Categories
ECONOMY

รถเก่าแลกใหม่! รัฐหารือค่ายรถ ฟื้นฟูอุตสาหกรรม

ไทยหารือโครงการรถเก่าแลกรถใหม่ กระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ หลังยอดผลิต-ขายลดลงต่อเนื่อง

กรุงเทพฯ, 27 กุมภาพันธ์ 2568 – รัฐบาลไทยอยู่ระหว่างการหารือกับผู้ผลิตรถยนต์เพื่อออกมาตรการ รถเก่าแลกรถใหม่” ซึ่งเป็นโครงการที่คาดว่าจะช่วย กระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ หลังจากยอดการผลิต ยอดขาย และการส่งออกของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 1 ปี

แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมยานยนต์เปิดเผยกับ สำนักข่าวรอยเตอร์ ว่า มาตรการนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาใน ระยะเริ่มต้น และอาจเปิดให้ประชาชนนำรถยนต์เก่ามาแลกเป็น ส่วนลดสำหรับซื้อรถใหม่ โดยรถเก่าที่นำมาแลกจะถูกทำลาย ซึ่งเป็นแนวทางที่รัฐบาลไทยหารือร่วมกับ โตโยต้าและผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ

ภาวะอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่ซบเซา

ประเทศไทย ซึ่งเป็น ศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กำลังเผชิญกับปัญหาหลายด้านในภาคอุตสาหกรรมนี้ ไม่ว่าจะเป็น

  • การชะลอตัวของการส่งออก ซึ่งกระทบโดยตรงต่อยอดผลิตของภาคอุตสาหกรรม
  • ยอดขายในประเทศที่ลดลง เนื่องจากประชาชนขาดกำลังซื้อ และเผชิญปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง
  • เงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น ทำให้ประชาชนเข้าถึงสินเชื่อรถยนต์ยากขึ้น

ในปี 2567 การผลิตรถยนต์ของไทยลดลง 10% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี ขณะที่ยอดขายในประเทศลดลง 26% และการส่งออกหดตัวลง 8.8% โดยในเดือนมกราคม 2568 การผลิตรถยนต์ของไทยลดลง ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 18 ลดลงมากกว่า 24% เมื่อเทียบรายปี

โตโยต้าผลักดันแผนการกำจัดรถยนต์เก่า ลดมลพิษ และกระตุ้นยอดขาย

โตโยต้าประเทศไทย ออกแถลงการณ์ต่อรอยเตอร์ว่า บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น รวมถึงโตโยต้า กำลังหารือเกี่ยวกับโครงการกำจัดรถยนต์ที่หมดอายุการใช้งาน ภายใต้แนวทางของรัฐบาลไทย เพื่อลดจำนวน รถเก่าที่มีแนวโน้มปล่อยมลพิษสูง

นาย สมพล ธนาดำรงศักดิ์ ประธานสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย (TAPMA) เปิดเผยว่า ผู้ผลิตรถยนต์กำลังผลักดันโครงการนี้อย่างหนัก เนื่องจากต้องการเพิ่มยอดขายรถยนต์ใหม่” โดยอายุขั้นต่ำของรถที่สามารถเข้าร่วมโครงการอาจกำหนดไว้ที่ 10 ปีขึ้นไป

การดำเนินการและแนวทางของรัฐบาลไทย

แหล่งข่าวจากรัฐบาลไทยที่ไม่ประสงค์ออกนามระบุว่า ขณะนี้มีการหารือเกี่ยวกับ โครงการรถเก่าแลกรถใหม่” แต่ยังไม่มีการสรุปรายละเอียด เนื่องจากมีหน่วยงานหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

ขณะเดียวกัน กระทรวงอุตสาหกรรมและโตโยต้าได้จัดประชุมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อหาแนวทางในการกระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย แต่ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับโครงการทำลายรถยนต์

โครงการแลกรถเก่า อุตสาหกรรมยานยนต์ และการเติบโตของ EV

อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยกำลังเผชิญกับการแข่งขันจาก ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รายใหญ่จากจีน อาทิ BYD และ Great Wall Motors ซึ่งได้ลงทุนในไทยกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และกำลังผลักดันราคาขายให้ต่ำลง ทำให้ตลาดรถยนต์ไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกฝ่ายยานยนต์ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า มีการหารือเกี่ยวกับมาตรการนี้แล้ว แต่ยังไม่มีข้อสรุป เนื่องจากเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน”

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและอุตสาหกรรมยานยนต์

อุตสาหกรรมยานยนต์มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากเป็นหนึ่งในภาคการผลิตที่ใหญ่ที่สุด และคิดเป็น ประมาณ 10% ของ GDP ประเทศ ซึ่งมาตรการรถเก่าแลกรถใหม่อาจช่วย

  • กระตุ้นยอดขายรถยนต์ใหม่
  • ลดปริมาณรถยนต์เก่าที่ปล่อยมลพิษสูง
  • กระตุ้นการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมรีไซเคิลยานยนต์

นาย สุวิทย์ โชติประดู่ รองประธานสมาคมรถยนต์ใช้แล้วแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า หากมีโครงการทำลายรถยนต์เก่า จะช่วยสร้างงานใหม่ และกระตุ้นการลงทุนด้านรีไซเคิลในไทย ซึ่งปัจจุบันมีโรงงานรีไซเคิลรถยนต์เพียงไม่กี่แห่ง เช่น บริษัท กรีน เมทัลส์ ของโตโยต้า”

สถิติที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

  • ยอดผลิตรถยนต์ไทย ปี 2567 ลดลง 10% ต่ำสุดในรอบ 4 ปี (ที่มา: สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย)
  • ยอดขายรถยนต์ในประเทศ ปี 2567 ลดลง 26% (ที่มา: สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย)
  • ยอดส่งออกรถยนต์ ปี 2567 ลดลง 8.8% (ที่มา: กระทรวงพาณิชย์)
  • ตลาด EV ไทยเติบโตขึ้น 400% ในปี 2567 (ที่มา: สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย)
  • หนี้ครัวเรือนไทย พุ่งสูงกว่า 90% ของ GDP (ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย)

บทสรุป

โครงการ รถเก่าแลกรถใหม่” ที่อยู่ระหว่างการหารืออาจกลายเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญในการกระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยในปี 2568 อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ที่การจัดหาเงินทุน โครงสร้างพื้นฐานในการรีไซเคิล และการบริหารจัดการซากรถเก่า ซึ่งต้องรอการสรุปแนวทางจากภาครัฐและเอกชนต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters) / กระทรวงอุตสาหกรรม / สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) / สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย (TAPMA) / สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

เศรษฐกิจภูมิภาค ม.ค. 68 บริโภค-ท่องเที่ยวดี ลงทุนยังชะลอ

เศรษฐกิจภูมิภาคไทย มกราคม 2568: แนวโน้มและปัจจัยสำคัญ

กรุงเทพฯ, 27 กุมภาพันธ์ 2568 พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนมกราคม 2568 โดยระบุว่าเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณฟื้นตัวในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคการบริโภคและการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนยังคงชะลอตัวในบางภูมิภาค

เศรษฐกิจ กทม. และปริมณฑล

  • การบริโภคภาคเอกชนขยายตัว สะท้อนจาก ภาษีมูลค่าเพิ่มที่เพิ่มขึ้น 18.8% และ จำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ที่เพิ่มขึ้น 6.5%
  • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 58.4 จาก 57.5 ในเดือนก่อนหน้า
  • อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนยังซบเซา จำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่หดตัว -14.1%
  • ภาคการท่องเที่ยวมีสัญญาณบวก รายได้จากผู้เยี่ยมเยือนเพิ่มขึ้น 7.9%

เศรษฐกิจภาคตะวันออก

  • รายได้เกษตรกรขยายตัว 3.2% สนับสนุนการบริโภคภายใน
  • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 61.5 จาก 60.4
  • รายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 7.2%
  • อย่างไรก็ตาม การลงทุนเอกชนลดลง เงินทุนของโรงงานใหม่หดตัว

เศรษฐกิจภาคเหนือ

  • อุตสาหกรรมนมสดเป็นปัจจัยสำคัญ เงินทุนของโรงงานใหม่เพิ่มขึ้น 317.9% โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่
  • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 59.0
  • การท่องเที่ยวแข็งแกร่ง รายได้จากผู้เยี่ยมเยือนเพิ่มขึ้น 7.3%

เศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

  • การบริโภคภาคเอกชนขยายตัว โดยการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มขึ้น 13.4%
  • ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 61.4
  • อย่างไรก็ตาม รายได้เกษตรกรลดลง -8.7%

เศรษฐกิจภาคใต้

  • ภาษีมูลค่าเพิ่มขยายตัว 11.9% รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้น 29.2%
  • การท่องเที่ยวเติบโตดี รายได้จากผู้เยี่ยมเยือนเพิ่มขึ้น 20.3%
  • ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 57.0

เศรษฐกิจภาคตะวันตก

  • การลงทุนขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ เงินทุนของโรงงานใหม่เพิ่มขึ้น 909.4% โดยเป็นการลงทุนในโรงงานผลิตกระป๋องโลหะที่กาญจนบุรี
  • ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 58.0
  • รายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 5.9%

เศรษฐกิจภาคกลาง

  • การลงทุนภาคเอกชนเติบโต เงินทุนโรงงานใหม่เพิ่มขึ้น 524.0% โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่พระนครศรีอยุธยา
  • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 58.0
  • รายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 6.7%

แนวโน้มเศรษฐกิจภูมิภาคในอนาคต

จากผลสำรวจของสำนักงานคลังจังหวัดและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พบว่า ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจภูมิภาคในอีก 6 เดือนข้างหน้ามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยได้รับแรงสนับสนุนจาก ภาคเกษตรและภาคบริการ รวมถึง มาตรการภาครัฐ เช่น Easy E-Receipt 2.0

ข้อสังเกตและความเสี่ยง

แม้ว่าเศรษฐกิจภูมิภาคจะมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่ยังต้องติดตามปัจจัยเสี่ยง ได้แก่

  • ความผันผวนของสภาพอากาศ ที่อาจกระทบต่อภาคเกษตร
  • เศรษฐกิจโลกและต้นทุนการผลิต ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
  • อัตราการลงทุนเอกชนที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ในบางภูมิภาค

เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังคงต้องอาศัยปัจจัยสนับสนุนจากภาคการบริโภคและการท่องเที่ยว ในขณะที่ภาคการลงทุนยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามองในระยะถัดไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ว่างงานเพิ่ม! จบใหม่ตกงานเพียบ แรงงานหญิงใช้สิทธิลาคลอดไม่เต็มที่

สศช. เผยอัตราการว่างงานไตรมาส 4 ปี 2567 เพิ่มขึ้น นักศึกษาจบใหม่ยังน่าห่วง

แรงงานไทยหดตัวเล็กน้อย อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ

กรุงเทพฯ, 27 กุมภาพันธ์ 2568 – นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า สถานการณ์แรงงานไตรมาส 4 ปี 2567 มีแนวโน้มหดตัวเล็กน้อย โดยอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น 8.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ โดยมีจำนวนผู้ว่างงานทั้งสิ้น 360,000 คน คิดเป็นอัตราการว่างงาน 0.88% เพิ่มขึ้นจาก 0.81% ในปี 2566

กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ นักศึกษาจบใหม่อายุ 20-24 ปี โดยแบ่งเป็น

  • กลุ่มที่เคยทำงานมาก่อน อัตราว่างงานอยู่ที่ 12.4%
  • กลุ่มที่ไม่เคยทำงานมาก่อน อัตราว่างงานอยู่ที่ 5.4%

โดยผู้ที่เคยทำงานมาก่อน ส่วนใหญ่มาจาก ภาคการผลิตและการขายส่ง/ขายปลีก ขณะที่ผู้ที่ไม่เคยทำงานมาก่อน ส่วนใหญ่เป็นบัณฑิตจบใหม่จากระดับอุดมศึกษาในสัดส่วน 53.3%

แรงงานว่างงานระยะยาวเพิ่มขึ้นเกิน 13%

นอกจากนี้ ผู้ว่างงานที่ตกงานเป็นระยะเวลานานกว่า 1 ปีขึ้นไป มีจำนวนเพิ่มขึ้น 13.0% หรือคิดเป็น 67,000 คน โดยมากกว่าครึ่ง หรือ 67.6% เป็นผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานมาก่อน

ขณะที่อัตราการว่างงานในระบบอยู่ที่ 1.81% เพิ่มขึ้นจาก 1.74% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน มีผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานสูงถึง 220,000 คน

สถานการณ์การจ้างงานปี 2567 โดยรวมทรงตัว

  • อัตราการมีงานทำในปี 2567 อยู่ที่ 98.6% ลดลงเล็กน้อยจาก 98.7% ในปี 2566
  • จำนวนผู้มีงานทำอยู่ที่ 39.8 ล้านคน ลดลง 0.3%
  • ภาคเกษตรกรรมหดตัวลง 4.4% ขณะที่ ภาคขนส่ง/โลจิสติกส์ และโรงแรม/ภัตตาคารเติบโต 10.1% และ 7.7% ตามลำดับ
  • ชั่วโมงทำงานเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 42.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในภาคเอกชนอยู่ที่ 46.3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

ปัจจัยด้านแรงงานที่ต้องจับตาในปี 2568

  1. นโยบายการค้าสหรัฐฯ อาจส่งผลต่อการส่งออกและการจ้างงาน
    • ไทยอาจได้รับผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของ โดนัลด์ ทรัมป์ หากได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2
    • ไทยยังคงถูกจัดอยู่ในระดับ Tier 2 ของรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ของสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2565
  2. การบริหารจัดการแรงงานต่างชาติและแรงงานผิดกฎหมาย
    • แม้ไทยจะมีมาตรการนำเข้าและต่ออายุแรงงานต่างด้าวตาม MOU แต่ยังคงพบปัญหาการละเมิดกฎหมายแรงงาน
  3. แรงงานหญิงยังไม่ได้ใช้สิทธิลาคลอดเต็มจำนวน
    • พบว่าแรงงานหญิงที่ตั้งครรภ์ ใช้สิทธิลาคลอดเฉลี่ยเพียง 30-59 วัน จากสิทธิทั้งหมด 98 วัน
    • สาเหตุหลักคือ ความจำเป็นด้านรายได้และโอที รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับ การถูกลดโบนัส แม้องค์การอนามัยโลกจะสนับสนุนให้มารดาให้นมบุตรอย่างต่อเนื่อง 6 เดือน

ทิศทางค่าแรงขั้นต่ำ: ปรับขึ้นหรือไม่?

จากประเด็นที่มีการถกเถียงเกี่ยวกับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท นายดนุชาให้ความเห็นว่า การปรับขึ้นค่าแรงควรขึ้นอยู่กับศักยภาพของแรงงาน โดยหากแรงงานมีทักษะและความสามารถเพียงพอ ควรได้รับค่าจ้างที่สูงขึ้น แต่หากศักยภาพยังไม่สอดคล้องกับมาตรฐานการแข่งขัน การปรับขึ้นค่าแรงอาจสร้างผลกระทบในระยะยาวต่อเศรษฐกิจไทย

สถิติสำคัญเกี่ยวกับตลาดแรงงานไทยในปี 2567

  • อัตราการว่างงานในไตรมาส 4 ปี 2567 อยู่ที่ 0.88% เพิ่มขึ้นจาก 0.81% ในปี 2566
  • จำนวนผู้ว่างงาน 360,000 คน เพิ่มขึ้น 8.8% จากปีก่อน
  • แรงงานว่างงานระยะยาวเพิ่มขึ้น 13.0% อยู่ที่ 67,000 คน
  • อัตราการมีงานทำปี 2567 อยู่ที่ 98.6% ลดลงเล็กน้อยจาก 98.7% ในปี 2566
  • ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ย 42.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้นจากปี 2566

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดการณ์ว่า แนวโน้มตลาดแรงงานไทยในปี 2568 จะยังคงเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะสถานการณ์เศรษฐกิจโลก นโยบายการค้าของประเทศมหาอำนาจ และโครงสร้างตลาดแรงงานในประเทศที่ต้องการการปรับตัว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

รับสร้างบ้านปี 67 วูบ 20% คนไทยสร้างบ้านเองน้อยลง

สร้างบ้านเองลดฮวบ! ตลาดรับสร้างบ้านปี 67 ดิ่งลง 20%

ประเทศไทย, 18 กุมภาพันธ์ 2568 – HBA เผยตลาดรับสร้างบ้านปี 2567 หดตัว 20% คาดปี 2568 ทรงตัวที่ 200,000 ล้านบาท

นายอนันต์กร อมรวาที นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA: Home Builder Association) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศในปี 2567 มีมูลค่าประมาณ 211,000 ล้านบาท ลดลง 20% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากคนไทยสร้างบ้านเองลดลง โดยเฉพาะในพื้นที่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่ลดลงมากกว่าต่างจังหวัด

หากแบ่งเป็นรายพื้นที่ กรุงเทพฯ และปริมณฑลมีสัดส่วน 24.37% มูลค่า 51,421 ล้านบาท ส่วนต่างจังหวัดมีสัดส่วน 75.63% มูลค่า 159,579 ล้านบาท กระจายอยู่ในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ดังนี้:

  1. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 18.76% มูลค่า 39,584 ล้านบาท ตลาดใหญ่สุด: นครราชสีมา ขอนแก่น บุรีรัมย์
  2. ภาคใต้ 16.83% มูลค่า 35,511 ล้านบาท ตลาดใหญ่สุด: สงขลา นครศรีธรรมราช ภูเก็ต
  3. ภาคเหนือ 15.72% มูลค่า 33,169 ล้านบาท ตลาดใหญ่สุด: เชียงใหม่ ลำปาง เชียงราย
  4. ภาคตะวันออก 12.58% มูลค่า 26,544 ล้านบาท ตลาดใหญ่สุด: ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา
  5. ภาคตะวันตก 7.52% มูลค่า 15,867 ล้านบาท ตลาดใหญ่สุด: ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี
  6. ภาคกลาง 4.22% มูลค่า 8,904 ล้านบาท ตลาดใหญ่สุด: สระบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี

ธุรกิจรับสร้างบ้านไม่ถดถอย แต่ชะลอตัวจากปัจจัยเศรษฐกิจ

ขณะที่มูลค่าตลาดรับสร้างบ้านในส่วนของสมาชิกสมาคมฯ อยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งยังอยู่ในภาวะทรงตัว เนื่องจากขาดปัจจัยสนับสนุนที่ชัดเจน เช่น อัตราดอกเบี้ยสูง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจ และภาระหนี้สินครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าเศรษฐกิจจะถดถอยหรือเติบโต ธุรกิจรับสร้างบ้านก็ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก

นายอนันต์กรกล่าวว่า แม้ปัจจุบันผู้บริโภคจะชะลอการตัดสินใจสร้างบ้าน แต่คาดว่าตัวเลขรายได้ในปี 2568 น่าจะเติบโตใกล้เคียงกับปี 2567 ที่มีมูลค่ามากกว่า 200,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ภาครัฐควรเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะการสร้างเสถียรภาพทางการเมือง และแก้ไขข้อจำกัดทางกฎหมายเกี่ยวกับแรงงาน เพื่อให้แรงงานต่างด้าวสามารถเข้ามาทำงานในไทยได้ง่ายขึ้น

โครงการบ้านเพื่อคนไทยไม่กระทบตลาดรับสร้างบ้าน

สำหรับโครงการ บ้านเพื่อคนไทย” ซึ่งมีเป้าหมายช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้มีบ้านเป็นของตนเองนั้น นายอนันต์กรมองว่า ไม่มีผลกระทบต่อตลาดรับสร้างบ้าน เนื่องจากเป็นกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน โดย ตลาดรับสร้างบ้านส่วนใหญ่เป็นบ้านมูลค่า 2-3 ล้านบาทขึ้นไป และส่วนใหญ่เป็นบ้านระดับ 3-100 ล้านบาท ซึ่งแตกต่างจากโครงการบ้านเพื่อคนไทยที่เน้นกลุ่มผู้ซื้อบ้านหลังแรกที่มีรายได้น้อย

ปรับเงื่อนไขบ้านบีโอไอไม่มีผลต่อตลาดรับสร้างบ้าน

ในกรณีการปรับเงื่อนไขบ้านบีโอไอเพื่อจูงใจเอกชนให้เข้าร่วมโครงการบ้านเพื่อคนไทย นายอนันต์กรมองว่า ไม่มีผลกระทบ เนื่องจากเป็นกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน โดยกลุ่มลูกค้าของบริษัทรับสร้างบ้านส่วนใหญ่ เป็นเจ้าของที่ดินเอง และต้องการบ้านที่มีดีไซน์เฉพาะ ไม่ใช่บ้านจัดสรรหรือบ้านในโครงการทั่วไป

ธุรกิจรับสร้างบ้านไม่หวั่นกลุ่มทุนต่างชาติ-จีนเทา

สำหรับกระแสข่าวเกี่ยวกับ นักลงทุนต่างชาติและกลุ่มทุนจีนเทา ที่เข้ามาลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย นายอนันต์กรมองว่า ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดรับสร้างบ้าน เนื่องจากธุรกิจรับสร้างบ้านของสมาคมฯ มีลักษณะเฉพาะเจาะจง และลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนไทยที่มีที่ดินเป็นของตนเอง

“กลุ่มทุนจีนเทาที่เข้ามาในไทยมักเน้นลงทุนใน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ศูนย์เหรียญ หรือโครงการคอนโดมิเนียม มากกว่าธุรกิจรับสร้างบ้าน ซึ่งเป็นตลาดที่มีลักษณะเฉพาะและไม่ได้พึ่งพาการลงทุนจากต่างชาติ” นายอนันต์กรกล่าว

HBA เตรียมมาตรการส่งเสริมตลาดรับสร้างบ้านปี 2568

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เตรียมดำเนินมาตรการส่งเสริมตลาดรับสร้างบ้านในปี 2568 โดยเน้น การสร้างความเข้าใจและกระตุ้นการรับรู้ของผู้บริโภค ผ่านการให้ข้อมูลด้านการออกแบบ เทคโนโลยีการก่อสร้าง และแนวโน้มการสร้างบ้านในอนาคต พร้อมทั้งร่วมมือกับภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อพัฒนาแรงงานก่อสร้าง และผลักดันให้เกิดมาตรการกระตุ้นตลาดอย่างเป็นรูปธรรม

ปี 2568 เป็นปีแห่งความท้าทาย แต่เรามั่นใจว่าธุรกิจรับสร้างบ้านจะยังคงเติบโตได้ภายใต้เงื่อนไขเศรษฐกิจที่เหมาะสม และการสนับสนุนจากภาครัฐ” นายอนันต์กรกล่าวสรุป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA: Home Builder Association)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

บ้าน-รถยนต์โคม่า เอกชนชงรัฐ ลดหย่อนภาษีกระตุ้นกำลังซื้อ

วิกฤตกำลังซื้อบ้าน-รถยนต์ปี 2568: ความท้าทายและแนวทางกระตุ้นตลาด

กรุงเทพฯ, 15 กุมภาพันธ์ 2568 – สำนักข่าว ประชาชาติธุรกิจ รายงานว่าตลาดรถยนต์และอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ จากปัญหากำลังซื้อที่ลดลงอย่างรุนแรง สาเหตุหลักมาจากสถาบันการเงินที่เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ รวมถึงภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ตลาดหดตัวอย่างหนัก ทั้งในภาคอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งภาคธุรกิจและภาครัฐต่างเร่งมือหาแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว

ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์และยานยนต์ในปี 2567 – 2568

  1. ตลาดรถยนต์ซบเซาหนักสุดในรอบ 15 ปี
  • ยอดขายรถยนต์ในปี 2567 ลดลงเหลือเพียง 570,000 คัน หดตัวเกือบ 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน
  • ตลาดรถกระบะได้รับผลกระทบหนัก เนื่องจากประชาชนขาดสภาพคล่องและไม่สามารถขอสินเชื่อได้
  • ลีสซิ่งและสินเชื่อรถยนต์ได้รับผลกระทบจากอัตราปฏิเสธสินเชื่อที่สูงขึ้น
  1. ภาวะตลาดบ้านและคอนโดฯ ลดลงกว่า 40%
  • ความเข้มงวดของสถาบันการเงินทำให้ประชาชนขอสินเชื่อบ้านได้ยากขึ้น
  • โครงการอสังหาฯ ใหม่ลดลง โดยเฉพาะโครงการขนาดกลางและเล็กที่แทบไม่มีที่ยืน
  • นโยบาย Loan to Value (LTV) ส่งผลกระทบต่อกลุ่มบ้านราคาแพง ทำให้ยอดขายลดลง

มาตรการภาครัฐและสถาบันการเงิน

  1. บสย. เสนอค้ำประกันสินเชื่อรถกระบะ
  • บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เตรียมเข้ามาช่วยค้ำประกันสินเชื่อรถยนต์ เพื่อเพิ่มโอกาสให้ประชาชนสามารถซื้อรถได้ง่ายขึ้น
  • เน้นช่วยเหลือกลุ่มที่ใช้รถเพื่อประกอบอาชีพ เช่น เกษตรกร และผู้ขับขี่รับจ้าง
  1. การถกมาตรการปลดล็อก LTV กับ ธปท.
  • 3 สมาคมอสังหาฯ และ 3 แบงก์ใหญ่เข้าหารือกับ ธปท. เพื่อขอผ่อนปรนมาตรการ LTV
  • ข้อเสนอหลักคือการลดภาระเงินดาวน์สำหรับบ้านหลังที่ 2 และ 3
  • มาตรการนี้จะช่วยให้กลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูงสามารถซื้อบ้านได้ง่ายขึ้น
  1. ข้อเสนอ “ลดหย่อนภาษีค่างวดรถยนต์”
  • บริษัทลีสซิ่งเสนอให้ผู้ซื้อรถยนต์สามารถนำค่างวดมาลดหย่อนภาษีได้
  • แนวคิดนี้คล้ายกับมาตรการภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้าน ซึ่งช่วยให้ผู้ที่ต้องการซื้อรถมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น
  • ข้อเสนอนี้ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลัง

ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับภาคประชาชนและธุรกิจ

  1. กลุ่มประชาชนทั่วไป
  • ผู้ที่ต้องการซื้อบ้านและรถยนต์ได้รับผลกระทบจากการเข้มงวดสินเชื่อ
  • หนี้ครัวเรือนที่สูงทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลง
  • ปัญหาการขอสินเชื่อไม่ผ่านส่งผลให้ประชาชนต้องเช่าที่อยู่อาศัยหรือใช้รถเก่าแทนการซื้อใหม่
  1. ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์และค่ายรถยนต์
  • ผู้พัฒนาโครงการขนาดเล็กและกลางได้รับผลกระทบหนักจากยอดขายที่ตกต่ำ
  • โรงงานผลิตรถยนต์และดีลเลอร์ต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความต้องการที่ลดลง

ข้อเสนอ 6 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาคอสังหาฯ

  1. ผ่อนปรน LTV ทุกระดับราคา
  2. ขยายมาตรการลดค่าโอนและจดจำนองถึงสิ้นปี 2568
  3. ลดหย่อนภาษีเงินได้สำหรับผู้ซื้อบ้านทุกระดับราคา
  4. ให้ผู้ซื้อสามารถนำราคาบ้านมาหักลดหย่อนภาษีได้
  5. ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 50% ในปี 2568
  6. ยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% เพื่อช่วยลดต้นทุนของผู้พัฒนาโครงการ

สรุป

ตลาดอสังหาริมทรัพย์และยานยนต์ของไทยกำลังเผชิญวิกฤตจากปัญหากำลังซื้อที่ลดลง แม้ภาคธุรกิจและภาครัฐจะพยายามหาทางออกด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ปัจจัยสำคัญยังอยู่ที่ความสามารถของประชาชนในการเข้าถึงสินเชื่อ หากมาตรการที่เสนอสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็อาจช่วยให้ตลาดฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568

FAQ: คำถามที่พบบ่อย

  1. ทำไมตลาดรถยนต์และบ้านถึงหดตัวหนักในปี 2567 – 2568?

เศรษฐกิจที่ชะลอตัว หนี้ครัวเรือนที่สูง และการเข้มงวดของสถาบันการเงินทำให้ประชาชนไม่สามารถขอสินเชื่อได้ง่าย

  1. มาตรการของภาครัฐในการช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านมีอะไรบ้าง?

มีมาตรการลดค่าโอน-จดจำนอง, การผ่อนปรน LTV และข้อเสนอการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้าน

  1. ทำไมภาคธุรกิจต้องการให้ลดหย่อนภาษีค่างวดรถยนต์?

เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถซื้อรถได้ง่ายขึ้น ลดภาระการผ่อนชำระ และกระตุ้นยอดขายในอุตสาหกรรมรถยนต์

  1. LTV คืออะไร และมีผลกระทบต่อประชาชนอย่างไร?

LTV (Loan to Value) เป็นมาตรการที่กำหนดเงินดาวน์สำหรับการขอสินเชื่อบ้าน การเข้มงวดของมาตรการนี้ทำให้ผู้ซื้อบ้านต้องวางเงินดาวน์สูงขึ้น

  1. มีโอกาสที่ตลาดจะฟื้นตัวในปี 2568 หรือไม่?

หากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อถูกนำมาใช้และเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น อาจช่วยให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์และยานยนต์ฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ประชาชาติธุรกิจ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

CP พุ่ง! รวยอันดับ 2 เอเชีย ตระกูลไทยติด 3 อันดับ

ตระกูลเจียรวนนท์ ขึ้นแท่นเศรษฐีอันดับ 2 ของเอเชีย รองจากอัมบานีแห่งอินเดีย

กรุงเทพฯ, 13 กุมภาพันธ์ 2568 – สำนักข่าว Bloomberg เผย ทำเนียบตระกูลเศรษฐีแห่งเอเชีย ประจำปี 2025” โดยตระกูล เจียรวนนท์ เจ้าของกลุ่มธุรกิจ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) ขยับขึ้นมาครอง อันดับที่ 2 ของเอเชีย ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 1.4 ล้านล้านบาท เป็นรองเพียงตระกูล อัมบานี แห่ง Reliance Industries ของอินเดีย ซึ่งครองอันดับ 1 ติดต่อกันหลายปี

การติดอันดับของตระกูลเศรษฐีไทยในปีนี้ สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของกลุ่มทุนไทยในเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและระดับโลก นอกจากนี้ยังมี 2 ตระกูลมหาเศรษฐีไทย ที่ติดอันดับในรายงานของ Bloomberg ได้แก่:

  • ตระกูลอยู่วิทยา เจ้าของ TCP Group หรือที่รู้จักกันดีในฐานะผู้ผลิตเครื่องดื่ม กระทิงแดง (Red Bull) ครอง อันดับที่ 8 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 860,000 ล้านบาท
  • ตระกูลจิราธิวัฒน์ เจ้าของ เครือเซ็นทรัล ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกชั้นนำของไทย ติด อันดับที่ 17 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 527,000 ล้านบาท

อิทธิพลของเศรษฐีเอเชียในเศรษฐกิจโลก

รายงานของ Bloomberg ระบุว่า ในช่วงที่ Donald Trump เริ่มต้นวาระที่สองของการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ มหาเศรษฐีเอเชียต้องเตรียมรับมือกับแนวนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็น ภาษีนำเข้า การเปลี่ยนแปลงด้านการค้า และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ในเอเชีย

นักวิเคราะห์จาก Singapore Management University มองว่า ทศวรรษใหม่ของเศรษฐกิจโลกอาจเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมหาเศรษฐีที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องกับตลาดโลกโดยตรง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเทคโนโลยี การเงิน และพลังงาน

ตระกูลเศรษฐีที่ติดอันดับสูงสุดในเอเชีย

  1. ตระกูลอัมบานี – เจ้าของ Reliance Industries (อินเดีย) มูลค่าทรัพย์สิน 90.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  2. ตระกูลเจียรวนนท์ – เจ้าของ CP Group (ไทย) มูลค่าทรัพย์สิน 42.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  3. ตระกูลฮาร์โตโน – เจ้าของ Djarum & Bank Central Asia (อินโดนีเซีย) มูลค่าทรัพย์สิน 42.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  4. ตระกูลมิสรา – เจ้าของ Shapoorji Pallonji Group (อินเดีย) มูลค่าทรัพย์สิน 37.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  5. ตระกูลกว็อก – เจ้าของ Sun Hung Kai Properties (ฮ่องกง) มูลค่าทรัพย์สิน 35.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

กลยุทธ์ความมั่งคั่งของตระกูลเจียรวนนท์

เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) ก่อตั้งขึ้นในปี 1921 โดย เจีย เอ็กชอ ซึ่งเป็นผู้อพยพจากจีนมาค้าเมล็ดพันธุ์ผักในไทย ปัจจุบันกลุ่ม CP ขยายธุรกิจครอบคลุม อุตสาหกรรมอาหาร ปศุสัตว์ ค้าปลีก โทรคมนาคม และพลังงาน โดยมีเครือข่ายอยู่ในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก

การลงทุนที่สำคัญของ CP Group

  • ธุรกิจค้าปลีก: เครือ CP All ผู้ดำเนินธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven และ Makro ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดค้าปลีกไทย
  • ธุรกิจโทรคมนาคม: True Corporation หนึ่งในผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือรายใหญ่ของไทย
  • ธุรกิจเกษตรและอาหาร: CPF (Charoen Pokphand Foods) ผู้ผลิตอาหารสัตว์และอาหารแปรรูปรายใหญ่ที่สุดในโลก
  • การขยายตลาดระดับโลก: CP Group มีการลงทุนขยายธุรกิจไปยัง จีน เวียดนาม อินเดีย และยุโรป รวมถึงการเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมอาหารและพลังงาน

ทิศทางอนาคตของมหาเศรษฐีเอเชีย

ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจชี้ว่า แม้ว่า CP Group และกลุ่มทุนไทยอื่น ๆ จะมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจระดับภูมิภาค แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายด้านนโยบายภาษีและการแข่งขันระดับโลก อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการปรับตัวและการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ จะช่วยให้บริษัทเหล่านี้เติบโตได้อย่างมั่นคง

การขึ้นอันดับของตระกูลเจียรวนนท์ แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของกลุ่มทุนไทยในระดับโลก และเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยยังมีศักยภาพสูงในการแข่งขันในตลาดโลกต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : bloomberg

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

AOT กำไรพุ่ง! รับท่องเที่ยวฟื้น สนามบินเชียงรายร่วมด้วยทำโตขึ้น

AOT รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกปีงบ 2568 กำไรสุทธิ 5,344.30 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่อง

กรุงเทพฯ, 14 กุมภาพันธ์ 2568 – บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT รายงานผลประกอบการในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม – ธันวาคม 2567) โดยมีกำไรสุทธิ 5,344.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.12% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 17,906.01 ล้านบาท เติบโต 13.41% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและนโยบายส่งเสริมของภาครัฐ พร้อมตั้งเป้ายกระดับท่าอากาศยานไทยให้ติด 1 ใน 20 ท่าอากาศยานที่ดีที่สุดในโลกภายใน 5 ปี

ผลประกอบการและการเติบโตของรายได้

ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เปิดเผยว่า ในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบ 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิ 5,344.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 781.27 ล้านบาท หรือ 17.12% จากปีก่อน ขณะที่รายได้รวมเพิ่มขึ้น 13.41% อยู่ที่ 17,906.01 ล้านบาท ซึ่งรายได้หลักมาจาก:

  • รายได้จากกิจการการบิน 8,804.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.41% จากปีก่อน เนื่องจากปริมาณเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเที่ยวบินระหว่างประเทศ
  • รายได้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการการบิน 8,859.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.65% จากปีก่อน
  • ค่าใช้จ่ายรวม 10,353.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.73% จากปีก่อน

การเติบโตของปริมาณผู้โดยสารและเที่ยวบิน

สำหรับปริมาณผู้โดยสารในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบ 2568 ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ได้แก่ สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, เชียงใหม่, แม่ฟ้าหลวง เชียงราย, ภูเก็ต และหาดใหญ่ มีจำนวนผู้โดยสารรวม 33.62 ล้านคน เพิ่มขึ้น 16.41% แบ่งเป็น:

  • ผู้โดยสารระหว่างประเทศ 20.85 ล้านคน
  • ผู้โดยสารภายในประเทศ 12.77 ล้านคน
  • เที่ยวบินรวม 204,549 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 14.78%

ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของปริมาณผู้โดยสารมาจาก การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว นโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจของภาครัฐ และช่วงวันหยุดยาวของนักท่องเที่ยวจีน (Golden Week) ซึ่งช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจากตลาดระยะไกลและระยะใกล้

กลยุทธ์พัฒนาท่าอากาศยานไทยสู่ระดับโลก

AOT มีแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบการให้บริการของสนามบินทั้ง 6 แห่ง โดยเน้น การยกระดับคุณภาพมาตรฐานสู่ระดับสากล รวมถึงพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้เป็นศูนย์กลางการบินระดับโลก ผ่านโครงการสำคัญ ได้แก่:

  • โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 (SAT-1) เพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารจาก 45 ล้านเป็น 65 ล้านคนต่อปี
  • การสร้างระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (APM) และทางวิ่งเส้นที่ 3
  • โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 3 เพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารจาก 30 ล้านเป็น 50 ล้านคนต่อปี
  • โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานท่าอากาศยานเชียงใหม่, ภูเก็ต, เชียงราย และหาดใหญ่

เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อประสบการณ์เดินทางที่ดียิ่งขึ้น

AOT ได้นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้เพื่อเพิ่มความสะดวกและลดระยะเวลาการเดินทางของผู้โดยสาร เช่น:

  • ระบบเช็กอินอัตโนมัติและการตรวจสอบใบหน้า (Biometric Identification)
  • ระบบตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (ABC) รองรับ E-passport กว่า 90 ประเทศ
  • ระบบการจัดการข้อมูลเที่ยวบินแบบ A-CDM
  • ระบบประตูทางออกขึ้นเครื่องอัตโนมัติ (SBG)

เป้าหมายสู่ท่าอากาศยานสีเขียวและ Net Zero Carbon

AOT ดำเนินงานโดยคำนึงถึง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามมาตรฐานสากล เช่น DJSI, GRI และ PDPA นอกจากนี้ สนามบินของ AOT ยังได้รับ Airport Carbon Accreditation ครบทุกแห่ง พร้อมตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็น Net Zero ภายในปี 2587

ความสำเร็จระดับนานาชาติ

อาคาร SAT-1 ของ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้รับรางวัล ท่าอากาศยานสวยที่สุดในโลก 2567″ จาก Prix Versailles ของ UNESCO ซึ่งสะท้อนถึงการออกแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

บทสรุป

AOT ยังคงเดินหน้าพัฒนา ท่าอากาศยานไทยให้เป็นศูนย์กลางการบินระดับโลก และตั้งเป้าผลักดันท่าอากาศยานไทยให้ติด 1 ใน 20 ท่าอากาศยานที่ดีที่สุดในโลกภายใน 5 ปี พร้อมสนับสนุนการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) (AOT)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

วิกฤตชาติ ไทยอันดับ 3 โลก เกิดน้อยลง 81%

ประเทศไทยติดอันดับ 3 ของโลก อัตราการเกิดลดลง กระทบเศรษฐกิจและแรงงานในอนาคต

กรุงเทพฯ,12 กุมภาพันธ์ 2568  – การลดลงของอัตราการเกิดกลายเป็นปัญหาสำคัญที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ โดยข้อมูลล่าสุดจาก Global Statistics พบว่า ประเทศไทยติดอันดับที่ 3 ของโลก ในด้านอัตราการเกิดที่ลดลง ตั้งแต่ปี 1950 – 2024 รองจากเกาหลีใต้และจีน ซึ่งสถานการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประชากรในระยะยาว และอาจสร้างแรงกดดันทางเศรษฐกิจและแรงงานในอนาคต

แนวโน้มอัตราการเกิดที่ลดลงทั่วโลก

จากข้อมูลของ Global Statistics พบว่าประเทศที่มีอัตราการเกิดลดลงมากที่สุด ได้แก่

  1. เกาหลีใต้ อัตราการเกิดลดลง 88%
  2. จีน อัตราการเกิดลดลง 83%
  3. ไทย อัตราการเกิดลดลง 81%
  4. ญี่ปุ่น อัตราการเกิดลดลง 80%
  5. อิหร่าน อัตราการเกิดลดลง 75%
  6. บราซิล อัตราการเกิดลดลง 74%
  7. โคลอมเบีย อัตราการเกิดลดลง 72%
  8. เม็กซิโก อัตราการเกิดลดลง 72%
  9. โปแลนด์ อัตราการเกิดลดลง 71%
  10. ตุรกี อัตราการเกิดลดลง 70%

สถานการณ์ประชากรไทยปี 2567

ตัวเลขการเกิดต่ำกว่าครึ่งล้านครั้งแรกในรอบ 75 ปี

จากรายงานของ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ปี 2567 เป็นปีแรกที่จำนวนเด็กเกิดใหม่ในไทยต่ำกว่า 5 แสนคน โดยมีตัวเลขอยู่ที่ 462,240 คน ซึ่งถือเป็นการลดลงอย่างต่อเนื่องและสวนทางกับนโยบาย “มีลูกเพื่อชาติ” ที่ภาครัฐพยายามผลักดัน

การลดลงของประชากรในอนาคต

  • นักวิจัยคาดการณ์ว่า อีก 50 ปีข้างหน้า ไทยจะมีประชากรลดลงเหลือ 40 ล้านคน
  • ประชากรไทยจะลดลง เฉลี่ย 1 ล้านคนทุก ๆ 2 ปี
  • อัตราแรงงานจะลดลงจาก 37.2 ล้านคน เหลือเพียง 22.8 ล้านคน ซึ่งอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจในระยะยาว

ปัจจัยที่ทำให้อัตราการเกิดลดลง

  1. ค่าครองชีพสูงขึ้น
  • ค่าครองชีพที่สูงขึ้นทำให้คนรุ่นใหม่ลังเลที่จะมีบุตร
  • ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็กเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะค่าเรียนและค่ารักษาพยาบาล
  1. การเปลี่ยนแปลงค่านิยมทางสังคม
  • คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการทำงานและไลฟ์สไตล์มากกว่าการสร้างครอบครัว
  • ความนิยมในแนวคิด “DINK” (Double Income, No Kids) เพิ่มขึ้น
  1. นโยบายสนับสนุนครอบครัวที่ไม่เพียงพอ
  • สวัสดิการเพื่อครอบครัวของไทยยังไม่ครอบคลุมเท่ากับประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้
  • ขาดมาตรการช่วยเหลือด้านภาษีและการดูแลเด็กเล็ก

ผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจไทย

  1. แรงงานลดลง กระทบเศรษฐกิจโดยรวม
  • จำนวนแรงงานที่ลดลงจะส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตและบริการ
  • อาจต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติ หรือใช้เทคโนโลยีมาทดแทนแรงงานมนุษย์
  1. ระบบสวัสดิการสังคมเผชิญแรงกดดัน
  • จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ทำให้ต้องใช้งบประมาณดูแลสุขภาพมากขึ้น
  • แรงงานที่ลดลงทำให้มีผู้เสียภาษีน้อยลง ส่งผลต่อรายได้ภาครัฐ

แนวทางแก้ไขและปรับตัวของประเทศไทย

  1. สนับสนุนครอบครัวและการมีบุตร
  • เพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้กับครอบครัวที่มีลูก
  • ขยายสวัสดิการเด็ก เช่น เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดและเงินช่วยเหลือค่าเลี้ยงดู
  1. ปรับโครงสร้างตลาดแรงงาน
  • ใช้เทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติเพื่อทดแทนแรงงานที่ขาดแคลน
  • เปิดรับแรงงานต่างชาติที่มีฝีมือมากขึ้น
  1. เปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับการมีบุตร
  • รณรงค์ให้เห็นถึงความสำคัญของครอบครัวและการมีลูก
  • สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีลูกและการเลี้ยงดูเด็ก

บทสรุป

อัตราการเกิดที่ลดลงของไทยเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ไม่เพียงส่งผลต่อจำนวนประชากร แต่ยังกระทบต่อแรงงานและเศรษฐกิจโดยรวม หากไม่มีมาตรการรับมือที่เหมาะสม ประเทศไทยอาจต้องเผชิญกับสังคมสูงวัยที่มีผลกระทบระยะยาว อย่างไรก็ตาม หากมีนโยบายที่ดีและสามารถสร้างแรงจูงใจให้คนรุ่นใหม่ตัดสินใจมีบุตรมากขึ้น ก็อาจช่วยพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. ทำไมอัตราการเกิดของไทยถึงลดลงอย่างมาก?

ปัจจัยหลักมาจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ค่านิยมทางสังคมที่เปลี่ยนไป และนโยบายสนับสนุนที่ไม่เพียงพอ

  1. การลดลงของอัตราการเกิดส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไร?

ทำให้แรงงานลดลง ส่งผลต่ออุตสาหกรรมและบริการ อีกทั้งภาครัฐต้องแบกรับภาระสวัสดิการผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น

  1. ประเทศอื่น ๆ แก้ปัญหาอัตราการเกิดต่ำอย่างไร?

หลายประเทศใช้มาตรการสนับสนุน เช่น เงินอุดหนุนเด็ก นโยบายภาษีที่เอื้อต่อครอบครัว และขยายสวัสดิการเลี้ยงดูเด็ก

  1. ไทยสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร?

ควรเพิ่มสวัสดิการครอบครัว ปรับโครงสร้างตลาดแรงงาน และส่งเสริมแนวคิดเชิงบวกเกี่ยวกับการมีบุตร

  1. ถ้าอัตราการเกิดลดลงต่อไป จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต?

ประชากรอาจลดลงอย่างมาก ส่งผลต่อแรงงาน เศรษฐกิจ และการพัฒนาในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Global Statistics 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

กรมทางหลวงเปิดเส้นทางใหม่ เชื่อมเชียงราย-เชียงของ ยกระดับเศรษฐกิจภาคเหนือ

ทางหลวงหมายเลข 1020 เชียงราย – เชียงของ เปิดใช้แล้ว รองรับเศรษฐกิจและท่องเที่ยวภาคเหนือ

เชียงราย, 5 กุมภาพันธ์ 2568 – กรมทางหลวง (ทล.) เปิดให้บริการ ทางหลวงหมายเลข 1020 เชียงราย – เชียงของ อย่างเป็นทางการ หลังดำเนินโครงการปรับปรุงและขยายเส้นทางระหว่าง อำเภอเทิง – บ้านต้า จังหวัดเชียงราย ระยะทาง 16 กิโลเมตร เสร็จสมบูรณ์ เพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในภาคเหนือ

โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มศักยภาพการเดินทาง การค้า และการขนส่งสินค้า เชื่อมโยงการค้าชายแดนและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยเป็นส่วนหนึ่งของระเบียงเศรษฐกิจ R3A (ไทย – ลาว – จีน)

เส้นทางยุทธศาสตร์ เชื่อมไทย – ลาว – จีน เสริมศักยภาพเศรษฐกิจชายแดน

นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า ทางหลวงหมายเลข 1020 เป็นเส้นทางสำคัญที่เชื่อมระหว่าง จังหวัดเชียงราย – อำเภอเชียงของ – ประเทศเพื่อนบ้าน และเป็น เส้นทางยุทธศาสตร์ เชื่อมโยงกับสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 (เชียงของ – ห้วยทราย) และท่าเรือเชียงแสน

โครงการนี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพ การค้าชายแดน และรองรับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นทางเชื่อมหลักสู่ประเทศจีนตอนใต้ ผ่าน สปป.ลาว ซึ่งเป็น ประตูเศรษฐกิจสำคัญในภูมิภาคอาเซียน

โครงสร้างใหม่ 4 ช่องจราจร พร้อมระบบความปลอดภัยสูงสุด

กรมทางหลวงได้ดำเนินโครงการก่อสร้างปรับปรุงจาก ถนนขนาด 2 ช่องจราจร เป็น 4 ช่องจราจร (ไป-กลับ) พร้อม ผิวจราจรแอสฟัลต์คอนกรีต และ เกาะกลางยกระดับ (Raised median) เพื่อแยกทิศทางการจราจร ลดอุบัติเหตุ และเพิ่มความปลอดภัย

โครงการยังรวมถึง

  • การติดตั้งไฟส่องสว่าง ตลอดเส้นทาง
  • การก่อสร้างทางเท้าในพื้นที่ชุมชน
  • มาตรฐานโครงสร้างพิเศษ รองรับน้ำหนักขนส่งสินค้าได้มากขึ้น

โครงการใช้งบประมาณรวม 898.9 ล้านบาท และเปิดให้ประชาชนใช้เส้นทางเรียบร้อยแล้ว

สนับสนุนเศรษฐกิจ การค้า และการท่องเที่ยวภาคเหนือ

โครงการนี้ช่วยเพิ่มศักยภาพด้าน เศรษฐกิจ การค้า และการท่องเที่ยว โดยเป็นทางเชื่อมระหว่างแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของ จังหวัดเชียงราย เช่น

  • อุทยานแห่งชาติภูซาง
  • ภูชี้ฟ้า
  • ดอยผาตั้ง
  • แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรมใน สปป.ลาว

นอกจากนี้ ยังช่วยอำนวยความสะดวกให้ประชาชนในการเดินทางเข้าออกพื้นที่ชายแดน และรองรับนักลงทุนที่ต้องการพัฒนาโครงสร้างธุรกิจในภาคเหนือ

สอดคล้องกับยุทธศาสตร์คมนาคมแห่งชาติ

โครงการนี้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (2560 – 2564) และยุทธศาสตร์โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย (พ.ศ. 2558 – 2565)

นโยบายของ กระทรวงคมนาคม ภายใต้การนำของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี มุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสร้างโอกาสให้กับประชาชนและธุรกิจในภูมิภาค

กรมทางหลวงย้ำความพร้อมให้บริการ

กรมทางหลวงยืนยันว่าเส้นทางดังกล่าวพร้อมให้บริการประชาชน เพื่อเพิ่มความสะดวก ปลอดภัย และรวดเร็ว หากประชาชนต้องการสอบถามข้อมูลเส้นทาง หรือแจ้งเหตุด่วนระหว่างการเดินทาง สามารถติดต่อ สายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่าย ตลอด 24 ชั่วโมง)

สรุปข่าว

  • กรมทางหลวง เปิดใช้ทางหลวงหมายเลข 1020 เชียงราย – เชียงของ อย่างเป็นทางการ
  • เสริมศักยภาพเศรษฐกิจชายแดน เชื่อมไทย – ลาว – จีน รองรับการค้าและการขนส่ง
  • ขยายเป็น 4 ช่องจราจร พร้อมโครงสร้างถนนมาตรฐานสูง เพิ่มความปลอดภัย
  • เชื่อมโยงแหล่ง ท่องเที่ยวสำคัญในเชียงราย และรองรับการเติบโตของการค้าและการลงทุน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมทางหลวง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

เศรษฐกิจไทยชะลอตัวจากการลดลงในภาคการส่งออกและอุตสาหกรรม

ภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม 2567 และการคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2568

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายองค์กรสัมพันธ์และโฆษกของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจและการเงินในเดือนธันวาคม 2567 และไตรมาสที่ 4 ปี 2567 โดยระบุว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม 2567 ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ซึ่งเกิดจากการส่งออกสินค้าที่ลดลงและการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ลดลงตามลำดับ ทำให้กิจกรรมในภาคบริการที่เกี่ยวข้อง เช่น การขนส่งสินค้า และภาคการลงทุนของภาคเอกชนทรงตัว

การท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น

แม้ว่าการส่งออกสินค้าจะลดลง แต่การท่องเที่ยวในประเทศไทยยังคงเป็นภาคส่วนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศในเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้นจาก 3.2 ล้านคนในเดือนพฤศจิกายน มาเป็น 3.6 ล้านคนในเดือนธันวาคม ซึ่งมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจากระยะไกล เช่น รัสเซียและออสเตรเลียเพิ่มขึ้น ขณะที่นักท่องเที่ยวจากระยะใกล้ เช่น จีนและมาเลเซียลดลง สะท้อนถึงการฟื้นตัวในตลาดท่องเที่ยวระยะไกล ในปี 2567 จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทยโดยรวมอยู่ที่ 35.5 ล้านคน ซึ่งช่วยกระตุ้นรายรับในภาคการท่องเที่ยว

การส่งออกสินค้าลดลง

ในส่วนของการส่งออกสินค้า พบว่ามีการลดลงจาก 9.1% ในเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ 8.4% โดยลดลงในหลายหมวดสินค้า เช่น หมวดรถยนต์ หมวดปิโตรเลียม และหมวดสินค้าเกษตร โดยเฉพาะการส่งออกไปยังอาเซียนและบังคลาเทศ ในขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมยังคงลดลงตามการผลิตสินค้าหมวดอื่น ๆ เช่น เครื่องจักรและเหล็ก รวมถึงปิโตรเลียม ซึ่งสอดคล้องกับอุปสงค์ในและต่างประเทศที่ลดลง

อัตราเงินเฟ้อและเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4

สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนธันวาคม 2567 เพิ่มขึ้นจาก 0.95% เป็น 1.23% จากผลกระทบของราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นตามฐานต่ำในปีที่ผ่านมา ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคงที่ที่ 0.79% จากผลของราคาสินค้าอาหารสำเร็จรูปและเครื่องประกอบอาหารที่ปรับเพิ่มขึ้นในเดือนธันวาคม

การเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4

โดยรวมแล้วเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากแรงขับเคลื่อนจากภาคบริการและรายรับภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการขยายตัวของรายจ่ายลงทุนภาครัฐ ขณะที่การส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำยังคงทรงตัวจากไตรมาสก่อน โดยการส่งออกสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยียังคงแข็งแกร่ง ส่วนการบริโภคภาคเอกชนทรงตัวจากไตรมาสก่อน ซึ่งได้รับผลดีจากมาตรการเงินโอนจากภาครัฐ

เศรษฐกิจไทยในอนาคตและแนวโน้มในระยะยาว

ธปท. คาดว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 จะเติบโตใกล้เคียงกับ 4% แม้ว่าจะมีการชะลอตัวในภาคการผลิต แต่ยังมีการเติบโตในภาคบริการและการท่องเที่ยวที่ช่วยชดเชยการลดลงในภาคอื่น ๆ สำหรับแนวโน้มในอนาคต ธปท. กล่าวว่าต้องติดตามผลกระทบจากความไม่แน่นอนในนโยบายเศรษฐกิจของประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนในระดับโลก

การคัดเลือกประธานบอร์ดแบงก์ชาติ

ในส่วนของการคัดเลือกประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือประธานบอร์ดแบงก์ชาติ โฆษกของธปท. กล่าวว่า ขณะนี้คณะกรรมการคัดเลือกได้ดำเนินการไปแล้ว และในวันที่ 5 กุมภาพันธ์นี้ กระทรวงการคลังจะเสนอรายชื่อหนึ่งคน และธปท. จะเสนอรายชื่อสองคนเพื่อให้คณะกรรมการสรรหาตรวจสอบคุณสมบัติ โดยคาดว่าจะได้รายชื่อผู้ที่ดำรงตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติใหม่ภายในเดือนมิถุนายน หรือไม่เกินกันยายน

สรุป

ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ยังคงมีการเติบโตจากแรงขับเคลื่อนของภาคบริการและการท่องเที่ยว แม้ว่าการส่งออกสินค้าจะลดลงก็ตาม โดยยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจากการชะลอตัวในภาคการผลิตและปัญหาภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน ส่วนการคัดเลือกประธานบอร์ดธนาคารแห่งประเทศไทยก็จะเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่ต้องติดตามในอนาคต.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News