Categories
ECONOMY

1-3 เดือน ราคาสินค้าจ่อขยับอีก 15% รับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท

 

เมื่อวันที่ 29 เม.ย.2567 นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้า กล่าวว่า หลังจากที่กระทรวงแรงงาน ได้ปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ 400 บาท นำร่อง 10 จังหวัดในธุรกิจโรงแรม และเตรียมทยอยขึ้นค่าแรงในธุรกิจ ทั่วประเทศภายในปี 2567 ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้มีการสำรวจความคิดเห็นภาคเอกชนทั้งภาคการผลิต การค้า และบริการ พบว่า การปรับอัตราค่าแรงในแต่ละครั้งมักจะมีผลกระทบต่อทั้ง GDP เงินเฟ้อ ผลิตภาพแรงงาน รวมถึงอัตราการว่างงานทั้งบวกและลบ

 

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ผลเชิงบวก คือ เมื่อผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity) เพิ่มขึ้น จะช่วยผลักดันให้ GDP โตขึ้นตามไปด้วย กระตุ้นกำลังซื้อดีและการผลิตและการลงทุนดีขึ้น

 

ทั้งนี้หากผลิตภาพแรงงานที่สูงขึ้นอาจช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้า เมื่อต้นทุนต่อหน่วยลดลง จะช่วยให้สินค้าในประเทศแข่งขันได้มากขึ้น และเมื่อค่าแรงสูงขึ้นอาจจูงใจให้นายจ้างลงทุนในการพัฒนาทักษะและเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิตของแรงงาน

 

ส่วนผลเชิงลบ คือ หากค่าแรงเพิ่มเร็วเกินไป อาจเกิดการว่างงานและกำลังซื้อลดลง เช่น ฝรั่งเศส ปี 2543 ค่าแรงขึ้นมากเกินไปโดยไม่ได้คำนึงถึงผลิตภาพแรงงาน และถ้าผลิตภาพไม่เพิ่มตามค่าแรง ความสามารถแข่งขันอาจลดลง กระทบการส่งออกและ GDP

 

ขณะเดียวกัน นายจ้างอาจปลดพนักงานหากรับมือต้นทุนไม่ไหว กระทบกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจ ต้นทุนค่าแรงอาจถูกผลักไปที่ราคาสินค้าทำให้เกิดแรงกดดันเงินเฟ้อ โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น และหากไม่ลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพ ต้นทุนที่สูงขึ้นอาจมีผลทำให้ขีดความสามารถแข่งขันลดลง ซึ่งส่งผลเสียในระยะยาว

 

สอดคล้องกับข้อมูลที่ว่า เอกชน 64.7% จะปรับราคาสินค้าและบริการประมาณ 15% ขึ้นไป และ 17.2% คือ ลดปริมาณซึ่งนี่เป็นแนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการ และ 11.5% มีแนวโน้มที่จะนำเครื่องจักรมาทดแทนแรงงาน เพราะกำลังการผลิตของแรงงานไม่สามารถเทียบเท่ากับเครื่องจักรได้ และเครื่องจักรมีความแม่นยำ ถูกต้องกว่าแรงงานคน

เช่นเดียวกับ เช่น ค่าน้ำมัน ค่าไฟฟ้า แน่นอนว่าผลกระทบนอกจากความสามารถในการแข่งขันแล้ว ซึ่งผู้ประกอบการ 72.6% ยังคงเห็นว่าการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 400 บาท ยังไม่มีความเหมาะสม และยังมองว่าค่าจ้างแรงงานที่เหมาะสมควรจะอยู่ที่ 370 บาทต่อวัน

 

ส่วนมุมของแรงงาน หรือ ผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาท สำรวจทั่วประเทศจำนวน 1,259 ตัวอย่าง พบว่ากรณีที่ไม่สามารถปรับเพิ่มค่าแรงได้อย่างที่คาดหวังไว้ ซึ่งส่วนใหญ่ 65.3% ขอเพียงให้เพิ่มเท่ากับค่าสาธารณูปโภคที่เพิ่มสูงขึ้น รองลงมาขอให้เพิ่มเท่ากับค่าเดินทาง เพิ่มเท่ากับค่าราคาอาหาร เพิ่มเท่ากับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และเพิ่มเท่ากับค่าเช่าที่อยู่อาศัย

 

อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นค่าแรง 400 บาท สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ราคาสินค้าที่ปรับตัวตาม ซึ่ง60.8% ของแรงงานไม่สามารถรับได้ ดังนั้นภาครัฐจำเป็นต้องเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องค่าแรงหรือค่าครองชีพ คือ ช่วยเหลือค่าครองชีพกลุ่มเปราะบาง กระตุ้นเศรษฐกิจแรงงานจะได้มีรายได้เพิ่ม

 

หรือนายจ้างช่วยค่าอาหารช่วยเหลือให้เงินอุดหนุนค่าสาธารณูปโภค กระตุ้นเศรษฐกิจภูมิภาคให้แรงงานกลับถิ่น และมีสวัสดิการค่าเดินทางให้กับแรงงานรายได้น้อย นอกจากนี้ แรงงานยังกังวลเรื่องตกงาน และมีความเสี่ยงจากการไม่มีเงินเก็บซึ่งสัดส่วนถึง 81.3% จะสามารถอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มหาวิทยาลัยหอการค้า

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE ECONOMY

‘เบียนนาเล่ เชียงราย’ เงินสะพัดกว่า 2.4 หมื่นล้าน นักท่องเที่ยว 2.7 ล้านคน

 

เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2567 นายประสพ เรียงเงิน ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาล โดย กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มอบหมายให้สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สศร.) จัดงานมหกรรมศิลปะนานาชาติไทยแลนด์เบียนนาเล่ เชียงราย ระหว่างวันที่ 9 ธันวาคม 2566 -30 เมษายน2567 โดยได้มีการประชุมเพื่อสรุปผลการดำเนินงาน พบว่า การดำเนินงานเป็นหลักสำคัญในการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศ ทั้งด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว และด้านการส่งเสริมเทศกาล หรือเฟสติวัล ซึ่งจากการเก็บข้อมูล ของ สศร. ร่วมกับ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง สรุป ยอดผู้เข้าชมงาน จัดแสดง ใน 3 ส่วนสำคัญ ณ วันที่ 21 เมษายน รวมจำนวน 2,790,964 คน โดยแบ่งเป็นเข้าชมนิทรรศการหลัก แสดงผลงานศิลปะการจัดวางเฉพาะพื้นที่ของศิลปิน 60 คนในเขต อ.เมือง อ.เชียงแสน และอ.แม่ลาว จำนวน 17 จุด จำนวน 714,235 คน ส่วนที่ Pavilion หรือ ศาลา แสดงผลงานนิทรรศการกลุ่มของศิลปิน พิพิธภัณฑ์ และองค์กรต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ 13 แห่ง มีผู้เข้าชมจำนวน 42,893 คน และในส่วน Collateral Events กิจกรรมพิเศษ มีผู้เข้าชม จำนวน 2,033,836 คน มีการเข้าถึงสื่อประชาสัมพันธ์ออนไลน์ ทาง Facebook Instagram YouTube TikTok จำนวนมากเป็นปรากฎการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นของมิติศิลปะ รวม 22,403,688 ครั้ง และมีการปฏิสัมพันธ์ทางสื่อโซเชียลเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว

 

นายประสพ กล่าวอีกว่า ขณะที่การเก็บข้อมูลตัวเลขเชิงเศรษฐกิจ จาก การประมาณการของสำนักงานสถิติแห่งชาติ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พบว่า มีนักท่องเที่ยว ใน จ.เชียงรายเพิ่มมากขึ้น ร้อยละ 11 เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจหมุนเวียนในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบนไม่ต่ำกว่า 24,000 ล้านบาท เกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจในพื้นที่ ในช่วงการจัดงาน มีการจ้างงาน 8,000 กว่าอัตรา โดยเป็นการจ้างในระบบประกันสังคม 844 อัตรา ชุมชนได้รับประโยชน์จากการจัดงาน 560 ชุมชน มีศิลปินทั้งในและต่างประเทศตั้งใจมาชมงานนี้โดยตรง 1,000 กว่าคน มี สถาบันการศึกษาทุกระดับมาดูงาน เกิน 500 กว่าแห่ง จึงเห็นภาพของจำนวนคนและการเข้าถึงงานเป็นอย่างมาก ซึ่ง นายเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ ในฐานะผู้นำการจัดงาน แสดงข้อคิดเห็นว่า ต่อไป ไม่ต้องมีคำอธิบายแล้วว่า ไทยแลนด์เบียนนาเล่คืออะไร เพราะคนไทยมีความเข้าใจ และเข้าถึงงานศิลปะแล้ว และที่สำคัญ ได้เกิดการทำงานร่วมระหว่างหน่วยงานรัฐ ศิลปินไทย และต่างชาติ ช่างฝีมือ ลูกมือทำงาน เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ และถ่ายทอดองค์ความรู้ ระหว่างกันทำให้ศิลปิน และชาวชุมชนทุกที่มีความผูกพัน และมีความภูมิใจที่ได้ทำงานศิลปะระดับโลกให้เกิดขึ้นในประเทศไทย

 

“ผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นเกินความคาดหวัง เกิดผลทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม อย่างไรก็ตาม สศร. จะมีการถอดบทเรียนจากการจัดงานครั้งนี้ ไปทำการศึกษาวิจัย เพื่อการปรับปรุงและพัฒนาการจัดงานในครั้งต่อไป ที่ จ.ภูเก็ต ในปี 2568 และจะมีการสรุปข้อมูลภาพรวมอย่างเป็นทางการโดย สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. หลังการจัดงาน ในระยะเวลา 3 เดือน เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป” ผอ.สศร.

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

“ธนพิริยะ” โค้งแรกปี 67 พุ่ง เพิ่มสาขา ครอบคลุม เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา

 
เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2024 บิ๊กค้าส่ง-ค้าปลีก เชียงราย “ธนพิริยะ” รับอานิสงส์มาตรการรัฐหนุนกำลังซื้อ-เทศกาล บวกแรงหนุนท่องเที่ยวคัมแบ็กดันยอดขายโค้งแรกปี 67 พุ่งเตรียมขยายเพิ่ม 6 สาขาส่งรายได้โต 10 – 15% ทางด้านเภสัชกรหญิงอมร พุฒิพิริยะ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคในจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า 
 
 
แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2567 ทิศทางดี มีนโยบายจากภาครัฐหนุนในช่วงครึ่งแรกของไตรมาส กระตุ้นยอดขายต่อบิลสูงขึ้น อีกทั้งมีเทศกาลต่างๆ อาทิ ปีใหม่ ตรุษจีน ที่สร้างการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับ อานิสงส์เทศกาลสงกรานต์กระตุ้นร้านค้าปลีกในท้องถิ่นจับจ่ายใช้สอยคึกคักต่อเนื่องในไตรมาส 2 ปี 2567 ปัจจุบัน ธนพิริยะมีสาขาครอบคลุมถึง 45 สาขา และมีแผนขยายอีก 6 สาขา หนุนสิ้นปีมี 51 สาขา ครอบคลุมจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ และพะเยา โดยเน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าในชุมชน และนักท่องเที่ยวในทำเลในตัวเมืองหรือจุดที่มีศักยภาพ
 
 

ซึ่งปัจจุบัน ธนพิริยะมีสินค้า 5 กลุ่ม คือ สินค้าใช้ในครัวเรือน เครื่องดื่มและขนม กลุ่มของใช้ส่วนบุคคล กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับแม่และเด็ก เครื่องสำอางและอาหารเสริม และยังมองหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอยู่เสมอ

 

ทั้งนี้ ล่าสุดมีประกาศจากภาครัฐ แถลงการณ์ความคืบหน้าของนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet โดยให้สิทธิ์ประชาชนจำนวน 50 ล้านคน ผ่านวงเงิน 5 แสนล้านบาท โดยมีเงื่อนไขที่สามารถใช้กับร้านค้าขนาดเล็กในอำเภอ หรือตามชุมชนเท่านั้น และจะซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ไม่ได้ คาดว่าจะเริ่มโครงการในไตรมาส 4 ปี 67 นี้ นับเป็นโครงการเรือธงของภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มเม็ดเงินจำนวนมหาศาลให้กับร้านค้าปลีกในประเทศไทย

 

ซึ่งธนพิริยะเตรียมพร้อมรับอานิสงส์ จากการมีร้านค้ากระจายอยู่ครอบคลุมโซนภาคเหนือตอนบน คาดว่าจะเป็นไฮไลท์ที่เข้ามากระตุ้นยอดขาย และมั่นใจเป้าหมายการเติบโตรายได้รวมปีนี้วางไว้ที่ 10-15%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การเงินธนาคาร

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ไทยขยายรับตลาดโลกผลิต-ส่งออก อาหารสัตว์ เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจ 3 แสนล้าน

 

เมื่อวันที่ 23 เมษายน นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ได้สั่งการให้หาโอกาสจากกรณีที่ราคาอาหารสัตว์โลกสูงขึ้น และคาดว่าจะทำให้แนวโน้มการส่งออกอาหารสัตว์ในปี 2567 เติบโตสูงขึ้น โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ดำเนินการตามแนวทางของนายกฯในการควบคุมสินค้าและผลิตภัณฑ์ด้านอาหารสัตว์ของไทย ให้มีคุณภาพได้มาตรฐานและความปลอดภัย ทั้งกลุ่มอาหารสัตว์เศรษฐกิจ อาหารสัตว์เลี้ยง ส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารให้ครบวงจร ครอบคลุมทุกกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตลอดจนพัฒนาศักยภาพของกลุ่มอุตสาหกรรมให้ได้ตามมาตรฐานสากล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพและความปลอดภัย รองรับความต้องการของตลาดโลก คาดการณ์ว่าในปี 2567 แนวโน้มการส่งออกอาหารสัตว์สร้างมูลค่าการค้าถึง 3 แสนล้านบาท

 

นายชัย กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวง อว. พัฒนาศักยภาพของกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาหารสัตว์ โดยเน้นกระบวนการผลิต (manufacturing process) การประกันคุณภาพของห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ทดสอบ (quality assurance) การควบคุมคุณภาพ (quality control) พัฒนาห้องปฏิบัติการ และสร้างเครือข่ายทั่วประเทศ ตลอดจนยื่นขอรับรองการเป็นผู้ผลิตวัสดุอ้างอิงด้านอาหารสัตว์ (reference material producer) ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ซึ่งรวมทั้ง การผลิตวัสดุอ้างอิงอาหารสัตว์ในประเทศ ช่วยลดต้นทุนในกระบวนการผลิต ประหยัดค่าใช้จ่ายในการนำเข้าวัสดุอ้างอิงจากต่างประเทศ และสามารถเตรียมขยายการผลิตวัสดุอ้างอิงอื่น ให้ครอบคลุมกับความต้องการของภาคการผลิต เสริมสร้างศักยภาพในภาคอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และอุตสาหกรรมบริการอาหารแห่งอนาคต ซึ่งจะรองรับความต้องการในตลาดโลก และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจด้วยการส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ได้คุณภาพและมาตรฐาน

 

“นายกฯตระหนักดีถึงการแสวงหาโอกาสจากทุกความท้าทาย ต่อยอดสินค้า และวัตถุดิบอาหารสัตว์ของไทยให้มีศักยภาพในตลาดโลก พร้อมชื่นชมการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาสินค้าและวัตถุดิบผ่านกระบวนการอย่างครอบคลุม รวมถึงรักษามาตรฐานให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อขยายตลาดให้สินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยให้มีคุณภาพ ราคาเหมาะสมครองใจผู้บริโภค ทั้งในระดับประเทศ และระดับสากล”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมวิทยาศาสตร์บริการ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

“ณพลเดช” หวังดัน จ.เชียงราย การเงินโลก – โมเดลสวิตฯ แห่งเอเชีย

 

เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2567 ดร.ณพลเดช มณีลังกา คณะทำงานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์เฟสบุ๊ค ดร.ปิง ณพลเดช มณีลังกา 李冰阳 ระบุจากที่เป็นคนเชียงรายแท้ๆ วันนี้ไม่ได้ข้ามมายังแผ่นดินลาวบริเวณสามเหลี่ยมทองคำมานาน ผมเคยมาที่นี่น่าจะเกิน 30 ปีที่ผ่านมา ตอนนี้เปลี่ยนไปมาก กลางคืนเป็นเมืองไม่หลับใหลแบบฮ่องกง กลางวันเป็นแหล่งท่องเที่ยวในหลายรูปแบบ จากที่ทราบคือ ประเทศลาวให้ นักลงทุนชาวจีนมาลงทุนระยะยาว จึงเกิดการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์และ”เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์” รวมทั้งกาสิโน ต้องบอกว่ามีทั้งข้อดีข้อเสีย แต่ถ้ามองในสายตาของผมแล้ว หากปล่อยให้เจริญขึ้นเอง ก็คงจะใช้เวลาอีกพันปี แต่พอให้เกิดการลงทุนจากต่างชาติ 

 

ผมเห็นคนลาวที่ไม่มีงานทำ ก็มีอาชีพลืมตาอ้าปากได้ ไม่เพียงชาวลาว คนพม่าก็มาทำงานจำนวนมาก ด้วยแผ่นดินตรงนี้เชื่อม 3 ประเทศ โดยคั่นด้วยแม่น้ำโขง ประกอบด้วย ไทย-ลาว-พม่า โดยมียักษ์ใหญ่คือจีน เชื่อมโดยการเดินทางอยู่ไม่เกิน 6 ชม. ในการเดินรถไฟความเร็วสูงการเดินทางโดยเครื่องบินก็ง่ายเพราะอยู่ตรงกลาง และเชียงรายมีสนามบิน นานาชาติ น่าสนใจเข้าไปอีกมีทางเชื่อมออกทะเลทางเวียดนามและพม่า หมายความว่า สามารถจะเชื่อมทางธุรกิจขนาดใหญ่อย่างน้อย 5 ประเทศ ที่อยู่ใกล้กัน

 

การลงทุนฝั่งลาว มีการลงทุนสัมปทานพื้นที่จากกลุ่มทุนจีนชื่อ กลุ่มดอกงิ้วคำ เป็นบริษัทจดทะเบียนในฮ่องกงที่มีจ้าวเหว่ย กลุ่ม คิงส์โรมัน บริหาร ด้วยเม็ดเงินมหาศาล ในสายตาของผมเราไม่ต้องอิจฉาเขาหรือไม่ต้องไปแข่งกับเขาเลยครับ ถ้าประเทศไทยเราใช้ยุทธศาสตร์ในฐานะ อยู่กึ่งกลางของทุกประเทศข้างต้น ออกกฎหมายที่เหมาะสม เชียงรายจะกลายเป็นเมืองการค้าการลงทุนที่ใหญ่มาก 
 
 
ในภูมิภาคนี้ ไม่แน่อาจกลายเป็นศูนย์กลางทาง Finance แบบสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยภูมิประเทศโอบล้อมด้วยแผ่นดินรอบล้อมด้วยประเทศต่างๆ ไม่ติดทะเล ปลอดภัยจากสงครามจากทางทะเล อาจนำไปสู่ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ผนวกกับ เชียงราย โดยเฉพาะเชียงแสน เป็นเมืองประวัติศาสตร์ มีศิลปะและวัฒนธรรม ที่ยาวนาน เราจะสามารถขายการท่องเที่ยวขายเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นให้ต่างชาติ มาเยี่ยมชมเราได้อีกมาก
 
 
พอเดินทางกลับจากประเทศลาว ผมจึงถือโอกาสไปรดน้ำดำหัวท่านศุลกากรเชียงของ และได้ถือโอกาสหารือกับนายด่านเชียงของ ถึงแนวคิดการ ผลักดันการค้าชายแดน ที่เชียงของที่เชื่อมกับถนน R3A ของลาวเชื่อมทางรถไฟความเร็วสูงสู่จีน นายด่านให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์เป็นอย่างมาก ตรงนี้ผมเริ่มเห็น โอกาสภูมิประเทศของเชียงราย ที่คล้ายกับสวิสเซอร์แลน การเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจทั้งการเงินการธนาคาร ธุรกิจการค้าขาย แน่นอนหากมีการหมุนเม็ดเงินลงทุนมาสู่เชียงราย อาจนำไปสู่การเป็นศูนย์กลางการเงินการธนาคารใหญ่แห่งหนึ่งของโลก 
 
 
เบื้องต้นต้องผลักดันเชียงราย-เชียงใหม่ เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษเสียก่อน โดยออกกฎหมายเฉพาะ และเชิญชวนองค์กรสันติภาพระหว่างประเทศมาตั้งสำนักงานที่นี่ ดึงการค้าการเงินการธนาคาร เพื่อผลักดันการเป็นศูนย์กลาง ซึ่งประเทศไทยมีความมั่นคงอยู่แล้ว อีกทั้งเชื่อมโยงระบบคมนาคมทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ ให้สะดวกขึ้น และดึงเม็ดเงินมาลงในพื้นที่ ก็อาจจะทำให้เชียงราย-เชียงใหม่ กลายเป็นสวิตเซอร์แลนด์แห่งเอเชีย อย่างไรผมจะลองเอาโมเดลนี้ไปเสนอต่อรัฐบาลต่อไปครับ
 
นอกจากความร่ำรวยระดับโลกแล้ว ฟรังก์สวิส ซึ่งเป็นสกุลเงินของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ยังเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ปลอดภัย ที่นักลงทุนทั่วโลกเชื่อมั่น และครอบครองเมื่อตลาดผันผวน
 
 
โดยปัจจัยที่ทำให้ฟรังก์สวิส เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย มีอยู่ 4 ข้อหลัก ๆ ด้วยกัน
นั่นก็คือ
1. ระบบธนาคารที่แข็งแกร่ง และมีความน่าเชื่อถือ
2. ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
3. ความเป็นเอกภาพ และเสถียรภาพทางการเมือง
4. ปัจจัยสุดท้ายคือ สถานะความเป็นกลางของประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ดร.ปิง ณพลเดช มณีลังกา 李冰阳

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

เชียงรายพร้อมเป็นเมืองหลักหรือยัง หลังผ่านเกณฑ์นักท่องเที่ยวเกิน 6 ล้านคนต่อปี

เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2567 นักท่องเที่ยวชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างประเทศจำนวนมากต่างพากันใส่เสื้อผ้าลายดอก เล่นสาดน้ำสงกรานต์ บนถนนสันโค้งน้อย อ.เมือง จ.เชียงราย ซึ่งเป็นแลนด์มาร์คสำหรับการเล่นน้ำสงกรานต์ของจังหวัดเชียงราย  ตลอดเส้นทาง มีการสาดน้ำทั้งใช้ขัน และปืนฉีดน้ำ ดินสอพอง รวมไปถึงนำถังน้ำขึ้นหลังรถกระบะสร้างความสนุกสนานให้กับนักท่องเที่ยวอย่างมาก 
 
 
โดย ททท. คาดการณ์ว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 2,908,600 คน ที่เดินทางเข้าประเทศไทยในเดือนเมษายน จะมีโอกาสได้เข้าร่วมงานสงกรานต์ที่จัดขึ้นในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทย สร้างรายได้ 131,992 ล้านบาท ด้านตลาดในประเทศ คาดว่าจะมีการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 1-21 เมษายน 2567 ประมาณ 15.03 ล้านคน-ครั้ง และสร้างรายได้ 52,500 ล้านบาท ซึ่งงาน Maha Songkran World Water Festival 2024 “เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์” 2567 เมื่อวันที่ 12 เมษายน ที่ผ่านมา โดยจังงหวัดเชียงราย ได้รองชนะเลิศอันดับ 1 รับถ้วยรางวัล พร้อมเงินรางวัล 100,000 บาท รองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ จังหวัดลำปาง ได้รับถ้วยรางวัล พร้อมเงินรางวัล 50,000 บาท ทั้งเชียงรายและลำปางถือถูกจัดเป็นเมืองรองที่เข้ามามีบทบาทและแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่พร้อมก้าวเข้ามาเป็นเมืองหลักเป็นอย่างมาก
 
 
เมืองรองคืออะไร? สำคัญยังไง? มีจังหวัดอะไรบ้าง? 
เมืองรอง (Less visited area) คือเมืองที่ไม่ได้เป็นเมืองท่องเที่ยวหลัก เข้าใจง่าย ๆ คือ เป็นเมืองที่ยังมีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวในจำนวนไม่มากนัก ไม่ว่าจะเป็นช่วงวันปกติหรือแม้แต่ช่วงเทศกาล (เมื่อเทียบกับจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ๆ)  โดยใช้เกณฑ์พิจารณาจากสถิติของจำนวนนักท่องเที่ยวจำนวนไม่เกิน 6 ล้านคนต่อปี ซึ่งเมืองรองในประเทศไทย ประกอบไปด้วย 55 จังหวัด แยกตามภาคต่าง ๆ ได้ดังนี้
 
  • ภาคเหนือ 16 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย พิษณุโลก ตาก เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ สุโขทัย ลำพูน อุตรดิตถ์ ลำปาง แม่ฮ่องสอน พิจิตร แพร่ น่าน กำแพงเพชร อุทัยธานี พะเยา 
  • ภาคอีสาน 18 จังหวัด ได้แก่ อุดรธานี อุบลราชธานี หนองคาย เลย มุกดาหาร บุรีรัมย์ ชัยภูมิ ศรีสะเกษ สุรินทร์ สกลนคร นครพนม ร้อยเอ็ด มหาสารคาม บึงกาฬ ยโสธร หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ กาฬสินธุ์ 
  • ภาคกลาง 7 จังหวัด ได้แก่ ลพบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี สมุทรสงคราม ชัยนาท อ่างทอง สิงห์บุรี 
  • ภาคตะวันออก 5 จังหวัด ได้แก่ สระแก้ว ตราด จันทบุรี ปราจีนบุรี นครนายก 
  • ภาคใต้ 9 จังหวัด ได้แก่ นครศรีธรรมราช พัทลุง  ตรัง สตูล ชุมพร ระนอง นราธิวาส ยะลา ปัตตานี

โดยเป็นผลจากการท่องเที่ยวในเมืองรองที่ขยายตัว 15.95% จากปัจจัยสนับสนุนเรื่องการดำเนินมาตรการส่งเสริมตลาดท่องเที่ยวภายในประเทศของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รวมถึงกระแสความนิยมในสังคมออนไลน์ (Social Media) และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดที่กระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี 

 

สำหรับเมืองรองที่มีการขยายตัวสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ เชียงราย เพิ่มขึ้น 64.86% น่าน เพิ่มขึ้น 64.61% และ พะเยา เพิ่มขึ้น 53.59% ตามลำดับ

นางสาวสุดาวรรณ กล่าวว่า ปี 2566 จ.เชียงราย มีนักท่องเที่ยวไปเยือน 6,147,860 คน แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 5,391,039 คน ชาวต่างชาติ 756,821 คน สร้างรายได้รวม 46,774 ล้านบาท ทั้งนี้เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ระบาดหรือเมื่อปี 2562 พบว่าในปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเชียงรายสูงขึ้นหลายเท่าตัว โดยในปี 2562 มีจำนวนนักท่องเที่ยวรวม 1,023,502 คน แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 881,178 คน และชาวต่างชาติ 142,324 คน สร้างรายได้รวม 7,959 ล้านบาท

ขณะที่การท่องเที่ยวในเมืองหลักอย่าง จ.เชียงใหม่ พบว่าลดลงเล็กน้อย 4.36% เป็นผลสืบเนื่องมาจากพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่กระจายการเดินทางสู่แหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดอื่นๆ มากขึ้น

 

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า กระทรวงฯ คาดแนวโน้มปี 2567 การท่องเที่ยวในภาคเหนือจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง มีจำนวนนักท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า 45 ล้านคน สูงกว่าปี 2566 ที่มีนักท่องเที่ยว 39.48 ล้านคน

ด้านสถานการณ์ท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ประกอบด้วยเชียงราย พะเยา น่าน และแพร่ พบว่าในปี 2566 ทั้ง 4 จังหวัดมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นสูงมากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เมื่อเทียบกับช่วงปี 2556 ก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 เนื่องจากการเติบโตของการท่องเที่ยวในเมืองรอง ส่งผลให้การท่องเที่ยวภาคเหนือในปี 2566 ขยายตัวสูงกว่าปี 2562 มากกว่า 9%

“ในปี 2566 ภาคเหนือมีนักท่องเที่ยวไปเยือนกว่า 39.48 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 34.87 ล้านคน และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 4.61 ล้านคนเมื่อเทียบกับสถานการณ์ท่องเที่ยวในปี 2562 พบว่ามีนักท่องเที่ยวทั้งหมดเพิ่มขึ้น 9.65%”

จ.พะเยา ในปี 2566 มีจำนวนนักท่องเที่ยว 1,099,648 คน แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 966,706 คน ชาวต่างชาติ 42,942 คน สร้างรายได้รวม 2,292 ล้านบาท สูงขึ้นกว่าช่วงก่อนเกิดโควิดเช่นกัน โดยในปี 2562 มีจำนวนนักท่องเที่ยวรวม 320,618 คน แบ่งเป็นชาวไทย 317,755 คน ชาวต่างชาติ 2,863 คน สร้างรายได้ 1,403 ล้านบาท

จ.น่าน ในปี 2566 มีจำนวนนักท่องเที่ยวรวม 1,570,213 คน แบ่งเป็นชาวไทย 1,554,216 คน ชาวต่างชาติ 15,997 คน สร้างรายได้รวม 4,415 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2562 มีจำนวนนักท่องเที่ยวรวม 953,895 คนแบ่งเป็นชาวไทย 931,822 คนชาวต่างชาติ 22,073 คน สร้างรายได้ 411 ล้านบาท 

และ จ.แพร่ ปี 2566 มีจำนวนนักท่องเที่ยวรวม 1,279,316 คน แบ่งเป็นชาวไทย 1,262,389 คนชาวต่างชาติ 16,927 คน สร้างรายได้รวม 2,962 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2562 มีจำนวนนักท่องเที่ยว 865,464 คน แบ่งเป็นชาวไทย 797,280 คน ชาวต่างชาติ 68,366 คน สร้างรายได้รวม 1,760 ล้านบาท

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

โรงแรม Imperial เชียงแสน ปิดแล้ว พร้อมรีโนเวทเป็น โรงแรมหรูระดับ 5 ดาว

 
เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา โรงแรม The Imperial Golden Triangle สามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ปิดอย่างเป็นทางการแล้ว เพื่อรีโนเวทเป็น Kimpton Chiang Rai Golden Triangle ซึ่ง Website ของ Kimpton ก็ขึ้นว่า Coming Soon จ.เชียงรายแล้ว และในพื้นที่เดียวกันยังก่อสร้าง InterContinental Chiang Rai Golden Triangle Resort เพิ่มอีก 1 โรงแรม ซึ่งทั้ง 2 มีกำหนดเปิด Q4/2026
 
 

ซึ่งเป็นการวางแผนของบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสั่งหริมรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจรลงนามข้อตกลงในการพัฒนาและบริหารโรงแรมกับเครืออินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ลส์ กรุ๊ป หรือ IHG Hotels & Resorts หนึ่งในผู้นำระดับโลกด้านธุรกิจโรงแรม เพื่อพัฒนาโรงแรมระดับลักซ์ชั่ ใหม่ 2 แห่ง ในจ้งหวัดเชียงราย

 

ได้แก่ อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงราย โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล รีสอร์ต (InterContinental Chiang Rai Golden Triangle Resort)” และ “คิมป์ตัน เชียงราย โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล (Kimpton Chiang Rai Golden Triangle)” ซึ่งนับเป็นโครงการแรกของ AWC และ IHG ในจังหวัดเหนือสุดแดนสยาม สนับสนุนกลยุทธ์ GROWTH-LED ของ AWC ในระยะยาวเพื่อพัฒนาทรัพย์สินคุณภาพในทำเลที่มีศักยภาพสูงรวมถึงเพิ่มความหลากหลายให้กับพอร์ตโฟลิโอกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ ด้วยการนำแบรนด์ ที่มีชื่อเสียงระดับโลกมาสู่จ้งหวัดเชียงรายในฐานะอัญมณีเม็ดงามด้นการท่องเที่ยวที่รอการนพบพร้อมสนับสนุนเชียงรายสู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรมสำหรับนักเดินทางทั่วโลก

 

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในจุดหมาย ปลายทางที่มีเอกลักษณ์ฉพาะของประเทศไทยด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่งดงามทงธรรมชาติ งานศิลปะ ไปจนถึงวัดวาอาราม และหมู่บ้านของชาวเขาพื้นเมืองจึงสามารถมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลายและยั่งยืนให้กับนักเดินทางด้วยศักยภาพในฐนะเมืองที่ได้รับกรจัดอันดับให้เป็น “เมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ”จากทาง UNESCO Creative Cities Network (UCCN) รวมถึงยังเป็นบ้านของศิลปินแห่งชาติหลายท่าน

ผนวกกับความพร้อมของโดรงสร้างพื้นฐานอย่างสนามบินนานาชาติ ทำให้ความร่วมมือระหว่าง AWC และ IHG ในครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมให้จ้งหวัดเหนือสุดของประเทศไทยแห่งนี้เป็นที่จดจำสำหรับนักเดินทางจากทั้งในประเทศและต่างประเทศตอบโจทย์กลุ่มนักเดินทางคู่รักและครอบครั่วที่ให้ความสำคัญในรื่องของธรรมชติและวัฒนธรรมรวมถึงการพักผ่อนในเวลเนสรีสอร์ตระดับลักซ์ชัวรี่

 

นอกจากนี้ที่ตั้งของโครงการอยู่ในทำเลชั้นเยี่ยมติดแม่น้ำ พร้อมด้วยห้องอาหารและบารัริมน้ำที่จะเต็มเต็มประสบการณ์สุดพิเศษกับการล่องเรือสำราญเชื่อมโยงการท่องเที่ยวระหว่างไทย ลาว เมียนมา และด้วยมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 1,500 ล้านบาท โรงแรมทั้ง 2 แห่งนี้ไม่เพียงแต่จะสนับสนุนอุตสาหกรรมกรท่องเที่ยวและกรบริกรในภาคเหนือของไทยแต่ยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนทามกลางธรรมชาติและมรดกทงวัฒนธรรมอันล้ำค่าของล้านนา โดยโรงแรมทั้ง 2 แห่งนี้จะตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกันเพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักท่องเที่ยวสำหรับประสบการณ์การเข้าพักตามตลักษณ์ที่โดดเด่นของแบรนด์ เพื่อสนับสนุนเชียงรายสู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยระดับโลกพร้อมทั้งช่วยสร้างสร้างมูลค่าระยะยาวควบคู่การสร้างคุณค่าให้กับชุมชนและสังคมโดยรอบโครงการ

 

ด้าน มร. ราจิต สุกุมารัน กรรมการผู้จัดการ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี IHG Hotels & Resorts กล่าวว่า เรารู้สึกตื่นเต้นอย่างมากที่จะได้ขยายเครื่อข่ายโรงแรมในประเทศไทยกับ AWC ต่อจากการเปิดตัวโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แมปิง โฮเทล ที่ผ่านมาการลงนามความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของความส้มพันธ์ระยะยาวมากกว่า 10 ปีระหว่าง IHG และAWC ที่จะดึงดูดให้กลุ่มลูกค้าของเรามีโอกาสได้เดินทางมายังภาคเหนือของประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น โดย “อินเตอร์คอนติเนนต้ล เชียงราย โกลเต้น ไทรแองเกิ้ล รีสอร์ต” และ “คมปัต้นเชียงราย โกลเต้น ไทรแองเกิ้ล”จะนำเสนอประสบการณ์ของแบรนด์ที่โดดเด่นเพื่อแนะนำจังหวัดเชียงรายให้กับนักเดินทางจากทั่วโลก ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของเราที่จะเติบโตในประเทศไทยด้วยการนำเสนอการบริการระดับเวิร์ลคลาส

 

ด้วยกลยุทธ์ของ AWC ในการพัฒนาสินทรัพย์คุณภาพในทำเลที่มีศักยภาพสูงและการเป็นพันธมิตรกับแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในระดับโลก โรงแรม อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงราย โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล รีสอร์ต จะเป็นโดรงการที่จะได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ ในขณะที่คิมปัต้น เชียงราย โกลเต้น ไทรแองเกิ้ล” จะเป็นการผสมผสานกันระหว่างการพัฒนาขึ้นใหม่และการปรับปรุงโรงแรมอิมพีเรียลโกลเด่นไทรแองเกิ้ล รีสอร์ต (Imperial Golden Triangle Resort) ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่อันงดงามของสามเหลี่ยมทองคำในอำเภอเชียงแสน ท่ามกลางเทือกเขาของภาคเหนือ ล้อมรอบด้วยแม่น้ำโขงและแม่น้ำรวกซึ่งเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างประเทศไทยเมียนมา และลาว

 

โดยโรงแรมดังกล่าวถือเป็นโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัลแห่งที่ 2 ของทาง AWC ในภาคเหนือของประเทศไทย หลังจากประสบความสำเร็จในการเปิดตัวอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิ้ง โฮเทล และเป็นโรงแรมคิมปัต้นแห่งที่สามของทาง AWC ต่อจากคิมปัต้น พัทยา และ คิมปัต้น หัวหิน โดยโรงแรมใหม่ทั้ง 2 แห่งคาดว่าจะเปิดให้บริการในไตรมาสที่สี่ของปี 2569

 

ทั้งนี้ “อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงราย โกลเต้น ไทรแองเกิ้ รีสอร์ต” มีสถาปัตยกรรมที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวัฒนธรรมล้านนาแบบดั้งเดิม ประกอบไปด้วยพูลวิลล่าและการ์เด้นวิลล่า 68 หลั่ง ในขณะที่ “คิมป์ตัน เชียงราย โกลเด้น ไทรแองเกิ้ลให้บริการห้องสวีท สไตล์ล้านนาร่วมสมัย 68 ห้อง รวมถึงห้องที่มีสระว่ายน้ำส่วนตัว และห้องแบบพูลแอคเซส โดยโรงแรมทั้ง 2 แห่งจะมีห้องอาหารและบาร์ทั้งหมด 8 แห่ง รวมถึง Glasshouse Cafe and Restaurant ขนาด 110 ที่นั่งริมแม่น้ำโขง ด้วยสถาปัตยกรรมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 19 พร้อมดีไซน์การตกแต่งภายในแบบร่วมสมัย

 

นอกจากนี้ โรงแรมยังนำเสนอประสบการณ์ท่องเที่ยวบนสายน้ำรูปแบบใหมให้กับผู้เข้าพักด้วยบริการเลาจน์บนเรือสำราญ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งการมาถึงของตะวันตกผ่านการเดินทางทางแม่น้ำในช่วงปลายยุคอุตสาหกรรม การล่องเรือในแม่น้ำจะนำผู้มาเยือนเดินทางไปเยี่ยมชมชุมชนท้องถิ่นริมสองฝั่งแมน้ำโขง รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาและลาวที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง พร้อมให้บริการชุดน้ำชายาบ่ายด้วยขนมหวานแบบไทยและแบบท้องถิ่น รมถึงยังมีบาร์และห้องอาหารที่นำเสนอกลิ่นอายของวัฒนธรรมทางภาคเหนือของไทย ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน

 

โดยโรงแรมใหม่ทั้ง 2 แห่งจะเป็นจุดหมายปลายทางด้านสุขภาพด้วยทรีตเมนท์สมุนไพรไทย สระว่ายน้ำ ฟิสเนสเซ็นเตอร์ และการท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรม ด้วยความร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ในการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น ควบคูไปกับโครงการ AWC Stay to Sustain ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มอย่างยั่งยืนเพื่อเชิญชวนแขกของโรงแรมเข่าร่วมในการอนุรักษ์และฟื้นฟูต้นไม่ในป่าชุมชน นอกจากนี้ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงราย โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล รีสอร์ต และ “คิมป์ตัน เชียงราย โกลเด้น ไทรแองเกิ้ลกิ้ ยังมีเป้าหมายที่จะพัฒนาเพื่อให้ได้รับกรรับรองมาตรฐาน LEED หรือ WELL ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงกรตามมาตรฐานอาครสีเขียวของ AWC รมถึงทางโรงแรมยั่งเป็นที่ตั้งของร้าน เดอะ GALLERY โครงการวิสาหกิจเพื่อสังคมของ AWC ซึ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการสร้างสรรค์โดยนักออกแบบ ศิลปิน และชุมชนชาวไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ราคาหมูหน้าฟาร์มขึ้นอีก 4 บาท รับเมษายนฟื้นตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์

 
เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2567 สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ รายงานข้อมูลราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม (สัปดาห์ที่ 15/2567) วันพระที่ 8 เมษายน 2567 ปรับขึ้น กิโลกรัมละ 4 บาท จากวันพระก่อนหน้านี้ ในสัปดาห์ที่ 11/2567 วันพระที่ 17 มีนาคม 2567 ซึ่งปรับไปก่อน 4 บาท รวมแล้วในเดือนเมษายน มีการปรับขึ้นราคาหมู กิโลกรัมละ 8 บาท ดังนี้
  • ภาคตะวันตก 64 บาท/กก.
  • ภาคตะวันออก 72 บาท/กก.
  • ภาคอีสาน 70 บาท/กก.
  • ภาคเหนือ 71 บาท/กก.
  • ภาคใต้ 66 บาท/กก.

ส่วนราคาลูกสุกรขนาด 16 กิโลกรัม ณ วันจันทร์ที่ 8 เมษายน 2567 1,600 บาท บวกลบ 64 บาท

ทั้งนี้ การที่ผู้เลี้ยงสุกรทุกภูมิภาคยกระดับราคาต่อเนื่อง 4 บาทต่อกิโลกรัม เป็นผลจากโครงการตัดวงจรยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง ทุกบริษัทที่เข้าเกณฑ์ พร้อมใจส่งตารางคิวเป็นรายสัปดาห์ รายเดือนอย่างชัดเจน

การซื้อขายในแทบทุกจังหวัด มีการส่งคำสั่งซื้อกระจายตัวตรงสู่ฟาร์มมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขขอนำสุกรเข้าเชือด (Demand Side) ของกรมปศุสัตว์สูงขึ้นในช่วง 3 เดือนปี 2567 อยู่ที่เฉลี่ย 1.91 ล้านตัวต่อเดือน หรือ 63,600 ตัวต่อวัน สะท้อนความต้องการบริโภคสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ จากปี 2566 เฉลี่ยอยู่ที่ 1.69 ล้านตัวต่อเดือนเท่านั้น ทำให้คาดการณ์ว่าราคาสุกรหน้าฟาร์มมีแนวโน้มปรับตัวสู่ต้นทุนอย่างมีเสถียรภาพ

ขณะที่ Big Data ภาคเอกชน ที่เป็น Supply Side สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ และ INET ได้จัดทำคู่มือการเข้าระบบของสมาชิกปัจจุบันเสร็จเรียบร้อย เพื่อให้ตัวเลขประชากร การพยากรณ์ผลผลิต เข้าสู่ Digital Transformation อย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อความมั่นคงยั่งยืนของอุตสาหกรรมสุกร ตามนโยบายตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ของเกษตรกรไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

พันธุ์ไทย ผนึก สิงห์ปาร์ค เชียงราย ในแคมเปญ “ชาอัสสัมพันธุ์ไทยน่าน”

 

พันธุ์ไทย ผนึก สิงห์ปาร์ค เชียงราย บุกตลาดชาหมื่นล้านผ่านแคมเปญ “ชาอัสสัมพันธุ์ไทยน่าน” ทุ่มงบกว่า 10 ล้านบาท ดันยอดขายทะลุเป้า 20%

สององค์กรหัวใจไทย บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด และ บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด ร่วมกันเผยความสำเร็จของการรุกตลาดชามูลค่าหมื่นล้านบาท ต่อยอดผลิตภัณฑ์จากเชียงรายสู่เมืองน่านกับแคมเปญ ‘ชาอัสสัมพันธุ์ไทยน่าน’ กระแสตอบรับดีเกินคาด หลังจากเปิดตัวเพียง 1 เดือน สามารถปั้นยอดขายเติบโตกว่า 20% ด้วยงบการตลาดกว่า 10 ล้านบาท เพื่อสร้างการรับรู้และสื่อสารไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ เน้นขยายฐานตลาดชาพรีเมียม แมส เจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ที่ไม่ดื่มกาแฟ พร้อมร่วมกันส่งเสริมชาอัสสัมจาก จ.น่านให้เป็นที่รู้จัก สานต่อความมุ่งมั่นในการสนับสนุนชุมชน สร้างอาชีพให้เกษตรกร ควบคู่การดูแลสิ่งแวดล้อมและรักษาระบบนิเวศอย่างยั่งยืน

“ชา” เป็นตลาดที่เติบโตและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จากรายงานของ Spherical Insights บริษัทวิจัยด้านการตลาดชื่อดัง เปิดเผยว่า “ตลาดชา” ทั่วโลกในปี 2566 มีมูลค่า 49.53 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยคาดการณ์ว่าตั้งแต่ปี 2566 – 2576 ตลาดชาทั่วโลกจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 7.09% ต่อปี ซึ่งคาดว่าจะสูงถึง 98.29 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2576 ซึ่งในด้านการบริโภคนั้น สถาบันชาและกาแฟ แห่งมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย มีการประเมินว่าภายในปี 2568 วัฒนธรรมการดื่มชานอกบ้านจะสูงขึ้น 5% และจะมีปริมาณชาเพิ่มขึ้นเป็น 7.4 พันล้านกิโลกรัมในปีเดียวกัน ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการบริโภคและมีมูลค่าตลาดสูงมากที่สุดเป็นอันดับ 7 ของโลก โดยในปี 2565 มีมูลค่าตลาดสูงถึง 13,299 ล้านบาท

คุณอนันต์ รัตนมั่นคง ผู้อำนวยการอาวุโส กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า “ตลาดชามีการขยายตัวขึ้นทุกปี ทั้งจากเทรนด์รักสุขภาพและกระแสความนิยมของผู้บริโภค พันธุ์ไทยมองเห็นโอกาสหลังจากประสบความสำเร็จกับแคมเปญ ‘อร่อย เวรี มัทฉะ’ ที่พันธุ์ไทยพัฒนาสูตรชาร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตชาตัวจริงอย่าง สิงห์ปาร์ค นำสุดยอดชา มารุเซ็น มัทฉะ พรีเมียม จ.เชียงราย มาพัฒนาเมนูมัทฉะตามแบบฉบับของพันธุ์ไทย ซึ่งได้รับความนิยมจนมีกระแสเรียกร้องให้นำมาบรรจุเป็นเมนูถาวร เราจึงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่สู่การเปิดตัว ‘ชาอัสสัมพันธุ์ไทยน่าน’ ชาดำสายพันธุ์อัสสัมที่มีคาแรคเตอร์โดดเด่นจาก จ.น่าน มีกลิ่นหอมชาคั่วและมีรสชาติเข้มข้นที่เป็นเอกลักษณ์ เพื่อส่งมอบประสบการณ์การดื่มด่ำชาพรีเมียมในราคาเข้าถึงง่าย ซึ่งนอกจากจะเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าที่ไม่ดื่มกาแฟแล้ว ยังสร้างโอกาสในการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ ที่ไม่เคยใช้บริการร้านพันธุ์ไทยให้เปิดใจทดลองอีกด้วย”

 

คุณพรประภา ชัยโตษะ ผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด เปิดเผยว่า “ชาน่าน หรือ ชาแห่งสายหมอก ชาคุณภาพที่ปลูกในภูมิประเทศที่มีเทือกเขาวางตัวในแนวเหนือใต้ มีสภาพภูมิอากาศเย็นชื้น และมีฝนตกสม่ำเสมอ ดินจึงมีความอุดมสมบูรณ์ ทำให้ชาอัสสัมมีคุณลักษณะพิเศษไม่เหมือนใคร คงความเป็นเอกลักษณ์ของกลิ่นและรสชาติของอารยธรรมแห่งชาป่าสืบเนื่องมานานกว่า 100 ปี ชาน่านได้รับการปลูกและดูแลโดยเกษตรกรไทย พิถีพิถันเก็บเพียง 5 ใบแรกของยอดชา เพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด ส่งตรงถึงโรงงานแปรรูปชาอัสสัมแห่งแรกและแห่งเดียวที่ใหญ่ที่สุดใน จ.น่าน เพื่อรักษาคุณภาพคงความสดใหม่ของใบชาให้มากที่สุด พร้อมเข้าสู่กระบวนการผลิตและแปรรูปที่ทันสมัย ก่อนจะนำมาเบลนด์เป็นสูตรเฉพาะของพันธุ์ไทย และครีเอทเมนูใหม่พร้อมเสิร์ฟความหอมอร่อยถึงมือลูกค้า”

“ความร่วมมือกับพันธุ์ไทยนี้เป็นการดึงจุดแข็งของทั้งสองแบรนด์ที่มีอัตลักษณ์ความเป็นไทยที่ชัดเจน มาต่อยอด เพิ่มคุณค่าและส่งมอบประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าในหลากหลายมิติ นับเป็นการดำเนินงานที่ผสานกันอย่างลงตัว ด้วยอุดมการณ์และจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ชุมชนด้วยการส่งเสริมวัตถุดิบท้องถิ่น สร้างอาชีพและรายได้ให้แก่เกษตรกรไทย ไปพร้อมๆ กับการดูแลสิ่งแวดล้อม พร้อมต่อยอดโครงการส่งเสริมการปลูกชาของชุมชนในพื้นที่ จ.น่าน โดยการให้องค์ความรู้ด้านการเพาะปลูกชาให้ได้คุณภาพ ส่งผลให้การบุกรุก ตัดไม้ทำลายป่า และการทำไร่เลื่อนลอยมีปริมาณลดลง เนื่องจากการปลูกชาอัสสัมต้องอาศัยร่มเงาจากต้นไม้ใหญ่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ผืนป่า รักษาธรรมชาติ ทำให้ระบบนิเวศกลับมาอุดมสมบูรณ์ได้อย่างยั่งยืน” คุณพรประภา กล่าวเสริม

นอกจากนี้ พันธุ์ไทยยังประกาศการรุกตลาดชาอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการสร้างปรากฎการณ์ “คนพันธุ์TEA ที่พันธุ์ไทย” ผ่านเทคโนโลยี CGI ในรูปแบบ Hyper Realistic VDO ด้วยภาพผู้หญิงไซส์ยักษ์ใหญ่ นั่งจิบชาโชว์ความสดชื่นอยู่บนร้านกาแฟพันธุ์ไทย มีการสื่อสารทั้ง Online ผ่าน Social Media ต่างๆ และ Offline ผ่าน Digital Billboard ทั่วกรุงเทพฯ เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น และสร้างการรับรู้ว่าพันธุ์ไทยจริงจังกับการรุกตลาดชาครั้งนี้ อีกทั้งแบรนด์ยังสร้างการรับรู้ผ่าน Influencer และ KOL ทั้ง Mega, Micro และ Nano ทั้งสายกิน สายเที่ยว สายไลฟ์สไตล์ รวมถึงได้รับการสนับสนุนจากสิงห์ ปาร์ค เชียงรายในการร่วมงานกับ คุณเชอรี่ เข็มอัปสร สิริสุขะ นักแสดง เซเลบริตี้ และนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ผู้มีความผูกพันกับเมืองน่าน มาบอกเล่าเรื่องราวของชาน่านให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น

พันธุ์ไทย ชวนสัมผัสความหอมละมุน ดื่มด่ำรสชาติสุดพรีเมียมกับ “ชาอัสสัมพันธุ์ไทยน่าน” ที่พันธุ์ไทยชงสดทุกแก้ว เพื่อดึง Taste Note ที่โดดเด่น แบบ Nutty Tone ซึ่งเป็นกลิ่นหอมเอกลักษณ์ของชาอัสสัมออกมาได้ชัดที่สุด ดื่มแล้วได้ After Taste ที่สะอาด สดชื่น พันธุ์ไทยจึงนำมาสร้างสรรค์หลากหลายความอร่อย สดชื่นถึง 6 เมนู 6 คาแรคเตอร์ พร้อมเสิร์ฟในราคาเริ่มต้นเพียง 45.-

• ชาอัสสัมออริจินอลร้อน (Authentic Assam Tea) 45.- ดื่มด่ำรสชาติสุดคลาสสิค หอมกลิ่นชาคั่ว

• ชาอัสสัมน้ำผึ้งมะนาวร้อน (Harmony Honey Lime Assam Tea) 55.- ชาดำเข้มข้น หวานอมเปรี้ยวด้วย น้ำผึ้ง มะนาว ชุ่มคอ

• ชาอัสสัมเบอร์รี (Berry Bliss Assam Tea) 70.- หวานนิดเปรี้ยวหน่อย อร่อยฉ่ำไปกับเนื้อสตรอว์เบอร์รีและมัลเบอร์รี

• ชาอัสสัมยูซุ (Yuzu Youthful Assam Tea) 70.- รีเฟรชความสดใสด้วยส้มยูซุ หวานซ่อนเปรี้ยว

• ชาอัสสัมพีช (Peach Passion Assam Tea) 70.- สดชื่นไปกับพีช เปรี้ยวอมหวาน หอมละมุน

• ชาอัสสัมบ๊วยมะนาว (Plum-Lime Lush Assam Tea) 70.- ความลงตัวของบ๊วยและมะนาว ครบรส อร่อยลงตัว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สิงห์ปาร์ค เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ธนพิริยะ ยอดขาย 2 เดือนแรกสดใส ธนพิริยะ ยอดขาย 2 เดือนแรกสดใส

 
เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2567 ทางด้านเว็บไซด์ทันหุ้น ได้เผยถึงภญ.อมร พุฒิพิริยะ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคในจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจ และผลงาน 2 เดือนแรกของไตรมาส 1/2567 ยังอยู่ในทิศทางบวก แม้ช่วงเดียวกันกับปีก่อนจะมีโครงการรัฐมาช่วยผู้บริโภค แต่ตัวเลขสะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจยังดำเนินการไปได้ดี อีกทั้ง Same Store Sales Growth (SSSG) จากสาขาเดิมขยับขึ้นมาเป็นบวก จากเดิมติดลบ แม้จะอยู่ในตัวเลขหลักเดียว แต่ก็ถือว่าเป็นแนวโน้มที่ดี
 
 

ทั้งนี้บริษัทมองทิศทางธุรกิจช่วงไตรมาส 1/2567 ค่อนข้างดี และน่าจะดีกว่าช่วงเดียวกันกับปีก่อน แม้ค่าเฉลี่ยต่อบิลน้อยลง แต่ความถี่ในการซื้อสินค้าสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะโครงการ e-Receipt/e-Tax Invoice สำหรับใช้ลดหย่อนภาษี ทั้งนี้บริษัทมองเศรษฐกิจในจังหวัดเชียงรายดีขึ้น เมื่อเทียบกับภาพรวมในประเทศไทย ประกอบกับการซื้อสินค้าในสาขาของ TNP ในช่วงต้นปี 2567 มาจากการท่องเที่ยว  แม้จะยังไม่มีนักท่องเที่ยวจีน แต่การท่องเที่ยวของเชียงราย ยังมีนักท่องเที่ยวจากชาติอื่น และนักท่องเที่ยวในประเทศ

 

ขณะที่ช่วงสงกรานต์ปี 2567 บริษัทเตรียมสินค้าเพื่อขายในสาขาให้มากขึ้น โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มเครื่องดื่ม เพราะช่วงหน้าร้อน เครื่องดื่มจะขายดี รวมถึงเครื่องดื่มชูกำลัง เพราะช่วงเทศกาลสงกรานต์ผู้บริโภคจะขับรถ และต้องการเครื่องชูกำลังค่อนข้างมาก ปัจจุบันบริษัทมีสาขาทั้งแล้ว 46 สาขา จากสิ้นปี 2566 ที่ 1 สาขา ส่วนช่วงที่เหลือปี 2567 บริษัทจะขยายสาขาเพิ่มอีก 5 แห่ง เพื่อผลักดันสาขาสิ้นปี 2567 ให้เป็น 51 สาขา สำหรับ SSSG ปี 2567 บริษัทตั้งเป็นเพิ่มขึ้นเป็น 2 หลักจากที่ผ่านมาติดลบ

 

 

นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะขยายคลังสินค้า โดยใช้งบประมาณ 30 ล้านบาท เพื่อทำศูนย์กระจายสินค้าเพิ่มเติม สนับสนุนการขยายสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งปัจจุบัน TNP มีคลังสินค้าขนาด 1.2 หมื่นตารางเมตร ในการสต๊อกสินค้า และกระจายสินค้าไปในแต่ละสาขา ด้วยระบบที่มีมาตรฐาน

 

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยยังคงกำไรปี 2567 ไว้ที่ 170 ล้านบาท (กำไรปกติกลับมา + 12% จากปีก่อน) บนฐานปีก่อนไม่มีมาตรการรัฐที่มีนัยสำคัญ และเริ่มมี Upside จากสาขาใหม่มากกว่าคาด รวมถึงหากรัฐออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม มอง TNP จะได้ประโยชน์จากการมีฐานลูกค้าหลากหลาย

 

สำหรับกำไรรายไตรมาส คาดกำไร Q1-Q4/2567F จะกลับมาเติบโตจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน ได้ตามปกติอีกครั้ง ระยะสั้นคาดกำไรไตรมาส 1/2567 เบื้องต้น 40 ล้านบาท (+ 10% Y-Y, -16% Q-Q) โดย SSSG มกราคม ยังลบเล็กน้อยจากฐานมกราคม 2567รับประโยชน์มาตรการรัฐส่วนสุดท้าย คือบัตรสวัสดิการส่วนเพิ่ม +200 บาทต่อคน และกุมภาพันธ์กลับมาเป็นบวกราว 4-5% แล้ว

 

ฝ่ายวิจัยคงคำแนะนำ “Buy” จาก TP2567F 4.8 บาท อิง DCF (WACC 8.0%, TV Growth 2.0%) หรือเทียบเท่า PER2566x ยังต่ำกว่ากลุ่มมองเป็นหุ้นกลุ่มอิงบริโภค ที่ราคาอยู่โซนล่าง และซื้อขาย PER2567F 15 เท่า (ค่าเฉลี่ย – 1.3SD) เป็นจุดทยอยสะสมหุ้นกลับ

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทันหุ้น

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News