Categories
NEWS UPDATE

สงกรานต์คึกคัก ‘เชียงใหม่’ เที่ยวได้ ฟรีจอดรถ 4 สนามบิน

รัฐบาลเตรียมพร้อมรับมือสงกรานต์ 2568 เพิ่มเที่ยวบิน-เปิดจอดรถฟรี ท่าอากาศยานเชียงรายพร้อมเต็มที่รับนักเดินทาง

ประเทศไทย, 9 เมษายน 2568 – รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมเตรียมความพร้อมเต็มรูปแบบในการรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 ซึ่งเป็นช่วงที่มีประชาชนเดินทางภายในประเทศและระหว่างประเทศอย่างหนาแน่น โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการด้านการคมนาคมในท่าอากาศยานหลักทั่วประเทศ รวมถึงท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในประตูการเดินทางสำคัญของภาคเหนือที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการรองรับนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติในช่วงเวลาดังกล่าว

มาตรการรับมือผู้โดยสารช่วงสงกรานต์

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคม ร่วมกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการตามแผนรองรับการเดินทางของประชาชน โดยเน้นการลดความแออัดในอาคารผู้โดยสาร การเพิ่มเจ้าหน้าที่บริการ และอำนวยความสะดวกในด้านการตรวจเอกสาร การเช็กอิน และการจัดระเบียบการเดินทางในพื้นที่ท่าอากาศยานหลักทั้ง 6 แห่ง ได้แก่

  1. ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.)
  2. ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.)
  3. ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.)
  4. ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.)
  5. ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.)
  6. ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.)

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย พร้อมต้อนรับนักเดินทาง

ในส่วนของจังหวัดเชียงราย ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง ได้เตรียมการรองรับผู้โดยสารอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะจากแนวโน้มการเดินทางเข้าสู่พื้นที่ท่องเที่ยวภาคเหนือที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจังหวัดเชียงรายถือเป็นหนึ่งในปลายทางยอดนิยม ทั้งในด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ธรรมชาติ และกิจกรรมสงกรานต์พื้นเมือง

ในช่วงสงกรานต์นี้ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าสู่เชียงรายจำนวนมาก โดยเฉพาะจากกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และต่างประเทศ เช่น จีนและลาว ผ่านเที่ยวบินตรงมายังสนามบินเชียงราย ซึ่ง ทอท. ได้เพิ่มเจ้าหน้าที่ประจำเคาน์เตอร์เช็กอิน การดูแลผู้โดยสาร และเพิ่มความถี่ของการทำความสะอาดพื้นที่ส่วนรวม เพื่อให้ทุกการเดินทางเป็นไปด้วยความราบรื่นและปลอดภัย

ข้อมูลเที่ยวบิน-ผู้โดยสาร เพิ่มขึ้นชัดเจน

บริษัท ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) ได้ประมาณการเที่ยวบินและจำนวนผู้โดยสารระหว่างวันที่ 11–17 เมษายน 2568 พบว่า

  • เที่ยวบินระหว่างประเทศมีจำนวน 267,603 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 9.1%
  • เที่ยวบินภายในประเทศมีจำนวน 213,792 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 22.7%
  • รวมผู้โดยสารทั้งหมด 79,191,431 คน เพิ่มขึ้น 18.3%
    • ผู้โดยสารระหว่างประเทศ 48,243,845 คน เพิ่มขึ้น 14.1%
    • ผู้โดยสารภายในประเทศ 30,947,586 คน เพิ่มขึ้น 25.5%

การเพิ่มขึ้นของเที่ยวบินและผู้โดยสารสะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของภาคการท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นของนักเดินทางในการเดินทางภายในประเทศ

จอดรถฟรี 4 สนามบินทั่วประเทศ

เพื่อส่งมอบความสะดวกแก่ผู้โดยสาร รัฐบาลได้เปิดพื้นที่ “จอดรถฟรี” ณ ท่าอากาศยาน 4 แห่ง ระหว่างวันที่ 12 – 16 เมษายน 2568 ได้แก่

  1. ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ – ลานจอดรถระยะยาว โซน C
  2. ท่าอากาศยานดอนเมือง – ลานจอดหน้าตึกจอดรถ 5 ชั้น
  3. ท่าอากาศยานเชียงใหม่ – บริเวณลานช้าง ข้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ
  4. ท่าอากาศยานภูเก็ต – หน้าอาคารสำนักงาน ทภก.

การอำนวยความสะดวกด้วยเทคโนโลยี

นอกจากการเสริมกำลังเจ้าหน้าที่แล้ว ท่าอากาศยานทุกแห่ง รวมถึงเชียงราย ได้เตรียมความพร้อมด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น

  • เครื่องเช็กอินอัตโนมัติ (CUSS)
  • เครื่องโหลดกระเป๋าอัตโนมัติ (CUBD)
  • ระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (Biometric)

ผู้โดยสารสามารถลงทะเบียนใช้บริการได้ที่เครื่อง CUSS หรือผ่านเจ้าหน้าที่สายการบินในขั้นตอนเช็กอิน เพื่อช่วยประหยัดเวลาและลดความแออัด

เชียงใหม่มั่นใจ พร้อมรับนักท่องเที่ยวแม้เจอแผ่นดินไหว

นอกจากนี้ ที่จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นปลายทางการท่องเที่ยวสำคัญของภาคเหนือ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า แม้เกิดเหตุแผ่นดินไหวเล็กน้อยในช่วงต้นเดือนเมษายน แต่ผลกระทบมีเพียงบางส่วน เช่น อาคารดวงกมลคอนโดมิเนียมที่ได้รับผลกระทบด้านโครงสร้าง และอีก 2 อาคารที่ได้รับความเสียหายเล็กน้อยจากผิวฉาบแตก

ขณะนี้สถานการณ์โดยรวมกลับสู่ภาวะปกติ บรรยากาศการท่องเที่ยวในตัวเมืองเชียงใหม่ยังคงคึกคัก โดยเฉพาะพื้นที่สำคัญอย่างถนนนิมมานเหมินทร์ ถนนคนเดิน และรอบคูเมือง พร้อมทั้งมีกิจกรรมสงกรานต์ “ปี๋ใหม่เมือง” ที่จัดเต็มเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว

วิเคราะห์ผลกระทบและโอกาสของการเดินทางช่วงสงกรานต์ 2568

การที่รัฐบาลเพิ่มเที่ยวบินและอำนวยความสะดวกผ่านนโยบายจอดรถฟรี เป็นการตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นของประชาชน และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวหลักอย่างเชียงราย ซึ่งในช่วงนี้มีเทศกาลประเพณีพื้นถิ่น เช่น สรงน้ำพระ รดน้ำดำหัว และขบวนแห่สืบสานวัฒนธรรมล้านนา ที่สร้างสีสันและความประทับใจให้นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ

ขณะเดียวกันยังเป็นโอกาสในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในท้องถิ่น ผ่านกิจกรรมจำหน่ายสินค้า OTOP การท่องเที่ยวชุมชน และการสร้างงานให้คนในพื้นที่

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • ทอท. คาดการณ์เที่ยวบินระหว่างวันที่ 11–17 เม.ย. 2568
    • เที่ยวบินระหว่างประเทศ: 267,603 เที่ยวบิน (+9.1%)
    • เที่ยวบินในประเทศ: 213,792 เที่ยวบิน (+22.7%)
  • ผู้โดยสารทั้งหมด: 79,191,431 คน (+18.3%)
    • ระหว่างประเทศ: 48,243,845 คน (+14.1%)
    • ในประเทศ: 30,947,586 คน (+25.5%)
  • จังหวัดเชียงราย:
    • มีเที่ยวบินเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 12% ช่วงเทศกาล (ข้อมูลจากสนามบินแม่ฟ้าหลวง, 2567)
    • คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์: ไม่น้อยกว่า 180,000 คน (สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย, 2567)
  • พื้นที่จอดรถฟรีในสนามบินเชียงใหม่: รองรับได้มากกว่า 1,500 คัน ตลอดช่วงเวลาให้บริการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
  • กระทรวงคมนาคม
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ข้อมูลปี 2567 พบว่า ‘เชียงราย’ ดื่มแอลกอฮอล์ ติดอันดับ 4

เชียงรายติดอันดับ 4 ประเทศไทย ผู้ดื่มสุราสูงสุดต่อแสนประชากร รณรงค์ 3 ต. สงกรานต์ 2568

เชียงใหม่, 9 เมษายน 2568 – จากข้อมูลสถานการณ์ล่าสุดด้านการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย พบแนวโน้มที่น่ากังวลในช่วงก่อนเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีอุบัติเหตุและการสูญเสียจากการดื่มสุรามากเป็นพิเศษ สำนักงานป้องกันและควบคุมโรคที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า จังหวัดเชียงรายถูกจัดอยู่ใน ลำดับที่ 4 ของประเทศ ในจำนวนประชากรผู้ดื่มสุราต่อแสนคน โดยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สถานการณ์แอลกอฮอล์โลก-ไทย และผลกระทบที่ตามมา

จากรายงานสถานการณ์ระดับโลกโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ประชากรโลกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เฉลี่ย ร้อยละ 43 หรือคิดเป็น 6.4 ลิตรต่อคนต่อปี ขณะที่ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากการดื่มแอลกอฮอล์มากถึง 3 ล้านคนต่อปี หรือเฉลี่ยเสียชีวิต 1 คนในทุก ๆ 10 วินาที

ประเทศไทยเองก็เผชิญกับปัญหาดังกล่าวอย่างรุนแรง โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ถือเป็นช่วงเสี่ยงที่สุดของปี ข้อมูลจากปี 2567 ระบุว่า มีอุบัติเหตุกว่า 20,000 ครั้ง และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 300 คน โดยพบว่าวันที่ 13 เมษายน เป็นวันที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด และสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจาก “ดื่มแล้วขับ

เชียงรายในภาพรวมของภาคเหนือ: ความน่ากังวลในเชิงพฤติกรรมและสุขภาพ

ในภาคเหนือมีโรงกลั่นสุราที่ขึ้นทะเบียนทั้งหมด 985 แห่ง โดยเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 10 แห่ง จังหวัดเชียงรายเองถือว่าเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีความเข้มข้นของการบริโภคสุราสูงที่สุด โดยถูกจัดอยู่ใน อันดับที่ 4 ของประเทศ รองจากจังหวัดขอนแก่น ลำปาง และมหาสารคาม ส่วนจังหวัดพะเยาอยู่ในอันดับที่ 5

สำหรับจังหวัดเชียงราย สถิติชี้ว่ามีการบริโภคสุราสูงถึง 7.17 ลิตรต่อคนต่อปี และยังพบว่า นักดื่มหน้าใหม่มีอายุน้อยลงเรื่อย ๆ บางรายอยู่ในระดับประถมศึกษา โดยส่วนใหญ่เริ่มต้นจากการได้รับสุราจากผู้ปกครองหรือคนในครอบครัว

สงกรานต์วิถีไทย สนุก ปลอดภัย ไร้แอลกอฮอล์” 

เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2568 ที่ลานด้านหน้าหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับเครือข่ายงดเหล้า และมูลนิธิเครือข่ายพลังสังคม จัดแถลงข่าว “สงกรานต์วิถีไทย สนุก ปลอดภัย ไร้แอลกอฮอล์”  โดย นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า  งานประเพณีสงกรานต์ ถือเป็นวาระพิเศษของสังคมไทย เป็นกิจกรรมสำหรับครอบครัว หลายปีที่ผ่านมา คนไทยต้องเผชิญความสูญเสียจากอุบัติเหตุ การคุกคามทางเพศ การทะเลาะวิวาทและความรุนแรง จากพฤติกรรมเสี่ยงโดยเฉพาะในพื้นที่จัดงานเล่นน้ำที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะการเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ที่มีจุดเริ่มต้นของปัญหาส่วนหนึ่งมาจาก “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์”

ซึ่งข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่าช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2562-2566 มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนสูงเฉลี่ยถึง 4,519 ราย ผลกระทบสำคัญคือ “เหยื่อจากผู้ดื่มแล้วขับ” มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นทุกปี เฉพาะเทศกาลสงกรานต์ 2567 มีเหยื่อจากผู้ดื่มแล้วขับมากถึง 207 ราย เฉลี่ยชั่วโมงละ 1 ราย 

“จากการสำรวจข้อมูลโดยมูลนิธิเครือข่ายพลังสังคม ปี 2567 ครอบคลุม 18 จังหวัด มีกลุ่มตัวอย่าง 1,000 คน พบว่า ประชาชน 91.4% เห็นด้วยว่าการจัดงานสงกรานต์ปลอดเหล้าช่วยลดอุบัติเหตุจากการดื่มแล้วขับ 90%  เห็นด้วยว่าการจัดงานปลอดเหล้าช่วยลดปัญหาการทะเลาะวิวาท 87% เห็นว่าจัดงานไม่มีเหล้าจะช่วยลดพฤติกรรมลวนลามและการล่วงละเมิดทางเพศ ขณะที่ 75.2% ชอบงานสงกรานต์แบบปลอดเหล้ามากกว่างานที่มีเหล้า” นพ.พงศ์เทพ กล่าว 

ขอเชิญชวนให้ปรับค่านิยมและพฤติกรรมใน 6 เรื่อง

ด้านนายวิษณุ ศรีทะวงศ์ ประธานมูลนิธิเครือข่ายพลังสังคม กล่าวว่า ความสูญเสียต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เกิดจากค่านิยมและความเชื่อของสังคมที่เชื่อว่า การดื่มช่วยทำให้สนุก และช่วยทำให้สนิทสนมกันไว รวมถึงความเครียดจากการทำงานและสภาพสังคมทำให้เกิดการดื่มหนักในช่วงสงกรานต์เพราะต้องการปลดปล่อยความเครียด นอกจากนี้สังคมไทยเกิดอาการชินและยอมรับพฤติกรรมดื่มแล้วขับ ดังนั้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ สคล. มูลนิธิเครือข่ายพลังสังคม และภาคีเครือข่ายขอเชิญชวนให้ปรับค่านิยมและพฤติกรรมใน 6 เรื่อง ได้แก่

  1. ดื่มไม่ขับ 
  2. ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่สาธารณะ 
  3. ไม่ขาย ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่จัดงานสงกรานต์
  4. ให้ความสำคัญต่อความสนุกที่ยั่งยืนมากกว่าความสนุกชั่วคราว
  5. สนุกได้โดยไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  6. สนิทได้โดยไม่พึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งนี้ หากทุกภาคส่วนร่วมกันควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเอาจริงจังกับมาตรการโซนนิ่งพื้นที่เล่นน้ำปลอดภัย ปลอดเหล้าแล้ว สงกรานต์เป็นเทศกาลแห่งความสุขของครอบครัวอย่างแท้จริง

เชียงรายกับการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ

จังหวัดเชียงรายมีความพยายามอย่างต่อเนื่องในการลดอัตราการบริโภคสุรา โดยมีการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานระดับอำเภอ ตำบล และชุมชน ตั้งแต่ระดับการเรียนรู้ในโรงเรียน การส่งเสริมการจัดงานปลอดเหล้าในช่วงเทศกาล ไปจนถึงการเชิญชวนร้านค้าเข้าร่วมเป็น “พื้นที่ปลอดแอลกอฮอล์

อย่างไรก็ตาม จากสถิติในปีที่ผ่านมา ยังพบว่าผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับสุราในพื้นที่จังหวัดเชียงรายยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานและวัยรุ่นชาย ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการเพิ่มประสิทธิภาพของมาตรการเชิงป้องกัน และพัฒนาระบบติดตามพฤติกรรมดื่มสุราของกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่

การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และภาคเอกชน

นอกจากหน่วยงานรัฐแล้ว ภาคเอกชนและประชาชนในพื้นที่ก็มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการส่งเสริมกิจกรรมสร้างสรรค์ในชุมชน เช่น งานสงกรานต์ปลอดเหล้า กิจกรรมกีฬาชุมชน หรือเวทีเยาวชนเพื่อเรียนรู้ผลกระทบของแอลกอฮอล์

ในปีนี้ จังหวัดเชียงรายยังเปิดเวทีให้หน่วยงานหรือบุคคลที่มีผลงานดีเด่นในการรณรงค์และควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่งผลงานเข้ารับการคัดเลือกเพื่อรับรางวัลเกียรติยศ เนื่องในวันงดดื่มสุราแห่งชาติ ประจำปี 2568 ซึ่งถือเป็นอีกแรงจูงใจที่ช่วยสร้างเครือข่ายในการขับเคลื่อนงานอย่างยั่งยื

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • ประชากรโลก ดื่มแอลกอฮอล์เฉลี่ย 6.4 ลิตรต่อคนต่อปี (WHO, 2023)
  • ประเทศไทย มีประชากรดื่มแอลกอฮอล์เฉลี่ย 7.17 ลิตรต่อคนต่อปี (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2566)
  • เชียงราย ติดอันดับ 4 ของประเทศ ในอัตราผู้ดื่มสุราต่อแสนประชากร (สำนักงานควบคุมโรคที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่, 2567)
  • โรงกลั่นสุราในภาคเหนือ มีจำนวน 985 แห่ง โดยจังหวัดเชียงรายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากเดิม
  • อุบัติเหตุช่วงสงกรานต์ปี 2567 ทั่วประเทศเกิดกว่า 20,000 ครั้ง เสียชีวิตมากกว่า 300 คน (ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน)
  • วันเสี่ยงสูงสุด คือวันที่ 13 เมษายน ซึ่งมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บสูงที่สุดในรอบสัปดาห์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานป้องกันและควบคุมโรคที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
  • องค์การอนามัยโลก (WHO)
  • ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • เครือข่ายองค์กรงดเหล้า จังหวัดเชียงราย
  • ภาพโดย : KANJO Review
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ครม.แบล็กลิสต์บริษัทก่อสร้าง เจ็บตาย ปรับ ลด ถอนทะเบียน

ครม.ไฟเขียวแก้กฎกระทรวง “แบล็กลิสต์-ปรับ-ถอน” ผู้รับเหมาประมาททำคนตาย

เชียงราย, 8 เมษายน 2568 – คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการแก้ไขกฎกระทรวงสำคัญเพื่อควบคุมผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่กระทำผิดอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะกรณีประมาทเลินเล่อจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต โดยเป็นมาตรการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการก่อสร้าง และสร้างกลไกตรวจสอบการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการให้เข้มข้นยิ่งขึ้น

ยกระดับคุณภาพผู้ประกอบการก่อสร้างไทย

ตามรายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ได้มีมติอนุมัติร่างกฎกระทรวงที่เสนอโดยกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงว่าด้วยเกณฑ์การขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างจากฉบับเดิม พ.ศ. 2560 ให้ทันต่อสถานการณ์และปัญหาที่เกิดขึ้นจริง

สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ คือการเพิ่มความเข้มงวดในการคัดกรอง ตรวจสอบ และควบคุมผู้ประกอบการที่ขึ้นทะเบียนกับภาครัฐ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

เหตุผลของการแก้ไขกฎกระทรวง

สาเหตุหลักของการเสนอแก้ไขครั้งนี้ มาจากกรณีอุบัติเหตุในพื้นที่โครงการก่อสร้างที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากความประมาทในการทำงาน การใช้วัสดุไม่ได้มาตรฐาน และการขาดความรับผิดชอบต่อสังคมในกรณีเกิดเหตุไม่คาดฝัน

หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องหลายแห่ง รวมถึงกรมบัญชีกลาง ได้รายงานว่ามีผู้ประกอบการบางรายที่มีพฤติกรรมเสี่ยงซ้ำซาก ไม่ปรับปรุงมาตรฐานการทำงาน และยังคงได้รับงานกับหน่วยงานรัฐอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากข้อกฎหมายเดิมไม่มีบทลงโทษที่เข้มงวดเพียงพอ

ประเด็นหลักในร่างกฎกระทรวงฉบับใหม่

การปรับปรุงกฎกระทรวงครั้งนี้แบ่งออกเป็น 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

  1. การตรวจสอบคุณสมบัติผู้ประกอบการที่ขึ้นทะเบียน

ผู้ประกอบการที่ขึ้นทะเบียนแล้วจะต้องได้รับการตรวจติดตามคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามอย่างต่อเนื่อง จากเดิมทุก 2 ปี เปลี่ยนเป็นทุก 3 ปี โดยมีกรมบัญชีกลางเป็นผู้รับผิดชอบหลัก

  1. การเพิกถอนและระงับสิทธิการขึ้นทะเบียน

กรณีที่ผู้ประกอบการถูกปรับลดระดับชั้นถึง 3 ครั้งภายใน 2 ปี เนื่องจากกระทำผิดซ้ำซาก หรือมีพฤติกรรมประมาทร้ายแรง เช่น ทำให้เกิดการเสียชีวิตจากการก่อสร้าง จะถูกเพิกถอนใบทะเบียนทันที และสามารถยื่นขอขึ้นทะเบียนใหม่ได้หลังจากครบกำหนด 2 ปี

ในกรณีที่มีการปลอมแปลงเอกสาร หรือกระทำการทุจริตในการยื่นขอขึ้นทะเบียนหรือเลื่อนชั้น จะถูกระงับสิทธิการขึ้นทะเบียนใหม่เป็นเวลา 10 ปี

  1. การปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมสำหรับการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการถูกปรับขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุนการตรวจสอบที่แท้จริง เช่น ค่าธรรมเนียมการขึ้นทะเบียนเริ่มต้นจาก 3,000 บาท และเพิ่มขั้นบันไดตามระดับชั้นไปจนถึง 9,000 บาท สำหรับชั้นพิเศษ นอกจากนี้ ยังมีค่าธรรมเนียมใหม่สำหรับการตรวจสอบเครื่องจักรและอุปกรณ์ในอัตรา 5,000 บาทต่อครั้ง

  1. การปรับลดระดับชั้นจากการกระทำผิด

กรณีที่เกิดอุบัติเหตุจนมีผู้เสียชีวิตจากความประมาทของผู้ประกอบการ จะถูกปรับลดระดับชั้นลง 1 ชั้นเป็นเวลา 12 เดือน หากมีผู้บาดเจ็บสาหัส ระยะเวลาจะลดลงเหลือ 6 เดือน

นอกจากนี้ หากมีการทำงานล่าช้าจากที่กำหนด จะถูกปรับลดระดับชั้นลงเช่นกัน โดยมีระยะเวลาในการพักสถานะ 3 เดือน

เสียงสะท้อนจากภาคธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญ

หลายฝ่ายในแวดวงอุตสาหกรรมก่อสร้างมองว่ามาตรการนี้เป็นสิ่งที่จำเป็น แม้จะเพิ่มต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ แต่ก็จะช่วยให้เกิดการแข่งขันด้วยมาตรฐานที่ดีขึ้น

นายกฤษฎา ทรงศักดิ์ ประธานสมาคมวิศวกรรมโครงสร้างไทย ให้ความเห็นว่า “การมีบทลงโทษที่ชัดเจนจะทำให้ผู้ประกอบการตื่นตัวมากขึ้น และเป็นประโยชน์ต่อทั้งภาครัฐและประชาชนในระยะยาว”

ด้านผู้ประกอบการขนาดกลางรายหนึ่งในจังหวัดเชียงรายกล่าวว่า “แม้ต้องเสียค่าธรรมเนียมมากขึ้น แต่หากแลกกับความเชื่อมั่นจากลูกค้าและการรับงานจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ก็ถือว่าคุ้มค่า”

วิเคราะห์ผลกระทบและแนวโน้มในอนาคต

การออกกฎกระทรวงฉบับนี้สะท้อนความพยายามของภาครัฐในการจัดระเบียบวงการก่อสร้างไทยให้มีมาตรฐานที่ปลอดภัย และมีธรรมาภิบาลมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลในเรื่องของการตรวจสอบที่อาจเพิ่มภาระงานให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากไม่มีการเสริมกำลังบุคลากร อาจทำให้การบังคับใช้ล่าช้า และไม่ครอบคลุมตามเป้าหมาย

ในอนาคต ควรมีระบบรายงานผลการตรวจสอบต่อสาธารณะ เพื่อสร้างความโปร่งใส และเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีบทบาทในการตรวจสอบผู้ประกอบการที่มีพฤติกรรมเสี่ยง

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • ข้อมูลจากกรมบัญชีกลาง ปี 2567 ระบุว่า มีผู้ประกอบการที่ถูกเพิกถอนทะเบียนทั้งหมด 148 ราย เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 26
  • ศูนย์ข้อมูลก่อสร้างแห่งชาติ (NCCIC) รายงานว่า ในปี 2566 มีอุบัติเหตุจากไซต์งานก่อสร้างรวม 412 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 61 ราย และบาดเจ็บสาหัส 118 ราย
  • สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) พบว่ามีคำร้องเรียนเกี่ยวกับคุณภาพงานก่อสร้างในภาครัฐมากถึง 2,317 เรื่อง ในรอบปี 2566

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง
  • ศูนย์ข้อมูลก่อสร้างแห่งชาติ (National Construction Center Information – NCCIC)
  • สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.)
  • หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ, รายงานประจำวันที่ 8 เมษายน 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ปภ. ทดสอบ Cell Broadcast เตือนภัยไว ส่งตรงมือถือ True

ปภ. ทดสอบ Cell Broadcast เต็มรูปแบบ ย้ำประสิทธิภาพสูง หวังยกระดับระบบเตือนภัยไทยเทียบมาตรฐานโลก

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเร่งเดินหน้าระบบ Cell Broadcast ร่วมผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ 3 ค่ายหลัก

กรุงเทพมหานคร – วันที่ 4 เมษายน 2568 เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ (BNIC) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) พร้อมคณะผู้บริหารระดับสูง และผู้แทนจาก กสทช. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) ร่วมทดสอบระบบแจ้งเตือนภัยด้วย Cell Broadcast (CBS) ผ่านเครือข่าย True อย่างเป็นทางการ

การทดสอบดังกล่าวเป็นการจำลองเหตุการณ์ภัยพิบัติที่ต้องการความเร่งด่วนในการแจ้งเตือนประชาชนให้ได้รับข้อมูลโดยเร็วที่สุด ซึ่งจากการทดสอบ พบว่า CBS สามารถส่งข้อความแจ้งเตือนภัยไปยังโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องในพื้นที่ได้อย่างทันที ทั้งระบบ iOS และ Android โดยไม่ต้องพึ่งพาสัญญาณอินเทอร์เน็ตหรือแอปพลิเคชันเพิ่มเติม

Cell Broadcast คืออะไร ทำไมจึงสำคัญยิ่งในยุคภัยพิบัติถี่ขึ้น

Cell Broadcast คือระบบส่งข้อความเตือนภัยแบบกระจายสัญญาณผ่านเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือ โดยสามารถส่งข้อความไปยังโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องในพื้นที่เป้าหมายพร้อมกันในทันที ข้อดีสำคัญ ได้แก่:

  • แจ้งเตือนแม้โทรศัพท์อยู่ในโหมดเงียบ
  • ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
  • ไม่ต้องลงแอปพลิเคชัน
  • ส่งข้อความได้พร้อมกันแบบไม่จำกัดจำนวน
  • เจาะจงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบได้อย่างแม่นยำ

ซึ่งระบบนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการลดความเสียหายจากภัยพิบัติ ทั้งแผ่นดินไหว น้ำท่วม สึนามิ พายุ หรือแม้แต่การก่อการร้าย

ความร่วมมือ 3 ค่ายมือถือใหญ่ ผลักดันระบบ CBS ให้ครอบคลุม

หลังการประชุมร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายทั้ง 3 ราย ได้แก่ AIS, True, และ NT ได้มีข้อตกลงในหลักการร่วมกันเพื่อเดินหน้าพัฒนาระบบ CBS ให้สามารถใช้งานได้จริงในระดับประเทศ โดยขณะนี้ ทุกค่ายได้ติดตั้งระบบ CBC (Cell Broadcast Center) แล้วเสร็จ เหลือเพียงหน่วยงานภาครัฐโดยเฉพาะ CBE (Cell Broadcast Entity) ซึ่ง ปภ. อยู่ระหว่างการพัฒนาและทดสอบขั้นสุดท้าย

ผลการทดสอบล่าสุด ยืนยันระบบพร้อมใช้งานจริง

นายภาสกร ระบุว่า การทดสอบในวันนี้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของระบบ CBS อย่างชัดเจน และถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการนำเทคโนโลยีแจ้งเตือนภัยที่ทั่วโลกยอมรับมาใช้ ซึ่งหากระบบสามารถดำเนินการครบทั้ง CBC และ CBE ได้อย่างสมบูรณ์ ไทยจะสามารถเปิดใช้งาน CBS ทั่วประเทศได้ในเร็ววัน

นอกจากนี้ ปภ. ยังวางแผนจัดทำ แนวปฏิบัติ (SOP) สำหรับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีความเข้าใจตรงกันในการส่งข้อความแจ้งเตือนภัย และสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีเอกภาพเมื่อเกิดเหตุจริง

SMS vs Cell Broadcast ทำไมไทยต้องเปลี่ยน?

แม้ปัจจุบันประเทศไทยยังคงใช้ SMS เป็นหลักในการแจ้งเตือนภัย แต่ SMS มีข้อจำกัดชัดเจนหลายประการ เช่น:

  • ส่งได้ช้า เพราะต้องส่งทีละหมายเลข
  • มีข้อจำกัดเรื่องปริมาณการส่งพร้อมกัน
  • ไม่มีเสียงเตือนพิเศษ
  • ต้องอาศัยฐานข้อมูลผู้ใช้งาน

ในขณะที่ CBS สามารถทำงานได้ทันทีในระดับ “Broadcast” ทำให้ผู้ใช้ในพื้นที่เสี่ยงได้รับการแจ้งเตือนพร้อมกันแบบเรียลไทม์

ตัวอย่างต่างประเทศ ญี่ปุ่น-สหภาพยุโรป ประสบความสำเร็จจาก CBS

  • ญี่ปุ่น ใช้ระบบ J-Alert ซึ่งส่งข้อความผ่าน CBS ไปยังมือถือทุกเครื่องในพื้นที่ภัยพิบัติ พร้อมเสียงเตือนพิเศษ มีการใช้งานอย่างแพร่หลายตั้งแต่ปี 2550
  • เนเธอร์แลนด์ ใช้ระบบ NL-Alert สำหรับแจ้งเตือนน้ำท่วมฉับพลัน
  • ฝรั่งเศส ใช้ระบบ FR-Alert แจ้งเตือนการก่อการร้ายหรือภัยสาธารณะ

ทุกประเทศระบุว่า CBS ช่วยลดความตื่นตระหนก และเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตของประชาชนได้อย่างชัดเจน

ทัศนคติจากสองมุมมอง เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์หรือยังไม่ครอบคลุม?

ฝ่ายสนับสนุน CBS เห็นว่า เป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในขณะนี้ ใช้งานง่าย ไม่ต้องพึ่งแอปพลิเคชัน และสามารถแจ้งเตือนแบบเจาะจงพื้นที่ ช่วยลดความสูญเสียได้จริง และเชื่อว่าจะเปลี่ยนแปลงระบบเตือนภัยของไทยได้อย่างพลิกโฉม

ขณะที่ฝ่ายกังวล ตั้งข้อสังเกตว่า แม้ CBS จะดีเยี่ยม แต่ยังมีช่องว่าง เช่น ประชาชนที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือ เด็ก ผู้สูงอายุในพื้นที่ห่างไกล หรือผู้ที่ไม่ชำนาญเทคโนโลยี อาจไม่ได้รับแจ้งเตือนอย่างทันท่วงที จึงเสนอให้รัฐผสาน CBS กับระบบแจ้งเตือนแบบเดิม เช่น วิทยุ ลำโพงชุมชน หรือทีวี เพื่อความครอบคลุมสูงสุด

ทางออก “Multi-Channel Alert System” ผสานหลายช่องทางสู่ระบบเตือนภัยแบบยั่งยืน

ผู้เชี่ยวชาญจาก United Nations Office for Disaster Risk Reduction (UNDRR) แนะนำว่า ประเทศกำลังพัฒนาควรใช้ ระบบแจ้งเตือนหลายช่องทาง (Multi-Channel Alert System) เพื่อครอบคลุมประชากรทุกกลุ่ม เช่น:

  • Cell Broadcast สำหรับมือถือ
  • ลำโพงประกาศสาธารณะในชุมชน
  • SMS สำหรับสำรองข้อมูล
  • วิทยุชุมชนและโทรทัศน์

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

  • ปัจจุบัน กว่าร้อยละ 92 ของประชากรไทย มีโทรศัพท์มือถือ (ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567)
  • ประเทศที่ใช้งาน Cell Broadcast อย่างเป็นทางการ: ญี่ปุ่น, เนเธอร์แลนด์, เยอรมนี, ฝรั่งเศส, เกาหลีใต้, สหรัฐอเมริกา ฯลฯ (ที่มา: UNDRR, 2567)
  • ไทยมีแผนเปิดใช้งาน Cell Broadcast ทั่วประเทศภายใน ไตรมาส 3 ปี 2568 (ที่มา: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
  • เหตุแผ่นดินไหวที่มีผลกระทบถึงไทยจากประเทศเพื่อนบ้าน มีเฉลี่ยปีละ 2–3 ครั้ง (ที่มา: กรมอุตุนิยมวิทยา)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
  • บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
  • กสทช.
  • กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
  • UNDRR
  • ITU
  • Japan Meteorological Agency
  • European Commission
  • Dutch Government
  • Cabinet Office of Japan
  • สำนักสถิติแห่งชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

กู้ภัยนานาชาติถอนกำลัง! สตง.ถล่ม แล้ว USAR คืออะไรทำไมต้องช่วยไทย

ทีมกู้ภัยนานาชาติ USAR ถอนกำลังจากเหตุตึก สตง. ถล่ม พร้อมอธิบายบทบาทและความสำคัญของ USAR

ประเทศไทย, 5 เมษายน 2568 – ทีมกู้ภัยนานาชาติจากประเทศอิสราเอล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่าย Urban Search and Rescue (USAR) ได้ถอนกำลังออกจากพื้นที่อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 เวลา 17:20 น. หลังจากปฏิบัติภารกิจค้นหาและกู้ชีพนานกว่า 1 สัปดาห์ ร่วมกับทีมกู้ภัยไทย นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ออกมาระบุว่า การถอนกำลังครั้งนี้เป็นไปตามหลักสากล และไม่ส่งผลกระทบต่อภารกิจที่เหลือ พร้อมแสดงเจตนารมณ์ที่จะพัฒนาทีมกู้ภัยไทยให้ก้าวสู่ระดับ “Heavy” ในอนาคต เพื่อยกระดับศักยภาพการรับมือภัยพิบัติของประเทศไทย

ความเป็นมาของเหตุการณ์และการเข้ามาของทีม USAR

เหตุการณ์อาคาร สตง. ถล่มเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 อันเป็นผลจากแผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ในประเทศเมียนมา ซึ่งส่งผลกระทบถึงกรุงเทพมหานคร อาคารสูง 30 ชั้นแห่งนี้พังทลายลงอย่างกะทันหัน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายจำนวนมาก ทีมกู้ภัยไทยจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง หน่วยทหาร และอาสาสมัคร รีบเข้าพื้นที่ทันทีเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตและให้ความช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนของสถานการณ์ ด้วยโครงสร้างอาคารขนาดใหญ่และความเสียหายที่รุนแรง ทำให้กรุงเทพมหานครตัดสินใจประสานขอความช่วยเหลือจากทีมกู้ภัยนานาชาติในเครือข่าย USAR

ทีมจากอิสราเอล ซึ่งได้รับการรับรองในระดับ “Heavy” เดินทางถึงประเทศไทยในวันที่ 29 มีนาคม 2568 ภายใน 48 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ ถือเป็นการเคลื่อนย้ายที่รวดเร็วตามมาตรฐานสากล และเริ่มปฏิบัติภารกิจทันที โดยมีเป้าหมายหลักในการค้นหาผู้รอดชีวิตและกู้ร่างผู้เสียชีวิตจากซากอาคาร ภารกิจนี้ใช้ระยะเวลา 7 วันตามกรอบการปฏิบัติงานระยะแรก (Search and Rescue) ก่อนที่ทีมจะถอนกำลังเพื่อไปปฏิบัติภารกิจอื่น ๆ ทั่วโลก

นายชัชชาติ กล่าวในพิธีส่งทีมว่า “ทีมจากอิสราเอลเข้ามาด้วยความเชี่ยวชาญสูง ช่วยเหลือเราในช่วงเวลาวิกฤต และก่อนถอนกำลัง เขาได้มอบข้อมูลสำคัญทั้งหมดให้ทีมไทยแล้ว ผมขอขอบคุณในความทุ่มเทของพวกเขา และหวังว่าเราจะนำประสบการณ์นี้ไปพัฒนาทีมกู้ภัยของเราให้ดีขึ้น”

USAR คืออะไร ความหมายและที่มา

Urban Search and Rescue (USAR) หรือการค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง เป็นกระบวนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ติดอยู่ในอาคารถล่ม ซึ่งมักเกิดจากภัยพิบัติ เช่น แผ่นดินไหว พายุไซโคลน การระเบิด หรือเหตุการณ์ที่มนุษย์ก่อขึ้น เช่น การก่อการร้าย USAR อยู่ภายใต้การกำกับของ International Search and Rescue Advisory Group (INSARAG) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (OCHA)

INSARAG ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) หลังจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเม็กซิโกซิตี้ (2528) และอาร์เมเนีย (2531) ซึ่งเผยให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนามาตรฐานและการประสานงานสำหรับทีมกู้ภัยนานาชาติ แนวคิดนี้เริ่มต้นจากทีม USAR ระหว่างประเทศที่เข้าไปช่วยเหลือในเหตุการณ์ดังกล่าว และนำไปสู่การจัดตั้ง INSARAG เพื่อกำหนดกรอบการปฏิบัติงานที่เป็นสากล ภารกิจหลักของ USAR คือการช่วยชีวิตผู้ประสบภัยในระยะแรกหลังเกิดเหตุ (Search and Rescue) และสนับสนุนการฟื้นฟูในระยะต่อมา (Recovery) โดยทีม USAR มีบทบาทสำคัญในการลดความสูญเสียจากภัยพิบัติทั่วโลก

การดำเนินงานของ INSARAG ได้รับการรับรองจากมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ 57/150 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2545 เรื่อง “การเสริมสร้างประสิทธิผลและการประสานงานของความช่วยเหลือในการค้นหาและกู้ภัยในเมืองระหว่างประเทศ” ซึ่งเรียกร้องให้ทุกประเทศอำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง อุปกรณ์ และความปลอดภัยสำหรับทีม USAR เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

การแบ่งระดับของทีม USAR

ทีม USAR แบ่งออกเป็น 3 ระดับตามศักยภาพและขีดความสามารถในการปฏิบัติงาน ดังนี้:

  1. Light Team (ทีมขนาดเบา)
    • เป็นทีมปฏิบัติการระดับชุมชน
    • เหมาะกับเหตุการณ์ที่มีความเสียหายไม่รุนแรง เช่น อาคารถล่มขนาดเล็กหรือโครงสร้างที่ไม่ซับซ้อน
    • เน้นการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บเล็กน้อยหรือผู้ที่ถูกซากทับไม่หนักมาก
    • มีข้อจำกัดในด้านบุคลากรและอุปกรณ์ ไม่สามารถรับมือกับเหตุการณ์ใหญ่ได้
  2. Medium Team (ทีมขนาดกลาง)
    • มีความสามารถในการยกและเคลื่อนย้ายวัตถุหนักทุกรูปแบบ
    • ปฏิบัติงานในพื้นที่ประสบภัย 1 แห่งได้ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง นานกว่า 7 วัน
    • เหมาะกับเหตุการณ์ที่มีความเสียหายปานกลาง เช่น อาคารขนาดกลางถล่ม
    • มีบุคลากรและอุปกรณ์มากกว่า Light Team แต่ยังจำกัดในแง่การทำงานหลายจุดพร้อมกัน
  3. Heavy Team (ทีมขนาดหนัก)
    • มีความสามารถในการปฏิบัติงานในหลายพื้นที่พร้อมกัน ตลอด 24 ชั่วโมง นานกว่า 10 วัน
    • สามารถเคลื่อนย้ายเข้าพื้นที่ภัยพิบัติทั่วโลกได้ภายใน 78 ชั่วโมง
    • เหมาะกับภัยพิบัติขนาดใหญ่ เช่น แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงหรือตึกสูงถล่ม
    • มีความพร้อมทั้งบุคลากร อุปกรณ์ และการประสานงานข้ามชาติ

ทีมจากอิสราเอลที่เข้ามาช่วยเหลือในเหตุตึก สตง. ถล่ม เป็นทีมระดับ Heavy ซึ่งมีเพียงไม่กี่ประเทศในโลก เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น และอิสราเอล ที่ได้รับการรับรองในระดับนี้ การรับรองนี้มาจากกระบวนการ INSARAG External Classification (IEC) ซึ่งเป็นการประเมินสมัครใจที่เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 เพื่อรับรองประสิทธิภาพและมาตรฐานการปฏิบัติงาน

โครงสร้างและองค์ประกอบของทีม USAR

ทีม USAR ระดับ Medium และ Heavy ประกอบด้วย 5 หน่วยงานหลักที่ทำงานประสานกันอย่างเป็นระบบ:

  1. Management (การจัดการ)
    • รับผิดชอบการสั่งการและประสานงานทั้งในและนอกพื้นที่
    • วางแผนและติดตามความคืบหน้าของภารกิจ
    • มีผู้ประสานงานด้านสื่อและรายงาน เพื่อให้ข้อมูลแก่หน่วยงานท้องถิ่นและสาธารณชน
    • ประเมินสถานการณ์และวิเคราะห์ความเสี่ยง รวมถึงดูแลความปลอดภัยของทีม
  2. Search (การค้นหา)
    • ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น อุปกรณ์ตรวจจับสัญญาณชีพ กล้องถ่ายภาพความร้อน และเครื่องมือฟังเสียง
    • มีการใช้สุนัขค้นหาที่ผ่านการฝึกมาเป็นพิเศษ เพื่อตรวจจับผู้รอดชีวิต
    • ประเมินวัตถุอันตรายในพื้นที่ เช่น สารเคมีหรือโครงสร้างที่อาจถล่มซ้ำ
  3. Rescue (การกู้ภัย)
    • ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่มีทักษะหลากหลาย เช่น การตัดคอนกรีต การทำลายโครงสร้าง การค้ำยัน และการใช้เชือกกู้ภัย
    • ดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากซากปรักหักพังอย่างปลอดภัย
    • ต้องทำงานร่วมกับวิศวกรเพื่อป้องกันอันตรายจากโครงสร้างที่ไม่มั่นคง
  4. Medical (การแพทย์)
    • ให้การรักษาฉุกเฉินแก่ผู้ประสบภัยที่พบในซากอาคาร
    • ดูแลสุขภาพของสมาชิกทีมกู้ภัยและสุนัขค้นหา
    • ทำงานภายใต้การอนุญาตจากหน่วยงานสาธารณสุขของประเทศนั้น ๆ
  5. Logistics (การส่งกำลังบำรุง)
    • จัดการฐานปฏิบัติการ (Base of Operations – BoO) เพื่อเป็นศูนย์กลางการทำงาน
    • ดูแลการขนส่งอุปกรณ์ การสื่อสาร และการบริหารจัดการทรัพยากร
    • ประสานงานข้ามพรมแดน เช่น การผ่านด่านศุลกากรหรือการขออนุญาตใช้น่านฟ้า

ในกรณีของทีม Heavy เช่น ทีมจากอิสราเอล ยังมีวิศวกรโครงสร้างและทีมกฎหมายร่วมด้วย เพื่อวิเคราะห์ความมั่นคงของอาคารและประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นในด้านข้อกฎหมายและการบริหารจัดการ

ขั้นตอนการปฏิบัติงานของ USAR

ตามแนวทางของ INSARAG การปฏิบัติงานของทีม USAR แบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอนที่ชัดเจน:

  1. Preparedness (การเตรียมความพร้อม)
    • เป็นช่วงก่อนเกิดภัยพิบัติ โดยทีมจะทบทวนบทเรียนจากภารกิจที่ผ่านมา
    • พัฒนาขั้นตอนการปฏิบัติ ฝึกอบรมบุคลากร และวางแผนรับมือภัยพิบัติในอนาคต
    • รวมถึงการเตรียมอุปกรณ์และทรัพยากรให้พร้อมตลอดเวลา
  2. Mobilisation (การเตรียมตัวออกปฏิบัติงาน)
    • เริ่มทันทีหลังเกิดภัยพิบัติ โดยทีมจะเตรียมบุคลากรและอุปกรณ์เพื่อเคลื่อนย้ายสู่พื้นที่
    • ทีม Heavy ต้องถึงจุดเกิดเหตุภายใน 78 ชั่วโมง ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล
  3. Operations (การปฏิบัติงาน)
    • ปฏิบัติในพื้นที่จริง ตั้งแต่การรายงานตัวต่อหน่วยงานท้องถิ่น การค้นหา และการช่วยเหลือ
    • ทีมจะทำงานตามคำสั่งของผู้อำนวยการท้องถิ่น และหยุดเมื่อภารกิจระยะแรกเสร็จสิ้น
  4. Demobilisation (การถอนกำลัง)
    • ถอนกำลังออกจากพื้นที่เมื่อภารกิจเสร็จสิ้นหรือได้รับคำสั่งให้ยุติ
    • ในกรณีตึก สตง. ถล่ม ทีมอิสราเอลถอนกำลังหลังครบ 7 วันตามกรอบระยะแรก
  5. Post-Mission (การรายงานผล)
    • จัดทำรายงานผลการปฏิบัติงาน และจัดประชุมถอดบทเรียน
    • นำข้อมูลไปพัฒนาการปฏิบัติในอนาคต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

ขั้นตอนเหล่านี้ช่วยให้การปฏิบัติงานเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ โดยทีม Heavy อย่างอิสราเอลสามารถดำเนินการได้ครบทุกขั้นตอนอย่างมืออาชีพ

ระบบเครื่องหมาย INSARAG

หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ทีม USAR ใช้คือระบบเครื่องหมาย INSARAG (INSARAG Marking System) ซึ่งเป็นวิธีการสื่อสารข้อมูลระหว่างทีมกู้ภัย โดยไม่ต้องพูดคุยกันโดยตรง ระบบนี้ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก:

  1. Worksite Marking (การทำเครื่องหมายพื้นที่ปฏิบัติงาน)
    • ใช้ระบุขอบเขตและสถานะของพื้นที่ เช่น ยังค้นหาอยู่ เสร็จสิ้นแล้ว หรือมีอันตราย
    • ช่วยให้ทีมอื่น ๆ เข้าใจสถานการณ์และวางแผนการทำงานต่อ
  2. Victim Marking (การทำเครื่องหมายผู้ประสบภัย)
    • ระบุตำแหน่งและสภาพของผู้ประสบภัย เช่น รอดชีวิต รอการช่วยเหลือ หรือเสียชีวิต
    • ใช้สัญลักษณ์ที่เข้าใจง่าย เช่น วงกลมหรือกากบาท เพื่อบ่งบอกสถานะ
  3. Rapid Clearance Marking และ Cordon Markings
    • Rapid Clearance Marking ใช้สำหรับแจ้งว่าได้เคลียร์พื้นที่แล้ว
    • Cordon Markings เป็นการกั้นเขตอันตราย เพื่อป้องกันบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไป

ระบบเครื่องหมายนี้ถูกนำมาใช้ในเหตุตึก สตง. ถล่ม โดยทีมอิสราเอลใช้สัญลักษณ์ตามมาตรฐาน INSARAG 2015 เพื่อส่งต่อข้อมูลให้ทีมไทย ทำให้การทำงานต่อเนื่องไม่มีสะดุด

บทบาทของ USAR ในเหตุตึก สตง. ถล่ม

ทีมจากอิสราเอลเข้ามาด้วยความเชี่ยวชาญในการกู้ภัยใต้ซากตึกถล่ม ซึ่งนายชัชชาติระบุว่า “เหตุนี้ซับซ้อนมาก เขาบอกว่าไม่เคยเจอตึกสูง 30 ชั้นถล่มแบบนี้มาก่อน” เมื่อมาถึงวันแรก ทีมสามารถระบุจุดพิกัดสัญญาณชีพได้ทันที ด้วยการวิเคราะห์พฤติกรรมและโครงสร้างอาคาร รวมถึงแนะนำการใช้เครื่องจักรหนักอย่างระมัดระวัง โดยต้องมีวิศวกรควบคุมเพื่อป้องกันการถล่มซ้ำ

ตลอด 7 วัน ทีมอิสราเอลทำงานร่วมกับทีมไทยอย่างใกล้ชิด โดยมีการประชุมทุกคืนเพื่อประเมินสถานการณ์และวางแผนการทำงานในวันถัดไป ก่อนถอนกำลัง ทีมได้ถ่ายทอดข้อมูลสำคัญ เช่น จุดที่ยังต้องสำรวจ และเทคนิคการปฏิบัติงานให้ทีมไทย เพื่อให้การดำเนินการต่อไปเป็นไปอย่างราบรื่น

นายชัชชาติกล่าวว่า “ทุกคืนเราคุยกัน เขาบอกทุกวันว่าจะทำอะไร บริเวณไหน ยังไง การถอนกำลังครั้งนี้ไม่กระทบแน่นอน เพราะเรามีข้อมูลครบแล้ว”

การถอนกำลังและแผนงานต่อไป

การถอนกำลังของทีมอิสราเอลเกิดขึ้นหลังครบ 7 วัน ซึ่งเป็นกรอบเวลามาตรฐานสำหรับภารกิจระยะแรกของทีม Heavy ตามหลัก INSARAG ที่มุ่งเน้นการช่วยชีวิตในช่วงวิกฤต หลังจากนี้ ทีมไทยจะเข้าสู่ระยะฟื้นฟู (Recovery) โดยใช้เครื่องจักรหนัก เช่น รถเครนและเครื่องตัดคอนกรีต ร่วมกับบุคลากร เพื่อเคลียร์ซากอาคารและกู้ร่างผู้เสียชีวิตที่ยังติดค้างอยู่

นายชัชชาติยืนยันว่า “หลังจากนี้เราจะลุยเต็มที่ ใช้เครื่องจักรหนักสลับกับคน เพื่อเร่งเคลียร์พื้นที่ให้เร็วที่สุด โดยมีวิศวกรดูแลความปลอดภัยตลอด”

แผนพัฒนาทีมกู้ภัยไทย

นายชัชชาติแสดงความหวังว่า เหตุการณ์นี้จะเป็นจุดเริ่มต้นในการยกระดับทีมกู้ภัยไทยสู่ระดับ Heavy โดยทีมอิสราเอลให้คำแนะนำว่า ไทยมีพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว แต่ต้องพัฒนาด้านการฝึกอบรม การใช้เครื่องมือหนัก และการประสานงานกับวิศวกรโครงสร้างให้เข้มข้นขึ้น

ปัจจุบัน ประเทศไทยมีทีม USAR ที่ได้รับการรับรองในระดับ Medium เช่น ทีมจากมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งและหน่วยงานทหาร แต่ยังไม่มีทีมในระดับ Heavy การก้าวสู่ระดับสูงสุดต้องมีการลงทุนในอุปกรณ์ เช่น เครื่องตรวจจับสัญญาณชีพและเครื่องตัดไฮดรอลิก รวมถึงการฝึกบุคลากรตามมาตรฐาน INSARAG

“ทีมนานาชาติชื่นชมว่าเรามาถูกทาง ถ้าเราพัฒนาต่อไปได้ วันหนึ่งทีมไทยก็จะไปช่วยประเทศอื่นได้เหมือนกัน” นายชัชชาติกล่าว

USAR กับการรับมือภัยพิบัติในอนาคต

การเข้ามาของทีม USAR ในเหตุตึก สตง. ถล่ม แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมีทีมกู้ภัยที่ได้มาตรฐานสากลในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงจากภัยพิบัติทั้งแผ่นดินไหว น้ำท่วม และพายุ การพัฒนาทีม Heavy จะช่วยลดการพึ่งพาทีมนานาชาติ และเพิ่มขีดความสามารถในการช่วยเหลือทั้งในประเทศและต่างประเทศ

นอกจากนี้ การถ่ายทอดความรู้จากทีมอิสราเอล เช่น การใช้ระบบเครื่องหมาย INSARAG และเทคนิคการกู้ภัย จะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างทีม USAR ที่แข็งแกร่งของไทยในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. ทีม USAR ทั่วโลก: INSARAG รายงานว่า ปัจจุบันมีทีม USAR ที่ได้รับการรับรอง 58 ทีมทั่วโลก โดย 16 ทีมอยู่ในระดับ Heavy (ที่มา: INSARAG Annual Report, 2023)
  2. เหตุอาคารถล่มในไทย: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ระบุว่า ในรอบ 10 ปี (2558-2567) ไทยมีเหตุอาคารถล่มจากภัยธรรมชาติและมนุษย์สร้าง 42 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 178 ราย (ที่มา: รายงานภัยพิบัติประจำปี, ปภ., 2567)
  3. แผ่นดินไหวที่กระทบไทย: กรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า ในรอบ 5 ปี (2563-2567) ไทยได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวในประเทศเพื่อนบ้าน 8 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดเมื่อ 28 มีนาคม 2568 รุนแรงที่สุด (ที่มา: รายงานธรณีพิบัติภัย, 2567)
  4. การฝึกอบรมกู้ภัยในไทย: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระบุว่า ในปี 2567 มีเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่ผ่านการฝึกอบรมตามมาตรฐานสากล 2,500 คน แต่ยังไม่ครอบคลุมระดับ Heavy (ที่มา: รายงานการพัฒนาบุคลากร, ปภ., 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรุงเทพมหานคร
  • INSARAG
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

มติที่ประชุมปิดล่องแพ 30 เมษาฯ แม่สรวยน้ำน้อย แต่นั่งซุ้มต่อได้

ประกาศปิดล่องแพแม่สรวย 30 เม.ย. 68 – เพื่อสำรองน้ำเกษตร ชี้จำเป็นตามมติคณะกรรมการฯ ร่วมมือบริหารจัดการน้ำแบบมีส่วนร่วม

เชียงราย, 3 เมษายน 2568 — ตามที่โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่ลาว จังหวัดเชียงราย ได้ประกาศ ยุติการล่องแพเปียกในอ่างเก็บน้ำแม่สรวยภายในวันที่ 30 เมษายน 2568 เนื่องจากระดับน้ำในเขื่อนลดลงอย่างต่อเนื่อง และจำเป็นต้องเก็บกักน้ำไว้เพื่อการเกษตรในฤดูแล้ง ภายใต้นโยบายการบริหารจัดการน้ำของกรมชลประทาน โดยเน้นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคประชาชน และองค์กรผู้ใช้น้ำ

การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นตามมติที่ประชุมเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2568 ภายใต้กรอบ ข้อตกลงความร่วมมือบริหารจัดการชลประทานแบบมีส่วนร่วม (MOU for JMC) ซึ่งจัดขึ้น ณ ห้องประชุมโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่ลาว ตำบลดงมะดะ อำเภอแม่ลาว โดยมีหน่วยงานภาครัฐ ผู้ประกอบกิจการแพเปียก และตัวแทนเกษตรกรผู้ใช้น้ำเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

จำเป็นต้องสำรองน้ำ – ล่องแพได้ถึง 30 เม.ย. ก่อนลดปริมาณการปล่อยน้ำเหลือเพียง 1Q

นายวรวิทย์ สุวรรณจักร หัวหน้าฝ่ายจัดสรรน้ำและปรับปรุงระบบชลประทาน เปิดเผยว่า ปัจจุบันได้มีการปล่อยน้ำจากอ่างเก็บน้ำแม่สรวยอยู่ที่ 5–6 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (Q) เพื่อให้สามารถล่องแพได้อย่างปลอดภัยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยจะสิ้นสุดกิจกรรมล่องแพในวันที่ 30 เมษายน 2568 หลังจากนั้นจะลดการปล่อยน้ำเหลือเพียง 1Q เพื่อสำรองน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง

ถึงแม้จะมีคำถามจากผู้ประกอบการท่องเที่ยวในพื้นที่ว่า หากมีฝนตกหรือพายุฤดูร้อนในเดือนเมษายนจะสามารถขยายเวลาได้หรือไม่ ทางชลประทานยังไม่ได้รับรายงานพยากรณ์อากาศที่ชัดเจนจากกรมอุตุนิยมวิทยา จึงยังคงยึดตามมติที่ประชุมไว้ก่อน

ยังเปิดให้นั่งซุ้มริมเขื่อน ชิมอาหารท้องถิ่นได้ถึง 15 พ.ค.

แม้ว่าจะไม่สามารถล่องแพได้หลังวันที่ 30 เมษายน แต่ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อนุญาตให้ผู้ประกอบการในพื้นที่ยังคงเปิดบริการ “ซุ้มริมน้ำ” สำหรับรับประทานอาหารและพักผ่อนริมอ่างเก็บน้ำต่อได้ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวชมในช่วงปลายฤดูร้อน

ข้อตกลง MOU for JMC – โมเดลบริหารน้ำโดยชุมชนมีส่วนร่วม

การดำเนินการครั้งนี้สอดคล้องกับนโยบายของกรมชลประทาน ที่ส่งเสริมรูปแบบการบริหารจัดการน้ำ Participatory Irrigation Management (PIM) โดยให้เกษตรกร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานปกครอง และผู้ใช้น้ำ มีส่วนร่วมในการกำหนดแผนบริหารและจัดสรรน้ำผ่าน คณะกรรมการจัดการชลประทาน (JMC)

พื้นที่ในลุ่มน้ำแม่ลาวตอนที่ 2 ประกอบด้วย

  • อ่างเก็บน้ำแม่สรวย
  • ฝายเจ้าวรการบัญชา
  • ฝายถ้ำวอก
  • ฝายสมบัติ

โดยแต่ละแห่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญสำหรับเกษตรกรในอำเภอแม่สรวยและพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งต้องอาศัยการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพในช่วงฤดูแล้งของปี 2567/68 นี้

เสียงสะท้อนจากภาคเกษตรและการท่องเที่ยว

ฝ่ายเกษตรกรผู้ใช้น้ำ ระบุว่า เห็นด้วยกับมาตรการเก็บกักน้ำ เนื่องจากพื้นที่การเกษตรหลายแห่งในลุ่มน้ำแม่ลาว กำลังเข้าสู่ฤดูแล้ง และปริมาณน้ำในเขื่อนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของปีที่ผ่านมา หากไม่มีการบริหารน้ำอย่างเป็นระบบ จะส่งผลกระทบต่อพืชผลทางเศรษฐกิจ เช่น ข้าวโพด ข้าวนา และพืชผักสวนครัว ซึ่งเป็นรายได้หลักของชุมชน

ในขณะที่ผู้ประกอบการล่องแพและร้านอาหารริมเขื่อน ได้แสดงความกังวลว่า การปิดให้บริการล่องแพก่อนฤดูท่องเที่ยวจะสิ้นสุด ส่งผลกระทบต่อรายได้และแรงงานในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ถือเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวสำคัญของแม่สรวย

ข้อมูลสถานการณ์น้ำล่าสุดในภาคเหนือ

จากรายงานของ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และกรมชลประทาน ประจำวันที่ 3 เมษายน 2568 พบว่า

  • อ่างเก็บน้ำแม่สรวยมี ปริมาณน้ำในอ่าง : 47.704 (65.350%) ของความจุ  73.000 ล้าน ลบ.ม.
  • คาดการณ์ว่าในช่วงเดือนเมษายนจะไม่มีฝนตกชุก
  • ปริมาณน้ำในลุ่มน้ำแม่ลาวรวมลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วกว่า 15%
  • ความต้องการใช้น้ำเพื่อการเกษตรเพิ่มขึ้นกว่า 10% เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น
  • พื้นที่การเกษตรในอำเภอแม่สรวยและแม่ลาวกว่า 6,200 ไร่ ต้องพึ่งพาน้ำจากอ่างเก็บน้ำแม่สรวยเป็นหลัก

(ที่มา: สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, กรมชลประทาน, รายงานสถานการณ์น้ำประเทศไทย ประจำเดือนเมษายน 2568)

แนวทางและข้อเสนอแนะต่อการจัดการน้ำแบบสมดุล

ฝ่ายสนับสนุนมาตรการปิดล่องแพ เห็นว่าเป็นการดำเนินการที่จำเป็นและสมเหตุสมผล ภายใต้ข้อจำกัดของทรัพยากรน้ำที่มีอยู่ อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของแนวทาง PIM ซึ่งเป็นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการบริหารทรัพยากรสาธารณะอย่างยั่งยืน

อีกมุมหนึ่ง ของผู้ประกอบการท่องเที่ยวเสนอว่า รัฐควรมีมาตรการเยียวยา หรือจัดกิจกรรมท่องเที่ยวทางเลือกในพื้นที่แทน เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไป พร้อมทั้งเสนอให้ปรับเปลี่ยนกำหนดการเปิด–ปิดล่องแพตามสถานการณ์น้ำจริงรายสัปดาห์ โดยใช้เทคโนโลยีพยากรณ์น้ำมาเป็นตัวกำหนด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายทำบุญ ถวายพระราชกุศล วันคล้ายวันพระราชสมภพ

เชียงรายจัดพิธีถวายพระราชกุศล และกิจกรรมวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน 2568

เชียงราย – วันที่ 2 เมษายน 2568 จังหวัดเชียงรายจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์และทำบุญตักบาตร พร้อมทั้งกิจกรรมวันรักการอ่าน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลและเฉลิมพระเกียรติแด่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน

พิธีทางศาสนาเพื่อถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ

เมื่อเวลา 07.30 น. ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ GMS อำเภอเมืองเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้นำคณะผู้บริหาร หน่วยงานราชการ ทหาร ตำรวจ ตุลาการ ข้าราชการพลเรือน และประชาชนทุกหมู่เหล่าในจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์และทำบุญตักบาตร เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลอย่างพร้อมเพรียง

พระราชวชิรคณี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมพระสงฆ์ 10 รูป เจริญพระพุทธมนต์ และรับบิณฑบาตจากประชาชน โดยมีพระภิกษุและสามเณรเข้าร่วมรับบิณฑบาตรวม 70 รูป บรรยากาศภายในงานเป็นไปด้วยความสงบงาม สมพระเกียรติ

พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจอันทรงคุณค่า

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 2 เมษายน พุทธศักราช 2498 เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงได้รับการสถาปนาเป็น “สยามบรมราชกุมารี” และทรงดำรงตำแหน่งสำคัญในหลายองค์กร อาทิ

  • นายกสภาสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา
  • นายกสภาสถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย
  • ประธานมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย
  • นายกกิตติมศักดิ์มูลนิธิชัยพัฒนา
  • องค์อุปถัมภ์มูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน

พระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถด้านอักษรศาสตร์และดนตรีไทย ทรงอุทิศพระวรกายอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยอย่างไม่หยุดยั้ง จนได้รับการถวายพระสมัญญา เอกอัครราชูปถัมภกมรดกวัฒนธรรมไทย” และ วิศิษฏศิลปิน”

กิจกรรม “วันรักการอ่าน” สืบสานพระราชปณิธาน ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต

ในเวลาเดียวกัน ที่บริเวณลานธรรม ลานศิลป์ ถิ่นพญามังราย ศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังเก่า นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดกิจกรรม “2 เมษายน วันรักการอ่าน” ประจำปี 2568 ซึ่งจัดโดย สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหน่วยงานการศึกษาในพื้นที่

กิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า ผู้ทรงให้ความสำคัญต่อการศึกษาและการอ่านในทุกระดับ โดยเน้นส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านในประชาชนทุกช่วงวัย

ภายในงานมีการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ กิจกรรมการเรียนรู้ การแข่งขัน และการแสดงจากกลุ่มเยาวชน เช่น

  • การประกวดร้องเพลง
  • การแข่งขันส้มตำลีลา
  • การออกร้านผลิตภัณฑ์ชุมชน
  • การสาธิตวิชาชีพและอาชีพพื้นฐาน
  • นิทรรศการกลุ่มศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ 4 กลุ่มระดับอำเภอ

กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2 – 4 เมษายน 2568 และได้รับความสนใจจากประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

เสียงสะท้อนจากประชาชนและภาคการศึกษา

ประชาชนในจังหวัดเชียงรายต่างแสดงความปลื้มปีติในการร่วมพิธีทำบุญและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติครั้งนี้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุและเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรมวันรักการอ่าน หลายคนกล่าวว่า กิจกรรมเช่นนี้ช่วยสร้างแรงบันดาลใจและปลูกฝังความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงอุทิศพระองค์แก่การศึกษาและพัฒนาสังคม

ในอีกมุมหนึ่ง นักวิชาการด้านการศึกษาและผู้บริหารโรงเรียนในพื้นที่เสนอว่า รัฐควรต่อยอดกิจกรรมดังกล่าวให้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายถาวร เช่น การรณรงค์ส่งเสริมการอ่านอย่างสม่ำเสมอในโรงเรียน และจัดให้มีแหล่งเรียนรู้ในชุมชนอย่างทั่วถึง เพื่อให้ผลของกิจกรรมไม่เพียงอยู่แค่ในวันสำคัญเท่านั้น

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

จากรายงาน “ดัชนีการอ่านของคนไทย” โดยสำนักงานอุทยานการเรียนรู้ (TK Park) ปี 2566 พบว่า

  • คนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ย 18 เล่มต่อปี เพิ่มขึ้นจาก 16 เล่มในปี 2565
  • เด็กและเยาวชนช่วงอายุ 10 – 14 ปี อ่านมากที่สุด เฉลี่ย 22.1 เล่ม/ปี
  • ปัจจัยที่ส่งผลให้การอ่านลดลงคือ การใช้สื่อออนไลน์ในปริมาณสูงและขาดแหล่งหนังสือใกล้บ้าน
  • จังหวัดที่มีโครงการส่งเสริมการอ่านต่อเนื่อง เช่น เชียงราย อุบลราชธานี เชียงใหม่ พบว่าระดับความสามารถด้านการอ่านของเด็กดีขึ้นร้อยละ 17 ภายใน 3 ปี

บทสรุปทัศนคติแบบเป็นกลาง

การจัดพิธีและกิจกรรมในวันที่ 2 เมษายน 2568 ที่จังหวัดเชียงราย แสดงถึงความพร้อมและความตั้งใจของภาครัฐและประชาชนในการร่วมกันเทิดพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า ในรูปแบบที่ครบถ้วนทั้งด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรม และการศึกษา

ในมุมมองของประชาชนส่วนใหญ่ ถือว่าเป็นโอกาสอันสำคัญที่ช่วยกระชับความสัมพันธ์ในชุมชนและปลูกฝังความรักในสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมถึงการเรียนรู้และการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย

ในขณะเดียวกัน นักวิชาการบางส่วนเสนอแนะให้มีการออกแบบกิจกรรมที่ยั่งยืนมากขึ้น เช่น การประเมินผลลัพธ์เชิงพฤติกรรมของผู้เข้าร่วมกิจกรรม การสนับสนุนงบประมาณต่อเนื่อง และการส่งเสริมการอ่านให้เป็นวาระแห่งชาติอย่างแท้จริง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างทางการศึกษา

ดังนั้น การผสานความเคารพในพระมหากรุณาธิคุณควบคู่กับการดำเนินกิจกรรมเพื่อประโยชน์เชิงรูปธรรมต่อประชาชน จึงเป็นแนวทางที่ควรดำเนินต่อไปอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ TK Park, รายงานประจำปี 2566
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

สงกรานต์เชียงราย 2025 มรดกโลก จัดเต็มทั้งเดือน

เชียงรายจัดใหญ่ “สงกรานต์ ปี๋ใหม่เมือง 2568” ดึงนักท่องเที่ยวทั่วโลก หลังยูเนสโกขึ้นทะเบียนมรดกโลก

ททท. เดินหน้ายกระดับ “สงกรานต์” สู่ Soft Power สากล

เชียงราย,วันที่ 1 เมษายน 2568-การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เดินหน้าสนองนโยบายรัฐบาล ในการยกระดับประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปี ภายใต้แคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” โดยในช่วงเดือนเมษายน 2568 ซึ่งตรงกับเทศกาลสงกรานต์ หรือ “ปี๋ใหม่เมือง” ของภาคเหนือ ททท. ได้ผนึกกำลังกับภาครัฐและเอกชน จัดกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงราย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นและเผยแพร่มรดกทางวัฒนธรรมสู่สายตานานาชาติ

ยูเนสโกยกย่อง ‘สงกรานต์ไทย’ มรดกโลกวัฒนธรรม

การจัดงานในปีนี้มีความพิเศษยิ่งขึ้น หลังจากที่องค์การยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียน “สงกรานต์ในประเทศไทย” เป็น มรดกโลกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ เมื่อเดือนธันวาคม 2566 ซึ่งนับเป็นแรงผลักดันให้รัฐบาลและ ททท. เร่งพัฒนาเทศกาลนี้สู่ระดับสากล โดยใช้ Soft Power ด้านวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการดึงดูดนักท่องเที่ยว

กิจกรรมหลากหลายทั่วจังหวัด สะท้อนอัตลักษณ์ล้านนา

นายวิสูตร บัวชุม ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานเชียงราย เปิดเผยว่า จังหวัดเชียงรายได้จัดกิจกรรมมากมายตลอดเดือนเมษายน – พฤษภาคม เพื่อเฉลิมฉลองประเพณีสงกรานต์และขยายผลสู่เทศกาลวัฒนธรรมอื่นๆ ได้แก่:

  • สงกรานต์ตานตุง กลางเวียงเชียงราย (1–30 เม.ย. 2568) ณ วัดกลางเวียง อ.เมือง
    • สรงน้ำพระเจ้าฝนแสนห่า
    • สรงน้ำเสาสะดือเมือง
    • ปักตุงทราย 12 นักษัตร
    • ทำบุญไหว้พระ สักการะเสาหลักเมือง
  • ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง (12–16 เม.ย.) ณ ถนนคนม่วน เทศบาลนครเชียงราย
  • สงกรานต์ถนนสันโค้งคนเล่นน้ำ ณ ถนนสันโค้งน้อย
  • Chiangrai Songkran Festival 2025 (13–15 และ 19 เม.ย.) ณ ลานกาสะลอง เซ็นทรัลพลาซ่า เชียงราย
  • มหาสงกรานต์อำเภอเชียงของ (13 เม.ย.) ณ ลานข่วงวัฒนธรรมเมืองเชียงของ
  • สงกรานต์เมืองเชียงแสน (12, 16–18 เม.ย.) ณ หน้าที่ว่าการอำเภอเชียงแสน
  • ปี๋ใหม่เมืองตำบลโฮงจ้าง (19–20 เม.ย.) ณ บ้านโป่งศรีนคร อ.ป่าแดด
  • PANGKHON-ROMYEN TO DOICHANG TRAIL (3–4 พ.ค.) ณ บ้านปางขอน
  • เดือน 8 เช้า เดือน 9 ออก (23–29 พ.ค.) ณ วัดกลางเวียง

ความพร้อมรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

ททท. ระบุว่า การจัดกิจกรรมเช่นนี้ นอกจากจะเป็นการสืบสานประเพณีไทย ยังเป็นการแสดงศักยภาพของจังหวัดเชียงราย ในการรองรับนักท่องเที่ยวจากนานาประเทศ โดยมีการประเมินว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติหลั่งไหลเข้าร่วมกิจกรรมสงกรานต์ในเชียงรายไม่น้อยกว่า 60,000 คน ตลอดเดือนเมษายน – พฤษภาคม ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และการค้าท้องถิ่นอย่างมีนัยสำคัญ

เสียงสะท้อนจากภาคประชาชนและเอกชน

ประชาชนในพื้นที่และผู้ประกอบการส่วนใหญ่แสดงความยินดีและสนับสนุนการจัดกิจกรรมอย่างเต็มที่ เพราะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 โดยเฉพาะในหมู่บ้านท่องเที่ยวและชุมชนเมืองเก่าที่ได้ประโยชน์จากการเดินทางของนักท่องเที่ยวโดยตรง

อย่างไรก็ตาม ยังมีเสียงจากภาคประชาสังคมที่เสนอข้อห่วงใยเกี่ยวกับปริมาณขยะและมลภาวะทางเสียงจากการจัดกิจกรรม ซึ่งอาจกระทบต่อวิถีชีวิตของคนในชุมชน โดยเรียกร้องให้มีแนวทางควบคุมและบริหารจัดการอย่างเหมาะสม

การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนคือเป้าหมายหลัก

นายวิสูตร เน้นย้ำว่า ททท. ตระหนักถึงความสำคัญของ การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainable Tourism) โดยจะดำเนินกิจกรรมตามหลักความรับผิดชอบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนให้ร่วมกันอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น และใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า

การส่งเสริม ‘ปี๋ใหม่เมือง’ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติ

การจัดงานสงกรานต์ปี 2568 เป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ที่เน้นการใช้วัฒนธรรมเป็นฐานเศรษฐกิจผ่าน “Soft Power” โดยรัฐบาลไทยมีเป้าหมายให้รายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกระจายไปยังภูมิภาค โดยเฉพาะภาคเหนือที่มีต้นทุนทางวัฒนธรรมเข้มแข็ง

ข้อมูลสถิติการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย

จากรายงานของสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย ปี 2566 ระบุว่า:

  • เชียงรายมีนักท่องเที่ยวรวม 2.9 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ร้อยละ 28
  • รายได้รวมจากการท่องเที่ยวประมาณ 13,200 ล้านบาท
  • นักท่องเที่ยวต่างชาติคิดเป็นร้อยละ 17 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด
  • อัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมอยู่ที่ร้อยละ 52 ตลอดปี
  • งานเทศกาลสงกรานต์มีนักท่องเที่ยวเฉพาะเดือนเมษายนกว่า 58,000 คน

สรุปมุมมองเชิงนโยบายแบบเป็นกลาง

จากมุมมองของผู้สนับสนุน กิจกรรม “ปี๋ใหม่เมืองเชียงราย” เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับวัฒนธรรมไทยสู่ระดับนานาชาติ โดยสร้างรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น

ในขณะที่อีกมุมมองหนึ่งของนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและชุมชนเมืองเก่า เห็นว่าการจัดกิจกรรมในบางจุดอาจต้องพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตท้องถิ่นมากขึ้น เพื่อให้การส่งเสริมการท่องเที่ยวไม่กลายเป็นภาระของชุมชน

ดังนั้น ความสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการรักษาวัฒนธรรมท้องถิ่น จึงเป็นหัวใจของการจัดงานสงกรานต์ในยุคใหม่ ที่ต้องใส่ใจทั้งภาพลักษณ์และความยั่งยืนอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย, รายงานประจำปี 2566
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย
  • UNESCO, Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity (2023)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ปภ.รายงานผลกระทบแผ่นดินไหว เร่งช่วยเหลือทั่วประเทศ

ปภ. รายงานความคืบหน้าสถานการณ์แผ่นดินไหวและการให้ความช่วยเหลือประชาชน ย้ำทุกหน่วยงานร่วมเป็นกลไกการทำงานภายใต้ บกปภ.ช. เพื่อช่วยเหลือเยียวยาประชาชนในทุกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ

ประเทศไทย, 29 มีนาคม 2568 – กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานความคืบหน้าสถานการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 โดยมีศูนย์กลางที่ประเทศเมียนมา ขนาด 8.2 แมกนิจูด ลึก 10 กิโลเมตร ซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ประชาชนใน 57 จังหวัดสามารถรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนได้ และเกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาอีกหลายครั้ง

สรุปสถานการณ์และพื้นที่ได้รับผลกระทบ

นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า แผ่นดินไหวดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 9 ราย ผู้บาดเจ็บ 9 ราย และผู้สูญหาย 101 ราย โดยในปัจจุบันได้มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินในจังหวัดปทุมธานี แพร่ และกรุงเทพมหานคร ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง

ในส่วนของอาคารและสิ่งปลูกสร้างได้รับความเสียหายในหลายพื้นที่ เช่น

  • เชียงใหม่: อาคารคอนโดมิเนียม ศุภาลัย มอนเต้ 1 และ 2 และดวงตะวันคอนโดมิเนียมได้รับความเสียหายอย่างหนัก วัดสันทรายต้นกอกและวัดน้ำล้อมเกิดรอยร้าวในโครงสร้างเจดีย์และวิหาร
  • เชียงราย: หลังคาอาคารวัฒนธรรมวัดท่าข้ามศรีดอนชัยพังถล่ม และมีเหตุคานถล่มในจุดก่อสร้างทางรถไฟที่อำเภอป่าแดด
  • กรุงเทพมหานคร: อาคารที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในเขตจตุจักรถล่ม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายหลายราย
  • ลำพูน: ซุ้มประตูวัดพาณิชน์สิทธิการามและหอระฆังวัดดอนตองได้รับความเสียหาย รวมถึงบ้านเรือนประชาชนในหลายพื้นที่

การให้ความช่วยเหลือและมาตรการเร่งด่วน

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดมกำลังเข้าช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน โดยมีการจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เพื่ออำนวยการในการค้นหาและช่วยเหลือผู้สูญหาย รวมถึงให้การเยียวยาผู้ได้รับบาดเจ็บและผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านที่อยู่อาศัย

นอกจากนี้ ปภ. ได้ส่งทีมค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (USAR) พร้อมอุปกรณ์ค้นหาสัญญาณชีพเข้าพื้นที่กรุงเทพมหานคร และร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นในการจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวเพื่อรองรับผู้ที่ได้รับผลกระทบ

ความคิดเห็นจากฝ่ายต่าง ๆ

ฝ่ายรัฐบาลและภาคประชาชนได้แสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์ดังกล่าวอย่างหลากหลาย

  • ฝ่ายสนับสนุน: เห็นว่าการตอบสนองของหน่วยงานภาครัฐเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ มีการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทำให้การช่วยเหลือประชาชนเป็นไปอย่างทันท่วงที
  • ฝ่ายกังวล: มีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาคารเก่าและโครงสร้างพื้นฐานที่อาจไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนเกิดเหตุ จึงเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งตรวจสอบและซ่อมแซมอาคารที่ได้รับความเสียหายโดยเร็ว

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่า แผ่นดินไหวที่มีขนาด 8.2 แมกนิจูดครั้งนี้ ถือเป็นแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงสูงสุดในรอบ 100 ปีของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  • มีรายงานอาฟเตอร์ช็อกมากกว่า 56 ครั้งในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังแผ่นดินไหว
  • กรุงเทพมหานครได้รับแรงสั่นสะเทือนถึงระดับ 4 ตามมาตราริกเตอร์ ทำให้เกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรงในหลายอาคารสูง

ประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อสายด่วนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) โทร. 1784 หรือแจ้งผ่านไลน์ไอดี @1784DDPM ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • สำนักข่าวรอยเตอร์
  • สำนักข่าวบลูมเบิร์ก
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ผู้ว่าฯ เชียงรายให้กำลังใจ เยาวชน TO BE NUMBER ONE IDOL

ผู้ว่าฯ เชียงราย กล่าวอวยพรและมอบของที่ระลึกแก่ตัวแทนเยาวชน TO BE NUMBER ONE IDOL ระดับประเทศ

เชียงราย,26 มีนาคม 2568นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวอวยพรและมอบของที่ระลึกให้แก่ ตัวแทนเยาวชนจังหวัดเชียงราย ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมการแข่งขัน TO BE NUMBER ONE IDOL ระดับประเทศ รุ่นที่ 15 ประจำปี 2568ศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมีผู้บริหารและคณะครูจากโรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ พร้อมด้วยผู้แทนจากโครงการ TO BE NUMBER ONE จังหวัดเชียงรายเข้าร่วมในพิธี

เยาวชนต้นแบบเก่งและดี ตัวแทนจากเชียงราย

ในปีนี้ จังหวัดเชียงรายส่งตัวแทนเยาวชนที่มีความสามารถโดดเด่นเข้าร่วมแข่งขันในระดับประเทศ ได้แก่ นายกวิรัช เรือนคำจันทร์ (น้องต้าร์) และ นางสาวนาตาลี เชลโฟ (น้องนาตาลี) นักเรียนจากโรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้เป็น เยาวชนต้นแบบเก่งและดี TO BE NUMBER ONE IDOL ผ่านเข้าสู่รอบ 40 คนสุดท้าย ของการประกวดในระดับประเทศ

การเดินทางเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันและเก็บตัวจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 มีนาคม 2568 – 4 พฤษภาคม 2568 โดยเยาวชนทั้งสองคนจะได้เข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาศักยภาพในด้านต่าง ๆ และร่วมทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์เพื่อแสดงความสามารถในเวทีระดับประเทศ

คำกล่าวอวยพรจากผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวอวยพรแก่เยาวชนทั้งสองคนว่า

“ขอแสดงความยินดีและชื่นชมในความมุ่งมั่นตั้งใจของเยาวชนที่ได้ผ่านการคัดเลือกมาเป็นตัวแทนของจังหวัดเชียงราย การที่เยาวชนสามารถก้าวสู่เวทีระดับประเทศได้นั้น เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความพยายามอย่างแท้จริง ขอให้ทั้งสองคนใช้โอกาสนี้ในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งนำชื่อเสียงและความภาคภูมิใจกลับมาสู่จังหวัดเชียงราย”

การสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การส่งเสริมและสนับสนุนเยาวชนในโครงการ TO BE NUMBER ONE IDOL ครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากหลายภาคส่วน รวมถึง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ และ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 36 ที่ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อให้เยาวชนสามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ในเวทีระดับประเทศ

นางสุวาภรณ์ จิตต์พลีชีพ ผู้ช่วยเลขานุการโครงการ TO BE NUMBER ONE จังหวัดเชียงราย กล่าวว่า

“การที่เยาวชนของเราสามารถเข้าร่วมในเวทีระดับประเทศได้นั้น เป็นเครื่องยืนยันถึงความสามารถและศักยภาพของเยาวชนในจังหวัดเชียงราย เราภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและผลักดันให้พวกเขาประสบความสำเร็จ”

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

  • ฝ่ายสนับสนุน: หลายฝ่ายเห็นว่าการเข้าร่วมการแข่งขันในเวทีระดับประเทศเป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาเยาวชนให้มีทักษะและความมั่นใจในการแสดงออก อีกทั้งยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนในจังหวัดเชียงรายให้หันมาพัฒนาตนเองอย่างสร้างสรรค์
  • ฝ่ายกังวล: อย่างไรก็ตาม บางฝ่ายยังคงมีข้อกังวลเกี่ยวกับความกดดันที่เยาวชนอาจต้องเผชิญในการแข่งขันระดับประเทศ รวมถึงการรักษาสมดุลระหว่างการเรียนและการทำกิจกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องมีการดูแลและสนับสนุนอย่างใกล้ชิด

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • จำนวนนักเรียนที่เข้าร่วมการแข่งขัน TO BE NUMBER ONE IDOL ระดับประเทศในปี 2568: กว่า 1,000 คน (ที่มา: โครงการ TO BE NUMBER ONE)
  • จังหวัดเชียงรายเคยมีเยาวชนได้รับรางวัลในโครงการ TO BE NUMBER ONE IDOL ระดับประเทศในปี 2567: 2 คน (ที่มา: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย)
  • อัตราการมีส่วนร่วมของเยาวชนในโครงการ TO BE NUMBER ONE ในจังหวัดเชียงราย: 85% ของโรงเรียนมัธยมทั้งหมด (ที่มา: สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 36)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE