Categories
ECONOMY

CPALL โชว์ผลประกอบการพุ่ง! รายได้เพิ่ม กำไรเติบโตต่อเนื่อง

CPALL รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2567 รายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ประจำปี 2567 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยบริษัทฯ มีรายได้รวม 241,282 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว คิดเป็นร้อยละ 6.6 โดยการเติบโตนี้มาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก และศูนย์การค้า ซึ่งได้แรงหนุนจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงปลายไตรมาส รวมถึงการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ยอดขายเติบโตจากกลยุทธ์ O2O และการขยายสาขา

CPALL ยังคงมุ่งเน้นการใช้กลยุทธ์ O2O (Online-to-Offline) เพื่อเพิ่มยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ อาทิ 7-Delivery และ All Online ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 11 ของรายได้รวม ส่งผลให้ธุรกิจร้านสะดวกซื้อมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการรวม 107,850 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาส 3 นี้ CPALL ได้เปิดร้านสะดวกซื้อสาขาใหม่ถึง 199 สาขา ทำให้จำนวนสาขารวมทั่วประเทศอยู่ที่ 15,053 สาขา โดยเป็นร้านสาขาบริษัท 7,671 สาขา และร้าน SBP อีก 7,382 สาขา

ผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2567

สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 730,233 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 จากปีที่ผ่านมา โดยมีกำไรสุทธิ 18,167 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน การเติบโตของกำไรเกิดจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มร้านสะดวกซื้อและศูนย์การค้า

การขยายสาขาและการลงทุนเพื่ออนาคต

ในปี 2567 CPALL วางแผนใช้เงินลงทุนระหว่าง 12,000-13,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นงบประมาณในการเปิดสาขาใหม่ 3,800-4,000 ล้านบาท และปรับปรุงร้านเดิม 2,900-3,500 ล้านบาท เพื่อรักษาการเติบโตและรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ทั้งในเมืองและชุมชนชนบท

สรุปข้อมูลสำคัญ

  • ไตรมาส 3/2567 รายได้รวม 241,282 ล้านบาท
  • งวด 9 เดือนแรกปี 2567 รายได้รวม 730,233 ล้านบาท
  • เปิดสาขาใหม่ไตรมาส 3 เพิ่ม 199 สาขา รวมสาขาทั่วประเทศ 15,053 สาขา
  • กำไรสุทธิ 9 เดือนแรก 18,167 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.3

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ค่าครองชีพสูง หนี้พุ่ง MK รายได้ลดลงกว่า 10%

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจล่าสุดของประเทศไทย ซึ่งชี้ให้เห็นถึงผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น หนี้สินครัวเรือนที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ และการใช้จ่ายที่ลดลงในหลายภาคส่วน โดยล่าสุด บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MK แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ผลประกอบการในไตรมาส 3 ของปี 2567 ลดลงอย่างเห็นได้ชัด สาเหตุมาจากการหดตัวของกำลังซื้อของผู้บริโภค และค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

รายได้ MK ลดลง ผลกระทบจากภาระหนี้ครัวเรือน

จากรายงานผลประกอบการของ MK พบว่ารายได้จากการขายและบริการในไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 3,683 ล้านบาท ลดลง 10.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ยอดขายสาขาเดิมลดลงถึง 12.7% เนื่องจากภาระหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นและค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่าย โดยยอดขายสะสมในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ 11,735 ล้านบาท ลดลง 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และกำไรสุทธิลดลงเหลือ 1,088 ล้านบาท ลดลง 7.2%

หนี้ครัวเรือนไทยสูงขึ้น สถิติใหม่ที่น่ากังวล

รายงานจากศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยว่าหนี้ครัวเรือนไทยในปี 2567 มีค่าเฉลี่ยสูงถึง 606,378 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้น 8.4% จากปี 2566 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่เริ่มสำรวจในปี 2552 สาเหตุหลักมาจากรายได้ที่ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย รวมถึงภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้น ข้อมูลล่าสุดจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังระบุว่าหนี้ครัวเรือนไทยต่อ GDP ในไตรมาสแรกของปี 2567 อยู่ที่ 90.8%

การใช้จ่ายและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง

ผลสำรวจพบว่าครัวเรือนไทย 46.3% มีรายได้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย และเกือบ 55% แก้ปัญหาด้วยการกู้ยืมจากแหล่งต่างๆ เช่น บัตรเครดิต และการกู้เงินจากธนาคาร ขณะเดียวกัน แม้ว่าสินค้าฟุ่มเฟือยจะลดลง แต่ผู้บริโภคชาวไทยยังคงให้ความสำคัญกับการซื้อประสบการณ์ เช่น การท่องเที่ยวและการรับประทานอาหารมากกว่าสินค้าฟุ่มเฟือย

ผลสำรวจการใช้จ่ายในยุคเศรษฐกิจซบเซา

จากการสำรวจร่วมระหว่างบริษัท บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป (BCG) และวีซ่า ประเทศไทย พบว่าผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น โทรศัพท์มือถือ และเครื่องประดับ ขณะที่กลุ่มเจนซี (Gen Z) และเจนวาย (Gen Y) กลับให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายเพื่อประสบการณ์ใหม่ๆ มากกว่าสินค้าเครื่องใช้ส่วนตัว

นายปุณณมาส วิจิตรกุลวงศา ผู้จัดการวีซ่า ประเทศไทย กล่าวว่า “ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวนี้ ผู้บริโภคมีการปรับตัวเพื่อลดการใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็น และมุ่งเน้นการใช้จ่ายที่ให้คุณค่าทางประสบการณ์มากขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในยุคที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน”

แนวทางการปรับตัวของภาคธุรกิจและผู้บริโภค

ในยุคที่เศรษฐกิจไทยเผชิญกับภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจต่างๆ ควรเตรียมความพร้อมในการปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค การสร้างความเข้าใจในพฤติกรรมการใช้จ่ายจะช่วยให้ธุรกิจสามารถวางกลยุทธ์ที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างเหมาะสม

การเตรียมความพร้อมทางการเงินของผู้บริโภค

เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจในปัจจุบันได้ บริษัทต่างๆ ควรมุ่งเน้นการให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการบริหารจัดการเงิน และสนับสนุนการสร้างสุขภาพการเงินที่ดีแก่ผู้บริโภคในระยะยาว

ข้อสรุป

การเพิ่มขึ้นของภาระหนี้สินและค่าครองชีพที่สูงขึ้น เป็นปัจจัยที่กระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องตระหนักและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์อย่างรวดเร็ว เพื่อให้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

นักท่องเที่ยวต่างชาติทะลักไทย กวาดรายได้ 1.35 ล้านล้าน

กระทรวงการท่องเที่ยวเผยนักท่องเที่ยวต่างชาติทะลุ 29 ล้านคน สร้างรายได้ 1.35 ล้านล้านบาท

เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รายงานสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยในปี 2567 ว่า มีนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 3 พฤศจิกายน รวม 29,080,399 คน ซึ่งสร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติถึง 1.35 ล้านล้านบาท โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนยังคงครองแชมป์อันดับ 1 มีจำนวนมากถึง 5,756,998 คน ตามมาด้วยมาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย

นักท่องเที่ยวกลุ่ม Long Haul และ Short Haul ฟื้นตัวดี

สำหรับในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาจำนวนมากในทุกกลุ่มตลาด โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวระยะไกล (Long haul) จากยุโรป อเมริกา และโอเชียเนีย มีจำนวนเข้ามา 243,204 คน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.85 ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบหลายเดือน โดยเฉพาะตลาดรัสเซียและเยอรมันที่มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นกว่า 8,000 คน นอกจากนี้ กลุ่มนักท่องเที่ยวระยะใกล้ (Short haul) จากประเทศในเอเชีย เช่น มาเลเซีย อินเดีย และสิงคโปร์ ก็มีอัตราการเดินทางเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดเทศกาลดิวาลี ส่งผลให้ในสัปดาห์นี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด 701,962 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้าร้อยละ 20.10

นักท่องเที่ยวจีน มาเลเซีย รัสเซีย และอินเดีย มีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

5 อันดับแรกของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้แก่ มาเลเซีย (123,121 คน) จีน (96,756 คน) รัสเซีย (41,397 คน) อินเดีย (40,956 คน) และเกาหลีใต้ (32,593 คน) ซึ่งทั้ง 5 ประเทศมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมาเลเซียเพิ่มขึ้นร้อยละ 52.24 รัสเซียเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.41 และจีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.58

ปัจจัยที่ส่งผลให้นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวหรือ High Season กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้มีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว เช่น การเพิ่มจำนวนที่นั่งการเดินทางเข้าไทยระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงสิ้นปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 รวมถึงการยกเว้นการใช้บัตร ตม.6 ในด่านทางบกและการกระตุ้นให้สายการบินเพิ่มเที่ยวบินเข้าไทยมากขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง ทั้งนี้ รัฐบาลยังมีมาตรการ Ease of traveling ที่ช่วยลดความซับซ้อนในกระบวนการเข้าเมืองและกระตุ้นการเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย

คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในสัปดาห์ถัดไป

จากการเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว จึงคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในสัปดาห์ถัดไป โดยเฉพาะกลุ่มตลาดระยะไกลจากยุโรป อเมริกา และโอเชียเนีย ขณะเดียวกันตลาดในเอเชีย เช่น จีนและมาเลเซียยังมีแนวโน้มขยายตัวดี โดยกระทรวงการท่องเที่ยวตั้งเป้าที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้าไทยอย่างต่อเนื่องตลอดฤดูกาล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา / Flow Chiangsaen

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ต่างชาติลงทุนในไทย 9 เดือน พุ่ง 1.3 แสนล้าน

9 เดือนแรกปี 67 ต่างชาติลงทุนในไทยกว่า 1.3 แสนล้านบาท ญี่ปุ่นยังคงอันดับหนึ่ง

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม-กันยายน) ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้น 134,805 ล้านบาท โดยญี่ปุ่นครองอันดับหนึ่งด้วยจำนวนเงินลงทุนกว่า 74,091 ล้านบาท หรือคิดเป็น 25% ของมูลค่าการลงทุนต่างชาติทั้งหมด

การลงทุนต่างชาติที่เพิ่มขึ้นในปี 2567

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแสดงให้เห็นว่า ในปี 2567 จำนวนการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจในประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึง 29% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566 โดยมีนักลงทุนต่างชาติได้รับอนุญาตจำนวน 636 ราย เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีจำนวน 493 ราย ส่วนการลงทุนที่ได้รับอนุญาตในปีนี้ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 50,792 ล้านบาท หรือ 60%

ในขณะเดียวกัน การจ้างงานคนไทยจากนักลงทุนต่างชาติในปีนี้มีแนวโน้มลดลง โดยในปี 2567 มีการจ้างงานคนไทยจำนวน 2,505 ตำแหน่ง ลดลงจากปีก่อนซึ่งมีจำนวนการจ้างงานถึง 5,703 ตำแหน่ง

5 อันดับประเทศที่ลงทุนสูงสุดในไทย

นักลงทุนต่างชาติ 5 อันดับแรกที่เข้ามาลงทุนในไทย ได้แก่

  1. ญี่ปุ่น มีจำนวน 157 ราย คิดเป็นเงินลงทุนกว่า 74,091 ล้านบาท
  2. สิงคโปร์ มีจำนวน 96 ราย คิดเป็นเงินลงทุน 12,222 ล้านบาท
  3. จีน มีจำนวน 89 ราย คิดเป็นเงินลงทุน 11,981 ล้านบาท
  4. สหรัฐอเมริกา มีจำนวน 86 ราย คิดเป็นเงินลงทุน 4,147 ล้านบาท
  5. ฮ่องกง มีจำนวน 46 ราย คิดเป็นเงินลงทุน 14,116 ล้านบาท

นักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC เพิ่มขึ้น

ในปี 2567 นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพิ่มขึ้นถึง 109% จากปีก่อน โดยในปีนี้มีนักลงทุนต่างชาติใน EEC จำนวน 207 ราย คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 39,830 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการด้านวิศวกรรม ออกแบบชิ้นส่วนยานยนต์ ซ่อมแซมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และพัฒนาซอฟต์แวร์

นักลงทุนใน EEC ที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุดยังคงเป็นญี่ปุ่นด้วยจำนวนเงินลงทุนกว่า 13,191 ล้านบาท ตามด้วยจีนที่ลงทุน 7,227 ล้านบาท และฮ่องกงที่ลงทุน 5,219 ล้านบาท

ธุรกิจแพลตฟอร์มและซอฟต์แวร์ดึงดูดนักลงทุนจากสิงคโปร์ ไต้หวัน และมาเลเซีย

ธุรกิจแพลตฟอร์มและซอฟต์แวร์ของไทยยังคงเป็นจุดสนใจสำคัญสำหรับนักลงทุนต่างชาติ โดยมูลค่าการลงทุนในธุรกิจแพลตฟอร์มอยู่ที่ 11,721 ล้านบาท และซอฟต์แวร์ 16,675 ล้านบาท โดยนักลงทุนชั้นนำในธุรกิจนี้มาจากสิงคโปร์ ไต้หวัน และมาเลเซีย

แนวโน้มและเป้าหมายการลงทุนของประเทศไทยในอนาคต

การลงทุนจากต่างชาติที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพและสิทธิประโยชน์ที่ประเทศไทยมอบให้แก่นักลงทุน เช่น โครงสร้างพื้นฐานที่ดี วัตถุดิบที่เพียงพอ และภาคอุตสาหกรรมที่พร้อมรองรับการลงทุน รัฐบาลมีเป้าหมายในการขยายตลาดการลงทุนใหม่ รักษาตลาดเดิม และกระตุ้นการลงทุนในประเทศให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ไทยทุ่ม 3 พันล้าน ขยายสนามบินรองรับนักท่องเที่ย

AOT นำระบบ Biometric เพิ่มความสะดวกให้ผู้โดยสาร พร้อมแผนขยายสนามบินรองรับการท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ได้เริ่มใช้ระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (Automated Biometric Identification System) ที่ใช้เทคโนโลยี Facial Recognition เพื่อระบุตัวตนผู้โดยสาร โดยระบบนี้ช่วยให้ผู้โดยสารไม่ต้องใช้พาสปอร์ตและบัตรขึ้นเครื่องจากจุดตรวจสัมภาระจนถึงประตูขึ้นเครื่อง ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลารอคิวและเพิ่มความสะดวกในท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ได้แก่ สนามบินสุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, เชียงใหม่, แม่ฟ้าหลวง เชียงราย, ภูเก็ต และหาดใหญ่

แผนการใช้งานระบบ Biometric รองรับผู้โดยสารในประเทศและระหว่างประเทศ

ในระยะแรก ระบบ Biometric จะพร้อมให้บริการผู้โดยสารภายในประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 โดยผู้โดยสารจะสามารถลงทะเบียนยินยอมใช้ข้อมูลทางชีวภาพในการระบุตัวตนเพื่อเข้าสู่ระบบการระบุข้อมูลได้ตั้งแต่เคาน์เตอร์เช็คอิน ซึ่ง AOT คาดว่าการใช้ระบบ Biometric จะช่วยให้ผู้โดยสารประหยัดเวลารอคิวและมีเวลาเพียงพอสำหรับการเลือกซื้อสินค้าปลอดภาษี รับประทานอาหาร หรือพักผ่อนในสนามบิน

ในวันที่ 1 ธันวาคม 2567 ระบบนี้จะเริ่มให้บริการแก่ผู้โดยสารระหว่างประเทศ ซึ่งจะสามารถใช้งานระบบ Facial Recognition ในท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งได้ครบทุกส่วน

รายงานจาก Nikkei โดย Kosuke Inoue เปิดเผยว่า ไทยกำลังวางแผนขยายสนามบิน 6 แห่งด้วยงบประมาณเกือบ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 97,000 ล้านบาท เพื่อตอบสนองการเติบโตของนักท่องเที่ยวในอนาคต ภายในปี 2575 ไทยคาดหวังให้สนามบินทั้ง 6 แห่งสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 246.5 ล้านคนต่อปี จากปัจจุบันที่รองรับได้เพียง 116 ล้านคน

การขยายรันเวย์และการใช้ระบบจดจำใบหน้า (Facial Recognition) ในสนามบิน

ในส่วนของสนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในไทย ได้เริ่มเปิดใช้รันเวย์ที่สามเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยมีเป้าหมายเพิ่มจำนวนเที่ยวบินขึ้น-ลงจากเดิม 68 เที่ยวบินต่อชั่วโมงเป็น 94 เที่ยวบิน ซึ่งจะช่วยให้ระบบขนส่งทางอากาศสามารถรองรับจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ทาง AOT หรือ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ดูแลโครงการขยายสนามบิน ยังวางแผนติดตั้งระบบจดจำใบหน้าในสนามบินทั้ง 6 แห่ง โดยผู้โดยสารสามารถลงทะเบียนข้อมูลชีวภาพที่เคาน์เตอร์เช็คอิน ทำให้สามารถผ่านด่านต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องใช้พาสปอร์ตหรือบัตรขึ้นเครื่องตั้งแต่จุดตรวจสัมภาระไปจนถึงประตูขึ้นเครื่อง

รายได้ที่ฟื้นตัวของ AOT หนุนการขยายโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว

AOT ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย มีรายได้รวมที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดหลังจากการฟื้นตัวของการเดินทางทางอากาศในปีงบประมาณ 2566 โดยรายได้เพิ่มขึ้น 170% มาอยู่ที่ 48.4 พันล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงความฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวหลังการระบาดของ COVID-19 การขยายสนามบินครั้งนี้เป็นหนึ่งในแผนการพัฒนาที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งคิดเป็นเกือบ 20% ของ GDP ของไทย การท่องเที่ยวถือเป็นอุตสาหกรรมสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังจากการระบาดของ COVID-19 และเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว ไทยได้เตรียมยกเว้นวีซ่าให้กับประเทศและภูมิภาคเพิ่มเติม เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ความท้าทายและความเสี่ยงของการขยายสนามบินและสถานการณ์การเมืองในประเทศ

แม้ว่าแผนการขยายสนามบินจะสอดคล้องกับเป้าหมายทางการท่องเที่ยวของรัฐบาล แต่อย่างไรก็ตาม มีความกังวลเกี่ยวกับการลงทุนที่อาจเกินความจำเป็น เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงมกราคมถึงกันยายนปีนี้ยังคงอยู่ที่ประมาณ 80% ของจำนวนก่อนเกิดการระบาดในปี 2562 นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยยังเป็นอีกปัจจัยที่อาจส่งผลต่อโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาว

ประเทศไทยมีประวัติการยกเลิกหรือเลื่อนโครงการโครงสร้างพื้นฐานเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาล ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งปลดนายเศรษฐา ทวีสิน ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีคนใหม่ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ก็เผชิญกับคดีทางกฎหมายที่อาจส่งผลกระทบต่อการบริหารประเทศในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : asia.nikkei.com

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

การค้าชายแดนไทยขยายตัวต่อเนื่อง 1.4 แสนล้าน ตอบโจทย์ส่งออก

การค้าชายแดนและผ่านแดนขยายตัวต่อเนื่อง ยางพาราไทยทำยอดส่งออกสูง แม้อุปสรรคจากอุทกภัย

เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567 นายนพดล คันธมาศ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยข้อมูลการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนของไทยในเดือนกันยายน 2567 พบว่ามีมูลค่ารวม 148,535 ล้านบาท ขยายตัว 1.7% จากช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยมีการส่งออกมูลค่า 85,540 ล้านบาท หดตัว 2.3% และนำเข้า 62,995 ล้านบาท ขยายตัว 7.7% ทั้งนี้ ไทยได้ดุลการค้า 22,545 ล้านบาท นับเป็นการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากการส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางที่ยังเติบโตได้ดี

สรุปการค้า 9 เดือนแรกของปี 2567


ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 มูลค่าการค้ารวมของการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนทั้งสิ้น 1,373,906 ล้านบาท ขยายตัว 6.5% โดยมีการส่งออกมูลค่า 794,999 ล้านบาท ขยายตัว 5.2% และการนำเข้ามูลค่า 578,907 ล้านบาท ขยายตัว 8.3% ไทยได้ดุลการค้ารวม 216,091 ล้านบาท

การค้าชายแดนกับเพื่อนบ้าน


สำหรับการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย เมียนมา ลาว และกัมพูชา เดือนกันยายน 2567 มีมูลค่ารวม 77,144 ล้านบาท ขยายตัว 1.9% โดยมีการส่งออก 46,555 ล้านบาท หดตัว 3.3% และการนำเข้า 30,589 ล้านบาท ขยายตัว 10.9% ซึ่งไทยได้ดุลการค้า 15,965 ล้านบาท สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดีเซล 2,296 ล้านบาท น้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ 1,469 ล้านบาท และแผงวงจรไฟฟ้า 1,317 ล้านบาท

การค้าผ่านแดนไปประเทศที่สาม


มูลค่าการค้าผ่านแดนในเดือนกันยายน 2567 รวม 71,391 ล้านบาท ขยายตัว 1.6% โดยการส่งออก 38,985 ล้านบาท หดตัว 1% และการนำเข้า 32,405 ล้านบาท ขยายตัว 4.9% การค้าผ่านแดนไปจีนมีมูลค่าสูงสุดที่ 39,215 ล้านบาท หดตัว 5.5% รองลงมาคือ สิงคโปร์ 9,192 ล้านบาท ขยายตัว 0.6% และเวียดนาม 5,851 ล้านบาท หดตัว 6.2% สินค้าส่งออกผ่านแดนสำคัญ ได้แก่ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ 10,551 ล้านบาท ทุเรียนสด 7,387 ล้านบาท และยางแท่ง TSNR 3,529 ล้านบาท

ผลกระทบจากอุทกภัยในลาว


ทั้งนี้ นายนพดลระบุว่าสถานการณ์อุทกภัยใน สปป.ลาว จาก “พายุไต้ฝุ่นยางิ” ทำให้ถนนทางไปด่านโมฮานชายแดนลาว-จีนถูกตัดขาด ส่งผลให้การส่งออกชายแดนไปลาวและจีนลดลง โดยเฉพาะสินค้าผลไม้สดอย่างมังคุดและทุเรียน ผู้ประกอบการบางรายจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนไปใช้เส้นทางอื่น เช่น รถไฟ เรือ หรือด่านโหย่วอี้กวนทางด้านจังหวัดนครพนมแทน เพื่อให้สินค้าถึงจุดหมายปลายทางตามเวลา

การส่งเสริมและสนับสนุนการค้าชายแดน


กรมการค้าต่างประเทศยังคงเดินหน้าสนับสนุนและอำนวยความสะดวกทางการค้าเพื่อแก้ไขอุปสรรคที่เกิดขึ้น พร้อมผลักดันให้การค้าชายแดนและผ่านแดนเติบโตอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการค้าต่างประเทศ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

วิกฤตอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย หดตัวต่อเนื่อง 14 เดือน

ข่าวยานยนต์ในไทยวิกฤต ผลผลิตหดตัว 14 เดือนต่อเนื่อง เศรษฐกิจซบเซา หนี้ครัวเรือนกดดันการตลาด

เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2567 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยนายภาสกร ชัยรัตน์ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนกันยายน 2567 ที่ระดับ 92.44 หดตัวลง 3.51% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากปัญหาในภาคการผลิตยานยนต์ที่ยังคงลดลงเป็นเดือนที่ 14 ติดต่อกัน โดยมีการใช้กำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมเพียง 57.47%

นอกจากภาวะเศรษฐกิจซบเซาแล้ว หนี้ครัวเรือนสูงยังส่งผลให้กำลังซื้อในประเทศอ่อนแอ และยังคงพบว่าสถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อและอัตราการปฏิเสธสินเชื่ออยู่ในระดับสูง ต้นทุนพลังงานยังคงเพิ่มขึ้น รวมถึงสินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่ราคาถูกกว่า โดยเฉพาะสินค้าออนไลน์ที่ทำให้ผู้ประกอบการไทยประสบปัญหาในการแข่งขัน

การส่งออกและอุตสาหกรรมหลัก

แม้ว่าการส่งออกในบางกลุ่มจะยังคงขยายตัวได้บ้าง แต่ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ยังคงหดตัวถึง 23.48% ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก การลดลงของดัชนี MPI ส่งสัญญาณให้ภาคอุตสาหกรรมไทยเร่งปรับตัวอย่างเร่งด่วน

แนวทางการปรับตัวเพื่อความยั่งยืน

สศอ.ได้เสนอแนวทางให้ผู้ประกอบการปรับกระบวนการผลิต เช่น การใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาด เพื่อลดการใช้พลังงานฟอสซิลและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยการนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาประยุกต์ใช้ นอกจากนี้ยังแนะนำให้พัฒนาแรงงานเพื่อสร้างทักษะใหม่ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

นักท่องเที่ยวทะลุ 28 ล้าน สร้างรายได้ 1.3 ล้านล้านบาท

สถานการณ์ท่องเที่ยวไทยดีขึ้น ต้อนรับนักท่องเที่ยวทะลุ 28 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 1.3 ล้านล้านบาท

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยสถานการณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทยในปีนี้ว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 27 ตุลาคม 2567 ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกสะสมรวมกว่า 28,378,473 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติมูลค่ากว่า 1,325,359 ล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวจาก 5 ประเทศที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยมากที่สุด ได้แก่ จีน มาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย ซึ่งนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนมีจำนวนสูงสุดถึง 5,660,242 คน

แนวโน้มท่องเที่ยวช่วงไฮซีซัน กระแสเติบโตต่อเนื่อง 5 สัปดาห์

นายสรวงศ์กล่าวถึงการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (High season) ของภูมิภาคยุโรปและอเมริกา ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา (21-27 ตุลาคม) มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 5.15% จากสัปดาห์ก่อนหน้า ส่วนนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) โดยเฉพาะมาเลเซียซึ่งเป็นตลาดหลัก มีจำนวนผู้มาเยือนสะสมแล้วกว่า 4 ล้านคน

ทั้งนี้ ในช่วงสัปดาห์ดังกล่าว ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามารวมทั้งสิ้น 584,462 คน คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวเฉลี่ยวันละ 83,495 คน โดยนักท่องเที่ยวจาก 5 ประเทศหลัก ได้แก่ จีน มาเลเซีย อินเดีย รัสเซีย และเกาหลีใต้

ปัจจัยส่งเสริมการท่องเที่ยวในไตรมาสสุดท้าย

การเติบโตของนักท่องเที่ยวในช่วงนี้ได้รับการสนับสนุนจากหลายปัจจัยสำคัญ อาทิ วันหยุดเทศกาลดิวาลีในหลายประเทศ เช่น มาเลเซียและสิงคโปร์ ซึ่งช่วยกระตุ้นการเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังได้มีมาตรการอำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง (Ease of traveling) ซึ่งรวมถึงการยกเว้นการกรอกบัตร ตม.6 ที่ด่านชายแดน เพื่อให้กระบวนการตรวจคนเข้าเมืองมีความรวดเร็วและลดภาระของนักท่องเที่ยว

นอกจากนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวยังได้ประสานงานกับสายการบินต่าง ๆ เพื่อเพิ่มจำนวนเที่ยวบินเข้าสู่ประเทศไทย เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของนักท่องเที่ยวในช่วงปลายปีที่มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเฉพาะเส้นทางระหว่างประเทศจากภูมิภาคยุโรป

การพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและเตรียมความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยว

นายสรวงศ์ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งยืนยันว่ากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการเตรียมความพร้อมทั้งด้านสิ่งอำนวยความสะดวก และมาตรการรองรับนักท่องเที่ยว เพื่อให้การท่องเที่ยวเป็นประสบการณ์ที่ดี สร้างความประทับใจและปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวทุกคน

การที่ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวจำนวนมากในช่วงไฮซีซันนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างรายได้ให้กับประเทศ กระตุ้นเศรษฐกิจภายในและสร้างอาชีพให้กับคนไทยในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งทางตรงและทางอ้อม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ส่งออกเกษตรไทยโต 8% ครองแชมป์อาเซียน

ไทยครองอันดับ 1 อาเซียน ส่งออกสินค้าเกษตรโตต่อเนื่องสู่ตลาดโลก

ภาพรวมการส่งออกสินค้าเกษตรไทยโต 8% สู่ตลาดโลก มูลค่ากว่า 19,826 ล้านดอลลาร์

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2567 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยข้อมูลการส่งออกสินค้าเกษตรของประเทศไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม – สิงหาคม) พบว่า ประเทศไทยส่งออกสินค้าเกษตรสู่ตลาดโลกมูลค่ารวม 19,826 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 8% จากปีที่แล้ว โดยในส่วนของการส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าที่ไทยมีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) มีมูลค่า 13,774 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนถึง 69% ของการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมด โดยตลาดส่งออกหลักยังคงเป็น จีน อาเซียน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

ตลาดส่งออกสินค้าเกษตรเติบโตดี โดยเฉพาะในกลุ่ม FTA

นายจิรายุยังระบุว่า ประเทศไทยครองตำแหน่งผู้ส่งออกสินค้าเกษตรอันดับ 1 ในอาเซียน และอันดับ 8 ของโลก โดยกลุ่มประเทศคู่ค้า FTA ได้แก่ จีน อาเซียน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เป็นตลาดที่ส่งออกได้ดีอย่างต่อเนื่อง ในช่วงเดือนสิงหาคมเพียงเดือนเดียว การส่งออกไปกลุ่ม FTA ขยายตัว 9% โดยเฉพาะจีนและญี่ปุ่นที่โตขึ้น 11% อินเดีย 24% นิวซีแลนด์ 34% และชิลี 42.8% ซึ่งตลาดเหล่านี้มีความต้องการสินค้าเกษตรไทยสูงขึ้น

สินค้าเกษตรส่งออกสำคัญที่ขยายตัวในตลาดโลก

ในเดือนสิงหาคม 2567 ไทยมีสินค้าเกษตรที่ส่งออกอันดับต้นๆ และเติบโตอย่างน่าพอใจ ได้แก่ ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง ข้าว ยางพารา ไก่ และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ซึ่งต่างมีการขยายตัวดี เช่น ข้าวเติบโต 41% และผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งเติบโต 21% สะท้อนถึงการเป็นผู้นำในตลาดเกษตรที่ได้รับความต้องการสูง

โอกาสสู่การขยายตลาดด้วยข้อตกลง FTA

นายจิรายุชี้ว่าการเปิดตลาดผ่าน FTA และการลดภาษีนำเข้าในหลายประเทศช่วยให้สินค้าเกษตรไทยสามารถแข่งขันได้ดียิ่งขึ้น โดยรัฐบาลไทยได้ดำเนินการทำ FTA ครอบคลุม 18 ประเทศ ซึ่งลดภาษีให้กับสินค้าเกษตรสำคัญ เช่น ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ไก่แปรรูป และผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง ทำให้สินค้าเหล่านี้สามารถส่งออกไปยังหลายประเทศได้โดยไม่เสียภาษีนำเข้า ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ประกอบการไทยในการขยายตลาด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ไทยเตรียมเก็บค่าเหยียบแผ่นดิน นักท่องเที่ยวต่างชาติ 300 บาท

ไทยเตรียมจัดเก็บ “ค่าเหยียบแผ่นดิน” จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ

“ค่าเหยียบแผ่นดิน” ต้อนรับนักท่องเที่ยว เติมเต็มกองทุนดูแลการท่องเที่ยวไทย

เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2567 นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เผยแผนเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้พิจารณาการจัดเก็บ “ภาษีท่องเที่ยว” หรือที่รู้จักในชื่อ “ค่าเหยียบแผ่นดิน” โดยมีเป้าหมายที่จะเรียกเก็บจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย ในอัตรา 150-300 บาทต่อคน เพื่อนำเงินเข้ากองทุนสนับสนุนการดูแลนักท่องเที่ยวและส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

รายละเอียดการจัดเก็บและการบริหารกองทุนเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว

แผนดังกล่าวได้กำหนดไว้ว่าภาษีท่องเที่ยวนี้จะถูกจัดเก็บตามวิธีการเดินทาง โดยเก็บจากการเดินทางทางอากาศที่ 300 บาทต่อคน และการเดินทางทางบกหรือทางน้ำที่ 150 บาทต่อคน ทั้งนี้ยังมีการจัดเตรียมระบบประกันที่ครอบคลุมสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเยือนไทย ด้วยวงเงินคุ้มครองการเสียชีวิต 1 ล้านบาท และวงเงินคุ้มครองการบาดเจ็บ 5 แสนบาท ซึ่งจะมีการเปิดประมูลบริษัทประกันเพื่อดูแลระบบการจัดเก็บประกันภัยนี้

เตรียมระบบจัดเก็บผ่านแอปพลิเคชันและธนาคารกรุงไทย

การเก็บค่าเหยียบแผ่นดินจะถูกเชื่อมโยงผ่านซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันซึ่งจะควบคุมดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญ ขณะนี้กระทรวงการท่องเที่ยวได้ประสานกับธนาคารกรุงไทยเพื่อรองรับระบบการชำระเงิน โดยคาดว่าภาษีท่องเที่ยวในปีแรกจะสร้างรายได้ราว 36,000 ล้านบาทจากการคาดการณ์นักท่องเที่ยวกว่า 36 ล้านคน

ลดปัญหาการเก็บค่าธรรมเนียมเพื่อรักษาภาพลักษณ์ท่องเที่ยว

ภาษีท่องเที่ยวใหม่นี้จะมีการเปิดใช้ในสองระยะ เพื่อให้การจัดเก็บทำได้อย่างราบรื่นและโปร่งใส ระยะแรกจะเน้นการเก็บเฉพาะนักท่องเที่ยวที่เดินทางโดยทางอากาศ ซึ่งครอบคลุมกว่า 70% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด ส่วนระยะที่สองจะเพิ่มการเก็บจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางผ่านทางบกและทางน้ำ พร้อมทั้งชี้แจงรายละเอียดเพื่อป้องกันการเลือกปฏิบัติ

เสริมสร้างความปลอดภัยและสิทธิประโยชน์สำหรับนักท่องเที่ยว

การใช้ระบบจัดเก็บค่าเหยียบแผ่นดินมีเป้าหมายหลักในการนำรายได้เข้าสู่กองทุนเพื่อดูแลและส่งเสริมความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของไทยให้แข็งแกร่งและตอบโจทย์นักท่องเที่ยวในปัจจุบัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News