ (ชา–คราฟต์–ไกด์เฉพาะทาง)
  • สัดส่วนขนส่งไฟฟ้า/ปลอดคาร์บอน ในเมืองหลัก/เข้าแหล่งท่องเที่ยว
  • คะแนนความพึงพอใจ/รีวิว ที่กล่าวถึง “เย็น/เงียบ/คุณภาพ–ยั่งยืน” เพิ่ม

เชียงรายพร้อมแค่ไหน ทุนเดิมที่มีและสิ่งที่ควรเร่ง

ทุนเดิม ของเชียงรายคือ ภูมิประเทศสูง–ลำน้ำ–วัฒนธรรมชนเผ่า–ไร่ชา/กาแฟ–ศิลปะร่วมสมัย ซึ่งเป็นชุดสินค้าที่ “เข้าใจง่าย” สำหรับตลาดคูลเคชั่น เพิ่มด้วยสินทรัพย์ใหม่อย่าง พิพิธภัณฑ์/อาร์ตสเปซ และ ตลาดกลางคืนเชิงคราฟต์ ที่คัดสรรคุณภาพ

สิ่งที่ควรเร่ง คือ แพ็กเกจบูรณาการ ที่ทำให้นักเดินทาง “เห็นภาพใน 10 วินาที” เช่น

  • Coolcation Classic: ภูชี้ฟ้า–ไร่ชาแม่สลอง–ล่องกก–Night Market
  • Cool & Culture: ดอยตุง–หมู่บ้านชนเผ่า–พิพิธภัณฑ์ภาพเก่า–อาร์ตคาเฟ่
  • Cool Adventure: เดินป่าลุ่มน้ำ–พายคายัค–น้ำตก–แคมป์เบาๆ ใต้ดาว

และทั้งหมดนี้ควรแนบ ข้อมูลอุณหภูมิ/ดัชนีความร้อน (HI)/คุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ เพื่อปิดความกังวลของนักเดินทางยุคข้อมูล

ปีทองจะเกิดขึ้นได้ เมื่อเรา “ทำให้ความเย็นมีระบบ”

โลกกำลังเข้าสู่ยุคที่ สภาพอากาศ เปลี่ยนการตัดสินใจของผู้คนมากพอๆ กับ ราคาและเวลา “คูลเคชั่น” จึงไม่ใช่เพียงคำสวย แต่คือ ตรรกะใหม่ของการตลาดท่องเที่ยว ที่มองหาอากาศเย็น ประสบการณ์แท้จริง และความไม่แออัด เชียงรายมีองค์ประกอบครบ—ดอยสูง ลำน้ำ วัฒนธรรม และความสงบ—เหลือเพียง การจัดระเบียบข้อเสนอ ให้ชัด สื่อสารให้เร็ว และดำเนินการแบบยั่งยืน

ถ้า “ความเย็น” คือสินค้า เชียงรายต้องทำให้มันเป็น ระบบบริการครบวงจร ตั้งแต่ไฟลต์บิน รถไฟฟ้า เส้นทางเที่ยว แพ็กเกจที่พัก–กิจกรรม ไปจนถึงการเล่าเรื่องผลลัพธ์เชิงสิ่งแวดล้อม/ชุมชนอย่างโปร่งใส เมื่อถึงวันนั้น คูลเคชั่น จะไม่ใช่แค่การหนีร้อนชั่วคราว แต่คือ ข้อได้เปรียบที่ยั่งยืน ที่พาเชียงรายก้าวสู่ “ปีทอง” ได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • CNBC International – บทวิเคราะห์เทรนด์ “Coolcation” และผลกระทบจากคลื่นความร้อนยุโรปต่อพฤติกรรมการท่องเที่ยว (รายงานปี 2024–2025)
  • European Travel Commission (ETC) – รายงานแนวโน้มการเดินทางของชาวยุโรปฤดูร้อนล่าสุด: ความกังวลด้านความแออัดและการเลือกเส้นทางนอกกระแส
  • Virtuoso – ผลสำรวจที่ปรึกษาการเดินทางระดับโลกเกี่ยวกับอิทธิพลของเหตุอากาศสุดขั้วต่อการวางแผนทริป (สัดส่วน 79% และ 55%)
  • Scandinavian Airlines (SAS) – ข่าวประชาสัมพันธ์/ข้อมูลสรุปผลการจองเส้นทางสู่สแกนดิเนเวียฤดูร้อน 2025 (อัตราเติบโตจากยุโรปใต้และฝรั่งเศส)
  • หน่วยงานสถิติ/การท่องเที่ยวประเทศกรีซ สเปน โปรตุเกส – สัดส่วนรายได้การท่องเที่ยวต่อ GDP (กรีซ ~18%, สเปน ~12.3%, โปรตุเกส ~11.9%)
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) – นโยบาย/เอกสารสื่อสารด้านการยกระดับคุณภาพ–ความยั่งยืน, แนวทางเชื่อมโยงมาตรฐาน GSTC, แคมเปญส่งเสริมฤดูกาลทางเลือกและการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ
  • กรมอุตุนิยมวิทยา – ข้อมูลภูมิอากาศพื้นฐานภาคเหนือ/เชียงราย และดัชนีความร้อน (ใช้ประกอบการสื่อสารความเหมาะสมของปลายฝน–ต้นหนาว)
  • อุทยานแห่งชาติ/กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช – ข้อมูลพื้นที่ท่องเที่ยวธรรมชาติสำคัญของเชียงราย: ภูชี้ฟ้า–ภูชี้ดาว–ผาตั้ง–น้ำตกขุนกรณ์ และแนวทางการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย/เทศบาลนครเชียงราย – โครงการโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยว และปฏิทินกิจกรรมท้องถิ่น
  • งานวิชาการ/บทความเทรนด์ท่องเที่ยว จากสำนักข่าวเศรษฐกิจและวารสารด้านการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ เกี่ยวกับ Slow Tourism, Authenticity Tourism และผลกระทบโลกร้อนต่อฤดูกาลท่องเที่ยว
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายคว้ารางวัล Hall of Fame ย้ำธงยั่งยืนบนเวทีอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

ททท. ประกาศผล “รางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ครั้งที่ 15” ย้ำธง Sustainability – เชียงรายคว้าทั้ง Hall of Fame และรางวัลดีเด่น กางตัวเลข 151 ผู้ชนะ พร้อมโรดแมปยกระดับมาตรฐานสู่สากล

กรุงเทพฯ / เชียงราย, 5 กันยายน 2568 – เวที “รางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย” หรือ Thailand Tourism Awards ซึ่งจัดโดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เดินทางสู่ปีที่ 30 พร้อมประกาศรายนามผู้คว้ารางวัลประจำครั้งที่ 15 อย่างเป็นทางการ ปีนี้มีไฮไลต์สำคัญคือการเปิดตัว รางวัลแห่งความยั่งยืน (Thailand Tourism Sustainability Awards)” เพื่อเชิดชูผู้ประกอบการที่ทำคะแนนด้านการบริหารจัดการความยั่งยืนสูงเป็นพิเศษ สะท้อนทิศทางใหม่ของอุตสาหกรรมไทยที่มุ่งสู่มาตรฐานสากลและเป้าหมายคาร์บอนต่ำ

พิธีพระราชทานรางวัล ซึ่งจะจัดขึ้นวันที่ 27 กันยายน 2568 ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 โดยปีนี้มีผู้ประกอบการคุณภาพที่ผ่านเกณฑ์เข้มข้น รวม 151 ราย ครอบคลุม 4 สถานะรางวัล ดังนี้

  • รางวัลยอดเยี่ยม (Thailand Tourism Excellence Awards) จำนวน 17 ราย
  • รางวัลดีเด่น (Thailand Tourism Outstanding Awards) จำนวน 59 ราย
  • รางวัลแห่งความยั่งยืน (Thailand Tourism Sustainability Awards) จำนวน 69 ราย
  • และ รางวัลเกียรติยศ Hall of Fame สำหรับผู้ที่รักษามาตรฐาน “ยอดเยี่ยม” ต่อเนื่อง 3 ครั้ง จำนวน 6 ราย

รางวัลที่ไม่ใช่แค่ถ้วย แต่คือมาตรฐานของประเทศ

นางสาว ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. ระบุว่า รางวัลครั้งนี้มีเป้าหมายชัดในการ “ยกระดับคุณภาพ” และ “ยึดโยงความยั่งยืน” ให้เป็นแกนหลักของการท่องเที่ยวไทย โดยเกณฑ์ตัดสินครอบคลุม 4 มิติ คือ คุณภาพสินค้าและบริการ, การบริหารจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบ, ความเป็นเลิศด้านธุรกิจ, และ บทบาทองค์กรที่สนับสนุนระบบนิเวศท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ผลลัพธ์ที่ได้จึงไม่เพียงสะท้อน “ความดีเยี่ยมของวันนี้” แต่ยังขับเคลื่อน “มาตรฐานวันพรุ่งนี้” ให้ทั้งอุตสาหกรรมเดินไปในทิศเดียวกัน

ในเชิงปฏิบัติ คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใช้ทั้งการตรวจเอกสาร, การสัมภาษณ์ภาคสนาม, และการประเมินเชิงหลักฐาน เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ชนะ “ทำจริง” ไม่ใช่เพียง “ทำสวย” พร้อมผลักดันให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อ เศรษฐกิจ–สังคม–สิ่งแวดล้อม อย่างสมดุล

เชียงรายบนโพเดียม ความภาคภูมิใจที่มาพร้อมความรับผิดชอบ

ปีนี้ จังหวัดเชียงราย ติดโผคว้ารางวัลสำคัญหลายรายการ โดยเฉพาะ โรงแรม เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี คอลเล็คชั่น ที่สร้างประวัติศาสตร์ให้จังหวัด ด้วยการ

  • คว้า รางวัลเกียรติยศ Hall of Fame ในประเภท รีสอร์ต (Resort) หลังรักษามาตรฐาน “ยอดเยี่ยม” ต่อเนื่อง 3 ครั้ง
  • คว้า รางวัลยอดเยี่ยม (Excellence Awards) ในประเภท ที่พักนักท่องเที่ยว (Accommodation) อีกหนึ่งตำแหน่ง

ขณะที่ ชุมชนไทลื้อศรีดอนชัย คว้า รางวัลดีเด่น (Outstanding Awards) ในประเภท แหล่งท่องเที่ยว (Attraction) สะท้อนพลังของการท่องเที่ยวโดยชุมชนที่รักษาอัตลักษณ์ท้องถิ่น ควบคู่การจัดการนักท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ

ภาพรวมเหล่านี้ตอกย้ำว่าเชียงรายไม่ได้เป็นเพียง “จุดหมายปลายทางยอดฮิต” แต่กำลังก้าวสู่บทบาท “ต้นแบบการท่องเที่ยวคุณภาพ–ยั่งยืน” ของภาคเหนือ ที่เชื่อม ธรรมชาติ, วัฒนธรรม, และ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ เข้าด้วยกันอย่างมีระบบ

Hall of Fame 6 ราย บทพิสูจน์ของความสม่ำเสมอ

นอกจากเชียงราย ยังมีผู้ได้รับ Hall of Fame รวม 6 ราย อันได้แก่

  1. พิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนา (เชียงใหม่) – ตอกย้ำบทบาทการอนุรักษ์มรดกล้านนาที่มีชีวิต
  2. วิสาหกิจชุมชนกลุ่มโฮมสเตย์บ้านนาต้นจั่น (สุโขทัย) – โมเดลท่องเที่ยวโดยชุมชนที่มีระบบ
  3. วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวย่านเมืองเก่าภูเก็ต (ภูเก็ต) – การจัดการย่านประวัติศาสตร์สู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์
  4. โรงแรม เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี คอลเล็คชั่น (เชียงราย) – โรงแรมที่ยืนระยะทั้งคุณภาพบริการและการบริหารจัดการ
  5. เล็ทส์ รีแล็กซ์ สปา ทองหล่อ (กรุงเทพฯ) – ธุรกิจสปาที่ขยับจาก “ดี” ไปสู่ “มาตรฐาน”
  6. รายการนำเที่ยว “สัมผัสเมืองไทยไร้พรมแดนจากเหนือจรดใต้ สำหรับนักท่องเที่ยวผู้พิการทางการเห็น” – ตัวอย่างความเป็นเลิศด้าน การเข้าถึง (Accessibility) และ การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

รายนามเหล่านี้สะท้อนภาพกว้าง: ความเป็นเลิศอาจเกิดได้ทุกห่วงโซ่ ตั้งแต่พิพิธภัณฑ์ ชุมชน เมืองเก่า โรงแรม สปา ไปจนถึง “โปรแกรมทัวร์เพื่อผู้พิการทางการเห็น” ซึ่งย้ำว่าความยั่งยืนหมายรวมถึง “ความเท่าเทียมในการเข้าถึง” มิใช่เฉพาะสิ่งแวดล้อม

เปิดตัว “รางวัลแห่งความยั่งยืน” 69 ราย ขยับจากคำประกาศสู่ดัชนีวัดผล

ครั้งแรกของเวทีที่เพิ่มหมวก Thailand Tourism Sustainability Awards โดยมอบให้ผู้ที่ทำคะแนนด้าน Sustainability & Responsibility Excellence สูงเป็นพิเศษ การขยับครั้งนี้มีนัยสำคัญ เพราะแปลว่า “ความยั่งยืน” ไม่ใช่เพียง Checklist แต่ถูกยกระดับเป็น “ดัชนีวัดคุณภาพ” เทียบเท่าประสบการณ์นักท่องเที่ยว

เมื่อบวกรวมกับรางวัลหลักในสาขา แหล่งท่องเที่ยว, การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ, โปรแกรมทัวร์, องค์กรสนับสนุนการท่องเที่ยว, และที่พัก ตัวเลข 69 รางวัลด้านความยั่งยืน จึงทำหน้าที่เป็น “ไฟเขียว” ให้ตลาดรับรู้ว่า สินค้าและบริการเหล่านี้ ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม, คุ้มครองมรดกวัฒนธรรม, และ กระจายรายได้สู่ชุมชน อย่างเป็นรูปธรรม

เกณฑ์ที่เข้มขึ้น จำนวนรางวัลที่กระชับลง สัญญาณของคุณภาพมาก่อนปริมาณ

เมื่อเทียบกับรอบที่ผ่านมา จำนวนผู้ได้รับรางวัลปีนี้ 151 ราย ถือว่า “กระชับ” กว่าเดิมอย่างชัดเจน แปลอย่างตรงไปตรงมาว่าเกณฑ์เข้มขึ้น เพื่อยกระดับ “ฐานคุณภาพ” ให้สูงขึ้นอีกขั้น การคัดให้เหลือ “ผู้เล่นตัวจริง” ช่วยให้สัญลักษณ์ กินรี” ยังคงความน่าเชื่อถือในสายตาตลาดทั้งในและต่างประเทศ ธุรกิจที่ได้ตรานี้จึงไม่ใช่แค่ “ดี” แต่ต้อง “ดีอย่างยั่งยืน” และ “ดีอย่างสม่ำเสมอ”

ผลประโยชน์ที่จับต้องได้ทำไมธุรกิจอยากได้รางวัลนี้

นอกจากเกียรติภูมิ ผู้ได้รับรางวัลจะได้รับ สิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรมการตลาดของ ททท., ได้ ส่วนลดค่าร่วมงานส่งเสริมการขาย, และได้รับการ ประชาสัมพันธ์บนสื่อหลักของ ททท. ตลอดจนสื่อพันธมิตร การสนับสนุนในเชิงพาณิชย์เช่นนี้ทำให้รางวัลไม่ใช่ “โล่บนชั้น” แต่เป็น “เครื่องมือเพิ่มยอดขาย” และ “คูปองเจาะตลาดใหม่” ที่หลายธุรกิจใช้ต่อยอดโอกาสทันที

เล่าเรื่องด้วยตัวเลข ภาพรวมรางวัลครั้งที่ 15

  • ปีที่จัด: ครบ 30 ปี ของโครงการรางวัล
  • ผู้ได้รับรางวัลรวม: 151 ราย
  • แบ่งเป็น: Excellence 17, Outstanding 59, Sustainability 69, Hall of Fame 6
  • พิธีพระราชทาน: 27 กันยายน 2568 ที่ แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ
  • เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์: ยึด Sustainability, Inclusivity, และ Quality เป็นแกนกลาง

ตัวเลขสั้นๆ เหล่านี้ทำหน้าที่เป็น “สัญญาณตลาด” ให้ผู้ซื้อทัวร์, แพลตฟอร์ม OTA, และพันธมิตรต่างประเทศ รับทราบว่าไทยกำลังขยับฐานมาตรฐานไปอีกระดับ

The Riverie by Katathani
ชุมชนศรีดอนชัยไทลื้อ จ.เชียงราย sridonchai tailue Community, Chiangrai

รางวัลในฐานะ “นโยบายสาธารณะเชิงแรงจูงใจ”

  1. สร้างมาตรฐานเดียวกันทั้งห่วงโซ่
    รางวัลบีบให้ผู้ประกอบการ “ทบทวนทั้งองค์กร” ตั้งแต่การบริการหน้าเคาน์เตอร์ไปจนถึงระบบหลังบ้าน เช่น การจัดการของเสีย, การลดพลังงาน, การคุ้มครองเด็กและแรงงาน, ไปจนถึงการเข้าถึงสำหรับผู้พิการ เกณฑ์เดียวกันนี้ทำให้คุณภาพ “เทียบเคียงได้” ในระดับประเทศ
  2. ขยายประเด็นสังคมสู่แกนหลักธุรกิจ
    การยก Accessibility ขึ้นเวที Hall of Fame ชี้ว่าการท่องเที่ยวของไทยกำลังหันหน้าหาผู้เดินทางกลุ่มใหม่ที่ต้องการประสบการณ์แบบ “ไม่กีดกัน” ซึ่งเป็นทั้งความถูกต้องและโอกาสทางธุรกิจ
  3. จูงใจให้ลงทุนด้านยั่งยืน
    ตรรกะง่ายๆ คือ “ลงทุนก่อน–ได้คืนทีหลัง” เพราะเมื่อผ่านเกณฑ์ยากของ Sustainability แล้ว ธุรกิจจะได้ทั้งตรารับรอง, PR, และโอกาสจับคู่เจรจาในงานการตลาดของรัฐ ซึ่งคุ้มกับต้นทุนที่ลงไป
  4. วางรางรอเชื่อมมาตรฐานสากล
    การพัฒนาเกณฑ์ที่สอดคล้องกับแนวทางขององค์กรระดับโลก ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยพร้อมรับการตรวจสอบจากคู่ค้าต่างประเทศ และรองรับกฎระเบียบใหม่ เช่น นโยบายสิ่งแวดล้อมของตลาดยุโรปในอนาคต

เล่าเชียงรายให้จบเรื่อง จากคุณภาพรายจุด สู่แบรนด์จุดหมายปลายทาง

การที่เชียงรายได้ทั้ง Hall of Fame และ รางวัลดีเด่น ในปีเดียว ส่งสัญญาณว่า “ระบบนิเวศปลายทาง” ของจังหวัดกำลังแข็งแรงมากขึ้น การมีโรงแรมคุณภาพสูงยืนระยะผนวกกับชุมชนที่บริหารจัดการนักท่องเที่ยวได้อย่างรับผิดชอบ ทำให้ “ภาพรวมปลายทาง” น่าเชื่อถือ ทั้งต่อ นักท่องเที่ยวคุณภาพ, บริษัททัวร์ต่างประเทศ, และ นักลงทุนสายท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ–วัฒนธรรม

หากภาครัฐท้องถิ่นต่อยอดด้วยแผนการตลาดปลายทางที่เน้น ประสบการณ์ยั่งยืน, ทัวร์เดินเท้าประวัติศาสตร์, เส้นทางกาแฟ–ชา, และ กิจกรรมชุมชนที่วัดผลได้ เชียงรายสามารถ “ต่อแขน” จากรางวัล ไปสู่ รายได้ต่อหัวที่สูงขึ้น และ ฤดูกาลท่องเที่ยวที่ยาวขึ้น ได้ไม่ยาก

โรดแมปหลังรับรางวัล ทำอย่างไรให้ “ถ้วย” กลายเป็น “ธุรกิจโต”

  • ปรับ Product ให้สอดรับตรากินรี: ออกแพ็กเกจใหม่ที่เล่า “Sustainability Story” ให้ชัด
  • ทำ Data Dashboards: วัดคาร์บอนและผลกระทบชุมชนแบบรายไตรมาส เพื่อใช้สื่อสารกับตลาดต่างประเทศ
  • Co-branding กับ ททท.: ใช้สิทธิ์ร่วม Road Show / Trade Show เพื่อเปิดตลาดระยะกลาง–ไกล
  • สร้างความร่วมมือปลายทาง: โรงแรม–ชุมชน–แหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรม ทำเส้นทางร่วมกัน เพื่อเพิ่มเวลาพำนักและการใช้จ่ายเฉลี่ย

ข้อสังเกตเชิงสื่อสาร ทำอย่างไรให้ผู้บริโภครับรู้ “คุณภาพ–ยั่งยืน” อย่างเข้าใจง่าย

แม้ตรากินรีจะทรงพลัง แต่ “เรื่องยาก” อย่างความยั่งยืนยังต้องสื่อสารให้ง่ายและจับต้องได้ ทางออกคือ

  • ใช้ ป้าย/QR ในสถานที่ บอก “เราลดอะไรได้เท่าไร” และ “เงินคุณไปช่วยใคร”
  • เลือก ภาพเล่าเรื่องสั้นๆ เช่น ช่างฝีมือในชุมชน, การฟื้นฟูท้องน้ำ, หรือการเข้าถึงสำหรับผู้พิการ
  • ทำ คอนเทนต์ก่อน–หลัง รับรางวัล เพื่อให้ลูกค้าเห็นเส้นทางพัฒนา ไม่ใช่ภาพสำเร็จรูปเพียงช่วงเดียว

จากรางวัลสู่แรงขับอุตสาหกรรม

เวที Thailand Tourism Awards ครั้งที่ 15 ยืนยันว่ารางวัลไม่ใช่เพียงเกียรติยศ แต่คือ เครื่องมือเชิงนโยบาย ที่ทำให้อุตสาหกรรมยกระดับ คุณภาพ, สร้าง ความยั่งยืน, และขยาย ความเท่าเทียมในการเข้าถึง ไปพร้อมกัน ปีนี้ 151 ราย ที่ผ่านเกณฑ์เข้มข้นและ 69 ราย ที่โดดเด่นด้านความยั่งยืนคือ “ตัวตั้งต้น” ของมาตรฐานใหม่ซึ่งจะสะท้อนกลับไปยังห่วงโซ่การท่องเที่ยวทั้งระบบ

ในสมรภูมิตลาดโลกที่แข่งด้วย “คุณค่า” มากกว่า “ราคา” ประเทศไทยต้องเดินเกมต่อด้วยการ วัดผลที่โปร่งใส, เล่าเรื่องที่ชัด, และ เชื่อมมาตรฐานสากล อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาสถานะ “จุดหมายปลายทางในใจ” ของนักเดินทางทั่วโลก และที่สำคัญ เพื่อให้การเติบโตนั้น ยั่งยืนและเป็นธรรม กับทั้งผู้ประกอบการ ชุมชน และธรรมชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

อบจ.เชียงราย ทุ่มงบ 36 ล้านบาทฟื้นชีพศาลากลางหลังแรกสู่พิพิธภัณฑ์ภาพเก่าเมือง

เชียงรายฟื้นชีพ “ศาลากลางหลังแรก” สู่หอพิพิธภัณฑ์ภาพเก่าเมือง—แผนอนุรักษ์อายุ 125 ปี เดินหน้าภายใต้งบกว่า 36.57–40 ล้านบาท

เชียงราย, 5 กันยายน 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) เปิดฉากภารกิจอนุรักษ์อาคารศาลากลางจังหวัดเชียงราย “หลังแรก” บนถนนสิงหไคลอย่างเป็นทางการ ภายใต้วิสัยทัศน์ “เปลี่ยนศูนย์อำนาจรัฐให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของประชาชน” เป้าหมายชัดเจนคือปรับโฉมเป็น หอพิพิธภัณฑ์ภาพเก่าเมืองเชียงราย” เพื่อรวบรวมภาพถ่ายประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต และความทรงจำร่วมของเมืองเหนือสุดของสยาม โครงการกำหนดกรอบงบประมาณรวมไม่เกิน 40 ล้านบาท โดยสัญญาหลักที่ประกาศในป้ายโครงการระบุวงเงิน 36,572,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ 6 สิงหาคม 2568 – 31 กรกฎาคม 2569 รวมราว 360 วัน ภายใต้การกำกับดูแลร่วมกันของหลายหน่วยงานด้านมรดกวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรม

 “จากศูนย์อำนาจ” สู่ “ศูนย์กลางความทรงจำ”

บ่ายวันนี้ บริเวณ ลานธรรม ลานศิลป์ ถิ่นพญามังราย อันเป็นที่ตั้งอาคารเก่าแก่ อบจ.เชียงรายจัดพิธีบวงสรวงพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 เพื่อเริ่มต้นงานอนุรักษ์อย่างเป็นทางการ ภาพในพิธีสะท้อนอารมณ์ย้อนไปสู่วิถีการรวมศูนย์อำนาจของรัฐสยามเมื่อกว่าศตวรรษก่อน อาคารแห่งนี้เคยเป็น “หน้าตา” ของรัฐสมัยใหม่ในหัวเมืองล้านนา ก่อนบทบาทจะเลือนหายหลังการย้ายศูนย์ราชการ เมื่อโครงการอนุรักษ์เดินหน้า อดีต “ศูนย์อำนาจ” กำลังกลับมาในชุดใหม่—ศูนย์กลางความทรงจำของผู้คน ผ่านภัณฑารักษ์ที่ใช้ “ภาพถ่าย” เป็นภาษาเล่าเรื่อง

ทำไมต้องอาคารนี้คุณค่าทางสถาปัตยกรรมและการเมือง

อาคารศาลากลางหลังแรกของเชียงรายเริ่มสร้าง พ.ศ. 2440 และเปิดใช้อย่างเป็นทางการ พ.ศ. 2443 อยู่คู่เมืองมานานกว่าศตวรรษ ลักษณะเด่นคือ สถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล ก่ออิฐถือปูน สามชั้น ระบบโครงสร้าง กำแพงรับน้ำหนัก หนาครึ่งเมตร ฐานรากทำ “แพซุง” รับตัวอาคาร โครงพื้น–ตง–คานไม้สักทอง หลังคาทรงปั้นหยา รายละเอียดเหล่านี้สะท้อนทั้งภูมิปัญญาช่างพื้นถิ่นและอิทธิพลตะวันตกในย่านการค้า–การปกครองชายแดนเหนือยุคเปลี่ยนผ่าน

ทางการเมือง อาคารคือ สัญลักษณ์รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่ขยายการปกครองเข้าสู่ล้านนา การมี “ศาลากลางถาวร” กลางย่านสิงหไคลไม่เพียงตอบโจทย์ราชการ หากยังสื่อสารความ “ศิวิไลซ์” ของรัฐสมัยใหม่ต่อชุมชนและชาวต่างชาติที่หลั่งไหลมาค้าขาย ในเวลาต่อมา เมื่อย้ายศูนย์ราชการออกนอกเมือง พ.ศ. 2512 อาคารถูกทิ้งร้าง ระยะหนึ่งจึงเกิดความพยายามฟื้นฟูให้กลับมาเป็นพื้นที่สาธารณะของเมือง

ไทม์ไลน์ย่อของอาคารสัญลักษณ์

  • 2440–2443: ก่อสร้าง–เปิดใช้งานศาลากลางจังหวัด
  • 2512: ย้ายศูนย์ราชการไปอาคารแห่งใหม่ นอกย่านเมืองเก่า
  • 2520: กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนเป็น โบราณสถาน
  • 2539: ฟื้นบทบาทเป็น หอวัฒนธรรมนิทัศน์เฉลิมพระเกียรติกาญจนาภิเษก
  • 2561: ปรับเป็น พิพิธภัณฑ์ภาพเจียงฮาย/หอพิพิธภัณฑ์ภาพเก่าเมืองเชียงราย ภายใต้ อบจ.
  • 2568–2569: แผนอนุรักษ์ครั้งใหญ่ ปรับโครงสร้าง–หลังคา–ระบบภายใน พร้อมออกแบบนิทรรศการถาวรใหม่

งบประมาณ–สัญญา–ผู้เกี่ยวข้อง กลไกกำกับความโปร่งใส

ข้อมูลบนป้ายโครงการระบุรายละเอียดสำคัญ ได้แก่

  • เลขที่สัญญา: 211/2568
  • วงเงินสัญญา: 36,572,000 บาท (กรอบภาพรวมโครงการไม่เกิน 40 ล้านบาท)
  • วันเริ่ม–สิ้นสุดสัญญา: 6 ส.ค. 2568 – 31 ก.ค. 2569
  • ผู้รับจ้าง: ห้างหุ้นส่วนจำกัด กนกลักษณ์ บิลดิ้ง โฮม
  • หน่วยงานร่วมดำเนินการ: จังหวัดเชียงราย, อบจ.เชียงราย, สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย

มี คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ จากหน่วยงานภาครัฐ–สถาบันการศึกษาร่วมกำกับคุณภาพและมาตรฐานงานอนุรักษ์ เพื่อให้การซ่อม–เสริม–ปรับใช้อยู่ภายใต้หลักวิชาชีพสถาปัตยกรรมอนุรักษ์ โดยยึดแนวทางของกรมศิลปากร ทั้งในส่วนวัสดุ เทคนิค และการคงร่องรอยประวัติศาสตร์เดิม

อนุรักษ์เชิงวิศวกรรมควบคู่ภัณฑารักษ์

แผนงานแบ่งเป็นสองแกนหลัก

1) งานกายภาพอาคาร

  • ซ่อม–เสริมโครงสร้างหลังคาไม้ และระบบถ่ายน้ำหนัก ให้ “กลับไปแข็งแรงอย่างเดิม” โดยไม่ทำลายองค์ประกอบประวัติศาสตร์
  • บูรณะผิวปูน–อิฐ การเปิดผนังตรวจสอบความชื้น และการรักษาโครงสร้าง กำแพงรับน้ำหนัก หนาเดิม
  • ปรับปรุงระบบไฟฟ้า–แสง–ลม–ความชื้น ให้เหมาะสมกับการเก็บรักษา ภาพถ่ายเก่า และเอกสารภาพ
  • จัดการระบบทางหนีไฟ–ความปลอดภัย สอดคล้องมาตรฐานพิพิธภัณฑ์สาธารณะ

2) งานเนื้อหาพิพิธภัณฑ์

  • ออกแบบนิทรรศการถาวร “เล่าเมืองด้วยภาพ” แบ่งตามธีมเวลา–พื้นที่–ผู้คน เช่น ย่านการค้าเชียงราย เมื่อร้อยปีก่อน, วิถีชาติพันธุ์, สายน้ำ–พรมแดน
  • ยกระดับคลังภาพสู่ ฐานข้อมูลดิจิทัล เพื่อการศึกษาค้นคว้าและเข้าถึงของสาธารณะ
  • กิจกรรมการเรียนรู้สำหรับโรงเรียน–ชุมชน เช่น เวิร์กช็อปสแกนภาพเก่า, คลีนิกอนุรักษ์ภาพถ่ายครอบครัว

แนวทางทั้งหมดสอดรับคอนเซ็ปต์ Adaptive Reuse หรือ “อนุรักษ์ด้วยการใช้ประโยชน์” ที่ทำให้อาคารเก่ามีชีวิตอยู่ได้จริงในเศรษฐกิจปัจจุบัน และเป็นสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมของเมือง

ทำไมภาพเก่าจึงสำคัญ

พิพิธภัณฑ์เลือก “ภาพถ่าย” เป็นภาษาหลัก เพราะภาพคือหลักฐานชั้นต้นที่เชื่อมประวัติศาสตร์มหภาคเข้ากับชีวิตประจำวัน ยิ่งในเชียงรายซึ่งเป็นเมืองพรมแดน ภาพตลาด ย่านการค้า เรือข้ามโขง โรงเรียนเก่า งานเทศกาล หรือภาพชนเผ่าในยุคต้นศตวรรษ ล้วนทำหน้าที่ “ขยายใจความ” เรื่องการอพยพ การค้า และการผสมผสานของผู้คนอย่างทรงพลัง การตีความผ่านภาพยังช่วยให้ผู้ชมรุ่นใหม่เข้าถึงประวัติศาสตร์ได้ง่ายขึ้น ลดระยะห่างระหว่าง “เอกสารราชการ” กับ “ชีวิตคนธรรมดา”

การเรียนรู้–เศรษฐกิจสร้างสรรค์–อัตลักษณ์เมือง

โครงการนี้ไม่ได้ตอบโจทย์เชิงวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ยังส่งผลทางเศรษฐกิจและสังคมเชิงรูปธรรม

  1. การเรียนรู้ตลอดชีวิต – โรงเรียนในเมือง–ชนบทสามารถใช้พิพิธภัณฑ์เป็น “ห้องเรียนภาคสนาม” เติมเต็มหลักสูตรท้องถิ่นศึกษา
  2. เศรษฐกิจสร้างสรรค์ – พิพิธภัณฑ์เชื่อมเครือข่ายแกลเลอรี คาเฟ่หนังสือ ร้านฟิล์ม–สแกนภาพ และทัวร์เดินเท้าทางประวัติศาสตร์ เกิดเศรษฐกิจท้องถิ่นสายยาว
  3. อัตลักษณ์เมือง – ความทรงจำร่วมถูก “จัดวาง” อย่างมีระบบ สื่อสารภาพลักษณ์ “เชียงรายเมืองศิลปะ” ที่พึ่งพาอดีตเพื่อออกแบบอนาคต
  4. การดูแลเมืองเก่า – การมีผู้คนใช้พื้นที่สม่ำเสมอช่วยเพิ่มความปลอดภัยและการเฝ้าระวังทางสังคม ย่นความเสี่ยงอาคารทรุดโทรมซ้ำ

บทเรียนจากงานอนุรักษ์ทั่วประเทศ

งานอนุรักษ์อาคารประวัติศาสตร์มักเผชิญความท้าทาย 3 ประการ

ด้านเทคนิค – โครงสร้างเดิมแบบกำแพงรับน้ำหนักต้องการวิธีซ่อมเฉพาะทาง หากซ่อมผิดขั้นตอนอาจกระทบเสถียรภาพทั้งหลัง ทางออกคือ สำรวจโครงสร้างอย่างละเอียด และให้วิศวกร–สถาปนิกอนุรักษ์กำกับในทุกจุดเสี่ยง

ด้านงบประมาณ–เวลา – งานซ่อมของเดิมมักพบ “สิ่งไม่คาดคิด” ระหว่างรื้อ ทางออกคือวาง เงินสำรองเผื่อความเสี่ยง และปรับแผนงานแบบเฟส–เปิดพื้นที่ที่เสร็จก่อนให้บริการได้

ด้านการสื่อสารสาธารณะ – ผู้คนคาดหวังสูงต่ออาคารสัญลักษณ์ หากสื่อสารไม่ต่อเนื่องจะเกิดความไม่เข้าใจ ทางออกคือ ป้ายความคืบหน้า–เพจอัพเดต รายเดือน และเปิดให้ชุมชนร่วมกิจกรรมเล็กๆ ระหว่างซ่อม

ป้ายโครงการระบุ คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ และสถาบันการศึกษาร่วมกำกับงาน ถือเป็นกลไกสำคัญลดความเสี่ยงทั้งสามด้าน พร้อมยืนยันมาตรฐาน “ปลอดภัยไว้ก่อน (Safety First)” ติดเคียงป้ายหลักของโครงการ

มองภาพใหญ่เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ของ อบจ.เชียงราย

ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา อบจ.เชียงรายไม่ทำงานเชิงวัฒนธรรมแบบจุดเดียว แต่สร้างเครือข่ายแหล่งเรียนรู้หลายแห่งให้ “เสริมกัน” ได้แก่

  • หอพิพิธภัณฑ์ภาพเก่าเมืองเชียงราย (ศาลากลางหลังแรก) – เน้นภาพถ่ายประวัติศาสตร์และเรื่องเล่าชุมชน
  • ศูนย์วัฒนธรรมนิทัศน์และพิพิธภัณฑ์เมืองเชียงราย 750 ปี – เนื้อหาโครงเรื่องเมืองตั้งแต่ยุคพญามังราย
  • พิพิธภัณฑ์ภาพเก่าเล่าเรื่องเมืองเชียงของ – เจาะพื้นที่ชายแดน–แม่น้ำโขง
  • เครือข่ายภาคเอกชน เช่น หอศิลป์ร่วมสมัย ในเขตเมืองและชานเมือง

โครงสร้างนี้ทำให้ “ภาพรวมเชียงราย” ชัดเจนขึ้น: เมืองศิลปะที่ร้อยอดีตเข้ากับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และกระจายการท่องเที่ยวจากตัวเมืองสู่ชายแดนอย่างสมดุล

โรดแมป 12 เดือน จากวันนี้ถึงวันเปิดบ้าน

  • ไตรมาส 4/2568: สำรวจ–ทดสอบวัสดุ, แบบอนุรักษ์รายละเอียด, ตั้งฐานข้อมูลภาพถ่ายและแผนภัณฑารักษ์
  • ไตรมาส 1/2569: รื้องานหลังคา–ซ่อมโครง, บูรณะผิวอิฐ–ปูน, เดินระบบไฟ–ปรับอากาศ
  • ไตรมาส 2/2569: ติดตั้งนิทรรศการถาวรระยะที่ 1, ทดลองแสง–อุณหภูมิ–ความชื้น
  • ก.ค. 2569: ทดสอบการใช้งานจริงแบบ Soft Opening, รับข้อเสนอแนะจากครู–ชุมชน–นักวิชาการ ก่อนเปิดเต็มรูปแบบ

เสียงจากเอกสารโครงการหลักคิดที่ชัดเจน

แม้ในพิธีเปิดงานจะไม่มีการแถลงคำพูดที่เป็นทางการเผยแพร่ต่อสื่อ แต่ “เนื้อหาในป้ายโครงการ” ให้ภาพชัดถึง หลักคิด 3 ประการ

  1. ความร่วมมือพหุภาคี – รัฐจังหวัด–ท้องถิ่น–หน่วยงานมรดก–มหาวิทยาลัย ทำงานร่วมกัน
  2. มาตรฐานความปลอดภัย – ยกระดับระบบอาคารให้รองรับการใช้งานสาธารณะยุคใหม่
  3. การอนุรักษ์บนฐานความรู้ – ใช้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์–สถาปัตยกรรมเป็นตัวนำ

ทั้งหมดนี้ทำให้โครงการไม่ใช่เพียง “ซ่อมของเก่า” แต่คือการ “จัดการความทรงจำของเมือง” อย่างมีระบบและตรวจสอบได้

เมื่อบ้านเก่าได้บทใหม่

โครงการอนุรักษ์ศาลากลางหลังแรกสะท้อนคำตอบของคำถามใหญ่—มรดกทางสถาปัตยกรรมจะอยู่รอดในเมืองร่วมสมัยได้อย่างไร คำตอบคือทำให้ “มีคนใช้ มีเรื่องเล่า และมีความหมายทางเศรษฐกิจ–สังคม” เมื่อพิพิธภัณฑ์ภาพเก่าเปิดบ้าน ภาพถ่ายในกรอบไม้สักจะไม่ใช่เพียงวัตถุจัดแสดง แต่คือ “บัตรเชิญ” ให้คนเชียงรายและผู้มาเยือนได้ทบทวนอดีต และร่วมกันออกแบบอนาคตของเมือง

แน่นอนว่า 12 เดือนข้างหน้าคือช่วงเวลาทดสอบ ทั้งเชิงเทคนิค งบประมาณ และการมีส่วนร่วมของประชาชน แต่หากทุกชิ้นส่วนทำงานประสานกันดี ศาลากลาง 125 ปี หลังนี้จะกลายเป็น หอความทรงจำของเมือง ที่ยืนยง และเติมเต็มฉาก “เชียงรายเมืองศิลปะ” ให้ชัดกว่าที่เคย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ป้ายประชาสัมพันธ์โครงการ “ปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ภาพเชียงราย (ศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังแรก)” – ระบุเลขที่สัญญา 211/2568, วงเงินสัญญา 36,572,000 บาท, ระยะเวลา 6 ส.ค. 2568 – 31 ก.ค. 2569, รายชื่อหน่วยงานร่วมและผู้รับจ้าง, รายชื่อคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ (เอกสารภาพถ่าย ณ หน้างาน)
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • กรมศิลปากร และสำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่
  • มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย
  • เอกสารประวัติอาคารศาลากลางจังหวัดเชียงราย (หลังเก่า
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

ดอยแม่สลอง จากวีรชนผู้พลัดถิ่น สู่ความรุ่งเรืองแห่ง “เมืองสามวัฒนธรรม”

จากสงครามสู่สันติภาพ – อนุสรณ์สถานวีรชนดอยแม่สลองเล่าเรื่องราว “กองพลพลัดถิ่น” สู่ชุมชนรุ่งเรือง

เชียงราย,5 กันยายน 2568 – บนเนินเขาสูงของดอยแม่สลอง ที่ระดับความสูง 1,200 เมตร ณ บ้านสันติคีรี อำเภอแม่ฟ้าหวง จังหวัดเชียงราย ตั้งหยัดอยู่อนุสรณ์สถานแห่งหนึ่งที่เล่าเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของการเปลี่ยนผ่านจากความขัดแย้งสู่ความสงบสุข จากผู้พลัดถิ่นสู่ชุมชนที่รุ่งเรือง และจากความหวาดกลัวสู่ความหวังแห่งอนาคต

เมื่อแสงแรกของยามเช้าส่องผ่านหมอกเบาบางลงมายังสถาปัตยกรรมจีนอันงดงามของอนุสรณ์สถานวีรชนอดีตทหารจีนคณะชาติภาคเหนือ ภาพที่ปรากฏต่อหน้าผู้มาเยือนไม่ได้เป็นเพียงแค่อาคารที่สวยงาม แต่เป็นประตูบานใหญ่ที่เปิดเข้าสู่เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ไม่เหมือนใคร

บทเปิดแห่งความทรงจำ จากยูนนานสู่ดอยแม่สลอง

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1940 เมื่อสงครามกลางเมืองจีนได้ส่ายคลื่นความขัดแย้งไปทั่วทวีปเอเชียตะวันออก ภายหลังสงครามกลางเมืองจีนสิ้นสุดลงใน พ.ศ. 2492 บางส่วนของกองกำลังพรรคก๊กมินตั๋งปฏิเสธที่จะยอมจำนน รวมทั้งกองพล 93 นำโดยพลเอกต้วน ซีเหวิน

นายสุรศักดิ์ ทวีอภิรดีไข่มุข นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่สลองนอก เล่าถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวนี้ว่า “กองพล 93 และกองพล 193 เป็นกองกำลังที่ไม่ยอมจำนนต่อการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ พวกเขาต้องถอนกำลังออกจากมณฑลยูนนาน ประมาณ 20,000 คน และเข้าสู่ดินแดนพม่าในขณะแรก”

แต่ชะตากรรมไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้น จนถึงปี 2497 สหประชาชาติ ได้เข้ามาประสานงานให้มีการอพยพกองกำลังส่วนหนึ่งไปยังไต้หวัน แต่ทหารจำนวนมากที่นำโดยนายพลต้วน ซีเหวิน ได้เลือกที่จะขอลี้ภัยในประเทศไทย

การเปลี่ยนโฉมหน้าจากผู้ลี้ภัยสู่ผู้พิทักษ์แผ่นดิน

การตัดสินใจที่จะอยู่ในประเทศไทยของกองพล 93 ไม่ได้เป็นเพียงการหาที่อยู่อาศัย แต่กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของประวัติศาสตร์ไทย เมื่อรัฐบาลไทยต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามเย็น

“กองพล 93” ร่วมทัพไทยขับไล่คอมมิวนิสต์ ลุยทุกสมรภูมิทั้งผาตั้ง-ดอยยาว ผาหม่น ไปจนถึงเขาค้อ ก่อนตั้งถิ่นฐานดอยแม่สลอง การต่อสู้เหล่านี้เกิดขึ้นระหว่างปี 2514-2528 และเป็นการต่อสู้ที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตและเลือดเนื้อ

นายสุรศักดิ์เล่าต่อด้วยสีหน้าที่เคารพในผู้เสียสละ “การต่อสู้ครั้งนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่การสู้รบทางทหาร แต่เป็นการต่อสู้เพื่อปกป้องอุดมการณ์ประชาธิปไตยและความเป็นอิสระ มีอดีทหารจีนคณะชาติจำนวนมากเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บทุพพลภาพจากการสู้รบในครั้งนั้น”

อนุสรณ์สถาน สัญลักษณ์แห่งความกตัญญูและการเริ่มต้นใหม่

เพื่อเป็นการตอบแทนการเสียสละอันยิ่งใหญ่นี้ รัฐบาลไทยได้พิจารณาให้สิทธิ์พิเศษแก่กองกำลังเหล่านี้ เริ่มตั้งแต่การอนุมัติให้อาศัยในฐานะผู้อพยพในปี 2513 และต่อมาได้อนุญาตให้แปลงสัญชาติเป็นคนไทยได้ในปี 2521 และ 2527

บนพื้นฐานของความกตัญญูต่อการเสียสละนี้ อนุสรณ์สถานวีรชนจึงถูกสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมจีนอันงดงาม ประกอบด้วยอาคารหลักสามหลังที่เรียงตัวเป็นรูปตัวยู และมีอาคารอนุสรณ์สถานตั้งอยู่ตรงกลาง

การจัดแสดงภายในอนุสรณ์สถานได้รับการออกแบบอย่างประณีตเพื่อเล่าเรื่องราวอันสมบูรณ์ โดยอาคารที่ 1 ด้านซ้ายจัดแสดงประวัติศาสตร์การทหารของกองพล 93 ตั้งแต่ความขัดแย้งในยูนนานปี 2492 และการสู้รบในพม่า ส่วนอาคารตรงกลางเป็นอนุสรณ์สถานหลักที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารที่เสียชีวิตในการสู้รบ และอาคารที่ 2 และ 3 ด้านขวาเล่าเรื่องราวหลังสงคราม โดยเน้นไปที่โครงการพัฒนาชุมชนและความเจริญที่ตามมา

การปฏิวัติเศรษฐกิจ จากไร่ฝิ่นสู่ไร่ชาระดับโลก

หนึ่งในความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชุมชนบ้านสันติคีรี คือการเปลี่ยนผ่านจากพื้นที่ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตยาเสพติดในสามเหลี่ยมทองคำ มาเป็นศูนย์กลางการผลิตชาที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย

“ดอยแม่สลองเคยเป็นแหล่งผลิตเฮโรอีนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” นายสุรศักดิ์อธิบาย “แต่หลังจากกองกำลังติดอาวุธถูกขับไล่ออกไป รัฐบาลไทยได้เข้าควบคุมพื้นที่และริเริ่มโครงการปลูกพืชทดแทนฝิ่นอันเนื่องมาจากพระราชดำริ”

ผลลัพธ์ของโครงการนี้เกินความคาดหมาย ปัจจุบันดอยแม่สลองได้กลายเป็นแหล่งปลูกชาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีกำลังการผลิตชาอูหลงกว่า 80% ของจังหวัดเชียงราย ชาที่ปลูกบนความสูงเฉลี่ย 1,200 เมตร ในสภาพอากาศที่หนาวเย็น ให้รสชาติที่หอมกรุ่นและมีคุณภาพระดับพรีเมี่ยม

นอกจากชาแล้ว ชุมชนยังประสบความสำเร็จในการปลูกกาแฟอะราบิกาและพืชเมืองหนาวอื่นๆ จนได้รับการยอมรับให้เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยว OTOP จากผลิตภัณฑ์ชาคุณภาพดี

วัฒนธรรมสามแผ่นดินเสน่ห์แห่งเมืองสามวัฒนธรรม

ความสำเร็จทางเศรษฐกิจเป็นเพียงด้านหนึ่งของเรื่องราว ด้านที่น่าประทับใจไม่น้อยคือการที่ชุมชนบ้านสันติคีรี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวไทยเชื้อสายจีนยูนนาน ได้ผสมผสานและรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้ในชีวิตประจำวัน

การเดินเข้าไปในหมู่บ้านเปรียบเสมือนการเดินทางผ่านกาลเวลาไปยังดินแดนจีนยูนนาน ร้านอาหารมากมายเสิร์ฟเมนูขึ้นชื่อ เช่น ขาหมูหมั่นโถว ผัดยอดฟักแม้ว ผัดหมี่ยูนนาน และไก่ดำตุ๋นตังกุย ที่ยังคงความเป็นต้นตำรับไว้อย่างครบถ้วน

เทศกาลประจำปี “งานมหัศจรรย์ชา ซากุระบาน อาหารชนเผ่า” ที่จัดขึ้นที่บริเวณอนุสรณ์สถานในช่วงปลายเดือนธันวาคมถึงต้นเดือนมกราคม เป็นการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมจีน ไทย และชาวเขาที่อยู่ในพื้นที่ สร้างเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใครให้กับนักท่องเที่ยว

เส้นทางแห่งประวัติศาสตร์ การเดินทางที่สมบูรณ์

การเยี่ยมชมอนุสรณ์สถานวีรชนเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของ “เส้นทางประวัติศาสตร์” ที่เชื่อมโยงสถานที่สำคัญต่างๆ เข้าด้วยกัน

สุสานนายพลต้วน ซีเหวิน ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากอนุสรณ์สถาน สร้างขึ้นในปี 2523 ด้วยหินอ่อนทั้งหมด เป็นสถานที่สำคัญที่นักท่องเที่ยวเชื้อสายจีนนิยมขึ้นไปกราบเคารพ

ปลายทางของการเดินทางคือพระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคีรี ที่ตั้งอยู่บนยอดดอยที่สูงที่สุดที่ระดับ 1,500 เมตร เจดีย์ทรงล้านนาประยุกต์นี้สร้างขึ้นในปี 2539 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการผนวกรวมและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างแท้จริง

ข้อมูลสำหรับผู้เดินทาง

สำหรับผู้ที่สนใจเยี่ยมชมอนุสรณ์สถานวีรชน สถานที่แห่งนี้เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 08:00-17:00 น. ตั้งอยู่ที่ บ้านสันติคีรี ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย มีค่าเข้าชมสำหรับคนไทย 30 บาท และชาวต่างชาติ 50 บาท

การเดินทางสามารถใช้รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ได้ แม้ถนนจะมีความชันและคดเคี้ยว แต่รถเก๋งก็สามารถขึ้นไปได้ มีเส้นทางให้เลือกหลายสาย โดยเส้นทางหลักคือจากอำเภอเมืองเชียงราย ใช้ทางหลวงหมายเลข 1089 ผ่านอำเภอแม่จัน

มรดกที่คงอยู่บทเรียนแห่งการผสานวัฒนธรรม

เมื่อแสงแดดยามบ่ายค่อยๆ ลับขอบฟ้าลงไปเบื้องหลังเทือกเขา ทิวทัศน์อันสวยงามจากดอยแม่สลองสะท้อนให้เห็นภาพของความสำเร็จที่ไม่ธรรมดา จากดินแดนแห่งความขัดแย้งกลายเป็นชุมชนที่รุ่งเรือง จากผู้พลัดถิ่นกลายเป็นชาวไทยที่ภาคภูมิใจ

อนุสรณ์สถานวีรชนไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยวหรือพิพิธภัณฑ์ธรรมดา แต่เป็นสัญลักษณ์ของความหวังที่ว่า ความขัดแย้งและการพลัดถิ่นสามารถกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างอนาคทีที่ดีกว่าได้ เป็นพยานแห่งการที่ความแตกต่างทางวัฒนธรรมสามารถหลอมรวมเป็นความงดงามได้

เรื่องราวของกองพล 93 และการเปลี่ยนผ่านของดอยแม่สลอง จึงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องราวในอดีต แต่เป็นบทเรียนสำคัญที่สะท้อนถึงความยืดหยุ่น ความเสียสละ และพลังของการหลอมรวมทางวัฒนธรรม ที่ยังคงมีความหมายและให้แรงบันดาลใจแก่คนรุ่นหลังในยุคปัจจุบัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • วิกิพีเดียภาษาไทย: หมู่บ้านสันติคีรี
  • ข้อมูลจากสถาบันวิจัยประวัติศาสตร์ไทย
  • ข่าวจากผู้จัดการออนไลน์ เรื่อง “51 ปีไม่เคยลืม! ลูกหลานจีนคณะชาติรำลึกวีรกรรม กองพล 93”
  • สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม
  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
  • ถ่ายภาพโดย :กีรติ ชุติชัย
  • บทความโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ปิดดีลการเมืองใหม่! “อนุทิน” นายกฯ คนที่ 32 ด้วยเสียงสนับสนุน 311 เสียง

อนุทิน ชาญวีรกูล” คว้าเก้าอี้นายกฯ คนที่ 32 ด้วย 311 เสียง—ดีลการเมืองใหม่เปิดทางแก้รัฐธรรมนูญและยุบสภาในกรอบเวลาเร่งด่วน

บทวิเคราะห์เบื้องต้น

กรุงเทพฯ , 5 ก.ย. 2568 –  การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของไทยในวันนี้สะท้อนจุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้างทางการเมืองอย่างชัดเจน 1) ตัวเลข 311 เสียง บ่งชี้การรวมตัวของหลายพรรคที่ข้ามสมการแบ่งขั้วเดิม และเปิด “พื้นที่ปฏิบัติการ” ให้รัฐบาลชุดใหม่เดินตามเงื่อนไขทางการเมืองเฉพาะกิจ 2) เงื่อนไขจากพรรคประชาชนว่าด้วยกรอบเวลาเพื่อยุบสภาและเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ ทำให้วาระหลักของรัฐบาลกลายเป็น “รัฐบาลเปลี่ยนผ่านเชิงสถาบัน” มากกว่ารัฐบาลนโยบายแบบวาระยาว 3) คะแนนเสียงข้างมากที่ชัดเจนช่วยคลี่คลายสุญญากาศการเมืองหลังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญกรณี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แต่ก็วางรัฐบาลไว้บนสนามที่ต้องบริหาร “เวลา ความคาดหวัง และความไว้วางใจ” พร้อมกัน โดยมีเดดไลน์ทางการเมืองเป็นตัวกำกับผลลัพธ์สุดท้ายของประเทศใน 4–6 เดือนข้างหน้า (ตามเงื่อนไขที่ถูกสื่อรายงานอย่างกว้างขวาง)

ฉากเปิดในสภาเลื่อนวาระ-ปูทางลงมติประวัติศาสตร์

การประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดพิเศษเริ่มเวลาเช้า โดยวาระสำคัญคือการเห็นชอบบุคคลสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 159 หลังเก้าอี้นายกรัฐมนตรีว่างลงจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 29 ส.ค. 2568 ที่ส่งผลให้นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 พ้นตำแหน่ง บรรยากาศในห้องประชุมเริ่มตึงตั้งแต่ญัตติ “เลื่อนวาระโหวตนายกรัฐมนตรีขึ้นมาพิจารณาก่อน” ถูกหยิบยก ซึ่งที่ประชุมลงมติ “เห็นชอบ” 313 ต่อ 142 เสียง ปูทางสู่การลงคะแนนชี้ขาดช่วงบ่าย สะท้อนฉันทามติว่าประเทศต้องมีรัฐบาลใหม่โดยเร็วเพื่อลดความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายสาธารณะ

คู่ชิงผู้นำ “อนุทิน” ปะทะ “ชัยเกษม” และแรงกดดันด้านจริยธรรม-ความเหมาะสม

เมื่อเข้าสู่วาระเสนอชื่อ นายไชยชนก ชิดชอบ ส.ส.พรรคภูมิใจไทย เสนอชื่อ “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขณะที่พรรคเพื่อไทยเสนอ “นายชัยเกษม นิติสิริ” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นคู่ชิง การอภิปรายคุณสมบัติและความเหมาะสมของทั้งสองฝ่ายดำเนินไปอย่างเข้มข้น มีการย้ำประเด็นมาตรฐานจริยธรรม ความน่าเชื่อถือ และความสามารถในการนำพาประเทศฝ่าความผันผวน ทั้งในสภาและพื้นที่สื่อสาธารณะ สะท้อนเดิมพันทางความชอบธรรมที่สูงเป็นพิเศษต่อผู้นำรัฐบาลชุดใหม่ในสถานการณ์เปราะบางนี้

สัญญาทางการเมืองรูปแบบใหม่ เงื่อนไขของ “พรรคประชาชน”

จุดหักเหสำคัญอยู่ที่บทบาท “พรรคประชาชน” ซึ่งประกาศสนับสนุน “อนุทิน” ด้วยกรอบเงื่อนไขเพื่อเร่งแก้รัฐธรรมนูญและยุบสภาภายในกรอบเวลาที่กำหนด โดยสาระสำคัญคือการผลักดันกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ผ่าน “สภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง” และยืนยันบทบาทฝ่ายค้านต่อไปเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล ข้อตกลงดังกล่าวถือเป็นดีลทางการเมืองที่ “จำกัดวาระและภารกิจ” ของรัฐบาลอย่างชัดเจน และสะท้อนยุทธศาสตร์ “โหวตเพื่อยุบสภา” ซึ่งสื่อทั้งในและต่างประเทศจับตาอย่างใกล้ชิดในฐานะต้นแบบการใช้เสียงข้างมากเพื่อเปิดประตูสู่การปฏิรูปเชิงสถาบัน มากกว่าจะเป็นการตั้งรัฐบาลบริหารแบบเต็มวาระ

ผลลงมติ 311 เสียง—สัญญาณคลี่คลายสุญญากาศและเริ่มนับถอยหลัง

เวลาเย็นของวันเดียวกัน ผลลงมติเปิดเผยต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ได้ 311 เสียง เหนือกว่าคะแนน 152 เสียงของ “ชัยเกษม นิติสิริ” อย่างชัดเจน ตัวเลขดังกล่าวเกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกที่มีอยู่ และมากกว่าคะแนนขั้นต่ำ 247 เสียงที่ต้องการ ส่งผลให้ประมุขฝ่ายบริหารคนใหม่ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรตามขั้นตอน ขณะเดียวกัน ช่องทางสื่อสารของหน่วยงานสาธารณะและสื่อหลักรายงานสอดคล้องกันถึงผลรวมคะแนน รวมถึงการยืนยันว่าพรรคภูมิใจไทยลงคะแนนสนับสนุนทั้งพรรค ยกเว้นหัวหน้าพรรคที่งดออกเสียงตามธรรมเนียมปฏิบัติของผู้ถูกเสนอชื่อ

คำกล่าวหลังได้รับเลือก “เวลามีไม่มาก ต้องทำงานให้คุ้มค่าที่สุด”

หลังทราบผล “นายอนุทิน” กล่าวกับสื่อมวลชนถึงความตั้งใจเดินหน้าทำงานทันที พร้อมย้ำว่าจะใช้ทุกวันอย่างคุ้มค่าในกรอบเวลาที่จำกัด และเดินหน้าจัดทำคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว ข้อความนี้สอดรับกับสถานะ “รัฐบาลเปลี่ยนผ่าน” ที่ต้องบริหารงานคู่ขนานกับการผลักดันวาระเชิงสถาบันให้เป็นรูปธรรม โดยมีเส้นตายทางการเมืองรออยู่ข้างหน้า ทั้งในมิติยุบสภาและการริเริ่มกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ตามกลไกที่กฎหมายกำหนด

บริบทแวดล้อม ผลสะเทือนต่อภูมิทัศน์ “ตระกูลการเมือง” และแรงสั่นสะเทือนเชิงสัญลักษณ์

สื่อสากลจำนวนมากเชื่อมโยงผลการลงมติครั้งนี้กับความเปลี่ยนแปลงของ “ภูมิทัศน์อำนาจ” โดยเฉพาะบทบาทของเครือข่ายการเมืองที่เคยกำหนดทิศทางมาตลอดสองทศวรรษ กระแสข่าวการเดินทางออกนอกประเทศของ “นายทักษิณ ชินวัตร” ก่อนหน้าการลงมติไม่นานยิ่งเพิ่มมิติทางสัญลักษณ์ต่อการเปลี่ยนผ่านดังกล่าว แม้รายละเอียดจะยังต้องติดตาม แต่ก็เป็นฉากหลังที่ทำให้ “รัฐบาลอนุทิน” ต้องเผชิญกับความคาดหวัง-ข้อกังขา พร้อมกันในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเมืองไทย

นัยต่อเศรษฐกิจ-การต่างประเทศ เวลาจำกัด งานล้นมือ

แม้รัฐบาลใหม่จะถูกกำหนดภารกิจหลักด้าน “ปฏิรูปเชิงสถาบัน” แต่ภาคเศรษฐกิจและการต่างประเทศไม่อาจรอได้ การท่องเที่ยว การส่งออก และความเชื่อมั่นตลาดทุนต้องการสัญญาณนโยบายที่ต่อเนื่อง ขณะที่ประเด็นความมั่นคงชายแดนและความร่วมมือเศรษฐกิจระดับภูมิภาคยังเป็นโจทย์ท้าทาย หากรัฐบาลสามารถสื่อสาร “แผนงาน 120 วัน” ที่ชัดเจนทั้งด้านปากท้องและโรดแมปการเมือง ควบคู่กลไกตรวจสอบ-ถ่วงดุลที่โปร่งใส จะช่วยลดเบี้ยความเสี่ยงและพยุงความคาดหวังของภาคส่วนต่าง ๆ ในระยะสั้นได้มาก โดยมีจุดตัดสินอยู่ที่ “ความไว้วางใจ” และ “การส่งมอบผลลัพธ์ทันเวลา” ซึ่งตลาดและประชาชนจับตาอย่างเข้มข้น

สถิติและจุดสังเกตสำคัญของวันลงมติ

  • คะแนนเสียงเห็นชอบ “อนุทิน” 311 เสียง มากกว่าเกณฑ์ 247 เสียงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ “ชัยเกษม” ได้ 152 เสียง สร้างระยะห่างชัดเจนต่อฉันทามติในสภา
  • ก่อนหน้านั้น สภาลงมติ “เลื่อนวาระโหวตนายกรัฐมนตรี” ขึ้นมาพิจารณาก่อน 313 ต่อ 142 เสียง ช่วยเร่งขั้นตอนให้ประเทศมีรัฐบาลใหม่ได้ภายในวันเดียวกัน ลดความยืดเยื้อทางการเมืองที่อาจกระทบเสถียรภาพเศรษฐกิจระยะสั้น
  • ช่องทางสาธารณะของสื่อสาธารณะและสำนักข่าวต่างประเทศรายงานผลตรงกัน ทั้งจำนวนเสียงและกรอบบริบทของดีลทางการเมืองที่โยงสู่เงื่อนไขยุบสภาและโรดแมปการแก้รัฐธรรมนูญ

กรอบเวลา 4–6 เดือน โจทย์กำกับการเมืองไทยระยะสั้น

การสนับสนุนจากพรรคประชาชนมาพร้อม “เงื่อนไขเวลา” ซึ่งสื่อรายงานอย่างกว้างขวางว่าเกี่ยวข้องกับการยุบสภาหลังแถลงนโยบายภายในกรอบเวลาที่กำหนด พร้อมการเดินหน้ากระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ภายใต้กลไก ส.ส.ร. เงื่อนไขดังกล่าวเปลี่ยน “ธรรมชาติของรัฐบาล” ให้เป็นรูปแบบเปลี่ยนผ่านที่มีเส้นตายเชิงนิติบัญญัติชัดเจน นั่นหมายถึงทุกวันนับจากนี้มีต้นทุนโอกาสสูง จึงต้องกำหนด “แผนสั้น-กลาง” ที่วัดผลได้จริง ทั้งด้านการคลายกังวลเศรษฐกิจประชาชนและกรอบขั้นตอนปฏิรูปที่สังคมตรวจสอบได้

ความเสี่ยงและโอกาส บริหารสมดุล 3 มิติ

  1. ความชอบธรรม: รัฐบาลต้องเดินตามกติกาและสื่อสารอย่างโปร่งใส ชี้แจงเหตุผล-ขั้นตอนยุบสภาและแก้รัฐธรรมนูญให้ประชาชนเข้าใจ ลดข้อครหา-ควันหลงทางการเมือง
  2. ประสิทธิภาพเชิงนโยบาย: แม้เป็นรัฐบาลเปลี่ยนผ่าน แต่ “ความเดือดร้อนเร่งด่วน” ต้องได้รับการบรรเทา เช่น ค่าครองชีพ แรงกระทบผู้ประกอบการท่องเที่ยว-ส่งออก เพื่อคงความเชื่อมั่นระยะสั้นของเศรษฐกิจมหภาค
  3. การประสานกับฝ่ายค้าน: การยืนยันเป็นฝ่ายค้านของพรรคประชาชนช่วยคงกลไกตรวจสอบ แต่รัฐบาลต้องรักษาช่องทางเจรจาทางเทคนิคในเรื่องกฎหมายลูกและกระบวนการ ส.ส.ร. เพื่อไม่ให้โรดแมปสะดุดจากความขัดแย้งขั้นตอน

จุดคลี่คลายปม ทางออกสู่การเลือกตั้งใหม่ที่ “ชัด-เร็ว-ชอบธรรม”

สัญญาประชาคมที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรระหว่าง “รัฐบาล-สภา-สังคม” ในห้วงเวลานี้คือ การทำให้ “การเปลี่ยนผ่าน” มีเสถียรภาพพอสมควร และไม่ทำให้ประเทศหลุดจากรางปฏิรูปที่สังคมเรียกร้อง หากรัฐบาลสามารถแสดงความคืบหน้าเชิงขั้นตอน เช่น กำหนดกรอบเวลาชัดเจนสำหรับการแถลงนโยบาย การยื่นร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และการชี้แจงสาธารณะเรื่อง “วันยุบสภาโดยประมาณ” อย่างโปร่งใส จะช่วยปิดดีเบตเรื่องความไม่จริงใจ และแปความคาดหวังสังคมให้เป็น “การให้โอกาส” ในการตัดสินผลงานตามที่กำหนดไว้ตั้งแต่ต้น

การที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ด้วยคะแนน 311 เสียง คือการปิดฉากสุญญากาศการเมืองและเปิดฉาก “รัฐบาลเปลี่ยนผ่านเชิงสถาบัน” ที่มีภารกิจหลักสองประการคือ 1) พยุงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจและประคับประคองนโยบายปากท้องในระยะสั้น และ 2) เดินหน้าโรดแมปยุบสภา-แก้รัฐธรรมนูญตามเงื่อนไขที่สังคมจับตา ด้วยเส้นตายทางการเมืองที่กระชับ ขณะที่ฉากหลังระดับโครงสร้างสะท้อนการปรับสมดุลเครือข่ายอำนาจเดิมอย่างมีนัยสำคัญ สุดท้าย ดัชนีตัดสินผลลัพธ์ของช่วงเวลา 4–6 เดือนข้างหน้าจะไม่ใช่ “วาทกรรม” หากแต่เป็น “การส่งมอบ” ขั้นตอนที่จับต้องได้และตรวจสอบได้—นั่นคือบทพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลและความหวังของสังคมต่อการเมืองที่เดินหน้าได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Reuters, “Thailand’s Anutin Charnvirakul elected PM by parliament” (Bangkok, Sept 5, 2025)
  • Bangkok Post, “Anutin confirmed as Thailand’s new prime minister”
  • Thai PBS,
  • Al Jazeera
  • Thai PBS World, “Making sense of People’s Party’s conditions for Anutin”
  • AP
  • Xinhua, “Thailand’s parliament elects Anutin Charnvirakul as new PM”
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบต.ทานตะวัน เดินหน้าขุดลอก “แก้มลิงปางควาย” สานต่อแนวพระราชดำริแก้วิกฤตน้ำ

เชียงรายเดินหน้า “แก้มลิงปางควาย” สร้างความมั่นคงทางน้ำและคุณภาพชีวิตชุมชน ก้าวสำคัญของการจัดการน้ำในเชียงราย

เชียงราย – วันที่ 3 กันยายน 2568 องค์การบริหารส่วนตำบลทานตะวัน (อบต.ทานตะวัน) อำเภอพาน ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบความคืบหน้าโครงการขุดลอก “แก้มลิงปางควาย” บ้านห้วยบง หมู่ที่ 7 ซึ่งเป็นการนำแนวพระราชดำริด้านการบริหารจัดการน้ำมาปรับใช้ เพื่อบรรเทาปัญหาน้ำท่วมในฤดูฝนและภัยแล้งในฤดูแล้ง โดยมีนายราเชน ดาสา นายก อบต.ทานตะวัน พร้อมเจ้าหน้าที่กองช่างเข้าร่วมติดตามโครงการ

แนวพระราชดำริแก้มลิง จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ

โครงการนี้ใช้แนวคิด “แก้มลิง” ที่เปรียบเสมือนกระพุ้งแก้มที่กักเก็บอาหาร หลักการคือกักเก็บน้ำส่วนเกินในฤดูฝนและนำมาใช้ในฤดูแล้ง ซึ่งเหมาะสมกับพื้นที่ภาคเหนือที่ประสบปัญหาวงจรน้ำหลากและน้ำแล้งซ้ำซาก หากดำเนินการสำเร็จจะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำสำรองอย่างมีนัยสำคัญและลดความเสียหายต่อพื้นที่เกษตร

ผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชน

การขุดลอกจะเพิ่มความจุน้ำได้หลายหมื่นลูกบาศก์เมตร ตัวอย่างเช่น โครงการแก้มลิงหนองขอนดอก จังหวัดร้อยเอ็ด สามารถเพิ่มปริมาณน้ำจาก 261,000 ลูกบาศก์เมตร เป็น 397,000 ลูกบาศก์เมตร และส่งน้ำให้พื้นที่เพาะปลูกกว่า 240 ไร่ในฤดูฝน ซึ่งโครงการในอำเภอพานคาดว่าจะทำได้เช่นเดียวกัน ชาวบ้านจะมีน้ำอุปโภคบริโภคเพียงพอ เกษตรกรสามารถเพาะปลูกได้ตลอดปี และยังอาจสร้างรายได้เสริมจากการประมง

บทเรียนจากโครงการที่เคยล้มเหลว

แม้โครงการจะมีศักยภาพ แต่บทเรียนจากพื้นที่อื่นชี้ให้เห็นว่ามีความเสี่ยงหลายด้าน เช่น

  • ความผิดพลาดทางเทคนิค เช่น คันดินสูงเกินไปหรือติดตั้งท่อรับน้ำไม่เหมาะสม
  • ความไม่โปร่งใส เช่น ไม่ติดป้ายแจ้งงบประมาณและผู้รับเหมา
  • ความขัดแย้งในชุมชน หากไม่มีการสื่อสารที่เพียงพออาจเกิดการประท้วงเหมือนในจังหวัดนครนายก

กลยุทธ์เพื่อความโปร่งใสและการมีส่วนร่วม

อบต.ทานตะวันควรเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างอย่างครบถ้วน พร้อมติดป้ายโครงการในพื้นที่ เพื่อสร้างความไว้วางใจในชุมชน ควรตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลที่มีตัวแทนชาวบ้านและเกษตรกรร่วมด้วย รวมทั้งจัดเวทีประชาคมสม่ำเสมอให้ชุมชนมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นจนจบ

การประเมินผลกระทบเชิงสังคมและสิ่งแวดล้อม

การขุดลอกอาจกระทบระบบนิเวศในระยะสั้น แต่สามารถบรรเทาได้ด้วยการนำดินที่ขุดไปใช้ประโยชน์และฟื้นฟูพื้นที่รอบบึงด้วยการปลูกป่าและปล่อยพันธุ์ปลาเมื่อโครงการเสร็จสิ้น นอกจากนี้ควรวางแผนให้พื้นที่แก้มลิงกลายเป็นศูนย์เรียนรู้ด้านการเกษตรและแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ

สถานะปัจจุบันของโครงการ

ปัจจุบันโครงการอยู่ในขั้นตอนประกวดราคาแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) และอยู่ระหว่างการพิจารณา รายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณ ราคากลาง และผู้รับเหมาจะต้องได้รับการเปิดเผยเพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้อย่างโปร่งใส ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนก่อสร้างจริง

ข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์

เพื่อให้โครงการสำเร็จอย่างยั่งยืน จำเป็นต้อง:

  • เปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส
  • กำกับดูแลคุณภาพการก่อสร้างอย่างใกล้ชิด
  • จัดประชุมเวทีชุมชนอย่างต่อเนื่อง
  • สร้างแผนบำรุงรักษาแหล่งน้ำหลังโครงการเสร็จ เพื่อคงสภาพการกักเก็บน้ำในระยะยาว

โครงการขุดลอกแก้มลิงปางควายไม่เพียงเป็นการแก้ปัญหาน้ำท่วม-ภัยแล้ง แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน การมีส่วนร่วมของชุมชนและความโปร่งใสในการดำเนินงานจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้โครงการประสบความสำเร็จ และอาจกลายเป็นต้นแบบให้พื้นที่อื่นในเชียงรายดำเนินรอยตาม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนตำบลทานตะวัน (ประกาศประกวดราคา 26 พฤษภาคม 2568)
  • กรมชลประทาน, รายงานโครงการแก้มลิงหนองขอนดอก จ.ร้อยเอ็ด
  • กรมทรัพยากรน้ำ, รายงานสถานการณ์น้ำภาคเหนือ 2567
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.), แผนยุทธศาสตร์การจัดการน้ำ 2566-2570
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News