Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

พระราชทานดินฝังศพ “วีระ เย็นเต็ก” อดีตเจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า เสด็จพระราชดำเนินพระราชทานดินบรรจุศพพระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร

เชียงราย, 24 กุมภาพันธ์ 2568 – สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปในการ พระราชทานดินบรรจุศพพระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร (วีระ เย็นเต็กมหาเถระ) อดีตเจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย และอดีตเจ้าอาวาสวัดโพธิ์แมนคุณาราม ณ วัชระเจดีย์ธรรมสมาธิวัตรอนุสรณ์ วัดหมื่นพุทธเมตตาคุณาราม อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย

พระราชพิธีพระราชทานดินบรรจุศพ

วันนี้ (24 กุมภาพันธ์ 2568) สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จขึ้น วัชระเจดีย์ธรรมสมาธิวัตรอนุสรณ์ ทรงทอดผ้าไตร 10 ไตรที่จิตกาธานหน้าหีบศพ พระมหาเถระ 10 รูป พิจารณาผ้าไตร จากนั้นทรงหยิบกระทงข้าวตอกดอกไม้จากเจ้าพนักงานพระราชพิธีวางข้างหีบศพ และทรงหยิบดินห่อผ้าขาว-ดำ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จำนวน 10 คู่ วางที่หน้าหีบศพ รวมถึงทรงหยิบดินส่วนพระองค์ 1 คู่ วางที่หน้าหีบศพ

จากนั้น ผู้รักษาการแทนเจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย และเจ้าอาวาสวัดหมื่นพุทธเมตตาคุณาราม ได้ถวายหนังสือที่ระลึก ก่อนเสด็จพระราชดำเนินกลับ

บุคคลสำคัญร่วมพิธี

พิธีดังกล่าวมีบุคคลสำคัญเข้าร่วม อาทิ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นำปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย รองผู้ว่าราชการจังหวัด ศาล ทหาร ตำรวจ และข้าราชการ รวมถึงประชาชนจากทั่วทุกสารทิศเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาทรับเสด็จ ทั้งนี้ ประชาชนชาวเชียงรายที่เข้าเฝ้าฯ ต่างเปล่งเสียง ทรงพระเจริญ” ด้วยความจงรักภักดี

ประวัติและคุณูปการของพระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร

พระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร (เย็นเต็ก) เกิดเมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2479 มีนามเดิมว่า วีระ โพธิชาญประเสริฐ เป็นชาวจังหวัดกาญจนบุรี ท่านเข้าบรรพชาอุปสมบทที่ วัดโพธิ์เย็น สังกัดจีนนิกาย อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2500 ได้รับฉายาทางธรรมว่า เย็นเต็ก”

หลังการอุปสมบท ท่านได้ศึกษาปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา วัดโพธิ์แมนคุณาราม โดยได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสหลังการมรณภาพของพระอุปัชฌาย์ในปี พ.ศ. 2529 กระทั่งถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2566 ณ โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ กรุงเทพมหานคร สิริอายุ 87 ปี พรรษา 66

พระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร (วีระ เย็นเต็กมหาเถระ) เป็นพระมหาเถระผู้มีคุณธรรมและปฏิบัติงานด้านพระพุทธศาสนาอย่างมากมาย โดยท่านได้อุทิศตนบำเพ็ญประโยชน์แก่คณะสงฆ์ สังคม และประเทศชาติในด้านต่างๆ ได้แก่:

  • ด้านการปกครอง – เป็นผู้นำจีนนิกายในประเทศไทย และส่งเสริมการพัฒนาวัดจีน
  • ด้านการศึกษา – สนับสนุนการศึกษาพระธรรม และพัฒนาสถาบันสงฆ์
  • ด้านการเผยแผ่พุทธศาสนา – ส่งเสริมการเผยแผ่คำสอนพุทธศาสนาในชุมชนจีนและไทย

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • อายุของพระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตรเมื่อมรณภาพ: 87 ปี (ที่มา: วัดโพธิ์แมนคุณาราม)
  • จำนวนพรรษาที่รับใช้พระพุทธศาสนา: 66 พรรษา (ที่มา: วัดโพธิ์แมนคุณาราม)
  • จำนวนนักบวชจีนนิกายในประเทศไทย: ประมาณ 500 รูป (ที่มา: สำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ)
  • จำนวนวัดจีนนิกายในประเทศไทย: กว่า 20 แห่ง (ที่มา: สำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ)
  • จำนวนประชาชนที่เข้าร่วมพิธีในเชียงราย: กว่า 5,000 คน (ที่มา: สำนักข่าวท้องถิ่นเชียงราย)

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. ทำไมสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ จึงเสด็จพระราชดำเนินมาประกอบพิธีนี้?
    เพื่อทรงพระราชทานเกียรติและแสดงความเคารพแด่พระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อพุทธศาสนาในประเทศไทย
  2. วัดหมื่นพุทธเมตตาคุณาราม คือที่ใด?
    เป็นวัดจีนนิกายสำคัญในจังหวัดเชียงราย ซึ่งใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีพระราชทานดินบรรจุศพครั้งนี้
  3. พระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตรมีบทบาทอย่างไรในจีนนิกาย?
    ท่านเป็นอดีตเจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย และเจ้าอาวาสวัดโพธิ์แมนคุณาราม มีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่พุทธศาสนา
  4. ประชาชนสามารถร่วมรำลึกถึงท่านได้อย่างไร?
    สามารถสวดมนต์ถวายบุญกุศล หรือเดินทางไปสักการะที่วัดโพธิ์แมนคุณาราม
  5. จีนนิกายมีความสำคัญอย่างไรในพุทธศาสนาไทย?
    เป็นนิกายหนึ่งของพุทธศาสนาในไทย ที่มีอิทธิพลจากมหายาน และมีวัดสำคัญหลายแห่ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

เพื่อไทยปะทะภูมิใจไทย ปชช.เชื่อสุดท้ายจบลงดี

นิด้าโพลเผย ปชช. เชื่อเพื่อไทยและภูมิใจไทยจะยุติความขัดแย้งได้

ประเทศไทย, 23 กุมภาพันธ์ 2568 – ศูนย์สำรวจความคิดเห็น นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับ ความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ซึ่งดำเนินการระหว่างวันที่ 17-18 กุมภาพันธ์ 2568 โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศจำนวน 1,310 คน

จากตัวเลขผลสำรวจของ นิด้าโพล พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่รับรู้ถึงความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย แต่ไม่ได้มองว่าเป็นความขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นแตกหัก โดยมีเพียง ร้อยละ 10.38 ที่เห็นว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องจริงจังมาก ขณะที่ ร้อยละ 38.85 มองว่าเป็นเพียงความขัดแย้งที่ไม่รุนแรงมากนัก

ในแง่ของ แนวโน้มการยุติความขัดแย้ง พบว่า ร้อยละ 38.09 เชื่อว่าท้ายที่สุดทั้งสองพรรคจะตกลงกันได้ และ ร้อยละ 37.40 มองว่าแม้จะมีความขัดแย้ง แต่ทั้งสองพรรคจะยังคงร่วมรัฐบาลกันต่อไป ซึ่งสะท้อนว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้มองว่าวิกฤตครั้งนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่

อย่างไรก็ตาม มีประชาชน ร้อยละ 17.40 ที่มองว่าอาจมีการ ยุบสภา และ ร้อยละ 10.31 เชื่อว่าอาจมีการ ปรับคณะรัฐมนตรี โดยดึงกระทรวงสำคัญออกจากพรรคภูมิใจไทย ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างภายในรัฐบาล

ในภาพรวม ประชาชนส่วนใหญ่มองว่าความขัดแย้งนี้จะได้รับการแก้ไขในที่สุด และไม่ได้คาดหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ เช่น การถอนตัวของพรรคภูมิใจไทยหรือการยุบสภา ซึ่งมีผู้สนับสนุนเพียง ร้อยละ 2.52 และ 7.10 ตามลำดับ

ในแง่ของประชากรกลุ่มตัวอย่าง กลุ่มอายุที่มีสัดส่วนมากที่สุดคือ 46-59 ปี (26.64%) และ กลุ่มที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท (34.50%) ซึ่งสะท้อนว่ากลุ่มประชากรวัยกลางคนที่มีรายได้ปานกลางให้ความสนใจและแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นนี้เป็นอย่างมาก

โดยสรุป ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้มองว่าความขัดแย้งระหว่างสองพรรคจะรุนแรงถึงขั้นเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองอย่างสิ้นเชิง และคาดว่าทั้งสองพรรคจะสามารถหาทางออกร่วมกันได้ในที่สุด

การรับรู้ของประชาชนต่อความขัดแย้งทางการเมือง

จากการสำรวจพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่รับรู้ถึงความขัดแย้งระหว่างสองพรรค โดย:

  • ร้อยละ 38.85 ระบุว่า มีความขัดแย้งกันแต่ไม่รุนแรงมาก
  • ร้อยละ 32.91 เชื่อว่า มีความขัดแย้งกันอย่างจริงจังพอสมควร
  • ร้อยละ 17.40 มองว่า ไม่มีความขัดแย้งกันเลย
  • ร้อยละ 10.38 เห็นว่า มีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง
  • ร้อยละ 0.46 ไม่สนใจหรือไม่ตอบคำถาม

บทสรุปที่เป็นไปได้ของความขัดแย้ง

เมื่อถามถึงบทสรุปของความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ประชาชนให้ความเห็นดังนี้:

  • ร้อยละ 38.09 เชื่อว่า ทั้งสองพรรคจะตกลงกันได้และยุติความขัดแย้ง
  • ร้อยละ 37.40 เชื่อว่า ความขัดแย้งจะดำเนินต่อไปแต่ยังอยู่ร่วมรัฐบาลกัน
  • ร้อยละ 10.31 คาดว่า จะมีการปรับคณะรัฐมนตรีและดึงกระทรวงสำคัญออกจากพรรคภูมิใจไทย
  • ร้อยละ 7.10 เชื่อว่านายกรัฐมนตรีอาจ ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร
  • ร้อยละ 2.52 มองว่า พรรคภูมิใจไทยอาจถอนตัวจากรัฐบาล
  • ร้อยละ 2.21 เชื่อว่า พรรคภูมิใจไทยจะยอมถอยให้พรรคเพื่อไทย
  • ร้อยละ 1.30 คิดว่า พรรคเพื่อไทยจะยอมถอยให้พรรคภูมิใจไทย
  • ร้อยละ 1.07 เห็นว่า พรรคภูมิใจไทยอาจถูกปรับออกจากรัฐบาล

ความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับทางออกของปัญหา

เมื่อถามถึง ความต้องการของประชาชน เกี่ยวกับบทสรุปของความขัดแย้ง ผลสำรวจระบุว่า:

  • ร้อยละ 44.73 ต้องการให้ ทั้งสองพรรคตกลงกันได้และยุติความขัดแย้ง
  • ร้อยละ 21.60 เห็นว่าความขัดแย้งควรดำเนินต่อไปแต่ยังอยู่ร่วมรัฐบาล
  • ร้อยละ 17.40 สนับสนุนให้ นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร
  • ร้อยละ 9.24 ต้องการให้ มีการปรับคณะรัฐมนตรี
  • ร้อยละ 2.82 เห็นว่าพรรคภูมิใจไทยควรถอนตัวจากรัฐบาล
  • ร้อยละ 1.68 คิดว่าพรรคภูมิใจไทยควรยอมถอยให้พรรคเพื่อไทย
  • ร้อยละ 1.53 เห็นว่าพรรคภูมิใจไทยควรถูกปรับออกจากรัฐบาล
  • ร้อยละ 1.00 มองว่าพรรคเพื่อไทยควรยอมถอยให้พรรคภูมิใจไทย

ลักษณะทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง

  • เพศ: ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง
  • อายุ:
    • ร้อยละ 12.37 อายุ 18-25 ปี
    • ร้อยละ 17.94 อายุ 26-35 ปี
    • ร้อยละ 18.24 อายุ 36-45 ปี
    • ร้อยละ 26.64 อายุ 46-59 ปี
    • ร้อยละ 24.81 อายุ 60 ปีขึ้นไป
  • ภูมิลำเนา:
    • กรุงเทพฯ 8.55%
    • ภาคกลาง 18.63%
    • ภาคเหนือ 17.86%
    • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 33.35%
    • ภาคใต้ 13.82%
    • ภาคตะวันออก 7.79%

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • จำนวนกลุ่มตัวอย่าง: 1,310 ราย (ที่มา: นิด้าโพล)
  • ค่าความเชื่อมั่นของการสำรวจ: 97.0% (ที่มา: นิด้าโพล)
  • อัตราส่วนเพศของกลุ่มตัวอย่าง: ชาย 48.09% หญิง 51.91% (ที่มา: นิด้าโพล)
  • อัตราการรับรู้ของประชาชนต่อความขัดแย้ง: ร้อยละ 71.76 เชื่อว่ามีความขัดแย้งกันในระดับหนึ่ง (ที่มา: นิด้าโพล)
  • ความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการตกลงกันได้: ร้อยละ 38.09 เชื่อว่าท้ายที่สุดทั้งสองพรรคจะยุติความขัดแย้ง (ที่มา: นิด้าโพล)

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. การสำรวจนี้เชื่อถือได้หรือไม่?
    การสำรวจนี้มีค่าความเชื่อมั่น 97.0% และดำเนินการโดย นิด้าโพล ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือ
  2. ประชาชนส่วนใหญ่มีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับอนาคตของพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทย?
    ร้อยละ 38.09 เชื่อว่าท้ายที่สุดทั้งสองพรรคจะตกลงกันได้ และร้อยละ 37.40 มองว่าความขัดแย้งจะดำเนินต่อไปแต่ยังอยู่ร่วมรัฐบาล
  3. ผลสำรวจนี้มีผลต่อการเมืองไทยหรือไม่?
    แม้ว่าผลสำรวจนี้สะท้อนความคิดเห็นของประชาชน แต่ขึ้นอยู่กับพรรคการเมืองและรัฐบาลว่าจะดำเนินนโยบายอย่างไร
  4. การสำรวจนี้จัดทำขึ้นอย่างไร?
    ใช้การสุ่มตัวอย่างจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลหลัก (Master Sample) และเก็บข้อมูลทางโทรศัพท์
  5. ผลสำรวจนี้มีการเปรียบเทียบกับการสำรวจก่อนหน้าหรือไม่?
    ผลสำรวจนี้เป็นการสำรวจล่าสุดและแสดงแนวโน้มของความคิดเห็นของประชาชนต่อความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

‘อัครา’ เปิดไฟฟ้าส่องสว่าง บ้านผาลั้ง พัฒนาชุมชนบนพื้นที่สูง

บ้านผาลั้งได้ไฟฟ้าแล้ว! ฉลอง 70 ปีแห่งการรอคอย รมช.เกษตรฯ นำความเจริญสู่ชุมชนบนพื้นที่สูง

ไฟฟ้าส่องสว่างสร้างโอกาส พัฒนาการศึกษา-เศรษฐกิจ หนุนภูมิปัญญาท้องถิ่นควบคู่เทคโนโลยี

เชียงราย, 22 กุมภาพันธ์ 2568บ้านผาลั้ง หมู่ที่ 4 ตำบลห้วยชมภู อำเภอเมืองเชียงราย ฉลองครั้งใหญ่ในรอบ 70 ปี หลังได้รับการขยายเขตการใช้ไฟฟ้าเข้าสู่พื้นที่สำเร็จ โดยมี นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงานเฉลิมฉลอง ณ ลานอเนกประสงค์บ้านผาลั้ง พร้อมเน้นย้ำถึง การบูรณาการเทคโนโลยีและภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่สูง

ในงานดังกล่าวมี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น และชาวบ้านในพื้นที่เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก เพื่อร่วมเป็นสักขีพยานในช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของบ้านผาลั้งที่รอคอยไฟฟ้ามานานกว่า 7 ทศวรรษ

ไฟฟ้า: จุดประกายความหวังใหม่ให้บ้านผาลั้ง

นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า โครงการขยายเขตไฟฟ้าเข้าสู่บ้านผาลั้งครั้งนี้ เป็นมากกว่าการติดตั้งเสาไฟฟ้าและเดินสายส่ง แต่ถือเป็น การนำพาความหวัง โอกาส และความก้าวหน้ามาสู่ชุมชน โดยเฉพาะใน 3 ด้านสำคัญ ได้แก่

  • การศึกษา – ไฟฟ้าจะช่วยให้เด็กและเยาวชนมีโอกาสทางการศึกษาที่ดียิ่งขึ้น สามารถเรียนออนไลน์ เข้าถึงข้อมูลสารสนเทศ และเปิดโลกการเรียนรู้ให้กว้างขึ้น
  • เศรษฐกิจและอาชีพ – การมีไฟฟ้าจะช่วย เพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ เช่น การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร การพัฒนาหัตถกรรม และการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีที่ช่วยให้การทำเกษตรกรรมมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • สุขภาพและคุณภาพชีวิต – ไฟฟ้าจะช่วยให้ชุมชนมีน้ำสะอาดผ่านระบบสูบน้ำ มีไฟส่องสว่างในเวลากลางคืน ลดอุบัติเหตุ และช่วยให้บริการสาธารณสุขทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

“ไฟฟ้าไม่ใช่แค่แสงสว่าง แต่เป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ผมเชื่อว่า ไฟฟ้าจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่ทำให้บ้านผาลั้งเติบโตอย่างยั่งยืน และช่วยให้พี่น้องชาวผาลั้งก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง” นายอัครากล่าว

ภูมิปัญญาท้องถิ่น + นวัตกรรม = ทางรอดของเศรษฐกิจบ้านผาลั้ง

นายอัครา ยังกล่าวถึงความสำคัญของการ ผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับชุมชน

“บ้านผาลั้งเป็นแหล่งวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์และมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ภูมิปัญญาท้องถิ่นของพี่น้องชาวบ้านผาลั้ง คือสมบัติล้ำค่าที่สามารถพัฒนาให้กลายเป็นจุดแข็งทางเศรษฐกิจ เราต้องนำเทคโนโลยีมาช่วยให้ผลิตภัณฑ์และบริการมีคุณภาพดีขึ้น ขยายตลาดได้กว้างขึ้น และสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับชุมชน”

ตัวอย่างอุตสาหกรรมที่สามารถใช้ไฟฟ้าเพื่อเพิ่มศักยภาพ ได้แก่:

  • เกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) – ใช้ระบบควบคุมอัตโนมัติสำหรับการให้น้ำและปุ๋ย
  • การแปรรูปผลผลิต – เช่น การทำชา กาแฟ หรือผลิตภัณฑ์แปรรูปจากพืชท้องถิ่น
  • งานหัตถกรรมและของที่ระลึก – เช่น ผ้าทอพื้นเมือง เครื่องจักสาน และผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่

“ผมขอชื่นชมในความเข้มแข็งของพี่น้องชาวผาลั้ง ที่สามารถรักษาและสืบทอดภูมิปัญญาอันดีงามของบรรพบุรุษไว้ ผมเชื่อมั่นว่า หากเราผสมผสานภูมิปัญญากับเทคโนโลยีอย่างถูกต้อง บ้านผาลั้งจะสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและเป็นที่ต้องการของตลาดได้แน่นอน” รมช.เกษตรฯ กล่าว

บ้านผาลั้งเติบโตอย่างยั่งยืน: กระทรวงเกษตรฯ พร้อมให้การสนับสนุน

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) มีแผนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนบ้านผาลั้งในระยะยาว โดยเน้น 3 แนวทางหลัก ได้แก่

1️.ส่งเสริมอาชีพและพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน

  • พัฒนาระบบตลาดสินค้าเกษตร
  • สนับสนุนเงินทุนและองค์ความรู้ด้านการประกอบอาชีพ
  • สนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์

2.พัฒนาสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน

  • ขยายโครงข่ายไฟฟ้าและระบบน้ำประปาภูเขา
  • สนับสนุนการพัฒนาถนนและเส้นทางคมนาคม
  • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการท่องเที่ยว

3.เสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน

  • อบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากร
  • สนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น โซลาร์เซลล์
  • พัฒนาเครือข่ายความร่วมมือกับองค์กรภายนอกเพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ

สรุป

  • บ้านผาลั้งได้ไฟฟ้าแล้วหลังรอคอยกว่า 70 ปี
  • รมช.เกษตรฯ เปิดงานเฉลิมฉลองและเน้นย้ำความสำคัญของไฟฟ้าต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต
  • ไฟฟ้าช่วยเปิดโอกาสใหม่ด้านการศึกษา อาชีพ และสุขภาพของชุมชน
  • รัฐบาลส่งเสริมการผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจบ้านผาลั้ง
  • กระทรวงเกษตรฯ พร้อมสนับสนุนอาชีพ สาธารณูปโภค และความเข้มแข็งของชุมชนในระยะยาว

โครงการขยายไฟฟ้าสู่บ้านผาลั้ง ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาพื้นที่สูง และเป็นตัวอย่างของความสำเร็จในการนำ พลังงานและเทคโนโลยีมาขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งจะช่วยให้ชุมชนเติบโตอย่างยั่งยืนและมีอนาคตที่มั่นคงมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

พบจุดเผาป่า 5 จุด บุกรุกตัดไม้ทำลายป่าแม่สรวย

เจ้าหน้าที่ปกครอง-ป่าไม้ เชียงราย เข้าตรวจสอบพื้นที่ป่าแม่สรวย พบการบุกรุกและเผาป่าเพื่อทำการเกษตร

เชียงราย, 21 กุมภาพันธ์ 2568 – เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ร่วมกับหน่วยป้องกันรักษาป่า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำกำลังเข้าตรวจสอบพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่ลาวฝั่งซ้าย บริเวณบ้านห้วยหญ้าไซ หมู่ 9 และบ้านจะหา หมู่ 11 ตำบลป่าแดด อำเภอแม่สรวย หลังได้รับแจ้งเหตุบุกรุกป่าและตัดไม้ทำลายป่าในหลายจุด

จากการตรวจสอบพื้นที่ เจ้าหน้าที่พบว่ามีการบุกรุกและตัดต้นไม้เพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับทำการเกษตร จำนวน 3 จุด มีร่องรอยการโค่นต้นไม้ขนาดใหญ่และการเผาพื้นที่ป่า ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศในพื้นที่ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึดพื้นที่ พร้อมทั้งเก็บรวบรวมไม้ของกลางเพื่อนำส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรแม่สรวย เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และติดตามหาตัวผู้กระทำผิดต่อไป

พบจุดความร้อน 5 จุด เผาป่าเตรียมพื้นที่เกษตร

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ได้เดินลาดตระเวนเพื่อตรวจสอบ จุดความร้อน (Hotspot) ที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 8-11 กุมภาพันธ์ 2568 พบว่ามีการเผาพื้นที่ป่าเพื่อเตรียมการเพาะปลูก จำนวน 5 จุด ซึ่งอยู่ในเขตติดต่อระหว่าง โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ บ้านห้วยหญ้าไซ และ ป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ลาวฝั่งซ้าย

เจ้าหน้าที่ได้ทำการบันทึกพิกัดจุดเผาเพื่อนำไปตรวจสอบกับแผนที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากพบว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จะมีการดำเนินคดีตาม พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และ พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 รวมถึงกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ จะมีการเฝ้าระวังและป้องกันไม่ให้มีการลักลอบเผาป่าเพิ่มเติมในอนาคต

เจ้าหน้าที่ภาคสนามร่วมปฏิบัติการเข้มงวด

สำหรับปฏิบัติการในครั้งนี้ ได้รับมอบหมายจาก นายปฤษฎางค์ สามัคคีนิชย์ นายอำเภอแม่สรวย ให้ นายจิตรกร คูสินไทย ปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง เป็นผู้นำกำลังชุดปฏิบัติการ ซึ่งประกอบด้วย:

  • สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.)
  • กำนันตำบลป่าแดด
  • รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ป่าแดด
  • เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ชร.7 (ท้าวแก่นจันทร์)
  • เจ้าหน้าที่จาก สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย)
  • หัวหน้าโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ บ้านห้วยหญ้าไซ

โดยการปฏิบัติการในครั้งนี้ถือเป็นความร่วมมือของหลายหน่วยงานที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาการบุกรุกและทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างจริงจัง

มาตรการเข้มงวดในการป้องกันการบุกรุกป่า

เจ้าหน้าที่ป่าไม้และหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่มีมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการบุกรุกป่าอย่างเข้มงวด โดยใช้ เทคโนโลยีดาวเทียมและการตรวจจับจุดความร้อน ในการติดตามการเผาป่า พร้อมทั้งลงพื้นที่ตรวจสอบและดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้มีการขยายพื้นที่บุกรุกเพิ่มเติม

ในช่วงปีที่ผ่านมา อำเภอแม่สรวยเป็นหนึ่งในพื้นที่เสี่ยงต่อปัญหาการบุกรุกและเผาป่า เนื่องจากมีการขยายพื้นที่ทำการเกษตรเพิ่มขึ้น ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ส่งผลให้เกิดไฟป่าได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะช่วงฤดูแล้ง เจ้าหน้าที่จึงได้วางแผนเพิ่มความเข้มงวดในการลาดตระเวน และให้ความรู้แก่ชุมชนในพื้นที่เกี่ยวกับผลกระทบของการบุกรุกป่าและเผาป่า เพื่อสร้างจิตสำนึกและลดปัญหาดังกล่าวในระยะยาว

ผลกระทบจากการบุกรุกป่าและเผาป่า

การบุกรุกป่าและเผาป่ามีผลกระทบต่อระบบนิเวศเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่ทำให้พื้นที่ป่าถูกทำลาย แต่ยังส่งผลต่อคุณภาพอากาศและปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ประเทศไทยเผชิญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในภาคเหนือของประเทศ

ผลกระทบที่สำคัญจากการบุกรุกป่าและเผาป่า ได้แก่:

  1. สูญเสียพื้นที่ป่าธรรมชาติ ซึ่งส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพ และทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า
  2. ปัญหาภัยแล้งและการกัดเซาะดิน พื้นที่ที่ถูกบุกรุกจะสูญเสียความสามารถในการกักเก็บน้ำ ทำให้เกิดปัญหาดินเสื่อมโทรมและภัยแล้งตามมา
  3. ฝุ่นละออง PM2.5 และมลพิษทางอากาศ การเผาป่าทำให้เกิดควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคทางเดินหายใจ
  4. ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น พื้นที่ป่าที่ถูกทำลายทำให้สูญเสียทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ในระยะยาว รวมถึงส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวที่เน้นความสมบูรณ์ของธรรมชาติ

เจ้าหน้าที่เตือนประชาชน หยุดเผาป่า หยุดทำลายทรัพยากร

จากสถานการณ์ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ป่าไม้และฝ่ายปกครองจึงขอความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ ให้ช่วยกันปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ และหลีกเลี่ยงการเผาป่า โดยเน้นย้ำว่า การบุกรุกป่าและเผาป่าเป็นความผิดทางกฎหมายที่มีบทลงโทษรุนแรง หากพบเห็นการกระทำผิด สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ หน่วยป้องกันรักษาป่าในพื้นที่ หรือสายด่วนกรมป่าไม้ โทร. 1362

ในระยะต่อไป เจ้าหน้าที่จะเร่งดำเนินการตรวจสอบพื้นที่อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมและโดรนในการติดตามพื้นที่ที่มีการบุกรุกและเผาป่า เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรธรรมชาติในระยะยาว

สรุป

  • เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ พื้นที่ป่าแม่สรวย จังหวัดเชียงราย พบการบุกรุกและเผาป่าเพื่อเตรียมการเกษตร จำนวน 3 จุด
  • ตรวจพบ จุดความร้อน 5 จุด ซึ่งเป็นการเผาป่าในพื้นที่ บ้านห้วยหญ้าไซ และบ้านจะหา
  • มีการตรวจยึดพื้นที่ พร้อมดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดตาม พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
  • เจ้าหน้าที่เรียกร้องให้ประชาชนร่วมมือ หยุดเผาป่า หยุดบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

เตือน ‘เชียงราย’ 2-3 วันนี้ อากาศแปรปรวน พายุฝนฟ้าคะนอง

ปภ.ช. เตือนอากาศแปรปรวน 2-3 วันนี้ ภาคใต้ฝนตกหนัก – กทม. ฝุ่นสูง

เชียงราย, 21 กุมภาพันธ์ 2568 – กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ปภ.ช.) แจ้งเตือนสภาพอากาศแปรปรวนทั่วประเทศในช่วง 2-3 วันนี้ โดยเฉพาะภาคใต้ที่มีฝนตกหนักและคลื่นลมแรง ขณะที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ค่าฝุ่นละออง PM2.5 สูงขึ้น และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกในช่วงสุดสัปดาห์ ก่อนที่สถานการณ์จะดีขึ้นตั้งแต่วันที่ 24-26 กุมภาพันธ์

สถานการณ์อากาศและมลพิษ

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาปภ.ช. เปิดเผยว่า เมื่อคืนวันที่ 20 กุมภาพันธ์ เกิดเหตุไฟไหม้ป่าที่แหลมกระทิง จ.ภูเก็ต กินพื้นที่กว่า 10 ไร่ เจ้าหน้าที่ระดมกำลังควบคุมเพลิงจนสามารถดับได้ในเช้าวันนี้ พร้อมเตือนให้ทุกพื้นที่เฝ้าระวังไฟป่าและดำเนินการดับไฟให้เร็วที่สุด

กรมควบคุมมลพิษรายงานว่า คุณภาพอากาศในบางพื้นที่แย่ลงเมื่อเทียบกับวันก่อน โดยพบค่าฝุ่น PM2.5 ในระดับสีส้มในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และภาคกลาง เช่น สิงห์บุรี และอ่างทอง ขณะที่ภาคเหนือ 17 จังหวัด สถานการณ์ดีขึ้น ไม่มีพื้นที่สีแดง แต่ยังมีจังหวัดสีส้ม ได้แก่ ลำปาง, พิษณุโลก, น่าน, เชียงราย และตาก

คาดการณ์ฝุ่น PM2.5 และอากาศแปรปรวน

  • วันที่ 21-23 กุมภาพันธ์: ภาคกลางและกรุงเทพฯ จะมีค่าฝุ่นสูงขึ้น
  • วันที่ 24-26 กุมภาพันธ์: ลมตะวันออกเฉียงเหนือพัดเข้ามา ทำให้คุณภาพอากาศดีขึ้น
  • วันที่ 27-28 กุมภาพันธ์: มีโอกาสที่ค่าฝุ่นจะกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง

จุดความร้อนและปัญหาไฟป่า

สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (จิสด้า) รายงานพบจุดความร้อน 264 จุดในประเทศไทย ส่วนใหญ่กระจายอยู่ในภาคตะวันตก ภาคกลาง และภาคอีสาน ขณะที่เมียนมา พบจุดความร้อนสูงสุดถึง 1,898 จุด รองลงมาคือ กัมพูชา ไทยอยู่ในอันดับที่ 4 โดยจังหวัดที่พบจุดความร้อนมากที่สุด ได้แก่:

  • ชัยภูมิ 47 จุด
  • ตาก 21 จุด
  • นครราชสีมา 18 จุด
  • ลพบุรี 15 จุด

กรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งเตือนอากาศแปรปรวน

  • ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก มีความชื้นสูงและอาจมีฝนตกบางพื้นที่
  • ภาคเหนือตอนล่างและภาคใต้มีฝนตก แต่ไม่สามารถลดระดับฝุ่นละอองได้มากนัก
  • วันที่ 23-25 กุมภาพันธ์ ต้องเฝ้าระวังพายุฝนฟ้าคะนองและฝนตกหนักใน ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร, สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช
  • อ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ประชาชนริมฝั่งระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือขนาดเล็กในช่วงเวลาดังกล่าว

สรุป: เตือนอากาศแปรปรวน ฝุ่นสูง-ฝนตกหนัก ต้องเฝ้าระวัง

ปภ.ช. ขอให้ประชาชนติดตามพยากรณ์อากาศและปฏิบัติตามคำแนะนำของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงฝนตกหนักและค่าฝุ่นสูง เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพและความปลอดภัยในช่วงสัปดาห์นี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ปภ.ช.) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายลุยฉีดวัคซีน 7.8 ล้านโดส ป้องกันลัมปี สกิน สร้างความเชื่อมั่นปศุสัตว์

รมช.เกษตรฯ Kick Off ฉีดวัคซีนลัมปี สกิน 7.8 ล้านโดส ลดความสูญเสีย-เพิ่มความเชื่อมั่นปศุสัตว์ไทย

เชียงราย, 21 กุมภาพันธ์ 2568 – กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดตัวโครงการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคลัมปี สกินทั่วประเทศ จำนวน 7.8 ล้านโดส โดยเริ่มต้นจากจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่นำร่องสำหรับสร้างเขตปลอดโรคปศุสัตว์ และเตรียมความพร้อมเพื่อผลักดันการส่งออกโค กระบือไปยังตลาดจีน

วันนี้ (21 ก.พ. 68) นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธีเปิดโครงการ Kick Off รณรงค์ฉีดวัคซีนโรคลัมปี สกิน ณ ลานทองฟาร์ม ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย โดยมีเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ ตัวแทนภาครัฐ และเกษตรกรเข้าร่วมอย่างคับคั่ง

เป้าหมายและแผนการฉีดวัคซีน

  • รัฐบาลจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 เพื่อควบคุมโรคดังกล่าว ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567
  • กรมปศุสัตว์ได้รับงบกลางสำหรับจัดซื้อวัคซีน 7,850,000 โดส ป้องกันการระบาดรุนแรง ลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ และสร้างความเชื่อมั่นในสินค้าปศุสัตว์
  • เชียงรายได้รับวัคซีน 78,330 โดส ครอบคลุมจำนวนโค กระบือทั้งจังหวัด
  • แผนรณรงค์ครั้งที่ 2 จะจัดขึ้นในจังหวัดตาก วันที่ 28 ก.พ. 2568

ผลกระทบของโรคระบาดและแนวทางป้องกัน

โรคลัมปี สกิน และโรคปากและเท้าเปื่อยเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการส่งออกสินค้าปศุสัตว์ของไทย ดังนั้น กระทรวงเกษตรฯ เร่งเดินหน้าเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับโค กระบือ รวมถึงการจัดตั้งคอกกักเพื่อการส่งออก โดยเฉพาะที่เชียงราย ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญในการขนส่งสินค้าปศุสัตว์ไปยังจีน

รมช.เกษตรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงฯ กำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (GACC) เพื่อเปิดตลาดส่งออกโคมีชีวิต คาดว่าหากเจรจาสำเร็จจะช่วยยกระดับราคาปศุสัตว์ไทยและสร้างรายได้ให้เกษตรกรเพิ่มขึ้น

สถานการณ์การผลิตและส่งออกโคเนื้อ

  • ปี 2567 ไทยมีโคเนื้อ 9.9 ล้านตัว เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ซึ่งมี 9.65 ล้านตัว
  • ผลผลิตโคเนื้ออยู่ที่ 1.18 ล้านตัว ลดลงจาก 1.29 ล้านตัวของปี 2566
  • ส่งออกโคมีชีวิตรวม 133,416 ตัว มูลค่า 3,242.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53.10% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยเวียดนาม มาเลเซีย และลาวเป็นตลาดหลัก

การฟื้นฟูสุขภาพกระบือในเวียงหนองหล่ม

รมช.เกษตรฯ พร้อมคณะลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ ทวาฟาร์ม อำเภอแม่จัน ซึ่งเป็นเครือข่ายโคเนื้อล้านนา หลังจากได้รับรายงานว่าการควบคุมโรคลัมปี สกิน และการฟื้นฟูสุขภาพกระบือเวียงหนองหล่มดำเนินไปด้วยดี

สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดเชียงรายรายงานว่า เวียงหนองหล่มมีจำนวนกระบือ 962 ตัว พบกระบือป่วยสะสม 155 ตัว รักษาหายแล้ว 150 ตัว (96.8%) และมีการตายเพียง 5 ตัว (3.2%) กรมปศุสัตว์ได้ดำเนินมาตรการเข้มข้น เช่น:

  • ฉีดวัคซีนป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อย โรคคอบวม
  • ถ่ายพยาธิ และฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในคอกสัตว์
  • แจกจ่ายพืชอาหารหยาบ 121,512 กิโลกรัม ให้กับฟาร์มในเวียงหนองหล่ม

แผนพัฒนาแหล่งอาหารสัตว์

กรมปศุสัตว์และโครงการชลประทานเชียงรายร่วมกันวางแผนปลูกพืชอาหารสัตว์ พร้อมจัดตั้งสถานีสูบน้ำ โดยมีแผนเพาะปลูกหญ้าบนพื้นที่ 350 ไร่ เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนอาหารสัตว์ในช่วงภัยแล้ง

สรุป: กระทรวงเกษตรฯ เร่งเดินหน้าป้องกันโรคระบาด และผลักดันตลาดส่งออก

การฉีดวัคซีนโรคลัมปี สกิน 7.8 ล้านโดสทั่วประเทศ เป็นมาตรการสำคัญในการควบคุมโรคระบาด ลดผลกระทบต่ออุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทย และสร้างโอกาสในการส่งออก โดยเฉพาะสู่ตลาดจีน ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นราคาโคเนื้อและสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับเกษตรกรไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

พะเยาคุมไฟป่าสำเร็จ เร่งหาสาเหตุ มทบ.34 แจงยิงปืนไม่เกี่ยว

พะเยาดับไฟป่าบ่อสิบสองแล้ว ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่ให้กำลังใจ

พะเยา, 17 กุมภาพันธ์ 2568 – ผู้ว่าฯ พะเยา ลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเกิดไฟไหม้บ่อสิบสอง ยืนยันสามารถควบคุมเพลิงได้แล้ว ด้าน มทบ.34 ปฏิเสธข้อกล่าวหา ซ้อมยิงปืนใหญ่ไม่ใช่สาเหตุไฟป่า

ผู้ว่าฯ พะเยาตรวจสอบไฟป่า บ่อสิบสอง

เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 15.00 น. นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา พร้อมด้วย นายนิกร ยะกะจาย นายอำเภอเมืองพะเยา, นางลักษวรรณ พวงไม้มิ่ง ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดพะเยา และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ ป่านันทนาการบ่อสิบสอง อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา เพื่อตรวจสอบจุดเกิดไฟไหม้และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่เข้าควบคุมสถานการณ์

นายถวิล จันธิยศ ผู้อำนวยการศูนย์ป่าไม้พะเยา กรมป่าไม้ รายงานว่า ไฟป่าดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเย็นวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ 2568 โดยเปลวเพลิงได้ลุกไหม้เข้าพื้นที่ป่านันทนาการบ่อสิบสอง เจ้าหน้าที่จึงเร่งเข้าไปดับไฟและทำแนวกันไฟเพื่อป้องกันการลุกลาม โดยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เบื้องต้นพบว่า พื้นที่ป่านันทนาการบ่อสิบสองได้รับความเสียหายประมาณ 5 ไร่

ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยาเน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวัง และป้องกันไม่ให้เกิดการเผาในพื้นที่ พร้อมสั่งการให้ผู้นำท้องที่และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สร้างความเข้าใจกับประชาชน เกี่ยวกับข้อเท็จจริงของสถานการณ์ เพื่อลดความขัดแย้งและป้องกันการแพร่กระจายของข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง

มณฑลทหารบกที่ 34 ชี้แจงข้อเท็จจริง ไม่ใช่สาเหตุไฟป่า

มณฑลทหารบกที่ 34 (มทบ.34) ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ไฟป่าบ่อสิบสองเกิดจากการฝึกซ้อมยิงปืนใหญ่ของทหาร ซึ่งทำให้เกิดไฟไหม้ลุกลามเป็นวงกว้างเสียหายกว่า 500 ไร่ โดยระบุว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง

แถลงการณ์ระบุว่า เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 หน่วย ป.4 พัน.17 ได้ดำเนินการฝึกยิงปืนใหญ่ที่ บ้านเกษตรพัฒนา โดยใช้พื้นที่เป้าหมายที่ เขาบ้านร่องปอ ก่อนการฝึก หน่วยงานทหารได้เข้าพบชาวบ้านในพื้นที่หมู่ที่ 7 และ 14 ตำบลดงเจน พร้อมร่วมประชุมและรณรงค์ป้องกันไฟป่าอย่างเข้มข้น

ต่อมาในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เกิดไฟป่าลุกลามบริเวณใกล้เคียงกับจุดฝึกซ้อมยิงปืนใหญ่ อย่างไรก็ตาม มทบ.34 ยืนยันว่า กระสุนปืนใหญ่ที่ใช้ในการฝึกซ้อมไม่มีคุณสมบัติในการทำให้เกิดไฟป่า อีกทั้งหลังเกิดเหตุ ทางมณฑลทหารบกที่ 34 ได้จัดกำลังพลเข้าร่วมสนับสนุนเจ้าหน้าที่ในการควบคุมเพลิงทันที

ทหารและเจ้าหน้าที่ภาคส่วนต่าง ๆ สนธิกำลังดับไฟป่า

ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ในพื้นที่ป่านันทนาการบ่อสิบสอง กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 17 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 4 ได้จัดกำลังพลจิตอาสาพระราชทานและชุดควบคุมไฟป่า เข้าสนับสนุนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการควบคุมเพลิง โดยได้มีการเดินเท้าเข้าไปในพื้นที่ อุทยานแห่งชาติแม่ปืม เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟป่าลุกลามเพิ่มเติม

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 12.30 น. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้สนธิกำลังกันเข้าไปดับไฟป่าในพื้นที่ ป่าหินบ่อสิบสอง ตำบลบ้านต๋อม อำเภอเมืองพะเยา โดยทำการ สร้างแนวกันไฟ และปฏิบัติการควบคุมเพลิงจนสามารถดับไฟได้ทั้งหมด

เพจอย่างเป็นทางการของ มณฑลทหารบกที่ 34 ออกแถลงการณ์เพิ่มเติมว่า ไฟป่าที่ลุกลามเกิดขึ้นในพื้นที่ป่านันทนาการบ่อสิบสองจริง แต่พื้นที่ที่ได้รับความเสียหายมีเพียง 5 ไร่ ไม่ใช่ 500 ไร่ตามที่เป็นข่าว ขณะที่พื้นที่ที่เหลือซึ่งได้รับผลกระทบเป็น พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าห้วยบงและป่าห้วยเคียน โดยทางทหารได้เข้าร่วมสนับสนุนกำลังพลเพื่อช่วยควบคุมสถานการณ์

ผู้ว่าฯ พะเยาลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์ ยืนยันไฟป่าดับสนิทแล้ว

ล่าสุด นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ได้นำคณะลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบความเสียหายจากเหตุไฟป่า พร้อมรายงานว่าสถานการณ์ กลับสู่ภาวะปกติ และเจ้าหน้าที่สามารถ ดับไฟป่าได้ทั้งหมดแล้ว

ผู้ว่าฯ พะเยา กล่าวเพิ่มเติมว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งดำเนินมาตรการเฝ้าระวังไฟป่าอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งที่มีความเสี่ยงสูง พร้อมเตรียมมาตรการระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาไฟป่าอย่างยั่งยืน

สรุป

เหตุไฟป่าในพื้นที่ ป่านันทนาการบ่อสิบสอง จังหวัดพะเยา ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ 2568 ได้รับการควบคุมเรียบร้อยแล้ว โดยมีพื้นที่เสียหาย 5 ไร่ ขณะที่ มณฑลทหารบกที่ 34 ปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าการฝึกซ้อมยิงปืนใหญ่เป็นสาเหตุของไฟป่า พร้อมส่งกำลังพลเข้าช่วยดับเพลิงจนสถานการณ์คลี่คลาย

ขณะนี้จังหวัดพะเยาอยู่ระหว่างการ เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังไฟป่า และขอความร่วมมือจากประชาชนให้ช่วยกันป้องกันไม่ให้เกิดการเผาในพื้นที่ เพื่อป้องกันปัญหาหมอกควันและฝุ่นละออง PM2.5 ในอนาคต

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพะเยา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ฤดูร้อนไทยเริ่มช้ากว่า 2 สัปดาห์ เตรียมรับมือความร้อน

กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ฤดูร้อนปีนี้เริ่มช้า ย้ำให้ประชาชนเตรียมรับมือ

ประเทศไทย, 11 กุมภาพันธ์ 2568 – กรมอุตุนิยมวิทยาของไทยได้ประกาศคาดการณ์ฤดูร้อนปีนี้ว่า จะเริ่มต้นช้ากว่าปกติประมาณ 2 สัปดาห์ โดยคาดว่าจะมาถึงในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์และจะสิ้นสุดในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ภาพรวมของฤดูร้อนปีนี้จะมีลักษณะอากาศร้อนอบอ้าวเป็นระยะ สลับกับมีฝนฟ้าคะนองที่จะช่วยคลายความร้อนลงได้ในหลายพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีบางวันที่อากาศจะร้อนจัด โดยเฉพาะในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงกลางเดือนเมษายน

อุณหภูมิและปริมาณฝน

ในช่วงฤดูร้อนนี้ อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยบริเวณประเทศไทยตอนบนจะอยู่ที่ประมาณ 35-36 องศาเซลเซียส ซึ่งใกล้เคียงกับค่าปกติที่ 35.4 องศาเซลเซียส แต่จะต่ำกว่าปีที่ผ่านมาเมื่อฤดูร้อนปี 2567 ซึ่งมีอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยที่ 37.5 องศาเซลเซียส สำหรับปริมาณฝนรวมเฉลี่ยคาดว่าจะมากกว่าค่าปกติ 10-20% ซึ่งจะช่วยบรรเทาความร้อนได้บ้าง

พายุฤดูร้อนและการเตรียมพร้อม

ทุกปีในช่วงฤดูร้อนจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ มาพร้อมกับฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และบางครั้งมีลูกเห็บตก ซึ่งสามารถก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงผลผลิตทางการเกษตร อย่างไรก็ตาม ปริมาณฝนที่ตกไม่เพียงพอกับความต้องการในหลายพื้นที่ ทั้งด้านอุปโภคบริโภคและการเกษตร โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เกิดภัยแล้งซ้ำซากนอกเขตชลประทาน จึงขอแนะนำให้ประชาชนใช้น้ำอย่างประหยัดและเตรียมการป้องกันสภาวะดังกล่าว

การคาดการณ์สภาพอากาศตามภูมิภาค

ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: คาดการณ์ว่าจะมีอากาศร้อนอบอ้าวเกือบทั่วไป และมีอากาศร้อนจัดหลายพื้นที่ สลับกับมีฝนฟ้าคะนองและอาจมีลมกระโชกแรง รวมถึงลูกเห็บตกบางแห่ง อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 41-43 องศาเซลเซียส

ภาคกลาง และภาคตะวันออก รวมทั้งชายฝั่ง: อากาศร้อนอบอ้าวจะครอบคลุมเกือบทั่วไป แต่จะมีฝนฟ้าคะนองเป็นระยะ โดยอาจมีลมกระโชกแรงและลูกเห็บในบางพื้นที่ อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 40-42 องศาเซลเซียส

ภาคใต้: ช่วงเดือนมีนาคมถึงกลางเดือนเมษายนจะมีอากาศร้อนในหลายพื้นที่ กับมีฝนตกประมาณ 20-30% ของพื้นที่ คลื่นลมในทะเลจะมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร จากนั้นจนถึงกลางเดือนพฤษภาคมจะมีฝนตกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะฝั่งตะวันตก อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 37-39 องศาเซลเซียส

กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล: จะมีอากาศร้อนเกือบทั่วไป แต่จะมีฝนฟ้าคะนองเป็นระยะ อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 38-39 องศาเซลเซียส

กรมอุตุนิยมวิทยาแนะนำให้ประชาชนติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมรับมือกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง รวมทั้งการใช้น้ำอย่างประหยัดเพื่อรับมือกับฤดูร้อนที่กำลังจะมาถึงนี้.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมอุตุนิยมวิทยา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ทอท.เร่งขยายสนามบิน รับนักท่องเที่ยวพุ่งปี 2568

การท่องเที่ยวไทยฟื้นตัว นักท่องเที่ยวรัสเซีย-ฝรั่งเศสเพิ่มขึ้น ขณะตลาดเอเชียชะลอตัว

กรุงเทพฯ, 11 กุมภาพันธ์ 2568 – นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่าภาคการท่องเที่ยวของไทยยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวตลาดระยะไกล (Long-haul Market) ซึ่งมีอัตราเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น 4.15% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นำโดย ตลาดรัสเซียและฝรั่งเศส ที่เพิ่มขึ้นสูงถึง 41.53% จากปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ การส่งเสริมตลาด จำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น และการเข้าสู่ช่วงปิดเทอมของยุโรป (School Holiday)

อย่างไรก็ตาม ตลาดนักท่องเที่ยวระยะใกล้ (Short-haul Market) กลับมีแนวโน้มชะลอตัวลงหลังเทศกาลตรุษจีน โดยเฉพาะ นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น อุบัติเหตุทางอากาศ ความไม่แน่นอนทางการเมือง และค่าเงินที่ผันผวน ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดในสัปดาห์นี้อยู่ที่ 837,407 คน ลดลงจากสัปดาห์ก่อน 109,551 คน (-11.57%) คิดเป็นค่าเฉลี่ยนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทย 119,630 คนต่อวัน

5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย

  1. มาเลเซีย – 134,912 คน
  2. จีน – 114,930 คน
  3. รัสเซีย – 55,948 คน
  4. เกาหลีใต้ – 41,579 คน
  5. อินเดีย – 37,406 คน

นักท่องเที่ยวจาก อินเดีย และ รัสเซีย มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 11.75% และ 1.06% ตามลำดับ ขณะที่ จีน (-35.37%), มาเลเซีย (-21.01%), และเกาหลีใต้ (-9.42%) มีจำนวนลดลง

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเดินทางในสัปดาห์ถัดไป

กระทรวงการท่องเที่ยวฯ คาดการณ์ว่าปริมาณนักท่องเที่ยวจะทรงตัว โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นการเดินทาง ได้แก่

  • โครงการ Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025
  • มาตรการ Ease of Traveling เช่น ยกเว้นบัตร ตม.6 ที่ด่านทางบก
  • การส่งเสริมความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีน
  • การเพิ่มจำนวนเที่ยวบินของสายการบิน

รายได้จากการท่องเที่ยวไทยแตะ 234,958 ล้านบาท

ข้อมูล ณ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 ระบุว่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 9 กุมภาพันธ์ 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวสะสม อยู่ที่ 4,804,876 คน สร้างรายได้ 234,958 ล้านบาท โดย 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวสะสมสูงสุด ได้แก่

  1. จีน – 825,617 คน
  2. มาเลเซีย – 617,631 คน
  3. รัสเซีย – 330,628 คน
  4. เกาหลีใต้ – 263,572 คน
  5. อินเดีย – 232,828 คน

คมนาคมเตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยวฤดูร้อน 2568

นายสุริยะ จึงรุ่งเรือง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ช่วง 30 มีนาคม – 26 ตุลาคม 2568 ซึ่งเป็น ตารางบินฤดูร้อน คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเตรียมแผนรองรับที่สนามบินต่าง ๆ เพื่อให้การเดินทางเป็นไปอย่างรวดเร็วและปลอดภัย

สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) รายงานว่า

  • สนามบินสุวรรณภูมิ รองรับ 1,930 เที่ยวบิน/วัน จัดสรรแล้ว 1,202 เที่ยวบิน/วัน (+16.36%)
  • สนามบินดอนเมือง รองรับ 1,222 เที่ยวบิน/วัน จัดสรรแล้ว 745 เที่ยวบิน/วัน (-2.74%)
  • สนามบินเชียงใหม่ รองรับ 444 เที่ยวบิน/วัน จัดสรรแล้ว 240 เที่ยวบิน/วัน (+17.65%)
  • สนามบินภูเก็ต รองรับ 424 เที่ยวบิน/วัน จัดสรรแล้ว 340 เที่ยวบิน/วัน (+7.59%)

เพิ่มเที่ยวบิน รองรับผู้โดยสาร 7.88 ล้านคนในฤดูร้อน 2568

กรมท่าอากาศยาน (ทย.) คาดการณ์จำนวนเที่ยวบินทั้งหมด 27,077 เที่ยวบิน แบ่งเป็น

  • เที่ยวบินภายในประเทศ – 25,395 เที่ยวบิน (+6.67%)
  • เที่ยวบินระหว่างประเทศ – 1,682 เที่ยวบิน (+43.28%)
  • จำนวนผู้โดยสาร7,887,295 คน (+10.52%)

นายสุริยะเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานเร่งพัฒนาระบบอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยเพื่อทำให้ประเทศไทยเป็น ศูนย์กลางการบินของอาเซียน ภายใน 5 ปีข้างหน้า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ไทยปลดล็อกเซ็นเซอร์เทศกาลหนังฉายได้เสรี

ปลดล็อกกฎหมายภาพยนตร์ เทศกาลหนังนานาชาติฉายได้โดยไม่ต้องเซ็นเซอร์

กรุงเทพฯม,12 กุมภาพันธ์ 2568  –การปฏิรูปกฎหมายภาพยนตร์ไทยก้าวหน้าไปอีกขั้น หลังจากที่รัฐบาลไทยประกาศให้ เทศกาลภาพยนตร์ระหว่างประเทศสามารถฉายภาพยนตร์ได้โดยไม่ต้องผ่านกองเซ็นเซอร์ ถือเป็นการเปิดเสรีอุตสาหกรรมภาพยนตร์ครั้งสำคัญของประเทศ

การแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์

สมาคมส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทย (THACCA) ร่วมกับกรมส่งเสริมวัฒนธรรมและคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ได้ผลักดันการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการจัดแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย จนนำไปสู่การออกประกาศปลดล็อกภายใต้ ประกาศคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ เรื่อง เทศกาลภาพยนตร์ระหว่างประเทศตามมาตรา 27(4) พ.ศ. 2568” ซึ่งประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568

ตามประกาศฉบับนี้ เทศกาลภาพยนตร์ระหว่างประเทศในไทยที่ได้รับการรับรอง สามารถฉายภาพยนตร์ได้โดย ไม่ต้องผ่านการตรวจพิจารณาและได้รับอนุญาต จากคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติอีกต่อไป ซึ่งช่วยลดภาระให้กับผู้จัดงานและทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมภาพยนตร์ระดับนานาชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เปลี่ยนแปลงกระบวนการขออนุมัติเทศกาลภาพยนตร์

ตามกฎใหม่ ผู้จัดงานที่ต้องการให้เทศกาลของตนได้รับการรับรองเป็นเทศกาลภาพยนตร์ระหว่างประเทศ สามารถ ยื่นคำขอต่อกรมส่งเสริมวัฒนธรรมอย่างน้อย 15 วันก่อนจัดงาน แทนที่จะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 60 วันล่วงหน้าตามระเบียบเดิม

การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้การจัดเทศกาลมีความยืดหยุ่นมากขึ้นและสามารถรองรับการเข้าร่วมของเทศกาลภาพยนตร์ระดับโลกที่ต้องการนำเสนอภาพยนตร์ในประเทศไทยได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น

ความพยายามในการปลดล็อกข้อจำกัดทางกฎหมาย

ย้อนกลับไปเมื่อ 8 มกราคม 2567 นายปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธานกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ได้กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 1/2566 ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า คณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบให้พิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่ล้าสมัย ให้ทันกับเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม

กฎกระทรวงกำหนดลักษณะของประเภทภาพยนตร์ พ.ศ. 2552 ซึ่งใช้บังคับมาเป็นเวลานาน ถูกพิจารณาว่าควรปรับปรุงให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการบริโภคสื่อที่เปลี่ยนไป ปัจจุบันประชาชนสามารถรับชมภาพยนตร์ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ นอกเหนือจากโรงภาพยนตร์ อีกทั้งอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยยังต้องเผชิญกับข้อจำกัดทางกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างสรรค์ผลงาน

การขยายเสรีภาพทางศิลปะและอุตสาหกรรม

การปลดล็อกเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติสะท้อนถึงการขยายเสรีภาพทางศิลปะและอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยกลายเป็น ศูนย์กลางด้านภาพยนตร์” ที่สำคัญของโลก

นายปานปรีย์ กล่าวว่า การแก้ไขครั้งนี้เป็นไปตาม แนวทางของคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ที่ต้องการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ และ การเพิ่มขีดความสามารถของภาพยนตร์ไทยในเวทีโลก

การลดภาระทางกฎหมายและค่าธรรมเนียม

คณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติยังได้อนุมัติให้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) พิจารณาปรับลดภาระทางกฎหมายและค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยมีมาตรการสำคัญ ได้แก่

  • ลดค่าธรรมเนียมตรวจพิจารณาสื่อโฆษณา
  • ลดค่าออกใบแทนใบอนุญาต
  • ลดการเรียกสำเนาบัตรประชาชนและเอกสารประกอบ
  • ยกเลิกข้อกำหนดการแจ้งเปลี่ยนกรรมการผู้จัดการและผู้มีอำนาจลงนาม
  • เพิ่มช่องทางการยื่นขออนุญาตแบบอิเล็กทรอนิกส์

การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์

อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือ การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ โดยเพิ่มจาก 6 คณะเป็น 10 คณะ แบ่งเป็น

  • คณะพิจารณาภาพยนตร์ 8 คณะ
  • คณะพิจารณาวีดิทัศน์ 2 คณะ

นอกจากนี้ยังมีการปรับสัดส่วนคณะกรรมการให้ภาคเอกชนมีบทบาทมากขึ้น โดยเพิ่มตัวแทนจากภาคเอกชน 3 คน และภาครัฐ 2 คน เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการตรวจพิจารณา และให้เอกชนมีส่วนร่วมมากขึ้นในการกำหนดแนวทางของอุตสาหกรรม

มาตรการสนับสนุนผู้กำกับและโรงภาพยนตร์

ที่ประชุมยังได้หารือเกี่ยวกับข้อเสนอของ สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ซึ่งต้องการให้มีการกำหนดรอบฉายที่เป็นธรรมสำหรับภาพยนตร์ไทย คณะกรรมการฯ จึงมอบหมายให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรมไปหารือกับผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสม และนำเสนอต่อที่ประชุมในครั้งถัดไป

อนาคตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย

การปลดล็อกครั้งนี้ไม่เพียงช่วยให้เทศกาลภาพยนตร์สามารถจัดฉายภาพยนตร์ได้โดยไม่มีข้อจำกัดด้านการตรวจสอบจากภาครัฐ แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยไปสู่ระดับนานาชาติ ด้วยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการสร้างสรรค์และเสรีภาพทางศิลปะ ที่มีมาตรฐานระดับโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : THACCA-Thailand Creative Culture Agency

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE