Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

แม่สายยังไม่พ้นวิกฤต ผู้ว่าฯ เร่งซ่อมพนัง มทบ.37 ช่วยปชช. เตือนพายุ 4-6 ส.ค.

แม่สายเริ่มคลี่คลาย ผู้ว่าฯ-ทัพภาค 3 เร่งซ่อมพนัง มทบ.37 ตั้งโรงครัวพระราชทาน! เตือนพายุลูกใหม่จ่อถล่ม 4-6 ส.ค.นี้

เชียงราย, 30 กรกฎาคม 2568 – แม่สายคลี่คลาย แต่ “อย่าประมาท” พายุรอถล่มซ้ำ สถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เริ่มคลี่คลายหลังฝนที่ตกต่อเนื่องหลายวันหยุดลง ระดับน้ำในแม่น้ำสายลดต่ำกว่าตลิ่ง ขณะที่ในบางจุดยังมีน้ำท่วมขัง โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งระบาย ล่าสุดนายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย เปิดเผยว่า จุดเสี่ยง เช่น โต๊ะสนุ๊ก บ้านเช่าริมแม่น้ำ ยังพบรูรั่ว-น้ำซึมเข้าชุมชน แต่ได้บูรณาการกับกรมการทหารช่าง เทศบาล และอำเภอเร่งอุดรอยรั่วและเสริมพนังชั่วคราวเต็มกำลัง

แม้ว่าสถานการณ์จะดีขึ้น แต่เสียงเตือนภัยยังคงดังก้อง นายอำเภอแม่สายขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารราชการใกล้ชิด เพราะช่วงวันที่ 4-6 สิงหาคมนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์จะมีฝนตกหนักจากอิทธิพลพายุลูกใหม่ อาจเกิดน้ำหลากซ้ำ หากปริมาณน้ำมากเกินแนวป้องกันจุดเดิม จึงขอความร่วมมือชาวบ้านเร่งขนของขึ้นที่สูงและเตรียมพร้อมอพยพกลุ่มเปราะบางไปยังศูนย์พักพิงทันทีที่มีประกาศ

ทัพภาค 3–มทบ.37 ลงพื้นที่ “ปิดรอยรั่ว–สร้างขวัญ”

เมื่อ 29 กรกฎาคม พล.ท.กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน กองทัพภาคที่ 3 พร้อมคณะ เดินทางลงพื้นที่แม่สายโดยมีนายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดฯ พล.ต.จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ (มทบ.37) ให้การต้อนรับ คณะฯ ได้รับฟังรายงานปัญหาจากนายอำเภอแม่สาย และพล.ท.สิรภพ ศุภวานิช (เจ้ากรมการทหารช่าง) ถึงปัจจัยหลักน้ำท่วมรอบล่าสุด เช่น การที่พนังบิ๊กแบ็กและผนังอาคารชั่วคราวโดนกระแสน้ำ-ท่อนซุงขนาดใหญ่ซัดจนเกิดโพรง รอยรั่วตามแนวคัน ส่งผลให้มวลน้ำทะลักเข้าท่วมชุมชนหลายจุด

แม่ทัพภาคที่ 3 สั่งการให้มทบ.37, กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 17 ในพระองค์ฯ และหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก เสริมกำลังเข้าซ่อมแนวพนังเร่งด่วน ขณะเดียวกัน กรมการทหารช่างก็ระดมกำลังคน-เครื่องมือซ่อมแซมตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะพื้นที่ชุมชนเกาะทราย จุดที่ได้รับผลกระทบหนักมาก

โรงครัวพระราชทาน พลังใจยามวิกฤต

นอกจากภารกิจด้านวิศวกรรม-ซ่อมแซม มทบ.37 ได้จัดตั้งโรงครัวพระราชทานเคลื่อนที่ ณ ที่ว่าการอำเภอแม่สาย เพื่อประกอบอาหารสดแจกประชาชนที่เดือดร้อนและเจ้าหน้าที่ภาคสนาม โดยกลุ่มแม่บ้านกิ่งกาชาดอำเภอแม่สายร่วมช่วยเหลือ เมนูยอดนิยมคือข้าวกะเพราไก่ไข่ต้มและข้าวอกไก่ทอด ผลิตวันละ 1,000 กล่อง (3 มื้อ) นำไปแจกจ่ายตามจุดพักพิง สร้างขวัญและกำลังใจให้ชาวแม่สายก้าวผ่านวิกฤติร่วมกัน

เร่งผลักดันน้ำอิงลงโขง กลยุทธ์บูรณาการ “ทุกสาย”

แม่น้ำอิงซึ่งเป็นเส้นเลือดหลักรับน้ำจากจังหวัดพะเยา-เชียงราย ก็เป็นอีกสมรภูมิหนึ่งที่หน่วยงานรัฐกำลังเร่งระบายน้ำ โดยนายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย เผยว่าขณะนี้กำลังติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ 10 เครื่อง ที่สะพานอิงอุดม บ้านเต๋น ต.สถาน อ.เชียงของ สามารถผลักดันน้ำกว่า 1 ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ลดความเสี่ยงน้ำเอ่อท่วมพื้นที่เกษตร-ชุมชนท้ายน้ำลงโขง เป็นมาตรการเชิงรุกในการแก้ปัญหาอุทกภัยแบบองค์รวม

เชียงราย “ยังไม่พ้นวิกฤต” แต่พร้อมสู้ระลอกใหม่

สถานการณ์อุทกภัยแม่สายปี 2568 สะท้อนความเปราะบางเชิงโครงสร้างในพื้นที่น้ำหลากชายแดนฝั่งเหนือ แม้สัญญาณคลี่คลายจะเริ่มชัดเจน แต่การเตรียมพร้อมรับมือพายุระลอกใหม่ยังจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะประเด็น “พนังชั่วคราว–ผนังอาคารเก่า” ที่ยังมีจุดอ่อนง่ายต่อการทะลุซ้ำ

ปัจจัยสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการในระยะสั้น–ยาว

  • ซ่อมแซม–เสริมแนวป้องกันถาวร: หลังน้ำลด การรื้อถอนพนังชั่วคราวและสร้างแนวป้องกันถาวรที่แข็งแรงยั่งยืน ควรเป็นวาระเร่งด่วนของทุกภาคส่วน
  • การเยียวยาฟื้นฟูหลังน้ำลด: การสำรวจ-ประเมินความเสียหาย การจัดสรรงบฯ เยียวยาชาวบ้านต้องดำเนินการรวดเร็ว-โปร่งใส สร้างความหวังให้ผู้ได้รับผลกระทบ
  • สื่อสารความเสี่ยง–แจ้งเตือนล่วงหน้า: ทุกฝ่ายต้องสื่อสารข้อมูลสภาพอากาศ การระบายน้ำ แจ้งเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่อง เข้าใจง่าย ไม่ปล่อยข่าวลือ
  • กลไกช่วยเหลือครบวงจร: การบูรณาการของหน่วยงานรัฐ ทหาร เทศบาล กลุ่มจิตอาสา และภาคประชาสังคม ยังคงเป็นหัวใจของการช่วยเหลือในพื้นที่ประสบภัย

สู้ “น้ำ” ด้วยความร่วมมือ–ระวัง “ใจ” ให้มั่นคง

สถานการณ์แม่สายครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่สังคมไทยได้เห็นพลังความร่วมมือของภาครัฐและประชาชน ในวันที่ธรรมชาติรุนแรงเกินคาดเดา ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีคือหัวใจ แต่สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือการวางแผนเชิงระบบ และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานระยะยาว เพื่อไม่ให้แม่สาย–เชียงราย ต้องตกอยู่ในวังวนวิกฤตน้ำท่วมซ้ำซากอีกต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • โครงการชลประทานเชียงราย
  • ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 37
  • กองทัพภาคที่ 3
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • รายงานสถานการณ์น้ำและอุทกภัย สำนักข่าวท้องถิ่น/ภาคสนาม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายลุ้น! แม่น้ำกกใกล้จุดวิกฤต เทศบาลนครเชียงรายเฝ้าระวัง 24 ชม. หวั่นน้ำทะลักเข้าเมือง

เชียงรายลุ้น! แม่น้ำกกใกล้จุดวิกฤต เทศบาลนครเชียงรายเฝ้าระวัง 24 ชม. หวั่นน้ำทะลักเข้าเมือง

เชียงราย, 28 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์น้ำกกขยับใกล้จุดวิกฤต – วอร์รูมเทศบาลฯ ระดมแผนฉุกเฉินช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้ จังหวัดเชียงรายกำลังเผชิญสถานการณ์ที่สร้างความกังวลอย่างยิ่งให้กับประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ริมลุ่มน้ำกก เมื่อฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ต้นน้ำอย่างอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และพื้นที่ต่อเนื่อง ส่งผลให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำกกเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รายงานล่าสุดเมื่อเวลา 14.00 น. ที่สถานีแม่นาวาง ระดับน้ำเพิ่มสูงถึง 12 เซนติเมตรในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง และอยู่ห่างจากระดับวิกฤตเพียง 31 เซนติเมตรเท่านั้น สัญญาณเตือนอันตรายที่ไม่อาจนิ่งนอนใจ

เทศบาลนครเชียงรายโดยนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรี ได้เรียกประชุมผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าประชุมด่วนที่ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ภายในสถานีขนส่งแห่งที่ 1 พร้อมประชุมออนไลน์ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานระดับจังหวัด เพื่อสรุปและเร่งประสานแผนรับมือสถานการณ์

ข้อมูลน้ำ-ฝนจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ เผยตัวเลขใกล้เสี่ยงล้นตลิ่ง

จากรายงานของทีมวิจัยระบบเตือนภัยและแนวทางป้องกันน้ำท่วมในเขตเมืองเชียงราย รวมถึงข้อมูลจากส่วนอุทกวิทยาที่ 2 สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ พบว่าปริมาณน้ำกกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นน้ำในอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่

  • เวลา 12.00 น. ที่สถานีแม่นาวาง-ท่าตอน ระดับน้ำอยู่ที่ 5.99 เมตร (ค่าวิกฤต 6.50 เมตร) ปริมาณน้ำ 487 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
  • เวลา 13.00 น. ที่สะพานพ่อขุนฯ ระดับน้ำอยู่ที่ 5.07 เมตร ปริมาณน้ำ 442 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
  • เวลาเดียวกัน ที่สะพานขัวพญามังราย ต.ริมกก ระดับน้ำอยู่ที่ 3.64 เมตร จากระดับวิกฤต 6.00 เมตร

ทีมวิจัยระบบเตือนภัยฯ ยังระบุว่าหากแนวโน้มฝนและระดับน้ำยังเป็นเช่นนี้ ระดับน้ำในเมืองเชียงรายอาจถึงจุดวิกฤตและล้นตลิ่งได้ภายใน 24 ชั่วโมง พร้อมขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงริมแม่น้ำกกเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมย้ายของขึ้นที่สูง

เตรียมพร้อมรอบด้าน – เฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาล ออกสำรวจระดับน้ำและเฝ้าติดตามสถานการณ์รอบพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาสาสมัคร และประชาชนในชุมชนริมฝั่งแม่น้ำกก เพื่อเตรียมพร้อมแผนอพยพและการแจ้งเตือนล่วงหน้าหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน

นอกจากนี้ ยังมีการสำรวจความพร้อมของศูนย์พักพิงและสถานที่อพยพฉุกเฉิน เช่น วัด โรงเรียน และอาคารสาธารณะ ตลอดจนการจัดเตรียมอุปกรณ์ช่วยเหลือประชาชน อาทิ กระสอบทราย เรือท้องแบน และเครื่องสูบน้ำ เพื่อให้พร้อมใช้งานได้ทันที

ภัยคุกคาม “น้ำกก” กับมาตรการเชิงรุกของเชียงราย

สถานการณ์น้ำกกใกล้แตะจุดวิกฤตในวันนี้ สะท้อนถึงความเปราะบางของพื้นที่เมืองเชียงรายต่อภัยน้ำหลากที่อาจเกิดขึ้นจากฝนหนักในพื้นที่ต้นน้ำอย่างฉับพลัน ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาและถือเป็นบทเรียนเชิงนโยบายมีดังนี้

  • การเฝ้าระวังต้นน้ำอย่างรอบด้าน: การติดตามข้อมูลน้ำฝนและปริมาณน้ำตั้งแต่สถานีต้นน้ำถึงปลายน้ำ เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้หน่วยงานท้องถิ่นมีข้อมูลสำหรับวางแผนรับมือสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที
  • ข้อมูลวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี: การใช้ข้อมูลจากทีมวิจัยและส่วนอุทกวิทยา สะท้อนให้เห็นถึงการบูรณาการระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการบริหารจัดการภาครัฐอย่างเป็นระบบ เพิ่มความแม่นยำของการตัดสินใจและการสื่อสารความเสี่ยงต่อประชาชน
  • ความพร้อมของหน่วยงานท้องถิ่น: การตั้งวอร์รูม ประชุมร่วมกับหน่วยงานจังหวัด และจัดชุดเจ้าหน้าที่ออกสำรวจเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง เป็นมาตรการเชิงรุกที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจและความพร้อมในการป้องกันและบรรเทาผลกระทบ
  • การสื่อสารกับประชาชน: เทศบาลนครเชียงรายเน้นการแจ้งเตือนประชาชนริมฝั่งแม่น้ำกกให้ทราบความเสี่ยงและวิธีเตรียมตัวล่วงหน้า ลดความสูญเสียและสร้างความตื่นตัวให้กับชุมชนอย่างทั่วถึง

โจทย์ท้าทายและประเด็นที่ต้องติดตาม

  • ความเร็วของกระแสน้ำ: ระดับน้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (12 เซนติเมตรใน 1 ชั่วโมง) เป็นสัญญาณเตือนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งยกระดับการแจ้งเตือนและการอพยพ
  • ผลกระทบต่อชุมชนริมฝั่ง: หากน้ำล้นตลิ่งในเขตเมือง พื้นที่ชุมชนริมฝั่งและตลาดจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก จำเป็นต้องเตรียมสถานที่พักพิงและการช่วยเหลือให้พร้อม
  • การบริหารจัดการเขื่อนและอ่างเก็บน้ำต้นน้ำ: ประสานงานกับหน่วยงานรับผิดชอบเขื่อนและอ่างเก็บน้ำเพื่อลดการระบายน้ำในช่วงวิกฤต เป็นกลยุทธ์สำคัญในการควบคุมปริมาณน้ำปลายน้ำ
  • การประสานงานกับชุมชน: การสร้างเครือข่ายสื่อสารภาคประชาชนและอาสาสมัคร ช่วยกระจายข้อมูลข่าวสารและรับมือภัยพิบัติอย่างรวดเร็วและทั่วถึง

สรุป

สถานการณ์แม่น้ำกกใกล้แตะจุดวิกฤตในครั้งนี้ นับเป็นเครื่องเตือนใจถึงความจำเป็นในการเตรียมความพร้อมเชิงรุก การวางระบบสื่อสารที่เข้มแข็ง และการประสานทุกภาคส่วนร่วมกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เชียงรายผ่านพ้นภัยพิบัติด้วยความเสียหายน้อยที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • ทีมวิจัยระบบเตือนภัยและแนวทางป้องกันน้ำท่วมในเขตเมืองเชียงราย
  • ส่วนอุทกวิทยาที่ 2 เชียงราย สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ
  • ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลนครเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

แม่สายน้ำทะลักท่วมตลาด-ชุมชน มทบ.37 ระดมพลพร้อมกู้ภัยเร่งอพยพผู้เปราะบาง

แม่สายวิกฤตหนักน้ำทะลักท่วมตลาด-ชุมชน มทบ.37 ระดมพลพร้อมกู้ภัย เร่งอพยพผู้เปราะบาง

เชียงราย, 28 กรกฎาคม 2568 – แม่สายอ่วม! น้ำหลากทะลักท่วมกลางดึก ประชาชนรีบอพยพ สถานการณ์น้ำท่วมในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เช้าวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ยังคงวิกฤตหนักอีกครั้งหลังจากฝนที่ตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ต้นน้ำฝั่งรัฐฉานตะวันออก ประเทศเมียนมา ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำสายเพิ่มสูงอย่างรวดเร็วและไหลทะลักเข้าท่วมชุมชนริมฝั่งอย่างไม่ทันตั้งตัว ทั้งห้าแยกตลาดพลอย (ห้าแยกไข่ดาว) บ้านไม้ลุงขน ตลาดสายลมจอย รวมถึงพื้นที่ชั้นใต้ดินของตลาดและแนวผนังกั้นน้ำชั่วคราวที่ชาวบ้านช่วยกันสร้างขึ้น ถูกมวลน้ำบ่าไหลผ่านจนไร้ผล ประชาชนจำนวนมากต้องขนย้ายข้าวของขึ้นที่สูงและเร่งอพยพกันท่ามกลางความโกลาหลตั้งแต่กลางดึก

ทหาร-กู้ภัยระดมกำลังฉุกเฉิน ปกป้องชีวิตกลุ่มเปราะบาง

เมื่อเวลา 09.00 น. พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 37 / ผู้บัญชาการศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่ 37 ได้สั่งการด่วนให้ พันเอก สิงหนาท โลสุยะ เสนาธิการ มทบ.37 นำกำลังทหาร ชุดยานพาหนะ และยุทโธปกรณ์เข้าพื้นที่ประสบภัยทันที โดยแบ่งกำลังออกเป็น 5 ชุดปฏิบัติการรวม 32 นาย พร้อมชุดแพทย์เดินเท้า เข้าช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางในตำบลเกาะทรายซึ่งถูกน้ำท่วมอย่างรุนแรง

พร้อมกันนี้ เจ้าหน้าที่กู้ภัยจาก สมาคมปิยะมิตรแม่สายร่วมใจบรรเทาสาธารณภัยและการกุศล และ สมาคมศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัย ก็ได้สนธิกำลังวางแผนรับมือร่วมกับชุมชน ช่วยเหลือประชาชนที่ติดอยู่ในที่พักอาศัย ขนย้ายของขึ้นที่สูงและอพยพผู้สูงอายุ เด็กเล็ก รวมถึงผู้ป่วยติดเตียง ไปยังศูนย์อพยพที่ปลอดภัยให้เร็วที่สุด

ภาคสนามปฏิบัติการต่อเนื่อง – รายงานสถานการณ์ล่าสุด

ณ เวลา 10.54 น. ระดับน้ำยังเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่องจนถึงสะพานข้ามตลาดสายลมจอย พร้อมไหลทะลักเข้าพื้นที่ชั้นใต้ดินและแนวผนังกั้นน้ำชั่วคราวของชาวบ้านถูกเจาะทะลุเสียหาย ปฏิบัติการของทหารและกู้ภัยจึงเร่งมืออย่างเต็มที่ ทั้งการกรอกกระสอบทรายเสริมแนวป้องกัน การขนย้ายสิ่งของในชุมชนเกาะทราย ซอย 7, 11, 12 และการเร่งระบายน้ำตามจุดที่น้ำไหลบ่าเข้าสู่บ้านเรือน

ในขณะที่สถานการณ์น้ำในแม่น้ำกก บริเวณสะพานท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ แม้จะยังมีฝนตกและท้องฟ้าครึ้ม แต่ระดับน้ำยังคงอยู่ในเกณฑ์ปกติ สามารถระบายออกได้ ไม่ส่งผลกระทบถึงพื้นที่เมืองเชียงรายในขณะนี้

การบูรณาการช่วยเหลือ – ติดตามต่อเนื่อง

มณฑลทหารบกที่ 37, ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน และหน่วยงานกู้ภัยต่างๆ ร่วมบูรณาการทุกภาคส่วนปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่หยุดยั้ง มีการจัดตั้งกองบัญชาการควบคุมภาคสนาม เร่งอพยพและดูแลกลุ่มเปราะบางตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงประสานศูนย์แพทย์ทหารและหน่วยสาธารณสุขเคลื่อนที่ช่วยเหลือผู้ป่วยในพื้นที่เสี่ยง

วิกฤตซ้ำซากกับโจทย์ใหญ่ของแม่สาย

สถานการณ์น้ำท่วมแม่สายปีนี้ สะท้อนถึงความเปราะบางของพื้นที่ชายแดนที่ต้องเผชิญมวลน้ำหลากข้ามพรมแดนจากเมียนมา แม้จะมีการวางแนวป้องกันชั่วคราวและแผนฉุกเฉิน แต่ก็ยังไม่สามารถต้านทานภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันได้

ประเด็นสำคัญที่ชัดเจน:

  • การระดมฉุกเฉินอย่างเป็นระบบ: การปฏิบัติการของ มทบ.37 และภาคีเครือข่ายทั้งทหาร กู้ภัย และภาคประชาชน เป็นตัวอย่างของการบูรณาการทรัพยากรเพื่อลดการสูญเสียและช่วยเหลือชีวิตประชาชนในห้วงวิกฤต
  • ปกป้องกลุ่มเปราะบาง: การอพยพผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้ป่วยติดเตียงออกจากพื้นที่เสี่ยงทันที เป็นมาตรการสำคัญยิ่งที่แสดงถึงความพร้อมและความใส่ใจต่อคุณภาพชีวิตประชาชน
  • การป้องกันแบบเฉพาะหน้า: การกรอกกระสอบทราย ขนของขึ้นที่สูง เร่งระบายน้ำ คือการรับมือเฉพาะหน้าที่จำเป็นอย่างยิ่ง แม้จะเป็นเพียงการยื้อสถานการณ์ให้ชุมชนมีเวลาตั้งตัวมากขึ้น
  • บทเรียนจากภัยซ้ำซาก: การเกิดน้ำท่วมซ้ำรอยทุกปี ยืนยันถึงความจำเป็นในการวางระบบป้องกันถาวรและพัฒนาโครงสร้างระบายน้ำให้สอดคล้องกับภัยพิบัติที่ทวีความรุนแรงขึ้นจากสภาพอากาศและต้นน้ำข้ามแดน

ประเด็นที่ต้องจับตาต่อไป:

  • ความสมบูรณ์ของแนวป้องกันถาวร: หากไม่มีการเร่งสร้างแนวป้องกันน้ำถาวรและระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ แม่สายอาจต้องเผชิญภัยน้ำท่วมซ้ำอีกในอนาคตอันใกล้
  • ระบบแจ้งเตือนและความรู้ชุมชน: แม้จะมีการแจ้งเตือนล่วงหน้าแล้ว แต่หากการสื่อสารไม่ทั่วถึงหรือชาวบ้านยัง “คาดไม่ถึง” ว่ามวลน้ำจะเข้าท่วม ต้องปรับปรุงช่องทางแจ้งเตือนและเสริมสร้างความรู้ด้านการรับมือภัยพิบัติในพื้นที่เสี่ยง

สรุป: สถานการณ์แม่สายในวันนี้เป็นบททดสอบย้ำเตือนถึงโจทย์ใหญ่ของการจัดการภัยพิบัติในพื้นที่ชายแดน ทั้งความจำเป็นของแนวป้องกันถาวร การพัฒนาระบบรับมือฉุกเฉิน และการสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน เพื่อรับมือกับธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นในทุกปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มณฑลทหารบกที่ 37

  • ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 37

  • ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่ 37

  • สมาคมปิยะมิตรแม่สายร่วมใจบรรเทาสาธารณภัยและการกุศล

  • สมาคมศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัย

  • รายงานสถานการณ์จากภาคสนาม (เวลา 10.54 น. วันที่ 28 กรกฎาคม 2568)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายคลี่คลายแต่ไม่ประมาท! ผู้ว่าฯ ลุยเชียงของมอบถุงยังชีพ ปภ.สรุป 15 อำเภอ

เชียงรายคลี่คลายแต่ไม่ประมาท! ผู้ว่าฯ ลุยเชียงของมอบถุงยังชีพ ปภ.สรุป 15 อำเภอได้รับผลกระทบ เร่งฟื้นฟูหลังน้ำลด

เชียงราย, 27 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย หลายพื้นที่กลับสู่ปกติ แต่ยังต้องเร่งฟื้นฟูและเฝ้าระวังต่อเนื่อง แม้สถานการณ์อุทกภัยในจังหวัดเชียงรายที่ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อน “วิภา” จะเริ่มคลี่คลาย หลายพื้นที่มีแนวโน้มฟื้นตัว แต่การฟื้นฟูยังดำเนินต่อเนื่องโดยไม่ลดความระมัดระวัง เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้กลับสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็วที่สุด

ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่เชียงของ มอบถุงยังชีพ 252 ชุด สร้างกำลังใจให้ผู้ประสบภัย

เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2568 เวลา 16.00 น. นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย นายอำเภอเชียงของ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่เทศบาลตำบลห้วยซ้อ อำเภอเชียงของ มอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบภัยจำนวน 252 ชุด พร้อมกล่าวให้กำลังใจแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบและกำชับหน่วยงานในพื้นที่ให้ความช่วยเหลือต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ประชาชนสามารถก้าวข้ามวิกฤตไปด้วยกัน

ปภ.เชียงรายสรุป 15 อำเภอ 79 ตำบล 454 หมู่บ้าน ได้รับผลกระทบ สัตว์เศรษฐกิจเสียหายหนัก

รายงานสถานการณ์ล่าสุดจากกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.เชียงราย) ระบุว่า ระหว่างวันที่ 16-27 กรกฎาคม 2568 มีฝนตกสะสมอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมและดินถล่มใน 15 อำเภอ 79 ตำบล 454 หมู่บ้าน มีครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบประมาณ 13,036 ครัวเรือน

ความเสียหายที่เกิดขึ้นครอบคลุมทั้งโครงสร้างพื้นฐานและทรัพย์สินสำคัญ ได้แก่ โรงเรียน 8 แห่ง ถนน 19 สาย สะพาน 1 แห่ง คอสะพาน 4 แห่ง วัด 3 แห่ง สัตว์เศรษฐกิจเสียหายอย่างหนัก เช่น โค 4,445 ตัว กระบือ 1,987 ตัว สุกร 3,387 ตัว แพะ-แกะ 43 ตัว สัตว์ปีก 230,879 ตัว แปลงหญ้า 699 ไร่ ส่วนพื้นที่เกษตรกรรมยังอยู่ระหว่างการสำรวจและรวบรวมข้อมูล

โชคดีที่ไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้

สถานการณ์รายอำเภอ หลายแห่งน้ำลด หลายจุดยังต้องเฝ้าระวัง

อำเภอเทิง พญาเม็งราย (ต.ตาดควัน ต.ไม้ยา) เมืองเชียงราย เชียงของ เวียงแก่น เวียงป่าเป้า (บ้านเรือนแห้งแล้ว) แม่สรวย แม่ลาว และยางฮอม (อ.ขุนตาล) ระดับน้ำลดลงและกลับสู่ภาวะปกติ

อย่างไรก็ตาม ยังมีอำเภอพญาเม็งราย (ต.แม่เปา ต.เม็งราย ต.แม่ต๋ำ) ป่าแดด ขุนตาล (ต.ต้า ต.ป่าตาล) เวียงเชียงรุ้ง เวียงชัย พาน ดอยหลวง และแม่จัน ที่น้ำยังคงท่วมขังบางส่วน หรือมีน้ำขังบนผิวจราจรและพื้นที่เกษตร ต้องเฝ้าระวังฝนที่อาจตกซ้ำและปริมาณน้ำที่อาจไหลสมทบจากภูเขาตลอด 24 ชั่วโมง

เร่งฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน เน้นซ่อมแซมจุดเสี่ยงคอสะพานและถนน

พื้นที่อำเภอเชียงของยังมีจุดเสี่ยงสำคัญคือ คอสะพานถนนทางหลวงชนบทสาย ชร.4027 ที่เกิดน้ำท่วมขังและมีการเซาะใต้ฐานสะพานบางส่วน แม้ยังสามารถสัญจรได้แต่ขอให้ประชาชนใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมแผนซ่อมแซมทันทีที่สถานการณ์เอื้ออำนวย ทั้งนี้ หากมีการปิดเส้นทางหรือซ่อมแซมจะมีการแจ้งข่าวสารให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่อง

 เชียงรายผ่านวิกฤตแต่ยังต้องไม่ประมาท

สถานการณ์อุทกภัยในครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับจังหวัดเชียงราย แม้จะสามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโครงสร้างพื้นฐาน สัตว์เศรษฐกิจ และภาคเกษตรกรรมยังคงต้องใช้เวลาและงบประมาณในการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง

ประเด็นที่ควรให้ความสำคัญในระยะต่อไป

  • การซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน: คอสะพานและถนนหลายสายที่ถูกเซาะหรือพังเสียหาย ต้องได้รับการซ่อมแซมอย่างเร่งด่วนเพื่อคืนความปลอดภัยและความสะดวกในการสัญจร
  • การฟื้นฟูภาคเกษตรกรรมและปศุสัตว์: ด้วยจำนวนสัตว์เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบสูง จำเป็นต้องเร่งเยียวยา จัดหาพันธุ์สัตว์ทดแทน และสนับสนุนสินเชื่อหรือเงินช่วยเหลือเพื่อให้เกษตรกรกลับมาดำรงชีพได้อย่างมั่นคง
  • การเยียวยาและประเมินความเสียหายอย่างทั่วถึง: ต้องมีการสำรวจและรวบรวมข้อมูลครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบอย่างละเอียด เพื่อจัดสรรการช่วยเหลือและเยียวยาอย่างเป็นธรรมและครอบคลุม
  • การป้องกันระยะยาว: จำเป็นต้องทบทวนและเสริมสร้างมาตรการป้องกันอุทกภัยระยะยาว อาทิ การบริหารจัดการน้ำต้นน้ำ การวางแผนที่ดินและพื้นที่เกษตรกรรมให้สอดคล้องกับความเสี่ยง การเสริมสร้างชุมชนให้มีศักยภาพในการรับมือภัยพิบัติ และการใช้เทคโนโลยีสื่อสารแจ้งเตือนภัย

ก้าวผ่านวิกฤตด้วยความร่วมมือ เดินหน้าฟื้นฟูอย่างยั่งยืน

ภาพรวมสถานการณ์และการตอบสนองของทุกหน่วยงานสะท้อนถึงการเตรียมความพร้อมและการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เชียงรายก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ด้วยความร่วมมือและกำลังใจ พร้อมเดินหน้าฟื้นฟูและเสริมสร้างความแข็งแกร่งในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.เชียงราย)
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • รายงานสถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดเชียงราย, วันที่ 27 กรกฎาคม 2568
  • ศูนย์อำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย
  • ข่าวประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เทศบาลนครเชียงรายเฝ้าระวังน้ำ 24 ชม. “นายกวันชัย” สั่งเปิดประตูระบายน้ำรับมือภัยฝน

เทศบาลนครเชียงรายเฝ้าระวังน้ำ 24 ชม. “นายกวันชัย” สั่งเปิดประตูระบายน้ำเร่งด่วน เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ตลอดแนวแม่น้ำสำคัญ

เชียงราย, 27 กรกฎาคม 2568 – เทศบาลนครเชียงรายเดินหน้า “บริหารจัดการน้ำเชิงรุก” รักษาความปลอดภัยเมืองท่ามกลางฤดูฝน ในช่วงฤดูฝนที่ปริมาณน้ำฝนและน้ำท่ามีความผันผวนสูงเช่นนี้ เทศบาลนครเชียงรายอยู่ในสภาวะตื่นตัวสูงสุด โดยเฉพาะเมื่อได้รับอิทธิพลจากพายุฤดูร้อนและฝนตกหนักในพื้นที่ลุ่มน้ำกก ลาว และกรณ์ ซึ่งมีความสำคัญต่อความปลอดภัยในเขตเมือง ล่าสุด นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเสี่ยง สำรวจและบริหารจัดการประตูระบายน้ำทุกจุดตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันไม่ให้มวลน้ำไหลเข้าท่วมในเขตเมือง โดยให้ความสำคัญกับแนวตลิ่งแม่น้ำสำคัญอย่างแม่น้ำกก แม่น้ำลาว และแม่น้ำกรณ์

เดินแผนบริหาร “ประตูน้ำ” ปิดจุดเสี่ยง-เปิดระบายต่อเนื่อง

ผลจากการสำรวจพบว่าระดับน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำกรณ์อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยเฉพาะบริเวณสะพานขัวพญาเม็งราย วัดระดับน้ำที่ 3.11 เมตร ซึ่งยังต่ำกว่าตลิ่งที่ 6 เมตร แต่อย่างไรก็ตามเทศบาลยังคงเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น โดยประตูน้ำฝั่งเข้าเมืองทั้งหมด 9 บาน ได้รับคำสั่งปิดไว้ตลอด เพื่อป้องกันน้ำจากแม่น้ำสายหลักไม่ให้ไหลเข้าสู่เขตเมือง ในขณะที่ประตูน้ำฝั่งหนองด่าน 4 บาน และประตูน้ำดอยสะเก็น 5 บาน ได้รับคำสั่งเปิดยกขึ้นเต็มที่ เพื่อเร่งระบายน้ำออกสู่แม่น้ำกกและลดความเสี่ยงน้ำท่วมขังในพื้นที่ต่ำ

สำรวจจุดเสี่ยง-เสริมกำลัง “กระสอบทราย” เตรียมรับมือชุมชนริมแม่น้ำ

นอกจากการตรวจสอบระดับน้ำและประตูน้ำแล้ว เทศบาลนครเชียงรายยังได้ส่งเจ้าหน้าที่เทศกิจลงพื้นที่สำรวจแม่น้ำลาว โดยเฉพาะที่จุดประตูน้ำพื้นที่ท่าสาย ซึ่งพบว่าระดับน้ำลดลงจากวันก่อนถึง 60 เซนติเมตร พร้อมทั้งเสริมกำลังนำกระสอบทรายไปวางเพิ่มเติมในจุดบิ๊กแบ็ค และทางเชื่อมต่อลำน้ำสาขาที่เสี่ยงน้ำไหลเข้า เช่น พื้นที่บ้านทุ่งพญาหมี ชุมชนสันหนอง และชุมชนข้างเคียง เพื่อเป็นการป้องกันเชิงรุก

เทศบาลฯ ยังประสานการทำงานกับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น กองช่าง สำนักการโยธา และฝ่ายปกครอง รวมถึงกลุ่มจิตอาสาในพื้นที่ เพื่อบูรณาการแผนเฝ้าระวังและรับมือสถานการณ์อุทกภัยให้ครอบคลุมที่สุด โดยมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานสลับเวรตลอด 24 ชั่วโมง

วิเคราะห์สถานการณ์ความตื่นตัวของเทศบาลนครเชียงรายกับโจทย์ “เมืองปลอดภัย”

การสั่งการของนายกเทศมนตรีนครเชียงรายในการเฝ้าระวังสถานการณ์ระดับน้ำและการบริหารจัดการประตูน้ำทุกจุดเป็นตัวอย่างที่ดีของการบริหารภัยพิบัติในระดับท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นสูง ประเด็นที่น่าสังเกตได้แก่

  • การเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง: เทศบาลฯ ใช้ระบบการติดตามสถานการณ์น้ำแบบเรียลไทม์ มีการจัดเวรยามสำรวจทุกช่วงเวลาเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน
  • กลยุทธ์ปิด-เปิดประตูน้ำ: การวางแผนปิดประตูน้ำฝั่งเข้าเมืองและเปิดฝั่งระบายออก เป็นมาตรการสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงน้ำไหลเข้าท่วมพื้นที่ชุมชนเมือง
  • การสำรวจจุดเสี่ยงและเสริมกำลังล่วงหน้า: การนำกระสอบทรายไปวางในพื้นที่ชุมชนเสี่ยงล่วงหน้า เป็นการป้องกันก่อนเกิดเหตุการณ์จริงและสามารถลดผลกระทบในกรณีฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การประสานงานกับภาคส่วนต่าง ๆ: การทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐและกลุ่มจิตอาสาในพื้นที่ เป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในการรับมือภัยพิบัติ โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องระดมสรรพกำลังอย่างเร่งด่วน

ข้อท้าทายและข้อเสนอแนะ

แม้ว่าสถานการณ์น้ำในวันนี้จะยังไม่ถึงระดับวิกฤต แต่หากเกิดฝนตกหนักในพื้นที่ต้นน้ำหรือจากอิทธิพลของพายุฤดูร้อน ต้องเตรียมพร้อมแผนสำรองในการอพยพและการแจ้งเตือนประชาชนอย่างทันท่วงที นอกจากนี้ การสื่อสารข้อมูลกับประชาชนโดยตรง ผ่านช่องทางออนไลน์ของเทศบาลหรือกลุ่มชุมชน จะเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยลดความตื่นตระหนกและสร้างความเชื่อมั่นในมาตรการรัฐ

การดำเนินงานของเทศบาลนครเชียงรายในครั้งนี้ สะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพในเชิงบริหารจัดการวิกฤตแบบ “เชิงรุก” ซึ่งสมควรเป็นแบบอย่างให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ ในการสร้างเมืองปลอดภัยและรับมือกับภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • สำนักการโยธา เทศบาลนครเชียงราย
  • รายงานสถานการณ์น้ำ กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลนครเชียงราย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • รายงานสถานการณ์ประจำวัน, กลุ่มชุมชนเขตเทศบาลนครเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

สทนช. ลุยเชียงราย! ปูพรมข้อมูล วางแผนปฏิบัติการเชิงรุก รับมือพายุ “วิภา”

เลขาฯ สทนช. นำทัพ “ระดม-ประเมิน-ยกระดับ” บริหารจัดการน้ำรับมือพายุ “วิภา” ปูพรมข้อมูล-เดินหน้าแผนปฏิบัติการเชิงรุก

เชียงราย, 20 กรกฎาคม 2568  ท่ามกลางความผันผวนของสภาพอากาศและอิทธิพลจากพายุโซนร้อน “วิภา” ที่อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยในฤดูฝนปีนี้ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) โดย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสทนช. นำคณะทำงานบูรณาการระหว่างส่วนกลางและท้องถิ่นลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายอย่างเข้มข้น มุ่งหน้ารวบรวมข้อมูล วิเคราะห์สถานการณ์น้ำแบบรอบด้าน และยกระดับมาตรการบริหารจัดการน้ำในจุดเสี่ยงสำคัญ เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ประชุมใหญ่ “ระดมสรรพกำลัง” – วิเคราะห์น้ำท่วมเสี่ยงสูงลุ่มน้ำโขง

เมื่อเวลา 13.00 น. ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล ได้เป็นประธานการประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงเหนือ ครั้งที่ 7/2568 โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด ตลอดจนผู้แทนจากหน่วยงานระดับชาติ อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กรมควบคุมมลพิษ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

ที่ประชุมได้รับฟังและพิจารณาข้อมูลสถานการณ์น้ำครอบคลุมทุกมิติ ทั้งรายงานแนวโน้มฝน ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างในแม่น้ำหลักและลำน้ำสาขา คุณภาพน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคและการเกษตร รวมถึงความก้าวหน้าโครงการสำคัญ เช่น การขุดลอกลำน้ำสาย ลำน้ำกก และลำน้ำรวก ตลอดจนการวางมาตรการรับมือฤดูฝนปี 2568 อาทิ การพร่องน้ำ การระบายน้ำ และการตั้งจุดติดตามระดับน้ำ พร้อมระบบแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตอนบนที่เชื่อมโยงไทย-เมียนมา-ลาว

5 มาตรการเร่งด่วนตอบโจทย์การบริหารน้ำ “ยุคพายุ”

  1. ปรับปรุงการคาดการณ์ปริมาณฝน: สั่งการให้กรมอุตุนิยมวิทยาทบทวนแบบจำลองและฐานข้อมูลการคาดการณ์ฝนรายเดือนสำหรับสิงหาคม-กันยายน 2568 เป็นพิเศษ หลังปีที่ผ่านมาเกิดฝนสูงกว่าคาด และบางช่วงฝนน้อยเกินไป เพื่อให้แผนจัดการน้ำแม่นยำขึ้น
  2. วิเคราะห์ข้อมูลฝนระดับพื้นที่ย่อย: สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) ร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยา จัดทำข้อมูลอากาศและฝนอย่างละเอียดระดับพื้นที่ ส่งต่อให้จังหวัดและหน่วยปฏิบัติพื้นที่ เพื่อกำหนดจุดเฝ้าระวัง ปรับแผนระบายน้ำ วางมาตรการแจ้งเตือนแบบเฉพาะจุด ลดความเสี่ยงจากการใช้ค่าเฉลี่ยระดับประเทศที่ไม่สะท้อนสภาพจริงในพื้นที่ภูเขาและชายแดน
  3. แผนบริหารจัดการน้ำอ่างเก็บน้ำสำคัญ: กำชับกรมชลประทานและ กฟผ. ร่วมวางแผนจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำหลักทั้งลุ่มน้ำโขงเหนือ ยม และน่าน ให้คำนึงถึงปริมาณฝนจากพายุ “วิภา” ป้องกันกรณีปล่อยน้ำฉับพลันในช่วงฝนชุก
  4. เร่งพร่องน้ำกว๊านพะเยา: กำหนดแผนพร่องน้ำให้เสร็จทันก่อนฝนหนัก เพื่อเพิ่มพื้นที่กักเก็บ ลดความเสี่ยงน้ำท่วมพื้นที่เพาะปลูกและชุมชนในเดือนสิงหาคม-กันยายน 2568
  5. ปรับปรุงการรายงานคุณภาพน้ำ: กรมควบคุมมลพิษปรับเกณฑ์รายงานผลตรวจน้ำ เทียบมาตรฐาน FAO (สุขภาพ-การเกษตร) เสริมจากเกณฑ์น้ำผิวดินเดิม เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนต่อความปลอดภัยของน้ำกิน-น้ำใช้

ลงพื้นที่ “แม่สาย” – เจาะลึกจุดเสี่ยงลุ่มน้ำชายแดน

หลังประชุม ดร.สุรสีห์ และคณะได้ลงพื้นที่อำเภอแม่สาย เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ลำน้ำชายแดนซึ่งรับน้ำจากพื้นที่สูงและตะกอนจำนวนมากทุกปี เน้นโครงการขุดลอกตะกอนและกำจัดสิ่งกีดขวางในลำน้ำสาย-กก-รวก ซึ่งเป็น “เส้นเลือด” สำคัญของทั้งลุ่มน้ำโขง

มาตรการเร่งด่วนด้านการขุดลอกและบริหารจัดการลำน้ำเหล่านี้ จะช่วยให้กระแสน้ำเคลื่อนตัวอย่างเป็นธรรมชาติ ลดความเสี่ยงน้ำล้นตลิ่ง เปิดทางให้ระบบแจ้งเตือนน้ำหลากทำงานได้แม่นยำขึ้น ลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

 “เชียงรายต้นแบบจัดการน้ำลุ่มน้ำโขงเหนือ”

บทสรุปจากการลงพื้นที่ในครั้งนี้ ชี้ให้เห็นถึงความก้าวหน้าใน “การวางแผนเชิงรุก” การเชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์ การบูรณาการระหว่างหน่วยงานรัฐและท้องถิ่น ตลอดจนการปรับปรุงเกณฑ์การคาดการณ์และติดตามสถานการณ์อย่างละเอียด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการรับมือภัยน้ำหลากในยุคสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง

ประเด็นวิเคราะห์เพิ่มเติม ได้แก่

  • การวางแผนบนฐานข้อมูลจริง: ช่วยให้ตัดสินใจการปล่อยน้ำ/พร่องน้ำในอ่างเก็บน้ำได้แม่นยำ ลดความสูญเสียในพื้นที่ปลายน้ำ
  • บูรณาการข้อมูลข้ามพื้นที่-ข้ามหน่วยงาน: เสริมศักยภาพการตอบสนองภัยพิบัติอย่างทันท่วงที โดยเฉพาะจังหวัดชายแดนที่มีจุดเสี่ยงเฉพาะตัว
  • ระบบเตือนภัยทันสมัย: ป้องกันผลกระทบทางเศรษฐกิจ การเกษตร และสังคม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ลุ่มต่ำ

อย่างไรก็ดี ความต่อเนื่องของงบประมาณ ซ่อมบำรุงเครื่องมือ และความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องผลักดันต่อเนื่อง สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) จะติดตามและสรุปรายงานสถานการณ์ รวมถึงสนับสนุนการเชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์กับจังหวัดลุ่มน้ำโขง เพื่อใช้เป็นข้อมูลเชิงพื้นที่ในการเตรียมมาตรการรองรับสถานการณ์พายุ “วิภา” ต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • กรมชลประทาน
  • การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
  • สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เฉลิมฉลอง 10 ปีความร่วมมือ! มฟล. จัด Global Coffee and Tea Forum ยกระดับเชียงราย

ม.แม่ฟ้าหลวง เปิดเวทีใหญ่ “Global Coffee and Tea Association Forum 2025” ดันเชียงรายสู่ศูนย์กลางชา-กาแฟโลก

เชียงราย, 17 กรกฎาคม 2568 – เชียงรายชูศักยภาพ “Tea & Coffee Destination” พลิกบทบาทสู่เวทีโลก กำลังสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มระดับโลก เมื่อสถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) จับมือกับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB และบริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด เปิดฉากงานประชุมและนิทรรศการนานาชาติ “Global Coffee and Tea Association Forum 2025: Shaping the Future Together” อย่างเป็นทางการในวันที่ 17 กรกฎาคม 2568 ณ โรงแรมเลอเมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท กำหนดจัดต่อเนื่องถึง 20 กรกฎาคมนี้ มุ่งปลุกกระแสใหม่ให้เชียงรายก้าวสู่ศูนย์กลางอุตสาหกรรมชา-กาแฟระดับอาเซียนและระดับโลก

เชียงราย ก้าวสู่ “Tea and Coffee Destination” ระดับโลก

เป้าหมายหลักของงานในครั้งนี้ คือการวางรากฐานให้เชียงรายเป็น “Chiang Rai Tea and Coffee Destination” ที่ตอบโจทย์ทั้งในฐานะแหล่งผลิต แปรรูป และค้าชา-กาแฟคุณภาพสูง รวมถึงเป็นจุดศูนย์กลางเทศกาลและงานประชุมระดับนานาชาติ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายรุจติศักดิ์ รังษี ได้กล่าวต้อนรับผู้แทนและผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายประเทศ พร้อมย้ำถึงบทบาทสำคัญของเชียงรายที่เป็นแหล่งปลูกชาและกาแฟอันดับต้นๆ ของไทย

ผศ.ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดี มฟล. กล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการ โดยเน้นถึงโอกาสครั้งสำคัญที่สถาบันฯ ได้เป็นเจ้าภาพประชุมระดับโลก สะท้อนวิสัยทัศน์ของเชียงรายในการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมนี้

ด้าน ผศ.ดร.ปิยาภรณ์ เชื่อมชัยตระกูล หัวหน้าสถาบันชาและกาแฟ มฟล. ในฐานะผู้จัดงาน กล่าวว่า จุดมุ่งหมายสำคัญคือการผนึกกำลังระหว่างรัฐ เอกชน และประชาสังคม เพื่อยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมชา-กาแฟไทยให้ก้าวไกล เชื่อมต่อเครือข่ายกับผู้ประกอบการ นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก

ลงนาม MOU วิจัยชาจีน-ไทย จุดเปลี่ยน 10 ปี สู่อนาคตอุตสาหกรรม

หนึ่งในไฮไลท์สำคัญของงานปีนี้คือ การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงกับสถาบันวิจัยชาสาธารณรัฐประชาชนจีน ฉลองครบรอบ 10 ปีแห่งความร่วมมือทางวิชาการ (2015-2025) ที่เกิดขึ้นระหว่างสถาบันชาและกาแฟ มฟล. กับสถาบันวิจัยชาแห่งสถาบันวิทยาศาสตร์การเกษตรจีน (Tea Research Institute, Chinese Academy of Agricultural Sciences) การจับมือครั้งนี้จะเป็นการปูทางให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ วิจัย และเทคโนโลยี เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมชาและกาแฟของทั้งสองประเทศ และขยายผลความร่วมมือสู่ภูมิภาค

กิจกรรมเข้มข้น 4 วัน แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ระดับโลก

งานประชุม “Global Coffee and Tea Association Forum 2025” มีการออกแบบกิจกรรมที่เข้มข้นต่อเนื่องตลอด 4 วันเต็ม:

  • วันที่ 18 กรกฎาคม 2568: จัดประชุมโต๊ะกลม “Shaping Future Together” และทัศนศึกษาไร่ชาชุยฟง เยี่ยมชมมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง พร้อมนิทรรศการชาและกาแฟ
  • วันที่ 19-20 กรกฎาคม 2568: งานแสดงสินค้าชา-กาแฟ ณ อุทยานศิลปวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง และกิจกรรม “A Cup to Village” ที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสประสบการณ์จากไร่ชาจริง

ภายในงานยังมีเวทีบรรยายพิเศษโดยผู้เชี่ยวชาญระดับโลก อาทิ ศาสตราจารย์ Ming Zhe Yao จากสถาบันวิจัยชาจีน (China Tea Research Institute), คุณชัยพัฒน์ จาตุรงค์กุล ผู้อำนวยการสิงห์ปาร์คเชียงราย, คุณ Sharyn Johnston จากสมาคมผู้เชี่ยวชาญชาออสเตรเลีย รวมถึงผู้แทนจากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงที่มาถ่ายทอดความสำเร็จในระบบนิเวศกาแฟดอยตุง

นอกจากนี้ยังมีสมาคมกาแฟและชาจากญี่ปุ่น เดนมาร์ก อินโดนีเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ เมียนมาร์ และผู้ประกอบการชั้นนำทั่วอาเซียน มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือในระดับภูมิภาคและสากล

ปักหมุด “เชียงรายฮับชา-กาแฟ” ผลักดันเศรษฐกิจใหม่ของภูมิภาค

การประชุมในครั้งนี้นอกจากจะยกระดับสถานะของเชียงรายบนเวทีโลกแล้ว ยังเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในเชิงพื้นที่ ด้วยภูมิอากาศที่เหมาะสม พื้นที่เพาะปลูกชา 91,541 ไร่ (68.94% ของพื้นที่ปลูกชาทั่วประเทศ) และพื้นที่กาแฟกว่า 54,000 ไร่ (25% ของพื้นที่ปลูกกาแฟทั้งประเทศ) ประกอบกับประสบการณ์และนวัตกรรมของผู้ประกอบการในพื้นที่ เชียงรายจึงพร้อมก้าวสู่การเป็น “ศูนย์กลางชา-กาแฟของเอเชีย”

แนวโน้มของอุตสาหกรรมในอนาคตจะมุ่งเน้นไปที่การผลิตที่ยั่งยืน การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การสร้างมูลค่าเพิ่มจากการวิจัยและนวัตกรรม ไปจนถึงการจัดงานเทศกาลชา-กาแฟระดับนานาชาติที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกมาร่วมสัมผัสประสบการณ์ตรงในเชียงราย

โอกาสทองของเชียงรายบนเวทีเศรษฐกิจสร้างสรรค์

งาน “Global Coffee and Tea Association Forum 2025” สะท้อนความสำเร็จของการบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน วิชาการ และประชาสังคม เพื่อสร้างโอกาสใหม่ให้กับเชียงราย ไม่ใช่แค่ “แหล่งผลิตวัตถุดิบ” แต่เป็นผู้นำใน “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” และเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมชา-กาแฟระดับภูมิภาคและโลก

ความสำเร็จครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ผลักดันให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นมีโอกาสขยายตลาดในระดับโลก สถาบันวิชาการไทยมีเวทีวิจัยและนวัตกรรมที่สร้างอิทธิพลอย่างแท้จริง และผู้บริโภคทั่วโลกได้สัมผัสคุณภาพชาและกาแฟไทยโดยตรง

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายข้างหน้าคือการรักษามาตรฐานคุณภาพ การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตที่ยั่งยืน และการสร้างเครือข่ายระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างจริงจัง เชียงรายจะกลายเป็น “ฮับ” ชา-กาแฟแห่งเอเชีย และสร้างภาพจำใหม่บนแผนที่อุตสาหกรรมโลกอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน)
  • บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด
  • ข้อมูลจากการแถลงข่าวและงาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

เมืองรองสู่เวทีโลก เชียงรายพร้อมแจ้งเกิด! เรียนรู้จากเชียงใหม่เมืองที่ดีที่สุดอันดับ 2

เชียงรายก้าวสู่เมืองท่องเที่ยวระดับโลกถอดบทเรียนจากเชียงใหม่ อันดับ 2 “เมืองที่ดีที่สุดในโลก ปี 2025” สู่ความเป็นเลิศสากล

เชียงรายกับโอกาสบนเวทีโลกเมื่อเมืองรองขยับสู่เส้นทางความสำเร็จ

ประเทศไทย, 13 กรกฎาคม 2568 –  เมืองเหนือที่เปี่ยมด้วยศักยภาพ กำลังถูกจับตามองในฐานะเมืองท่องเที่ยวที่มีโอกาสแจ้งเกิดบนเวทีโลก หลังจากที่เชียงใหม่คว้าอันดับ 2 “เมืองที่ดีที่สุดในโลก ปี 2025” จากการจัดอันดับของ Travel + Leisure สื่อท่องเที่ยวยักษ์ใหญ่ระดับโลก หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความพร้อมของเชียงรายว่า จะสามารถเดินรอยตามเมืองพี่อย่างเชียงใหม่ สู่การเป็นจุดหมายในฝันของนักเดินทางนานาชาติได้หรือไม่

ไขรหัส “เมืองที่ดีที่สุดในโลก” จากมุมมอง Travel + Leisure

การจัดอันดับ “World’s Best Awards” ของ Travel + Leisure ไม่ได้วัดกันแค่ความสวยงามของแหล่งท่องเที่ยวหรือรสชาติอาหารเท่านั้น แต่ครอบคลุมองค์ประกอบสำคัญหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นระบบคมนาคมขนส่ง ความสะดวกในการเดินทาง พื้นที่สีเขียว ความเป็นมิตรของผู้คน ไปจนถึงบรรยากาศเมืองโดยรวม เมืองที่คว้าอันดับ 1 อย่างซานมิเกลเดอาเยนเดในเม็กซิโก โดดเด่นด้วยประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และการเป็นศูนย์กลางสำหรับนักสำรวจไวน์ ขณะที่เชียงใหม่และกรุงเทพฯ ของไทยเองก็ครองใจนักเดินทางจากทั่วโลกด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว

จุดแข็งของเชียงรายต่อยอดสู่ความยั่งยืน

แม้เชียงรายจะยังไม่ติดโผ 10 อันดับแรกของการจัดอันดับนี้ แต่ด้วยจุดแข็งหลายด้าน เมืองเหนือแห่งนี้ก็พร้อมจะพัฒนาและต่อยอดสู่มาตรฐานสากล

  • มรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ
    เชียงรายมีทั้งศิลปะ ประวัติศาสตร์ และธรรมชาติที่งดงาม เช่น วัดร่องขุ่น ดอยตุง ดอยแม่สลอง หรือสามเหลี่ยมทองคำ สถานที่เหล่านี้กลายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติอย่างต่อเนื่อง
  • เมืองแห่งชาและกาแฟ
    การประกาศวิสัยทัศน์ให้เชียงรายเป็น “เมืองแห่งชาและกาแฟ” ควบคู่กับการพัฒนาแบรนด์กาแฟ GI อย่างกาแฟดอยตุงและกาแฟดอยช้าง รวมถึงการจัดงานเทศกาลระดับชาติ สร้างภาพจำใหม่ให้เชียงรายเป็นจุดหมายของคอกาแฟและนักท่องเที่ยวสายประสบการณ์
  • นวัตกรรมและการวิจัย
    เชียงรายลงทุนในงานวิจัยและนวัตกรรมต่อเนื่อง เช่น “เชียงราย 1” “เชียงราย 2” หรือ “จมูกอิเล็กทรอนิกส์” ที่ใช้วิเคราะห์รสชาติกาแฟ ไปจนถึงผลิตภัณฑ์คาเฟอีนต่ำ เพิ่มมูลค่าและชื่อเสียงผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
  • โครงสร้างพื้นฐานและศักยภาพชายแดน
    เมืองเชียงรายได้รับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นถนน สนามบิน หรือด่านการค้าชายแดน จุดแข็งด้านที่ตั้งเป็น “ประตูสู่อาเซียน” เอื้อประโยชน์ต่อทั้งธุรกิจท่องเที่ยวและการค้าชายแดน
  • เมืองปลอดภัยและเป็นมิตร
    เชียงรายได้รับการจัดอันดับเป็น “เมืองปลอดภัยที่สุดในโลกอันดับ 2 สำหรับนักเดินทางหญิงสายดิจิทัล” สะท้อนถึงความปลอดภัยและบรรยากาศเป็นมิตรที่รองรับนักเดินทางจากทั่วโลก

ก้าวต่อไปของเชียงรายสู่เมืองในฝันของโลก

เชียงรายยังคงมีพื้นที่ให้พัฒนาและยกระดับไปอีกหลายด้านเพื่อสู่เป้าหมาย “เมืองที่ดีที่สุดในโลก” ดังนี้

  • ยกระดับประสบการณ์การท่องเที่ยว
    เมืองต้องไม่เพียงแค่สวยงาม แต่ต้องสร้างประสบการณ์ที่ลึกซึ้ง เช่น การท่องเที่ยวเชิงกาแฟ เรียนรู้วัฒนธรรมชนเผ่า หรือเข้าร่วมเทศกาลท้องถิ่น
  • พัฒนาโครงข่ายคมนาคมและสาธารณูปโภค
    การเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ควรเข้าถึงง่ายและปลอดภัย รวมถึงการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานให้พร้อมรับนักท่องเที่ยว
  • รักษาสิ่งแวดล้อมและเพิ่มพื้นที่สีเขียว
    การบริหารจัดการหมอกควัน มลพิษ และเพิ่มสวนสาธารณะ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่จะส่งผลต่อภาพลักษณ์และคุณภาพชีวิตของนักเดินทาง
  • เสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรมและความเป็นมิตร
    เมืองควรสร้างบรรยากาศเปิดกว้างสำหรับผู้คนหลากหลาย สร้างความประทับใจด้วยรอยยิ้มและการต้อนรับแบบไทย
  • การมีส่วนร่วมของชุมชน
    การให้คนท้องถิ่นมีบทบาทในการพัฒนาและรักษาอัตลักษณ์ รวมถึงการกระจายรายได้สู่ชุมชน จะสร้างความยั่งยืนให้กับเมือง
  • ประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์เชิงรุก
    การสื่อสารจุดแข็งของเชียงรายออกสู่เวทีโลกผ่านช่องทางดิจิทัลและสื่อระหว่างประเทศ จะยิ่งผลักดันให้เชียงรายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

เชียงรายพร้อมก้าวสู่เวทีสากล

เชียงรายคือเมืองที่รวมความโดดเด่นทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรม นวัตกรรม และความเป็นมิตรในบรรยากาศเดียวกัน หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันขับเคลื่อนและเสริมจุดแข็ง พัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน เมืองแห่งนี้มีศักยภาพมากพอจะกลายเป็นหนึ่งในจุดหมายสำคัญของนักเดินทางระดับโลก

การถอดบทเรียนจากเชียงใหม่และเมืองชั้นนำอื่นๆ ของโลก ไม่ใช่เพียงการลอกเลียนแบบ แต่คือการปรับใช้และสร้างจุดขายเฉพาะตัวที่เชียงรายมีอย่างแท้จริง เมื่อถึงวันนั้น เชียงรายจะเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของไทยที่ยืนหยัดบนเวทีโลกอย่างสง่างาม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

หน่วยไซเบอร์ทหารเผย กัมพูชาใช้แฮกเกอร์เกาหลีเหนือ

เผยปฏิบัติการไซเบอร์รุกคืบ หน่วยงานความมั่นคงไทยจับตา “แฮกเกอร์เกาหลีเหนือ” ร่วมกัมพูชา โจมตีระบบไทย – ผบ.ไซเบอร์ทหารชี้งบ 97 ล้านเน้นรับมือภัยคุกคามยุคดิจิทัล

เชียงราย, 1 กรกฎาคม 2568 – ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา ล่าสุดประเด็นการโจมตีทางไซเบอร์กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง เมื่อหน่วยงานความมั่นคงของไทยเปิดเผยต่อสาธารณชนถึงการตรวจพบการเคลื่อนไหวของแฮกเกอร์ชาวเกาหลีเหนือที่ร่วมมือกับกลุ่มในกัมพูชา เพื่อโจมตีเป้าหมายในประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ปัญหาความมั่นคงในภูมิภาคยังคงอยู่ในภาวะอ่อนไหว

เผยความร่วมมือ “แฮกเกอร์เกาหลีเหนือ-กัมพูชา” เจาะระบบไทย

ข้อมูลที่เปิดเผยโดยวาสนา นาน่วม นักข่าวสายทหารชื่อดัง PPTV ระบุว่า พลโท ชาติชาย ชัยเกษม ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการไซเบอร์ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ได้ชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2568 ว่ามีหลักฐานชี้ชัดถึงการใช้แฮกเกอร์จากเกาหลีเหนือที่ทำงานร่วมกับกลุ่มในกัมพูชา โจมตีระบบของไทย โดยรูปแบบและความเชื่อมโยงยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นการจ้างงานส่วนตัวหรือเป็นความร่วมมือในระดับรัฐระหว่างสองประเทศ

พลโท ชาติชาย กล่าวย้ำว่า “หน่วยบัญชาการไซเบอร์ทหาร” ก่อตั้งเมื่อ 1 ตุลาคม 2567 ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อบูรณาการความร่วมมือด้านไซเบอร์ในกองทัพและระหว่างหน่วยงานความมั่นคงในประเทศ รวมถึงตำรวจไซเบอร์ โดยมีภารกิจสำคัญคือ การปกป้องระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ทั้งที่เชื่อมโยงกับอินเทอร์เน็ตและไม่เชื่อมโยงอินเทอร์เน็ต เพื่อรับมือกับรูปแบบสงครามยุคใหม่

งบ 97 ล้านบาท สร้างเกราะป้องกันไซเบอร์ระดับชาติ

ในการนำเสนองบประมาณปี 2569 ต่อสภาผู้แทนราษฎร หน่วยบัญชาการไซเบอร์ทหารได้ขอใช้งบประมาณ 97 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ เน้นการป้องกัน-แก้ไขปัญหาเว็บไซต์และระบบต่างๆ ของหน่วยงานภาครัฐที่ถูกโจมตี รวมถึงการค้นหาตัวผู้โจมตีและจัดส่งข้อมูลให้ตำรวจไซเบอร์ดำเนินการออกหมายจับ ดำเนินคดี และตอบโต้ตามความเหมาะสม

พลโท ชาติชาย เปิดเผยอีกว่า การโจมตีทางไซเบอร์เกิดขึ้นต่อเนื่องทุกวัน โดยเป้าหมายหลักมักเป็นหน่วยงานพลเรือน รัฐบาล และโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งทีมงานไซเบอร์ทหารประกอบด้วยวิศวกรโปรแกรมเมอร์ OT Security Expert ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการคุ้มครองความมั่นคงทางดิจิทัล

“เราไม่ได้นำงบไปทำ IO (Information Operation) เพราะไซเบอร์ทหารเป็นนักเทคนิคมืออาชีพ ไม่เกี่ยวกับ IO ที่เน้นสร้างคอนเทนต์หรือแนวคิด ซึ่งส่วนนี้เยาวชนหรือบุคคลทั่วไปก็สามารถทำได้ แต่การป้องกันโครงสร้างพื้นฐานของประเทศจำเป็นต้องใช้ทักษะขั้นสูง” พลโท ชาติชายกล่าว

วิกฤตไซเบอร์กับยุทธศาสตร์มั่นคงไทย

ความร่วมมือระหว่างแฮกเกอร์เกาหลีเหนือและกลุ่มในกัมพูชา สะท้อนแนวโน้มของ “สงครามยุคใหม่” ที่รัฐไม่จำเป็นต้องเคลื่อนทัพหรือใช้อาวุธร้ายแรง แต่สามารถสร้างความเสียหายหรือความวุ่นวายผ่านไซเบอร์สเปซ ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีเว็บไซต์ ขโมยข้อมูล หรือทำลายความน่าเชื่อถือของหน่วยงานรัฐ

รายงานจากหน่วยงานความมั่นคงของไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พบว่ากลุ่มแฮกเกอร์จากเกาหลีเหนือเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูงและเคยโจมตีเป้าหมายทั่วโลก เช่น กลุ่ม Lazarus ที่มีประวัติโจมตีระบบการเงิน, สถาบันการเงิน, หน่วยงานรัฐ และโครงสร้างพื้นฐานในหลายประเทศ รวมถึงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในขณะที่ไทยกำลังพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ผลักดันโครงการเมืองอัจฉริยะ การสร้างเกราะป้องกันไซเบอร์ระดับชาติและการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อป้องกันปัญหาการโจมตีที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ

บทสรุปและข้อวิเคราะห์

การเปิดเผยของหน่วยบัญชาการไซเบอร์ทหารต่อสาธารณะในครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณเตือนสำหรับภาครัฐและภาคเอกชนให้ตระหนักถึงภัยไซเบอร์และร่วมกันเสริมสร้างมาตรการป้องกัน ความร่วมมือระหว่างแฮกเกอร์ระดับนานาชาติและกลุ่มในภูมิภาคถือเป็นภัยคุกคามใหม่ที่อาจนำไปสู่ผลกระทบต่อความมั่นคงแบบไร้ขีดจำกัด

ในขณะเดียวกัน การลงทุนในบุคลากรและเทคโนโลยีด้านไซเบอร์ ตลอดจนการยกระดับศักยภาพของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเป็นหัวใจสำคัญของยุทธศาสตร์ความมั่นคงยุคใหม่ที่ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • PPTV, รายงานข่าวโดยวาสนา นาน่วม
  • คณะกรรมาธิการงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร
  • กองบัญชาการไซเบอร์ทหาร กองทัพไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ประวัติศาสตร์ชาติไทย สัญชาติเพื่อผู้ไร้สถานะ เปิดทางสู่ความเท่าเทียม

ธีรรัตน์” ประกาศใช้หลักเกณฑ์ใหม่ เร่งรัดสิทธิสัญชาติไทยลูกหลานกลุ่มชาติพันธุ์ในเชียงราย ย้ำโปร่งใส ตรวจสอบได้

เชียงราย, 30 มิถุนายน 2568 – น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงถึงการประกาศใช้หลักเกณฑ์เร่งรัดแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลในกลุ่มชาติพันธุ์และบุตรของคนต่างด้าวที่เกิดในราชอาณาจักรไทย โดยประกาศฉบับนี้ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 มีผลบังคับใช้แล้วในราชกิจจานุเบกษา เป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้คนที่เกิดในประเทศไทยแต่ยังไม่มีสัญชาติไทย สามารถยื่นขอสัญชาติได้สะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

ประตูใหม่” ให้ลูกหลานกลุ่มชาติพันธุ์ได้สิทธิเท่าเทียม

สาระสำคัญของประกาศฯ คือ การเร่งรัดขั้นตอนยื่นขอสัญชาติสำหรับบุตรของคนต่างด้าวที่เกิดในไทย โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์และชนกลุ่มน้อยที่มีการจัดทำทะเบียนประวัติแล้วกว่า 140,000 ราย ให้สามารถขอสัญชาติไทยได้โดยทั่วไป ยึดแนวทางความมั่นคงของชาติและหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ กระบวนการทั้งหมดเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ประเมินและกลั่นกรองอย่างละเอียด รอบคอบ โปร่งใส โดยเน้นย้ำถึงคุณสมบัติและเงื่อนไขที่ชัดเจน เช่น ต้องมีทะเบียนประวัติ มีเลขประจำตัวประชาชนที่เข้าหลักเกณฑ์ที่กำหนด มีการรับรองพฤติกรรมจากตำรวจในท้องที่ ฯลฯ

ระยะเวลา-วิธีการขอชัดเจน

ในประกาศกระทรวงมหาดไทยกำหนดให้ยื่นคำขอภายใน 1 ปี นับแต่ประกาศมีผลบังคับใช้ หรือจนกว่าจะมีมติ ครม. ขยายเวลาออกไป การดำเนินการใช้รูปแบบ “One Stop Service” ยื่นขอในพื้นที่ได้ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด กำหนดให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยหรือผู้แทนเป็นผู้วินิจฉัย ตรวจสอบขั้นตอนทุกประการเพื่อความถูกต้อง แม้จะเป็นการอำนวยความสะดวกแต่ยังคงความเข้มงวด โดยเฉพาะเรื่องความมั่นคงและพฤติกรรมผู้ขอ

ผลักดันด้วยยุทธศาสตร์ชาติ – “ไม่ใช่ต่างด้าวทั่วไป”

กลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มชาติพันธุ์/ชนกลุ่มน้อย ที่อยู่ในไทยมานาน มีทะเบียนประวัติ มีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก เริ่มต้นด้วยเลข 6 (หรือ 5/8) และเลขหลักที่หก-เจ็ดเป็น 50-72 หรือผู้ได้รับการสำรวจตามยุทธศาสตร์แห่งชาติ (เช่น เลข 0…89 สำหรับบางกลุ่ม) กลุ่มนี้ “ไม่ใช่ต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย” หรือผู้หนีภัย/แรงงานข้ามชาติที่มีพาสปอร์ต และไม่เกี่ยวกับผู้มีวีซ่าชั่วคราว

ทิศทางนโยบาย – สร้างโอกาส สร้างคุณค่า ลดเหลื่อมล้ำ

น.ส.ธีรรัตน์ ย้ำว่า รัฐบาลจะเดินหน้าขับเคลื่อนตามนโยบายมติ ครม. ให้ความสำคัญเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น การเข้าถึงบริการสาธารณสุข การศึกษา สิทธิทางเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ทัดเทียมชาวไทย พร้อมย้ำการมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอดกระบวนการ เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ทุกฝ่าย

การประกาศใช้หลักเกณฑ์ใหม่นี้ยังได้รับคำชื่นชมจากองค์การระหว่างประเทศว่าเป็นก้าวสำคัญด้านสิทธิมนุษยชน และเป็นแบบอย่างสำหรับภูมิภาค

วิเคราะห์สถานการณ์

การเดินหน้าประกาศและปฏิบัติหลักเกณฑ์ดังกล่าว สะท้อนความตั้งใจจริงของรัฐไทยในการแก้ปัญหาสถานะบุคคลอย่างยั่งยืน ช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ลดช่องว่างด้านสิทธิขั้นพื้นฐาน และสร้างความเชื่อมั่นแก่กลุ่มชาติพันธุ์ว่าจะได้รับโอกาสและการปกป้องตามหลักกฎหมายไทยอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงมหาดไทย
  • กรมการปกครอง
  • สำนักทะเบียนกลาง
  • มติคณะรัฐมนตรี 29 ต.ค. 2567
  • ราชกิจจานุเบกษา
  • สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News