Categories
ECONOMY

ครม. เห็นชอบร่างขยายเวลานำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2568

ครม. เห็นชอบร่างประกาศขยายเวลานำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตาม AFTA ปี 2568

เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2567 นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักร ตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area: AFTA) สำหรับปี 2568 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ

ขยายเวลานำเข้าเพื่อรองรับความต้องการภายในประเทศ

ร่างประกาศดังกล่าวเป็นการขยายระยะเวลาการนำเข้าข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์สำหรับปี 2568 ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทย่อย 1005.90.99 รหัสสถิติ 001 โดยมีเงื่อนไขว่าสินค้าต้องมีถิ่นกำเนิดและส่งตรงจากประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN)

ผู้นำเข้าจะต้องมีเอกสารหลักฐานประกอบ เช่น หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) หรือ e-Form D ใบกำกับสินค้า (Commercial Invoice) หรือใบเรียกเก็บเงินค่าสินค้า (Billing Statement) รวมถึงเอกสารรับรองความปลอดภัยที่ออกโดยหน่วยงานรัฐ หรือหน่วยงานที่มีอำนาจของประเทศผู้ส่งออก

สิทธิพิเศษทางภาษีและข้อกำหนดนำเข้า

ผู้นำเข้าข้าวโพดที่ผ่านมาตรฐานและเอกสารตามข้อกำหนด จะได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรในอัตรา 0% และหากองค์การคลังสินค้าเป็นผู้นำเข้า จะต้องดำเนินการระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม 2568 โดยเสียค่าธรรมเนียมพิเศษในอัตรา 0 บาทต่อเมตริกตัน และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดการควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ รวมถึงนำเข้าทางด่านศุลกากรที่มีด่านตรวจพืชและด่านกักสัตว์ พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจประจำด่าน

มาตรการต่อเนื่องเพื่อความมั่นคงทางอาหาร

มาตรการนี้สืบเนื่องจากนโยบายที่เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2566-2567 ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2567 โดยเน้นการคงนโยบายเดิมเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้เพียงพอต่อความต้องการในช่วงผลผลิตภายในประเทศออกสู่ตลาดน้อย

นายอนุกูลกล่าวว่า มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และปฏิบัติตามความตกลงระหว่างประเทศที่ไทยมีพันธกรณี รวมถึงช่วยลดผลกระทบด้านการขาดแคลนวัตถุดิบสำหรับเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารในประเทศ

มาตรการนี้คาดว่าจะช่วยส่งเสริมให้การผลิตอาหารสัตว์เป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ ตลอดจนรักษาความมั่นคงทางอาหารของประเทศไทยในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงพาณิชย์ 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ยกระดับท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงรายสู่ศูนย์กลางการท่องเที่ยวระดับสากล

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายเดินหน้าพัฒนายกระดับการให้บริการ รองรับการเติบโตท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 เวลา 11.00 น. นาวาอากาศตรีสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ผชร.) ให้การต้อนรับ ดร.วาสนา พงศาปาน ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์กรมหาชน) หรือ อพท. พร้อมคณะ และคณะสื่อมวลชนจากหลายสำนัก เพื่อสัมภาษณ์เกี่ยวกับแผนการพัฒนาท่าอากาศยานและการยกระดับการให้บริการนักท่องเที่ยว ณ ห้องประชุมตอบแทนคุณแผ่นดิน ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.)

แผนพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย

นาวาอากาศตรีสมชนก ได้กล่าวถึงแผนการพัฒนาและศักยภาพของท่าอากาศยานในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านกายภาพ สิ่งอำนวยความสะดวก และกระบวนการในการให้บริการที่ดำเนินงานภายใต้มาตรฐานระดับสากล โดยเฉพาะด้าน Safety และ Security ที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาท่าอากาศยานเพื่อรองรับปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นจากการเติบโตของการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย

ทชร. ยังได้รับการออกแบบให้เป็น Gateway สำคัญของการเดินทางและการท่องเที่ยวในภูมิภาค โดยตั้งอยู่ในพื้นที่ที่สะดวกต่อการเชื่อมต่อระบบคมนาคม รวมถึงใกล้สถานศึกษา แหล่งเศรษฐกิจ และพื้นที่สำคัญของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อำเภอเชียงแสน อำเภอเชียงของ และอำเภอแม่สาย

การพัฒนาสู่ศูนย์กลางการขนส่งและไมซ์ (MICE)

นอกจากนี้ ทชร. ยังมีศักยภาพในการพัฒนาให้เป็น ศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางอากาศ (Air Cargo Hub) และ ศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO) เพื่อให้บริการซ่อมบำรุงอากาศยานในภูมิภาค พร้อมสร้างโอกาสในการจ้างงานสำหรับแรงงานในพื้นที่ รวมถึงยกระดับทักษะแรงงานด้านการวางแผนซ่อมบำรุง โดยมีเป้าหมายในการเป็นศูนย์กลางที่สำคัญในระดับภูมิภาค

ในด้านการท่องเที่ยว ทชร. ได้ร่วมบูรณาการกับจังหวัดเชียงรายเพื่อสนับสนุนการจัดงานประชุมและกิจกรรมระดับนานาชาติ รวมถึงอุตสาหกรรม ไมซ์ (MICE) ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ พร้อมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬาและการศึกษา เพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว

ความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ

นาวาอากาศตรีสมชนกกล่าวว่า การพัฒนาทั้งหมดนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในจังหวัดเชียงราย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อสร้างความเข้มแข็งและยกระดับจังหวัดเชียงรายให้เป็นศูนย์กลางการเดินทางและการท่องเที่ยวระดับสากล

ทชร. พร้อมให้บริการนักท่องเที่ยวและผู้โดยสารด้วยมาตรฐานระดับสูง และพร้อมร่วมมือกับทุกกลไกในการพัฒนาเชียงรายให้เป็นจังหวัดที่ยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การศึกษา กีฬา และการท่องเที่ยว

บทบาทสำคัญของทชร.

ด้วยศักยภาพและการพัฒนาที่มุ่งเน้นความยั่งยืน ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย พร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการขนส่งที่สำคัญของภาคเหนือ และสนับสนุนให้เชียงรายเป็นจังหวัดที่เติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจโลก โดยยังคงรักษาเอกลักษณ์และความงดงามของวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างครบถ้วน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Mae Fah Luang Chiang Rai International Airport – CEI

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ธุรกิจร้านอาหารเชียงราย ปี’68 โตแรง ฝ่ากระแสการแข่งขันสูง

ธุรกิจร้านอาหารปี 2568 เติบโตสวนกระแส สู้ความท้าทายท่ามกลางการแข่งขันสูง

ธุรกิจร้านอาหารเติบโตต่อเนื่อง แต่ท้าทายสูงขึ้น
เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 ฝ่ายวิจัยธุรกิจของธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ รายงานสถานการณ์ธุรกิจร้านอาหารในปี 2568 ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ผันผวนตามสถานการณ์เศรษฐกิจและพฤติกรรมผู้บริโภค โดยในปีหน้า คาดว่าธุรกิจร้านอาหารจะยังคงเติบโตต่อเนื่องจากปี 2567 ด้วยมูลค่าตลาดรวม 657,000 ล้านบาท เติบโต 4.6% ปัจจัยหนุนหลักมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ การกระตุ้นเศรษฐกิจจากมาตรการภาครัฐ รวมถึงการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคักทั้งจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ

ปัจจัยหนุนการเติบโตของธุรกิจร้านอาหารในปี 2568

  1. การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและ Gastronomy Tourism:
    • ร้านอาหารที่เป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยว เช่น ร้านอาหารติดดาวมิชลินไกด์กว่า 482 ร้านทั่วประเทศ
    • การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม คิดเป็นอันดับ 2 ของการใช้จ่ายการท่องเที่ยว
  2. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ:
    • มาตรการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 2 และ 3 ในครึ่งปีแรกของปี 2568
    • นโยบาย E-Refund ซึ่งช่วยเสริมการใช้จ่ายของผู้บริโภค
  3. การขยายสาขาของผู้ประกอบการร้านอาหารรายใหญ่:
    • ผู้ประกอบการรายใหญ่เดินหน้าขยายสาขาครอบคลุมทุกเซกเมนต์ของตลาด
    • ร้านอาหาร Street Food ยังคงเป็นที่นิยมจากราคาที่เข้าถึงง่ายและได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว

การแข่งขันในธุรกิจร้านอาหารยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 มีการจดทะเบียนยกเลิกกิจการ 510 ราย เพิ่มขึ้น 88.9% แต่ธุรกิจใหม่ยังคงเปิดตัวสูงกว่า โดยมีการจดทะเบียนธุรกิจร้านอาหารเพิ่มขึ้นถึง 3,557 ราย ซึ่งสะท้อนถึงการหมุนเวียนเปิด-ปิดธุรกิจที่รวดเร็ว

พื้นที่หลักที่มีความหนาแน่นสูงสุดยังคงอยู่ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญ เช่น ชลบุรี เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี และเชียงราย โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ที่มีผู้ประกอบการกว่า 45,841 ราย หรือคิดเป็น 14.2% ของทั้งประเทศ

เมื่อพิจารณาเชิงพื้นที่พบว่ายังคง กระจุกตัวหนาแน่นในเขตพื้นที่หัวเมืองสําคัญและเมืองท่องเที่ยวของประเทศ โดย 10 จังหวัดที่มีธุรกิจตั้งมากสุด ได้แก่

  1. กรุงเทพฯ กว่า 45,841 ราย คิดเป็น 2%
  2. ชลบุรี 13,125 ราย หรือ 1%
  3. เชียงใหม่ 12,866 ราย หรือ 4%
  4. สุราษฎร์ธานี 9,736 ราย หรือ3%
  5. เชียงราย 7,543 รายหรือ 3%
  6. นนทบุรี 7,466 ราย หรือ 3%
  7. สงขลา 7,134 ราย หรือ 2%
  8. ขอนแก่น 7,079 รายหรือ 2%
  9. นครราชสีมา 7,047 รายหรือ 2%
  10. สมุทรปราการ 6,836 ราย หรือ 1%

แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจร้านอาหารแบ่งตามประเภท

  1. ร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ (Full Service Restaurants):
    • คาดเติบโต 2.9% จากปี 2567 มูลค่าตลาด 213,000 ล้านบาท
    • ร้านอาหารบุฟเฟต์ได้รับความนิยมสูงจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่มองเรื่องความคุ้มค่า
  2. ร้านอาหารที่ให้บริการจำกัด (Limited Service Restaurants):
    • คาดเติบโต 3.8% มูลค่าตลาด 93,000 ล้านบาท
    • ร้านอาหารประเภท Quick Service เช่น ร้านพิซซ่า ไก่ทอด เติบโตจากการขยายสาขา
  3. ร้านอาหารข้างทาง (Street Food):
    • เติบโตสูงสุด 6.8% คาดมูลค่าตลาด 266,000 ล้านบาท
    • ความนิยมในเมนูท้องถิ่นและราคาที่เข้าถึงง่ายยังคงดึงดูดทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยว

ธุรกิจร้านเครื่องดื่มเติบโตช้า แต่ยังมีโอกาส

มูลค่าตลาดร้านเครื่องดื่ม (รวมเบเกอรี่และไอศกรีม) ในปี 2568 คาดอยู่ที่ 85,320 ล้านบาท เติบโต 3.2% โดยผู้ประกอบการรายใหญ่ยังคงขยายสาขาและเปิดแฟรนไชส์ใหม่ นอกจากนี้ การนำเข้าเครื่องดื่มและเบเกอรี่จากต่างประเทศช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ

ธุรกิจร้านอาหารต้องระมัดระวังจากการแข่งขัน

อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจ ต้องระมัดระวังเนื่องจากการแข่งขันในธุรกิจร้านอาหารมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นนับตั้งแต่ปี 2565 โดยแม้จะมีสัญญาณการเลิกกิจการที่เพิ่มขึ้นในปี 2567 จากข้อมูล กรมพัฒนาธุรกิจ 10 เดือนแรกของปี 2567 มีเลิกกิจการ 510 ราย เพิ่มขึ้น 88.9% เทียบกับปีก่อนหน้า แต่การจดทะเบียนธุรกิจใหม่ ยังมียอดที่สูงกว่า โดย 10 เดือนแรกมีจดทะเบียนเพิ่ม 3,557 ราย ลดลง 0.5%

ความเสี่ยงและความท้าทายของธุรกิจร้านอาหารในปี 2568

  1. กำลังซื้อที่ยังฟื้นไม่เต็มที่:
    • ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและภาวะการจ้างงาน
  2. ต้นทุนการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้น:
    • ต้นทุนค่าแรงที่อาจปรับขึ้นตามนโยบายภาครัฐ
    • ต้นทุนวัตถุดิบอาหาร เช่น นมผง เนย ชีส แป้งสาลี ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
  3. พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว:
    • ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเมนูใหม่ ความแปลกใหม่ คุณภาพ ประสบการณ์ และราคาที่เหมาะสม
  4. กระแสความนิยมอาหารเพื่อสุขภาพ:
    • ความต้องการอาหารจากพืช วัตถุดิบยั่งยืน และบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

กลยุทธ์ของธุรกิจร้านอาหารเพื่อเติบโตท่ามกลางการแข่งขัน

  1. ขยายช่องทางการจำหน่ายทั้งหน้าร้าน รับกลับ และผ่านแพลตฟอร์มสั่งอาหารออนไลน์
  2. ปรับกลยุทธ์การตลาดและนำเสนอเมนูใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค
  3. ปรับตัวให้สอดรับกับกระแสความยั่งยืน เช่น ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นและบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  4. ลดต้นทุนด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เช่น การใช้เทคโนโลยีช่วยจัดการร้านอาหาร

สรุปแนวโน้มธุรกิจร้านอาหารปี 2568

ธุรกิจร้านอาหารยังคงเติบโตได้ดีที่ 4.6% จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ แต่ยังคงต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูง ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค ผู้ประกอบการต้องวางแผนกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการขยายช่องทางจำหน่าย การพัฒนาคุณภาพสินค้า และการปรับตัวตามเทรนด์ตลาด เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

พาณิชย์เข้มแก้ปัญหานอมินี คุ้มครองธุรกิจไทยทั่วประเทศ

พาณิชย์ลุยแก้ปัญหานอมินี เดินหน้าบังคับใช้กฎหมายเข้ม

เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้แสดงความห่วงใยในปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว หรือ “นอมินี” ซึ่งบางส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายธุรกิจผิดกฎหมายและอาชญากรรมทางออนไลน์ รัฐบาลจึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยมีนายพิชัย เป็นประธาน และได้ตั้งคณะอนุกรรมการ 2 คณะ เพื่อจัดการปัญหาอย่างเป็นระบบ

การลงมือปฏิบัติการและแผนงานในอนาคต

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 กระทรวงพาณิชย์โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อเชื่อมโยงระบบข้อมูลนิติบุคคลกับฐานข้อมูลตำรวจกลาง (Big Data) โดยตั้งเป้าปราบปรามบัญชีม้านิติบุคคลและธุรกิจนอมินีให้หมดสิ้น ล่าสุด มีการเปิดปฏิบัติการตรวจค้น 46 จุดทั่วประเทศ พบการกระทำผิดของนิติบุคคล 442 บริษัท รวมทุนจดทะเบียน 1,189 ล้านบาท และความเสียหายกว่า 3,600 ล้านบาท

ธุรกิจที่กระทำผิดรวมถึงร้านค้า ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต โกดังสินค้า ร้านรับแลกเงินตราต่างประเทศ และการถือครองอสังหาริมทรัพย์โดยผิดกฎหมาย บางบริษัทไม่มีการดำเนินกิจการจริง และใช้บัญชีม้านิติบุคคลรับโอนเงินจากกลุ่มมิจฉาชีพ

การประชุมครั้งสำคัญและเป้าหมายในอนาคต

ในวันที่ 9 ธันวาคมนี้ กระทรวงพาณิชย์จะเรียกประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างชาติที่ฝ่าฝืนกฎหมาย เพื่อเร่งออกมาตรการระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม

นายพิชัย ยังสั่งการให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเพิ่มความเข้มงวดในการจดทะเบียนธุรกิจ ป้องกันการใช้บัญชีม้านิติบุคคลเพื่อหลอกลวงประชาชน พร้อมเฝ้าระวังและตรวจสอบนิติบุคคลกลุ่มเสี่ยงที่อาจเป็นนอมินี โดยร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอย่างใกล้ชิด

แนวทางการป้องกันและผลลัพธ์ที่คาดหวัง

เป้าหมายสำคัญของการดำเนินการครั้งนี้คือการปกป้องผู้ประกอบการไทย ลดปัญหาทางสังคม และป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจไทยเสียหายจากธุรกิจนอมินีและบัญชีม้านิติบุคคล พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมั่นในระบบธุรกิจไทยให้มั่นคงและโปร่งใสในระยะยาว

กระทรวงพาณิชย์ยังคงเดินหน้าประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มาตรการต่าง ๆ บรรลุผลและสร้างความเป็นธรรมแก่ผู้ประกอบการไทยทุกกลุ่ม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

คลังศึกษาแผนปรับ VAT 15% หวังลดเหลื่อมล้ำ-เพิ่มรายได้รัฐ

คลังเร่งศึกษาปฏิรูปภาษี ปรับ VAT 15% หนุนลดเหลื่อมล้ำ-เพิ่มขีดความสามารถ

เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2567 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงแนวคิดการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็น 15% โดยย้ำว่าเป็นเพียงแนวคิดและอยู่ในขั้นตอนการศึกษาเพื่อดูความเหมาะสมในภาพรวมและแนวโน้มโลก พร้อมย้ำว่า การตัดสินใจใดๆ ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนและผลประโยชน์ส่วนรวม

ในระหว่างการประชุม Sustainability Forum 2025: Synergizing for Driving Business เมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา นายพิชัยได้กล่าวในหัวข้อ “Financial Policies for Sustainable Economy” โดยเผยถึงแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างการจัดเก็บภาษี 3 ประเภท ได้แก่

  1. ภาษีเงินได้นิติบุคคล: ศึกษาการปรับลดจาก 20% เป็น 15% เพื่อให้สอดคล้องกับ Global Minimum Tax (GMT)
  2. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา: ศึกษาการปรับลดจาก 35% เหลือ 15% เพื่อดึงดูดแรงงานคุณภาพเข้ามาทำงานในประเทศไทย
  3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): ไทยเก็บภาษีในอัตรา 7% ซึ่งต่ำกว่าอัตราทั่วโลกที่อยู่ระหว่าง 15-25%

นายพิชัยกล่าวว่า การปรับภาษีมูลค่าเพิ่มอาจเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดช่องว่างรายได้ระหว่างคนรวยและคนจน โดยการเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้นจะช่วยเพิ่มรายได้ให้รัฐเพื่อนำไปพัฒนาโครงการสาธารณะ เช่น สาธารณสุข การศึกษา และการสนับสนุนธุรกิจให้มีต้นทุนต่ำลง

กระแสต่อต้านและมุมมองนายกรัฐมนตรี

ในประเด็นที่ประชาชนกังวลว่า การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มอาจเพิ่มความเดือดร้อน นายพิชัยยอมรับว่าเป็นเรื่องอ่อนไหว พร้อมรับฟังความคิดเห็นรอบด้าน ขณะที่นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “เข้าใจ” ถึงความกังวลของประชาชน

เหตุผลการปรับโครงสร้างภาษี

นายพิชัยกล่าวว่า การจัดเก็บรายได้ในอัตราสูงจะช่วยให้รัฐมีงบประมาณมากขึ้นเพื่อนำไปจัดสรรให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยผ่านมาตรการต่างๆ เช่น การสนับสนุนด้านสุขภาพ การศึกษา และที่อยู่อาศัย พร้อมทั้งเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของธุรกิจในประเทศ

“การเก็บภาษีต้องทำให้ประชาชนเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจ ผมก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ถึงวันไหน” นายพิชัยกล่าวปิดท้าย

ที่มาของแนวคิดและแผนการศึกษา

แผนการศึกษานี้ยังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น โดยคณะรัฐมนตรีจะต้องพิจารณาทั้งข้อดีและข้อเสียของการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีนี้ รวมถึงสร้างการรับรู้ในสังคมเพื่อให้เข้าใจถึงความสำคัญและประโยชน์ของการปรับเปลี่ยนระบบภาษีในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการคลัง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ส่งออกข้าวไทยพุ่งสูงสุดในรอบ 5 ปี แตะ 10 ล้านตัน

“พาณิชย์” เผยส่งออกข้าวปี 2567 แตะ 10 ล้านตัน มูลค่ากว่า 6 พันล้านดอลลาร์ สูงสุดในรอบ 5 ปี

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยตัวเลขส่งออกข้าวของไทยในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม – พฤศจิกายน) พบว่ามีการส่งออกข้าวปริมาณรวม 9.27 ล้านตัน และคาดว่าตัวเลขทั้งปีจะสูงถึง 10 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าส่งออกประมาณ 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 216,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นตัวเลขสูงสุดในรอบ 5 ปี

ประเภทข้าวที่ส่งออกและการเติบโต

การส่งออกข้าวในปีนี้มีการเติบโตในทุกประเภท โดยประเภทข้าวที่ส่งออกมากที่สุด ได้แก่:

  1. ข้าวขาว: ปริมาณ 5.18 ล้านตัน
  2. ข้าวหอมมะลิไทย: ปริมาณ 1.37 ล้านตัน
  3. ข้าวนึ่ง: ปริมาณ 1.01 ล้านตัน
  4. ข้าวหอมไทย: ปริมาณ 0.54 ล้านตัน
  5. ข้าวเหนียว: ปริมาณ 0.23 ล้านตัน
  6. ข้าวกล้อง: ปริมาณ 0.02 ล้านตัน

ราคาข้าวปรับตัวสูงขึ้น

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า การส่งออกข้าวของไทยในปีนี้ได้รับผลดีจากราคาข้าวที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 10 เดือนแรกเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา เช่น:

  • ข้าวหอมมะลิไทย: ราคาเพิ่มขึ้น 7.59%
  • ข้าวหอมปทุมธานี: ราคาเพิ่มขึ้น 24.6%
  • ข้าวขาว: ราคาเพิ่มขึ้น 11.67%
  • ข้าวนึ่ง: ราคาเพิ่มขึ้น 10.89%
  • ข้าวเหนียว: ราคาเพิ่มขึ้น 0.62%

ตลาดส่งออกที่สำคัญ

ไทยส่งออกข้าวไปยังตลาดสำคัญทั่วโลก โดยประเทศที่นำเข้าข้าวไทยในปริมาณสูงสุด ได้แก่:

  1. อินโดนีเซีย: ปริมาณ 1.12 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 6%
  2. อิรัก: ปริมาณ 0.95 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 23%
  3. แอฟริกาใต้: ปริมาณ 0.72 ล้านตัน ลดลง 12%
  4. สหรัฐอเมริกา: ปริมาณ 0.70 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 21%
  5. ฟิลิปปินส์: ปริมาณ 0.49 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 250%

ปัจจัยสนับสนุนการส่งออก

ความสำเร็จในการส่งออกข้าวของไทยในปีนี้เกิดจากหลายปัจจัย:

  • ความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้น: เพื่อรองรับเทศกาลคริสต์มาส, ปีใหม่, และตรุษจีน
  • ผลผลิตข้าวที่เพียงพอ: ไทยสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดข้าวโลกได้อย่างต่อเนื่อง
  • ศักยภาพในการส่งมอบสินค้า: การส่งมอบข้าวให้ผู้นำเข้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แผนรับมือปี 2568

กรมการค้าต่างประเทศเตรียมแผนกระชับความสัมพันธ์กับประเทศคู่ค้าหลัก พร้อมเสริมความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก เช่น การเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) และส่งเสริมคุณภาพข้าวเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือในตลาดสากล

บทสรุป

ปี 2567 ถือเป็นปีทองของการส่งออกข้าวไทย ด้วยปริมาณที่คาดว่าจะถึง 10 ล้านตัน และมูลค่ากว่า 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ การเติบโตครั้งนี้ไม่เพียงช่วยสร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศ แต่ยังเสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของไทยในฐานะผู้ส่งออกข้าวอันดับต้นๆ ของโลก.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

พิชัยลุยด่านแม่สาย เร่งแก้ปัญหาการค้าชายแดน กระตุ้นเศรษฐกิจไทย

“พิชัย” ลงพื้นที่ด่านแม่สาย เร่งแก้อุปสรรคการค้าชายแดน ตั้งเป้าปี 70 สร้างเงิน 2 ล้านล้านบาท

เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ลงพื้นที่ด่านศุลกากรแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามสถานการณ์และเร่งขับเคลื่อนการค้าชายแดน พร้อมทั้งประชุมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ เพื่อแก้ไขอุปสรรคและผลักดันศักยภาพการค้าชายแดนของประเทศไทย

ปีทองการค้าชายแดน: ผลักดันการค้า-สร้างเศรษฐกิจไทย

นายพิชัยเปิดเผยว่า ปี 2567 ถือเป็น “ปีทองของการค้าชายแดน” โดยในช่วง 10 เดือนแรก (มกราคม-ตุลาคม) การค้าชายแดนและผ่านแดนของไทยมีมูลค่ารวมกว่า 1,514,837 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.18 จากปีก่อนหน้า โดยเป็นการส่งออกมูลค่า 872,043 ล้านบาท และการนำเข้า 642,794 ล้านบาท ซึ่งประเทศไทยได้ดุลการค้า 229,248 ล้านบาท

กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าขยายมูลค่าการค้าชายแดนให้แตะ 2 ล้านล้านบาทต่อปี ภายในปี 2570 ภายใต้ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการค้าชายแดนและการลงทุนชายแดน ปี 2567-2570

เร่งเปิดด่าน เชื่อมโยงการค้าไทย-เมียนมา-ลาว-จีน

ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีจุดผ่านแดนที่เปิดใช้งานแล้ว 86 แห่ง จากทั้งหมด 94 แห่ง ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเปิด 73 แห่ง นายพิชัยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเปิดด่านเพิ่มเติมเพื่อเชื่อมโยงการค้าในลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน ได้แก่ สปป.ลาว เมียนมา และจีน โดยเฉพาะด่านแม่สาย ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่สามารถเชื่อมโยงการค้าระหว่างไทยและเมียนมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ยกระดับท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน

นายพิชัยกล่าวถึงการพิจารณายกระดับท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน เพื่อรองรับการค้ากับจีน โดยเฉพาะการส่งออกผลไม้ ซึ่งได้รับการอนุมัติให้ด่านกวนเหลี่ยในจีนรองรับผลไม้ไทยแล้วตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ในช่วง 10 เดือนแรก ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนมีมูลค่าการค้าชายแดนรวมกว่า 5,962 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.53 จากปีก่อนหน้า โดยแบ่งเป็นการส่งออก 5,650 ล้านบาท และการนำเข้า 312 ล้านบาท

ผลักดันมหกรรมการค้าและพัฒนาชายแดนอย่างต่อเนื่อง

กระทรวงพาณิชย์ยังวางแผนจัดมหกรรมการค้าชายแดนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษทั่วประเทศในปี 2568 รวมทั้งหมด 6 ครั้ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก นอกจากนี้ยังได้ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อเปิดด่านเพิ่มเติมทั้งในฝั่งไทยและประเทศเพื่อนบ้าน

เน้นคุณภาพสินค้า ควบคุมสินค้าด้อยคุณภาพ

นายพิชัยกล่าวถึงบทบาทของกระทรวงพาณิชย์ในการส่งเสริมและอำนวยความสะดวกด้านการค้า รวมถึงการป้องกันสินค้านำเข้าด้อยคุณภาพที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค พร้อมกำชับให้ด่านศุลกากรเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบ

ความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน

นายพิชัยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อแก้ไขอุปสรรคการค้า พร้อมให้คำมั่นว่า กระทรวงพาณิชย์พร้อมสนับสนุนภาคเอกชนอย่างเต็มที่

บทสรุป

การลงพื้นที่ของนายพิชัย นริพทะพันธุ์ ในครั้งนี้ แสดงถึงความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยเป้าหมายสร้างมูลค่าการค้า 2 ล้านล้านบาทในปี 2570 และส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งขึ้นอย่างแท้จริง.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ยอดผลิตรถยนต์ไทยปี 2567 ลดต่ำสุดในรอบ 4 ปี

สถานการณ์อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยปี 2567: การผลิตและยอดขายลดลงท่ามกลางความท้าทายเศรษฐกิจ

เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ตัวเลขประมาณการการผลิตรถยนต์ในปี 2567 ได้ปรับเป้าหมายลดลงเหลือ 1,500,000 คัน จากเดิม 1,700,000 คัน ซึ่งนับเป็นการผลิตที่ต่ำสุดในรอบ 4 ปี นับตั้งแต่ปี 2564 โดยการปรับลดนี้แบ่งเป็นการผลิตเพื่อขายในประเทศลดลง 450,000 คัน และการผลิตเพื่อส่งออกลดลง 1,050,000 คัน

ตัวเลขการผลิตและยอดขายลดลงต่อเนื่อง

จากข้อมูลการผลิตรถยนต์ในช่วงเดือนมกราคม–ตุลาคม 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,246,868 คัน ลดลงร้อยละ 19.28 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่เดือนตุลาคม 2567 ผลิตได้เพียง 118,842 คัน ลดลงร้อยละ 25.13 จากปีก่อน โดยการผลิตเพื่อส่งออกอยู่ที่ 861,916 คัน ลดลงร้อยละ 4.69 และการผลิตเพื่อขายในประเทศ 384,952 คัน ลดลงถึงร้อยละ 39.89

ในด้านยอดขาย ตั้งแต่เดือนมกราคม–ตุลาคม 2567 มียอดขายรถยนต์ในประเทศ 476,350 คัน ลดลงร้อยละ 26.24 และยอดขายในเดือนตุลาคม 2567 เพียง 37,691 คัน ซึ่งต่ำสุดในรอบ 54 เดือน โดยสาเหตุหลักมาจากความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการให้สินเชื่อ ทำให้จำนวนบัญชีสินเชื่อลดลง

การส่งออกและผลกระทบจากปัจจัยต่างประเทศ

สำหรับการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เดือนมกราคม–ตุลาคม 2567 ส่งออกได้ 853,221 คัน ลดลงร้อยละ 8.02 โดยเดือนตุลาคม 2567 ส่งออกได้ 84,334 คัน แม้เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.08 จากเดือนก่อนหน้า แต่ยังลดลงร้อยละ 20.23 เมื่อเทียบกับปีก่อน ความท้าทายสำคัญคือสถานการณ์สงครามในอิสราเอลและฮามาส รวมถึงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกในตลาดยุโรปและตะวันออกกลาง

ยานยนต์ไฟฟ้าเติบโต แต่ยังมีความผันผวน

ในเดือนตุลาคม 2567 มียานยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV (Battery Electric Vehicle) จดทะเบียนใหม่ 6,651 คัน ลดลงร้อยละ 32.19 จากปีก่อน แต่สะสมตั้งแต่เดือนมกราคม–ตุลาคม 2567 อยู่ที่ 82,304 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.12 ขณะที่ยานยนต์ไฟฟ้าประเภท HEV (Hybrid Electric Vehicle) เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 56.61 โดยการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าสะท้อนถึงความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคแม้จะมีความท้าทายเรื่องโครงสร้างพื้นฐานและการสนับสนุนจากภาครัฐ

อนาคตอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

นายสุรพงษ์กล่าวว่า การปรับเป้าหมายการผลิตในครั้งนี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการปรับตัวของอุตสาหกรรมท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจ ทั้งการเติบโตที่ต่ำ หนี้ครัวเรือนสูง และความไม่แน่นอนของสถานการณ์โลก โดยภาคอุตสาหกรรมต้องมุ่งเน้นการพัฒนาและนวัตกรรมเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลง และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

AOT โชว์กำไรพุ่ง 1.9 หมื่นล้าน ผู้โดยสารใกล้ฟื้นตัวก่อนระดับโควิด-19

AOT เผยผลประกอบการปี 2567 กำไรพุ่ง 1.9 หมื่นล้านบาท พร้อมรับเทศกาลปีใหม่ 2568

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) เปิดเผยผลประกอบการประจำปีงบประมาณ 2567 (ตุลาคม 2566 – กันยายน 2567) โดย AOT มีกำไรสุทธิ 19,182.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 118.21% จากปีก่อนหน้า คิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้น 10,391.52 ล้านบาท

ในรอบปีที่ผ่านมา AOT มีรายได้รวม 67,827.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.01% เมื่อเทียบกับปีงบประมาณก่อนหน้า แบ่งเป็นรายได้จากกิจการการบิน 31,000.47 ล้านบาท และรายได้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบิน 36,120.83 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากการกลับมาของการเดินทางระหว่างประเทศ

ปริมาณผู้โดยสารฟื้นตัวใกล้ระดับก่อนโควิด-19

ปริมาณผู้โดยสารรวมที่ใช้บริการในท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (BKK) ดอนเมือง (DMK) เชียงใหม่ (CNX) แม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI) ภูเก็ต (HKT) และหาดใหญ่ (HDY) มีจำนวนรวมกว่า 119.29 ล้านคน เพิ่มขึ้น 19.22% แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 72.67 ล้านคน และผู้โดยสารภายในประเทศ 46.62 ล้านคน

สำหรับปีงบประมาณ 2568 AOT คาดว่าปริมาณผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นเป็น 129.97 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 8.95% และจำนวนเที่ยวบินจะเพิ่มเป็น 808,280 เที่ยวบิน

การเตรียมความพร้อมช่วงเทศกาลปีใหม่

ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2567 ถึง 4 มกราคม 2568 คาดว่าจะมีผู้โดยสารรวม 2.86 ล้านคน แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 1.83 ล้านคน และผู้โดยสารภายในประเทศ 1.03 ล้านคน พร้อมเที่ยวบินรวม 17,410 เที่ยวบิน

AOT ยังจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการเพิ่มเติม เช่น การติดตั้งระบบ Biometric สำหรับการตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคลที่สมบูรณ์แบบ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเช็กอิน โหลดสัมภาระ และขึ้นเครื่องโดยไม่ต้องแสดงหนังสือเดินทาง

จัดอัตรากำลังพลให้เพียงพอเพื่อดูแลผู้โดยสารตลอด 24 ชั่วโมง

ดร.กีรติ กล่าวว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมด้านอื่นๆ AOT ได้บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานราชการ สายการบิน ผู้ประกอบการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการให้บริการ ได้แก่ เพิ่มความถี่ในการจัดรถเข็นกระเป๋า การทำความสะอาดห้องน้ำ เพิ่มเคาน์เตอร์เช็กอินและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ บริหารจัดการจราจรทั้งภาคพื้นและพื้นที่การบิน (Landside & Airside) ในช่วงชั่วโมงคับคั่ง (Peak Hour) บริหารจัดการสายพานลำเลียงกระเป๋า จัดเจ้าหน้าที่ Airport Help ช่วยดูแลเรื่องการจัดแถวของผู้โดยสารในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงให้คำแนะนำการใช้งานเครื่องเช็กอินอัตโนมัติ (เครื่อง CUSS) เครื่อง CUBD และเครื่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (Automated Border Control: ABC) การตรวจสภาพรถรับจ้างสาธารณะ การตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่รถรับจ้างสาธารณะ การจัดเตรียมรถแท็กซี่สาธารณะ เพิ่มความถี่รถโดยสารสาธารณะและการดูแลการจราจร ทางอากาศ รวมทั้งจัดอัตรากำลังพลให้เพียงพอเพื่อดูแลผู้โดยสารตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย
 

บริการจอดรถฟรีรับเทศกาลปีใหม่

AOT เปิดให้บริการจอดรถฟรีใน 4 ท่าอากาศยาน ได้แก่

  • สุวรรณภูมิ (BKK): ลานจอดระยะยาวโซน C
  • ดอนเมือง (DMK): พื้นที่ลานจอดระหว่างอาคารคลังสินค้า 2 และอาคารจอดรถ 5 ชั้น
  • ภูเก็ต (HKT): หน้าอาคารสำนักงาน
  • หาดใหญ่ (HDY): สนามฟุตบอล

การฟื้นตัวทางการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเชิงบวก ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย

น.ต.ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ผชร.)  ให้สัมภาษณ์กับทางทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ว่า ตลอดเดือนตุลาคม 2567 ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงมีเที่ยวบินรวมทั้งสิ้น 1,135 เที่ยวบิน สะท้อนถึงการเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน เป็นสัญญาณของการฟื้นตัวทางการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเชิงบวกอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีผู้โดยสารเดินทางผ่านท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงถึง 161,142 คน ซึ่งเพิ่มขึ้น 1% ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน

 

ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะถึงนี้แม้ว่าจำนวนเที่ยวบินประจำจะคงที่ แต่มีคาดการณ์ว่าจะมีการเพิ่มขึ้นของเที่ยวบิน private jet เนื่องจากเชียงรายเป็นจุดหมายที่นิยมสำหรับการพักผ่อนและฉลองในช่วงเวลาพิเศษของปี ท่าอากาศยานยังกำหนดเตรียมความพร้อมในการรองรับสถานการณ์ต่างๆ โดยมีการประเมินและเตรียมการอย่างใกล้ชิดเพื่อให้บริการนักท่องเที่ยวได้อย่างดีที่สุด.

 

โดยรวมแล้วท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายได้สร้างศักยภาพในการเป็นตัวเชื่อมโยงหลักของการท่องเที่ยว, การค้า, และการลงทุนในจังหวัดเชียงรายและภาคเหนือ นอกจากนี้ยังได้เป็นแกนนำในการทุกภาคส่วนร่วมในการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ชุมชน, กีฬา, และวัฒนธรรมท้องถิ่นเพื่อเตรียมต้อนรับนักท่องเที่ยวในฤดูการท่องเที่ยวปลายปี การทำงานร่วมกับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวและธุรกิจสายการบินยังเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักที่จะช่วยยกระดับประสบการณ์การท่องเที่ยวและสร้าง เศรษฐกิจสู่เส้นทางที่ยั่งยืน น.ต.ดร.สมชนก กล่าวทิ้งท้าย

การพัฒนาและบริการในอนาคต

AOT วางแผนเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการจราจรทั้งทางบกและอากาศ พร้อมเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่และบริการต่างๆ เพื่อรองรับการเดินทางในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน (Peak Hour)

และท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ถือเป็นหนึ่งในประตูสู่ภาคเหนือของไทยที่มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงภูมิภาคและส่งเสริมการท่องเที่ยวระดับประเทศและนานาชาติ ท่าอากาศยานนี้ได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ในการรองรับการเติบโตของการท่องเที่ยวและการคมนาคมทางอากาศได้อย่างต่อเนื่อง

ดร.กีรติ กล่าวในตอนท้ายว่า AOT ในฐานะรัฐวิสาหกิจผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานท่าอากาศยานที่สำคัญของประเทศไทยและภูมิภาค พร้อมที่จะส่งมอบประสบการณ์การเดินทางอันน่าประทับใจ และไม่หยุดยั้งที่จะเพิ่มขีดความสามารถการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ตามวิสัยทัศน์ขององค์กร “AOT เป็นผู้ดำเนินการและจัดการท่าอากาศยานที่ดีระดับโลก : มุ่งเน้นคุณภาพการให้บริการ โดยคำนึงถึงความปลอดภัย และสร้างรายได้อย่างสมดุล”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : AOT / ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

‘มาม่า’ ฝ่าตลาดเดือด ปรับกลยุทธ์เจาะใจคนรุ่นใหม่

มาม่าเผยกลยุทธ์ฝ่าตลาดบะหมี่แข่งดุ พร้อมเปิดโอกาสใหม่ให้คนรุ่นใหม่ร่วมเติบโต

เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในงานสัมมนา “THAILAND 2025 โอกาส-ความหวัง-ความจริง” จัดโดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ นายพันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “มาม่า” ได้กล่าวในหัวข้อ “โอกาส-ธุรกิจ-คนรุ่นใหม่” ถึงการปรับตัวและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงความท้าทายที่ธุรกิจต้องเผชิญ

ตลาดบะหมี่ยังไม่ดาวน์เทรนด์ แต่ต้องปรับตัวเพื่อเติบโต

นายพันธ์กล่าวว่า แม้ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในไทยจะมีอายุยาวนานถึง 50 ปี และยอดบริโภคต่อคนต่อปีเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ จาก 52 ซองต่อคนต่อปีเมื่อสองปีก่อน เป็น 55 ซองในปีล่าสุด แต่ธุรกิจนี้ยังไม่ถือว่าอยู่ในช่วงขาลง (ดาวน์เทรนด์) จึงต้องรักษาธุรกิจหลักให้มั่นคง พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย

หนึ่งในความท้าทายสำคัญคือ การแข่งขันจากบะหมี่นำเข้าที่มีราคาสูง เช่น บะหมี่เกาหลีที่เข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภคไทย โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ยอมจ่ายในราคาสูงขึ้นเพื่อสินค้าที่มีคุณภาพและภาพลักษณ์ดี บริษัทจึงได้รีแบรนด์สินค้าเป็น “มาม่าโอเค” ซึ่งเป็นบะหมี่พรีเมียมในราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายใหม่ โดยสินค้านี้สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดกว่า 10% ได้สำเร็จ

ความท้าทายด้านต้นทุนและกำไร

ธุรกิจบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในไทยมีผู้ประกอบการน้อยราย เพราะเป็นธุรกิจที่มีกำไรต่ำและการบริหารต้นทุนเป็นเรื่องยาก มาม่าจึงต้องใช้จุดแข็งในการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและความมั่นคงทางการเงิน

นายพันธ์กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจจะดีขึ้นในอนาคต ก็ไม่กังวลว่าผู้บริโภคจะลดการบริโภคมาม่า เพราะลูกค้าหลักของบริษัทคือกลุ่มที่ยังต้องรับมือกับรายจ่ายสูงและติดกับดักทางการเงิน อีกทั้งยังมองว่ารัฐบาลควรมีบทบาทในการปรับปรุงเศรษฐกิจและส่งเสริมการออมเพื่อช่วยเหลือประชาชน

ดึงคนรุ่นใหม่ร่วมสร้างอนาคต

อย่างไรก็ตาม หนึ่งในปัญหาหลักที่บริษัทต้องเผชิญคือการสร้างคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมงาน เนื่องจากเด็กรุ่นใหม่ไม่สนใจทำงานในองค์กรแบบดั้งเดิม บริษัทจึงต้องพัฒนาบรรยากาศในการทำงานให้ดึงดูดใจมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่น เช่น การทำงานจากที่บ้าน

นายพันธ์กล่าวว่า มาม่าอาจไม่เคยติดอันดับบริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานมากที่สุด แต่บริษัทกำลังพยายามเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความน่าสนใจและดึงดูดบุคลากรที่มีศักยภาพ

ทิศทางในอนาคต

บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ยังคงมุ่งมั่นที่จะรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป พร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในทุกยุคสมัย รวมถึงการสนับสนุนคนรุ่นใหม่ให้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาองค์กรและเติบโตไปพร้อมกัน

มาม่ากำลังพิสูจน์ว่า แม้ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงและกำไรต่ำ ความมุ่งมั่นและการปรับตัวอย่างต่อเนื่องคือกุญแจสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : จัดโดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News