Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เดิมพันอนาคต รัฐเร่งลดค่าบริการสนามบิน ดันไฟลต์ตรงสู่เชียงราย ชู “เมืองปลอดภัยอันดับ 2 โลก”

เดิมพันอนาคต “เชียงรายพร้อมรับไฮซีซัน” รัฐเร่งลดค่าบริการสนามบิน ดันไฟลต์ตรงสู่เมืองรอง–เปิดเกมจีน พร้อมชู “เมืองปลอดภัยระดับโลก + Soft Power” เป็นแม่เหล็กดึงนักท่องเที่ยว

เชียงราย, 18 ตุลาคม 2568 — ลมหนาวลูกแรกเริ่มปะทะปลายเทือกเขาเขตเหนือสุดแดนสยาม ขณะเดียวกัน “นาฬิกาเศรษฐกิจ” ของรัฐบาลก็เดินเร่ง ก่อนเส้นตายยุบสภาช่วงมกราคม 2569 จะมาถึง ภารกิจเร่งด่วนจึงถูกโยนเข้าสู่สนามท่องเที่ยวอย่างเต็มกำลัง—อุตสาหกรรมที่ยังทำเงินสดหมุนให้ชุมชนเร็วที่สุดในยามเศรษฐกิจต้องการแรงกระตุ้น

เชียงราย ถูกจับตาเป็นพิเศษ เพราะกำลังเข้าสู่ช่วง ไฮซีซัน (พฤศจิกายน–กุมภาพันธ์) และมี “ปัจจัยหนุน” หลายด้านเกิดพร้อมกัน ตั้งแต่นโยบาย ลดค่าบริการสนามบิน เพื่อจูงใจสายการบินเปิดเส้นทางใหม่, แคมเปญเชิงรุก Airline Focus ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ทำให้ ไตรมาส 4/2568 มีไฟลต์ใหม่กว่า 80 เส้นทาง เข้าสู่ไทย, ไปจนถึงการชู “ความปลอดภัยระดับโลก” และ “Soft Power เมืองศิลปะ–สโลว์ไลฟ์” เป็นข้อได้เปรียบเชิงภาพลักษณ์ที่ยากต่อการเลียนแบบ

รายงานชิ้นนี้จึงชวนผู้อ่าน “ไล่ปม–คลี่คลาย” แบบเจาะลึกเชียงรายพร้อมแค่ไหนกับการเป็น สนามรับดีมานด์ใหม่” จากท้องฟ้า? และเมื่อรัฐบาลมีเวลาจำกัด “เกมเร็ว” ใดบ้างที่ต้องเดินให้ทัน เพื่อแปลงนโยบายบนโต๊ะเจรจาให้กลายเป็น รายได้เข้าชุมชน อย่างเป็นรูปธรรม

คณะรัฐ–ททท. บินปักกิ่ง เปิดเกมเร่งฟื้นจีน และ จ่อชง “ลดค่าบริการสนามบิน”

17 ตุลาคม 2568, กรุงปักกิ่งร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี (กำกับดูแลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) พร้อม นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และผู้บริหารระดับสูง เดินสายพบพันธมิตรหัวขบวนตลาดจีนอย่าง UTour, Caissa, Qunar, Tongcheng, CCT, CTG, 6renyou, ZX-Tour รวมถึง Hainan Airlines และ Air China เป้าหมายชัดเจน “รับฟัง–รีดข้อเสนอ–ทำจริง” เพื่อดึง นักท่องเที่ยวจีน กลับสู่ไทยในช่วงโค้งสุดท้ายของปี

สารหลักของรองนายกฯ ในครั้งนี้มีสองแกน
(1) ความปลอดภัยต้องมาก่อน — รัฐบาลย้ำบูรณาการทำงานร่วม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว, สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อดูแลชีวิตและทรัพย์สินนักท่องเที่ยว “ให้รู้สึกปลอดภัยทุกก้าว”
(2) ลดต้นทุนสายการบินอย่างตรงจุด — มอบหมาย กรมท่าอากาศยาน พิจารณามาตรการ ลดค่าบริการสำหรับไฟลต์ใหม่ ทั้ง ค่าขึ้น–ลงอากาศยาน (Landing Charge) และ ค่าจอดอากาศยาน (Parking Charge) ที่สนามบินในกำกับ ท่าอากาศยานไทย (AOT) ทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, เชียงใหม่, แม่ฟ้าหลวง–เชียงราย, ภูเก็ต, หาดใหญ่ เพื่อ “กดต้นทุน–เปิดเส้นทาง–เพิ่มเที่ยวบิน” โดยตรง

“มาตรการนี้เป็นแรงจูงใจสำคัญให้สายการบินต่างประเทศเพิ่มเที่ยวบินมายังประเทศไทย ช่วยกระจายตัวนักท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจภูมิภาคให้เติบโตต่อเนื่อง” — สารจาก ร.อ.ธรรมนัส ในวงหารือกับพันธมิตรจีน

ฝั่ง ททท. โดย น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการฯ เสริมแรงด้วยข้อมูลจากแคมเปญ Airline Focus และ Thailand Summer Blast ที่ร่วมผลักดันทั้ง ไฟลต์ประจำ (Scheduled) และ ไฟลต์เช่าเหมาลำ (Charter) ส่งผลให้ ช่วงไตรมาส 4/2568 มีการ เปิดเส้นทางบินใหม่กว่า 80 เส้นทาง จากทั้งเอเชีย ยุโรป อเมริกา และตะวันออกกลาง—สัญญาณตรงที่สะท้อน ดีมานด์เดินทางเข้าประเทศไทยกำลังเร่งตัว ในฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี

แปลเชิงยุทธศาสตร์ ถ้าไทย “กดค่าใช้จ่ายสนามบิน” ให้ไฟลต์ใหม่ Breakeven เร็วขึ้น ขณะที่ ททท. ช่วยการตลาด–จับมือเอเยนต์–แพลตฟอร์มจอง อัดดีมานด์ฝั่งผู้โดยสาร โอกาสเปิดเส้นทางตรงสู่เมืองรองอย่าง เชียงราย ก็ “จับต้องได้” มากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา

จุดแข็งที่คู่แข่งเลียนแบบยาก “เชียงรายเมืองปลอดภัยระดับโลก” + “Soft Power เมืองศิลปะ–สโลว์ไลฟ์”

ถ้าถามว่า “ขายอะไร” ให้สายการบินและผู้โดยสารเชื่อมั่น? เชียงรายมี “การ์ดทรงพลัง” อย่างน้อยสองใบ

1) ความปลอดภัยเชิงสถิติโลก

การจัดอันดับของ Holidu (อ้างอิงฐานข้อมูล Nomads.com) ยกให้ เชียงราย เป็น เมืองที่ปลอดภัยที่สุดอันดับ 2 ของโลกสำหรับผู้หญิง Digital Nomad (ปี 2025) โดยพิจารณาหลายมิติ ตั้งแต่ “ความปลอดภัยกลางวัน–กลางคืน” “ความเป็นมิตรต่อผู้หญิงและชาวต่างชาติ” ไปจนถึง “กรอบกฎหมายคุ้มครอง” ขณะที่ฐานข้อมูล Numbeo (อัปเดต 2 มีนาคม 2025) สะท้อนตัวเลข “ความปลอดภัยกลางวัน ~97.92% / กลางคืน ~95.83%” และ “ความกังวลต่อการถูกทำร้ายอยู่ระดับต่ำมาก”

แปลเศรษฐศาสตร์การท่องเที่ยวเมืองที่ รู้สึกปลอดภัย” คือเมืองที่ผู้โดยสาร ตัดสินใจง่าย” และพักนานขึ้น—โดยเฉพาะกลุ่ม ครอบครัว, ผู้หญิงเดินทางเดี่ยว, Digital Nomad ซึ่งเป็น ตลาดคุณภาพ ที่กระจายรายจ่ายสู่คาเฟ่–โคเวิร์กกิง–งานศิลป์ดีกว่ามวลชนระยะสั้น

2) Soft Power เมืองศิลปะ–สโลว์ไลฟ์

เชียงรายไม่ใช่แค่ประตูชายแดน แต่เป็น เมืองศิลปะมีชีวิต” ที่บ่มเพาะกิจกรรมต่อเนื่อง—ตั้งแต่งานดอกไม้–ดนตรีในสวน, วัฒนธรรมล้านนาร่วมสมัย, ไปถึงการผลักดันแนวคิด Garden City และการจัด Walking Street / Walking Map โซนดาวน์ทาวน์ (เชื่อม วัดมิ่งเมือง–หอนาฬิกา–ศูนย์บริการข้อมูลท่องเที่ยว) เพื่อยืดเวลาพำนักยามค่ำคืนอย่างปลอดภัยและเป็นระเบียบ

Soft Power ที่จับต้องได้ + ความปลอดภัยที่พิสูจน์ด้วยตัวเลข—สองขานี้ทำให้เชียงรายมี “ตำแหน่งทางการตลาด” ชัดเจนในสายตาเอเยนต์และสายการบินเมืองรองคุณภาพ–ปลอดภัย–คุ้มต้นทุน

จุดเชื่อมจีน” ที่เห็นจริงคาราวานมิตรภาพไทย–จีน 2025 และการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก

ปี 2569 คือวาระ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน โครงการเชื่อมโยงอย่าง คาราวานมิตรภาพไทย–จีน กรุงเทพฯ–ปักกิ่ง 2025” จึงถูกออกแบบทั้งเพื่อสื่อสารภาพบวกและทดสอบเส้นทางทางบกใหม่ ๆ ขบวนกว่า 15 คัน ใช้รถพลังงานสะอาด BYD Sealion 6 DM-i วิ่งกว่า 5,000 กม. ใน 16 วัน โดยมี อำเภอเชียงของ เป็นจุดพักสำคัญก่อนข้ามแดน

แม้นี่ไม่ใช่ไฟลต์บิน แต่คือ สัญลักษณ์ของ “Strategic Connectivity” ที่รัฐบาลไทย–จีนต้องการย้ำ “ความเชื่อม–ความง่าย–ความปลอดภัย” ของการเดินทาง ซึ่งต่อยอดสู่ ตลาดจีนคุณภาพ ได้ทั้งทางบกและอากาศ หากเชียงรายมีไฟลต์ตรง/เชื่อมต่อที่สะดวก ก็ยิ่งปิดจุดอ่อน “การเดินทางหลายต่อ” ของนักท่องเที่ยวจีนเมืองรอง

ฝั่งปฏิบัติการในพื้นที่ ททท.เชียงรายคนใหม่ “วางหมุด–ทำแผน–ยกระดับประสบการณ์”

9 ตุลาคม 2568คุณยุรีพรรณ แสนใจยา เข้ารับตำแหน่ง ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานเชียงราย พร้อมวิสัยทัศน์ “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ที่สอดคล้องยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ของจังหวัด แผนงานสำคัญประกอบด้วย

  • สร้าง “ศูนย์กลางประสบการณ์” เขตดาวน์ทาวน์ : ปักหมุด วัดมิ่งเมือง–หอนาฬิกา–ศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยว เป็นแกนกิจกรรมกลางคืนที่ปลอดภัย เดินได้จริง มีสื่อสารทิศทางชัด ผ่าน Walking Map
  • ยกระดับพื้นที่กรีน–อาร์ต : ผลักดัน Garden City และพื้นที่สีเขียวชุมชน เช่น เกาะทอง–หนองน้ำ–สวนสาธารณะ ให้กลายเป็น แลนด์มาร์กเดินเล่น–ปั่นจักรยาน รองรับกลุ่ม ครอบครัว–Senior–Digital Nomad
  • ปฏิทินเทศกาลต่อเนื่อง : งานดอกไม้–ดนตรีในสวน–ตักบาตรดอกไม้–เทศกาลชาติพันธุ์—ช่วย ยืดระยะพำนัก, กระจายเที่ยวไป ทุกอำเภอ
  • เชื่อมภาคเอกชน–ชุมชน : ใช้ แพ็กเกจเส้นทางศิลป์–ชุมชน–กาแฟ–ไร่ชา สร้างรายได้ตรงสู่ฐานราก

ความท้าทาย ของผู้อำนวยการคนใหม่จึงไม่ใช่ “สร้างข่าว” แต่คือ “จัดประสบการณ์หน้างาน” ให้ สมมาตรกับความคาดหวัง จากดีมานด์ใหม่ที่กำลังหลั่งไหล—ทั้งในมาตรฐานบริการ, ป้ายสื่อสารหลายภาษา, ความสะอาด–ปลอดภัย, และ การจราจร/จุดจอด ในช่วงพีก

ลดค่าบริการสนามบิน” จะช่วยเชียงรายอย่างไร? มองผ่านแว่นสายการบิน

สำหรับสายการบิน การเปิดเส้นทางใหม่คือการชั่งน้ำหนัก ต้นทุน–ดีมานด์–ความเสี่ยง ปัจจัยที่ทำให้ตัดสินใจเร็วขึ้นมี 4 ข้อหลัก

  1. ต้นทุนสนามบิน (AOT charges) — การลด Landing / Parking สำหรับไฟลต์ใหม่ ช่วยให้ ค่าเฉลี่ยต่อชั่วโมงบิน ลดลงในช่วงสำคัญของเส้นโค้งการเรียนรู้ (ramp-up)
  2. ความต้องการเดินทาง (Demand Visibility) — ททท.รับบท Demand Maker ผ่านโคโปรโมชันกับสายการบิน/ OTA และการสื่อสารตลาดเป้าหมาย (จีนระยะใกล้, ยุโรปหนีหนาว ฯลฯ)
  3. ภาพลักษณ์–ความปลอดภัยปลายทาง — เชียงรายมีแต้มต่อชัดเจนด้วย เรตติ้งความปลอดภัย และภาพจำเมืองศิลปะ–สโลว์ไลฟ์—ลดความเสี่ยงฝั่ง perception
  4. โครงสร้างรองรับภาคพื้น — ความพร้อมของ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย ในมิติ ground handling, immigration, taxi/รถรับส่ง, เวลาเปิดใช้งาน (operational hours) ช่วงพีก จะเป็นตัว “ล็อกคุณภาพ” ให้ไฟลต์ใหม่เลี่ยงความล่าช้าต้นน้ำ

บทเรียนจากเมืองรองอื่น ชี้ว่า เมื่อไฟลต์ทดลอง เริ่มเต็ม–รักษาตรงเวลา–รีวิวผู้โดยสารดี สายการบินมักเพิ่มความถี่/ขยายฤดูกาลอย่างรวดเร็ว ดังนั้นมาตรการลดค่าบริการสนามบินจึงควร ผูกกับ KPI เติมผู้โดยสาร (Load Factor) และ ความถี่ต่อเนื่อง (Sustained Frequency) เพื่อให้เม็ดเงินรัฐสร้าง “ผลถาวร” ไม่ใช่ “ผลชั่วคราว”

ไฮซีซันนี้ต้อง “ทำสั้น–ได้ผลไกล”  เช็กลิสต์ 6 ข้อที่เชียงรายควรล็อกให้ทัน

  1. แพ็กเกจ “บิน–เที่ยว–นอน” ที่ปิดจุดปวด : ร่วมเอกชนทำดีล สนามบิน–โรงแรม–การเดินทางในเมือง สำหรับนักท่องเที่ยวจีน/อาเซียน ภาษา–สื่อสาร–ชำระเงิน ต้องลื่น
  2. ศูนย์ข้อมูลหลายภาษา + เจ้าหน้าที่อาสา : โซนดาวน์ทาวน์–หอนาฬิกา–ท่าอากาศยาน—ตั้ง Information Kiosk ภาษา จีน–อังกฤษ–ไทย ช่วย “จบปัญหาหลงทาง–เข้าไม่ถึงข้อมูล”
  3. เส้นทาง “ปลอดภัย–เดินได้” กลางคืน : ปูทางเท้า, ไฟส่องสว่าง, กล้อง, จุดนั่งพัก, ป้ายทาง, ห้องน้ำมาตรฐาน—คือ “ประสบการณ์จำ” มากกว่าภาพถ่ายแลนด์มาร์ก
  4. เทศกาลแบบ “รันคิวสวย–ลดรอคอย” : ใช้ระบบจองเวลา/ QR ต่อคิวในเทศกาลยอดฮิต—ลดความแออัด–เพิ่มความประทับใจ
  5. โปรไฟล์สื่อออนไลน์เทศกาล–แผนที่จริง : เว็บไซต์/โซเชียลหลักของจังหวัดต้องมี ภาษาอังกฤษ–จีน พร้อม Walking Map ที่โหลดง่าย–อัปเดตสด
  6. เชื่อม “กาแฟ–ชา–อาร์ต–ชุมชน” : สร้างเส้นทาง 1–3 วัน (ตัวอย่าง) เมือง–แม่ลาว–แม่จัน–แม่สาย ให้เลือกได้ตามเวลาพำนัก

มองอนาคต หากไฟลต์ตรงเกิดจริง—เศรษฐกิจท้องถิ่นจะเห็นอะไร

  • ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย/ทริปสูงขึ้น : กลุ่มเป้าหมายที่เชื่อใน “เมืองปลอดภัย–ศิลปะ–สโลว์ไลฟ์” มีแนวโน้มใช้จ่าย ที่พักบูทีค–คาเฟ่–กิจกรรมชุมชน–ศิลปหัตถกรรม มากกว่าซื้อของฝากแบบเร่งด่วน
  • ห่วงโซ่อุปทานดิจิทัลโต : โคเวิร์กกิง–อินเทอร์เน็ต–ซิม/อีซิม–บริการเช่ารถไฟฟ้า–จักรยาน—จะตามมารองรับ Digital Nomad และนักเดินทางทำงานได้
  • แรงงานบริการคุณภาพ : ความต้องการมัคคุเทศก์–ล่ามภาษาจีน–บาริสต้า–ช่างภาพท่องเที่ยว—เพิ่มขึ้น “เชิงทักษะ” มากกว่าแรงงานปริมาณ
  • การกระจายสู่รอบนอก : เมื่อดาวน์ทาวน์จัดการดี เม็ดเงินจะไหลต่อสู่ อำเภอแม่จัน–แม่ฟ้าหลวง–เชียงของ–เทิง ผ่านเส้นทางชา–กาแฟ–ชุมชนชาติพันธุ์

Risk & Reality Check: สิ่งที่ต้องเฝ้าดูอย่างเป็นกลาง

  1. ตารางเวลาอนุมัติมาตรการลดค่าบริการสนามบิน — จำเป็นต้องชัดเจน–คาดการณ์ได้ เพื่อให้สายการบินวาง slot ล่วงหน้า
  2. ความต่อเนื่องหลังยุบสภา — นโยบายควรผูกกับ กรอบปฏิบัติราชการ มากกว่าบุคคล เพื่อให้ไฟลต์ใหม่ไม่สะดุด
  3. สมดุลความหนาแน่นท่องเที่ยว–คุณภาพชีวิตท้องถิ่น — เมืองปลอดภัยต้องไม่แลกด้วยความแออัดจราจร–ขยะ–เสียงดังเกินควร
  4. การสื่อสารเหตุการณ์ไม่คาดฝัน — ระบบแจ้งเตือนหลายภาษา–ศูนย์ประสานงานนักท่องเที่ยว–เบอร์ติดต่อฉุกเฉิน ต้องพร้อมเสมอ

เดิมพันไฮซีซันบน “สามแรงส่ง–สองการ์ดเด็ด”

เมื่อนำทุกเส้นเรื่องมาร้อยรวมกัน “สมการไฮซีซันเชียงราย” จึงชัดเจนขึ้น

  • สามแรงส่ง (จากส่วนกลาง) :
    (1) นายกฯ–รองนายกฯ–รมว.ท่องเที่ยว เดินเกม Big Impact, Act Fast กับพันธมิตรจีน
    (2) นโยบาย ลดค่าบริการสนามบินสำหรับไฟลต์ใหม่ (อยู่ระหว่างการพิจารณา)
    (3) แคมเปญ Airline Focus ของ ททท. ซึ่งส่งผลให้ ไตรมาส 4/2568 มีเส้นทางบินใหม่กว่า 80 เส้นทาง เข้าสู่ไทย
  • สองการ์ดเด็ด (ของเชียงรายเอง) :
    (1) เมืองปลอดภัยระดับโลก” สำหรับผู้หญิง Digital Nomad (จัดอันดับโดย Holidu/อิง Nomads.com; สนับสนุนด้วยสถิติ Numbeo)
    (2) Soft Power เมืองศิลปะ–สโลว์ไลฟ์ + ปฏิทินเทศกาล–พื้นที่สีเขียว–Walking Map ที่กำลังยกระดับ

เมื่อแรงส่งบนฟ้าบรรจบกับการ์ดเด็ดหน้างาน โอกาสที่เชียงรายจะ แปลงไฟลต์ใหม่ให้เป็นรายได้กระจายสู่ชุมชน ในไฮซีซันนี้ย่อมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ—ตราบใดที่ การจัดการภาคพื้น ทำได้ “ดี–ละเอียด–ต่อเนื่อง” ตามเช็กลิสต์ที่เสนอ

คำถามสุดท้ายจึงไม่ใช่ “จะมีนักท่องเที่ยวไหม” แต่คือ เราพร้อมพานักท่องเที่ยวให้ประทับใจและกลับมาอีกหรือยัง” ซึ่งคำตอบอยู่ในมือของทุกภาคส่วน—ตั้งแต่หน่วยงานกลาง, ท่าอากาศยาน, ททท., เทศบาล, ผู้ประกอบการ, ไปจนถึงชุมชนเจ้าบ้าน

ไฮซีซันปีนี้ จึงไม่ใช่แค่หน้าหนาวแรก แต่เป็น เดิมพันอนาคต ที่เชียงรายมีโอกาส “ยิงให้เข้าเป้า” ในเวลาจำกัด—ทำสั้น แต่ให้ได้ผลไกล

เสียง–สถิติ–แผนงาน

  • รัฐบาลพบพันธมิตรจีนที่ปักกิ่ง (17 ต.ค. 2568)  ย้ำ ความปลอดภัยนักท่องเที่ยว และ ลดค่าบริการสนามบินสำหรับไฟลต์ใหม่ (Landing / Parking) ที่สนามบิน AOT รวมถึง แม่ฟ้าหลวง–เชียงราย
  • ททท.ชี้สัญญาณบวก  ไตรมาส 4/2568 สายการบินระหว่างประเทศ เพิ่มเส้นทางใหม่ > 80 เส้นทาง สู่ไทย จากเอเชีย–ยุโรป–อเมริกา–ตะวันออกกลาง
  • เชียงราย = เมืองปลอดภัยระดับโลกอันดับ 2 สำหรับผู้หญิง Digital Nomad (Holidu / Nomads.com) สนับสนุนด้วยสถิติ Numbeo (ความปลอดภัยกลางวัน ~97.92% กลางคืน ~95.83%)
  • คาราวานมิตรภาพไทย–จีน 2025  วิ่ง 5,000 กม. ใช้เชียงของเป็นจุดผ่าน—สัญลักษณ์ “การเชื่อมไทย–จีน” รับวาระ 50 ปีทางการทูต
  • ททท.เชียงราย (ผอ.คนใหม่)  ปักหมุดดาวน์ทาวน์–Walking Map–Garden City–เทศกาลต่อเนื่อง—มุ่ง “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • ท่าอากาศยานไทย (AOT) / กรมท่าอากาศยาน
  • Holidu (อ้างอิงฐานข้อมูล Nomads.com)
  • Numbeo
  • ททท. สำนักงานเชียงราย
  • ภาคีปฏิบัติการพื้นที่/สื่อท้องถิ่นเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เปิดตัวเลขเศรษฐกิจ “มหาวิกฤตดีมานด์” เชียงราย การลงทุนเบรกหนัก เกษตรกรรายได้ลด 13.7%

เชียงราย “มหาวิกฤตอุปสงค์” สะเทือนทั้งจังหวัด ค้าชายแดนทรุด -66.9% ท่ามกลางภาคบริการ-เกษตรพยุงเครื่องยนต์เศรษฐกิจ

เชียงราย, 17 ตุลาคม 2568 — กลางฝนปลายฤดูที่พัดพาไอเย็นมาสู่ลุ่มน้ำกก เมืองชายแดนที่ขึ้นชื่อเรื่องชา กาแฟ และเส้นทางโลจิสติกส์สู่ลาว–เมียนมายังคงคึกคักด้วยนักท่องเที่ยวช่วงสุดสัปดาห์ แต่ใต้ภาพ “เมืองท่องเที่ยวสีเขียว” นั้น ตัวเลขเศรษฐกิจเดือนสิงหาคมส่งสัญญาณเตือนเข้ม เครื่องชี้ด้านอุปสงค์ (การใช้จ่าย) หดตัวพร้อมกันหลายมิติ โดยเฉพาะ การค้าชายแดนดิ่ง -66.9% พลิกจากเดือนกรกฎาคมที่ยังบวก 2.5%

รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังจังหวัดเชียงรายล่าสุดสรุปสั้น ๆ แต่ชัดเจนว่า เศรษฐกิจจังหวัดโดยรวมหดตัว เมื่อเทียบทั้งปีต่อปีและเดือนต่อเดือน” แม้ ด้านอุปทาน (การผลิต) จะยังพอประคองด้วยการขยายตัวของภาคบริการและเกษตร แต่ความอ่อนแรงของการใช้จ่ายทั้งภาครัฐ เอกชน และการลงทุนกำลังกดทับบรรยากาศธุรกิจและครัวเรือนอย่างเห็นได้ชัด

เมืองพรมแดน “เครื่องยนต์สะดุด”

ปกติ “ชายแดน” คือเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเชียงราย ทั้งขนส่งสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมเบา ไปจนถึงพลังงาน แต่เดือนสิงหาคม 2568 ตัวเลข มูลค่าการส่งออก ผ่านด่านศุลกากรเหลือเพียง 4,748.5 ล้านบาท (-71.5%) ขณะที่ มูลค่านำเข้า อยู่ที่ 2,019.4 ล้านบาท (-46.7%) ส่งผลให้แม้จะมี ดุลการค้าเกินดุล 2,729.1 ล้านบาท ก็ไม่ใช่ “เกินดุลจากความแข็งแรง” หากเกิดจาก กิจกรรมการค้าหดตัวทั้งขาเข้า–ขาออก โดยฝั่งส่งออกทรุดแรงกว่าอย่างมาก (ฐานเล็กลงอย่างรวดเร็ว)

สินค้าเปราะบาง ที่ฉุดส่งออก ได้แก่ ผลไม้สด น้ำมันเชื้อเพลิง รถยนต์ และน้ำมันปาล์มโอลีน ขณะที่ นำเข้า ลดตามในกลุ่ม ผลไม้–ผัก–ดอกไม้สด ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และแร่พลวง ภาพรวมนี้สะท้อนปัจจัยภายนอกที่ตึงตัว—ตั้งแต่ความเปลี่ยนแปลงด้านมาตรการด่านแดน ไปจนถึงภาวะชะลอตัวของอุปสงค์ในภูมิภาค—และกระแทกโซ่อุปทานท้องถิ่นที่พึ่งการค้าข้ามแดนเป็นหลัก

ภาครัฐชะลอ–เอกชนระวังตัว “การลงทุนเหยียบเบรก”

เครื่องยนต์ที่ควรช่วยพยุงอุปสงค์กลับ สะดุดพร้อมกัน

  • การใช้จ่ายภาครัฐ เดือนสิงหาคม หด -3.9% (จากเดือนกรกฎาคม +18.6%) ต้นเหตุหลักคือ รายจ่ายลงทุน -24.5% กระทบโครงการทางหลวง ชลประทาน มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลในจังหวัด ซึ่งเป็น “ท่อส่งเม็ดเงิน” ลงพื้นที่โดยตรง
  • การลงทุนภาคเอกชน หด -2.7% (ดีขึ้นเล็กน้อยจาก -3.7% ในเดือนก่อน) สัญญาณเตือนชัดเจนคือ พื้นที่อนุญาตก่อสร้างรวม -45.1% และสะสมปีถึงสิงหาคม -39.1% สะท้อนความไม่แน่ใจของผู้ประกอบการต่อดีมานด์ข้างหน้า
  • สินเชื่อเพื่อการลงทุน ยังติดลบ -0.7% ชี้แรงส่งจากสถาบันการเงินยังระวังเชิงความเสี่ยง ด้านครัวเรือนเองก็เลือกเก็บเงิน “มากกว่ากู้”—เงินฝากรวม +5.5% ขณะที่ สินเชื่อรวม -0.7%—บ่งชี้พฤติกรรม “ระมัดระวัง” ทั่วกระดาน

แต่กลางพายุยังมีแสงไฟ การบริโภคภาคเอกชนยังโต +2.9% แม้ชะลอจากเดือนก่อน สัญญาณบวกมาจาก รถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ +5.2% ปริมาณจำหน่ายสุรา +16.4% และ การใช้ไฟฟ้าครัวเรือน +6.3% แปลภาษาง่าย ๆ คือ ครัวเรือนยัง “ใช้จ่าย” ในบางหมวด โดยเฉพาะสินค้าคงทนและอุปโภคบริโภคพื้นฐาน

เครื่องยนต์ฝั่งอุปทาน “บริการ–เกษตร” ช่วยประคองฐานผลิต

แม้อุปสงค์ฝั่งใช้จ่ายจะอ่อนแรง แต่ ด้านอุปทาน (การผลิต) ยัง ขยายตัว YoY ได้เพราะโครงสร้าง เชียงรายพึ่งพาภาคบริการกว่า 64.8% ของ GPP

  • ภาคบริการ +7.3% ขยายตัวต่อเนื่องจากกิจกรรมท่องเที่ยวและงานอีเวนต์ เช่น เทศกาลปทุมมา กิจกรรม TEDx ChiangRai งานมหัศจรรย์ชาติพันธุ์ สีสันแห่งล้านนา ฯลฯ ช่วยดัน จำนวนนักท่องเที่ยว +8.7% และรายได้หมวด ขายส่ง–ปลีก +14.7% ด้าน VAT หมวดโรงแรม–ภัตตาคาร +6.6% ตอกย้ำว่า “เครื่องยนต์ท่องเที่ยว” ยังเดินอยู่
  • ภาคเกษตร +2.6% อากาศ–น้ำเอื้อ ส่งผลให้ ชา +113.3% (ปริมาณผลผลิต) และ ลำไย +5.0% เพิ่มขึ้น พร้อมปศุสัตว์ ปลานิล–สุกร–โค ขยายตัว
  • ภาคอุตสาหกรรม -1.4% ยังหดต่อเนื่องตาม การใช้ไฟฟ้าอุตสาหกรรม -5.9% สะท้อนคำสั่งซื้อที่ยังไม่ฟื้น

บทสรุปชั่วคราว เครื่องยนต์ “บริการ–เกษตร” ยังพอช่วยให้ฝั่งผลิตไม่ทรุดตาม แต่แรงฉุดจาก “อุปสงค์นอกบ้าน” โดยเฉพาะค้าชายแดนและการลงทุน กำลังบดบังภาพฟื้นตัว

ทำไม “เกษตรผลิตมากแต่จนลง”?

ตัวเลขที่ชวนตั้งคำถามคือ ดัชนีรายได้เกษตรกรเดือนสิงหาคม -13.7% ทั้งที่ปริมาณผลผลิตหลายชนิดเพิ่มขึ้น สาเหตุหลักคือ ราคาสินค้าเกษตรร่วงแรง -15.9%

  • ยางพารา -12.0% (เฉลี่ย 49,130 บ./ตัน)
  • ชา -49.4% (13,660 บ./ตัน)
  • ลำไย -61.7% (11,500 บ./ตัน)
  • สับปะรด -5.2% (12,800 บ./ตัน)

เมื่อ “ผลผลิตเพิ่ม–ราคาลด” รายได้สุทธิครัวเรือนเกษตรย่อมหดลง ภาพนี้ชี้ปัญหา อุปทานล้น–ขาดกลไกรองรับราคา และความท้าทายด้านโลจิสติกส์–ตลาดส่งออกที่สะดุดจากการค้าชายแดน ซึ่งต้องการมาตรการเชิงระบบมากกว่าการเยียวยาระยะสั้น

เสถียรภาพเศรษฐกิจ สัญญาณ “เงินฝืด”–จ้างงานหด

  • อัตราเงินเฟ้อทั่วไป -0.9% (จาก ก.ค. -0.3%) กดลงจากหมวดอาหารสด ข้าว แป้ง ไข่ ผัก–ผลไม้ และหมวดพาหนะ/ขนส่ง/สื่อสาร
  • การจ้างงาน -3.7% สะท้อนแรงงานบางส่วนได้รับผลกระทบจากการชะลอธุรกิจ–โครงการลงทุน

ภาวะเงินฝืดช่วยลดค่าครองชีพบางรายการ แต่ในทางเศรษฐศาสตร์ถือเป็น “สัญญาณไม่ดี” หากยืดเยื้อ เพราะสะท้อนดีมานด์ที่อ่อนแรงและอาจทำให้ภาคธุรกิจชะลอการจ้างงาน–ลงทุนต่อเนื่อง

การคลังท้องถิ่น รายได้รัฐยังบวก แต่ “เบิกจ่ายลงทุน” ต้องเร่ง

เดือนสิงหาคม จังหวัดจัดเก็บรายได้ 315.9 ล้านบาท (+6.8%) หนุนโดย สรรพากรพื้นที่ +7.1% (VAT/ภาษีเงินได้) และ สรรพสามิต +10.8% (ภาษีเครื่องดื่ม–สุรา) ขณะที่ ด่านศุลกากร -9.7% ตามการค้าชายแดนชะลอ

ด้านรายจ่าย เบิกจ่ายรวม 1,100.8 ล้านบาท (-3.9%) เพราะ รายจ่ายลงทุนหด โดยหน่วยงานที่เกี่ยวกับทางหลวง–ชลประทาน–สาธารณสุข–การศึกษา “เบิกช้า” หลายแห่ง ตัวเลขสะสมปีงบฯ ถึงสิงหาคม รายจ่ายลงทุนเบิกได้ 57.4% ต่ำกว่าเป้าหมายปลายปีที่ 80% ชี้โจทย์ต้องเร่ง ก่อหนี้ผูกพัน–เคลียร์งานจัดซื้อจัดจ้าง ให้ทันไตรมาสสุดท้าย

สำนักงานคลังจังหวัดเชียงราย ขอประชาสัมพันธ์รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังจังหวัดเชียงราย ประจำเดือนสิงหาคม 2568

มาตรการกระตุ้นที่ “ลงเงินถึงมือคนเชียงราย” เม็ดเงินสุทธิ 3.49 พันล้าน สะเทือน GPP 0.67%

แม้แรงฉุดหลายด้าน แต่เชียงรายได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐ 2 ชุดใหญ่ตลอดปีงบประมาณ ซึ่ง สำนักงานคลังจังหวัดเชียงราย ประเมิน “ผลคูณทางเศรษฐกิจ” ไว้อย่างเป็นระบบ ได้แก่

  1. โครงการเพิ่มวงเงินสวัสดิการแห่งรัฐ 2568
  • ผู้รับสิทธิ 329,586 คน
  • เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 758.05 ล้านบาท
  • ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ (5 ปี) 1,027.91 ล้านบาท หรือ 0.19% ของ GPP เชียงราย (คิดผลคูณ 1.356)
  • ผลต่อ GDP ประเทศ 0.07%
  1. โครงการ “คนละครึ่ง พลัส”
  • ผู้ได้รับสิทธิ 650,606 คน (ผู้เสียภาษี 169,357 คน ได้ 4,800 บ./คน, ผู้ไม่เสียภาษี 481,249 คน ได้ 4,000 บ./คน)
  • เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 2,737.91 ล้านบาท
  • ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ (5 ปี) 2,592.80 ล้านบาท หรือ 0.48% ของ GPP เชียงราย (คิดผลคูณ 0.947)
  • ผลต่อ GDP ประเทศ 0.22%

สรุปทั้งสองมาตรการ เม็ดเงินสุทธิ 3,495.96 ล้านบาท สร้าง “ผลคูณ” ทางเศรษฐกิจ 3,620.71 ล้านบาท คิดเป็น 0.67% ของ GPP เชียงราย และ 0.29% ของ GDP ประเทศ — แปลว่า “นโยบายคนละครึ่ง–สวัสดิการรัฐ” กำลังทำหน้าที่กันชนดีมานด์ในยามที่เอกชนระวังตัวและพรมแดนสะดุด
(ข้อมูลอินโฟกราฟิก สำนักงานคลังจังหวัดเชียงราย)

ความหมายเชิงนโยบาย ในขณะที่ฝั่ง “อุปสงค์ภายนอก” (ค้าชายแดน) หดตัว การคงระดับการใช้จ่ายของครัวเรือนผ่านมาตรการตรงจุด ช่วย “ซื้อเวลา” ให้เครื่องยนต์บริการ–ท่องเที่ยวและค้าปลีกเดินต่อไปได้ และให้ภาครัฐมีจังหวะเร่งปลดล็อกคอขวดการลงทุน

5 สัญญาณที่ผู้ประกอบการควรจับตา

  1. Border Shock — ค้าชายแดน -66.9%, ส่งออก -71.5%, นำเข้า -46.7% ผู้ส่งออก–ขนส่ง–คลังสินค้า ควรวางแผนเผื่อยืดเยื้อ พร้อมหาตลาดสำรอง/เส้นทางทางเลือก
  2. Public Capex Gap — รายจ่ายลงทุนรัฐ -24.5% ผู้รับเหมางานรัฐ–ที่ปรึกษาโครงการ ต้องติดตามแผนเบิกจ่ายหน่วยงานหลักและเข้าร่วมเร่งรัดกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง
  3. Private Prudence — อนุญาตก่อสร้าง -45.1% (YTD -39.1%) และสินเชื่อลงทุน -0.7% ผู้พัฒนาอสังหาฯ–วัสดุก่อสร้างเตรียมบริหารสต็อก–เงินสด
  4. Service Safety Net — บริการ +7.3% นักท่องเที่ยว +8.7% โรงแรม–ร้านอาหาร–งานอีเวนต์ยังมีจังหวะทำรายได้ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลปลายปี
  5. Farm Income Squeeze — รายได้เกษตร -13.7% จากราคาสินค้า -15.9% สหกรณ์–ผู้แปรรูปควรเร่งทำสัญญาซื้อขาย–แปรรูปเพิ่มมูลค่า–เชื่อมอีคอมเมิร์ซลดแรงกดราคาหน้าสวน

3 “คานค้ำ” ที่ต้องรีบวางก่อนเข้าสู่ไฮซีซัน

1) ฟื้น “ท่อการค้า” ชายแดนให้ไหลลื่นอีกครั้ง
ตัวเลขสองในสามที่หายไปจากการค้าชายแดน ไม่อาจถูกชดเชยด้วยกิจกรรมภายในได้ทั้งหมด ระดับนโยบายควรเร่ง อำนวยความสะดวกด่าน–เชื่อมมาตรฐานตรวจสินค้า–เวิร์กช็อปเชิงเทคนิคกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึง เปิดช่องทางเฉพาะกิจ สำหรับสินค้าเน่าเสียง่าย และจับคู่ธุรกิจให้ผู้ส่งออกท้องถิ่นเข้าถึงดีลใหม่ ๆ ในลาว–เมียนมา–จีนยูนนาน

2) เร่งเครื่องลงทุนรัฐ ขจัดคอขวดจัดซื้อจัดจ้าง
เมื่อ รายจ่ายลงทุนสะดุด ต้องใช้ “บัญชีติดตามรายวัน” กับ หน่วยงานหัวรถจักร เช่น แขวงทางหลวง–ชลประทาน–ทางหลวงชนบท–โรงพยาบาล–มหาวิทยาลัย พร้อม Roadmap เบิกจ่ายรายสัปดาห์ จนถึงไตรมาสสุดท้าย เพื่อให้ ตัวชี้วัดเบิกจ่ายลงทุนแตะ 80% ตามเป้า และส่งต่อแรงคูณให้เอกชน

3) ประกันรายได้–ระบายผลผลิต–ต่อยอดแปรรูป
ในเมื่อ “ปริมาณมาก–ราคาตก” ทางออกคือชั้นเชิงตลาด

  • สัญญาขายล่วงหน้า/ประกันราคา สำหรับ ชา–ลำไย ที่ราคาดิ่ง
  • ระบายผลผลิตไปต่างตลาด (ท่องเที่ยวในจังหวัด–ศูนย์กระจายกลาง) ควบคู่ ช่องทางออนไลน์
  • หนุนแปรรูป–มาตรฐาน GI/Organic เพื่อปลดล็อก “กับดักราคาวัตถุดิบ” ให้ทะลุสู่สินค้าพรีเมียม

เสียงจากตัวเลขการเงินการคลัง “รายได้รัฐยังทน แต่ต้องไม่หลงสัญญาณหลอก”

แม้เดือนสิงหาคม รายได้จัดเก็บ +6.8% แต่ตัวขับเคลื่อนหลักคือ VAT/ภาษีรายได้ (จากกิจกรรมบริโภค) และ สรรพสามิตเครื่องดื่ม–สุรา ขณะที่ ศุลกากร -9.7% สะท้อนว่าการฟื้นตัว “เอียง” ไปฝั่งภายในประเทศ มากกว่าพรมแดน จึงไม่ควรใช้ตัวเลขรายได้รัฐเป็นเหตุผล “ชะลอ” มาตรการอัดฉีดฝั่งชายแดน—กลับกัน ควรใช้ความแข็งแรงฝั่งภาษีในประเทศเป็นฐาน “Front-load” งบลงทุน เพื่อ จุดประกายอุปสงค์ที่ขาดหาย

มองไปข้างหน้า “หน้าหนาว–เทศกาล–มาตรการ” จะพอพยุงไหม?

ไฮซีซันท่องเที่ยวกำลังเริ่ม สอดรับกับชุดมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อที่ลงลึกถึงครัวเรือนในจังหวัด (สวัสดิการรัฐ–คนละครึ่ง พลัส) ซึ่งประเมินว่าสร้าง เม็ดเงินหมุน 3.49 พันล้านบาท และ ผลคูณ 3.62 พันล้านบาท หรือ 0.67% ของ GPP เชียงราย หาก ฝั่งชายแดน ยังไม่เปิดกว้าง–ฝืดเคืองต่อเนื่อง แรงยกเหล่านี้จะ พยุง” ได้ แต่ ยังไม่พอ “ดัน” ให้เครื่องยนต์เดินราบรื่น จำเป็นต้องมี มาตรการเฉพาะด่าน–เฉพาะสินค้า ควบคู่กันไป (ข้อมูล สำนักงานคลังจังหวัดเชียงราย – อินโฟกราฟิกผลกระทบมาตรการ)

Check-list สำหรับผู้กำหนดนโยบาย–เอกชน–ชุมชน

  • ด่าน–โลจิสติกส์: จัดทีมเฉพาะกิจแก้สกัด–ยกระดับมาตรฐานเอกสาร–เชื่อมข้อมูลแบบเรียลไทม์กับประเทศเพื่อนบ้าน
  • งบลงทุน: เปิด Dashboard เบิกจ่ายรายหน่วยงาน–รายโครงการ ให้สาธารณะติดตาม เพื่อสร้างแรงจูงใจ KPI
  • SME–ท่องเที่ยว: จับคู่ดีล “ทัวร์–อีเวนต์–เหตุผลการเดินทาง” ตลอดไตรมาส 4 (วิ่งระหว่างเมือง–เมืองรอง)
  • เกษตร: เร่ง “ซื้อขายล่วงหน้า–สินเชื่อฤดูกาล–ประกันราคา” พร้อมคูปองแปรรูป–ออกแบบบรรจุภัณฑ์
  • แรงงาน: อบรมสกิลเร่งด่วนด้านบริการ–ดิจิทัล–โลจิสติกส์ ให้สอดรับดีมานด์จริง ป้องกันการว่างงานแฝง

 “อุปสงค์ภายนอก” คือกุญแจ—แต่ต้องกดคันเร่ง “อุปสงค์ในบ้าน” ต่อเนื่อง

ภาพใหญ่ของเชียงรายเดือนสิงหาคม 2568 ชัดเจนขึ้น

  • ฝั่งผลิต (บริการ–เกษตร) ยังมี “แรงหายใจ”
  • ฝั่งใช้จ่าย ถูก Border Shock (-66.9%) และ Capex Gap กระแทกจน การลงทุนเอกชน เหยียบเบรก
  • ครัวเรือน ยังจับจ่ายในบางหมวด แต่เริ่มระวัง—สะท้อนจาก เงินฝากโต–สินเชื่อติดลบ
  • เกษตรกร ผลิตมากขึ้นแต่ จนลงจากราคาตก ซึ่งเชื่อมโยงกับตลาดชายแดนที่สะดุด

ดังนั้น “จุดคลี่คลาย” ของเรื่องนี้ ไม่ใช่การรอคอยโชคช่วย หากคือการ เร่งฟื้นท่อค้าชายแดน ไปพร้อมกับ เร่งเบิกจ่ายลงทุนรัฐ–ค้ำประกันรายได้เกษตร–พยุงดีมานด์ครัวเรือน จนกว่าเครื่องยนต์เอกชนจะมั่นใจพอจะ “อัปเกรดเกียร์” ตามมา

เมืองปลายทางท่องเที่ยวอย่างเชียงรายมีความสามารถพิเศษ เปลี่ยนเทศกาลเป็นรายได้ เปลี่ยนแลนด์สเคปเป็นเศรษฐกิจ ถ้าด่านกลับมาไหลลื่น งบลงทุนเดินตามแผน และราคาพืชผลไม่ดิ่ง—ตัวเลขในรายงานรอบถัดไป อาจบอกเล่าเรื่องสมดุลที่มั่นคงกว่าวันนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • สำนักงานคลังจังหวัดเชียงราย
  • Amporn Naka / Kosol Teacher Channel
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

กลยุทธ์ Fixed Rate One Budget Hotel สร้างความแตกต่างในตลาดโลว์คอสต์เชียงราย

“One Budget Hotel” ปักหมุดแม่สาย รับศึกโลว์คอสต์เชียงราย—ชู “Fixed Rate ราคาเดียวทั้งปี” เร่งขยายให้ครบ 10 สาขาในจังหวัดภายในปี 2568

เชียงราย, 14 ตุลาคม 2568 — ในวันที่ธุรกิจโรงแรมราคาประหยัดแข่งขันดุเดือดและค่าครองชีพกดดันการตัดสินใจของนักเดินทาง “ราคาที่คาดเดาได้” กลายเป็นคำตอบของตลาดมากกว่าที่เคย นี่คือโจทย์ที่ โรงแรมวัน บัดเจท (One Budget Hotel) ภายใต้การขับเคลื่อนของ บริษัท เคเอส กรุ๊ป เรสซิเดนซ์ จำกัด เลือกหยิบขึ้นมาสร้างความแตกต่าง ผ่านยุทธศาสตร์ Fixed Rate ราคาเดียวทั้งปี พร้อมประกาศปักธงสาขาน้องใหม่ วัน บัดเจท เชียงราย—สาขาแม่สาย” ชายแดนเหนือสุดของไทย และตั้งเป้า “ปิดดีล” ให้ครบ 10 สาขาในจังหวัดเชียงรายภายในปี 2568 ควบคู่กับแผนขยายเครือข่ายไปยังหัวเมืองรองทั่วประเทศ

เสียงเล่าของผู้บริหารบอกตรงกันว่า ถูกและดี” ไม่ได้เป็นเพียงสโลแกน แต่เป็น “สัญญา” ต่อผู้บริโภคที่ต้องการที่พักสะอาด ปลอดภัย มีฟังก์ชันจำเป็นครบ และราคาที่ไม่เหวี่ยงขึ้นตามฤดูกาล—จุดยืนที่ส่งผลให้หลายสาขา ทำอัตราการเข้าพักเฉลี่ยมากกว่า 90% อย่างต่อเนื่อง นับจากเปิดสาขาแรกช่วงปี 2563 ท่ามกลางพายุโควิด-19 จนถึงวันที่แบรนด์กำลังเร่งเครื่องอย่างเต็มกำลัง

จากหอพักสู่เครือข่ายโรงแรม—บทเรียนที่กลั่นเป็น “สูตรลับคุมต้นทุน”

เบื้องหลังความคึกคักของการเปิดสาขาแม่สาย คือภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา เคเอส กรุ๊ป เรสซิเดนซ์ เริ่มต้นจากธุรกิจ หอพักและอาคารพาณิชย์ให้เช่า ก่อนจะต่อยอดความชำนาญด้านการบริหารสินทรัพย์และการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) มาสู่โรงแรมราคาประหยัดแบบ Asset-Light ที่เน้นการควบคุมต้นทุนอย่างละเอียดในทุกห่วงโซ่ ตั้งแต่การเลือกทำเล การออกแบบห้องมาตรฐาน ไปจนถึงระบบซักรีดภายในเครือและการจัดซื้อรวมเพื่อให้ต้นทุนผันแปรต่อห้องต่ำที่สุด

ช่วงโควิด-19 ที่หลายธุรกิจสะดุด “วัน บัดเจท” เลือก กระจายความเสี่ยง ด้วยการปรับหอพักบางแห่งเป็นสถานที่กักตัว ASQ และรักษากำลังคนไว้ พร้อมอาศัย กระแสเงินสดสำรองอย่างน้อย 1 ปี เป็นกันชน พอกลับสู่ภาวะปกติ การดีดตัวของดีมานด์ในเมืองรองและหัวเมืองธุรกิจยิ่ง “ปลุกแบรนด์” ให้ติดตลาดไว ผู้เข้าพักจำนวนมากกลับมาใช้ซ้ำและ บอกต่อ ด้วยคอนเทนต์รีวิวจากผู้ใช้จริง (User Generated Content) บนแพลตฟอร์มโซเชียล

กลยุทธ์ “ราคาเดียวทั้งปี” ยอมแลกส่วนต่างกำไร เพื่อครอง “Top of Mind”

หัวใจของแบรนด์คือ Fixed Rate — ราคา เริ่มต้น 550 บาท/คืน ในหลายสาขา (บางสาขาในเมืองหลัก 600 บาท) ไม่เปลี่ยน แม้วันหยุดยาว ไฮซีซัน หรือเทศกาลใหญ่ ข้อเสนอที่ดูเรียบง่ายนี้ ทำหน้าที่ไม่ต่างจาก “คีย์เวิร์ด” ติดหัว—เมื่อลูกค้าคิดถึงที่พักประหยัด “One Budget = ราคาเดิม” กลายเป็นภาพจำที่ชัดเจน

  • เหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ ราคาไม่แกว่ง สร้าง ความแน่นอน ให้ผู้บริโภค และช่วยปิดการขายล่วงหน้าในช่วงเทศกาลที่โรงแรมอื่นๆ ขยับราคาสูงขึ้น
  • ตัวอย่างสาขาพรีเมียม สาขา เชียงแสน ทดลองโมเดล “วิวริมน้ำโขง” ห้อง River View 850 บาท/คืน และ Deluxe River View ~1,400 บาท/คืน เพื่อจับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการประสบการณ์มากขึ้น โดยยังยึดหลัก “ถูกและดี” เมื่อเทียบกับตลาดพื้นที่เดียวกัน

แทนที่จะวิ่งหา ADR สูงสุด (อัตราค่าห้องเฉลี่ยต่อคืน) แบรนด์เลือกตั้งโจทย์ที่ยากกว่า—รักษา Occupancy Rate ให้สูงสม่ำเสมอ และยกเครื่องประสิทธิภาพการดำเนินงาน (จากห้องพักมาตรฐาน การบำรุงรักษารายวัน ไปจนถึงการบริหารสาธารณูปโภค) เพื่อขับเคลื่อน กระแสเงินสด ให้เสถียรในจุดราคาต่ำ นี่คือ “สูตรลับ” ที่ผู้บริหารลงมือทำเองจนเกิดวินัย

ทำเลคือทุกอย่าง สนามบิน—มหาวิทยาลัย—สามเหลี่ยมทองคำ—และ “แม่สาย”

เส้นทางขยายของ “วัน บัดเจท” เริ่มจากการปักหมุด เชียงราย เป็นฐาน และค่อยๆ เติมเครือข่ายไปตาม แหล่งดีมานด์คงที่ ใกล้สนามบิน มหาวิทยาลัย สถานกีฬา รวมถึงทำเลท่องเที่ยวชายแดน เช่น เชียงแสน–สามเหลี่ยมทองคำ และล่าสุดคือ แม่สาย ที่มีทั้งการท่องเที่ยวและการค้าชายแดน

  • ฐานที่มั่นเชียงราย เดินหน้าสู่ 10 สาขาในจังหวัด ภายในปี 2568 เพื่อสร้าง เครือข่ายหนาแน่น ครอบคลุมความต้องการที่หลากหลาย (ลูกค้าทำธุระ–เซลส์–นักเดินทางต่างชาติ–กรุ๊ปทัวร์–หน่วยงานรัฐฯ)
  • หัวเมืองรองอื่น กำลังก่อสร้างใน พะเยา ลำปาง น่าน แพร่ สุพรรณบุรี พิษณุโลก แม่สอด (ตาก) พัทยา (ชลบุรี) และกรุงเทพฯ รวมแล้ว 19 สาขา (เปิดแล้ว+อยู่ระหว่างก่อสร้าง) เพื่อยึดพื้นที่ โลว์คอสต์ ที่ยังมีช่องว่างขนาดใหญ่

ทำเลที่ดีประกอบกับ ที่จอดรถเพียงพอ ระบบคีย์การ์ดความปลอดภัย Wi-Fi ฟรี น้ำอุ่นแรง เครื่องดื่มยามเช้า และบางสาขามี ห้องฟิตเนส/ห้องประชุม ทำให้โรงแรมตอบโจทย์ “ลูกค้ามีภารกิจ” ไม่ว่าจะเป็นผู้เดินทางทำงาน หน่วยงานรัฐ/รัฐวิสาหกิจ และนักท่องเที่ยวที่ระมัดระวังงบประมาณ

โครงสร้างการเงิน–การบริหาร วินัยคือ “กำแพงกันคลื่น”

แม้ไม่เปิดเผยงบการเงินต่อสาธารณะ ผู้บริหารยืนยันว่ากิจการสามารถ ผ่านวิกฤติด้วยเงินสำรอง และ เครื่องมือสินเชื่อ ที่เหมาะสม โดยได้รับการสนับสนุนจาก ธนาคารกรุงไทย ทั้งสินเชื่อระยะยาวและวงเงินเบิกเกินบัญชี (O/D) สำหรับการลงทุนซื้อที่ดินและก่อสร้างสาขาใหม่ ขณะเดียวกัน บริษัทเลือก “คุมเกม” ต้นทุนด้วยการทำ ซักรีดในเครือ การซื้อรวม และ ตารางบำรุงรักษาเข้ม—ห้องไหนมีปัญหา “ปิดซ่อมทันที” ไม่ปล่อยค้างจนกลายเป็นก้อนใหญ่ให้ต้องรีโนเวตยกชั้นภายหลัง

การเดินเกมแบบนี้สะท้อน “ความเป็นผู้ประกอบการเชิงวินัย” มากกว่าการไล่ตัวเลขสวยงามระยะสั้น เมื่อรวมกับ ราคาที่คงที่ และ อัตราการเข้าพักสูง ทำให้ภาพรวม กระแสเงินสด ไหลลื่นเพียงพอที่จะรับมือวงจรโลว์/ไฮซีซัน และ ดอกเบี้ยเงินกู้ ที่เป็นภาระต้นทุนทางการเงินสำคัญของธุรกิจโรงแรมราคาประหยัดในยามเศรษฐกิจผันผวน

ตลาดโลว์คอสต์ที่ยังโต เมืองรอง–ท้องถิ่น–ท่องเที่ยวใกล้ตัว

บริบทมหภาคสนับสนุนแผนของ One Budget อย่างชัดเจน—หัวเมืองรอง และ แหล่งท่องเที่ยวท้องถิ่น กลับมาคึกคักตามจังหวะเศรษฐกิจและกิจกรรมระดับจังหวัด/ภูมิภาค ประกอบกับนิยาม “คุ้มค่า” ที่จับต้องได้มากกว่าเดิมในสายตาผู้บริโภคหลังโควิด ผู้เล่นโลว์คอสต์ที่มี มาตรฐานความสะอาด–ความปลอดภัย–ที่จอดรถ–อินเทอร์เน็ต และที่สำคัญคือ ราคาไม่ทำร้ายกระเป๋า จึง “ขึ้นแท่น” ตัวเลือกแรกในหลายทริป

ในระดับภูมิภาคเหนือ โครงการ รถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ (กำหนดเปิดปี 2571) จะยิ่งเพิ่มการเข้าถึงพื้นที่ชายแดน และหนุนการเดินทางระหว่างจังหวัดแบบ Multi-City ซึ่งเป็น “โอกาสลำดับถัดไป” ของผู้ประกอบการโรงแรมราคาประหยัดที่วางเครือข่ายไว้ล่วงหน้าแล้ว

ความท้าทายที่รออยู่ ต้นทุนการเงิน–แรงงาน–มาตรฐานแบรนด์ และ “ชื่อคล้ายในบางพื้นที่”

แม้เส้นกราฟการเติบโตจะชี้ขึ้น แต่เส้นทางข้างหน้ามีโจทย์ท้าทายชัดเจน

  1. ต้นทุนการเงินและดอกเบี้ย — โมเดลที่ผลักดันการเติบโตด้วยการลงทุนสาขาใหม่ จำเป็นต้องรักษาวินัยการเงินอย่างเข้มข้น พร้อมสร้าง Economy of Scale ให้เกิดผลจริง เพื่อต้านแรงกดดันต้นทุน
  2. แรงงานบริการ — โรงแรมราคาประหยัดมักใช้สัดส่วนแรงงานต่อห้องจำกัด การรักษามาตรฐานงานทำความสะอาด–ซ่อมบำรุง–ฟรอนต์–ความปลอดภัย ให้คงเส้นคงวาขณะขยายสาขา “รวดเร็ว” เป็นโจทย์ที่ต้องลงทุนกับ ระบบฝึกอบรม–คู่มือปฏิบัติงาน และ การตรวจคุณภาพ (QA) แบบเข้มงวด
  3. มาตรฐานแบรนด์ในหลายสาขา — เมื่อแบรนด์โตเร็ว ความเสี่ยงเรื่อง คุณภาพไม่เท่ากัน ระหว่างสาขาเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะสาขาแฟรนไชส์/พาร์ตเนอร์ในพื้นที่ที่ผู้ลงทุนท้องถิ่นเป็นผู้สร้างทรัพย์สินเอง จำเป็นต้องมี ข้อตกลงมาตรฐาน (SLA/Brand Standard) ชัดเจน เพื่อไม่ให้ “ของไม่ดี” กระทบภาพรวม
  4. ความสับสนจากชื่อคล้าย — ในตลาดยังพบผู้ประกอบการ ใช้นามทางการค้าคล้ายคลึง กันในบางพื้นที่นอกเชียงราย ซึ่งอาจสร้าง “เสียงสะท้อนด้านแบรนด์” หากคุณภาพและการสื่อสารไม่ไปในทางเดียวกัน การสร้าง ตราสัญลักษณ์–โดเมน–ช่องทางทางการ ที่สื่อสารชัดเจนว่า “One Budget Hotel ภายใต้ KS Group Residence (เชียงราย)” จึงเป็นเกราะป้องกันความสับสนที่ควรเร่งทำ
คุณผนิสา คงอ่ำ กรรมการบริหาร บริษัท เคเอส กรุ๊ป เรสซิเดนซ์ จำกัด เครดิต : krungthai-update วันที่ 25 ก.ค. 2567

เสียงจากทีมบริหาร บทเรียนจากสนามจริง

สาระสำคัญที่ทีมบริหารสรุปไว้—และถูกใช้เป็น “คู่มือภายใน”—มีดังนี้

  • เข้มกับรายละเอียด อยู่ใกล้ปัญหาหน้างาน รับรู้จากพนักงานด่านหน้า แก้ให้ไว ปัญหาเล็กจะไม่ลาม
  • มีอัตลักษณ์ชัด โปรดักต์ต้อง “ดีจริง” แล้วลูกค้าจะเป็นกระบอกเสียงให้เอง
  • ซ่อมเป็นวินัย ไม่ใช่เป็นเทศกาล มีตารางบำรุงรักษาถี่—เช่น ล้างแอร์ทุก 2–3 เดือน—ห้องเสียปิดซ่อมทันที
  • ปรับให้เข้าทำเล หากคู่แข่งรอบข้างบริการอาหารเช้าแบบครบ “เราต้องมี” เพื่อรักษาความคุ้มค่าโดยไม่ทำลายโครงสร้างราคา

ในมุมรายได้ ผู้บริหารยอมรับว่าเคย ปรับราคาพื้นฐาน จาก 500 เป็น 550 บาท/คืน เมื่อปลายปีที่ผ่านมาเพราะต้นทุนดอกเบี้ยและค่าสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้น แต่ยัง “คงแกน” Fixed Rate เพื่อรักษาภาพจำและความภักดีของลูกค้า—แนวทางที่ลูกค้าส่วนใหญ่ “เข้าใจและยอมรับได้” เพราะยังอยู่ในจุดราคาที่รู้สึกว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับทางเลือกอื่น

แม่สาย” มากกว่าสาขาใหม่ คือบททดสอบการยึดฐานชายแดน

สาขาแม่สายไม่ได้เป็นเพียงหมุดหมายเชิงจำนวนสาขา แต่คือ บททดสอบเชิงกลยุทธ์ ของแบรนด์ในพื้นที่ชายแดนที่มี ดีมานด์หลากหลาย—นักท่องเที่ยวเดินทางไป–กลับ, ผู้ค้าชายแดน, หน่วยงานรัฐฯ และกรุ๊ปงานบุญ/งานเทศกาล การผสมผสาน ราคาที่แน่นอน กับ แฟซิลิตีสำคัญ (ที่จอดรถกว้าง คีย์การ์ดสองชั้น Wi-Fi เร็ว) จะเป็นตัวชี้วัดว่าคอนเซ็ปต์ “ถูกและดี” ของ One Budget เหมาะกับ “ดีมานด์จริง” ในเมืองชายแดนเพียงใด

ถ้าแม่สาย “ติดตลาด” ตามจังหวะเชียงแสน สนามบิน และย่านพาณิชยกรรมในตัวเมือง เชียงราย 10 สาขาภายในปี 2568 ก็ไม่ใช่เพียงตัวเลขสวย แต่คือ ฐานราก ของการก้าวไปสู่เป้าหมายที่ใหญ่กว่า—ขยายสู่หัวเมืองรองทั่วประเทศ และเปิดทางสู่ แผนเข้าจดทะเบียน ในอนาคตเมื่อระบบธรรมาภิบาลพร้อม

ไฮไลต์ธุรกิจ (Business Highlights)

  • Positioning: โรงแรมราคาประหยัด (2–3 ดาว) เน้น “ถูกและดี”
  • Pricing: Fixed Rate ราคาเดียวตลอดปี หลายสาขาเริ่ม 550 บาท/คืน (สาขาเมืองหลักบางแห่ง 600 บาท)
  • Product: เตียงคิง 6 ฟุต/ทวิน 3 ฟุต, แอร์เย็นฉ่ำ, ฝักบัวน้ำอุ่นแรง, Wi-Fi ฟรี, คีย์การ์ด 2 ชั้น, ที่จอดรถ, เครื่องดื่มยามเช้า; บางสาขามี ฟิตเนส/ห้องประชุม
  • Premium Trial: เชียงแสน—River View 850 บาท, Deluxe River View ~1,400 บาท
  • Occupancy: ผู้บริหารระบุหลายสาขา >90% ต่อเนื่อง
  • Network: รวมเปิดแล้ว+ก่อสร้าง 19 สาขา ทั้งประเทศ; ตั้งเป้า 10 สาขาในเชียงราย ปี 2568
  • Finance: สนับสนุนโดย ธนาคารกรุงไทย (O/D + สินเชื่อระยะยาว); เน้น เงินสำรอง + ควบคุมต้นทุน
  • Risk Control: บำรุงรักษาเชิงป้องกัน–QA เข้ม–มาตรฐานแบรนด์–สื่อสารตราสัญลักษณ์เพื่อลดความสับสนชื่อคล้าย

ราคาที่คาดเดาได้ + วินัยปฏิบัติการ = สูตรโค้งยาวของโลว์คอสต์

ในตลาดที่ผู้บริโภค “คิดคุ้ม” มากขึ้น One Budget Hotel กำลังพิสูจน์ว่ากลยุทธ์ Fixed Rate สามารถสร้าง “ความไว้ใจ” ที่ต่อยอดเป็น การเข้าพักซ้ำ และ การบอกต่อ ได้จริง เมื่อประกอบกับโครงสร้างการบริหารที่ “เข้มกับวินัย–เบากับทรัพย์สิน–หนักแน่นกับเงินสด” แบรนด์จึงกลายเป็นผู้เล่นโลว์คอสต์ที่ “วิ่งโค้งยาว” ได้ ไม่ใช่แค่ “สปรินต์” ระยะสั้น

อย่างไรก็ดี เส้นทางสู่เครือข่ายระดับประเทศและแผนตลาดทุนต้องอาศัย ธรรมาภิบาลแบรนด์ และ มาตรฐานบริการ ที่คงเส้นคงวาในทุกสาขา โดยเฉพาะเมื่อมีผู้ประกอบการใช้นามคล้ายในบางพื้นที่ การสื่อสารให้ชัดว่ากลุ่มเชียงรายอยู่ภายใต้ KS Group Residence และการวาง “มาตรฐานกลาง” ที่ตรวจวัดได้ จะเป็นหัวใจในการป้องกันความสับสนและยกคุณภาพทั้งเครือ

สาขาแม่สายคือบททดสอบสำคัญ ถ้าทำได้ตาม “สูตรเชียงราย” เมืองรองอื่นที่กำลังสร้างก็น่าจะ “ติด” เช่นกัน และเมื่อรถไฟทางคู่เปิดเดินรถในปี 2571 เครือข่ายที่ปักไว้ล่วงหน้าจะรับแรงดีดของดีมานด์ได้เต็มประสิทธิภาพ—ถูกและดี จึงไม่ใช่เพียงคำขวัญ แต่เป็น กลยุทธ์การลงทุน ที่วางบนความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคและวินัยการดำเนินงานอย่างถึงแก่น

คำกล่าว/มุมมองจากผู้บริหาร (อ้างอิงจากการให้ข้อมูลสาธารณะ)

  • คุณผนิสา คงอ่ำ – กรรมการบริหาร บริษัท เคเอส กรุ๊ป เรสซิเดนซ์ จำกัด
    “เราตั้งใจให้ ราคาคงที่ เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจง่าย—จะมาวันไหนก็ ราคาเดียว ช่วงเทศกาลห้องมักเต็มล่วงหน้า เพราะที่อื่นราคาพุ่ง แต่เรายังยึดหลัก ‘ถูกและดี’ และชดเชยด้วยประสิทธิภาพหน้างาน ทั้งตารางบำรุงรักษาและการควบคุมต้นทุนเชิงระบบ”
  • แนวทางบริหารความเสี่ยง
    “ในโควิดเราไม่เลย์ออฟ ใช้เงินสำรอง–ปรับหอพักเป็น ASQ และลดราคาชั่วคราวเพื่อดึงลูกค้าให้มาสัมผัสประสบการณ์จริง วันนี้แม้ต้นทุนดอกเบี้ยสูงขึ้น เราก็ยังรักษา Fixed Rate เป็นแกน เพื่อความเชื่อมั่นระยะยาว”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท เคเอส กรุ๊ป เรสซิเดนซ์ จำกัด / One Budget Hotel
  • ธนาคารกรุงไทย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช./NESDC)
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ททท. ชู 3 ยุทธศาสตร์เร่งด่วน ดึงนักท่องเที่ยว 7 ชาติ พร้อมปัดฝุ่น “เที่ยวไทยคนละครึ่ง”

ททท.ชู 3 ยุทธศาสตร์เร่งด่วน ดึงนักท่องเที่ยว 7 ชาติ–ปัดฝุ่น “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ย้ำกรอบความปลอดภัย–กระจายรายได้สู่เมืองรอง รับดีมานด์จีนฟื้นช่วง Golden Week

กรุงเทพฯ, 10 ตุลาคม 2568 — ในจังหวะที่เศรษฐกิจโลกยังแกว่งตัวและกำลังซื้อครัวเรือนบางกลุ่มในประเทศยังไม่ฟื้นเต็มที่ ภาครัฐเลือก “เกียร์สูง” กับเครื่องยนต์การท่องเที่ยว โดย นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผย นโยบายเร่งด่วน 4 เดือน ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล ภายใต้ 3 ยุทธศาสตร์หลัก  (1) ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติจาก 7 ตลาดศักยภาพ, (2) กระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ ด้วยแนวคิด ต่อยอด “เที่ยวไทยคนละครึ่ง/ทัวร์ไทยคนละครึ่ง”, และ (3) ยกระดับคุณภาพ–ความปลอดภัย–การกระจายรายได้ไปสู่ เมืองรอง เพื่อให้เม็ดเงินท่องเที่ยวหมุนเวียนอย่างทั่วถึง

ภาพใหญ่ของการขับเคลื่อนเริ่มชัดเจนขึ้น เมื่อฝ่ายนโยบายกำหนดเป้า 7 ตลาดหลักที่ “จับจ่ายสูง” ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และ กลุ่มตะวันออกกลาง อาทิ กาตาร์ คูเวต โอมาน พร้อมเดินหมากการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก—ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีหมายกำหนดการ เดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการในเร็ว ๆ นี้ เพื่อตอกย้ำความร่วมมือและดึงดีมานด์นักท่องเที่ยวกลับไทย

ขณะที่ฝั่งสัญญาณหน้างาน ตลาดจีน โชว์แรงส่งช่วง Golden Week (1–8 ต.ค. 2568) โดย นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ ททท. เปิดเผยว่า เป้า 2 แสนคน ในช่วงดังกล่าว “ตัวเลขปรับตัวดีขึ้นจากเป้าหมายที่วางไว้” และคาดว่าจะเห็นภาพชัดขึ้นภายในไม่กี่วัน สะท้อนการฟื้นตัวที่ต่อเนื่องของดีมานด์เดินทางจากจีน—ฐานรายได้สำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย

“เรามั่นใจในการทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว และขอให้คนไทยทุกคนช่วยกันเป็นเจ้าบ้านที่ดี ต้อนรับและดูแลนักท่องเที่ยวอย่างอบอุ่น” — นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท.

ยุทธศาสตร์ที่ 1 เจาะ 7 ตลาดศักยภาพ–เร่งทวงแชร์

จีน–ญี่ปุ่น–เกาหลีใต้–อินเดีย คือ ตลาดแกน” ที่มีฐานเที่ยวบินและโครงสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ–สังคมยาวนาน ขณะที่ ซาอุดีอาระเบีย–UAE–ตะวันออกกลาง ถูกจัดวางเป็น ตลาดกำลังซื้อสูงที่มีช่องว่างใหม่” ทั้งในมิติการบินเชื่อมต่อ การตลาดเฉพาะกลุ่ม (ครอบครัว รายได้สูง กลุ่มสุขภาพ/Medical Wellness และ Halal-friendly) และฤดูกาลท่องเที่ยวที่ สวนทาง” กับไทยบางช่วง ทำให้สามารถบริหาร Load Factor ฝั่งสายการบินและ Seasonality ฝั่งผู้ประกอบการได้ดีขึ้น

หมากสำคัญคือ การเยือนจีนอย่างเป็นทางการ ของรองนายกฯ และ รมว.การท่องเที่ยวฯ เพื่อเจรจาความร่วมมือระดับรัฐ–เอกชน ทั้งด้าน โควตาเที่ยวบิน, แคมเปญร่วมการตลาด (co-promotion) กับแพลตฟอร์ม/เอเจนซีรายใหญ่, และ ความปลอดภัยปลายทาง ที่เป็นเงื่อนไขสำคัญต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนในระยะสั้น–กลาง

Golden Week ทำหน้าที่เสมือน สัญญาณนำ (leading indicator)” ของไตรมาสสุดท้าย เมื่อ ททท. ประเมินไว้ที่ 2 แสนคน และตัวเลขจริง เกินกว่าเป้า ย่อมสะท้อน Elasticity ของดีมานด์ ที่ยังตอบสนองต่อโปรโมชั่น–ความสะดวกด้านวีซ่า–ความมั่นใจด้านความปลอดภัย หากสามารถต่อยอดสู่ ตารางบินฤดูหนาว และ เทศกาลปลายปี ได้อย่างต่อเนื่อง ก็มีโอกาสดัน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริป ให้ขยับขึ้นตาม

ยุทธศาสตร์ที่ 2 ปัดฝุ่น “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ในเงื่อนไขกำลังซื้ออ่อน

ฝั่งอุปสงค์ในประเทศ รัฐบาลกำลังกลับมาใช้ “กลไกความร่วมจ่าย (co-pay)” เพื่อขยับ กำลังซื้อที่ถูกกดทับ ให้เกิดการเดินทางจริง โดยแนวคิด เที่ยวไทยคนละครึ่ง/ทัวร์ไทยคนละครึ่ง” ถูกออกแบบให้ สอดรับโครงการ “คนละครึ่ง” (เปิด 29 ต.ค. นี้) พร้อมพิจารณา สิทธิประโยชน์ทางภาษี ร่วมกับกระทรวงการคลัง เช่น ลดหย่อนภาษีท่องเที่ยวหมู่คณะ หรือ สิทธิคืนภาษีปลายปี สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ

ในเชิงกลไกเศรษฐกิจ แนวทางนี้สามารถเพิ่ม ตัวคูณ (multiplier) ของเม็ดเงินรัฐ หากออกแบบให้ “เงินรัฐ 1 บาท ดึง เงินเอกชนหลายบาท” ผ่านเพดานสิทธิ–ร่วมจ่าย–การกำหนดช่วงเวลา/ปลายทางที่ นอกพีก/เมืองรอง เพื่อแก้ปัญหา “แออัดในเมืองหลัก–โลว์โหลดเมืองรอง” ควบคู่กับการคัดกรองกิจกรรมที่มี Local Content สูง (โฮมสเตย์–ทัวร์ชุมชน–งานเทศกาลท้องถิ่น) เพื่อให้ รายได้กระจาย ไม่กระจุกในห่วงโซ่หลัก

คำถามเชิงนโยบายสำคัญคือ จะมีประสิทธิภาพเพียงพอไหม หากกำลังซื้อครัวเรือนยังอ่อน?” เงื่อนไขความสำเร็จจึงขึ้นกับ

  • การตั้งสัดส่วนร่วมจ่าย ที่จูงใจพอ (แต่ไม่บิดเบือนราคา)
  • การล็อกช่วงเวลา/พื้นที่ ให้สอดคล้องกับเป้าหมายกระจายรายได้
  • การเชื่อมมาตรการภาษี กับองค์กร/สหกรณ์/ชุมชน เพื่อดึง ดีมานด์กลุ่มใหญ่
  • การสื่อสารความปลอดภัย และ มาตรฐานบริการ เพื่อสร้าง ความคุ้มค่าเชิงประสบการณ์ (Value for Experience) มากกว่าราคาอย่างเดียว

ยุทธศาสตร์ที่ 3 คุณภาพ–ความปลอดภัย–เมืองรอง คือแกนถ่วงดุล

ททท. ระบุชัดว่า ความปลอดภัย เป็นวาระเร่งด่วน โดยบูรณาการกับ ตำรวจท่องเที่ยว, กองบัญชาการตำรวจนครบาล, และ หน่วยงานความมั่นคง เพื่อดูแลพื้นที่ท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงเทศกาลที่มีคนหนาแน่น การจัดการ จุดเสี่ยง–จุดอ่อนไหว, ระบบ แจ้งเหตุ/สายด่วนหลายภาษา, และ การลาดตระเวนเชิงป้องกัน เป็นคีย์เวิร์ดของความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ด้าน คุณภาพและการกระจายรายได้ ททท. จะทำงานกับภาคเอกชนและพันธมิตรในพื้นที่ จัดกิจกรรม/อีเวนต์ เมืองหลัก–เมืองรอง” โดยเน้นเมืองรองเป็นพิเศษ เพื่อขยายความหลากหลายสินค้า–ประสบการณ์ (จากแค่ทะเล–ภูเขา ไปสู่ อาหาร–เทศกาล–สุขภาพ–กีฬา–MICE ท้องถิ่น) ให้สอดรับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวหลังโควิดที่นิยม ทริปสั้นถี่–คอนเทนต์เฉพาะกลุ่ม–คุณค่าเชิงวัฒนธรรม

คำให้สัมภาษณ์และสัญญาณจากหน้างาน

  • ผู้ว่าการ ททท. ย้ำ “ความร่วมมือข้ามหน่วยงาน” และ บทบาทเจ้าบ้านที่ดีของคนไทย เป็นแกนสร้างความเชื่อมั่น—องค์ประกอบสำคัญไม่แพ้ราคา/โปรโมชั่น
  • รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียฯ ให้ข้อมูล Golden Week จีน ว่าตัวเลขเข้าประเทศ ปรับตัวดีขึ้นจากเป้า 2 แสนคน สะท้อนว่าตลาดจีน ฟื้นตัวดีต่อเนื่อง และเปิดโอกาสให้ไทย กลับไปทวงแชร์ ในไตรมาสสุดท้าย

ผลกระทบต่อผู้ประกอบการ–ชุมชน–แรงงานท่องเที่ยว

  1. ผู้ประกอบการโรงแรม–ทัวร์–ร้านอาหาร ควรเตรียม แพ็กเกจร่วมจ่าย ให้สอดรับ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” (เงื่อนไข–ระยะเวลา–ปลายทางเมืองรอง) และ แคมเปญจีน/เอเชีย ที่มักผูกการจองผ่านแพลตฟอร์ม ผู้ประกอบการที่ลงทุนใน บริการหลายภาษา–ชำระเงินหลากสกุล–รีวิวคุณภาพ จะได้เปรียบ
  2. ชุมชน–เมืองรอง โอกาสในการจัด เทศกาลท้องถิ่น/เส้นทางวัฒนธรรม/โฮมสเตย์มาตรฐาน เพื่อรับเม็ดเงินตรงสู่พื้นที่ ควรร่วมมือกับ ททท.–อปท.–เอกชน สร้าง ปฏิทินกิจกรรม ที่สอดรับฤดูกาลและเส้นทางบิน/รถไฟ/รถโดยสาร
  3. แรงงานท่องเที่ยว เมื่อดีมานด์เร่งตัว บทบาท มัคคุเทศก์/พนักงานต้อนรับ/คนขับรถ/ไกด์ท้องถิ่น จะเพิ่มสูง ควรเร่ง อัปสกิลภาษา–ดิจิทัล–มาตรฐานบริการ–ความปลอดภัย เพื่อรองรับทั้งตลาดจีน–เอเชียและตะวันออกกลางที่มีความต้องการเฉพาะทาง (อาหาร/วัฒนธรรม/ศาสนา)

จะ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เอาอยู่ไหม? — เงื่อนไขความสำเร็จในสภาวะกำลังซื้ออ่อน

แม้มาตรการร่วมจ่ายช่วย ปลดล็อกการตัดสินใจ ได้ดีในกลุ่มที่มีศักยภาพใช้จ่ายอยู่แล้ว แต่ในกลุ่มที่ รายได้ตึงตัว/หนี้สูง การ “เพิ่มแรงจูงใจ” ต้องทำมากกว่าราคา เช่น

  • ผูกสิทธิภาษี สำหรับการเดินทางแบบ หมู่คณะ/องค์กร/สหกรณ์ เพื่อดึง ดีมานด์เป็นชุด
  • เล็งฤดูกาล–พื้นที่ ที่รัฐอยากกระจายรายได้ เช่น นอกพีก–เมืองรอง พร้อม คูปองกิจกรรมท้องถิ่น
  • คุมคุณภาพ/ความปลอดภัย ให้ “คุ้มค่าความรู้สึก” ถึงแม้กำลังซื้อจำกัด นักท่องเที่ยวจะยอมจ่ายหากมั่นใจว่าจะได้ ประสบการณ์คุ้มราคา
  • สื่อสารง่าย–จองสะดวก–โปร่งใส ลดต้นทุนเวลาและความสับสนของผู้ใช้สิทธิ

กล่าวอีกนัยหนึ่ง นโยบายร่วมจ่ายจะคุ้มค่า เมื่อทำหน้าที่เป็น “สะพาน” พาคนไทยจาก “อยากไป” สู่ “ตัดสินใจไปจริง” ในจุดที่ตลาดเอกชนเพียว ๆ ยังไปไม่ถึง โดยไม่บิดเบือนตลาดจนเกินไป

เชื่อม “ความปลอดภัย–คุณภาพ” กับ “การดึงต่างชาติ” ให้เดินพร้อมกัน

ในจังหวะเร่งเครื่องต่างชาติ ประเด็น ความปลอดภัย จะถูก จับตาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะตลาดจีนที่อ่อนไหวต่อข่าว/กระแสโซเชียล การประกาศบูรณาการกับ ตำรวจท่องเที่ยว–กองบัญชาการตำรวจนครบาล–หน่วยงานความมั่นคง จึงเป็น ประกันความเสี่ยงด้านความเชื่อมั่น ควบคู่กับการยกระดับ มาตรฐานสถานบริการ–การคุ้มครองผู้บริโภค–การช่วยเหลือนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งจะกลายเป็น ทรัพย์สิน (asset) ระยะยาวของแบรนด์ “Thailand”

ระยะต่อไป ตัวชี้วัดความสำเร็จที่ควรติดตาม

  • จำนวน–ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยนักท่องเที่ยวจาก 7 ตลาด และ สัดส่วนตลาดจีน ในไตรมาสสุดท้าย
  • สัดส่วนการเดินทางสู่นอกพีก/เมืองรอง ภายใต้โครงการร่วมจ่าย
  • ดัชนีความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย และ เวลาการตอบสนองเหตุ ในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ
  • การเติบโตของรายได้ผู้ประกอบการชุมชน และ การจ้างงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เทียบฐานก่อนมาตรการ

นโยบายท่องเที่ยวรอบนี้วางเกมเป็น “สามเหลี่ยมถ่วงดุลต่างชาติ–ในประเทศ–ความปลอดภัย/คุณภาพ/เมืองรอง โดยมีการทูตเศรษฐกิจ (เยือนจีน) เป็นคันเร่งฝั่งอินบาวนด์ และ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เป็นตัวค้ำฝั่งดีมานด์ภายใน การจะ “เอาอยู่” หรือไม่ จึงขึ้นกับ การออกแบบกลไก ให้ เงินรัฐ 1 บาท ดึง เม็ดเงินเอกชนหลายบาท, กระตุ้น การเดินทางที่ต้องการ (นอกพีก–เมืองรอง–กิจกรรมท้องถิ่น), และสร้าง ความเชื่อมั่น ว่าไทยพร้อมทั้งด้าน ความปลอดภัย และ คุณภาพประสบการณ์

จากสัญญาณ Golden Week จีน ที่ดีกว่าเป้า และทิศทางเยือนจีนในเร็ว ๆ นี้ ภาพรวมบอกเราว่า ดีมานด์พร้อมตอบสนอง หากนโยบาย “จับจุดถูก” ส่วนฝั่งในประเทศ หาก เที่ยวไทยคนละครึ่ง ถูกแบบมาอย่างพอดี–โปร่งใส–ใช้ง่าย ก็มีศักยภาพ “แก้ปัญหาถูกที่–ถูกเวลา” ให้เม็ดเงินท่องเที่ยวหมุนไปในพื้นที่ที่ต้องการได้จริง

แก่นสำคัญของไตรมาสสุดท้ายจึงไม่ใช่แค่ “ดึงนักท่องเที่ยวให้มากที่สุด” แต่คือ “ดึง ให้ถูกที่–ถูกช่วง–ถูกกลุ่ม และ ปลอดภัย” เพื่อให้การท่องเที่ยวทำหน้าที่เป็น หัวจักรเศรษฐกิจ ที่ส่งแรงสั่นสะเทือนเชิงบวกไปถึงชุมชนฐานรากอย่างทั่วถึง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • Golden Week โดย นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ (รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้)
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา — นโยบายบูรณาการเพื่อฟื้นตัวภาคท่องเที่ยว, หมายกำหนดการเยือนจีนของ รองนายกรัฐมนตรี ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า และ รัฐมนตรีว่าการ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร เพื่อผลักดันความร่วมมือทวิภาคีด้านการท่องเที่ยว
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ / ตำรวจท่องเที่ยว / กองบัญชาการตำรวจนครบาล
  • กระทรวงการคลัง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY WORLD PULSE

เวียดนามทุบสถิติส่งออกกาแฟทะลุ 7 พันล้านดอลลาร์ บทเรียนยุทธศาสตร์อาเซียน

เวียดนามทุบสถิติโลก “ส่งออกกาแฟทะลุ 7 พันล้านดอลลาร์” ท่ามกลางศึกภาษีสหรัฐฯ บทเรียนเชิงยุทธศาสตร์และแรงสั่นสะเทือนในอาเซียน

กรุงฮานอย/เวียดนาม, 7 ตุลาคม 2568 —ต้นไตรมาสสี่ บนถนนกาแฟย่านโบราณของกรุงฮานอย กลิ่นหอมเข้มจาก โรบัสตา ที่ถูกชงด้วย “ฟินฟิลเตอร์” ยังอยู่คู่วัฒนธรรมเวียดนามดังเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญคือ “มูลค่าทางเศรษฐกิจ” ของเมล็ดเล็ก ๆ เหล่านี้—ที่เพิ่งพาเศรษฐกิจทั้งชาติสร้างสถิติ มูลค่าการส่งออกกาแฟทะลุหลัก 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ท่ามกลางพายุการค้าโลกและมาตรการภาษีจากสหรัฐฯ ที่ยังร้อนระอุ

รายงานจากหน่วยงานเศรษฐกิจเวียดนามสะท้อนภาพเดียวกัน ช่วง 9 เดือนแรก (ม.ค.–ก.ย. 2568) มูลค่าการส่งออกกาแฟพุ่งขึ้น 61% เมื่อเทียบปีก่อน แตะ 6.98 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อรวมระหว่าง ต.ค. 2567–ส.ค. 2568 ตัวเลขรายปี ทะลุ 7 พันล้านดอลลาร์ แล้ว เป็น “การทุบเพดาน” ที่สะท้อนทั้งอุปสงค์โลกที่ยังแกร่ง ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ผันผวนในทางบวก และความสามารถในการผลักดันห่วงโซ่มูลค่า (value chain) ของประเทศผู้ส่งออกอันดับสองของโลก รองจากบราซิล

ขณะเดียวกัน ในสนามการค้ารายใหญ่ที่สุดอย่างสหรัฐอเมริกา เวียดนามยังทำ ดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ ราว 9.9 หมื่นล้านดอลลาร์ ในช่วง 9 เดือน เพิ่มขึ้นถึง 28% แม้จะเจอ “ภาษีทรัมป์ 20%” กับสินค้าหลายรายการตั้งแต่สิงหาคมเป็นต้นมา ภาพรวมจึงไม่ได้มีเพียง กาแฟที่แพงขึ้น” แต่รวมถึงการ ยืนระยะ” ด้านเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร และสินค้าที่อาศัยยุทธศาสตร์ China+1 เป็นแรงหนุนหลัง

กาแฟคือ “ทองคำดำ” ของปี

  • ทำสถิติใหม่ใน 9 เดือน มูลค่าส่งออกกาแฟเวียดนาม 6.98 พันล้านดอลลาร์ เพิ่ม 61% YoY แซงทั้งปีที่ผ่านมาแล้ว
  • รายปีทะลุ 7 พันล้านดอลลาร์ เมื่ออิงรอบ 12 เดือน ต.ค. 2567–ส.ค. 2568 สื่อนานาชาติรายงาน ทะลุ 7 พันล้านดอลลาร์ครั้งแรก
  • โรบัสตาคือพระเอก สายพันธุ์โรบัสตายังเป็นแกนหลัก คิดเป็นมูลค่าราว 4.9 พันล้านดอลลาร์ ในปีนี้ ขณะที่อราบิกายังมีสัดส่วนรอง
  • อานิสงส์ “ราคาโลก + ยุโรป”  ราคากาแฟโลกทำจุดสูงสุดช่วงต้นปี ก่อนปรับฐานและดีดกลับใน ส.ค.–ก.ย. ขณะที่อุปสงค์ยุโรปยังแข็งแรง โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมกาแฟสำเร็จรูปและเบลนด์

ความหมายเชิงโครงสร้าง คือ เวียดนามไม่ได้ชนะเพียง “ปริมาณ” แต่ชนะที่ “มูลค่า” จาก ราคาตลาดโลกที่เป็นใจ + ความพร้อมของซัพพลายเชนปลายน้ำ ตั้งแต่การแปรรูปไปจนถึงการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (hedging) เพื่อบริหารความเสี่ยงราคา

ศึกภาษีสหรัฐฯ ทำไม “เกินดุล” ยังพุ่ง?

แม้สหรัฐฯ จะบังคับใช้มาตรการภาษีในอัตรา 20% กับสินค้าหลายหมวดจากเวียดนามตั้งแต่เดือนสิงหาคม เวียดนามยังรักษา “แรงส่ง” ได้ด้วย 4 ปัจจัยหลัก

  1. ค่าเงินดองอ่อนค่า ทำให้ราคาสินค้าเวียดนามถูกลงในสกุลดอลลาร์ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
  2. ภาษีตอบโต้ยังแข่งขันได้ เทียบกับผู้ผลิตในเอเชียบางประเทศที่เผชิญอัตราภาษี 19%–50%
  3. ย้ายฐาน China+1 ผู้ผลิตข้ามชาติเร่งกระจายความเสี่ยงจากจีน สร้างคำสั่งซื้อใหม่ในเวียดนาม
  4. โครงสร้างสินค้า ไปสหรัฐฯ ยังมีหมวดที่ฟอร์มดี เช่น คอมพิวเตอร์/อิเล็กทรอนิกส์ (~30.3 พันล้านดอลลาร์) และ เครื่องจักร (~17.4 พันล้านดอลลาร์)

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ทุกหมวดจะชนะ เสื้อผ้า โทรศัพท์มือถือ และรองเท้า หดตัวแรง ตามรายงานรายเดือน สะท้อนว่า “ภาษี + อุปสงค์เฉพาะหมวด” สั่นคลอนอุตสาหกรรมที่พึ่งแรงงานเข้มข้นมากกว่าอุตสาหกรรมเทคและเครื่องจักร

GDP โต 8.2% ในไตรมาส 3 แต่เป้าหมายทั้งปียัง “โหด”

  • GDP ไตรมาส 3/2568 = 8.2% YoY แข็งแกร่งอันดับสองตั้งแต่ปี 2554 แรงขับจาก อุตสาหกรรม–ก่อสร้าง–บริการ
  • 9 เดือนแรก โต 7.85% และ เกินดุลการค้ารวม 16.8 พันล้านดอลลาร์
  • โจทย์ไตรมาส 4 หากต้องการแตะเป้าหมายทั้งปี 8.5% จำเป็นต้องโต 10.2% ในไตรมาส 4 ซึ่งสูงกว่าฐานจริงของปีก่อน (ไตรมาส 4/2567 = 7.6%)

ภาพรวมเชิงนโยบาย เวียดนามยังคงยึดเส้นทาง “ประเทศกำลังพัฒนาฐานอุตสาหกรรมสมัยใหม่ รายได้ปานกลางระดับบนภายในปี 2573” โดย GDP ต่อหัว ปี 2567 อยู่ราว 4,700 ดอลลาร์ หัวรถจักรคือภาคอุตสาหกรรม–บริการ ขณะที่เกษตร–ป่าไม้–ประมงมีสัดส่วนต่ำกว่า 10% แต่ยังมี “สินค้าเรือธง” อย่างกาแฟที่ต่อท่อรายได้สกุลดอลลาร์ให้ประเทศ

กลไกกาแฟเวียดนาม ทำไมถึง “วิ่งแซง” ตลาดโลก

  1. ฐานการผลิตกระจาย—แต่รวมศูนย์เชิงระบบ
    ภูมิภาค Central Highlands (โดยเฉพาะดั๊กลั๊ก ลำดง เกียไล) ปลูกโรบัสตาเป็นหลัก มีระบบ สหกรณ์–ผู้ส่งออก–ผู้แปรรูป ที่เชื่อมต่อกันและเข้าถึงการเงิน/ความรู้มากขึ้น
  2. ยกระดับหลังสวน (post-harvest) และมาตรฐาน
    การคัดคุณภาพ การลดความชื้น การคั่ว–บด และมาตรฐานความปลอดภัยอาหารทำได้สม่ำเสมอมากขึ้น จึง ขายมูลค่า ไม่ใช่แค่ขาย “ตันละเท่าไร”
  3. บริหารราคาเชิงรุก
    ผู้เล่นรายใหญ่ใช้สัญญาล่วงหน้า (hedging) และกระจายตลาดทั้งยุโรป–เอเชีย–อเมริกา ช่วยคุมความเสี่ยง ราคาผันผวน และล็อกส่วนต่างกำไร
  4. เล่าเรื่องชาติ—วางแบรนด์กาแฟ
    จาก “กาแฟข้น–เข้ม–หวาน” เวียดนามขยับสู่ ความหลากหลายของเมนูและโพรไฟล์รสชาติ เปิดพื้นที่พรีเมียมควบคู่โรบัสตาแมส

สารสะท้อนถึงไทย โอกาสและแรงกดดัน “สองชั้น” ในตลาดกาแฟโลก

ไทย—โดยเฉพาะ ภาคเหนือ (เชียงใหม่–เชียงราย) และ ภาคใต้ (ชุมพร)—มีทรัพยากรภูมิอากาศเหมาะสมสำหรับ อราบิกา และโรบัสตาเชิงพาณิชย์ แต่จุดอ่อนคือ สเกลและมาตรฐานหลังสวน ที่ยังไม่สม่ำเสมอเท่าเวียดนาม หากไทยต้องการ “เข้าเส้นเลือด” ของตลาดยุโรป–ภูมิภาคที่เน้นมาตรฐาน จำเป็นต้อง:

  • ยกระดับ post-harvest ให้ได้มาตรฐานเดียว (ความชื้น–การคัด–การเก็บรักษา)
  • รวมกลุ่ม–สัญญาการตลาด กับผู้คั่ว–ผู้ซื้อรายใหญ่ เพื่อสร้างความแน่นอนด้านราคา
  • แบรนด์ภูมิภาค ผลักดัน GI/Single Origin (เช่น ดอยตุง ดอยช้าง แม่สลอง) ให้มีเรื่องเล่า–มาตรฐาน–รสชาติที่คาดเดาได้

ในศึกส่งออกไปสหรัฐฯ และอาเซียน

หากเวียดนามยัง “รักษาระยะ” เกินดุลกับสหรัฐฯ ได้แม้ภาษีขึ้น ขณะที่ฐานการผลิตอิเล็กทรอนิกส์–เครื่องจักร กระชับกับห่วงโซ่โลก มากขึ้น ไทยจำเป็นต้อง:

  • ลดต้นทุนเชิงโครงสร้าง (โลจิสติกส์–พลังงาน–กฎระเบียบ) ให้แข่งขันได้
  • เจาะช่องว่างที่เวียดนามอ่อนแรง จากภาษีในหมวดเสื้อผ้า/รองเท้า ด้วยคุณภาพ–ความเร็ว–ดีไซน์
  • ดึง FDI คุณภาพสูง ในหมวดที่ไทยมีระบบซัพพลายเชนเข้มแข็ง (ยานยนต์ใหม่–ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เฉพาะทาง–อาหารแปรรูปพรีเมียม)

สงครามราคาที่ไม่ใช่แค่ “ราคา”  บริหารความเสี่ยงเหวี่ยงของโภคภัณฑ์

ราคากาแฟที่พุ่งและผันผวนคือ ดาบสองคม ด้านดีช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออก ด้านเสี่ยงคือ ความผันผวนรายได้เกษตรกร–ผู้ประกอบการ หากไม่มีเครื่องมือบริหารความเสี่ยง ไทยและผู้ผลิตรายย่อยในอาเซียนควรเร่ง:

  • เข้าถึงองค์ความรู้สัญญาล่วงหน้า–ประกันความเสี่ยง ผ่านสหกรณ์/ธนาคารของรัฐ
  • กระจายพืช–กระจายตลาด เพื่อไม่ “ผูกชะตา” กับพืชชนิดเดียว
  • ยกระดับข้อมูลตลาด (market intelligence) แบบใกล้เคียงเรียลไทม์ เพื่อปรับแผนการขาย–สต็อก

เวียดนามในเส้นทาง “ประเทศอุตสาหกรรมสมัยใหม่”

  • เป้าหมาย 2573 เป็นประเทศรายได้ปานกลางระดับบน ฐานอุตสาหกรรมสมัยใหม่
  • โครงสร้าง GDP บทบาทบริการ >50%, อุตสาหกรรม–ก่อสร้าง >40%, เกษตร <10%
  • เครื่องยนต์ กาแฟคือ soft power ทางเกษตรที่แปรเป็นดอลลาร์ ส่วนเครื่องจักร–อิเล็กทรอนิกส์คือฐานรายได้ใหม่

สำหรับไทย บทเรียนจากเวียดนามคือ ความสม่ำเสมอเชิงระบบ” ตั้งแต่หลังสวน–แปรรูป–โลจิสติกส์–การเงิน ไปจนถึง สัญญาตลาดและแบรนด์ เมื่อองค์ประกอบทั้งห้า “ล็อกเข้าที่” ผลลัพธ์ที่ได้คือ ตัวเลขส่งออกที่ยืนระยะ แม้เผชิญแรงกดดันภายนอก

จะ “ไล่ให้ทัน” หรือ “แซงในเลนถนัด” ของไทย

  1. กาแฟไทย = คุณค่าไม่ใช่ปริมาณ
    ใช้ “เรื่องเล่าภูมิประเทศ + มาตรฐานหลังสวน + นักคั่ว–บาริสต้ามืออาชีพ” จับตลาดพรีเมียม–ท่องเที่ยวกาแฟ (coffee tourism) โดยเฉพาะภาคเหนือ
  2. เครื่องจักร–อิเล็กทรอนิกส์ = โฟกัสช่องเฉพาะ
    ลงทุนใน นิคมอัจฉริยะ พลังงานสะอาด–โลจิสติกส์รวดเร็ว–ทักษะฝีมือขั้นสูง สร้างข้อได้เปรียบเชิงคุณภาพแทนสงครามราคาตรง ๆ
  3. การค้ายุคภาษี–ภูมิรัฐศาสตร์
    เร่ง ทำความตกลงย่อยกับรัฐ–เมือง–ผู้ซื้อรายใหญ่ สร้าง “ทางลัด” ให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงซัพพลายเชน แม้เผชิญภาษี
  4. ข้อมูล–การเงิน–ความเสี่ยง
    ตั้ง ศูนย์ข้อมูลโภคภัณฑ์ระดับจังหวัด/ภูมิภาค เชื่อมตลาดโลก + เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงสำหรับเกษตรกร–SMEs

การที่เวียดนาม ส่งออกกาแฟทะลุ 7 พันล้านดอลลาร์ พร้อมรักษาแรงส่งการค้ากับสหรัฐฯ ในเงื่อนไขภาษีใหม่ สะท้อน ความพร้อมของระบบ มากกว่าวาระแห่งปี กาแฟจึงไม่ใช่เพียงเครื่องดื่ม แต่คือ ยุทธศาสตร์ชาติ ที่เชื่อมเกษตร—อุตสาหกรรม—การค้า—การเงินเข้าไว้ด้วยกัน

สำหรับไทย สัญญาณนี้เป็นทั้ง แรงบันดาลใจและสัญญาณเตือน ว่า การยกระดับ หลังสวน–มาตรฐาน–แบรนด์–ตลาด–การเงิน ต้องเดินพร้อมกัน จึงจะเปลี่ยน “ของดีในพื้นที่” ให้เป็น “มูลค่าในโลก” ได้อย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Vietnam General Statistics Office (GSO)
  • Vietnam Customs (General Department of Vietnam Customs)
  • Nikkei Asia
  • Xinhua News Agency
  • Vietnam National Coffee & Cocoa Association (VICOFA)
  • International Coffee Organization (ICO)
  • U.S. Trade Policy/Notices
  • กระทรวงอุตสาหกรรม–กระทรวงพาณิชย์ไทย / กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

โกลเดนวีคดันยอดจีนพุ่ง! ตั๋วกลับปักกิ่งดีด 400% โจทย์ใหญ่เชียงรายคือ “ประสบการณ์ปลายทาง”

พร้อมรับนักท่องเที่ยวจีนหรือยัง? “โกลเดนวีค” ดันยอดผู้มาเยือนพุ่ง—ตั๋วกลับปักกิ่งดีด 400% สะท้อนพลังดีมานด์ แต่โจทย์สำคัญคือ “ประสบการณ์ปลายทาง”

เชียงราย, 6 ตุลาคม 2568 — ช่วงเวลา 9 วันของ “โกลเดนวีคจีน” (28 ก.ย.–6 ต.ค.) ปีนี้ทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวไทยคึกคักเป็นพิเศษ เที่ยวบินจากเมืองหลัก–เมืองรองของจีนทะยอยลงจอดแน่นทุกสนามบินหลัก ขณะที่ตัวเลขรายงานจากสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ระบุชัดว่าอัตราผู้โดยสารเฉลี่ยพุ่งแตะ 99% และจำนวนผู้เดินทางชาวจีน “ต่อวัน” ขยับจากราว 11,000 คนไปใกล้ 24,000 คน/วัน ก่อนทรงตัวเหนือ 22,000 คน/วัน ณ วันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา ในสัปดาห์เดียว (26 ก.ย.–2 ต.ค.) นักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 586,942 คน ในจำนวนนี้ ชาวจีน 123,752 คน หรือ 21% ของทั้งหมดยืนยันการกลับมาของตลาดจีนอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกัน “สัญญาณแรง” อีกด้านคือราคาตั๋วขากลับเส้นทาง กรุงเทพฯ–ปักกิ่ง ที่ดีดขึ้นกว่า 400% ไปแตะ 4,000–5,800 หยวน ในช่วง 7–9 ต.ค. สะท้อนดีมานด์เร่งตัวกว่าปกติหลายเท่าและที่นั่งกลับ “แทบเต็ม” แทบทุกสายการบิน (China Eastern, Hainan Airlines, Air China รวมถึง Vietjet) ซึ่งสื่อไทยหลายสำนักรายงานอย่างต่อเนื่องในสัปดาห์นี้

คำถามใหญ่ที่ผุดขึ้นทันทีสำหรับเมืองท่องเที่ยวที่มีอัตลักษณ์เข้มข้นอย่าง เชียงราย คือ “เรา พร้อม แค่ไหนในการเปลี่ยน ปริมาณ ให้เป็น คุณภาพ”—พร้อมแค่ไหนที่จะทำให้คลื่นนักท่องเที่ยวจีนที่กลับมา “ซ้ำเที่ยว–นานวัน–ใช้จ่ายคุ้มค่า” แทนที่จะเป็นเพียงตัวเลขผ่านเข้า–ออกสนามบิน

 

โอกาสทางเศรษฐกิจที่ “เห็น–จับต้องได้”

  • ตัวเลขดีมานด์ โกลเดนวีคปีนี้ นักท่องเที่ยวจีนเข้าประเทศเฉลี่ยวันละเกือบ 2 หมื่นปลาย ที่นั่งเที่ยวบินกลับ “แน่น” จนราคาดีด 4 เท่า ในบางวัน หลังวันหยุดยาว—a classic supply–demand shock ที่ชี้ว่าความต้องการมาเที่ยวไทยยังแข็งแรง (และ พร้อมจ่าย หากประสบการณ์คุ้มค่า)
  • การกระจายรายได้ โรงแรม ร้านอาหาร ผู้ประกอบการทัวร์ สายการบิน ได้อานิสงส์ตรง ๆ โดยสื่อเศรษฐกิจประเมินเทรนด์ “คึกคัก” และการฟื้นตัวที่เห็นชัดในหลายเมืองหลัก–รอง ซึ่งเป็นสัญญาณให้จังหวัดนอกหัวเมืองใหญ่ “เร่งคว้าโอกาส” ขณะดีมานด์ยังพุ่ง

เชียงรายในฐานะ เมืองศิลป์ริมโขง ศูนย์กลางวัฒนธรรมล้านนา–ชนเผ่า–กาแฟ–ชา” มีทุนทางการท่องเที่ยวชัดเจน ทั้งแลนด์มาร์กเชิงศิลปะ (วัดร่องขุ่น/วัดร่องเสือเต้น/บ้านดำ) ธรรมชาติ (ดอยตุง–แม่สลอง–สามเหลี่ยมทองคำ) และไลฟ์สไตล์ (คาเฟ่สเปเชียลตี้–ไร่ชา–งานคราฟต์) ที่ตรงรสนิยม “ประสบการณ์เชิงวัฒนธรรม+ภาพถ่ายสวย+อาหารเครื่องดื่มมีเรื่องเล่า” ของนักท่องเที่ยวยุคหลังโควิดโดยเฉพาะกลุ่ม FIT (เดินทางอิสระ) รุ่นใหม่จากจีนแผ่นดินใหญ่

 

พุ่งแรง” แต่ “พร้อมจริง” หรือยัง 5 มุมวิจารณ์ความพร้อมเชียงราย

แม้คลื่นนักท่องเที่ยวจีนจะเป็นข่าวดี แต่การแปลงโอกาสให้เป็น คุณภาพการเติบโต ต้องตอบคำถามความพร้อมเชิงระบบ ดังนี้

1) การเข้าถึงปลายทาง (Accessibility)

  • เที่ยวบิน–การเชื่อมต่อ ขณะกรุงเทพฯ–ภูเก็ต–เชียงใหม่ คือสามหัวรถจักรหลักของนักท่องเที่ยวจีน การดึง “ไฟลต์ตรง” สู่เชียงรายอาจยังจำกัดตามฤดูกาลและดีมานด์ (ขึ้นกับสายการบินจีน/ไทย) ช่วงพีกจึงเป็นหน้าต่างเวลาทองสำหรับภาคเอกชน–สมาคมท่องเที่ยวในพื้นที่ในการ หารือจับคู่เส้นทางเช่าเหมาลำ/ตามฤดูกาล พร้อมแพ็กเกจร่วมกับผู้ให้บริการภาคพื้น (ที่พัก–รถเช่า–แหล่งท่องเที่ยว) ให้สายการบินเห็นภาพรายได้สุทธิชัดเจน
  • เชื่อมต่อบก หากนักท่องเที่ยวลงเชียงใหม่แล้วต่อรถขึ้นเชียงราย สิ่งที่ต้องทำคือ ปรับมาตรฐานรถ–คนขับ–ไกด์ และจุดแวะพักให้ “ปลอดภัย สะอาด มีภาษา” เพราะความรู้สึก “ปลอดภัย–ไว้ใจได้” คือจุดตัดสินใจกลับมาซ้ำเที่ยวของตลาดจีน

2) ที่พัก–บริการ (Hospitality & Inventory)

  • โกลเดนวีคทำให้ ห้องพีก–ห้องสวย ในเมืองท่องเที่ยวถูกจองแน่นเร็ว ราคาขยับขึ้นตามดีมานด์—เชียงรายควรบริหาร สมดุลราคา–คุณค่า (value for money) ให้ดี เพื่อไม่ให้เกิดภาพ “แพงฉับพลัน” เพราะความยั่งยืนของตลาดอยู่ที่ อัตราการกลับมาใหม่ มิใช่ “ขายแพงครั้งเดียวแล้วหาย”
  • โฮมสเตย์/ที่พักชุมชน/โฮเทลสไตล์บูทีคที่เล่าเรื่องชุมชน–กาแฟ–ชา ควร มาตรฐานด้านความสะอาดและความปลอดภัย ตลอดจน ช่องทางชำระเงินดิจิทัล เป็นมิตรกับผู้ใช้จีน (QR/อีวอลเล็ตสากล/บัตร) เพื่อปิดจุดปวดเวลาเช็คอิน–เช็คเอาต์

3) ภาษา–ไกด์–สื่อสาร (Language & Content)

  • ประสบการณ์ดี ๆ ในเชียงรายจำนวนมาก “ขายได้ด้วยการเล่าเรื่อง” ตั้งแต่ พิพิธภัณฑ์ศิลป์ ไปจนถึง คาเฟ่สเปเชียลตี้ และ สวนชา/ไร่กาแฟ หากมี เมนู–ป้าย–โบรชัวร์ภาษาจีนกลาง/อังกฤษ ที่ถูกต้อง อ่านง่าย มี คิวอาร์โค้ดสแกนอ่านรีวิว/คอนเทนต์ จะเพิ่ม conversion จาก “มาเช็กอิน” เป็น “ใช้เวลา–ใช้จ่าย”
  • มัคคุเทศก์ท้องถิ่น ที่มีความรู้วัฒนธรรมชนเผ่า–ศิลปะ–อาหารพื้นถิ่น จะยกระดับมูลค่าใช้จ่ายต่อหัว ทัวร์ชา/กาแฟ (cupping–hand drip) เวิร์กช็อปศิลป์/งานคราฟต์–ทอผ้า–ย้อมคราม–เครื่องเงิน ฯลฯ

4) ความปลอดภัย–ความเชื่อมั่น (Safety & Trust)

  • รายงานข่าวระดับประเทศชี้ปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนที่กลับมาแรงปีนี้ ได้แก่ “เสถียรภาพการเมือง” และ “ปฏิบัติการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ข้ามชาติในอาเซียน” ทำให้สื่อจีนรายงานภาพบวก—ไทยเป็นจุดหมาย “ปลอดภัย–บริการดี–เป็นมิตร” ซึ่งเป็นฐานที่เชียงรายต้องรักษาให้มั่น ด้วยมาตรการพื้นที่ กล้องวงจรปิด–ไฟส่องสว่าง–รถตำรวจท่องเที่ยว/อาสา และ ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวหลายภาษา ในย่านท่องเที่ยวหลัก

5) ประสบการณ์ที่ “ใช่” สำหรับชาวจีน (China-fit Experiences)

จากพฤติกรรมผู้เดินทางจีนยุคใหม่ (โดยเฉพาะ Gen Z–มิลเลนเนียล) จุดขายที่สอดคล้องกับเชียงราย ได้แก่

  • เส้นทางศิลป์+คาเฟ่สเปเชียลตี้+โลคัลคราฟต์ เดย์ทริป “วัด–งานศิลป์–เวิร์กช็อป–คาเฟ่” พร้อมเซ็ตภาพถ่าย (photo spots)
  • ชา–กาแฟ–ฟาร์มทัวร์ ดอยตุง–แม่สลอง–ม้ง–อาข่า เชื่อมการ “ชิม–ช้อป–ชง” พร้อมคิตของฝากจับต้องได้ (กาแฟ/ชา/ขนมพื้นถิ่นพร้อมแพ็กจิ้ง)
  • กินท้องถิ่นอย่างเข้าใจ เมนูเล่าเรื่อง “แกงฮังเล–น้ำพริกหนุ่ม–แกงแค–ข้าวซอย” เป็นภาษาจีน พร้อม ตัวเลือกเผ็ดระดับ–ฮาลาล–วีแกน เพราะกรุ๊ปเพื่อน/ครอบครัวจีนมีความหลากหลายสูง
  • เทศกาล–แลนด์สเคปไฟฤดูหนาว หากจังหวัดและเอกชนร่วมกันต่อยอดกิจกรรมฤดูหนาว (ลอยกระทง–ไฟประดับ–งานคริสต์มาส–ปีใหม่) ให้เกิด ธีมเดียวกันทั้งเมือง จะสร้างแรงดึงดูด “อยู่ยาวขึ้น–กลับมาอีกปีหน้า”

 

ด้านสว่าง–ด้านท้าทาย ข้อเท็จจริง 6 ประการที่ผู้ประกอบการเชียงรายควรรู้

  1. ดีมานด์จีน “กลับมาแรง” จริงตามข่าว
    ตัวเลขรายสัปดาห์ 26 ก.ย.–2 ต.ค. 2568 ชาวจีนเข้าไทย 123,752 คน (21% ของต่างชาติทั้งหมด 586,942 คน) และรายวันขยับแตะ เกือบ 24,000 คน ก่อนทรงตัวเหนือ 22,000 คน ณ 2 ต.ค.—นี่ไม่ใช่ “สัญญาณลวง” แต่คือแรงซื้อที่ต้องรับมือด้วยสินค้า–บริการคุณภาพ
  2. ภาคการบิน “อัดแน่น” จนราคาขากลับดีด 400%
    เส้นกรุงเทพฯ–ปักกิ่งช่วง 7–9 ต.ค. ขึ้นไป 4,000–5,800 หยวน จากเดิม 1,500–2,000 หยวน ขณะที่นั่งกลับ “เกือบเต็มทุกไฟลต์”—แปลว่าความพร้อมของ “ปลายทาง” ต้องรองรับ แรงกระแทกของจำนวน โดยไม่ลดทอนคุณภาพ Mgr Online
  3. โอกาสของเมืองรอง
    รายงานเศรษฐกิจชี้นักท่องเที่ยวจีน เริ่มกระจายตัว นอกเมืองหลักมากขึ้น การจัดแพ็กเกจ “เชียงใหม่–เชียงราย” หรือ “เชียงราย–ลาว/พม่า (ชายแดนท่องเที่ยว)” ที่สื่อสารชัด จะดึงทริปให้อยู่ภาคเหนือ 2–4 คืน แทน 1–2 คืน เพิ่มค่าใช้จ่ายต่อทริป pptvhd36.com
  4. ภาพลักษณ์ความปลอดภัยสำคัญกว่าราคา
    การสื่อสาร proactive ด้านความปลอดภัย–การช่วยเหลือนักท่องเที่ยว (เบอร์ติดต่อ/จุดช่วยเหลือ/แผนที่จีน/คิวอาร์) ในช่องทาง WeChat–红书 (RED)–抖音 (Douyin) ของผู้ประกอบการและหน่วยงานท้องถิ่น มีผลต่อการ “ตัดสินใจ–บอกต่อ” แรงกว่าการลดราคา
  5. คุณภาพบริการคือจุดคัดแยก
    ในเมื่อ “ที่นั่งบินกลับ” ยังเป็นคอขวดเป็นระยะ นักท่องเที่ยวพร้อม “เลือกจ่ายแพงขึ้น” ถ้าเชื่อว่าประสบการณ์คุ้ม—จุดนี้เชียงรายได้เปรียบด้วยสินค้าท้องถิ่นมีเรื่องเล่า หาก มาตรฐานบริการ–ภาษา–การชำระเงิน ไหลลื่น
  6. Data-driven & Co-op Marketing
    ผู้ประกอบการรายย่อยควรจับมือเป็น คลัสเตอร์ (ที่พัก–ร้านอาหาร–คาเฟ่–ชุมชน–รถเช่า–มัคคุเทศก์) ทำแพ็กเกจรวม + เก็บ รีวิวจีนคุณภาพ เพื่อดันอันดับค้นหาแพลตฟอร์มยอดนิยม (Trip.com/Fliggy/RED/Douyin) ให้เกิด ความน่าเชื่อถือร่วม มากกว่าทำเดี่ยว ๆ

 

กลยุทธ์ “พร้อมรับ–พร้อมรุก” สำหรับเชียงราย (เช็กลิสต์ทำได้ทันที)

ระยะสั้น (1–3 เดือน นับจากโกลเดนวีค)

  • ภาษา–เมนู–ป้าย–คิวอาร์จีน ให้ครบในย่านท่องเที่ยวหลัก (วัดร่องขุ่น/ร่องเสือเต้น/ไนท์บาซาร์/ถนนคนเดิน/ไร่ชา–กาแฟ)
  • FAST-TRACK Service Mind จุดจอด–จุดรับส่งทัวร์, ห้องน้ำสะอาด, มุมพัก นทท., จุดถ่ายรูป—จัดให้ชัดและ “เป็นมิตรกับคิว”
  • ชุดประสบการณ์รวดเร็ว (2–3 ชม.) สำหรับนักท่องเที่ยวผ่านเมือง เช่น “ศิลป์–กาแฟ–ของฝาก” พร้อมบัตรส่วนลดกลับมาพักคืนหน้า

ระยะกลาง (3–12 เดือน)

  • Seasonal Charter/ไฟลต์พิเศษจีน–เชียงราย จับคู่สายการบิน + ผู้ประกอบการพื้นที่ ทำแพ็กข้ามเมือง “เชียงใหม่–เชียงราย” 3D2N/4D3N
  • เทศกาลฤดูหนาวธีมเดียวทั้งเมือง ประสานเทศบาล–เอกชน–แหล่งท่องเที่ยว ต่อยอดไฟประดับ–อีเวนต์ศิลป์–ดนตรี–ชิมชา/กาแฟ
  • มาตรฐานโฮมสเตย์/คอมมูนิตี้–จีนเฟรนด์ลี่ (ภาษา–ความสะอาด–อีเพย์เมนต์) พร้อมคอร์สสั้นสำหรับผู้ประกอบการ

ระยะยาว (มากกว่า 12 เดือน)

  • สร้างซิกเนเจอร์ระดับภูมิภาค “เชียงราย เมืองศิลป์–ชา–กาแฟของอาเซียน” เชื่อม Soft Power อาหารเหนือ–งานคราฟต์–คาเฟ่วิวไร่ชา
  • ศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยวดิจิทัลหลายภาษา (รวมภาษาจีน) ที่อัปเดตรายสัปดาห์ อีเวนต์, สภาพอากาศ, มลพิษ, งานเทศกาล, การเดินทาง
  • พัฒนาเครือข่ายมัคคุเทศก์ท้องถิ่นรุ่นใหม่ เน้นเล่าเรื่องชนเผ่า–ศิลป์–ธรรมชาติอย่างเข้าใจบริบทจีน (มารยาท–ศาสนา–การถ่ายภาพในวัด)

 

มุมมองเศรษฐศาสตร์การท่องเที่ยว “ราคาแพง” ไม่ใช่ปัญหา ถ้า “คุณค่า” ชัด

ราคาตั๋วขากลับที่พุ่ง 400% ทำให้บางคนกังวลว่าอาจ “ปิดประตู” นักท่องเที่ยวจีนกลุ่มประหยัดในอนาคต แต่งานวิจัยท่องเที่ยวจำนวนมากชี้ไปในทางเดียวกันว่า—ปัจจัยตัดสินใจหลัก ของนักท่องเที่ยวคุณภาพไม่ใช่ “ราคาตั๋วอย่างเดียว” หากคือ ประสบการณ์ปลายทาง” ที่คุ้มค่าเวลา–เงิน–ภาพจำ โดยเฉพาะตลาดจีนยุคใหม่ที่แสวงหา ความหมาย มากกว่า “ช้อป–เช็กอิน” แบบเดิม

ดังนั้น หากเชียงราย ยกระดับคุณค่าประสบการณ์ ให้เด่นชัด (ศิลป์–วัฒนธรรม–ชา/กาแฟ–ชุมชน–ธรรมชาติ) พร้อม บริการลื่นไหล (ภาษา–ชำระเงิน–ความปลอดภัย) ความยืดหยุ่นด้านราคาจะสูงขึ้น นักท่องเที่ยว พร้อมยอมรับค่าเดินทางที่สูงขึ้นเป็นครั้งคราว และยังวางแผน “กลับมา–แนะนำเพื่อน” ซึ่งสร้าง มูลค่าอายุลูกค้า (LTV) สูงกว่าการหวังปริมาณระยะสั้น

 

ก่อนไฮซีซันเหนือจะเริ่มเต็มตัว

  1. ข้อมูลรวมศูนย์ นักท่องเที่ยวจีนต้องการข้อมูลที่ อัปเดต–เชื่อถือได้–หลายภาษา (เวลาเปิด–ปิด, กฎการแต่งกายวัด, วิธีไป–จอดรถ, งานเทศกาล) การรวมข้อมูลไว้ใน เว็บ/ไลน์/WeChat/QR เดียว ของจังหวัดจะลดคำถามซ้ำ–ลดประสบการณ์สะดุด
  2. มาตรฐานทัวร์–รถ–คนขับ ป้องกันข่าวลบ/อุบัติเหตุ—สร้าง ไวท์ลิสต์ ผู้ให้บริการผ่านอบรม พร้อมสติกเกอร์รับรองชัดเจน
  3. ฝุ่นควัน–สภาพอากาศ สื่อสารเชิงรุกเรื่อง ช่วงเวลาที่เหมาะเที่ยว–มุมชมวิว–กิจกรรมในร่ม และพยากรณ์รายสัปดาห์ เพื่อบริหารความคาดหวัง
  4. ของแท้–ราคายุติธรรม สินค้าชุมชน–ของฝากต้อง มาตรฐานราคา ชัด ลดช่องว่างการต่อราคาแรง เพื่อความสบายใจและความรู้สึก “แฟร์”

 

ให้ “ผังเมืองท่องเที่ยว” ตอบว่าเชียงรายพร้อมหรือยัง

ตัวเลข โกลเดนวีคปีนี้บอกเราว่า จีนกลับมาแล้ว—แรงและกว้างกว่าที่คาด อัตราผู้โดยสารเฉลี่ยแตะ 99% และจำนวนผู้เดินทางจีน แตะ 24,000 คน/วัน ในบางวัน ขณะที่ราคาตั๋วกลับ ดีด 4 เท่า เป็นภาพสะท้อนดีมานด์ชัดเจน ทว่า ความพร้อมจริง ของเชียงรายวัดกันที่ “ประสบการณ์ปลายทาง” ตั้งแต่ จุดลงสนามบิน–การเดินทาง–ภาษา–เมนู–ความปลอดภัย–กิจกรรม–เทศกาล ไปจนถึง คุณภาพที่พักและบริการ

หากเชียงรายทำให้ เส้นทางศิลป์–ชา–กาแฟ–ชุมชน กลายเป็น ประสบการณ์ที่เล่าเรื่องได้หลายภาษา เชื่อมด้วย บริการที่ลื่นไหล และ เทศกาลฤดูหนาว ที่ทั้งเมืองร่วมมือกันขับเคลื่อน—คำตอบเรื่องความพร้อม จะชัดเจนเองจาก รีวิว–การกลับมาเยือน–ค่าใช้จ่ายต่อทริป ที่สูงขึ้นอย่างยั่งยืน

ท้ายที่สุด ผู้อ่านในฐานะ “ผู้มีส่วนร่วม” ก็มีบทบาท—เลือก–รีวิว–สนับสนุนบริการที่ซื่อสัตย์และคุณภาพ เพื่อส่งสัญญาณให้ตลาดขยับไปสู่มาตรฐานที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน

คำถามชวนคิด เมื่อราคาตั๋วกลับปักกิ่งสามารถดีดขึ้น 400% ได้ในช่วงพีก—สิ่งที่เชียงรายควรเร่งทำ ไม่ใช่กังวลเรื่อง “แพง–ถูก” แต่คือการทำให้ทุก “หยวน” ที่นักท่องเที่ยวจ่าย ซื้อเวลาและความทรงจำที่คุ้มค่า จนอยากกลับมาอีกครั้ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เชียงรายผงาด! ค้าปลีกโตสวนเศรษฐกิจภาคเหนือ ด้วยพลังโลจิสติกส์ชายแดน

ค้าปลีกเชียงรายโตสวนกระแสเศรษฐกิจเหนือ เบื้องหลังตัวเลข “+1.7% QoQ” ในไตรมาส 2/2568 จากแรงอัดฉีดรัฐ–พลังการค้าชายแดน และบททดสอบครึ่งปีหลัง

เชียงราย, 3 ตุลาคม 2568 — กลางบรรยากาศค้าขายคึกคักบริเวณด่านพรมแดนแม่สาย–ท่าขี้เหล็ก รถบรรทุกผลไม้และสินค้าอุปโภคบริโภคทยอยผ่านเข้าออกอย่างต่อเนื่อง ร้านค้าปลีก–ค้าส่งตลอดแนวชายแดนชูโปรโมชันรับลูกค้าชาวไทย–เมียนมา–ลาว ในช่วงเวลาที่หลายจังหวัดภาคเหนือยังจับจ่ายระมัดระวังมากขึ้น ตัวเลข “ขายดีผิดคาด” ของเชียงรายถูกยืนยันด้วยรายงานผลสำรวจเบื้องต้นของ สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) ว่าใน ไตรมาส 2 ปี 2568 ธุรกิจการขายปลีกสินค้าและงานบริการของจังหวัด ขยายตัวเมื่อเทียบไตรมาสก่อน (+1.7% QoQ)

ตัวเลขดังกล่าวโดดเด่นด้วยสองเหตุผลสำคัญ หนึ่ง—มันสวนทางกับ “สัญญาณชะลอ” ของการบริโภคในภาคเหนือโดยรวมที่เริ่มอ่อนแรงลง และสอง—มันเผยให้เห็น “โครงสร้างแรงขับ” ที่ไม่ได้มาจากกำลังซื้อครัวเรือนเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก การเร่งตัวของการใช้จ่ายภาครัฐ และ ความแข็งแกร่งของการค้าชายแดน ซึ่งทั้งสองปัจจัยสะท้อนบทบาทของเชียงรายในฐานะ “หัวสะพานเศรษฐกิจ” ของล้านนาตะวันออกเฉียงเหนือที่เชื่อมลาว–เมียนมา–จีนตอนใต้

เลนส์ตัวเลข โตจาก “รายรับรวม” ขณะ “สต็อก” ประเทศลดลง

ข้อมูลภาพรวมจาก “การสำรวจยอดขายรายไตรมาส พ.ศ. 2568 ไตรมาส 1–2” ของ สสช. ระบุว่ามูลค่ายอดขาย/รายรับรวมของธุรกิจค้าปลีกและบริการในประเทศ เพิ่มขึ้น 1.7% QoQ ในไตรมาส 2/2568 ขณะเดียวกัน มูลค่าสินค้าคงเหลือของธุรกิจค้าปลีกโดยรวมลดลง 2.8% QoQ สะท้อนการระบายสต็อกที่ดีขึ้นในหลายหมวด โดยเฉพาะหมวดที่ก่อนหน้าเผชิญต้นทุนและภาวะระบายสินค้าช้าจากเศรษฐกิจอ่อนแรง

หาก “ซูม” มาที่เชียงราย รายได้ค้าปลีก/บริการที่ทยอยดีขึ้นสอดรับกับกิจกรรมเศรษฐกิจที่เข้มข้นขึ้นในพื้นที่ โดยเฉพาะ กิจกรรมโลจิสติกส์–เชื้อเพลิง–วัสดุก่อสร้าง–ที่พัก–อาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเป็น “ห่วงโซ่ตามน้ำ” ของโครงการลงทุนสาธารณะและการค้าข้ามแดน ยิ่งเมื่อประกอบกับฤดูกาลท่องเที่ยวช่วงวันหยุดยาวไตรมาส 2 ยิ่งช่วยประคองกิจกรรมบริการให้เป็นบวก

เบื้องหลังการเติบโต ไม่ใช่ “ฟื้นกำลังซื้อ” แต่คือ “อุปสงค์นำโดยรายจ่าย”

เมื่อเทียบกับจังหวะเศรษฐกิจภาคเหนือที่โดยรวมยังระวังการใช้จ่าย ตัวเลขของเชียงรายจึงชวนถามว่า “พลังอะไร” ขับเคลื่อน? คำตอบอยู่ที่ แรงอัดฉีดภาครัฐ และ แรงส่งจากการค้าชายแดน ที่เด่นชัดกว่าจังหวัดอื่น

  • ภาครัฐเร่งเบิกจ่ายลงทุน ข้อมูลเศรษฐกิจภูมิภาคระบุว่า รายจ่ายภาครัฐของเชียงรายพุ่งขึ้นถึง +86.9% YoY ในช่วงไตรมาส 2 โดยมาจากงานลงทุนทางชลประทาน ทางหลวงชนบท และหน่วยงานท้องถิ่นจำนวนมาก เงินลงทุนเหล่านี้ไหลเข้าระบบผ่านค่าแรง–ค่าวัสดุ–ค่าน้ำมัน–ค่าขนส่ง จนเกิด “แรงคูณ” ไปยังค้าปลีกและบริการในพื้นที่
  • การค้าชายแดนยังแข็งแรง มูลค่าการค้าชายแดน/ผ่านแดนของเชียงราย ขยายตัวราว +15.0% ในไตรมาสเดียวกัน สินค้าเด่นคือ ผลไม้สด (ทุเรียน–มังคุด) ไปจีน, น้ำมันเชื้อเพลิง ไป สปป.ลาว, รวมถึง รถยนต์–ปูนซีเมนต์ ตัวเลขดังกล่าวย้ำบทบาทเชียงรายในฐานะโหนดโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค ร้านค้าปลีก–ปั๊มน้ำมัน–ศูนย์บริการยานยนต์–โกดังสินค้า รับอานิสงส์ตรง

กล่าวอีกทางหนึ่ง การเติบโตของเชียงรายในไตรมาส 2/2568 เป็นการโตแบบ “Expenditure-led” คือขับโดยรายจ่ายลงทุนและการค้า ไม่ใช่ “Income-led” ที่เกิดจากรายได้ครัวเรือนขยายฐาน กรอบคิดนี้ช่วยอธิบายว่าเหตุใดเชียงรายจึง “ตัดขาด” จากภาพรวมภาคเหนือบางส่วน และทำไมตัวเลข +1.7% QoQ จึงยืนได้แม้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในภูมิภาคไม่ฟื้นชัด

ภาพภาคบริการ โรงแรม–อาหาร–เดินทาง ช่วยพยุงโมเมนตัม

ฝั่งบริการ ที่พัก–อาหารและเครื่องดื่ม ขยับดีขึ้นตามฤดูกาลท่องเที่ยวในไตรมาส 2 และกิจกรรมประชุม–สัมมนา–งานอีเวนต์ของหน่วยงานรัฐ–เอกชนที่มากขึ้น โรงแรมในเมือง–ใกล้สนามบินแม่ฟ้าหลวง–บริเวณแม่สาย–เชียงแสน รายงานอัตราเข้าพักคงที่ถึงดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบไตรมาสก่อน ขณะที่ธุรกิจเดินทางและซ่อมบำรุงยานยนต์ได้ “แรงเสริม” จากปริมาณรถบรรทุก–รถตู้รับส่งตามแนวชายแดน

อย่างไรก็ดี ภาคท่องเที่ยวเชียงรายยังต้องจับตา “ฐานนักท่องเที่ยวต่างชาติ” โดยเฉพาะตลาดจีนที่ฟื้นตัวไม่เต็มที่ และความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์ความปลอดภัยของประเทศที่อาจกดดันการตัดสินใจเดินทาง หากฐานต่างชาติไม่ฟื้นแรง รายได้ฝั่งบริการอาจต้องพึ่งพาตลาดในประเทศและกลุ่มอาเซียน–เกาหลีใต้มากขึ้น

มองลึกพฤติกรรมค้าปลีก ใครได้ประโยชน์มากสุด?

เมื่อลอง “แยกชั้น” ภูมิทัศน์ค้าปลีกในเชียงราย จะพบสัญญาณสองด้านที่เกิดขึ้นพร้อมกัน

  1. ค้าปลีกเชิงพาณิชย์–โครงสร้างพื้นฐาน ได้อานิสงส์ตรงจากงานรัฐและการค้า ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง วัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์โลจิสติกส์ อะไหล่–บริการยานยนต์ หมวดเหล่านี้หมุนเงินไว กำไรต่อหน่วยไม่สูง แต่ยอดรวมขับดันรายรับทั้งจังหวัด
  2. ค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป โตแบบค่อยเป็นค่อยไปและแข่งขันสูง การขยายสาขาของผู้เล่นรายใหญ่ในจังหวัดยิ่งกระตุ้น “การแข่งขันด้านราคา–ต้นทุน” ผู้ค้ารายย่อยจำเป็นต้องเร่งปรับตัวเรื่องบริหารสต็อก–ช่องทางดิจิทัล–ความเชี่ยวชาญเฉพาะ (niche) เพื่อรักษาฐานลูกค้าในย่านชุมชน

ในภาพรวมจึงเห็น “แนวโน้มควบรวมตลาดเงียบ ๆ” (market consolidation) ที่ยอดขายรวมขยับขึ้น แต่สัดส่วนกลับไหลไปหาผู้ประกอบการที่บริหารต้นทุนและซัพพลายเชนได้มีประสิทธิภาพกว่า

สัญญาณเตือนครึ่งปีหลัง แรงส่งงบลงทุนเริ่มบาง กำลังซื้อพื้นฐานชะลอ

แม้ Q2 จะ “สวย” แต่ H2/2568 ของเชียงรายมีโจทย์ยากอยู่ 3 ประการ

  1. แรงอัดฉีดภาครัฐมีแนวโน้มกลับสู่ระดับปกติ — การเบิกจ่ายระดับ +86.9% YoY เป็นจังหวะเร่งพิเศษ หากเข้าสู่ช่วงปรับสมดุล ไตรมาสถัดไปกิจกรรมตามน้ำ (เชื้อเพลิง–วัสดุก่อสร้าง–ขนส่ง) อาจชะลอตัวตาม
  2. กำลังซื้อพื้นฐานอ่อนแรง — ดัชนีการบริโภคภาคเอกชนในภาคเหนือชะลอลงอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนการระวังใช้จ่ายของครัวเรือนและรายได้ภาคเกษตรที่ไม่สดใส หากไม่มีมาตรการกระตุ้นใหม่ รายจ่ายครัวเรือนด้านสินค้าฟุ่มเฟือยอาจถูกเลื่อนออก
  3. ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์–ท่องเที่ยวต่างชาติ — ข่าวเชิงลบด้านความปลอดภัย/เสถียรภาพส่งผลต่อการรับรู้ต่างชาติ หากตลาดจีนชะลอยืดเยื้อ รายได้ฝั่งบริการจะถูกท้าทายมากขึ้น

เมื่อตัวเลขยอดขายรวมเติบโตจาก “อุปสงค์ภายนอก” มากกว่า “รายได้ครัวเรือน” จึงต้องระวัง ความเสี่ยงสต็อกล้น ในหมวดอุปโภคบริโภค หากผู้ค้า “สั่งของตามความรู้สึกว่าขายดี” แต่ฐานลูกค้าจริงยังย่อส่วน

เมื่อข้อมูลประเทศชี้ “ลดลง 2.8%” ธุรกิจเชียงรายควรอ่านอย่างไร

ข้อมูล สสช. ระบุว่า มูลค่าสินค้าคงเหลือค้าปลีกทั้งประเทศลดลง 2.8% QoQ หมายถึงหลายธุรกิจเลือก “เบาเหมาะ–เร็วพอ” ในการตุนสินค้า กระแสนี้ควรถูกนำมาใช้ที่เชียงรายด้วยหลัก 3 ข้อ

  1. อ่านจังหวะโครงการรัฐ/งานชายแดนให้ขาด — สินค้าตามน้ำ เช่น วัสดุก่อสร้าง–เชื้อเพลิง–อุปกรณ์โลจิสติกส์ ควร “รีสต็อกแบบหมุนไว” ผูกโยงกับแผนงานภาครัฐ–เทศบาล–รัฐวิสาหกิจ และตารางส่งออกผลไม้ผ่านแดน เพื่อหลีกเลี่ยงการตุนเกินจำเป็น
  2. แยกหมวดฟุ่มเฟือย–จำเป็น — หมวดจำเป็น (อาหาร–ยา–ของใช้ประจำ) ปรับสต็อกแบบปลอดภัย แต่หมวดฟุ่มเฟือย (ไฟฟ้าบางชนิด–ของใช้เพื่อไลฟ์สไตล์) ควร “รอคำสั่งซื้อ” มากกว่า “สั่งตุน” เพื่อรักษาเงินสด
  3. ใช้ข้อมูลดิจิทัลบริหารสต็อก — เชื่อมข้อมูล POS/ออนไลน์–ออฟไลน์ ให้เห็นรอบหมุนสินค้า (inventory turns) รายวัน/สัปดาห์ ลดดีมานด์ฟอร์แคสต์แบบเดาใจลูกค้า

เพื่อให้การเติบโต 1.7% “ต่อยอด” ไม่ใช่ “ชั่วคราว”

สำหรับผู้ประกอบการค้าปลีก–บริการ

  • บริหารสภาพคล่อง–สต็อกแบบอนุรักษ์นิยม ใน Q3–Q4/2568 โฟกัสหมวดที่ขายเร็ว เกี่ยวข้องโครงการรัฐ–ชายแดน พร้อมแผนระบายสต็อก (promotion playbook) หากกำลังซื้อสะดุด
  • เสริมช่องทางดิจิทัล–ข้ามแดน ปรับสัดส่วนยอดขายไปยังอีคอมเมิร์ซ B2B/B2C และพาร์ตเนอร์โลจิสติกส์ชายแดน ขายยกลัง/สัญญาระยะสั้นแทนหน้าร้านอย่างเดียว
  • ลงทุน “ความต่าง” สินค้าเฉพาะถิ่น–สุขภาพ–เกษตรปลอดภัย–ของฝากคุณภาพ ช่วยกันแรงกดดันด้านราคา และจับกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพที่พักค้าง
  • บริหารต้นทุนอย่างมีวินัย เจรจาซัพพลายเออร์–รวมคำสั่งซื้อ–ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดแรงบีบกำไรขั้นต้นในช่วงแข่งขันราคา

สำหรับหน่วยงานรัฐในจังหวัด

  • คงความต่อเนื่องของโครงสร้างพื้นฐาน–จุดผ่านแดน ดูแลความคล่องตัวด่านแม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ เพิ่มประสิทธิภาพพิธีการศุลกากร–โลจิสติกส์
  • สื่อสารความปลอดภัย–ความสงบ บริหารความเชื่อมั่นเชิงรุก โดยจับมือ ททท.–หอการค้า–ผู้ประกอบการท่องเที่ยว สร้างแคมเปญเจาะตลาดที่ยืดหยุ่น เช่น เกาหลีใต้–มาเลเซีย พร้อมฟื้นภาพลักษณ์ตลาดจีนอย่างมีแผน
  • ข้อมูล–อินไซท์เข้าถึงได้ สนับสนุนแดชบอร์ดข้อมูลค้าปลีก–ชายแดน–นักท่องเที่ยวรายเดือน เพื่อให้เอกชนวางสต็อก–โปรโมชันตรงจังหวะ
  • ยกระดับทักษะดิจิทัล–โลจิสติกส์ สำหรับ SMEs ท้องถิ่น เช่น โปรแกรมย่อส่วน “E-commerce Export Readiness” และการเงินหมุนเวียนอัตราดอกเบี้ยเป็นธรรม

เสียงจากพื้นที่ ภาคเอกชนมอง “ชัด–เฉียบ–เชื่อม”

ผู้ประกอบการค้าปลีกย่านแม่สายสะท้อนคล้ายกันว่า “ลูกค้าดีขึ้นจากรถสินค้าข้ามแดน–แรงงานงานก่อสร้างในพื้นที่ แต่รายจ่ายครัวเรือนทั่วไปยังบีบ” ขณะที่ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ในเชียงของมองการค้าผ่านแดนไปจีนตอนใต้ “ทรงตัวถึงขยายเล็กน้อย” หากด่านลื่นไหล–เอกสารดิจิทัลเชื่อมกันได้มากขึ้น “รอบหมุน” จะดีต่อเนื่องและส่งผ่านมายังค้าปลีกปลายทาง

 “หัวสะพานเศรษฐกิจ” ที่ต้องรักษาสมดุล

ตัวเลข +1.7% QoQ ของเชียงรายคือ “การพิสูจน์ศักยภาพของเมืองชายแดน” ว่าเมื่อรัฐเดินหน้าโครงสร้างพื้นฐานและด่านการค้าทำงานคล่อง เศรษฐกิจท้องถิ่นสามารถ “ต้านแรงเฉื่อย” ของวัฏจักรบริโภคภูมิภาคได้ อย่างไรก็ดี ความยั่งยืนของโมเมนตัมนี้ขึ้นอยู่กับ สามสมดุล ที่ต้องรักษาให้ได้พร้อมกัน

  1. สมดุลรายได้–รายจ่าย จากโตด้วยรายจ่ายรัฐ สู่โตด้วยรายได้ครัวเรือน—ต้องเร่งยกระดับผลิตภาพ–ทักษะ–งานบริการคุณภาพ เพื่อให้กำลังซื้อฐานรากฟื้นจริง
  2. สมดุลค้าปลีก–ชุมชน การขยายของผู้เล่นรายใหญ่ควรเดินคู่การยกระดับร้านชุมชน ให้มีดิจิทัล–โลจิสติกส์–สินค้าคุณภาพ สร้างระบบนิเวศที่อยู่ร่วมกันได้
  3. สมดุลชายแดน–ภาพลักษณ์ ความคล่องตัวด่านและความปลอดภัยท่องเที่ยวคือ “สองคานงัด” ที่ต้องแข็งพร้อมกัน เพื่อให้เชียงรายรักษาฐานค้าชายแดนและดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ

หากทุกฟันเฟืองหมุนสอดประสาน เชียงราย จะไม่เพียง “โตสวนทาง” ชั่วคราว แต่สามารถยืนระยะในฐานะ ศูนย์กลางค้าปลีก–บริการชายแดน ของภาคเหนือ ที่สร้างรายได้สม่ำเสมอให้ชุมชนและผู้ประกอบการท้องถิ่นได้ยั่งยืน

ไฮไลต์ตัวเลขที่ต้องจำ

  • ค้าปลีก/บริการเชียงราย Q2/2568 +1.7% QoQ (รายรับรวม)
  • สินค้าคงเหลือค้าปลีกทั้งประเทศ Q2/2568 –2.8% QoQ
  • รายจ่ายภาครัฐเชียงราย เร่งตัว +86.9% YoY (หนุนกิจกรรมตามน้ำ)
  • มูลค่าการค้าชายแดน/ผ่านแดนเชียงราย ขยาย ประมาณ +15.0%
  • ความท้าทาย H2/2568 แรงส่งงบลงทุน “จาง”; การบริโภคพื้นฐาน “อ่อน”; ความเสี่ยงภาพลักษณ์ท่องเที่ยว “ยังมี”

ข้อเสนอเชิงปฏิบัติ (Actionable)

ผู้ประกอบการ

  • ปรับสต็อกให้ “หมุนไว–เสี่ยงต่ำ” โฟกัสสินค้าตามน้ำโครงการรัฐ–ชายแดน
  • เร่ง “อีคอมเมิร์ซ–B2B ชายแดน” และสร้างสินค้าเฉพาะถิ่นเพิ่มมูลค่า
  • ทำ “ต้นทุนแจ่ม–ข้อมูลชัด” ใช้แดชบอร์ดขายรายสัปดาห์ตัดสินใจโปรโมชัน

ภาครัฐจังหวัด

  • คงความลื่นไหลด่านแม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ และระบบเอกสารดิจิทัล
  • สื่อสารความปลอดภัยเชิงรุก ร่วม ททท.–ผู้ประกอบการ
  • เปิดข้อมูลเชิงลึกค้าปลีก–ท่องเที่ยวรายเดือน ให้เอกชนใช้วางแผนสต็อก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) – เอกสารสรุปผล “สำรวจยอดขายรายไตรมาส พ.ศ. 2568 ไตรมาส 1–2” และอินโฟกราฟิกประกอบ:
    • มูลค่ายอดขาย/รายรับรวมธุรกิจค้าปลีกและบริการ เพิ่มขึ้น 1.7% QoQ ในไตรมาส 2/2568
    • มูลค่าสินค้าคงเหลือค้าปลีกลดลง 2.8% QoQ ในไตรมาส 2/2568
      (อ้างอิงจากเอกสารภาพประกอบทางการของ สสช. ที่ผู้สื่อข่าวได้รับ)
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานภาคเหนือ – รายงานภาวะเศรษฐกิจภาคเหนือระยะใกล้ ที่ชี้ว่า
    • การบริโภคภาคเอกชนภาคเหนือ “ชะลอลง/หดเล็กน้อย” ในไตรมาส 2/2568
    • การลงทุนภาครัฐในเชียงรายเร่งตัวสูง โดยมีโครงการโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ (ชลประทาน–ทางหลวงชนบท–องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)
    • แนวโน้มไตรมาส 3/2568 มีความเสี่ยงชะลอตัวต่อเนื่อง
      (เอกสารรายงานเศรษฐกิจภูมิภาค ธปท. สำนักงานภาคเหนือ งวดล่าสุดที่เผยแพร่สาธารณะ)
  • กระทรวงพาณิชย์/สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย และกรมศุลกากร (ด่านแม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ) – สถิติการค้าชายแดนและผ่านแดนที่สะท้อนการขยายตัวในไตรมาส 2/2568 ราว +15% โดยเฉพาะกลุ่มผลไม้ น้ำมันเชื้อเพลิง รถยนต์ และวัสดุก่อสร้าง
    (ข้อมูลภาพรวมการค้าชายแดนของจังหวัดและรายด่านที่เปิดเผยต่อสาธารณะ/รายเดือน)
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) / ศูนย์วิจัยกสิกรไทย – บทวิเคราะห์แนวโน้มท่องเที่ยวปี 2568 และความเสี่ยงจากประเด็นภาพลักษณ์ความปลอดภัยของไทยที่อาจฉุดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลง (ประเมินหดตัวราว 2–3% YoY) และผลต่อรายได้ท่องเที่ยวภูมิภาคเหนือ
    (รายงานคาดการณ์และบทวิเคราะห์ฉบับล่าสุด ณ ช่วงไตรมาส 2–3/2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

แรงงานศรีลังกา 10,000 -ผู้หนีภัยฯ เมียนมาเข้าไทย! แผนอัปสกิล-รีสกิล รับมือวิกฤตขาดแคลน

วิกฤตแรงงานไทย 2568 “เร่งอุดช่องว่าง 1 แสนตำแหน่ง” – แผนฟื้นตัวจากชายแดนสู่ดิจิทัล อัปสกิล–รีสกิล และยกระดับสวัสดิการ เพื่อแรงงานทุกกลุ่ม

กรุงเทพฯ, 2 ตุลาคม 2568เช้าวันจันทร์ต้นไตรมาส 4/2568 ประเทศไทยตื่นมาเจอ “โจทย์ใหญ่” ในตลาดงาน—ตำแหน่งงานว่างกว่าหนึ่งแสนตำแหน่งที่หาแรงงานไม่ได้ในเวลาเดียวกับที่ธุรกิจจำนวนมากกำลังเร่งเครื่องรับ “ไฮซีซัน” และฟื้นตัวจากความผันผวนชายแดนไทย–กัมพูชา สถานการณ์นี้ผลักให้ กระทรวงแรงงาน ต้องยืนหน้าเวทีและส่ง “แพ็กเกจนโยบายเร่งด่วน” ออกมาทันที

นางสาว ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ระบุชัดหลังมอบนโยบายแก่ผู้บริหาร ข้าราชการ หน่วยงานในสังกัด และเครือข่ายภาคเอกชนว่า ภารกิจมีสองชั้นที่ต้องเดินคู่กัน—แก้ขาดแคลนแรงงานเฉพาะหน้า และ วางรากฐานทักษะ–สวัสดิการ รองรับเศรษฐกิจดิจิทัลระยะยาว โดยมีเป้าหมายหลักคือ “ให้ระบบแรงงานไทยมั่นคง แข่งขันได้ และยืดหยุ่นพอรับความเปลี่ยนแปลงรอบด้าน”

 

1) ชั้นเร่งด่วน อุดช่องว่างแรงงาน 100,000 คน พร้อมคุมแรงงานผิดกฎหมาย

แกนกลางมาตรการเร่งด่วนของกระทรวงแรงงานในปีงบประมาณใหม่ แบ่งออกเป็น 3 แนวทางที่ลงมือได้ทันที

1.1 นำเข้าแรงงานภายใต้กรอบกฎหมาย (MOU ครบวงจร)

  • แรงงานศรีลังกา ครม.อนุมัติการทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อจัดส่งแรงงานศรีลังกาเข้าสู่ระบบไทย ประมาณ 10,000 คน ช่วยทดแทนกำลังคนในภาคอุตสาหกรรมและบริการที่ขาดมือ
  • เพิ่มช่องทางแรงงานประเทศเพื่อนบ้าน ภายใต้กรอบ MOU เดิม โดยเร่งกระบวนการอนุญาตทำงานและตรวจสุขภาพให้เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อลดแรงจูงใจเข้าสู่ระบบผิดกฎหมาย

1.2 ใช้แรงงาน “ชั่วคราว” อย่างมีมนุษยธรรมและปลอดภัย

  • ผู้หนีภัยจากการสู้รบในเมียนมา ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐและมีความพร้อมทำงาน “ชั่วคราว” กระทรวงมหาดไทยแจ้งตัวเลข กว่า 42,000 คน ซึ่งจะเริ่มมีผลให้เข้าระบบแรงงานได้ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2568 โดยบูรณาการกับหน่วยงานความมั่นคงและการคุ้มครองแรงงานเพื่อป้องกันการค้ามนุษย์

1.3 เร่ง “ปรับสถานะ–ขึ้นทะเบียน” แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย

  • เดินหน้าตาม มติคณะรัฐมนตรี เปิดช่องทางขึ้นทะเบียนและตรวจสอบประวัติ เพื่อให้แรงงานนอกระบบสามารถเข้าสู่ ระบบประกันสังคม–สาธารณสุข–ภาษี ได้ถูกกฎหมาย ลดความเสี่ยงเชิงสังคม และเพิ่มการคุ้มครองตามมาตรฐานแรงงาน

2) ชั้นโครงสร้าง เร่งอัป/รีสกิล, เปิดเส้นทาง “มัลติสกิล”, ยกระดับสวัสดิการแรงงานทุกกลุ่ม

ปัญหาขาดแคลนแรงงานวันนี้ ไม่ใช่เพียง “จำนวนคน” แต่คือ “ช่องว่างทักษะ” ในเศรษฐกิจที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล–อัตโนมัติ ดังนั้นแพ็กเกจระยะกลาง–ยาวจึงวางไว้ 4 มิติ

2.1 อัปสกิล–รีสกิล (Up/Reskill) แบบจับมือเอกชน
กระทรวงแรงงานจะทำงานร่วมกับ สมาคมอุตสาหกรรม–สภาหอการค้า–หอการค้าไทย–สถาบันการศึกษา ทั้งในและต่างประเทศ ออกหลักสูตรสั้นเข้มข้นตั้งแต่ ทักษะดิจิทัลพื้นฐาน ถึง เทคโนโลยี AI/ข้อมูล ให้แรงงานในและนอกระบบ รวมถึงนักศึกษาช่วงปิดภาคเรียน “เรียนแล้วต่อยอดได้จริง” ผ่าน มาตรฐานสมรรถนะอาชีพ และ พอร์ตโฟลิโอ (Thai National Resume) เป็นเอกสารกลางเชื่อมตลาดงาน

2.2 “1 ตำบล 1 ช่างอเนกประสงค์” – เสริมแรงงานมัลติสกิลทั่วประเทศ
โครงการนี้เน้นสร้างแรงงาน Multi-Skills สำหรับงานซ่อมบำรุง บริการชุมชน ธุรกิจท้องถิ่น พร้อม ชุดเครื่องมือทำกิน หลังจบหลักสูตร เพื่อให้แรงงานมีรายได้หลายช่องทาง ลดความเสี่ยงจากการว่างงานระยะสั้น

2.3 ยกระดับสิทธิประโยชน์ประกันสังคม โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบ (มาตรา 40)
รัฐบาลผลักดันแก้กฎกระทรวงเพื่อขยายผลประโยชน์ 3 รายการสำคัญ

  • เงินทดแทนทุพพลภาพ จาก 1,000 → 3,000 บาท/เดือน
  • เงินสงเคราะห์บุตร จาก 200 → 300 บาท/คน
  • ค่าทดแทนขาดรายได้ระหว่างรักษาพยาบาล จาก 50 → 200 บาท/ครั้ง
    ควบคู่กับการ คุ้มครองเหตุสุดวิสัย (เช่น พื้นที่ขัดแย้งชายแดน) ให้แรงงานเข้าสู่หลักประกันอย่างทั่วถึง

2.4 ขยายตลาดงานต่างประเทศและคุ้มครองแรงงานไทยนอกแดน
เดินเครื่อง ทูตแรงงาน ใน 12 ประเทศเป้าหมาย เพื่อเปิดตลาดใหม่ เพิ่มตำแหน่งงานรายได้สูง และปกป้องสิทธิแรงงานไทยในต่างประเทศ ตั้งแต่ขั้นตอนทำสัญญา ค่าจ้าง สภาพการทำงาน ช่องทางร้องเรียน

3) กลไกกำกับดูแล ค่าแรงขั้นต่ำ บอร์ดประกันสังคม ธรรมาภิบาลกองทุน

เพื่อสร้าง ความเชื่อมั่น ต่อสาธารณะ นโยบายด้านกำกับดูแลถูกวางคู่ขนานไปกับแพ็กเกจแรงงาน

  • ค่าแรงขั้นต่ำ มอบ คณะกรรมการไตรภาคี เป็นกลไกพิจารณาตามข้อมูลเศรษฐกิจจริง เพื่อให้สมดุลต่อทั้งนายจ้าง–ลูกจ้าง และความสามารถแข่งขันของประเทศ (ปีนี้มีการปรับแล้ว 2 ครั้ง ส่วนกรอบ “400 บาท” ให้ไตรภาคีชี้ขาดตามหลักเกณฑ์)
  • บอร์ดประกันสังคม ยืนยันดำเนินการสรรหาตามกรอบกฎหมายตามกำหนด เพื่อไม่ให้เกิดสุญญากาศด้านนโยบาย
  • ตรวจสอบการลงทุนกองทุน (กรณีอาคาร Skyy9)  สั่ง คณะกรรมการตรวจข้อเท็จจริง เร่งรายงานผลเบื้องต้นภายใน 1 สัปดาห์ เพื่อรักษาวินัยการเงินการคลังและความโปร่งใส

“นโยบายทั้งหมดนี้มุ่งแก้โจทย์เร่งด่วนไปพร้อมกับวางรากฐานระยะยาว ระบบแรงงานต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับแรงงานทุกกลุ่ม” — นางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย

4) มองจาก “พื้นที่จริง” เชียงรายต้องการอะไรในสถานการณ์นี้

แม้ปัญหาแรงงานดูเหมือนเป็น “ภาพรวมประเทศ” แต่ในพื้นที่ชายแดนเหนืออย่าง เชียงราย ความหมายของคำว่า “แรงงานขาดแคลน” มีรายละเอียดเฉพาะตัวและเกี่ยวโยงกับเศรษฐกิจฐานรากโดยตรง

4.1 โครงสร้างเศรษฐกิจของเชียงราย เกษตร–ท่องเที่ยว–โลจิสติกส์ชายแดน
เชียงรายยืนอยู่บนฐาน เกษตรและเกษตรแปรรูป (ชา กาแฟ พืชเมืองหนาว), บริการท่องเที่ยว (โฮมสเตย์–ชุมชน), และ โลจิสติกส์การค้าชายแดน (ด่านแม่สาย–เชียงของ– R3A เชื่อม สปป.ลาว–จีนตอนใต้) กิจกรรมเหล่านี้ต้องพึ่งแรงงานจำนวนมากในฤดูกาลที่ต่างกัน และต้องใช้ ทักษะผสมผสาน ตั้งแต่ช่างเครื่องจักรแปรรูปเบื้องต้น, งานคลังสินค้า–ศุลกากร, จนถึงบริการท่องเที่ยวที่ใช้ภาษา–ดิจิทัล

4.2 แพ็กเกจเร่งด่วนของส่วนกลาง จะ “ลงดอย” อย่างไร

  • การเปิดทาง ผู้หนีภัยจากเมียนมาที่พร้อมทำงานชั่วคราว มีความหมายกับจังหวัดชายแดนโดยตรง เพราะช่วย “คงการผลิต” ในช่วงฤดูกาลและลดแรงกดดันค่าจ้างระยะสั้น ขณะเดียวกันต้องตามด้วย การคุ้มครองแรงงาน–สาธารณสุข–ความปลอดภัย อย่างเคร่งครัด
  • MOU ศรีลังกา และการเร่งขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวจะช่วยภาคโลจิสติกส์–ก่อสร้าง–บริการ ที่กำลังขยายตัวตามการค้าชายแดนและการท่องเที่ยวฟื้นตัว
  • อัป/รีสกิล ในเชียงรายควรเน้น “ทักษะตรงงาน” เช่น ดิจิทัลซัพพลายเชน–อีคอมเมิร์ซข้ามแดน–ภาษาพม่า/จีนระดับทำงาน–ช่างซ่อมบำรุงเครื่องมือเกษตร–ไกด์ท้องถิ่นดิจิทัล เชื่อมกับแผนจังหวัด (เช่น แนวทาง Wellness/Astro Tourism และเกษตรคุณภาพสูง) เพื่อให้คนท้องถิ่นได้ “งานดี–รายได้มั่นคง” ที่บ้านเกิด

4.3 ประเด็นที่จังหวัดควรทำทันที (เชื่อมกระทรวงแรงงาน)

  1. ตั้ง Job Matchpoint รายอำเภอ – ศูนย์จับคู่งาน–แรงงานแบบ One Stop (สมัครงาน–ขึ้นทะเบียน–ทดสอบทักษะ–นัดสัมภาษณ์) ให้เสร็จในวันเดียว
  2. เปิด “คลินิกทักษะ” รายสัปดาห์ – หลักสูตรสั้น 12–30 ชั่วโมงสำหรับงานจริง (เวิร์กช็อปอีคอมเมิร์ซ, ซอฟต์สกิลบริการ, ภาษาจำเป็น, ช่างเบื้องต้น) รับใบรับรองเข้า Thai National Resume อัตโนมัติ
  3. พัฒนานายจ้างรายย่อย – ชวน SMEs เกษตร–ท่องเที่ยว–โลจิสติกส์ ใช้ มาตรฐานค่าแรง–สวัสดิการ เป็นจุดขายดึงคนกลับบ้าน พร้อมให้คำปรึกษาเรื่องกฎหมายแรงงาน–ประกันสังคม

ในบริบทเชียงราย เป้าหมายไม่ใช่แค่ “พอมีแรงงาน” แต่คือ “แรงงานที่เหมาะกับโครงสร้างเศรษฐกิจจังหวัด” และ “คนท้องถิ่นมีทักษะพอจะได้งานคุณภาพในบ้านเกิด”—สิ่งนี้ต้องอาศัยแพ็กเกจกลาง + กลไกจังหวัดที่ทำงานร่วมกันจริงจัง

5) มุมมองความยั่งยืน นำผู้หนีภัยเข้าทำงานช่วยระยะสั้น แต่คำตอบระยะยาวคือ “ทักษะ–ผลิตภาพ–สวัสดิการ”

คำถามปลายเปิดที่สังคมตั้งไว้—การนำผู้หนีภัยฯ เข้ามาเป็นแรงงานทดแทนชั่วคราว จะแก้ปัญหาขาดแคลนได้ยั่งยืนหรือไม่?”—คำตอบตามหลักเศรษฐศาสตร์แรงงานคือ ช่วยได้ในมิติ “ปริมาณ” ระยะสั้น โดยเฉพาะฤดูกาลและอุตสาหกรรมที่ต้องการแรงงานกายภาพจำนวนมาก แต่ ความยั่งยืน ขึ้นกับ 3 เงื่อนไข

  1. ผลิตภาพแรงงานไทยสูงขึ้นจริง จากการอัป/รีสกิลและการยกเครื่องกระบวนการผลิตด้วยดิจิทัล–อัตโนมัติ
  2. ตลาดงานสะท้อนทักษะ – ค่าแรง–สวัสดิการ–เส้นทางความก้าวหน้าต้องจูงใจพอให้คนเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ขาดแคลน
  3. การกำกับดูแลที่เข้มแข็ง – ทุกคนที่เข้าทำงานได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอย่างเท่าเทียม ปิดช่องการค้ามนุษย์/แรงงานบังคับ และสร้างสนามแข่งขันที่เป็นธรรมต่อนายจ้างไทย

หาก 3 เงื่อนไขนี้เดินคู่กัน นโยบายชั่วคราวจะกลายเป็น “สะพาน” สู่โครงสร้างแรงงานที่แข็งแรงกว่าเดิม

6) กล่องข้อมูล สัญญาณ “ชวนคิด” จากแพ็กเกจกระทรวงแรงงาน

  • 100,000 – ประมาณการตำแหน่งงานว่างจากผลกระทบชายแดนไทย–กัมพูชา
  • 42,000 – ผู้หนีภัยจากเมียนมาที่ “พร้อมทำงานชั่วคราว” ภายใต้กรอบรัฐ เริ่มใช้ได้ 1 ต.ค. 2568
  • 10,000 – โควตาแรงงานศรีลังกาจาก MOU ที่ ครม.อนุมัติ
  • 3,000/200/300 บาท – ชุดตัวเลขใหม่สิทธิประโยชน์มาตรา 40 (ทุพพลภาพ/ค่ารักษาพยาบาลต่อครั้ง/สงเคราะห์บุตร) ตามแนวทางที่กระทรวงเสนอปรับปรุง
  • 12 ประเทศ – เครือข่าย ทูตแรงงาน เป้าหมายเปิดตลาดงานรายได้สูงให้แรงงานไทย

 “แรงงาน” คือเศรษฐกิจ และ “ศักดิ์ศรีแรงงาน” คือความมั่นคงของประเทศ

การอุดช่องว่างแรงงานหนึ่งแสนตำแหน่งด้วยมาตรการนำเข้า–ชั่วคราว–ขึ้นทะเบียน เป็น ยาด่วนที่จำเป็น ในห้วงเวลาเร่งด่วน แต่การทำให้ระบบแรงงานไทย “แข็งแรง” ต้องการ วัคซีนโครงสร้าง—อัปทักษะ, ปรับค่าจ้างตามผลิตภาพ, สวัสดิการทั่วถึง, ตลาดงานโปร่งใส, กองทุนมั่นคง และธรรมาภิบาลที่ตรวจสอบได้

เชียงราย—ฐานเศรษฐกิจชายแดนและชนบทบนดอย—คือตัวอย่างพื้นที่ที่เห็นภาพชัด เมื่อแรงงานมีทักษะที่ตรงกับเศรษฐกิจท้องถิ่น, ธุรกิจมีคนทำงานพอและพร้อม, และรัฐกำกับดูแลอย่างยุติธรรม—รายได้จะเกิดในบ้านเกิด และความเหลื่อมล้ำจะค่อย ๆ ลดลง

“วิกฤตแรงงาน” ครั้งนี้จึงอาจเป็น โอกาสของประเทศ หากเราทำให้ทุกตำแหน่งว่างในวันนี้ กลายเป็น ตำแหน่งงานที่ดีกว่าเดิม สำหรับคนไทยในวันพรุ่งนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงแรงงาน
  • กระทรวงมหาดไทย
  • สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
  • สำนักงานประกันสังคม (สปส.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ฐานเกษตรกรหดตัว 4.35% เชียงรายเร่งวางทางรอดโคเนื้อ-ไก่พื้นเมืองชุมชน

เชียงรายรับแรงสั่นสะเทือน “ปศุสัตว์ไทยหดตัว 4.35%” อย่างไร? ถอดบทเรียนจากหนังสือข้อมูลจำนวนปศุสัตว์ ในประเทศไทย ปี 2568 โครงสร้างใหม่ของเกษตรกรรายย่อย–รายใหญ่ และทางรอดที่ต้องเร่งวาง

เชียงราย, 2 ตุลาคม 2568 – เบื้องหลังทิวทัศน์อันคุ้นตา ข้อมูลชุดใหม่ของกรมปศุสัตว์ (ข้อมูลจำนวนปศุสัตว์ ในประเทศไทย ปี 2568 ของกลุ่มสารสนเทศและข้อมูลสถิติศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกรมปศุสัตว์) กำลังส่งสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม—จำนวนเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ทั่วประเทศลดลง 153,729 ราย หรือ 4.35% ภายในปีเดียว ขณะที่โครงสร้างการผลิตหลายชนิดสัตว์กำลัง “รวมศูนย์” หนักขึ้นกว่าที่เคยภาพใหญ่ของประเทศ เข้าสู่ภูมิภาคเหนือ และซูมให้ลึกลงที่จังหวัดเชียงราย—เพื่อดูให้ชัดว่า เมื่อฐานเกษตรกรหดตัว เศรษฐกิจชุมชนและความมั่นคงทางอาหาร “พื้นที่ปลายทางของแม่น้ำโขง” แห่งนี้จะยืนให้มั่นได้ด้วยวิธีใด

สาระสำคัญที่ต้องรู้

  • ฐานเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ทั้งประเทศลดลง 4.35% เหลือ 3,378,986 ราย โดย “ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” คือฐานใหญ่ที่สุด แต่ก็เผชิญการลดลงมากที่สุดเช่นกัน สะท้อนแรงกดดันต้นทุนและรายได้ในชนบทที่ยังไม่คลี่คลาย
  • ปศุสัตว์หลักบางชนิดถดถอย โดยเฉพาะ “โคเนื้อ” ที่จำนวนรวมทั้งประเทศลดลงจากปีก่อน ราว 3.66% ขณะที่ “สุกรและไก่” ยังพึ่งพาพื้นที่ศูนย์กลางการผลิตไม่กี่เขตอย่างชัดเจน (เขต 7 และเขต 1) ทำให้ความเสี่ยงกระจุกตัวสูงขึ้นหากเกิดโรคระบาดหรือช็อกด้านตลาด
  • ภาคเหนือ—เขตปศุสัตว์ที่ 5 ยังคงเป็นฐานการผลิตที่ “หลากหลายชนิดสัตว์” โดยเฉพาะโคเนื้อที่สวนทางหลายพื้นที่ และมีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหารครัวเรือน
  • เชียงราย แสดง “ความยืดหยุ่น” ผ่านโครงสร้างแบบผสม: เกษตรกรรายย่อยจำนวนมากเลี้ยงโคพื้นเมือง–ไก่พื้นเมืองเพื่อยังชีพและเสริมรายได้ ขณะเดียวกันมีคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสำหรับไก่ไข่และสุกรอยู่ร่วมในจังหวัดเดียวกัน—ภาพนี้คือ “ทางสองแพร่ง” ของยุทธศาสตร์ปศุสัตว์จังหวัดที่ต้องตัดสินใจเร็วและตรงเป้า

ประเทศไทย เส้นกราฟฐานเกษตรกรชี้ลง โครงสร้างกำลังเปลี่ยน

หนังสือข้อมูลจำนวนปศุสัตว์ ในประเทศไทย ปี 2568 ระบุว่า ปี 2568 ประเทศไทยมีเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ทุกประเภท 3,378,986 ราย ลดลงจากปี 2567 จำนวน 153,729 ราย (-4.35%) โดย “เขตปศุสัตว์ที่ 3” ซึ่งเป็นฐานใหญ่มากที่สุดยังคงมากสุดที่ 986,434 ราย แต่ก็เป็นพื้นที่ที่ จำนวนเกษตรกรหายไปมากสุด เช่นกันเมื่อเทียบปีก่อน สะท้อนภาพความเปราะบางที่ไม่ได้จำกัดเพียงพื้นที่ชายขอบ แต่เกิดใน “หัวใจการผลิต” ของประเทศด้วย

ในแง่ชนิดสัตว์ โคเนื้อ ซึ่งเป็น “บัญชีสะสมทรัพย์บนเท้าทั้งสี่” ของชนบทไทย มีจำนวนรวม 9.54 ล้านตัว แต่กระจุกตัวที่เขต 3 และเขต 4 เป็นหลัก ขณะเดียวกัน สุกร จำนวนรวม 12.21 ล้านตัว ยึดฐานหลักที่เขต 7 (ภาคตะวันตก–ภาคกลางบางส่วน) ส่วน ไก่ มีจำนวนรวมมากถึง 516.98 ล้านตัว และมีเขต 1 เป็นฐานไก่เนื้อสำคัญ—ตัวเลขเหล่านี้ทำให้เห็นภาพ “การพึ่งพื้นที่ศูนย์กลางไม่กี่จุด” ที่ทวีความเข้มขึ้น หากเกิดโรคระบาดสัตว์ปีกหรือสุกรในฐานผลิตใหญ่ ความเสี่ยงของห่วงโซ่อาหารและราคาผู้บริโภคจะขยายวงทันที

ฐานการผลิตหลากหลาย–พึ่งพาชุมชนสูง

ภาคเหนือมีเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ 681,023 ราย (คิดเป็นราว 20% ของประเทศ) และมีจำนวนโคเนื้อ 1.49 ล้านตัว, สุกร 2.30 ล้านตัว, ไก่ 68.75 ล้านตัว สะท้อน “โครงสร้างการผลิตแบบผสม” ที่อาศัย รายย่อยจำนวนมาก และการกระจายตัวในหลายจังหวัดมากกว่าภาคอื่น ๆ ความหลากหลายนี้มีข้อดีคือ “ลดความเสี่ยงจากการพึ่งชนิดสัตว์เดียว” และเชื่อมโยงวัฒนธรรมอาหาร–เศรษฐกิจท้องถิ่นได้ลึกกว่าฐานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เพียงไม่กี่จุด

ในบรรดาจังหวัดเหนือทั้งหมด เชียงใหม่–ลำพูน–ลำปาง–แพร่–น่าน–พะเยา–เชียงราย–แม่ฮ่องสอน คือเสาหลักของเขตปศุสัตว์ที่ 5 ซึ่งภาพรวมแสดงสัญญาณ โคเนื้อทรงตัวถึงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ไก่พื้นเมืองยังคงเป็น “บัญชีอาหารฉุกเฉิน” ของครัวเรือนชนบท—ประเด็นหลังนี้จะเห็นเด่นชัดขึ้นเมื่อมอง “เชียงราย” อย่างละเอียด

ทางสองแพร่งระหว่าง “ชุมชนพึ่งพาตนเอง” กับ “คลัสเตอร์อุตสาหกรรม”

1) ฐานข้อมูลสำคัญของจังหวัด

  • จำนวนเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์รวม: 76,095 ราย
  • โคเนื้อ: 69,973 ตัว (เกษตรกร 7,646 ราย)
  • กระบือ: 20,463 ตัว (เกษตรกร 2,399 ราย)
  • สุกร: 95,098 ตัว (เกษตรกร 3,803 ราย)
  • ไก่รวม: 5,684,855 ตัว (เกษตรกร 72,519 ราย)
  • เป็ดรวม: 145,935 ตัว (เกษตรกร 4,769 ราย)
  • แพะ–แกะ: แพะ 6,050 ตัว/แกะ 638 ตัว (เกษตรกรรวม 354 ราย)

ตัวเลขชุดนี้บอกอะไร? หนึ่ง—เชียงรายคือจังหวัดที่ “ไก่พื้นเมืองมีบทบาทสูงมากในระดับครัวเรือน” เพราะจำนวนเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่สูงถึง กว่า 72,000 ราย ขณะที่จำนวนไก่รวมเกิน 5.68 ล้านตัว สอง—โคเนื้อและกระบือ ยังฝังรากในวิถีเกษตรดั้งเดิม โดยมีผู้เลี้ยงจำนวนมากในสเกลเล็ก กระจายตามอำเภอรอบนอก สาม—มิติอุตสาหกรรมเริ่มเข้ามาชัดใน “สุกร–ไก่ไข่เชิงพาณิชย์” ที่ต้องการเงินทุนและการจัดการสูงกว่า

2) “รายย่อยเข้มแข็ง” ในโคเนื้อ–ไก่พื้นเมือง

โครงสร้างโคเนื้อเชียงรายสะท้อน “ฐานรายย่อย” อย่างเด่นชัด เกษตรกรส่วนใหญ่เลี้ยง ไม่เกิน 20 ตัว ทั้งในรูปแบบโคพื้นเมืองและลูกผสมที่ทนทานต่อสภาพภูมิอากาศบนพื้นที่สูง—เป็นสินทรัพย์ที่แปรรูปได้ทั้ง “รายได้” และ “ความมั่นคงทางอาหาร” ของครัวเรือน ส่วน ไก่พื้นเมือง ก็ทำหน้าที่เดียวกันกับบทบาท “บัญชีเงินฝากมีชีวิต” ที่ถอนใช้ได้เร็วในยามจำเป็น สองชนิดสัตว์นี้จึงเป็น “ตาข่ายนิรภัย” ของชุมชนในช่วงที่ราคาพืชผลหรือค่าจ้างผันผวน

3) “อุตสาหกรรมเข้มข้น” ในสุกร–ไก่ไข่

ขณะเดียวกัน เชียงรายมี สุกร 95,098 ตัว กระจายอยู่ในผู้เลี้ยง 3,803 ราย โดยมีทั้งรายย่อยและรายใหญ่ร่วมพื้นที่เดียวกัน ส่วน ไก่ไข่ (รวมอยู่ในจำนวนไก่ทั้งหมด) เป็นเซ็กเมนต์ที่ต้องใช้ความชำนาญและมาตรฐานสูง—สะท้อนการขยายตัวของฟาร์มขนาดกลาง–ใหญ่ที่เข้ามาเติมเต็มดีมานด์ของตลาดเมือง–โรงงานอาหาร และตลาดนักท่องเที่ยวในพื้นที่เหนือบน

ภาพรวมจึงกลายเป็น “ทางสองแพร่ง” ที่เชียงรายต้องตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์: จะเดินหน้าหนุน ฐานรายย่อย ให้แข็งแรงเชื่อมเศรษฐกิจชุมชน และค่อย ๆ ยกระดับมาตรฐาน–เพิ่มมูลค่า หรือจะวางตำแหน่ง คลัสเตอร์อุตสาหกรรม เฉพาะชนิดสัตว์ให้ชัดเพื่อสร้างงาน–สร้างภาษี—หรือทำ “ทั้งสองขา” อย่างสมดุลโดยไม่ทิ้งใครข้างหลัง

4) ความมั่นคงทางอาหารกับ “ความเสี่ยงใหม่”

แม้โครงสร้างแบบผสมจะเสริมภูมิคุ้มกันได้ดี แต่ “ความเสี่ยงใหม่” ก็เพิ่มขึ้นตาม—ทั้งต้นทุนอาหารสัตว์ที่ผันผวน ภัยแล้งบนพื้นที่สูงที่ยาวนานขึ้น และโรคอุบัติใหม่ในสัตว์ปีก–สุกร หากเกิดการระบาดในฟาร์มขนาดใหญ่ไม่กี่แห่งที่เป็นแหล่งไข่หรือหมูของจังหวัด ผลกระทบด้านราคาอาจ “ส่งผ่าน” ไปยังผู้บริโภคและผู้ประกอบการร้านอาหาร–ท่องเที่ยวอย่างรวดเร็ว

ดังนั้น การทำ ระบบเฝ้าระวังโรคและข้อมูลสาธารณะ ระดับจังหวัด–อำเภอที่ละเอียดถึงคลัสเตอร์การผลิต และการรวมกลุ่มเกษตรกรรายย่อยเพื่อเข้าถึงวัคซีน–อาหารสัตว์–สินเชื่อ–ตลาด จึงเป็น “เครื่องมือเร่งด่วน” ที่ควรขับเคลื่อนภายในปีงบประมาณถัดไป

เชื่อมไปทั้งเขตเหนือจุดแข็งและโอกาส 

เมื่อเทียบกับจังหวัดเหนืออื่น ๆ เชียงใหม่–ลำพูน–ลำปาง–พะเยา–แพร่–น่าน–แม่ฮ่องสอน ต่างมีสัดส่วนโคเนื้อ–กระบือ–ไก่พื้นเมืองที่สูงเช่นกัน แต่แต่ละจังหวัดมี “บทบาทเฉพาะ” ของตน เช่น ลำพูนเด่นด้านโคนมขนาดกลาง เชียงใหม่และลำปางมีฐานผู้ประกอบการอาหารสัตว์–โรงชำแหละที่เข้มแข็ง พะเยาและน่านเป็นแนวกันชนวัตถุดิบอาหารสัตว์จากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์—ห่วงโซ่เหล่านี้ชี้ว่า ถ้าเชียงรายจะ “โตไปกับทั้งภูมิภาค” ยุทธศาสตร์ระดับกลุ่มจังหวัดควรเชื่อม 3 แกนดังนี้

  1. ห่วงโซ่โค–กระบือคุณภาพ: วิจัยพันธุ์ทนแล้ง–ทนโรค ปรับปรุงทุ่งหญ้า และยกระดับโรงเชือด–มาตรฐานฮาลาล–การแปรรูป (เนื้อสไลซ์ สเต๊ก ซุปกระดูก) เพื่อเข้าโมเดิร์นเทรด–ท่องเที่ยวสุขภาพ
  2. คลัสเตอร์ไก่พื้นเมือง–ไก่ไข่: พัฒนาแบรนด์ “ไข่เหนือบน–ไก่พื้นเมืองเชียงราย” พร้อมมาตรฐานสินค้าชุมชน (GI/ฮาลาล/เกษตรอินทรีย์) เพื่อบุกตลาดกรุงเทพฯ และชายแดนพม่า–ลาว
  3. เกษตรทางเลือกสร้างมูลค่า: หนุน “ผึ้ง–ผึ้งชันโรง–แพะ–แกะ” เป็นรายได้เสริม โดยบูรณาการกับท่องเที่ยวชุมชน (ฟาร์ม–สเตย์ เวิร์กช็อปน้ำผึ้งดิบ/ชีสนมแพะ) เพื่อยืดหยุ่นต่อรอบราคาสินค้าโภคภัณฑ์

แนวทางทั้งสามต้องการ “ข้อมูลฐาน” รายหมู่บ้าน–ตำบล ซึ่ง หนังสือข้อมูลจำนวนปศุสัตว์ ในประเทศไทย ปี 2568 มีจุดเริ่มต้นให้ต่อยอดได้—ข้อได้เปรียบของภาคเหนือคือเครือข่ายเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรที่เข้มแข็ง จึงสามารถนำข้อมูลไปสู่การจัดการร่วม (collective action) ได้เร็วกว่าหลายภูมิภาค

ทำอย่างไรไม่ให้รายย่อยหลุดขบวน

เมื่อนำข้อมูลระดับประเทศมาประกอบ จะเห็น ภาพใหญ่ 3 ประการ ที่ควรเร่งดำเนินการเชิงนโยบาย

รักษาฐานรายย่อยด้วย “ต้นทุน–ตลาด–ความรู้” ที่ทันสมัย เกษตรกรรายย่อยเป็น กว่า 96% ของผู้เลี้ยงโคเนื้อทั้งประเทศ (ส่วนใหญ่เลี้ยงไม่เกิน 20 ตัว) การหายไปของกลุ่มนี้หมายถึงรากฐานความมั่นคงทางอาหารที่สั่นคลอน ทางออกคือ “รวมกลุ่ม–ซื้อรวม–ขายรวม–คุ้มครองความเสี่ยงร่วม” พร้อมแพลตฟอร์มข้อมูลต้นทุนอาหารสัตว์–ราคาตลาดแบบเรียลไทม์ที่เข้าถึงได้จริง—from district livestock office ไปถึงมือถือเกษตรกร  

การบริหารความเสี่ยงจาก “การรวมศูนย์” ในสุกร–ไก่เชิงอุตสาหกรรม

เมื่อฐานการผลิตกระจุกอยู่ไม่กี่เขต/ไม่กี่จังหวัด ยุทธศาสตร์ความมั่นคงอาหารควรรองรับ “แผนเฝ้าระวังโรค–สำรองผลผลิต–กระจายเส้นทางขนส่ง–สื่อสารราคา” แบบทันเหตุการณ์ เพื่อกันช็อกที่อาจกระทบราคาผู้บริโภคกว้างขวาง ต่อท่อมูลค่าเพิ่มสู่เมือง–ท่องเที่ยว–ชายแดน สินค้าปศุสัตว์คุณภาพ (GI/ฮาลาล/อินทรีย์) และผลิตภัณฑ์เฉพาะถิ่น เช่น น้ำผึ้งป่าเหนือบน ชีสนมแพะ เนื้อโคพื้นเมืองแปรรูป มีศักยภาพเจาะตลาดเมือง–นักท่องเที่ยว และตลาดชายแดน—เชียงรายเป็น “ประตูการค้า” ตามธรรมชาติ หากเชื่อมระบบโลจิสติกส์เย็นและจุดกระจายสินค้าระดับตำบล–อำเภอ จะยกระดับรายได้ให้ฐานรายย่อยได้จริง

แผนปฏิบัติการ 6 ข้อสำหรับเชียงราย (และภาคเหนือ)

  1. ทำแผนที่การผลิต (production map) รายตำบล – รู้ว่า “อะไรอยู่ที่ไหน–ใครเลี้ยงอะไร–ขนาดเท่าไร–เชื่อมตลาดใด” แล้วสื่อสารสาธารณะเพื่อลดปัญหาคนกลาง
  2. สหกรณ์อาหารสัตว์ตำบล – ต่อรองซื้อวัตถุดิบรวม ลดต้นทุน และล็อกสัญญาขายบางส่วนเพื่อลดความผันผวน
  3. ยกระดับมาตรฐานรายย่อยเป็น “รายย่อยพรีเมียม” – โคพื้นเมืองเลี้ยงทุ่ง/ไก่พื้นเมืองปล่อยอิสระ พร้อมการตรวจย้อนกลับง่าย ใช้สตอรี่ “ดอย–ป่า–ไร่ชา” เป็นจุดขาย
  4. กันชนโรคระบาดผ่านคลินิกปศุสัตว์เคลื่อนที่ – บริการวัคซีน/สุขภาพสัตว์ถึงหมู่บ้าน และตั้งกองทุนฉุกเฉินโรคสัตว์ระดับอำเภอ
  5. นวัตกรรมการตลาด – เปิด “ตลาดออนไลน์จังหวัด” ให้ผู้บริโภคในเมือง–ผู้ประกอบการท่องเที่ยวสั่งสินค้าฟาร์มโดยตรง ส่งผ่านระบบเย็นเดียวกัน
  6. เกษตรทางเลือกเชื่อมท่องเที่ยว – ผึ้งชันโรง–แพะ–แกะ เป็นกิจกรรมเสริมรายได้ ควบคู่เวิร์กช็อปและฟาร์ม–สเตย์สำหรับนักท่องเที่ยวคุณภาพ

ทำไม “เชียงราย” จึงยังยืนได้

เมื่อฐานเกษตรกรของประเทศหดตัวลง 4.35% เชียงรายยังยืนได้เพราะ “ไม่พึ่งชนิดสัตว์เดียว” และ “ยังมีแขนขารายย่อยให้ชุมชนพึ่งตนเอง” ขณะเดียวกันก็เริ่มมี “กล้ามเนื้ออุตสาหกรรม” ในสุกร–ไก่ไข่รองรับตลาดสมัยใหม่ นี่คือโครงสร้างที่คนทำงานนโยบายต้องช่วย “จัดสมดุล” ระหว่าง ความมั่นคงอาหารชุมชน กับ ขีดความสามารถแข่งขันเชิงอุตสาหกรรม ให้ไปด้วยกัน

หากวางแผนถูกจุด—ยกระดับข้อมูล, ลดต้นทุน, เพิ่มมาตรฐาน, เชื่อมตลาด—เชียงรายไม่เพียง “รับมือวิกฤต” ได้ แต่ยังสามารถ “ปลดล็อกโอกาส” เป็น ฮับสินค้าปศุสัตว์คุณภาพของล้านนา ที่ส่งออกไปสู่เมืองใหญ่และชายแดน สร้างรายได้ใหม่ให้เกษตรกรรายย่อยนับหมื่นครัวเรือน

เพื่อช่วยให้ผู้นำท้องถิ่น นักวางแผนจังหวัด ผู้ประกอบการ และสถาบันเกษตรกรใช้เป็นฐานประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายและธุรกิจ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่ ปศุสัตว์ไทยกำลังเปลี่ยนผ่าน สู่โครงสร้างใหม่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์: หนังสือ ข้อมูลจำนวนปศุสัตว์ในประเทศไทย ปี 2568” จัดทำโดยกลุ่มสารสนเทศและข้อมูลสถิติ ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

พาณิชย์เดินเครื่องลดค่ายากว่า 3.2 หมื่นล้านบาท/ปี ด้วย 7 นโยบาย Quick Big Win

ศุภจี” คลายปมเศรษฐกิจด้วย 7 นโยบายพาณิชย์ เดินเครื่อง “Quick Big Win” ลดภาระประชาชน–หนุนส่งออก–อุดช่องโหว่การค้า ดึงเอกชนสุขภาพร่วมลดค่ายากว่า 3.2 หมื่นล้านบาท/ปี

กรุงเทพฯ, 2 ตุลาคม 2568 — ใเจ้าหน้าที่สายปฏิบัติการจากส่วนกลาง พาณิชย์จังหวัด และทูตพาณิชย์จากกว่า 50 แห่งทั่วโลก “เสียงสัญญาณ” ของการเปลี่ยนเกียร์เศรษฐกิจดังชัด เมื่อ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประกาศ 7 นโยบายสำคัญ ที่จะเดินหน้าแบบ “Quick Big Win”—ทำสั้น ให้ได้ผล และกระจายประโยชน์เร็ว—โดยไม่ละทิ้งเป้าหมายการวาง “รากฐานยั่งยืน” สำหรับเศรษฐกิจไทยระยะยาว

สารตั้งต้นของนโยบายชุดนี้มีสองชั้นความหมายที่ขนานกันเดิน ชั้นแรกคือ การคลี่คลายปมเร่งด่วน—ภาษี การค้าชายแดน ค่าครองชีพ เกษตร—เพื่อบรรเทาความเปราะบางของครัวเรือนและผู้ประกอบการ หลังเผชิญความผันผวนต่อเนื่องหลายปี ชั้นที่สองคือ การวางรางวิ่งใหม่ ผ่าน FTA ดิจิทัลเทรด และการใช้ AI กับกฎระเบียบ เพื่อให้เศรษฐกิจไทย ก้าวจากการตามให้ทัน ไปสู่การนำบางสมรภูมิ

1) ภาษีสหรัฐฯ–ข้อตกลงภาษีต่างตอบแทน (ART) และ “ดิจิทัล C/O” ปิดช่องทุจริต–เร่ง AD ด้วย AI

กระทรวงพาณิชย์วางหมุดวันที่ ธันวาคม 2568 สำหรับการสรุป Agreement of Reciprocal Tax (ART) กับสหรัฐฯ เดินคู่กับการยกระดับ กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) และ หนังสือรับรองถิ่นกำเนิด (C/O) สู่ ดิจิทัลเต็มรูปแบบ ซึ่งผลลัพธ์เริ่มชัด—จาก “หลักร้อยกรณี/ปี” ของเอกสารปลอม เหลือ 5 กรณีในปี 2567 และ ไม่พบในปี 2568

อีกด้านหนึ่ง กระบวนการ ตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping AD) ที่เคยกินเวลายาว 12–18 เดือน จะถูก บีบเหลือ 9 เดือน ด้วยการใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูล และพิสูจน์หลักฐาน เพื่อ คุ้มครองผู้ประกอบการไทยเร็วขึ้น ลดความเสียหายจากการแข่งขันไม่เป็นธรรมในตลาดโลก

สัญญาณต่อผู้ส่งออก ชัดเจนว่าไทยกำลัง “ปัดฝุ่นเครื่องมือ” ให้เข้ายุค—โปร่งใส คล่องตัว และเชื่อมโยงข้อมูลข้ามหน่วยงานได้จริง ซึ่งจะสะท้อนเป็นความเชื่อมั่นจากคู่ค้า และลดความเสี่ยงจากปัญหาสินค้าสวมสิทธิที่บั่นทอนเครดิตประเทศ

2) การค้าชายแดนไทย–กัมพูชา ช่วยคน–ช่วยร้านเล็ก–เร่งหาตลาดทดแทน

ภายใต้สถานการณ์ชายแดนที่ผู้ค้าหลายพื้นที่ รายได้สะดุด กระทรวงพาณิชย์จัดชุดมาตรการตรงจุด—ตั้งแต่ มหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพ, สนับสนุนค่าขนส่งฟรี 100 บาท/ชิ้น ร่วมกับ ไปรษณีย์ไทย เพื่อพยุง ผู้ประกอบการรายย่อย, จัดช่องทางตลาดใหม่ทดแทน พร้อมสั่งการ พาณิชย์จังหวัด ใน 7 จังหวัดชายแดน ให้ อยู่หน้างาน ประสานงานใกล้ชิดประชาชนและผู้ค้า

มาตรการชุดนี้มี จุดเน้นเชิงคุณภาพ คือรักษา “ชีพจรกิจกรรมเศรษฐกิจ” ไม่ให้สะดุด—เมื่อชายแดนฝั่งหนึ่งชะลอ ก็ เลี้ยวหาตลาดใหม่ ให้ร้านเล็กอยู่รอดได้ระหว่างรอการฟื้นตัว

3) FTA และบุกตลาดใหม่ จับชีพจรโลก–ต่อท่อโอกาส

บนเข็มนาฬิกาการค้าโลก ไทยพุ่งเป้าหลายแนวรบพร้อมกัน

  • FTA ไทย–เอฟตา (EFTA) ตั้งใจให้ มีผลบังคับใช้ในครึ่งแรกปี 2569
  • FTA ไทย–อียู พยายาม ได้ข้อสรุปสำคัญภายในไตรมาส 1/2569
  • FTA ไทย–เกาหลีใต้ ตั้งใจ ปิดดีลภายในปี 2568

ควบคู่กันคือการใช้เครือข่าย ทูตพาณิชย์กว่า 50 แห่ง “บุกตลาดใหม่” ที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ ตะวันออกกลาง (ซาอุดีอาระเบีย–ยูเออี), แอฟริกาใต้, เอเชียใต้ (อินเดีย) และ อาเซียน (เวียดนาม) โดยใช้รูปแบบ จับคู่ผู้ซื้อ–ผู้ขาย (B2B Matching) และกิจกรรมเจรจา เชิงรุก–เฉพาะสินค้า เพื่อดึงดีมานด์ที่สอดคล้องกับ โครงสร้างการผลิตไทย มากกว่าเกมปริมาณ

ตัวเลขคาดการณ์ กระทรวงพาณิชย์ตั้งความหวังต่อภาพรวมการส่งออก ปีนี้โต 6–7% สูงกว่าเป้าเดิม—ตัวเลขที่สะท้อนความเชื่อว่าการเปิดตลาดใหม่และเครื่องมือ FTA จะกลบแรงต้านจากเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่เต็มแรง

4) ดูแลค่าครองชีพ ธงฟ้า 1,300 ครั้ง/ปี + จับมือโรงพยาบาลเอกชน เปิดราคายาเปิดทางเลือกซื้อยานอก รพ.

ด้าน ค่าครองชีพ—หัวใจของเศรษฐกิจครัวเรือน—กระทรวงพาณิชย์ประกาศเดินหน้า มหกรรมธงฟ้า 1,300 ครั้ง/ปี เป้าหมาย ลดภาระประชาชนกว่า 5,000 ล้านบาท/ปี พร้อม “ดีลใหญ่” ในภาคสุขภาพ MOU กับ โรงพยาบาลเอกชนกว่า 100 แห่ง ให้ เปิดเผยราคายาก่อนชำระเงิน และ เปิดทางเลือกให้ซื้อยาภายนอกโรงพยาบาล ซึ่ง คาดลดรายจ่ายประชาชนได้ราว 32,400 ล้านบาท/ปี ทั้งยังช่วย ลดความแออัดโรงพยาบาลรัฐ และเสริมให้โรงพยาบาลเอกชนมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นด้วยความเชื่อมั่นใน ความโปร่งใสของราคา

เสียงสะท้อนจากเอกชนสุขภาพ นพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ระบุสมาคมฯ ยินดีร่วมมือ ชี้หลายโรงพยาบาลประกาศราคาและส่งข้อมูลดิจิทัลให้กระทรวงอยู่แล้ว และพร้อมยกระดับให้ “เห็นชัด ประกอบการตัดสินใจได้จริง” โดยในวันที่ 7 ตุลาคม 2568 จะมีการประชุมหารือรายละเอียดร่วมกับกระทรวงพาณิชย์

ภาพใหญ่ของมาตรการนี้สอดคล้องกับบริบทตลาด ttb analytics ที่ประเมินว่า รายได้รวมภาคโรงพยาบาลเอกชนปี 2567 แตะ 3.22 แสนล้านบาท โตต่อเนื่องจากโครงสร้างประชากรและความต้องการบริการสุขภาพ—จังหวะนโยบายจึงมุ่ง เพิ่มทางเลือกและความโปร่งใส เพื่อลดภาระประชาชน โดยไม่บั่นทอนมาตรฐานการให้บริการของเอกชน

5) รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร โฟกัส “ข้าว” และการเชื่อมส่งออก

สำหรับภาคเกษตร—กระดูกสันหลังของเศรษฐกิจฐานราก—กระทรวงวาง แพ็กเกจเสถียรภาพราคา โดยเฉพาะ ข้าว ที่คาดผลผลิตปีนี้ 21.8 ล้านตัน และมี สต๊อก 3.5 ล้านตัน มาตรการประกอบด้วย สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อชะลอการขาย, บทบาทสหกรณ์รับสต๊อก, ช่วยเหลือเกษตรกรไร่ละ 1,000 บาท ครอบคลุมกว่า 4.6 ล้านครัวเรือน ขณะเดียวกัน เครื่องยนต์ส่งออก จะเร่งการขายทั้ง จีทูจีกับจีน (ขึ้นจาก 280,000 ตัน 500,000 ตัน) และการทำ MOU กับญี่ปุ่น–สิงคโปร์ เพื่อรักษาโควตา

เหนือมาตรการเชิงปริมาณ กระทรวงยังผลักดัน การปรับตัวสู่พืชคุณภาพสูง—เช่นสินค้าที่มี GI หรือพืชที่ตลาดเฉพาะต้องการ—เพื่อลดความเสี่ยงจากการแข่งขันราคาต่ำและความผันผวนสภาพอากาศ ซึ่งจะยกระดับ รายได้ต่อไร่ มากกว่าการยึดติดแต่ปริมาณผลผลิต

6) เสริมแกร่ง SMEs เปิดตลาดยกระดับมาตรฐานเทคโนโลยีการค้า

SMEs ไทยเป็นทั้ง ผู้จ้างงานหลัก และ ต้นทางนวัตกรรมท้องถิ่น นโยบายจึงมุ่งสามแนว

  1. เข้าถึงตลาดใหม่—เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา—ผ่านเครื่องมือทูตพาณิชย์และโครงการเจรจาเฉพาะภูมิภาค
  2. ยกระดับคุณภาพความน่าเชื่อถือ ด้วยตรารับรองอย่าง Thailand Trust Mark และ Thai SELECT เพื่อให้ “แบรนด์ไทย” ข้ามพรมแดนได้ง่าย
  3. เครื่องมือดิจิทัลของรัฐ ผ่านแพลตฟอร์ม “MOC+” เป็น One-Stop ให้ SMEs เข้าถึงข้อมูลสิทธิประโยชน์คำปรึกษาสินเชื่อได้สะดวกขึ้น ลดต้นทุนเวลาในการทำธุรกรรมกับรัฐ

7) ปรับกฎระเบียบและใช้เทคโนโลยี AI วิเคราะห์อุปสงค์อุปทาน และดัน e-Commerce ท้องถิ่นสู่สากล

บนสนามกฎระเบียบ กระทรวงตั้งเป้า ไล่เคลียร์อุปสรรค ที่ขัดการทำธุรกิจ และนำ AI มาช่วย เก็บวิเคราะห์ข้อมูลอุปสงค์–อุปทาน เพื่อออกมาตรการเท่าทันสถานการณ์อย่าง แม่นเร็วตรงจุด ควบคู่กับการขยาย ช่องทาง e-Commerce ให้ สินค้าท้องถิ่น เข้าถึงลูกค้าต่างประเทศ—จาก OTOP สู่ “Global Niche Brand” ที่ขายเรื่องราวและมาตรฐานมากกว่าราคาต่อชิ้น

“Quick Big Win” ที่ไม่ใช่แค่คำ จากตัวชี้วัดสู่ผลลัพธ์ครัวเรือน

คำว่า Quick Big Win จะเป็นแค่วาทกรรมไม่ได้—กระทรวงจึงชูตัวชี้วัดที่ เห็นผลในชีวิตจริง

  • ยาและเวชภัณฑ์  หาก MOU กับเอกชนเดินเต็มรูปแบบ การเปิดเผยราคาและทางเลือกซื้อยานอก จะ ลดรายจ่ายได้กว่า 3.2–3.4 หมื่นล้านบาท/ปี ตามกรอบที่ประกาศ พร้อมช่วย ลดแออัด รพ.รัฐ
  • ทุจริตเอกสารการค้า  ดิจิทัล C/O ทำให้คดียุบจาก หลักร้อย 5 → 0 ในสองปี—คือการฟื้น เครดิตการค้าไทย ด้วยข้อมูลจริง
  • AD เร็วขึ้น  จาก 12–18 เดือน เหลือ 9 เดือน—คือการลด ความเสียหาย ผู้ประกอบการในโลกการแข่งขันกดดันสูง
  • ธงฟ้า 1,300 ครั้ง ลด ภาระค่าครองชีพ 5,000 ล้านบาท/ปี—ตัวเลขที่สะท้อนการส่งแรงช่วยตรงถึงกระเป๋าประชาชน

หากย้อนมองจาก “เชียงราย” เมืองชายแดนเกษตรท่องเที่ยว

สำหรับ เชียงราย และกลุ่มจังหวัด ล้านนาตะวันออก นโยบายชุดนี้มีผลที่จับต้องได้หลายมิติ

  1. การค้าชายแดน การรักษาช่องทางค้าข้ามแดน—ทั้งทดแทนและเพิ่มเติม—สำคัญต่อเศรษฐกิจชายแดนอย่างเชียงของ–แม่สาย การบุกตลาดตะวันออกกลางเอเชียใต้ เชื่อมกับ โลจิสติกส์ระบบราง ที่กำลังเปิดหน้าใหม่ จะต่อท่อโอกาสให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นมากขึ้น
  2. เกษตร เชียงรายเป็น “ฐานข้าว–พืชคุณภาพ–กาแฟ–ชา” มาตรการชะลอขาย–สหกรณ์–ผลักดัน GI/พรีเมียม จะช่วยให้ ราคาหน้าฟาร์มมีเสถียรภาพ และยก มูลค่าเพิ่ม ในสินค้าที่มีเรื่องเล่าและแหล่งกำเนิดชัด
  3. SMEs–ท่องเที่ยว ตรารับรองแพลตฟอร์ม MOC+ และ e-Commerce จะช่วยให้แบรนด์ท้องถิ่นเข้าถึงลูกค้าไกลกว่าตลาดเดิม ขณะที่แพ็กเกจ FTA/ตลาดใหม่ สามารถกลายเป็น “รันเวย์สู่ต่างประเทศ” ของผู้ประกอบการสร้างสรรค์ในเมืองท่องเที่ยวอย่างเชียงราย
  4. ค่าครองชีพ–สุขภาพ ทางเลือกซื้อยานอกโรงพยาบาลเอกชน—เมื่อขยายครอบคลุมจังหวัดท่องเที่ยว–ชายแดน—จะช่วย ลดค่าใช้จ่ายฉับพลัน ให้ครัวเรือน โดยไม่ต้องรอคิวในระบบรัฐในกรณีโรคทั่วไป

เสียงสะท้อนและโจทย์ต่อไป

แม้สมาคมโรงพยาบาลเอกชนจะ ยินดีร่วมมือ แต่ก็สะท้อนความจริงว่า ต้นทุนโรงพยาบาลเอกชนต่างจากร้านยาภายนอก (เภสัชกร มาตรฐานเก็บรักษา ระบบควบคุมคุณภาพ) จึงต้องออกแบบมาตรการให้ สมดุล—โปร่งใส—แข่งขันเป็นธรรม เพื่อให้คุณภาพการรักษาไม่ถดถอย ขณะเดียวกัน ฝ่ายรัฐจำเป็นต้อง สื่อสารข้อมูลราคา ให้ประชาชนเข้าใจบริบทต้นทุน เพื่อการตัดสินใจที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย

ด้าน FTA แม้เป็น รันเวย์ระยะยาว แต่ความสำเร็จขึ้นกับ ศักยภาพแข่งขัน ภายในประเทศ—ตั้งแต่ กฎระเบียบอำนวยความสะดวก, โลจิสติกส์–ดิจิทัล, ไปจนถึง ทักษะแรงงาน ที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมเป้าหมาย ถ้าการเปิดตลาดเร็วกว่า ยกระดับขีดความสามารถ ไทยอาจเจอ “การบ้านในบ้าน” ที่หนักหน่วงพอกัน

เมื่อ Quick Win ต้องวางคู่กับ “ฐานยั่งยืน”

ท้ายที่สุด ศุภจี สรุปทิศทางว่า “สิ่งที่ขับเคลื่อนวันนี้ ไม่ใช่แค่ Quick Win แต่คือการ วางรากฐาน ที่มั่นคง โปร่งใส และยั่งยืน เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชน”—คำกล่าวที่วางกรอบการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ในบทบาท ตัวเชื่อม” ระหว่างครัวเรือนไทย–ผู้ประกอบการ–ตลาดโลก

ในห้วงเวลาที่ครัวเรือนเผชิญค่าครองชีพสูง—ตั้งแต่ตะกร้าสินค้าจนถึงค่ายา—นโยบายที่ ลดรายจ่ายทันที ควบคู่กับการ ต่อท่อรายได้ใหม่ จาก FTA และตลาดเกิดใหม่ คือสูตรที่ รักษาลมหายใจระยะสั้น และ บ่มเพาะความแข็งแรงระยะยาว ไปพร้อมกัน

หาก ตัวเลขคดี C/O ปลอมเหลือศูนย์, AD เร็วขึ้นเป็น 9 เดือน, ธงฟ้าลดค่าใช้จ่ายได้ตามเป้า, และ MOU ด้านยาสุขภาพ ขยายครอบคลุมจนประชาชนรู้สึกได้จริง—“Quick Big Win” จะกลายเป็นมากกว่าวลีในสไลด์ แต่เป็น การเปลี่ยนสมการชีวิตของผู้คน ที่ปลายทางของนโยบาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงพาณิชย์ (Ministry of Commerce, Thailand)
  • กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
  • กรมการค้าภายใน
  • กรมการค้าต่างประเทศ
  • สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์/พาณิชย์จังหวัด
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) / กรมการค้าต่างประเทศ
  • สมาคมโรงพยาบาลเอกชน
  • ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics)
  • Hfocus/สื่อสาธารณสุขเชิงนโยบาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News