Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

คลายกังวล! กปภ. เปิดพิสูจน์น้ำประปาเชียงราย “สะอาด-ปลอดภัย-ไร้สารหนู” เกินมาตรฐาน WHO

กปภ. ย้ำความเชื่อมั่น: น้ำประปาเชียงราย “ปลอดภัย ไร้สารหนู” หลังปรับกระบวนการผลิตและตรวจสอบเข้มงวด

เชียงราย, 25 กรกฎาคม 2568 – คลายกังวลน้ำประปาเชียงราย กปภ.เปิดบ้านให้สื่อพิสูจน์มาตรฐาน “สะอาด-ปลอดภัย-ไร้สารหนู” ย้ำมาตรการเหนือ WHO ภายหลังจากที่มีรายงานตรวจพบความขุ่นผิดปกติและสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดิบหลักในการผลิตน้ำประปาของจังหวัดเชียงราย ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่เกิดความกังวลต่อความปลอดภัยในการใช้น้ำอย่างกว้างขวาง การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) จึงรีบเร่งขับเคลื่อนมาตรการสร้างความเชื่อมั่น โดยจัดกิจกรรม “สื่อมวลชนสัญจร” นำผู้สื่อข่าวในพื้นที่ลงพื้นที่จริงเยี่ยมชมกระบวนการผลิต ตรวจสอบห้องควบคุมและห้องปฏิบัติการคุณภาพน้ำประปา ณ กปภ.สาขาเชียงราย พร้อมเปิดเผยข้อมูลและแผนการจัดการเชิงรุกอย่างโปร่งใส

ผู้ว่าการ กปภ. ลงนามการันตี “น้ำดื่มได้จริง” มาตรการผลิตเข้มข้นเกิน WHO

นายจักรพงศ์ คำจันทร์ ผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค ชี้แจงต่อสื่อมวลชนว่า กปภ.เฝ้าระวังคุณภาพน้ำดิบในแม่น้ำกกตลอด 24 ชั่วโมง และเพิ่มมาตรการควบคุมการผลิตน้ำประปาให้เข้มข้นกว่ามาตรฐานองค์การอนามัยโลก (WHO) เช่น ค่าความขุ่น WHO อนุโลม 5 NTU แต่ กปภ.กำหนดสูงสุดเพียง 4 NTU เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของประชาชน

กระบวนการผลิตน้ำดื่มของ กปภ.เชียงรายมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย

  • การปรับสัดส่วนเคมีเพื่อเร่งการตกตะกอน ดึงโลหะหนักออกจากน้ำดิบ
  • เติมคลอรีน ทั้ง Pre-Chlorine และ Post-Chlorine เพื่อฆ่าเชื้อโรคและคุมคุณภาพ
  • เสริมการเติมโพลิเมอร์และสารแทร็ก เพื่อให้โลหะหนัก (สารหนู แคดเมียม ฯลฯ) ตกตะกอนออกก่อนจ่ายเข้าสู่กระบวนการกรองขั้นสูง
  • ตรวจสอบคุณภาพน้ำโดยนักวิทยาศาสตร์ กำกับทุกขั้นตอนจนถึงปลายทาง
  • สุ่มเก็บตัวอย่างน้ำทั้งระบบ ส่งตรวจบริษัทห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด ทุก 2 สัปดาห์

“น้ำประปา กปภ. สะอาด ปลอดภัย และดื่มได้จริงตามมาตรฐานสากล ผมกล้าการันตี” ผู้ว่าการ กปภ. กล่าว

รายงานผลตรวจล่าสุด ยืนยันไร้สารหนู-ประชาชนใช้น้ำได้ตามปกติ

ผลการสุ่มตรวจคุณภาพน้ำประปาล่าสุดจาก กปภ.เชียงราย เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 ยืนยันว่า น้ำประปาทุกจุดปลอดภัย ไร้สารหนู และผ่านค่ามาตรฐานทุกด้าน โดยมีการเปิดเผยผลการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ผ่านแฟนเพจของ กปภ.สาขาเชียงรายและแม่สายทุก 3 วัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชน และเน้นย้ำว่า หากพบค่าความขุ่นหรือสารปนเปื้อนเกินค่าควบคุมแม้แต่น้อย กปภ.จะดำเนินการหยุดจ่ายน้ำและหาแหล่งน้ำใหม่ทันที

นายสุทัศน์ นุชปาน รองผู้ว่าการ กปภ. (ปฏิบัติการ 1) กล่าวย้ำกับประชาชนชาวเชียงรายว่า “มั่นใจได้น้ำประปาที่ผ่านการผลิตของ กปภ. ใช้อุปโภคบริโภคได้แน่นอน แต่ขอให้หลีกเลี่ยงการนำน้ำดิบจากแม่น้ำกกไปใช้โดยตรง”

มาตรการและแนวทางเตรียมพร้อม กรณีวิกฤตสารปนเปื้อนในแหล่งน้ำดิบ

หากสถานการณ์น้ำดิบจากแม่น้ำกกในอนาคตมีสารปนเปื้อนเกินศักยภาพการบำบัด กปภ. มีแผนรองรับทันที ได้แก่

  • เปลี่ยนแหล่งน้ำดิบใหม่ ค้นหาน้ำดิบจากแหล่งที่มีปริมาณและคุณภาพเหมาะสม
  • เพิ่มการเฝ้าระวังและสุ่มตรวจอย่างเข้มข้น
  • สื่อสารแจ้งเตือนประชาชนอย่างโปร่งใส

บทพิสูจน์ “กอบกู้ศรัทธา” ด้วยมาตรการโปร่งใส-วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

การดำเนินการของ กปภ.เชียงรายในวิกฤตครั้งนี้ ถือเป็นกรณีศึกษาสำคัญของหน่วยงานรัฐที่กล้าเปิดบ้านให้สื่อพิสูจน์และสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา เป็นการ “สร้างศรัทธาเชิงรุก” ต่อประชาชน และสร้างความมั่นใจด้วยข้อเท็จจริงเชิงวิทยาศาสตร์

  • การลงทุนเครื่องจ่ายสารเคมีและเทคโนโลยีทันสมัย มูลค่ากว่า 15 ล้านบาท ยืนยันถึงความจริงจังในคุณภาพน้ำ
  • โปร่งใส เปิดเผยผลตรวจคุณภาพน้ำ สร้างบรรทัดฐานใหม่ในการสื่อสารความเสี่ยงภาครัฐ
  • วางแผนรับมือเหตุฉุกเฉินอย่างเป็นระบบ สะท้อนความพร้อมต่อปัญหาเชิงโครงสร้างของแม่น้ำกก

ขณะเดียวกัน กปภ. ยอมรับข้อเท็จจริงว่า ปัญหาสารหนูในแม่น้ำกกเป็นประเด็นที่ต้องอาศัยความร่วมมือระยะยาวจากทุกหน่วยงาน ไม่ใช่แค่การประปา แต่ต้องร่วมแก้ไขที่ต้นน้ำและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

ข้อเสนอเชิงนโยบาย

  • จัดทำแผนประชาสัมพันธ์วิทยาศาสตร์น้ำ ให้ประชาชนเข้าใจการบำบัดน้ำ
  • สนับสนุนเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการใช้น้ำดิบโดยตรง
  • ยกระดับการดูแลแหล่งน้ำต้นน้ำ ร่วมกับหน่วยงานสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุข
  • เตรียมงบฉุกเฉินและแผนปฏิบัติการกรณีพบสารปนเปื้อนเกินมาตรฐาน

บทสรุป

การประปาส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงรายกำลังยกระดับมาตรฐานความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และการสื่อสารเชิงรุก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนอย่างยั่งยืน ในวิกฤตที่หลายพื้นที่ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม “ความจริงใจและมาตรฐานสูงสุด” คือหัวใจที่ต้องยึดมั่นต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.)
  • บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด
  • รายงานคุณภาพน้ำประปา กปภ.สาขาเชียงราย
  • สัมภาษณ์ผู้ว่าการ กปภ.
  • ข่าวประชาสัมพันธ์ กปภ.
  • WHO Guidelines for Drinking-water Quality
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

TCEB – ม.แม่ฟ้าหลวง เปิดวิสัยทัศน์ “เชียงราย Tea and Coffee Destination” มุ่งสู่ความยั่งยืนระดับโลกด้วยนวัตกรรม

Chiang Rai Brewtopia 2025: ชูเชียงรายสู่ศูนย์กลางชาและกาแฟแห่งอาเซียน

เชียงราย, 19 กรกฎาคม 2568 – เมืองเชียงรายถูกแต่งแต้มด้วยเมฆฝนแห่งฤดูฝน อุทยานศิลปวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง (ไร่แม่ฟ้าหลวง) กลับอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมกรุ่นของชาและกาแฟจากทั่วทุกมุมโลก งาน Chiang Rai Brewtopia (Green Season) 2025 ซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) และ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) หรือ TCEB ได้เปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่ ภายใต้การเป็นเจ้าภาพของ นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย งานนี้ไม่เพียงเป็นการแสดงศักยภาพของอุตสาหกรรมชาและกาแฟไทย แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันเชียงรายสู่การเป็น “Tea and Coffee Hub of ASEAN” ที่พร้อมก้าวไกลในเวทีโลก

เรื่องราวของกลิ่นหอมที่เริ่มจากไร่สู่ถ้วย

ลองจินตนาการถึงเช้าวันหนึ่งในหมู่บ้านเล็กๆ บนดอยสูงของเชียงราย เกษตรกรท้องถิ่นอย่าง ลุงต๊ะ เดินฝ่าหมอกยามเช้าไปยังไร่ชาของเขา ใบชาสีเขียวขจีที่โบกไหวในสายลมคือความหวังของครอบครัวและชุมชน แต่ในอดีต ลุงต๊ะและเกษตรกรอีกหลายคนต้องเผชิญกับความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง การขาดแคลนแรงงาน หรือการเข้าถึงตลาดที่จำกัด วันนี้ งาน Chiang Rai Brewtopia 2025 ได้กลายเป็นแสงสว่างที่เปลี่ยนเรื่องราวของลุงต๊ะและเกษตรกรอีกนับพันให้มีโอกาสเติบโต

งานนี้เป็นมากกว่าการจัดแสดงสินค้า แต่เป็นเวทีที่เชื่อมโยงเกษตรกร ผู้ประกอบการ และนักลงทุนจากทั่วโลกเข้าด้วยกัน ผ่านกิจกรรมหลากหลายที่ครอบคลุมทุกมิติของอุตสาหกรรมชาและกาแฟ ตั้งแต่ Global Coffee and Tea Association Forum 2025: Shaping the Future Together ซึ่งเป็นการประชุมระดับนานาชาติเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และนวัตกรรม ไปจนถึงการจัดแสดงสินค้าจาก 40 ร้านค้าชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงกิจกรรม Farm Visit: A Cup to Village ที่พานักท่องเที่ยวไปสัมผัสกระบวนการผลิตชาและกาแฟตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และ Workshop ที่มอบความรู้ให้กับเกษตรกรและผู้สนใจ

ภูริพันธ์ บุนนาค รองผู้อำนวยการรักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.)

วิสัยทัศน์สู่ศูนย์กลางชาและกาแฟแห่งอาเซียน

คุณภูริพันธ์ บุนนาค รองผู้อำนวยการรักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) กล่าวถึงความสำคัญของงานนี้ว่า “Chiang Rai Brewtopia 2025 เป็นก้าวสำคัญในการผลักดันเชียงรายให้เป็นศูนย์กลางชาและกาแฟของอาเซียน ด้วยการสร้างเครือข่ายธุรกิจและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศ” งานนี้ไม่เพียงเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้แสดงศักยภาพ แต่ยังช่วยยกระดับทักษะของเกษตรกรและสร้างโอกาสในการลงทุนระหว่างประเทศ

ด้าน ผศ.ดร.ปิยาภรณ์ เชื่อมชัยตระกูล หัวหน้าสถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เผยถึงวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่ของเชียงรายว่า “เรามุ่งมั่นพัฒนาเชียงรายให้เป็น Chiang Rai Tea and Coffee Destination ที่ครบวงจร ทั้งการผลิต การแปรรูป และการจำหน่ายชาและกาแฟคุณภาพสูง โดยมีเป้าหมายเป็นศูนย์กลางการค้าชาและกาแฟของประเทศไทยในอนาคต” สถาบันชาและกาแฟของ มฟล. ได้ทุ่มเททำงานวิจัยครอบคลุมทุกขั้นตอน ตั้งแต่การพัฒนาสายพันธุ์พืชที่ทนต่อสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ไปจนถึงการนำเทคโนโลยีอย่าง IoT มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

ความท้าทายและทางออกด้วยนวัตกรรม

อุตสาหกรรมชาและกาแฟของเชียงรายเผชิญกับความท้าทายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศที่ผันผวน การขาดแคลนแรงงาน หรือการแข่งขันในตลาดโลก ผศ.ดร.ปิยาภรณ์ กล่าวว่า “เรากำลังนำเทคโนโลยีและงานวิจัยมาแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เช่น การพัฒนาสายพันธุ์พืชที่ทนทานต่อสภาพอากาศ และการใช้เครื่องจักรทันสมัยรวมถึง IoT เพื่อลดการพึ่งพาแรงงานและเพิ่มคุณภาพผลผลิต” นวัตกรรมเหล่านี้ไม่เพียงช่วยเกษตรกรอย่างลุงต๊ะลดต้นทุน แต่ยังยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน

นอกจากนี้ การจัดงานยังส่งเสริมแนวทางการเกษตรแบบยั่งยืน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมชาและกาแฟ ด้วยการสนับสนุนให้เกษตรกรใช้เทคนิคการปลูกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการสร้างแบรนด์ “เชียงราย” ให้เป็นที่จดจำในฐานะแหล่งผลิตชาและกาแฟคุณภาพสูงในระดับโลก

เชียงรายต้นแบบ MICE City และโอกาสทางเศรษฐกิจ

คุณภูริพันธ์ บุนนาค จาก TCEB เน้นย้ำว่า งานนี้เป็นโมเดลต้นแบบของการพัฒนาเชียงรายสู่การเป็น MICE City ที่ใช้จุดแข็งของอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปเป็นตัวขับเคลื่อน “เชียงรายมีพื้นที่ปลูกกาแฟกว่า 40,000 ไร่ และชากว่า 20,000 ไร่ ซึ่งเป็นศักยภาพที่โดดเด่น งานนี้ไม่เพียงสร้างรายได้ให้เกษตรกร แต่ยังกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจและการลงทุนจากต่างชาติ”

งานนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน โดยมีการร่วมมือกับเมืองหางโจว ประเทศจีน และชิซูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งช่วยยกระดับงานให้เป็นเวทีระดับนานาชาติที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น การลงนาม MOU ระหว่าง TCEB กับสมาคมด้าน MICE ของจีนในเดือนกันยายน 2568 จะเป็นอีกก้าวสำคัญในการขยายโอกาสให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง MICE ของภูมิภาค

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปิยาภรณ์ เชื่อมชัยตระกูล หัวหน้าสถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

ผลลัพธ์และอนาคตที่ยั่งยืน

Chiang Rai Brewtopia 2025 ไม่เพียงเป็นงานที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ชาและกาแฟ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนที่ช่วยยกระดับอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปของไทย ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการจัดงานครั้งนี้ ได้แก่:

  • การพัฒนาทักษะและองค์ความรู้: เกษตรกรและผู้ประกอบการได้รับการฝึกอบรมผ่าน Workshop และการแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติ
  • การสร้างเครือข่ายธุรกิจ: การเชื่อมโยงผู้ประกอบการท้องถิ่นกับนักลงทุนและผู้ซื้อจากต่างประเทศ ช่วยขยายโอกาสทางการค้า
  • การส่งเสริมความยั่งยืน: การนำแนวปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ในการผลิต ช่วยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่
  • การกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น: การจัดงานดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ สร้างรายได้ให้กับชุมชนในเชียงรายผ่านการท่องเที่ยวและการบริโภค

ผศ.ดร.ปิยาภรณ์ มองว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องนำไปปฏิบัติจริงในวงกว้าง เพื่อให้เกิดผลเชิงบวกต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม

“พื้นที่ของจังหวัดเชียงราย เป็นพื้นที่ปลูกและผลิตชา-กาแฟที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยนะคะ” ผศ.ดร.ปิยาภรณ์ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมนี้ต่อคนในท้องถิ่น “สินค้าตัวนี้สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้เกษตรกรหรือผู้แปรรูปในพื้นที่ ดังนั้น ความยั่งยืนจึงต้องเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เพราะมันคือรายได้และเศรษฐกิจของคนในพื้นที่”

การจัดงานแสดงสินค้าอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ยังเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมให้คนภายในจังหวัด คนต่างถิ่น และชาวต่างชาติ รู้จักและเข้าใจในศักยภาพของชาและกาแฟจากประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การสนับสนุนเกษตรกรและผู้ประกอบการท้องถิ่นให้มีรายได้อย่างยั่งยืน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงรายให้เติบโตอย่างมั่นคง

 

ในท้ายที่สุด งาน Chiang Rai Brewtopia 2025 ไม่เพียงเป็นการเฉลิมฉลองความหอมกรุ่นของชาและกาแฟ แต่ยังเป็นการวางรากฐานให้เชียงรายก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางชาและกาแฟแห่งอาเซียน ด้วยนวัตกรรม ความยั่งยืน และความร่วมมือระดับโลก อนาคตของลุงต๊ะและเกษตรกรในเชียงรายกำลังถูกเขียนขึ้นใหม่ด้วยความหวังและโอกาสที่ไร้ขีดจำกัด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ข้อมูลบางส่วนได้รับการสนับสนุนจาก สถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.)

  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) หรือ TCEB: www.tceb.or.th
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, สถาบันชาและกาแฟ: www.mfu.ac.th
  • ข้อมูลจากงานแถลงข่าว Chiang Rai Brewtopia (Green Season) 2025, 18 กรกฎาคม 2568
  • รายงานอุตสาหกรรมชาและกาแฟแห่งประเทศไทย, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, 2567
  • ความร่วมมือระหว่างประเทศด้านชาและกาแฟ, สถาบันวิจัยชาแห่งประเทศจีน, 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

เซ็นทรัล เชียงรายผนึกเรือนจำกลาง! เปิด “ลอกคลองเพื่อชุมชน” สร้างโอกาสใหม่ผู้ต้องขัง แก้วิกฤตน้ำท่วม

เซ็นทรัล เชียงราย ผนึกเรือนจำกลาง เปิดโครงการ “ลอกคลองเพื่อชุมชน” สร้างโอกาสใหม่ผู้ต้องขัง แก้วิกฤติน้ำท่วม

เชียงราย, 18 กรกฎาคม 2568 – ในยุคที่ปัญหาสิ่งแวดล้อมและความเหลื่อมล้ำทางสังคมกำลังเป็นประเด็นสำคัญของสังคมไทย ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ได้ก้าวขึ้นมาเป็นต้นแบบการดำเนินธุรกิจเพื่อสังคมอย่างแท้จริง ด้วยการเปิดตัวโครงการ “ลอกคลองเพื่อชุมชน” ที่ไม่เพียงแต่มุ่งแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสทางอาชีพให้กับผู้ต้องขังในเรือนจำกลางเชียงราย เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568

จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง

เรื่องราวของโครงการนี้เริ่มขึ้นจากการสังเกตปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในพื้นที่โดยรอบศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ซึ่งประสบปัญหาน้ำท่วมขังในช่วงฤดูฝนอย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลักมาจากระบบระบายน้ำที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ทำให้ร่องระบายน้ำตื้นเขิน เต็มไปด้วยตะกอนและเศษขยะ

ผู้บริหารเซ็นทรัล เชียงราย ตระหนักดีว่าปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการดำเนินการเพียงฝ่ายเดียว จึงได้มองหาพันธมิตรที่เหมาะสมในการดำเนินงาน และเมื่อมองไปที่เรือนจำกลางเชียงราย ซึ่งมีผู้ต้องขังที่ต้องการโอกาสในการพัฒนาทักษะและสร้างรายได้ ก็เกิดเป็นแนวคิดที่จะสร้างประโยชน์ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน

วันสำคัญของการส่งมอบโอกาส

ในช่วงเช้าของวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 บรยากาศในบริเวณเรือนจำกลางจังหวัดเชียงรายมีความพิเศษแตกต่างจากทุกวัน เมื่อคุณสายัณห์ นักบุญ ผู้อำนวยการศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร เดินทางมาเพื่อเป็นสักขีพยานในพิธีเปิดโครงการที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนมากมาย

การมอบเงินสนับสนุนโครงการจำนวน 10,000 บาท แด่คุณนวรัตน์ จันทร์จิเรศรัศมี นักทัณฑวิทยาชำนาญการพิเศษ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย ไม่ใช่เพียงการส่งมอบเงินทุน แต่เป็นการส่งมอบความหวังและโอกาสใหม่ให้กับผู้ต้องขังที่จะได้มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับสังคม

ขอบเขตและเป้าหมายของโครงการ

โครงการ “ลอกคลองเพื่อชุมชน” มีเป้าหมายที่ชัดเจนและสามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม กิจกรรมหลักคือการทำความสะอาดและขุดลอกร่องระบายน้ำสาธารณะเป็นระยะทางยาวกว่า 450 เมตร ครอบคลุมพื้นที่ทำงานรวม 1,800 ตารางเมตร ซึ่งเป็นบริเวณโดยรอบศูนย์การค้าที่มีความสำคัญต่อการระบายน้ำของพื้นที่

การดำเนินงานจะแบ่งออกเป็นหลายขั้นตอน เริ่มจากการสำรวจพื้นที่ วางแผนการทำงาน การเตรียมอุปกรณ์ จนถึงการขุดลอกและทำความสะอาดอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะใช้แรงงานจากผู้ต้องขังที่ผ่านการคัดเลือกและมีความเหมาะสมในการทำงานประเภทนี้

ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากโครงการนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขัง แต่ยังรวมถึงการปรับปรุงทัศนียภาพของพื้นที่ให้สวยงาม การเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ และที่สำคัญคือการส่งเสริมสุขอนามัยของประชาชนในพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง

มิติใหม่ของการฟื้นฟูผู้กระทำผิด

หากมองในมุมของการฟื้นฟูและพัฒนาผู้ต้องขัง โครงการนี้ถือเป็นนวัตกรรมทางสังคมที่น่าสนใจ เพราะไม่ได้เน้นเพียงการให้งานทำ แต่เป็นการสร้างประสบการณ์การทำงานที่มีความหมายและส่งผลดีต่อสังคมอย่างเป็นรูปธรรม

คุณสายัณห์ นักบุญ ได้อธิบายปรัชญาเบื้องหลังโครงการว่า “เซ็นทรัล เชียงราย มีความมุ่งมั่นในการเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน โครงการนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการตอกย้ำความร่วมมืออันดีกับเรือนจำกลางเชียงราย ในการสร้างโอกาสและมอบกำลังใจให้กับผู้ต้องขัง เราเชื่อว่าการให้โอกาสคือการสร้างอนาคตที่ดีให้กับสังคม”

ความคิดนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์จากการมองผู้ต้องขังเป็นภาระของสังคม กลายเป็นการมองเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีศักยภาพในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับสังคม หากได้รับโอกาสและการพัฒนาที่เหมาะสม

ความต่อเนื่องของการร่วมมือ

โครงการ “ลอกคลองเพื่อชุมชน” ไม่ใช่การเริ่มต้นความร่วมมือระหว่างเซ็นทรัล เชียงราย กับเรือนจำกลางเชียงราย แต่เป็นการต่อยอดความสัมพันธ์อันดีที่มีมาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา

การสนับสนุนที่สำคัญคือการมอบพื้นที่พิเศษ ณ ชั้น G โซน Northern Village (นอร์เทิร์น วิลเลจ) ให้เรือนจำกลางเชียงรายนำผลิตภัณฑ์จากฝีมือผู้ต้องขังมาจัดจำหน่ายโดยไม่คิดค่าเช่าพื้นที่ ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญในการสร้างรายได้และส่งเสริมทักษะอาชีพให้กับผู้ต้องขัง

การดำเนินการนี้ไม่เพียงช่วยให้ผู้ต้องขังมีรายได้ แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นใจและศักดิ์ศรีในตนเอง เมื่อพวกเขาเห็นว่าผลงานของตนเองได้รับการยอมรับจากสังคมและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง

การสนับสนุนแบบ 360 องศา

สำหรับกิจกรรมลอกคลองในครั้งนี้ เซ็นทรัล เชียงราย ไม่ได้ให้การสนับสนุนเพียงด้านการเงินเท่านั้น แต่เป็นการสนับสนุนแบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นค่าดำเนินการจ้างแรงงานผู้ต้องขัง การจัดเตรียมอาหารกลางวันและเครื่องดื่มตลอดระยะเวลาการปฏิบัติงาน รวมถึงการอำนวยความสะดวกและดูแลด้านความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด

การดูแลเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดและความเป็นมนุษย์ในการดำเนินโครงการ เพราะการให้ผู้ต้องขังออกมาทำงานนอกกำแพงเรือนจำไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีการประสานงานและดูแลอย่างรอบคอบในทุกด้าน

ผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม

เมื่อวิเคราะห์ผลลัพธ์ของโครงการนี้ในระยะสั้นและระยะยาว จะพบว่ามีผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมหลายมิติ

ในระยะสั้น การขุดลอกคลองจะช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและการประกอบธุรกิจของคนในพื้นที่ การปรับปรุงระบบระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นจะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคที่เกี่ยวข้องกับน้ำขัง และสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นให้กับชุมชน

ในระยะยาว การสร้างโอกาสให้ผู้ต้องขังได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมจะช่วยลดอัตราการกลับมากระทำผิดซ้ำ เนื่องจากพวกเขาได้รับการพัฒนาทักษะ สร้างความมั่นใจ และรู้สึกว่าตนเองยังมีคุณค่าและสามารถทำประโยชน์ให้กับสังคมได้

นอกจากนี้ โครงการยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับองค์กรอื่นๆ ในการดำเนิน CSR ที่สร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงการทำเพื่อสร้างภาพลักษณ์ แต่เป็นการแก้ไขปัญหาสังคมอย่างเป็นระบบ

ความท้าทายและข้อจำกัด

แม้โครงการนี้จะมีเป้าหมายที่ดี แต่ก็มีความท้าทายและข้อจำกัดที่ต้องพิจารณา การทำงานกับผู้ต้องขังต้องมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด และต้องมีการประสานงานที่ดีระหว่างหน่วยงานต่างๆ

การสร้างความเข้าใจกับชุมชนเกี่ยวกับการให้ผู้ต้องขังออกมาทำงานก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทาย เนื่องจากอาจมีความกังวลในเรื่องความปลอดภัย แม้ว่าผู้ต้องขังที่เข้าร่วมโครงการจะผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มงวดแล้วก็ตาม

ทิศทางอนาคตของการพัฒนาอย่างยั่งยืน

เซ็นทรัล เชียงราย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการ “ลอกคลองเพื่อชุมชน” จะเป็นต้นแบบสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนและสร้างสรรค์ในรูปแบบใหม่ ซึ่งสามารถขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ และสร้างเป็นเครือข่ายการทำงานเพื่อสังคมที่แข็งแกร่ง

การมองการพัฒนาแบบองค์รวมที่คำนึงถึงทั้งปัญหาสิ่งแวดล้อม การสร้างโอกาสทางสังคม และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในทุกกลุ่ม เป็นแนวทางที่น่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการสร้างสังคมที่เข้มแข็งและเท่าเทียมมากขึ้น

โครงการนี้แสดงให้เห็นว่า เมื่อภาคเอกชนและภาครัฐทำงานร่วมกันด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนและวิธีการที่เหมาะสม สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกที่ยั่งยืนได้อย่างเป็นรูปธรรม และที่สำคัญคือการสร้างความหวังและโอกาสใหม่ให้กับผู้คนที่สังคมมักจะมองข้าม

สำหรับจังหวัดเชียงรายและประชาชนในพื้นที่ โครงการนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ไขปัญหาการระบายน้ำที่เป็นปัญหาเรื้อรัง แต่ยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืนต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย
  • เรือนจำกลางจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

ป.ป.ส. ยกระดับเชียงรายเป็น “สมรภูมิยาเสพติดข้ามชาติ” บินรับตัว “บิ๊กบอส” ค่าหัว 2.5 ล้าน

ป.ป.ส. ยกระดับเชียงรายเป็น “สมรภูมิยาเสพติดข้ามชาติ” บินรับตัว “บิ๊กบอส” ค่าหัว 2.5 ล้านบาท แฉเครือข่ายโยง 100 ล้านบาท!

เชียงราย, 16 กรกฎาคม 2568 – ในปฏิบัติการครั้งสำคัญที่สะท้อนถึงการยกระดับความร่วมมือในการปราบปรามยาเสพติดระหว่างประเทศไทยและเมียนมา พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมด้วยคณะทำงานระดับสูง ได้นำกำลังชุดปฏิบัติการพิเศษอินทรีย์ 19 เดินทางไปยังสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 (แม่สาย-ท่าขี้เหล็ก) เพื่อรับมอบตัว นายเตชินท์  และ นายฉมัง  สองนักค้ายาเสพติดข้ามชาติระดับผู้สั่งการ ที่มีหมายจับและเป็นเป้าหมายสำคัญของสำนักงาน ป.ป.ส. พร้อมเงินรางวัลนำจับรวม 2.5 ล้านบาท หลังหลบหนีไปกบดานในจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา

การส่งมอบตัวผู้ต้องหาในครั้งนี้ ถือเป็นความสำเร็จอันเป็นรูปธรรมของความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วยงานปราบปรามยาเสพติดของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำนักงานคณะกรรมการเพื่อการควบคุมยาเสพติด (Central Committee for Drug Abuse Control: CCDAC) สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา นำโดย Police Brigadier General Thant Lwin Maung, Joint Secretary of CCDAC และ Commander of Drug Enforcement Division ที่ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการสืบสวนพิสูจน์ทราบที่พักอาศัยของผู้ต้องหาจนนำไปสู่การจับกุมตัว

เจาะลึกเครือข่าย “เตชินท์-ฉมัง” บงการข้ามชาติ ยึดทรัพย์ 100 ล้าน

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. เปิดเผยว่า นายเตชินท์ และ นายฉมัง เป็นนักค้ายาเสพติดข้ามชาติรายสำคัญที่มีพฤติการณ์อยู่ในระดับผู้สั่งการและจัดหายาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยใช้เครือข่ายผู้ลำเลียงชาวไทยลักลอบนำยาเสพติดเข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศ

จากการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน เจ้าหน้าที่พบว่าเครือข่ายของนายเตชินท์ฯ มีความเชื่อมโยงกับคดีสำคัญหลายคดี:

  • 22 ตุลาคม 2567: จับกุมผู้ต้องหา 3 คน พร้อมของกลางเฮโรอีน 54 กิโลกรัม ซุกซ่อนใต้เบาะรถตู้ ขยายผลพบว่า นายเตชินท์ฯ เป็นผู้สั่งการ และมีนายฉมังฯ กับ นายพรรคภูมิฯ ร่วมขบวนการ
  • 15 กุมภาพันธ์ 2568: ป.ป.ส. ร่วมกับหน่วยงานภาคี จับกุมผู้ต้องหา 3 คน พร้อมของกลางไอซ์ 50 กิโลกรัม และมีการออกหมายจับ 5 คน ซึ่งรวมถึงนายเตชินท์ฯ
  • 5 มีนาคม 2568: ภายใต้ ปฏิบัติการตัดไฟแต่ต้นลม ครั้งที่ 3″ ป.ป.ส. ร่วมกับหน่วยงานภาคี ปิดล้อมตรวจค้น 10 จุด ใน 6 จังหวัด (เชียงราย, เชียงใหม่, สุพรรณบุรี, อ่างทอง, สุโขทัย, พระนครศรีอยุธยา) เพื่อติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 3 คน (นายเตชินท์ฯ, นายฉมังฯ, นายพรรคภูมิฯ) ผลปฏิบัติการสามารถจับกุมนายพรรคภูมิฯ และยึดทรัพย์สินมูลค่ากว่า 80 ล้านบาท อาทิ ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง, รถยนต์, ทองรูปพรรณ, เงินในบัญชีธนาคาร ฯลฯ

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงเดือนตุลาคม 2567 ถึงมิถุนายน 2568 มีการจับกุมยาเสพติดเครือข่ายนายเตชินท์ฯ รวม 4 คดี ของกลางรวมยาไอซ์ 609 กิโลกรัม, เฮโรอีน 154 กิโลกรัม, ยาบ้า 1.3 ล้านเม็ด และมีการขยายผลออกหมายจับผู้ต้องหา 8 คน (จับกุมแล้ว 3 คน) เตรียมออกหมายจับเพิ่มเติมอีก 3 คน ยึดทรัพย์สินเครือข่ายรวมมูลค่าสูงถึง 100 ล้านบาท

แม้จะถูกออกหมายจับ นายเตชินท์ฯ และนายฉมังฯ ยังคงมีพฤติการณ์สั่งการและจัดหายาเสพติดให้บุคคลในเครือข่ายลักลอบลำเลียงเข้าสู่พื้นที่ตอนในอย่างต่อเนื่อง ทำให้สำนักงาน ป.ป.ส. กำหนดให้บุคคลทั้งสองเป็นเป้าหมายในโครงการประกาศสืบจับผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญประจำปีงบประมาณ 2568 โดยมีเงินรางวัลนำจับรวม 2.5 ล้านบาท

การจับกุมตัวทั้งสองในครั้งนี้ เกิดขึ้นจากข้อมูลเบาะแสที่สำนักปราบปรามยาเสพติด ป.ป.ส. ได้รับเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 และประสานข้อมูลผ่านอัครราชทูตที่ปรึกษาสำนักงาน ป.ป.ส. ณ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ไปยัง CCDAC เพื่อช่วยสืบสวนพิสูจน์ทราบที่พักอาศัย จนนำไปสู่การเข้าตรวจค้นและจับกุมตัวได้ในที่สุด

ภายหลังจากนี้ สำนักงาน ป.ป.ส. จะร่วมกับหน่วยงานภาคี ดำเนินการสืบสวนขยายผลเพื่อดำเนินการต่อทรัพย์สินของบุคคลในเครือข่ายเพิ่มเติมต่อไป

สถานการณ์ยาเสพติดข้ามแดนที่ด่านศุลกากรแม่สาย (ปี 2567-2568)

ด่านศุลกากรแม่สาย จังหวัดเชียงราย ยังคงเป็นจุดผ่านแดนทางบกที่สำคัญยิ่งในการค้ายาเสพติดข้ามชาติในภูมิภาคสามเหลี่ยมทองคำ แม้จะมีการยกระดับความร่วมมือระหว่างไทยและเมียนมาอย่างต่อเนื่อง

  1. บริบทชายแดนไทย-เมียนมา และสามเหลี่ยมทองคำ อำเภอแม่สายเป็นประตูสู่การค้าที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย รวมถึงการค้ายาเสพติด รายงานล่าสุดจากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ชี้ว่าการผลิตยาเสพติดสังเคราะห์ โดยเฉพาะยาบ้า เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในรัฐฉานของเมียนมาตั้งแต่ปี 2564 ปริมาณยาเสพติดที่เพิ่มขึ้นนี้มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับสถานการณ์ความไม่มั่นคงและสงครามกลางเมืองภายในเมียนมา ซึ่งเป็นปัจจัยผลักดันการค้ายาเสพติดผิดกฎหมาย
  2. การส่งผู้ต้องหายาเสพติดรายสำคัญที่แม่สาย (ปี 2567-2568) ด่านศุลกากรแม่สายเป็นจุดสำคัญของการส่งมอบผู้ต้องหา ซึ่งสะท้อนความสำเร็จของความร่วมมือ:
  • 6 พฤษภาคม 2568: มีการส่งมอบผู้ต้องหายาเสพติด 4 ราย รวมถึงนายสมยศ และนางสาวพัชราพร ซึ่งถูกต้องการตัวในข้อหาร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดประเภท 1 การส่งมอบนี้เกิดขึ้นที่สะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 อ.แม่สาย
  • 16 กรกฎาคม 2568: ปฏิบัติการสำคัญในการรับมอบตัวนายเตชินท์ และ นายฉมัง ผู้บงการค้ายาเสพติดข้ามชาติ ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงการมุ่งเป้าทำลายโครงสร้างเครือข่ายสำคัญของทางการไทย
  • 29 มีนาคม 2567: ทางการเมียนมารายงานการส่งตัวผู้ต้องหา 2 รายข้ามด่านแม่สาย ซึ่งบริบทโดยรวมบ่งชี้ว่าเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมยาเสพติด
  • ประวัติการส่งมอบก่อนปี 2567: ก่อนหน้านี้ ในวันที่ 9 มีนาคม 2566 ป.ป.ส. เคยรับมอบตัวนายเจษฎา ยาเปี่ยง ผู้ต้องหาคดียาเสพติด “Most Wanted” (ค่าหัว 1 ล้านบาท) ที่สะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 อ.แม่สาย ซึ่งแสดงถึงความร่วมมือที่มีมาอย่างต่อเนื่อง
  1. กลไกความร่วมมือทวิภาคีและพหุภาคี ความสำเร็จเหล่านี้เป็นผลจากกลไกความร่วมมือที่แข็งแกร่ง:
  • บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนไทย-เมียนมา (กรกฎาคม 2567): เป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้ความร่วมมือเป็นทางการมากขึ้น ครอบคลุมอาชญากรรมข้ามชาติร้ายแรง รวมถึงการค้ายาเสพติด แม้จะมีข้อยกเว้นบางประการ เช่น กรณีผู้หลบหนีเกณฑ์ทหาร การดำเนินงานอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2551 ของไทย
  • การประชุมทวิภาคีโดยตรง: การประชุมระหว่างหน่วยงานควบคุมยาเสพติดของทั้งสองประเทศเป็นประจำ เป็นช่องทางสำคัญในการประสานงานและแลกเปลี่ยนข่าวกรอง
  • โครงการริเริ่มของอาเซียน: ไทยมีส่วนร่วมในกรอบความร่วมมือทางกฎหมายของอาเซียน เช่น อนุสัญญาอาเซียนว่าด้วยการโอนตัวนักโทษ และสนธิสัญญาอาเซียนว่าด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องทางอาญา (MLA) ที่ครอบคลุมการแลกเปลี่ยนหลักฐานและการยึดทรัพย์สิน
  • องค์กรระหว่างประเทศ: ไทยและเมียนมาประสานงานกับ UNODC และ INCB เพื่อแลกเปลี่ยนข่าวกรองและประสานนโยบายระดับโลก
  • การสนับสนุนของไทยต่อประเทศเพื่อนบ้าน: ป.ป.ส. ให้การสนับสนุนทางการเงินและเทคนิคแก่หน่วยงานควบคุมยาเสพติดในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อต่อความร่วมมืออย่างยั่งยืน
  1. บริบทที่กว้างขึ้น: การผลิตและยุทธศาสตร์ปราบปรามยาเสพติด
  • การแพร่กระจายของยาบ้า: การผลิตยาเสพติดสังเคราะห์ โดยเฉพาะยาบ้า เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในรัฐฉาน เมียนมา โดยในปี 2567 มีการยึดเมทแอมเฟตามีนเป็นประวัติการณ์ในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวม 236 ตัน อย่างไรก็ตาม ปริมาณที่ยึดได้เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
  • สารตั้งต้น: จีนยังคงเป็นประเทศต้นทางหลักของสารเคมีที่ใช้ในการผลิตเมทแอมเฟตามีนในเมียนมา โดยไทยได้สกัดกั้นสารเคมีจำนวนมากที่ปลายทางในเมียนมา
  • เส้นทางการค้ายาเสพติด: ไทยยังคงเป็นจุดผ่านแดนและปลายทางหลักสำหรับเมทแอมเฟตามีน แต่ก็มีการขยายเส้นทางใหม่ไปยังกัมพูชา และเส้นทางทะเลไปยังมาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์
  • เครือข่ายอาชญากรรมและการทุจริต: เครือข่ายอาชญากรรมขนาดใหญ่ยังคงดำรงอยู่ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา โดยมีศูนย์กลางในพื้นที่อย่าง KK Park และชเวโก๊กโก่ ซึ่งเป็นแหล่งรวมการทุจริต การคงอยู่ของ “Dark Zomia” หรือเขตชายแดนที่ไร้กฎหมายยังคงเป็นความท้าทาย
  • ยุทธศาสตร์ปราบปรามยาเสพติดของไทย: รัฐบาลไทยและ ป.ป.ส. มีนโยบายที่ครอบคลุม อาทิ โครงการ “Seal Stop Safe” และ “หมู่บ้านปลอดยาเสพติด” ที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาในระดับรากหญ้า มีการเพิ่มทรัพยากร มุ่งเน้นการยึดทรัพย์สิน และการสร้างความตระหนักรู้ของประชาชนเกี่ยวกับยาเสพติด

สงครามยาเสพติดที่ยังไม่สิ้นสุด

การส่งมอบตัวผู้ต้องหายาเสพติดข้ามแดนที่ด่านศุลกากรแม่สายในช่วงปี 2567-2568 แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่แข็งแกร่งของประเทศไทยในการต่อสู้กับอาชญากรรมยาเสพติดข้ามชาติ การมุ่งเน้นไปที่การจับกุมผู้บงการและการยึดทรัพย์สินมูลค่ามหาศาล สะท้อนถึงการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์จากการจับกุมผู้ขนส่งรายย่อยไปสู่การบ่อนทำลายโครงสร้างองค์กรทางการเงินและเครือข่ายการสั่งการ ซึ่งเป็นแนวทางที่มุ่งสร้างผลกระทบที่ยั่งยืนต่อการค้ายาเสพติดผิดกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม ภูมิทัศน์ของปัญหายาเสพติดยังคงซับซ้อนอย่างยิ่ง การผลิตยาเสพติดสังเคราะห์ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในเมียนมา ซึ่งได้รับแรงหนุนจากความไม่มั่นคงภายในประเทศ ยังคงเป็นแหล่งที่มาหลักของยาเสพติดที่ไหลเข้าสู่ภูมิภาค การคงอยู่ของเครือข่ายอาชญากรรมที่หยั่งรากลึกและการทุจริตตามแนวชายแดน ยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญ

ในอนาคต การแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืนจะต้องอาศัยแนวทางที่หลากหลายและต่อเนื่อง ได้แก่: การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งการแบ่งปันข่าวกรองและประสานงานปฏิบัติการ, การมุ่งเน้นการบ่อนทำลายโครงสร้างเครือข่ายยาเสพติด, การจัดการกับปัจจัยพื้นฐานที่เชื่อมโยงกับความไม่มั่นคงทางการเมืองในเมียนมา, และการดำเนินโครงการป้องกันและสร้างความตระหนักรู้ในระดับชุมชน เพื่อลดอุปสงค์และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับสังคม

 

ในสถานการณ์ที่ยาเสพติดยังคงเป็นภัยคุกคามข้ามพรมแดนเช่นนี้ คุณคิดว่าบทบาทของ “ประชาชนในพื้นที่ชายแดน” จะสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการปราบปรามและป้องกันยาเสพติดได้อย่างไรบ้าง?

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงาน ป.ป.ส.
  • สำนักงานคณะกรรมการเพื่อการควบคุมยาเสพติด (CCDAC) สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
  • กรมศุลกากร
  • กองกำลังผาเมือง
  • หน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด ภาคเหนือ 35 (นบ.ยส.35)
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
  • สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC)
  • คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศ (INCB)
  • GISTDA (สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ)
  • รายงานสถานการณ์ยาเสพติดต่างๆ ที่กล่าวถึงในเนื้อหา
  • การให้สัมภาษณ์และข้อมูลจาก พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

เวียตเจ็ทไทยแลนด์ ผนึกกำลังดันไทยฮับเที่ยว! ปักหมุดเชียงราย ติด Top 10 ตรงเวลาอาเซียน

เวียตเจ็ทไทยแลนด์ ผนึกกำลังภาครัฐ-เอกชน ดันไทยเป็น Hub ท่องเที่ยวไร้ขีดจำกัด! ปักหมุดเชียงรายนำร่อง “Fun & Fly เที่ยวเมืองไทย สนุกได้ทั้งปี” พร้อมประกาศศักดาติด Top 10 สายการบินตรงเวลาที่สุดในอาเซียน

เชียงราย,14 กรกฎาคม 2568เวียตเจ็ทไทยแลนด์ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเป็นฟันเฟืองสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวไทยอย่างยั่งยืน ด้วยการเปิดตัวโครงการยักษ์ใหญ่ “Fun & Fly เที่ยวเมืองไทย สนุกได้ทั้งปี” โดยเริ่มต้นจังหวัดแรกที่ เชียงราย ภายใต้แคมเปญสุดคึกคัก เจียงฮายม่วนใจ๋ แอ่วตอนไหนก็ม่วนจอย” พร้อมกันนี้ สายการบินยังสร้างความภาคภูมิใจให้กับอุตสาหกรรมการบินไทย ด้วยการประกาศผลงานสุดโดดเด่นติด 10 อันดับแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในฐานะสายการบินที่มีความตรงต่อเวลามากที่สุด (On-Time Performance – OTP) จากการจัดอันดับของ Cirium ผู้นำระดับโลกด้านการวิเคราะห์ข้อมูลการบิน ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตเชิงกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งและมาตรฐานการบริการระดับสากล

“Fun & Fly เที่ยวเมืองไทย สนุกได้ทั้งปี” ปลุกสีสันการท่องเที่ยวไทย ไม่จำกัดฤดูกาล

เวียตเจ็ทไทยแลนด์เล็งเห็นถึงศักยภาพอันหลากหลายของการท่องเที่ยวไทยที่สามารถสัมผัสได้ตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นฤดูฝน ฤดูหนาว หรือฤดูร้อน เพื่อให้ทุกจังหวัดกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจเสมอ สายการบินจึงได้ริเริ่มโครงการ “Fun & Fly เที่ยวเมืองไทย สนุกได้ทั้งปี” ขึ้นมา โดยมีเป้าหมายในการร่วมมือกับภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการท้องถิ่น เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์การเดินทางที่น่าดึงดูดใจ และกระจายเม็ดเงินสู่เศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน

คุณภูเบศ กิตติญาณปัญญา รองผู้อำนวยการฝ่ายการพาณิชย์ สายการบินเวียตเจ็ท ไทยแลนด์ กล่าวในพิธีเปิดโครงการว่า “เรามีความเชื่อมั่นในเสน่ห์อันไม่รู้จบของประเทศไทย เวียตเจ็ทไทยแลนด์มุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำให้ทุกจังหวัดเป็นจุดหมายปลายทางที่เข้าถึงได้และน่าสนใจตลอดทั้งปี โครงการ ‘Fun & Fly เที่ยวเมืองไทย สนุกได้ทั้งปี’ นี้ จึงเป็นเสมือนสะพานเชื่อมโยงนักท่องเที่ยวกับประสบการณ์ท้องถิ่นอันล้ำค่า ที่จะนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของอุตสาหกรรม และสร้างรอยยิ้มให้กับชุมชนทั่วไทย”

เจียงฮายม่วนใจ๋ แอ่วตอนไหนก็ม่วนจอย” ต้นแบบการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น

สำหรับการเริ่มต้นโครงการ “Fun & Fly” เวียตเจ็ทไทยแลนด์ ได้เลือก จังหวัดเชียงราย เป็นจังหวัดแรก ภายใต้แคมเปญ เจียงฮายม่วนใจ๋ แอ่วตอนไหนม่วนก็จอย” ซึ่งเน้นการกระตุ้นการเดินทางและส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในจังหวัดอย่างรอบด้าน ทั้งในด้านทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ วัฒนธรรมอันงดงาม และอัตลักษณ์ท้องถิ่นอันเป็นเอกลักษณ์

ภายใต้แคมเปญนี้ เวียตเจ็ทไทยแลนด์ได้จับมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการท้องถิ่นในเชียงราย กว่า 100 ราย ครอบคลุมหลากหลายกลุ่มธุรกิจ ได้แก่ โรงแรม ร้านอาหาร คาเฟ แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ สถานบริการสุขภาพ และสถานบันเทิงยามค่ำคืน เป้าหมายคือการมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่สมบูรณ์แบบ ตอบโจทย์ความต้องการของนักเดินทางทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นนักเดินทางเดี่ยว กลุ่มเพื่อน หรือครอบครัว รวมถึงตอบสนองความชอบที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา

ผู้โดยสารที่ถือบัตรโดยสารของเวียตเจ็ทไทยแลนด์จะได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษและส่วนลดสูงสุดถึง 50% ณ ร้านค้าที่เข้าร่วมรายการทั่วจังหวัดเชียงราย ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์ที่คุ้มค่าและน่าประทับใจ แต่ยังเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจในระดับชุมชนโดยตรง ทำให้เม็ดเงินหมุนเวียนในท้องถิ่น และสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการรายย่อยได้อย่างเป็นรูปธรรม

การเปิดตัวโครงการครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากตัวแทนจากองค์กรภาครัฐและภาคเอกชนหลายท่านร่วมงาน นำโดย คุณนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย, คุณนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และนายกสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย, และ คุณโชติศิริ ดารายน นายกสมาคมสื่อมวลชนและนักประชาสัมพันธ์เชียงราย รวมถึงแขกผู้มีเกียรติท่านอื่นๆ อีกคับคั่ง นอกจากนี้ เพื่อเข้าถึงนักเดินทางรุ่นใหม่ เวียตเจ็ทไทยแลนด์ยังได้เชิญอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังมาร่วมประชาสัมพันธ์แคมเปญ เพื่อสร้างกระแสและแรงบันดาลใจในการเดินทางสู่เชียงรายอีกด้วย

ความสำเร็จระดับโลก เวียตเจ็ทไทยแลนด์ติด Top 10 สายการบินตรงเวลาที่สุดในอาเซียน

นอกจากการผลักดันการท่องเที่ยวภายในประเทศแล้ว เวียตเจ็ทไทยแลนด์ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพการบริการในทุกมิติ ซึ่งรวมถึง “ความตรงต่อเวลา” ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากผู้โดยสารทั่วโลก ล่าสุด Cirium ผู้นำระดับโลกด้านการวิเคราะห์ข้อมูลการบิน ได้จัดอันดับให้เวียตเจ็ทไทยแลนด์เป็นหนึ่งในสายการบินที่มีผลงานความตรงต่อเวลา (On-Time Performance – OTP) โดดเด่นที่สุด โดยติด 10 อันดับแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในเดือนพฤษภาคม 2568

รายงาน On-Time Performance ของ Cirium เดือนพฤษภาคม 2568 เผยว่า จากจำนวนเที่ยวบินทั้งหมด 3,077 เที่ยวบินของเวียตเจ็ทไทยแลนด์ สามารถทำคะแนนในหัวข้อต่างๆ ได้สูงอย่างน่าประทับใจ:

  • อัตราการมาถึงตรงเวลา (On-Time Arrival): 74.32%
  • เที่ยวบินที่ถูกติดตามข้อมูล (Tracked Flights): 96.82%
  • อัตราความสมบูรณ์ของเที่ยวบิน (Completion Factor): 100% (คะแนนเต็ม)

ความสำเร็จนี้สะท้อนถึงกลยุทธ์การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพภายใต้มาตรฐานระดับสากล และแสดงศักยภาพที่โดดเด่นภายใต้การแข่งขันที่เข้มข้นในตลาดโลว์คอสต์ระดับภูมิภาค Cirium ซึ่งเป็นองค์กรด้านการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับการยอมรับจากอุตสาหกรรมการบินระดับโลก ด้วยฐานข้อมูลเที่ยวบินนับล้านเที่ยวบิน เทคโนโลยี Big Data และการตรวจสอบหลายชั้น ทำให้การวิเคราะห์ด้าน OTP มีความแม่นยำ โปร่งใส และน่าเชื่อถือ สายการบินที่จะได้รับการพิจารณาเข้าสู่การจัดอันดับ จะต้องมีข้อมูลเที่ยวบินที่เสร็จสิ้นการเดินทางอย่างสมบูรณ์ไม่น้อยกว่า 90%

ความสำเร็จของเวียตเจ็ทไทยแลนด์ในครั้งนี้ เป็นผลลัพธ์จากการดำเนินกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลากว่า 8 ปีที่ให้บริการในประเทศไทย โดยเฉพาะในปี 2568 ซึ่งถือเป็นปีแห่ง การขยายตัวเชิงกลยุทธ์” ของสายการบิน ด้วยการขยายฝูงบินที่มีประสิทธิภาพ พร้อมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านปฏิบัติการ ทั้งการเสริมกำลังคนในห้องนักบินและภาคพื้น การอบรมทักษะตามมาตรฐานสากล และการนำเทคโนโลยีติดตามเที่ยวบินแบบเรียลไทม์มาใช้ในการบริหารเที่ยวบินแบบ Proactive ซึ่งสามารถคาดการณ์และป้องกันปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดความล่าช้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ก้าวต่อไปของเวียตเจ็ทไทยแลนด์ ต้นแบบสายการบินยุคใหม่

เวียตเจ็ทไทยแลนด์ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2557 และได้ให้บริการในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยมีเส้นทางบินภายในประเทศรวม 11 เส้นทาง และเครือข่ายบินสู่ต่างประเทศที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน อินเดีย และเวียดนาม นอกจากมาตรฐานด้าน OTP แล้ว เวียตเจ็ทยังได้รับรางวัลระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่อง เช่น แบรนด์สายการบินราคาประหยัดยอดเยี่ยม ประเทศไทย จาก Global Brand Awards ปี 2567 และปี 2568 รวมถึงรางวัล สายการบินที่ลูกเรือเป็นมิตรต่อผู้โดยสารมากที่สุด จาก International Finance Magazine ต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน

หากเวียตเจ็ทไทยแลนด์สามารถรักษามาตรฐานด้านความตรงต่อเวลาและการบริการที่มีคุณภาพได้อย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับขยายความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวในประเทศอย่างต่อเนื่อง สายการบินนี้จะไม่เพียงแค่เป็นสายการบินที่ “ผู้โดยสารไว้วางใจ” แต่ยังมีศักยภาพสูงในการก้าวขึ้นเป็น ต้นแบบสายการบินยุคใหม่” ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้โดยสารยุคดิจิทัล ซึ่งให้ความสำคัญกับความรวดเร็ว ความเที่ยงตรง และความคุ้มค่าเป็นอันดับแรกในการเลือกใช้บริการ

ไทยพร้อมก้าวสู่ศูนย์กลางท่องเที่ยวเอเชียด้วยสายการบินแห่งศตวรรษใหม่

โครงการ Fun & Fly โดยเวียตเจ็ทไทยแลนด์ เป็นตัวอย่างของการบูรณาการความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน และท้องถิ่น ผลักดันให้ประเทศไทยมีศักยภาพแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน เชียงรายในฐานะจังหวัดนำร่อง สะท้อนบทบาทเมืองรองที่พร้อมรับความเปลี่ยนแปลง มุ่งสู่การเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำในภูมิภาค ไม่เพียงตอบโจทย์คนไทยแต่ยังสร้างความประทับใจแก่นักเดินทางทั่วโลก

เวียตเจ็ทไทยแลนด์ พร้อมก้าวไปข้างหน้าในฐานะสายการบินไทยที่ยืนหยัดในมาตรฐานสากล ขับเคลื่อนเศรษฐกิจท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน สร้างรอยยิ้มให้ชุมชน และเชื่อมโยงประสบการณ์ใหม่ระหว่างไทยกับประเทศในภูมิภาคและทั่วโล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เวียตเจ็ทไทยแลนด์
  • Cirium, รายงาน On-Time Performance พฤษภาคม 2568
  • สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

ปีทองชา-กาแฟเชียงราย ‘ม.แม่ฟ้าหลวง’ เจ้าภาพ Global Forum ดันสู่ศูนย์กลางอุตสาหกรรมโลก

เชียงรายเปิดเวทีโลก! จัดงาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 ยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางชา-กาแฟนานาชาติ

เชียงราย,14 กรกฎาคม 2568 – แม้โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม จังหวัดเชียงรายพร้อมเขียนประวัติศาสตร์ต่อเนื่องด้วยการเตรียมจัดงาน “Global Coffee and Tea Association Forum 2025: Shaping the Future Together” โดยได้รับการสนับสนุนการจัดงานจากสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. ระหว่างวันที่ 17-20 กรกฎาคม 2568 ณ โรงแรม เลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท และอุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง

งานครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการรวมพลังผู้เล่นระดับโลกในอุตสาหกรรมชาและกาแฟ แต่ยังเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน ทั้งในฐานะจังหวัดที่ผลิตชาและกาแฟคุณภาพสูงระดับโลก และเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน พร้อมกับการเฉลิมฉลอง 1 ทศวรรษแห่งความร่วมมือทางวิชาการระหว่างสถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กับ Tea Research Institute, Chinese Academy of Agricultural Sciences

จากหมู่บ้านเล็กสู่เมืองหลวงแห่งชาและกาแฟ

เรื่องราวของเชียงรายกับอุตสาหกรรมชาและกาแฟเริ่มต้นจากศักยภาพทางธรรมชาติที่พระเจ้าประทานให้ ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นเทือกเขาสูง ภูมิอากาศเย็นสบาย และความอุดมสมบูรณ์ของดินที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกพืชเมืองหนาว ทำให้พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นแหล่งผลิตชาและกาแฟที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

ตัวเลขจากสำนักงานจังหวัดเชียงรายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เผยให้เห็นถึงความเป็นผู้นำของเชียงรายในอุตสาหกรรมนี้อย่างชัดเจน

  • ชา จังหวัดเชียงรายมีพื้นที่ปลูกชากว้างใหญ่ถึง 91,541 ไร่ คิดเป็น 68.94% ของพื้นที่ปลูกชาทั่วประเทศ และให้ผลผลิตรวม 76,893 ตัน หรือคิดเป็น 72.31% ของผลผลิตชาทั้งประเทศ
  • กาแฟ มีพื้นที่ปลูก 54,892 ไร่ คิดเป็น 25.36% ของพื้นที่ปลูกกาแฟทั่วประเทศ และให้ผลผลิตรวม 4,736 ตัน คิดเป็น 28.49% ของผลผลิตกาแฟทั้งประเทศ

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าเชียงรายไม่ได้เป็นเพียงแหล่งผลิต แต่คือศูนย์กลางและหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมชาและกาแฟของไทย ที่พร้อมจะเติบโตและสร้างมูลค่าเพิ่มสู่ตลาดโลก

ก้าวสำคัญจากประสบการณ์ที่สั่งสม

การเดินทางสู่การเป็นเจ้าภาพงาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลจากการสั่งสมประสบการณ์และการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของสถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ในการจัดงานระดับนานาชาติ 5 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2009 และการจัดงานก็ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) หรือ สสปน. อย่างต่อเนื่อง

ย้อนกลับไปในปี 2567 งาน Tea and Coffee International Symposium 2024 (TCIS2024) และ The 3rd International Congress on Cocoa Coffee and Tea Asia ที่จัดขึ้นในเดือนกรกฎาคม ได้สร้างความประทับใจและผลลัพธ์ที่เกินความคาดหมาย การจัดงานในรูปแบบ Hybrid ร่วมกับ The State Key Laboratory of Tea Plant Biology and Utilization Anhui Agricultural University สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม โดยมีผู้เข้าร่วมถึง 437 คน จาก สาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ไต้หวัน อินเดีย เวียดนาม ฝรั่งเศส เยอรมนี ฮังการี สหราชอาณาจักร แคนาดา รวม 11 ประเทศ

สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือผลลัพธ์ทางธุรกิจที่เกิดขึ้น มีการออกบูธแสดงสินค้าจากผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศมากกว่า  40 บูธ  เช่นจากประเทศจีนและญี่ปุ่น ซึ่งนำไปสู่การเจรจาจับคู่ธุรกิจมากถึง 7 ธุรกิจ และที่สำคัญที่สุดคือการสร้างมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจในพื้นที่ประมาณ 8.47 ล้านบาท ตามข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)

ความสำเร็จนี้ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 งาน Chiangrai Brewtopia 2025 ที่จัดร่วมกับสิงห์ปาร์ค เชียงราย ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการกาแฟอีกครั้ง ภายในงานมีการสัมมนาหัวข้อ “Sustainability in Specialty Coffee: Challenges and Opportunities” กับบูธแสดงสินค้า 44 ร้าน ผลลัพธ์ที่ได้คือการเชื่อมโยงเครือข่ายกาแฟระหว่างประเทศที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น การกระตุ้นยอดขาย และการส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

วิสัยทัศน์แห่งอนาคตการสร้างสังคมที่ยั่งยืน

งาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 ไม่ใช่เพียงแค่การประชุมทางวิชาการหรือเวทีทางการค้า แต่เป็นการรวมพลังเพื่อเตรียมรับความท้าทายที่อุตสาหกรรมชาและกาแฟทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นความยั่งยืนที่กลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 21

จากข้อมูลสถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้เผยถึงความสำคัญของงานนี้ถึงการเชื่อมั่นว่า “งาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 จะเป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่ช่วยให้ผู้เล่นในอุตสาหกรรมชาและกาแฟทั่วโลกได้มาทำงานร่วมกัน แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และหาแนวทางรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ โดยเฉพาะประเด็นความยั่งยืน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมในระยะยาว”

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การขาดแคลนวัตถุดิบ และความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นสามประเด็นหลักที่งานนี้จะมุ่งเน้นหาแนวทางแก้ไขผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างประเทศ

หลากหลายมิติกิจกรรมจากห้องประชุมสู่ไร่นา

การจัดงานในระยะเวลา 4 วันเต็ม ตั้งแต่วันที่ 17-20 กรกฎาคม 2568 โดยวันที่ 17 กรกฎาคม จะเป็นวันเปิดงานประชุม Global Coffee and Tea Association Forum 2025 ณ โรงแรม เลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท โดยคาดการณ์ว่าจะมีผู้ที่สนใจเข้าร่วมมากถึง 250 คน จากประเทศไทย 210 คน และต่างประเทศมากถึง 40 คน หลายทวีป รวมถึงเอเชีย ยุโรป และอเมริกา

ส่วนไฮไลต์ของงานที่บรรดาประชาชนจะมาร่วมในวันที่ 18 กรกฎาคม จะเป็นวันสำคัญสำหรับการสร้างเครือข่ายระดับสูง ด้วยการจัด Round table: Shaping future together สำหรับผู้แทนสมาคมชาและกาแฟ หน่วยงานภาครัฐ และมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังเป็นวันเปิดงานแสดงสินค้า Chiang Rai Brewtopia (Green Season) ณ อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง ซึ่งจะเป็นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ชาและกาแฟคุณภาพสูงจากผู้ผลิตท้องถิ่นและนานาชาติ

วันที่ 19 กรกฎาคม ผู้แทนสมาคมทั้งในและต่างประเทศ ที่จะได้เข้าร่วมกิจกรรม Farm visit: A Cup to Village ซึ่งเป็นการเยี่ยมชมแปลงปลูกและกระบวนการผลิตชาและกาแฟในพื้นที่จริง การเดินทางนี้จะพาผู้เข้าร่วมไปสู่ World Award-Winning Tea Route เส้นทางดอยแม่สลองและเส้นทาง Coffee: A cup to village ที่จะให้ประสบการณ์ตรงจากต้นทางสู่ปลายทางของอุตสาหกรรมชาและกาแฟ

สำหรับวันที่ 19-20 กรกฎาคม งานแสดงสินค้า Chiang Rai Brewtopia (Green Season) จะเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชม ณ อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง โดยคาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าชมงานตลอด 3 วัน ไม่น้อยกว่า 2,500 คน พร้อมมีร้านค้าจากในประเทศและต่างประเทศ  40 ร้านค้า และกิจกรรม Workshop ที่น่าสนใจสำหรับเกษตรกร ผู้ประกอบการ และผู้สนใจทั่วไป

เฉลิมฉลองมิตรภาพรากฐานความสัมพันธ์ไทย-จีน

อีกหนึ่งความพิเศษของงานในปีนี้คือการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความแข็งแกร่งของมิตรภาพระหว่างสองประเทศที่ได้พัฒนาและเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 1 ทศวรรษแห่งความร่วมมือระหว่างสถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กับ Tea Research Institute, Chinese Academy of Agricultural Sciences จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2558

ความร่วมมือที่ยาวนานนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การแลกเปลี่ยนทางวิชาการ แต่ยังเป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมชาและกาแฟของทั้งสองประเทศ ผลจากความร่วมมือนี้ทำให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต การพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ การจัดกิจกรรมฝึกอบรมเพื่อเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการชาไทย และการสร้างเครือข่ายการค้าที่เชื่อมโยงตลาดในภูมิภาคเอเชียอย่างแข็งแกร่ง

การเปลี่ยนแปลงในระดับภูมิภาคเส้นทางแห่งความสำเร็จกับประสบการณ์จากงานระดับนานาชาติ

การจัดงาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่การสร้างเครือข่ายหรือการแลกเปลี่ยนความรู้ แต่ยังมุ่งหวังที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกที่ยาวนานและครอบคลุมหลายมิติ

ในมิติทางสังคม (Social Impact) งานนี้คาดว่าจะช่วยพัฒนาและยกระดับทักษะของเกษตรกรและผู้ประกอบการในพื้นที่ ผ่านการเข้าถึงองค์ความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระดับนานาชาติที่จะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ตลาดโลก และการส่งเสริมการทำเกษตรแบบยั่งยืนที่จะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับชุมชน

ในมิติทางเศรษฐกิจ (Economic Impact) ผลลัพธ์ที่คาดหวังคือการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมชาและกาแฟไทยในตลาดโลก ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของมูลค่าการส่งออกและการสร้างรายได้ให้กับประเทศ นอกจากนี้ยังจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในจังหวัดเชียงรายผ่านการจัดงานและการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ การเพิ่มยอดขายสินค้าและผลิตภัณฑ์ในงานแสดงสินค้า และการสร้างโอกาสในการลงทุนและพัฒนาโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศ

เส้นทางสู่ “Chiang Rai Tea and Coffee Destination”

งาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 เป็นก้าวสำคัญในเส้นทางที่จะขับเคลื่อนจังหวัดเชียงรายให้กลายเป็น “Chiang Rai Tea and Coffee Destination” ที่แท้จริง ไม่เพียงแค่ในฐานะแหล่งผลิตชาและกาแฟคุณภาพสูง แต่ยังเป็นศูนย์กลางการค้า การวิจัยและพัฒนา และการจัดงานเทศกาลระดับนานาชาติในอุตสาหกรรมนี้

ความสำเร็จของงานนี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความพร้อมของเชียงรายในการเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมชาและกาแฟในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับจังหวัดอื่นๆ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปสู่ระดับสากล

การรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย เกษตรกร และผู้ประกอบการจากทั่วโลกในครั้งนี้ จะเป็นการสร้างพลังขับเคลื่อนที่สำคัญสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมชาและกาแฟไทยให้มีความยั่งยืน สร้างสรรค์ และสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกในยุคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

อนาคตที่เต็มไปด้วยความหวัง

งาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 ไม่ใช่เพียงแค่งานประชุมหรือเทศกาลสินค้า แต่เป็นการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับอุตสาหกรรมชาและกาแฟทั่วโลก ผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ และการหาแนวทางแก้ไขความท้าทายร่วมกัน

สำหรับจังหวัดเชียงราย งานนี้จะเป็นการยืนยันสถานะในฐานะ “เมืองหลวงแห่งชาและกาแฟของไทย” และเป็นก้าวสำคัญสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมชาและกาแฟของภูมิภาค การสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น การพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและชุมชน และการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของผลิตภัณฑ์ไทยในตลาดโลก

ในขณะที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ อย่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง การรวมตัวของผู้เล่นในอุตสาหกรรมเพื่อหาแนวทางแก้ไขร่วมกันจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง งาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 จะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและเต็มไปด้วยความหวังสำหรับอุตสาหกรรมชาและกาแฟทั่วโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด
  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย, ข้อมูลสถิติการเกษตร ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567
  • สถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, รายงานผลการจัดงาน TCIS2024
  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB), รายงานผลกระทบทางเศรษฐกิจ 2567
  • Tea Research Institute, Chinese Academy of Agricultural Sciences, รายงานความร่วมมือด้านการวิจัยชา 2558-2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย คว้า “สนามบินดีเด่น” ยืนหนึ่งด้านบริการและสังคม

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ผงาดคว้ารางวัล “ท่าอากาศยานดีเด่น” ประจำปี 2568 ยืนหนึ่งผู้นำบริการ-รับผิดชอบต่อสังคมในโอกาสครบรอบ 46 ปี AOT 

ประวัติศาสตร์ใหม่ของท่าอากาศยานเชียงราย: รางวัลที่สะท้อนมาตรฐานระดับชาติ

เชียงราย, 7 กรกฎาคม 2568 – ในโอกาสครบรอบ 46 ปีแห่งการดำเนินงานของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) ได้สร้างความภาคภูมิใจครั้งใหม่ให้กับชาวเชียงรายและภาคเหนือ ด้วยการคว้ารางวัล “ท่าอากาศยานดีเด่น” และ “กลุ่มหรือหน่วยงาน ทอท. ดีเด่น” ในพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติบุคลากรผู้ทรงคุณค่าของ AOT ประจำปี 2568 ที่จัดขึ้น ณ สำนักงานใหญ่ AOT กรุงเทพมหานคร

พิธีมอบรางวัลดังกล่าว มี นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เป็นประธาน เพื่อยกย่องพนักงานและหน่วยงานที่มีผลงานดีเด่นทั้งด้านบริการและการสนับสนุนสังคม นอกจากนี้ยังเป็นเวทีเพื่อเชิดชูเกียรติพนักงานที่ทำงานครบ 25 ปี อันเป็นรากฐานแห่งความมั่นคงและต่อยอดคุณภาพองค์กรตลอดระยะเวลาเกือบครึ่งศตวรรษ

แรงผลักดันสู่ความสำเร็จเมื่อบริการเหนือความคาดหมายกลายเป็นมาตรฐาน

การได้รับรางวัล “ท่าอากาศยานดีเด่น” และ “กลุ่มหรือหน่วยงาน ทอท. ดีเด่น” ในปีนี้ ไม่ได้มาโดยบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ของการวางยุทธศาสตร์ การทุ่มเทอย่างเต็มที่ของผู้บริหารและพนักงานทุกภาคส่วน ที่ร่วมกันขับเคลื่อน “สนามบินแม่ฟ้าหลวง” ให้เป็นศูนย์กลางคมนาคมและบริการของภาคเหนือที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน นักเดินทาง และภาคธุรกิจ

โดยเฉพาะบทบาทของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ในการช่วยเหลือสังคมรอบข้าง ทั้งการสนับสนุนในช่วงเกิดอุทกภัยจังหวัดเชียงราย และการประสานความร่วมมือกับองค์กรภายนอกในการพัฒนาเมือง เชียงรายจึงไม่ได้เป็นเพียง “ทางผ่าน” สำหรับนักเดินทาง แต่เป็น “ส่วนหนึ่งของชุมชน” ที่สร้างคุณค่าอย่างยั่งยืน

รางวัลที่เป็นมากกว่าเครื่องหมายแห่งความสำเร็จ

รางวัลสำคัญที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ได้รับ ประกอบด้วย

  • รางวัล “กลุ่มหรือหน่วยงาน ทอท. ดีเด่น” สะท้อนถึงการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพของบุคลากรทุกคน โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกและช่วยเหลือผู้ใช้บริการในทุกสถานการณ์
  • รางวัล “ท่าอากาศยานดีเด่น” รางวัลสูงสุดในปีนี้ ซึ่งยืนยันถึงมาตรฐานระดับสากล ทั้งด้านความปลอดภัย ประสิทธิภาพ ระบบบริหารจัดการ และนวัตกรรมที่ถูกนำมาใช้พัฒนางานอย่างต่อเนื่อง
  • รางวัล “พนักงานดีเด่น” ที่มอบให้กับนางสาวจารุทรรศน์ สิงห์เรือง เจ้าหน้าที่พัสดุอาวุโส 5 ส่วนพัสดุ ทชร. ตอกย้ำถึงศักยภาพ ความตั้งใจ และความโปร่งใสของบุคลากร
  • รางวัล “บุคลากรหน่วยงานภายนอกผู้ทำคุณประโยชน์ให้ ทอท.” ที่มอบให้กับบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) สาขาเชียงราย สำหรับความร่วมมือและการสนับสนุนระบบสื่อสารสนามบิน

ภูมิหลังการเติบโตสถิติยืนยันสนามบินแม่ฟ้าหลวงเป็นศูนย์กลางใหม่ของภาคเหนือ

จากรายงานประจำปี 2567 ของ AOT ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงรายมีจำนวนผู้โดยสารกว่า 2.5 ล้านคนในปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 15% จากปี 2566 และเที่ยวบินรวมกว่า 17,000 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 10% สะท้อนถึงศักยภาพและความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงเศรษฐกิจโลกจะมีความผันผวน

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ผู้ใช้บริการ นักท่องเที่ยว และภาคธุรกิจมีต่อสนามบินแม่ฟ้าหลวง ซึ่งกลายเป็น “ประตูสู่อินโดจีน” และเป็นจุดเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่างภาคเหนือของไทยกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

วิเคราะห์ผลลัพธ์และแรงกระเพื่อมในระยะยาว

  1. ยกระดับภาพลักษณ์จังหวัดและประเทศ
    รางวัลที่ได้รับเป็นสิ่งยืนยันถึงศักยภาพของเชียงรายในการเป็นผู้นำการบริการระดับประเทศ ไม่ใช่เพียงแค่การขนส่งทางอากาศ แต่ยังรวมถึงบทบาทเชิงสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค
  2. สร้างความเชื่อมั่นในตลาดธุรกิจและท่องเที่ยว
    ความสำเร็จของสนามบินช่วยดึงดูดการลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม โลจิสติกส์ และบริการ ซึ่งจะกระตุ้นเศรษฐกิจเชียงรายให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
  3. จุดประกายแรงบันดาลใจให้บุคลากรและองค์กรอื่น
    ความภาคภูมิใจและแรงบันดาลใจจากรางวัลจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้บุคลากรทุกคนเดินหน้าพัฒนาและยกระดับคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ขณะที่องค์กรอื่นๆ ก็สามารถนำแนวคิดของสนามบินแม่ฟ้าหลวงไปปรับใช้ เพื่อยกระดับมาตรฐานในอุตสาหกรรมของตนเอง

วิสัยทัศน์ใหม่ “ศูนย์กลางการบินแห่งอนาคต” ของภาคเหนือ

ภายใต้การนำของ น.ต.ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ และผู้บริหารรุ่นใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย มีแผนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนเพื่อรองรับการเติบโตในอีก 10 ปีข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นการขยายพื้นที่ รองรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ การนำระบบดิจิทัลมาเพิ่มประสิทธิภาพบริการ และการเป็นสนามบิน “สีเขียว” ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-หมุนเวียน-สีเขียว (BCG Model) ของประเทศ

เสียงสะท้อนจากผู้บริหาร

น.ต.ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย กล่าวว่า

“รางวัลเหล่านี้เป็นผลของความร่วมมือร่วมใจ และยืนยันถึงความตั้งใจของเราทุกคนที่จะผลักดันสนามบินแม่ฟ้าหลวงให้เป็นศูนย์กลางการบินของภาคเหนือ เราจะเดินหน้าต่อไป ทั้งด้านบริการ เทคโนโลยี และความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อให้สมกับความเชื่อมั่นของทุกคน”

สรุปและข้อคิดส่งท้าย

การที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ได้รับรางวัลใหญ่ในปีนี้ ไม่ใช่เพียงความสำเร็จขององค์กร แต่ยังเป็นความภาคภูมิใจของชาวเชียงรายและคนไทยทั้งประเทศ เป็นบทพิสูจน์ว่าองค์กรขนาดกลางในภูมิภาคสามารถยืนหยัดในเวทีระดับชาติและสร้างมาตรฐานใหม่ของการให้บริการและความรับผิดชอบต่อสังคม

ในอนาคต สนามบินแห่งนี้ยังมีศักยภาพที่จะเติบโตขึ้นอีกมาก สร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และคุณภาพชีวิตของผู้คนในภาคเหนืออย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT). (2568). เอกสารข่าวประชาสัมพันธ์ พิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติบุคลากรผู้ทรงคุณค่าของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ประจำปี 2568
  • รายงานประจำปี 2567 ของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
  • ข้อมูลสถิติผู้โดยสารและเที่ยวบิน ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ปี 2566-2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

เชียงราย-น่าน เทคโนโลยี ววน. หนุนชุมชนรับมือน้ำ

กองทุน ววน.” หนุนงานวิจัย-นวัตกรรม บูรณาการรับมือภัยน้ำ เชียงราย-น่าน ชูเทคโนโลยีสร้างความมั่นใจชุมชน

เชียงราย, 5 กรกฎาคม 2568 – รายงานสถานการณ์น้ำในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงรายและน่าน กำลังได้รับความสนใจและการขับเคลื่อนเชิงรุกอย่างเป็นระบบ จากทั้งภาครัฐ นักวิชาการ และเครือข่ายวิจัยทั่วประเทศ ภายใต้การสนับสนุนจาก “กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.)” ซึ่งเดินหน้าหนุนงานวิจัยมุ่งเป้าโครงการ “น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง” ครอบคลุมงานด้านการเตือนภัย ระบบบริหารจัดการน้ำ และการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำ

กองทุน ววน. ขับเคลื่อนทีมวิจัยปฏิบัติการ เฝ้าระวังน้ำในภาคเหนือ

สถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดเชียงรายช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2568 สร้างความเสียหายอย่างกว้างขวาง มีประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 4,405 ครัวเรือน และพื้นที่เกษตรเสียหาย 500 ไร่ จากอิทธิพลของมรสุมและฝนสะสมติดต่อกันหลายวัน กองทุน ววน. ได้บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและระดมนักวิจัยเชิงปฏิบัติการจากหลากหลายสถาบัน เข้าร่วมเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำในพื้นที่เป้าหมาย อาทิ เชียงรายและน่าน เพื่อเสริมมาตรการรับมือภัยพิบัติของประเทศ

ผศ. ดร.อังกูร ว่องตระกูล จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัยระบบเตือนภัยและแนวทางป้องกันน้ำท่วมในเขตเมืองเชียงราย เปิดเผยถึงการดำเนินงานว่า ทีมวิจัยของแผนงาน “น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง” ได้ร่วมมือกับหน่วยงานรัฐและชุมชน 7 แห่งต้นน้ำกก เพื่อจัดตั้งจุดติดตามสถานการณ์น้ำสำคัญในแต่ละชุมชน สนับสนุนข้อมูลระดับน้ำในแต่ละวัน รายงานต่อศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าและเพจ “ระบบการเตือนภัยและแนวทางการป้องกันน้ำท่วม” เพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้แบบเรียลไทม์

เทคโนโลยี-นวัตกรรมยกระดับระบบเตือนภัยและการวิเคราะห์

การพัฒนาระบบแผนที่ความเสี่ยงคาดการณ์ฝนสะสมและพื้นที่เฝ้าระวังพิเศษ โดยสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) ถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของงานวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนของกองทุน ววน. โดยระบบนี้สามารถเผยแพร่แผนที่เสี่ยงน้ำท่วมจากฝนสะสมรายตำบลล่วงหน้า 48 ชั่วโมง ผ่านเว็บไซต์ Thaiwater.net และแอปพลิเคชัน Thaiwater ช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนในพื้นที่เฝ้าระวังได้รับข้อมูลเตือนภัยอย่างรวดเร็วและแม่นยำ

ล่าสุดในจังหวัดน่าน “ระบบ Sing Command” ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ภายใต้การบริหารจัดการของชลประทานจังหวัดน่าน ทำงานประสานกับทีมวิจัยเพื่อวางระบบวิเคราะห์-พยากรณ์สถานการณ์น้ำและแจ้งเตือนล่วงหน้า โดยดึงข้อมูลพยากรณ์ฝนจากกรมอุตุนิยมวิทยาและข้อมูลดาวเทียมมาพัฒนาโมเดลคาดการณ์ฝนล่วงหน้า 3 วัน ก่อนถอดความเป็นภาษาง่าย ๆ ให้ประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรับทราบสถานการณ์ทันเวลา

การบูรณาการภาคีเครือข่ายมหาวิทยาลัย-ชุมชน ร่วมพัฒนา “แผนที่เสี่ยงภัยน้ำท่วม” เชิงลึก

รศ. ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ผู้อำนวยการแผนงาน “น้ำมั่นคงฯ” เน้นว่า โมเดลสำเร็จในการลดผลกระทบภัยพิบัติจากน้ำท่วม คือการผลักดันให้เกิด “แผนที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมระดับพื้นที่” ที่พัฒนาโดยทีมวิจัยร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยในเชียงใหม่ เชียงราย ขอนแก่น และชัยภูมิ เชื่อมโยงกับการจัดทำพิมพ์เขียว (Blueprint) การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเมืองผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมชุมชน และการใช้เทคโนโลยีทันสมัย เช่น เซนเซอร์ IoT ระบบอัตโนมัติ การจำลองน้ำท่วมแบบดิจิทัล เพื่อประเมินสถานการณ์น้ำท่วมได้อย่างแม่นยำในแต่ละพื้นที่

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เชียงราย” ที่ปัจจุบันมีระบบติดตามระดับน้ำแม่น้ำกก ณ สะพานแม่นาวางและสะพานพ่อขุนเป็นรายชั่วโมง ร่วมมือกับศูนย์อุทกวิทยาชลประทาน ภาคเหนือตอนบน ทำให้สามารถคาดการณ์ระดับน้ำและแจ้งเตือนอย่างทันท่วงที ช่วยสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในพื้นที่และลดความสูญเสียจากน้ำท่วมซ้ำซาก

ถอดบทเรียนการจัดการน้ำ จากวิกฤตสู่โอกาสเปลี่ยนผ่าน

กรณีศึกษาจังหวัดเชียงรายแสดงให้เห็นว่าการบริหารจัดการน้ำต้องอาศัยความร่วมมือหลายภาคส่วน ทั้งจากรัฐบาลกลาง (ผ่านนโยบายและงบประมาณ) หน่วยงานในพื้นที่ (ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ ชลประทาน อปท.) ภาควิชาการและเครือข่ายประชาชนในท้องถิ่น ที่สำคัญคือบทบาท “กองทุน ววน.” ในการหนุนนำความรู้และนวัตกรรมมาสร้างต้นแบบระบบเตือนภัยและแผนรับมือที่ตอบโจทย์พื้นที่

ในเชิงยุทธศาสตร์ แม้เทคโนโลยีและการพยากรณ์จะช่วยลดความเสี่ยงภัยจากน้ำท่วม แต่ความท้าทายคือการถ่ายทอดและปรับใช้โมเดลเหล่านี้ให้เกิดผลลัพธ์จริงในระดับชุมชน พร้อมทั้งการจัดการข้อมูลเชิงลึก เช่น แบบจำลอง Digital Elevation Model (DEM) ที่ยังเป็นจุดอ่อนสำคัญสำหรับการพยากรณ์น้ำท่วมในบางพื้นที่ ทีมวิจัยกำลังผลักดันให้ สสน. สนับสนุนข้อมูลและเชื่อมต่อเครือข่ายมหาวิทยาลัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบเตือนภัยน้ำในภูมิภาค

นอกจากนี้ ระบบเตือนภัยในจังหวัดน่านก็ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยผนวกเอาข้อมูลพยากรณ์ฝนจากหลายแหล่งมาสื่อสารกับประชาชนผ่านภาษาเข้าใจง่าย เพื่อให้การเตรียมพร้อมรับมือเป็นไปอย่างทั่วถึง มีประสิทธิภาพและทันต่อเหตุการณ์

วิเคราะห์ผลลัพธ์และทิศทางในอนาคต

จากการระดมเครือข่ายวิจัย มหาวิทยาลัย และหน่วยงานภาครัฐ-ท้องถิ่น ทำให้ระบบบริหารจัดการน้ำในพื้นที่เสี่ยงภาคเหนือโดยเฉพาะเชียงรายและน่าน มีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน เทคโนโลยีและข้อมูลแบบเปิดช่วยลดช่องว่างการสื่อสารและเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างภูมิคุ้มกันในระยะยาวของชุมชน ลดความสูญเสียซ้ำซากจากภัยน้ำ และสร้างต้นแบบให้จังหวัดอื่นๆ

อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญคือความต่อเนื่องและความยั่งยืนของการบูรณาการทั้งในเชิงนโยบาย งบประมาณ และเครือข่ายวิชาการในพื้นที่ หากสามารถขยายผลนวัตกรรมและระบบเตือนภัยจาก “จุดนำร่อง” สู่พื้นที่เสี่ยงทั่วประเทศ จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถของประเทศไทยในการบริหารความเสี่ยงจากน้ำท่วมและภัยแล้งอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.)
  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
  • สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) Thaiwater.net
  • ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน
  • เครือข่ายงานวิจัยและทีมมหาวิทยาลัยในพื้นที่ภาคเหนือ
  • รายงานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำโดยสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

หนีเมือง มาหาธรรมชาติ เชียงรายนำทัพกาแฟ-ชาไทย สู้ศึกนำเข้า

เชียงรายเปิดตัวงานกาแฟ-ชายิ่งใหญ่ สะท้อนการเติบโตตลาดกาแฟไทยท่ามกลางการพึ่งพานำเข้าเพิ่มขึ้น

เชียงราย, 26 มิถุนายน 2568 – ในขณะที่ตลาดกาแฟโลกกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่องและประเทศไทยเผชิญกับปัญหาการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ จังหวัดเชียงรายในฐานะแหล่งผลิตกาแฟชั้นนำของประเทศได้จัดงาน “Chiangrai Coffee & Tea 2025” ขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อส่งเสริมศักยภาพของผู้ผลิตท้องถิ่นและสร้างโอกาสทางธุรกิจในวงการกาแฟไทย

งานที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Escape into Nature – หนีเมือง มาหาธรรมชาติ” ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ระหว่างวันที่ 25-29 มิถุนายน 2568 นี้ ไม่เพียงเป็นการรวมตัวของผู้ประกอบการในวงการกาแฟและชาของจังหวัดเชียงรายเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมกาแฟไทยที่กำลังเผชิญกับทั้งโอกาสและความท้าทายในยุคปัจจุบัน

ตลาดกาแฟโลกเติบโตต่อเนื่อง แต่ไทยยังผลิตไม่เพียงพอ

ข้อมูลจากองค์การกาแฟนานาชาติ (International Coffee Organization) ชี้ให้เห็นว่า การบริโภคกาแฟทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การบริโภคกาแฟของโลกเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 1.9 ต่อปี ขณะที่รายงานจากเว็บไซต์ Money Buffalo ระบุว่า ทั่วโลกมีการดื่มกาแฟเฉลี่ยประมาณ 2,250 ล้านแก้วต่อวัน และมีผู้ดื่มกาแฟเป็นประจำมากกว่า 1,000 ล้านคน ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากาแฟไม่ใช่แค่เครื่องดื่มยอดนิยม แต่ยังกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลก

สำหรับประเทศไทย สถานการณ์การเติบโตของตลาดกาแฟในภาพรวมก็เพิ่มขึ้นทุกปีเช่นกัน โดยข้อมูลจาก Euromonitor International ระบุว่า ในปี 2566 คนไทยบริโภคกาแฟรวมกันมากถึง 90,000 ตันต่อปี เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนจากเมื่อ 10 ปีก่อน ซึ่งอยู่ที่เพียงประมาณ 30,000 ตัน การเพิ่มขึ้นของการบริโภคถึง 3 เท่าในระยะเวลา 1 ทศวรรษนี้ สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคไทยที่หันมาให้ความสำคัญกับกาแฟมากขึ้น

แต่ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยกลับผลิตกาแฟได้ไม่เพียงพอกับความต้องการภายในประเทศ โดยปริมาณการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 45,000–50,000 ตันต่อปี ซึ่งยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของปริมาณที่คนไทยบริโภค ส่งผลให้ต้องพึ่งพาการนำเข้ากาแฟจากต่างประเทศมากขึ้น โดยในปีที่ผ่านมามูลค่าการนำเข้ากาแฟพุ่งขึ้นแตะระดับกว่า 338 ล้านเหรียญสหรัฐ

ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างที่สำคัญในตลาดกาแฟไทย ซึ่งเปิดโอกาสให้กับผู้ผลิตในประเทศ หากสามารถพัฒนาและยกระดับคุณภาพผลผลิตให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ได้ ก็อาจกลายเป็นทางเลือกที่ช่วยสร้างรายได้และความมั่นคงให้กับเกษตรกรในระยะยาวได้

อุตสาหกรรมกาแฟไทยเผชิญทั้งโอกาสและความท้าทาย

ปัจจุบันอุตสาหกรรมกาแฟไทยกำลังเผชิญกับทั้งโอกาสและความท้าทาย โดยเฉพาะการผลิตในประเทศที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งนำไปสู่การพึ่งพาการนำเข้า ในขณะที่พฤติกรรมผู้บริโภคมีแนวโน้มต้องการกาแฟสดและกาแฟพิเศษเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดกาแฟในประเทศเติบโตเฉลี่ยปีละกว่า 3% โดยในปี 2565/66 มีการใช้เมล็ดกาแฟดิบในภาคอุตสาหกรรมถึง 93,551 ตัน เพิ่มขึ้นจาก 80,691 ตัน ในปี 2562/63

ในส่วนของภาพรวมกาแฟโลกสำหรับปี 2024/25 การผลิตกาแฟทั่วโลกคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 6.9 ล้านกระสอบ (ขนาด 60 กิโลกรัม) จากปีที่แล้วเป็น 174.9 ล้านกระสอบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของผลผลิตในเวียดนามและอินโดนีเซีย การส่งออกทั่วโลกคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากการเพิ่มขึ้นในเวียดนามและอินโดนีเซียสามารถชดเชยปริมาณการส่งออกที่ลดลงจากบราซิลได้

การบริโภคทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5.1 ล้านกระสอบเป็น 168.1 ล้านกระสอบ โดยบริโภคเพิ่มขึ้นมากที่สุดในสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และจีน ขณะที่สต็อกปลายปีคาดว่าจะลดลง 1.5 ล้านกระสอบเหลือ 20.9 ล้านกระสอบ

เชียงรายจัดงานใหญ่ยกระดับผู้ผลิตท้องถิ่น

ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว จังหวัดเชียงรายในฐานะหนึ่งในแหล่งผลิตเมล็ดกาแฟและใบชาชั้นเลิศของประเทศไทย ได้จัดงาน “Chiangrai Coffee & Tea 2025” ขึ้นเพื่อส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการท้องถิ่น

นายสายัณห์ นักบุญ ผู้อำนวยการศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย กล่าวในพิธีเปิดงานเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2568 ว่า “จุดประสงค์สำคัญของงาน คือการรวมตัวของผู้ประกอบการร้านชาและกาแฟในจังหวัดเชียงราย ทั้งแบรนด์เล็ก แบรนด์ใหญ่ โรงคั่ว ร้านต้นแบบ ไปจนถึงผู้ผลิตวัตถุดิบและแปรรูป เพื่อให้เกิดการพบปะ แลกเปลี่ยน แรงบันดาลใจ และร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนด้วยอัตลักษณ์ของท้องถิ่น”

การจัดงานในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ แต่ยังเป็นเวทีให้เกษตรกร ผู้ผลิต และคาเฟ่ท้องถิ่น ได้แสดงศักยภาพและสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน โดยมีผู้เข้าร่วมงานจากหลากหลายภาคส่วน ได้แก่ นายสรรเสริญ ศีติสาร รองผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานเชียงราย นายพงศกร อารีศิริไพศาล ประธานกลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย และตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ

ผู้ประกอบการท้องถิ่นโชว์ศักยภาพ

งานนี้มีผู้ประกอบการท้องถิ่นเข้าร่วมจำนวนมาก โดยแบ่งเป็น 3 โซนหลัก ได้แก่ โซนซ้าย โซนกลาง และโซนขวา ซึ่งแต่ละโซนมีเอกลักษณ์และจุดเด่นที่แตกต่างกัน

ในโซนซ้าย มีร้านเด่นๆ เช่น กาแฟสมถะ (SAMATHA) จากบ้านผาอี้ อำเภอแม่สาย ที่ผลิตกาแฟอาราบิก้าคั่วพิเศษรสชาติเข้ม หอม เต็มบอดี้ พร้อมกลิ่นดินขึ้นและความละมุนของดอยผาฮิในทุกแก้ว และไร่รื่นรมย์เกษตรอินทรีย์ จากอำเภอเทิง ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ปลอดสาร 100%

โซนกลางเป็นจุดตัดของรสชาติและความคิดสร้างสรรค์ โดยมี Ploysai Coffee Roaster ที่เริ่มต้นจากตึกแถวเล็กๆ สู่โรงคั่วระดับโกดัง มีเมล็ดให้เลือกกว่า 20 ชนิด และ Chillrista เจ้าของรางวัลสุดยอดเมล็ดกาแฟไทย 2 ปีซ้อน ทั้ง Arabica และ Robusta

ส่วนโซนขวาเป็นแหล่งรวมกลิ่นอายคลาสสิกและแบรนด์ใหญ่ อาทิ กาแฟโบราณโกปี ที่นำเสนอกาแฟโบราณต้นตำรับและโอเลี้ยงยกล้อที่หอมหวานกลมกล่อม และ Café Doitung จากพระตำหนักดอยตุง พร้อมเมนู Iced Macadamia Nut Latte ที่หอมละมุนอย่างมีระดับ

กิจกรรมหลากหลายสร้างประสบการณ์ใหม่

งานนี้ไม่เพียงเป็นการจำหน่ายสินค้าเท่านั้น แต่ยังมีกิจกรรมหลากหลายที่สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้เข้าชม ได้แก่ Camp Coffee Experience ที่ให้ผู้เข้าชมได้ชมการสาธิตการใช้งานเครื่องชงกาแฟหลากหลายประเภท พร้อมเทคนิคจากบาริสต้ามืออาชีพ

Private Tea & Coffee Workshop ที่ให้ผู้เข้าร่วมได้ลิ้มรสและเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญในวงการชาและกาแฟ อาทิ The Roastery By Roj, สวรรค์บนดิน, One Tea At A Time, และ 22grams Coffee & Roastery

Campfire Moment ที่ให้ผู้เข้าร่วมได้ล้อมวงจิบชาและกาแฟท่ามกลางเสียงดนตรีในบรรยากาศอบอุ่นของแคมป์ไฟ และ Tasting Zone ที่เปิดประสบการณ์ชิมเครื่องดื่มชา-กาแฟขึ้นชื่อประจำเชียงรายแบบไม่อั้น

นอกจากนี้ยังมี Bakery & Snack Corner ที่ให้ผู้เข้าชมได้ชิมและช้อปของหวาน-ขนมโฮมเมดจากร้านดังทั่วเชียงราย

เวิร์กชอปพิเศษสำหรับสมาชิก

สำหรับสมาชิก Central X จะได้รับสิทธิ์ Workshop เพ้นท์แก้วกาแฟสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ขณะที่สมาชิก The1 จะได้รับสิทธิ์ Workshop ดริปกาแฟ หรือ Sensory ฟรี ในวันที่ 29 มิถุนายน 2568 เมื่อมียอดกิน/ช้อปในโซนพลาซาครบ 5,000 บาทขึ้นไป โดยจำกัด 20 สิทธิ์ตลอดแคมเปญ

โอกาสและความท้าทายของอุตสาหกรรมกาแฟไทย

การจัดงาน “Chiangrai Coffee & Tea 2025” ในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของภาคเอกชนและรัฐในการยกระดับอุตสาหกรรมกาแฟไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก แม้ว่าจะเผชิญกับความท้าทายจากการผลิตที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ

ข้อมูลที่น่าสนใจคือ การเพิ่มขึ้นของการบริโภคกาแฟในประเทศไทยถึง 3 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของตลาดภายในประเทศที่ยังมีที่ว่างให้เติบโตได้อีกมาก หากผู้ผลิตในประเทศสามารถพัฒนาคุณภาพและเพิ่มปริมาณการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการ

จังหวัดเชียงรายในฐานะแหล่งผลิตกาแฟชั้นนำของประเทศ มีศักยภาพที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟไทย โดยเฉพาะการเน้นคุณภาพและเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ซึ่งตรงกับแนวโน้มของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับ specialty coffee และ sustainable coffee

การรวมตัวของผู้ประกอบการขนาดเล็กถึงใหญ่ในงานนี้ยังเป็นสัญญาณบวกที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือในการพัฒนาอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยสร้างห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งและยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่สำคัญยังคงเป็นเรื่องของการเพิ่มผลผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการ และการยกระดับคุณภาพให้สามารถแข่งขันกับกาแฟนำเข้าได้ ซึ่งต้องอาศัยการลงทุนในเทคโนโลยี การพัฒนาทักษะของเกษตรกร และการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง

เชียงรายนำทางสู่อนาคตกาแฟไทย

งาน “Chiangrai Coffee & Tea 2025” ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการจัดงานแสดงสินค้าทั่วไป แต่เป็นการสร้างแพลตฟอร์มสำคัญที่จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมกาแฟไทยสู่ระดับสากล ผ่านการรวมตัวของผู้ประกอบการ การแลกเปลี่ยนความรู้ และการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ

สำหรับผู้สนใจเข้าร่วมงาน สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Line Official Account: @CentralChiangrai งานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-29 มิถุนายน 2568 ตั้งแต่เวลา 10.00-20.30 น. ณ ลานกิจกรรม ชั้น G โซนจริงใจ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย

การจัดงานในครั้งนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมกาแฟไทยสามารถลดการพึ่งพาการนำเข้า และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์กาแฟไทยในตลาดโลกได้ในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การกาแฟนานาชาติ (International Coffee Organization)
  • เว็บไซต์ Money Buffalo
  • Euromonitor International
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย
  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย
  • กลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย (CHIANGRAI COFFEE LOVER – CCL)
  • สมาคมสื่อมวลชนและนักประชาสัมพันธ์เชียงราย
  • ห้างสรรพสินค้าโรบินสันเชียงราย
  • มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์
  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

เกาะกูด สยบข่าวลวง ยืนยันดินแดนไทย ไร้ข้อสงสัย

เจาะลึกปัญหาข่าวลวงเกาะกูด: ความจริงที่ต้องรู้เพื่อรักษาความสมานฉันท์

ตราด,วันที่ 18 มิถุนายน 2568 – โรงแรมตราดซิตี้ ในงานครบรอบ 34 ปีประชามติตราด และ 28 ปี สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติส่วนภูมิภาคจังหวัดตราด การเสวนาในหัวข้อ “เจาะปัญหาข่าวลวง ข่าวปลอม กรณีเกาะกูด จังหวัดตราด” ได้นำเสนอประเด็นร้อนที่ครองความสนใจของทั้งสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไป เกาะกูด ดินแดนแห่งท้องทะเลบูรพาที่งดงามด้วยธรรมชาติและวัฒนธรรม กลับถูกพูดถึงในฐานะประเด็นข้อพิพาทด้านเขตแดนระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา โดยมีข่าวลือและข้อมูลที่บิดเบือนทำให้เกิดความสับสนและความกังวลในหมู่ประชาชน

การเสวนาครั้งนี้มีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ ผศ.ดร.เสาวนีย์ วรรณประภา ผู้ช่วยคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี จันทบุรี, นายสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี อดีตบรรณาธิการบริหาร The Nation, นายกฤษฎาพงษ์ แววคล้ายหงษ์ แอดมินตราดทีวีและเว็บไซต์ตราดออนไลน์ และ นายเดชาธร จันทร์อบ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เกาะกูด ร่วมกันถกประเด็นอย่างเข้มข้นเพื่อคลายปมปัญหาข่าวลวงและนำเสนอข้อเท็จจริงในมิติต่างๆ

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี บรรณาธิการบริหาร 'The Nation'

ปฐมบทแห่งความขัดแย้ง เกาะกูดกับประเด็นเขตแดน

เรื่องราวของเกาะกูดเริ่มต้นจากความซับซ้อนของเขตแดนทางทะเลในอ่าวไทย ซึ่งนายสุภลักษณ์ได้อธิบายอย่างละเอียดถึงที่มาของปัญหา เขากล่าวว่า ประเทศไทยและกัมพูชามีการอ้างสิทธิในพื้นที่ทับซ้อน (Overlapping Claims Area – OCA) ในอ่าวไทยตั้งแต่ปี 2516 โดยพื้นที่ดังกล่าวครอบคลุมราว 26,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรปิโตรเลียมที่มีศักยภาพสูง อย่างไรก็ตาม การเจรจาเพื่อแบ่งเขตและพัฒนาทรัพยากรร่วมกันยังไม่บรรลุผล โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเกาะกูด ซึ่งกัมพูชาเคยอ้างสิทธิในอดีต แต่ในทางนิตินัย เกาะกูดได้รับการยืนยันว่าเป็นของประเทศไทยตามสนธิสัญญาระหว่างสยามและฝรั่งเศสในปี 2450 และการอยู่อาศัยของประชากรไทยในพื้นที่นี้อย่างต่อเนื่อง

นายสุภลักษณ์ย้ำว่า “ในทางกฎหมายระหว่างประเทศ เกาะกูดเป็นของไทยอย่างชัดเจนทั้งในแง่นิตินัยและพฤตินัย ไม่มีเอกสารใดจากกัมพูชาที่สามารถยืนยันการอ้างสิทธิได้อย่างถูกต้อง” เขายังชี้ว่า การเจรจาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนไม่ได้หมายถึงการยอมจำนนหรือเสียดินแดน แต่เป็นการหาทางออกเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะทรัพยากรปิโตรเลียม ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อตกลงการพัฒนาร่วม (Joint Development Area) คล้ายกรณีของไทยและมาเลเซีย

นายกฤษฎาพงษ์ แววคล้ายหงษ์ แอดมินตราดทีวีและเวปไซด์ตราดออนไลน์

ข่าวลวง ภัยเงียบที่บั่นทอนความมั่นใจ

ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารไหลเวียนอย่างรวดเร็วผ่านโซเชียลมีเดีย ข่าวลวงเกี่ยวกับเกาะกูดกลายเป็นประเด็นที่สร้างความตื่นตระหนก โดยเฉพาะเมื่อมีการปล่อยข้อมูลที่บิดเบือน เช่น การอ้างว่าเกาะกูดกำลังจะถูกยกให้กัมพูชา หรือมีการสู้รบในพื้นที่ นายกฤษฎาพงษ์ แววคล้ายหงษ์ จากตราดทีวี ซึ่งเป็นสื่อท้องถิ่นที่มีผู้ติดตามกว่า 250,000 คน เปิดเผยว่า “ในช่วงสองปีที่ผ่านมา มีการนำประเด็นเกาะกูดมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยเฉพาะในช่วงที่กระแสการเมืองร้อนแรง บางครั้งสื่อบางแห่งหรือกลุ่มบุคคลพยายามสร้างความตื่นตระหนกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว”

เขายังเล่าถึงความท้าทายในการนำเสนอข่าวสารในฐานะสื่อท้องถิ่นว่า “เราไม่สามารถนำเสนอข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน เพราะมันอาจกระทบต่อการท่องเที่ยวและความมั่นใจของประชาชน เราเช็คข้อมูลจากหลายแหล่ง โดยเฉพาะจากนายก อบต. เกาะกูด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลที่เผยแพร่มีความถูกต้องและไม่สร้างความเสียหาย”

ผศ.ดร.เสาวนีย์ วรรณประภา ผู้ช่วยคณบดี คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ รำไพพรรณี จันทบุรี

ด้าน ผศ.ดร.เสาวนีย์ เน้นย้ำถึงบทบาทของนักวิชาการและการสอนนิเทศศาสตร์ในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการตรวจสอบข้อมูล “ในฐานะนักวิชาการ เราเน้นให้นักศึกษาเรียนรู้การตรวจสอบแหล่งข่าว โดยเฉพาะในยุคที่ข่าวลวงแพร่กระจายง่ายผ่านโซเชียลมีเดีย การเช็คข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือและการวิเคราะห์อย่างรอบด้านเป็นสิ่งสำคัญ” เธอยังแนะนำว่า การเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอาจนำไปสู่ผลกระทบร้ายแรง เช่น การละเมิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 ซึ่งกำหนดโทษสำหรับการแชร์ข้อมูลเท็จ

เสียงจากเกาะกูดความจริงจากคนในพื้นที่

นายเดชาธร จันทร์อบ นายก อบต. เกาะกูด ตัวแทนของประชาชนในพื้นที่ ยืนยันว่า ชีวิตของชาวเกาะกูดยังคงดำเนินไปอย่างปกติ แม้จะเผชิญกระแสข่าวลวง “ชาวเกาะกูดไม่ได้ตื่นตระหนก เรายังใช้ชีวิตตามปกติ การท่องเที่ยวในช่วงโลว์ซีซั่นอาจลดลงบ้าง แต่เมื่อเทียบกับช่วงที่มีข่าวลือหนักๆ ปีที่แล้ว การท่องเที่ยวลดลงถึง 30% เพราะนักท่องเที่ยวบางส่วนกลัวว่าจะมีสู้รบหรือสถานการณ์ไม่ปลอดภัย แต่ตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้น นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมา โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่รู้จักเกาะกูดผ่านโซเชียลมีเดีย

นายเดชาธร จันทร์อบ นายก อบต.เกาะกูด

นายเดชาธรยังย้ำว่า “เกาะกูดคือหัวใจของคนไทยและเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดตราดอย่างชัดเจน เราไม่กังวลเรื่องการสูญเสียดินแดน เพราะมีหลักฐานทั้งทางประวัติศาสตร์และการอยู่อาศัยที่ยืนยันความเป็นไทย” เขายังเรียกร้องให้สื่อมวลชนนำเสนอข่าวอย่างสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน

สื่อมวลชน ผู้กำหนดทิศทางความเข้าใจ

นายสุภลักษณ์ ซึ่งมีประสบการณ์ในวงการสื่อมวลชนมากว่า 30 ปี กล่าวถึงหลักการสำคัญของการรายงานข่าวว่า “สื่อมวลชนต้องรายงานตามความเป็นจริง โดยไม่เลือกข้างหรือสร้างวาทกรรมที่บิดเบือน การนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้องอาจสร้างความเสียหายต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและความรู้สึกของประชาชน” เขายังเล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับชายแดนไทย-กัมพูชา โดยยกตัวอย่างกรณีเขาพระวิหาร ซึ่งเคยเกิดความขัดแย้งจากการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก สร้างความเสียหายต่อชุมชนท้องถิ่นที่หวังพึ่งพาการท่องเที่ยว

“การเจรจาคือทางออกที่ดีที่สุด” นายสุภลักษณ์กล่าว “ในยุโรปมีตัวอย่างมากมายที่ชุมชนในเขตแดนสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ต้องขีดเส้นแบ่งแยกอย่างเข้มงวด เราไม่ควรปล่อยให้วาทกรรมชาตินิยมหรือผลประโยชน์ทางการเมืองมากำหนดทิศทางของสื่อ”

งาน 34 ปีประชามติตราด และ 28 ปี สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติส่วนภูมิภาคจังหวัดตราด ที่โรงแรมตราดชิตี้ อ.เมือง จ.ตราด

ทางออกของปัญหาข่าวลวง

การเสวนาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ข่าวลวงเกี่ยวกับเกาะกูดไม่ได้เป็นเพียงปัญหาของการสื่อสาร แต่ยังสะท้อนถึงความท้าทายในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว วิทยากรทั้งสี่ท่านเห็นพ้องกันว่า การแก้ไขปัญหานี้ต้องเริ่มจากการสร้างความตระหนักรู้ในหมู่ประชาชนและสื่อมวลชน โดยเฉพาะการตรวจสอบข้อมูลก่อนเผยแพร่ การนำเสนอข่าวในเชิงสร้างสรรค์ และการส่งเสริมความเข้าใจในบริบทของพื้นที่ทับซ้อน

ผศ.ดร.เสาวนีย์ เสนอว่า “การศึกษาและการอบรมเยาวชนให้รู้เท่าทันสื่อเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในโรงเรียนและชุมชนท้องถิ่น เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของข่าวลวง” ขณะที่นายกฤษฎาพงษ์เน้นย้ำถึงบทบาทของสื่อท้องถิ่นในการเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ “เราต้องทำงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ เช่น อบต. และกองทัพเรือ เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน”

นายเดชาธรทิ้งท้ายด้วยข้อความที่สร้างความมั่นใจว่า “เกาะกูดคือบ้านของเรา และเราจะปกป้องมันด้วยความสมานฉันท์ ไม่ใช่ด้วยความขัดแย้ง ทุกคนที่มาเกาะกูดจะได้สัมผัสกับความสวยงามและความสงบสุขที่เรามี”

ร่วมสร้างความจริงเพื่ออนาคต

การเสวนาครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยคลายปมปัญหาข่าวลวงเกี่ยวกับเกาะกูด แต่ยังเป็นการย้ำเตือนถึงความรับผิดชอบของสื่อมวลชน นักวิชาการ และผู้นำชุมชนในการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องและสร้างสรรค์ เกาะกูดไม่ใช่แค่ดินแดนแห่งความงามทางธรรมชาติ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความสมานฉันท์ระหว่างพี่น้องไทยและกัมพูชา การรักษาความสงบสุขและความมั่นใจของประชาชนจึงเป็นภารกิจร่วมกันของทุกฝ่าย

ในยุคที่ข่าวลวงสามารถจุดกระแสได้ในพริบตา การยึดมั่นในความจริงและการเจรจาด้วยเหตุผลคือกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหา เกาะกูดจะยังคงเป็นอัญมณีแห่งท้องทะเลบูรพา และเป็นบ้านของคนไทยที่พร้อมต้อนรับทุกคนด้วยความอบอุ่นและรอยยิ้ม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การเสวนา “เจาะปัญหาข่าวลวง ข่าวปลอม กรณีเกาะกูด จังหวัดตราด” จัดโดยสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติส่วนภูมิภาคจังหวัดตราด
  • ข้อมูลจาก ผศ.ดร.เสาวนีย์ วรรณประภา, นายสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี, นายกฤษฎาพงษ์ แววคล้ายหงษ์, และนายเดชาธร จันทร์อบ
  • เอกสารสนธิสัญญาระหว่างสยามและฝรั่งเศส (2450) และบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2544
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News