Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

รถไฟทางคู่สายใหม่เหนือ-อีสาน เปิดบริการปี 2571 เชื่อมเศรษฐกิจไทย-ชายแดน

รถไฟทางคู่สายใหม่เหนือ-อีสาน คืบหน้า! เตรียมเปิดบริการปี 2571

เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2568 การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยความคืบหน้าโครงการก่อสร้าง รถไฟทางคู่สายใหม่ 2 เส้นทางสำคัญ คือ สายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ และ สายบ้านไผ่ – มหาสารคาม – ร้อยเอ็ด – มุกดาหาร – นครพนม ซึ่งเป็นโครงการที่มุ่งพัฒนาโครงข่ายระบบรางให้ครอบคลุมพื้นที่ใหม่ๆ และเพิ่มศักยภาพในการขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ

โครงการก่อสร้างรถไฟสายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ

  • ระยะทาง 323 กิโลเมตร วงเงิน 72,921 ล้านบาท
  • สัญญา 1: เด่นชัย-งาว ระยะทาง 103 กม. ผลงาน 18.64% (เร็วกว่าแผน 4.75%)
  • สัญญา 2: งาว-เชียงราย ระยะทาง 132 กม. ผลงาน 25.08% (ช้ากว่าแผน 6.30%)
  • สัญญา 3: เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 87 กม. ผลงาน 20.74% (ช้ากว่าแผน 16.70% เนื่องจากติดปัญหาการเวนคืนที่ดิน)

โครงการก่อสร้างรถไฟสายบ้านไผ่ – มหาสารคาม – ร้อยเอ็ด – มุกดาหาร – นครพนม

  • ระยะทาง 355 กิโลเมตร วงเงิน 66,848 ล้านบาท
  • สัญญา 1: บ้านไผ่-หนองพอก ระยะทาง 180 กม. ผลงาน 16.05% (ช้ากว่าแผน 21.40%)
  • สัญญา 2: หนองพอก-สะพานมิตรภาพ 3 ระยะทาง 175 กม. ผลงาน 0.33% (ช้ากว่าแผน 33.31% เนื่องจากติดปัญหาการเวนคืนที่ดิน)

เป้าหมายเปิดบริการปี 2571

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า โครงการนี้จะช่วยพัฒนาโครงข่ายรถไฟในพื้นที่ที่ไม่เคยมีรถไฟมาก่อน พร้อมเชื่อมโยงเศรษฐกิจชายแดน โดยโครงการสายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ จะรองรับการขนส่งสินค้าและนักท่องเที่ยวเชื่อมชายแดนไทย-ลาว ขณะที่โครงการสายบ้านไผ่ – นครพนม จะเชื่อมเศรษฐกิจภาคอีสานตอนบนไปยังท่าเรือแหลมฉบังและศูนย์ขนส่งชายแดน

จุดเด่นของโครงการ

  • สายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ
    • อุโมงค์รถไฟยาวที่สุดในประเทศไทย
    • มี 26 สถานี (สถานีขนาดใหญ่ 4 สถานี สถานีขนาดเล็ก 9 สถานี และป้ายหยุดรถ 13 แห่ง)
    • สะพานรถไฟและถนนลอดรวม 254 จุด พร้อมลานขนถ่ายสินค้าและพื้นที่กองเก็บตู้สินค้าที่สถานีเชียงของ
  • สายบ้านไผ่ – นครพนม
    • มี 30 สถานี และย่านบรรทุกตู้สินค้า 3 แห่ง
    • ถนนยกข้ามทางรถไฟ 81 แห่ง และถนนลอดใต้ทางรถไฟ 245 แห่ง
    • เชื่อมโยงเศรษฐกิจแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก

ประโยชน์ที่คาดหวัง

โครงการรถไฟทางคู่สายใหม่จะช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพิ่มศักยภาพด้านโลจิสติกส์ รองรับการขยายตัวของการค้าชายแดนและเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง พร้อมเพิ่มโอกาสด้านการท่องเที่ยวและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่

โครงการนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบรางของประเทศไทย และจะเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ที่เชื่อมต่อเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคอย่างยั่งยืน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

แนวโน้มท่องเที่ยวไทย 2568: ลดจ่าย-เพิ่มคุ้มค่า

แนวโน้มการใช้จ่ายด้านท่องเที่ยวของคนไทยในปี 2568: การปรับตัวและกลยุทธ์ธุรกิจท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2567 SCB EIC เผยข้อมูลการสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคชาวไทยเกี่ยวกับแนวโน้มการใช้จ่ายด้านท่องเที่ยวในปี 2568 พบว่า ชาวไทยยังคงให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยว แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตชะลอตัว ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวมีแนวโน้มลดการใช้จ่าย โดยเฉพาะการท่องเที่ยวต่างประเทศที่คาดว่าจะลดลงมากกว่าการท่องเที่ยวในประเทศ

แนวโน้มการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวไทย

SCB EIC รายงานว่า การใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวในประเทศยังคงเป็นที่นิยม เนื่องจากมีสัดส่วนผู้ที่จะเลิกใช้จ่ายเพียง 9% ซึ่งต่ำกว่าการใช้จ่ายในด้านอื่น เช่น เครื่องแต่งกายและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ กลุ่มที่มีสถานะการเงินมั่นคง เช่น กลุ่มที่ไม่มีภาระหนี้และรายได้ดี มีแนวโน้มเพิ่มการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยว ในขณะที่กลุ่มการเงินเปราะบางกว่า 50% มีแนวโน้มลดหรือยกเลิกแผนท่องเที่ยว

ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยสำหรับการท่องเที่ยวในประเทศอยู่ที่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคนต่อวัน ขณะที่การท่องเที่ยวต่างประเทศมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยขั้นต่ำที่ 10,000 บาทต่อคนต่อวัน โดยกลุ่ม LGBTQIA+ และกลุ่มวัยทำงานมีแนวโน้มใช้จ่ายสูงกว่ากลุ่มอื่น

วิธีปรับตัวของนักท่องเที่ยวไทย

นักท่องเที่ยวไทยใช้ 4 วิธีในการปรับตัวด้านการท่องเที่ยว ได้แก่

  1. ลดความถี่ในการท่องเที่ยว
  2. ลดการช้อปปิ้งสินค้า
  3. เลือกที่พักราคาประหยัด
  4. ชะลอแผนการท่องเที่ยว

การปรับตัวเหล่านี้แตกต่างกันตามช่วงอายุ เช่น กลุ่มวัยรุ่น/วัยเริ่มทำงานเลือกลดค่าใช้จ่ายด้านความสะดวกสบาย ส่วนกลุ่มผู้สูงวัยปรับแผนมาท่องเที่ยวในประเทศหรือเลือกกรุ๊ปทัวร์ที่คุ้มค่า

กลยุทธ์สำหรับธุรกิจท่องเที่ยวในปี 2568

  1. เจาะตลาดนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อดี
    ธุรกิจควรมุ่งเน้นการดึงดูดกลุ่มที่มีรายได้ดีและคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยนำเสนอแพ็กเกจท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศที่ตอบโจทย์

  2. เพิ่มความคุ้มค่าของสินค้าและบริการ
    การสร้างความคุ้มค่าให้ตรงกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวในแต่ละกลุ่ม เช่น การนำเสนอกิจกรรมที่เหมาะกับกลุ่มวัยรุ่น หรือบริการพิเศษที่เหมาะกับผู้สูงวัย

  3. บริหารต้นทุนเพื่อเสนอแพ็กเกจราคาประหยัด
    การใช้เทคโนโลยี เช่น AI และ Automation ในการบริหารจัดการ รวมถึงการดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืน เช่น การใช้พลังงาน Solar Cell หรือรถยนต์ไฟฟ้า

สรุปผลการสำรวจ

ในปี 2568 แม้การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวไทยจะถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจ แต่การท่องเที่ยวยังคงเป็นกิจกรรมยอดนิยม ธุรกิจท่องเที่ยวสามารถตอบสนองความต้องการด้วยการปรับตัวและนำเสนอบริการที่ตอบโจทย์ความคุ้มค่าและความต้องการของนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่ม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : SCB EIC

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

แนวโน้มธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มปี 2568 เติบโต 4.6% พร้อมความท้าทาย

เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2567 spacebar รายงานว่าแนวโน้มธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทยในปี 2568 คาดว่าจะมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 657,000 ล้านบาท เติบโต 4.6% แต่เป็นการเติบโตที่ชะลอตัวลงจากปี 2567 สาเหตุหลักมาจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจนี้ยังคงได้รับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะ การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) ที่กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น

แนวโน้มการเติบโตของตลาด

ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพบว่า การใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่ม ของนักท่องเที่ยวถือเป็นอันดับ 2 ของการใช้จ่ายทั้งหมดในการเดินทาง โดยร้านอาหารไทยกว่า 482 แห่งที่ได้รับการจัดอันดับในมิชลินไกด์ ก็ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวเชิงอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเติบโตของมูลค่าตลาดส่วนหนึ่งยังเกิดจากการ ปรับขึ้นราคาตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงกลยุทธ์การตลาดที่ช่วยเพิ่มรายได้ต่อครั้งต่อคำสั่งซื้อ นอกจากนี้ การขยายสาขาใหม่ในพื้นที่ศักยภาพ เช่น กรุงเทพฯ ชลบุรี เชียงใหม่ และสุราษฎร์ธานี รวมถึงการพัฒนาเชิงพาณิชย์ในห้างสรรพสินค้าและอาคารสำนักงานที่เพิ่มขึ้น ก็มีส่วนกระตุ้นให้จำนวนร้านอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มมากขึ้น

การแข่งขันที่รุนแรง

ธุรกิจร้านอาหารในปี 2568 มีการแข่งขันรุนแรงในทุกระดับราคา ประเทศไทยมีร้านอาหารกว่า 6.9 แสนแห่ง หรืออัตราส่วน 9.6 ร้านต่อประชากร 1,000 คน ผู้ประกอบการรายใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศยังคงเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มทุนจากจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแสดงให้เห็นว่า การหมุนเวียนเปิด-ปิดกิจการ มีจำนวนร้านอาหารที่ปิดตัวเพิ่มขึ้นถึง 89% (YoY) ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 สะท้อนถึงการแข่งขันที่เข้มข้น

แนวโน้มธุรกิจร้านอาหารในปี 2568

  1. ร้านอาหารบริการเต็มรูปแบบ (Full Service Restaurants)
    คาดว่าจะเติบโต 2.9% หรือมีมูลค่ารวมประมาณ 213,000 ล้านบาท ร้านบุฟเฟต์ยังได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคที่มองหาความคุ้มค่า

  2. ร้านอาหารบริการจำกัด (Limited Service Restaurants)
    คาดว่าจะเติบโต 3.8% หรือมีมูลค่ารวม 93,000 ล้านบาท การขยายตัวของกลุ่มร้านพิซซ่า ไก่ทอด และร้าน Quick Service เพิ่มมากขึ้น

  3. ร้านอาหารข้างทาง (Street Food)
    คาดว่าจะเติบโต 6.8% หรือมีมูลค่ารวม 266,000 ล้านบาท ได้รับความนิยมจากทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยว

แนวโน้มธุรกิจร้านเครื่องดื่ม

ในปี 2568 คาดว่ามูลค่าตลาดร้านเครื่องดื่มจะอยู่ที่ 85,320 ล้านบาท เติบโต 3.2% การขยายแฟรนไชส์และการเปิดตัวเมนูใหม่ช่วยกระตุ้นการบริโภค

ความเสี่ยงและความท้าทาย

  • ต้นทุนสูงขึ้น
    ทั้งค่าแรง วัตถุดิบ เช่น นมผง เนย ชีส และค่าสาธารณูปโภค ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการ
  • พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง
    มาตรฐานใหม่ของผู้บริโภคเน้น ความแปลกใหม่+ประสบการณ์+สุขภาพ+ราคาสมเหตุสมผล

ข้อสรุป

ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มยังคงมีศักยภาพเติบโต แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายหลากหลายมิติ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับตัวทั้งในด้านกลยุทธ์และนวัตกรรม เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพ : พันดาว 1000 Stars

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

‘อนาคตข้าวไทย’ วางยุทธศาสตร์ สร้างคุณค่า เจาะตลาดโลก

นโยบายข้าวไทย: เส้นทางใหม่สู่ความยั่งยืนในโลกที่เปลี่ยนแปลง

เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2567 Forbes Thailand ได้รายงานข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับ นโยบายข้าวไทย ซึ่งกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม การปรับตัวและการวางแผนเชิงกลยุทธ์ของประเทศไทยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ภาครัฐและทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนเพื่อสร้างคุณค่าและความยั่งยืนให้กับข้าวไทย

ความท้าทายใหม่ของข้าวไทยในยุคโลกเปลี่ยนแปลง

รศ.ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล อดีตผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวว่า การกำหนดทิศทางของข้าวไทยในระบบเศรษฐกิจต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน การสนับสนุนเกษตรกรให้ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและเทคโนโลยีเป็นเรื่องสำคัญ เช่นเดียวกับการสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อนำไปใช้จริง นอกจากนี้ ภาครัฐควรเปลี่ยนบทบาทจากการเน้นปริมาณการส่งออกไปสู่การสร้างคุณค่าในตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) เช่น ข้าวเพื่อสุขภาพ ข้าวในเชิงอุตสาหกรรม หรือข้าวที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ

ข้าวไทยกับบทบาทใหม่ในเศรษฐกิจโลก

ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา ที่ปรึกษาและนักวิจัยอาวุโส ศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ชี้ให้เห็นว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานของข้าว โดยประเทศไทยต้องพัฒนายุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และเชื่อมโยงข้าวเข้ากับ Soft Power เช่น การสร้างเรื่องราว (Storytelling) เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ข้าวไทยกลายเป็นสัญลักษณ์ของวิถีชีวิตคนไทย

งาน Thailand Rice Fest 2024 กับมุมมองใหม่

ในงาน Thailand Rice Fest 2024 มีการเสวนาเกี่ยวกับแนวทางพัฒนาข้าวไทย โดยผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วน รศ.ดร.ศิวเรศ อารีกิจ ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า การพัฒนาข้าวไทยต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนและสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง เช่น การใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) เพื่อบูรณาการห่วงโซ่คุณค่าทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม

การวางตำแหน่งและสร้างคุณค่าให้กับข้าวไทย

ผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องว่าประเทศไทยควรหยุดเน้นการแข่งขันด้านปริมาณการส่งออกและหันมาเน้นการเพิ่มคุณค่าของข้าว เช่น การผลิตข้าวที่ตอบโจทย์ด้านโภชนาการ การสร้างความมั่นคงทางอาหาร และการใช้ข้าวเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง และพลังงานชีวภาพ นอกจากนี้ ข้าวยังสามารถเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เพื่อให้ผู้บริโภคได้เรียนรู้เรื่องสุขภาพและวัฒนธรรมผ่านข้าวไทย

สรุป

การเปลี่ยนแปลงนโยบายข้าวไทยต้องมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน การสนับสนุนจากภาครัฐและความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างคุณค่าใหม่ให้ข้าวไทยก้าวข้ามความท้าทายและคว้าโอกาสในเวทีโลกอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

10 ธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง ปี 2568 ส่องเทรนด์เศรษฐกิจไทย

10 ธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง ปี 2568 เผยเทรนด์เศรษฐกิจไทย สะท้อนโอกาสและความท้าทาย

เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2567 รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจการจัดอันดับ 10 ธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง ประจำปี 2568 โดยมีการวิเคราะห์ปัจจัยสนับสนุนและบั่นทอนเศรษฐกิจไทย พร้อมประเมินทิศทางการฟื้นตัวในปีหน้า

10 ธุรกิจดาวร่วง ปี 2568

  1. ธุรกิจจำหน่ายและให้เช่า CD หรือ VDO
  2. ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ที่ไม่มีแพลตฟอร์มออนไลน์
  3. ธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล เช่น CD, DVD, Thumb Drive
  4. บริการส่งหนังสือพิมพ์
  5. ธุรกิจผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
  6. ธุรกิจถ่ายเอกสาร
  7. ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ไม้แบบดั้งเดิมที่ไม่มีการออกแบบใหม่
  8. ธุรกิจรถยนต์มือสอง
  9. ร้านขายเครื่องเล่นเกม
  10. ธุรกิจผลิตกระดาษและร้านโชห่วย

10 ธุรกิจดาวรุ่ง ปี 2568

  1. ธุรกิจแพทย์และความงาม, Cloud Service, Cyber Security
  2. ธุรกิจจัดทำคอนเทนต์ ยูทูบเบอร์ รีวิวสินค้า อินฟลูเอนเซอร์
  3. ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และซอฟต์พาวเวอร์ไทย เช่น ซีรีส์, ภาพยนตร์, สื่อออนไลน์
  4. งานคอนเสิร์ต, มหกรรมแสดงสินค้า, ธุรกิจจัดอีเวนต์ และธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  5. ธุรกิจสายมู, เงินด่วน, ประกันภัย, ประกันชีวิต
  6. บริการแพลตฟอร์ม เช่น แม่บ้านรายวัน และสถานบันเทิง
  7. คลินิกกายภาพบำบัด, บริการสถานีชาร์จรถไฟฟ้า, รถยนต์อีวี, ธุรกิจสัตว์เลี้ยง
  8. ธนาคาร, ธุรกิจตู้หยอดเหรียญ, ธุรกิจท่องเที่ยว
  9. ธุรกิจโลจิสติกส์, เดลิเวอรี, ทนายความ, ตลาดนัดกลางคืน
  10. ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์, พลังงานทดแทน

ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยในปี 2568

  1. การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
    • แรงหนุนจากฟรีวีซ่า
    • แคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism Year 2025”
  2. การลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลก
    • Amazon, Google, Microsoft
  3. ความร่วมมือระหว่างประเทศ
    • ไทยเข้าร่วมเป็นพันธมิตร BRICS ยกระดับบทบาทบนเวทีโลก
  4. นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ
    • ช่วยกระตุ้นการบริโภคและการใช้จ่าย

ปัจจัยบั่นทอนเศรษฐกิจ

  • ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน
  • ราคาพลังงานโลกที่ผันผวน
  • การเมืองภายในประเทศที่ไม่แน่นอน
  • ปัญหาหนี้ครัวเรือนยังสูง

หนี้ครัวเรือนปี 2568

นายธนวรรธน์ คาดการณ์ว่า หนี้ครัวเรือนจะลดลงจาก 89% เป็น 85% ต่อ GDP เนื่องจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของรัฐบาลผ่านโครงการ “คุณสู้เราช่วย”

สรุปภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2568

เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะฟื้นตัวในช่วงไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปี โดยเติบโตในกรอบ 2.8-3.2% มีโอกาสจากธุรกิจดาวรุ่งที่สอดคล้องกับแนวโน้มตลาดโลก ขณะเดียวกันยังต้องเผชิญกับความท้าทายที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

งานสำรวจนี้สะท้อนถึงความจำเป็นที่ภาคธุรกิจไทยต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างทันท่วงที

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ครม. เห็นชอบร่างขยายเวลานำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2568

ครม. เห็นชอบร่างประกาศขยายเวลานำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตาม AFTA ปี 2568

เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2567 นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักร ตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area: AFTA) สำหรับปี 2568 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ

ขยายเวลานำเข้าเพื่อรองรับความต้องการภายในประเทศ

ร่างประกาศดังกล่าวเป็นการขยายระยะเวลาการนำเข้าข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์สำหรับปี 2568 ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทย่อย 1005.90.99 รหัสสถิติ 001 โดยมีเงื่อนไขว่าสินค้าต้องมีถิ่นกำเนิดและส่งตรงจากประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN)

ผู้นำเข้าจะต้องมีเอกสารหลักฐานประกอบ เช่น หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) หรือ e-Form D ใบกำกับสินค้า (Commercial Invoice) หรือใบเรียกเก็บเงินค่าสินค้า (Billing Statement) รวมถึงเอกสารรับรองความปลอดภัยที่ออกโดยหน่วยงานรัฐ หรือหน่วยงานที่มีอำนาจของประเทศผู้ส่งออก

สิทธิพิเศษทางภาษีและข้อกำหนดนำเข้า

ผู้นำเข้าข้าวโพดที่ผ่านมาตรฐานและเอกสารตามข้อกำหนด จะได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรในอัตรา 0% และหากองค์การคลังสินค้าเป็นผู้นำเข้า จะต้องดำเนินการระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม 2568 โดยเสียค่าธรรมเนียมพิเศษในอัตรา 0 บาทต่อเมตริกตัน และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดการควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ รวมถึงนำเข้าทางด่านศุลกากรที่มีด่านตรวจพืชและด่านกักสัตว์ พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจประจำด่าน

มาตรการต่อเนื่องเพื่อความมั่นคงทางอาหาร

มาตรการนี้สืบเนื่องจากนโยบายที่เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2566-2567 ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2567 โดยเน้นการคงนโยบายเดิมเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้เพียงพอต่อความต้องการในช่วงผลผลิตภายในประเทศออกสู่ตลาดน้อย

นายอนุกูลกล่าวว่า มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และปฏิบัติตามความตกลงระหว่างประเทศที่ไทยมีพันธกรณี รวมถึงช่วยลดผลกระทบด้านการขาดแคลนวัตถุดิบสำหรับเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารในประเทศ

มาตรการนี้คาดว่าจะช่วยส่งเสริมให้การผลิตอาหารสัตว์เป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ ตลอดจนรักษาความมั่นคงทางอาหารของประเทศไทยในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงพาณิชย์ 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ยกระดับท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงรายสู่ศูนย์กลางการท่องเที่ยวระดับสากล

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายเดินหน้าพัฒนายกระดับการให้บริการ รองรับการเติบโตท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 เวลา 11.00 น. นาวาอากาศตรีสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ผชร.) ให้การต้อนรับ ดร.วาสนา พงศาปาน ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์กรมหาชน) หรือ อพท. พร้อมคณะ และคณะสื่อมวลชนจากหลายสำนัก เพื่อสัมภาษณ์เกี่ยวกับแผนการพัฒนาท่าอากาศยานและการยกระดับการให้บริการนักท่องเที่ยว ณ ห้องประชุมตอบแทนคุณแผ่นดิน ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.)

แผนพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย

นาวาอากาศตรีสมชนก ได้กล่าวถึงแผนการพัฒนาและศักยภาพของท่าอากาศยานในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านกายภาพ สิ่งอำนวยความสะดวก และกระบวนการในการให้บริการที่ดำเนินงานภายใต้มาตรฐานระดับสากล โดยเฉพาะด้าน Safety และ Security ที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาท่าอากาศยานเพื่อรองรับปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นจากการเติบโตของการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย

ทชร. ยังได้รับการออกแบบให้เป็น Gateway สำคัญของการเดินทางและการท่องเที่ยวในภูมิภาค โดยตั้งอยู่ในพื้นที่ที่สะดวกต่อการเชื่อมต่อระบบคมนาคม รวมถึงใกล้สถานศึกษา แหล่งเศรษฐกิจ และพื้นที่สำคัญของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อำเภอเชียงแสน อำเภอเชียงของ และอำเภอแม่สาย

การพัฒนาสู่ศูนย์กลางการขนส่งและไมซ์ (MICE)

นอกจากนี้ ทชร. ยังมีศักยภาพในการพัฒนาให้เป็น ศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางอากาศ (Air Cargo Hub) และ ศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO) เพื่อให้บริการซ่อมบำรุงอากาศยานในภูมิภาค พร้อมสร้างโอกาสในการจ้างงานสำหรับแรงงานในพื้นที่ รวมถึงยกระดับทักษะแรงงานด้านการวางแผนซ่อมบำรุง โดยมีเป้าหมายในการเป็นศูนย์กลางที่สำคัญในระดับภูมิภาค

ในด้านการท่องเที่ยว ทชร. ได้ร่วมบูรณาการกับจังหวัดเชียงรายเพื่อสนับสนุนการจัดงานประชุมและกิจกรรมระดับนานาชาติ รวมถึงอุตสาหกรรม ไมซ์ (MICE) ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ พร้อมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬาและการศึกษา เพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว

ความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ

นาวาอากาศตรีสมชนกกล่าวว่า การพัฒนาทั้งหมดนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในจังหวัดเชียงราย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อสร้างความเข้มแข็งและยกระดับจังหวัดเชียงรายให้เป็นศูนย์กลางการเดินทางและการท่องเที่ยวระดับสากล

ทชร. พร้อมให้บริการนักท่องเที่ยวและผู้โดยสารด้วยมาตรฐานระดับสูง และพร้อมร่วมมือกับทุกกลไกในการพัฒนาเชียงรายให้เป็นจังหวัดที่ยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การศึกษา กีฬา และการท่องเที่ยว

บทบาทสำคัญของทชร.

ด้วยศักยภาพและการพัฒนาที่มุ่งเน้นความยั่งยืน ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย พร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการขนส่งที่สำคัญของภาคเหนือ และสนับสนุนให้เชียงรายเป็นจังหวัดที่เติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจโลก โดยยังคงรักษาเอกลักษณ์และความงดงามของวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างครบถ้วน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Mae Fah Luang Chiang Rai International Airport – CEI

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ธุรกิจร้านอาหารเชียงราย ปี’68 โตแรง ฝ่ากระแสการแข่งขันสูง

ธุรกิจร้านอาหารปี 2568 เติบโตสวนกระแส สู้ความท้าทายท่ามกลางการแข่งขันสูง

ธุรกิจร้านอาหารเติบโตต่อเนื่อง แต่ท้าทายสูงขึ้น
เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 ฝ่ายวิจัยธุรกิจของธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ รายงานสถานการณ์ธุรกิจร้านอาหารในปี 2568 ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ผันผวนตามสถานการณ์เศรษฐกิจและพฤติกรรมผู้บริโภค โดยในปีหน้า คาดว่าธุรกิจร้านอาหารจะยังคงเติบโตต่อเนื่องจากปี 2567 ด้วยมูลค่าตลาดรวม 657,000 ล้านบาท เติบโต 4.6% ปัจจัยหนุนหลักมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ การกระตุ้นเศรษฐกิจจากมาตรการภาครัฐ รวมถึงการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคักทั้งจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ

ปัจจัยหนุนการเติบโตของธุรกิจร้านอาหารในปี 2568

  1. การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและ Gastronomy Tourism:
    • ร้านอาหารที่เป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยว เช่น ร้านอาหารติดดาวมิชลินไกด์กว่า 482 ร้านทั่วประเทศ
    • การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม คิดเป็นอันดับ 2 ของการใช้จ่ายการท่องเที่ยว
  2. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ:
    • มาตรการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 2 และ 3 ในครึ่งปีแรกของปี 2568
    • นโยบาย E-Refund ซึ่งช่วยเสริมการใช้จ่ายของผู้บริโภค
  3. การขยายสาขาของผู้ประกอบการร้านอาหารรายใหญ่:
    • ผู้ประกอบการรายใหญ่เดินหน้าขยายสาขาครอบคลุมทุกเซกเมนต์ของตลาด
    • ร้านอาหาร Street Food ยังคงเป็นที่นิยมจากราคาที่เข้าถึงง่ายและได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว

การแข่งขันในธุรกิจร้านอาหารยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 มีการจดทะเบียนยกเลิกกิจการ 510 ราย เพิ่มขึ้น 88.9% แต่ธุรกิจใหม่ยังคงเปิดตัวสูงกว่า โดยมีการจดทะเบียนธุรกิจร้านอาหารเพิ่มขึ้นถึง 3,557 ราย ซึ่งสะท้อนถึงการหมุนเวียนเปิด-ปิดธุรกิจที่รวดเร็ว

พื้นที่หลักที่มีความหนาแน่นสูงสุดยังคงอยู่ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญ เช่น ชลบุรี เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี และเชียงราย โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ที่มีผู้ประกอบการกว่า 45,841 ราย หรือคิดเป็น 14.2% ของทั้งประเทศ

เมื่อพิจารณาเชิงพื้นที่พบว่ายังคง กระจุกตัวหนาแน่นในเขตพื้นที่หัวเมืองสําคัญและเมืองท่องเที่ยวของประเทศ โดย 10 จังหวัดที่มีธุรกิจตั้งมากสุด ได้แก่

  1. กรุงเทพฯ กว่า 45,841 ราย คิดเป็น 2%
  2. ชลบุรี 13,125 ราย หรือ 1%
  3. เชียงใหม่ 12,866 ราย หรือ 4%
  4. สุราษฎร์ธานี 9,736 ราย หรือ3%
  5. เชียงราย 7,543 รายหรือ 3%
  6. นนทบุรี 7,466 ราย หรือ 3%
  7. สงขลา 7,134 ราย หรือ 2%
  8. ขอนแก่น 7,079 รายหรือ 2%
  9. นครราชสีมา 7,047 รายหรือ 2%
  10. สมุทรปราการ 6,836 ราย หรือ 1%

แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจร้านอาหารแบ่งตามประเภท

  1. ร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ (Full Service Restaurants):
    • คาดเติบโต 2.9% จากปี 2567 มูลค่าตลาด 213,000 ล้านบาท
    • ร้านอาหารบุฟเฟต์ได้รับความนิยมสูงจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่มองเรื่องความคุ้มค่า
  2. ร้านอาหารที่ให้บริการจำกัด (Limited Service Restaurants):
    • คาดเติบโต 3.8% มูลค่าตลาด 93,000 ล้านบาท
    • ร้านอาหารประเภท Quick Service เช่น ร้านพิซซ่า ไก่ทอด เติบโตจากการขยายสาขา
  3. ร้านอาหารข้างทาง (Street Food):
    • เติบโตสูงสุด 6.8% คาดมูลค่าตลาด 266,000 ล้านบาท
    • ความนิยมในเมนูท้องถิ่นและราคาที่เข้าถึงง่ายยังคงดึงดูดทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยว

ธุรกิจร้านเครื่องดื่มเติบโตช้า แต่ยังมีโอกาส

มูลค่าตลาดร้านเครื่องดื่ม (รวมเบเกอรี่และไอศกรีม) ในปี 2568 คาดอยู่ที่ 85,320 ล้านบาท เติบโต 3.2% โดยผู้ประกอบการรายใหญ่ยังคงขยายสาขาและเปิดแฟรนไชส์ใหม่ นอกจากนี้ การนำเข้าเครื่องดื่มและเบเกอรี่จากต่างประเทศช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ

ธุรกิจร้านอาหารต้องระมัดระวังจากการแข่งขัน

อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจ ต้องระมัดระวังเนื่องจากการแข่งขันในธุรกิจร้านอาหารมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นนับตั้งแต่ปี 2565 โดยแม้จะมีสัญญาณการเลิกกิจการที่เพิ่มขึ้นในปี 2567 จากข้อมูล กรมพัฒนาธุรกิจ 10 เดือนแรกของปี 2567 มีเลิกกิจการ 510 ราย เพิ่มขึ้น 88.9% เทียบกับปีก่อนหน้า แต่การจดทะเบียนธุรกิจใหม่ ยังมียอดที่สูงกว่า โดย 10 เดือนแรกมีจดทะเบียนเพิ่ม 3,557 ราย ลดลง 0.5%

ความเสี่ยงและความท้าทายของธุรกิจร้านอาหารในปี 2568

  1. กำลังซื้อที่ยังฟื้นไม่เต็มที่:
    • ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและภาวะการจ้างงาน
  2. ต้นทุนการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้น:
    • ต้นทุนค่าแรงที่อาจปรับขึ้นตามนโยบายภาครัฐ
    • ต้นทุนวัตถุดิบอาหาร เช่น นมผง เนย ชีส แป้งสาลี ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
  3. พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว:
    • ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเมนูใหม่ ความแปลกใหม่ คุณภาพ ประสบการณ์ และราคาที่เหมาะสม
  4. กระแสความนิยมอาหารเพื่อสุขภาพ:
    • ความต้องการอาหารจากพืช วัตถุดิบยั่งยืน และบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

กลยุทธ์ของธุรกิจร้านอาหารเพื่อเติบโตท่ามกลางการแข่งขัน

  1. ขยายช่องทางการจำหน่ายทั้งหน้าร้าน รับกลับ และผ่านแพลตฟอร์มสั่งอาหารออนไลน์
  2. ปรับกลยุทธ์การตลาดและนำเสนอเมนูใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค
  3. ปรับตัวให้สอดรับกับกระแสความยั่งยืน เช่น ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นและบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  4. ลดต้นทุนด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เช่น การใช้เทคโนโลยีช่วยจัดการร้านอาหาร

สรุปแนวโน้มธุรกิจร้านอาหารปี 2568

ธุรกิจร้านอาหารยังคงเติบโตได้ดีที่ 4.6% จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ แต่ยังคงต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูง ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค ผู้ประกอบการต้องวางแผนกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการขยายช่องทางจำหน่าย การพัฒนาคุณภาพสินค้า และการปรับตัวตามเทรนด์ตลาด เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

พาณิชย์เข้มแก้ปัญหานอมินี คุ้มครองธุรกิจไทยทั่วประเทศ

พาณิชย์ลุยแก้ปัญหานอมินี เดินหน้าบังคับใช้กฎหมายเข้ม

เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้แสดงความห่วงใยในปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว หรือ “นอมินี” ซึ่งบางส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายธุรกิจผิดกฎหมายและอาชญากรรมทางออนไลน์ รัฐบาลจึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยมีนายพิชัย เป็นประธาน และได้ตั้งคณะอนุกรรมการ 2 คณะ เพื่อจัดการปัญหาอย่างเป็นระบบ

การลงมือปฏิบัติการและแผนงานในอนาคต

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 กระทรวงพาณิชย์โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อเชื่อมโยงระบบข้อมูลนิติบุคคลกับฐานข้อมูลตำรวจกลาง (Big Data) โดยตั้งเป้าปราบปรามบัญชีม้านิติบุคคลและธุรกิจนอมินีให้หมดสิ้น ล่าสุด มีการเปิดปฏิบัติการตรวจค้น 46 จุดทั่วประเทศ พบการกระทำผิดของนิติบุคคล 442 บริษัท รวมทุนจดทะเบียน 1,189 ล้านบาท และความเสียหายกว่า 3,600 ล้านบาท

ธุรกิจที่กระทำผิดรวมถึงร้านค้า ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต โกดังสินค้า ร้านรับแลกเงินตราต่างประเทศ และการถือครองอสังหาริมทรัพย์โดยผิดกฎหมาย บางบริษัทไม่มีการดำเนินกิจการจริง และใช้บัญชีม้านิติบุคคลรับโอนเงินจากกลุ่มมิจฉาชีพ

การประชุมครั้งสำคัญและเป้าหมายในอนาคต

ในวันที่ 9 ธันวาคมนี้ กระทรวงพาณิชย์จะเรียกประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างชาติที่ฝ่าฝืนกฎหมาย เพื่อเร่งออกมาตรการระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม

นายพิชัย ยังสั่งการให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเพิ่มความเข้มงวดในการจดทะเบียนธุรกิจ ป้องกันการใช้บัญชีม้านิติบุคคลเพื่อหลอกลวงประชาชน พร้อมเฝ้าระวังและตรวจสอบนิติบุคคลกลุ่มเสี่ยงที่อาจเป็นนอมินี โดยร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอย่างใกล้ชิด

แนวทางการป้องกันและผลลัพธ์ที่คาดหวัง

เป้าหมายสำคัญของการดำเนินการครั้งนี้คือการปกป้องผู้ประกอบการไทย ลดปัญหาทางสังคม และป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจไทยเสียหายจากธุรกิจนอมินีและบัญชีม้านิติบุคคล พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมั่นในระบบธุรกิจไทยให้มั่นคงและโปร่งใสในระยะยาว

กระทรวงพาณิชย์ยังคงเดินหน้าประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มาตรการต่าง ๆ บรรลุผลและสร้างความเป็นธรรมแก่ผู้ประกอบการไทยทุกกลุ่ม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

คลังศึกษาแผนปรับ VAT 15% หวังลดเหลื่อมล้ำ-เพิ่มรายได้รัฐ

คลังเร่งศึกษาปฏิรูปภาษี ปรับ VAT 15% หนุนลดเหลื่อมล้ำ-เพิ่มขีดความสามารถ

เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2567 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงแนวคิดการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็น 15% โดยย้ำว่าเป็นเพียงแนวคิดและอยู่ในขั้นตอนการศึกษาเพื่อดูความเหมาะสมในภาพรวมและแนวโน้มโลก พร้อมย้ำว่า การตัดสินใจใดๆ ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนและผลประโยชน์ส่วนรวม

ในระหว่างการประชุม Sustainability Forum 2025: Synergizing for Driving Business เมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา นายพิชัยได้กล่าวในหัวข้อ “Financial Policies for Sustainable Economy” โดยเผยถึงแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างการจัดเก็บภาษี 3 ประเภท ได้แก่

  1. ภาษีเงินได้นิติบุคคล: ศึกษาการปรับลดจาก 20% เป็น 15% เพื่อให้สอดคล้องกับ Global Minimum Tax (GMT)
  2. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา: ศึกษาการปรับลดจาก 35% เหลือ 15% เพื่อดึงดูดแรงงานคุณภาพเข้ามาทำงานในประเทศไทย
  3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): ไทยเก็บภาษีในอัตรา 7% ซึ่งต่ำกว่าอัตราทั่วโลกที่อยู่ระหว่าง 15-25%

นายพิชัยกล่าวว่า การปรับภาษีมูลค่าเพิ่มอาจเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดช่องว่างรายได้ระหว่างคนรวยและคนจน โดยการเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้นจะช่วยเพิ่มรายได้ให้รัฐเพื่อนำไปพัฒนาโครงการสาธารณะ เช่น สาธารณสุข การศึกษา และการสนับสนุนธุรกิจให้มีต้นทุนต่ำลง

กระแสต่อต้านและมุมมองนายกรัฐมนตรี

ในประเด็นที่ประชาชนกังวลว่า การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มอาจเพิ่มความเดือดร้อน นายพิชัยยอมรับว่าเป็นเรื่องอ่อนไหว พร้อมรับฟังความคิดเห็นรอบด้าน ขณะที่นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “เข้าใจ” ถึงความกังวลของประชาชน

เหตุผลการปรับโครงสร้างภาษี

นายพิชัยกล่าวว่า การจัดเก็บรายได้ในอัตราสูงจะช่วยให้รัฐมีงบประมาณมากขึ้นเพื่อนำไปจัดสรรให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยผ่านมาตรการต่างๆ เช่น การสนับสนุนด้านสุขภาพ การศึกษา และที่อยู่อาศัย พร้อมทั้งเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของธุรกิจในประเทศ

“การเก็บภาษีต้องทำให้ประชาชนเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจ ผมก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ถึงวันไหน” นายพิชัยกล่าวปิดท้าย

ที่มาของแนวคิดและแผนการศึกษา

แผนการศึกษานี้ยังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น โดยคณะรัฐมนตรีจะต้องพิจารณาทั้งข้อดีและข้อเสียของการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีนี้ รวมถึงสร้างการรับรู้ในสังคมเพื่อให้เข้าใจถึงความสำคัญและประโยชน์ของการปรับเปลี่ยนระบบภาษีในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการคลัง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News