Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายประกาศยุทธการ “น่านฟ้าปลอดภัย” รับยี่เป็ง สั่งเข้มงดโคม-คุมโดรน ฝ่าฝืนโทษหนัก

เชียงรายประกาศยุทธการ “น่านฟ้าปลอดภัย” รับยี่เป็ง ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงฯ ผนึก 3 หน่วยงานการบิน ดึงชุมชนรอบสนามบินเป็นเครือข่ายเฝ้าระวัง สั่งเข้ม “งดโคม-คุมโดรน” ฝ่าฝืนโทษหนัก สูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิต

เชียงราย, 21 ตุลาคม 2568 – เมื่อแสงเทียนและโคมลอยกำลังจะปลิวไสวบนท้องฟ้าในช่วง “ยี่เป็ง–ลอยกระทง” ของล้านนา สีสันของเทศกาลที่งดงามก็ทับซ้อนกับ “ความเสี่ยงบนท้องฟ้า” ที่จับต้องได้มากขึ้นทุกปี ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) จึงเปิดปฏิบัติการรณรงค์ครั้งใหญ่เพื่อยกระดับความปลอดภัยทางการบินแบบเชิงรุก ผนึกกำลัง บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.), สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ให้ความรู้ กำชับกฎหมาย และสร้างเครือข่ายชุมชนรอบสนามบินในการเฝ้าระวังวัตถุบินที่รุกล้ำเขตปลอดภัย โดยเน้นสองโจทย์หลักช่วงเทศกาลคือ โคมลอย–พลุ–ตะไล และ โดรน

พิธีเปิดโครงการ “รณรงค์ส่งเสริมการป้องกันอันตรายจากโคมลอย โคมไฟ โคมควัน และการใช้งานโดรน ในเขตปลอดภัยในการเดินอากาศของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ประจำปีงบประมาณ 2569” จัดขึ้นเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ณ โรงแรมไชยนารายณ์ริเวอร์ไซด์ โดยมี นาวาอากาศเอก สกรรจ์ อุดล ผู้เชี่ยวชาญ 9 และรักษาการผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เป็นประธาน พร้อมผู้แทนจาก ฝูงบิน 416 เชียงราย, หอการค้าจังหวัดเชียงราย, สมาคมโรงแรมจังหวัดเชียงราย, ตำรวจภูธรเมืองเชียงราย, มณฑลทหารบกที่ 37, ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย และคณะทำงานจากชุมชนรอบสนามบิน เข้าร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างคึกคัก

“เราขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในจังหวัดเชียงราย งดการปล่อยโคมลอย โคมควัน และการบินโดรนโดยไม่ได้รับอนุญาต ในช่วงเทศกาล เพื่อความปลอดภัยของอากาศยาน ผู้โดยสาร และชุมชนของเราเอง” – นาวาอากาศเอก สกรรจ์ อุดล เน้นย้ำในเวทีรณรงค์

จุดตั้งต้นของยุทธการ เทศกาลสวยงามที่ซ่อน ‘ความเสี่ยงร้ายแรง’

ปีนี้ประเพณียี่เป็ง/ลอยกระทงตรงกับวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งตามสถิติการเดินทาง มักเป็นช่วงที่มีเที่ยวบินหนาแน่นกว่าปกติ ขณะเดียวกัน “โคมลอย–พลุ–ตะไล” และกิจกรรมโดรนเพื่อถ่ายภาพ ก็มีแนวโน้มเพิ่มจำนวนสูงขึ้นรอบพื้นที่สนามบิน หากปล่อยโดยไม่ควบคุม อาจก่อเหตุ ร้ายแรงต่ออากาศยาน และ “ชีวิต” ได้โดยตรง

แผ่นพับรณรงค์ของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงฯ ชี้ชัดถึง 4 มิติความเสี่ยงจากโคมลอย ที่สาธารณชนควรตระหนัก

  1. ความปลอดภัยต่อการเดินอากาศ – โคมลอยสามารถถูกดูดเข้าสู่เครื่องยนต์ ทำให้เกิดการ ระเบิด หรือสูญเสียการควบคุม
  2. การรบกวนการบิน – แสงจากโคมหรือเลเซอร์ในอากาศอาจบดบังวิสัยทัศน์นักบิน กระทบการนำร่อนและการสื่อสาร
  3. ผลกระทบต่อสนามบิน – ซากโคมที่ตกใกล้รันเวย์เป็นสิ่งกีดขวาง ทำให้ต้อง ชะลอหรือยกเลิกเที่ยวบิน
  4. อันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินภาคพื้น – โคมลอยตกใส่หลังคา สายไฟแรงสูง หรือพื้นที่แห้งแล้งอาจก่อ ไฟไหม้ลุกลาม

คำเตือนดังกล่าวไม่ใช่การคาดเดา เพราะในโลกความจริง เหตุ “วัตถุแปลกปลอมในอากาศ” (FOD) และ การชนกับนก (Bird Strike) ก็เป็นความเสี่ยงคู่ขนานที่ต้องบริหารจัดการอย่างต่อเนื่อง อินโฟกราฟิกของท่าอากาศยานฯ ยังอธิบายภาพจำง่าย ๆ ว่า หากเครื่องบินวิ่งที่ความเร็ว 200 ไมล์ต่อชั่วโมง ชนวัตถุหนัก 5 กิโลกรัม แรงปะทะที่เกิดขึ้น “เทียบเท่าชนช้างหนึ่งตัว” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการชนกับนกขนาดกลาง–ใหญ่ สามารถสร้าง แรงกระแทกมหาศาล ต่อโครงสร้างอากาศยานได้

ในทุ่งนารอบเชียงรายยังพบ “นกเป้าหมาย” เป็นประจำ เช่น นกปากห่าง (หนัก 1–3 กก.), นกยางควาย/นกยางกรอก (หนักประมาณ 0.2–0.5 กก.) และ นกเอี้ยง หลายชนิดซึ่งแม้ตัวเล็กแต่รวมฝูงได้ง่าย ทชร. จึงทำงานร่วมกับชุมชนและเกษตรกรในพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดปัจจัยดึงดูด (เช่น แหล่งอาหารและแหล่งพักนก) ใกล้เขตการบิน

เขตปลอดภัยการเดินอากาศ เส้นขีดที่ไม่ควรถูกละเมิด

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงฯ เผย แผนที่เขตห้าม จุด/ปล่อยโคมลอย โคมควัน พลุ ตะไล และวัตถุอื่นใดที่คล้ายคลึงกัน “รอบสนามบินโดยเด็ดขาด” ตาม ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่องกำหนดเขตบริเวณใกล้เคียงสนามบินเชียงรายเป็นเขตปลอดภัยในการเดินอากาศ พ.ศ. 2535 ครอบคลุมพื้นที่ใน อำเภอเมืองเชียงราย หลายตำบล รวมถึง อำเภอเวียงชัย (ตำบลเวียงชัย, เวียงเหนือ) และ อำเภอเวียงเชียงรุ้ง (ตำบลดงมหาวัน, ตำบลทุ่งก่อ) เป็นต้น

สาระสำคัญคือ ผู้ที่ต้องการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับโคมลอยในพื้นที่ นอกเขตห้าม ก็ยังต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ทางราชการกำหนด เช่น ยื่นขออนุญาตต่อผู้อำนวยการเขตหรืออำเภอ ระบุวัน–เวลา–สถานที่–จำนวนที่จะปล่อย พร้อมแจ้งท่าอากาศยานหรือศูนย์ควบคุมการบินล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน ทั้งนี้ ห้าม จัดกิจกรรมในแนวขึ้น–ลงของอากาศยานหรือพื้นที่ที่อาจส่งผลต่อการนำร่อนโดยตรง

สำหรับ โคมลอยมาตรฐาน ที่ทางการอนุญาต ต้องมีลักษณะตามนี้

  • สูงไม่เกิน 140 ซม. และ เส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 90 ซม.
  • ทำจากวัสดุธรรมชาติ
  • ใช้เชื้อเพลิงจากกระดาษซับเทียนหรือพาราฟิน น้ำหนักไม่เกิน 55 กรัม และ เผาไหม้ไม่เกิน 8 นาที
  • ห้ามผูกลูกดอก/พลุ/ไฟตก ใต้ท้องโคมลอยโดยเด็ดขาด

กฎหมาย–บทลงโทษ “เข้มกว่าที่คิด” เพื่อยับยั้งความเสี่ยง

การปล่อยโคมลอยหรือจุดพลุในเขตปลอดภัยการเดินอากาศ เป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โทษสูงสุด “หนักและชัด” เพื่อคุ้มครองชีวิตผู้โดยสารและสาธารณชน

  • ฝ่าฝืนจุด/ปล่อยในเขตปลอดภัย จำคุกไม่เกิน 5 ปี, ปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • กรณีทำให้เกิดความเสียหาย/อันตรายต่ออากาศยาน สูงสุดถึง ประหารชีวิต, จำคุกตลอดชีวิต, หรือจำคุก 5–20 ปี และปรับ 600,000–800,000 บาท

กับ “โดรน” หรืออากาศยานไร้คนขับ การควบคุมก็เข้มงวดไม่แพ้กัน ตามกรอบของ กพท. และ กสทช.

  • ห้ามบินในระยะ 9 กิโลเมตร (5 ไมล์ทะเล) จากสนามบิน หรือบริเวณขึ้น–ลงชั่วคราวของอากาศยาน เว้นแต่ได้รับอนุญาต
  • ห้ามบินเหนือสถานที่ราชการ โรงพยาบาล เขตหวงห้าม หรือสูงเกิน 90 เมตร โดยไม่ได้รับอนุญาต
  • บทลงโทษพื้นฐาน (ฝ่าฝืนเขตห้าม) จำคุกไม่เกิน 1 ปี, ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ด้านการขึ้นทะเบียน

  • กสทช. โดรนน้ำหนัก 2–25 กก. ต้องขึ้นทะเบียนตัวเครื่อง พร้อมเอกสารบัตรประชาชน ภาพ Serial Number และ ประกันภัยบุคคลที่สามไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท
  • กพท. (CAAT) โดรน ติดกล้อง หรือ ใช้เชิงพาณิชย์ ต้องขึ้นทะเบียนผ่านระบบ UAS Portal รวมถึงการขึ้นทะเบียน ผู้บังคับ สำหรับโดรนน้ำหนัก ตั้งแต่ 25 กก. ขึ้นไป

ข้อควรรู้ ที่ทชร. ย้ำกับผู้ใช้โดรนทุกคน

  1. โดรน น้ำหนักน้อยกว่า 2 กก. และ ไม่ติดกล้อง เพื่อการใช้งานอดิเรก อาจ ไม่ต้องขึ้นทะเบียน แต่ยังต้องบินอย่างปลอดภัยและปฏิบัติตามกฎระยะห่าง/ความสูง
  2. โดรน 2–25 กก. หรือ ติดกล้อง ต้องขึ้นทะเบียนทั้งกับ กสทช. (ตัวเครื่อง) และ กพท. (การใช้งาน/ผู้บังคับ)
  3. ขณะบินต้อง “มองเห็นด้วยตาเปล่า” ตลอดเวลา ห้ามบังคับโดยอาศัยภาพจากกล้องอย่างเดียว

จากเวทีความรู้สู่เครือข่ายเฝ้าระวัง ทำอย่างไรให้ “น่านฟ้าเชียงราย” ปลอดภัยยิ่งขึ้น

สาระการบรรยายของ บวท., กสทช. และ กพท. ในเวทีรณรงค์ 20 ต.ค. ครอบคลุมตั้งแต่ “หลักการจัดการความปลอดภัยด้านการบิน (Safety Management)” การประสานงานการควบคุมจราจรทางอากาศ (ATC) ไปจนถึง “แนวทางปฏิบัติ” ของชุมชนรอบสนามบินเมื่อพบเห็นวัตถุในอากาศ โดยทชร. เผย QR Code สองรายการสำหรับประชาชน ได้แก่

  • กฎหมาย/ข้อควรรู้ เกี่ยวกับวัตถุในอากาศ (รวมถึงโคมลอย–โดรน)
  • ช่องทางแจ้งเหตุ หากพบวัตถุในอากาศรุกล้ำเขตปลอดภัย

ในการปฏิบัติจริง ทชร. เน้น 4 กลไกเฝ้าระวัง ที่ทำงานคู่กับมาตรการเชิงกฎหมาย

  1. เครือข่ายชุมชน – แต่งตั้งอาสาสมัคร/ตัวแทนชุมชนรอบสนามบินเป็น “จุดสังเกตการณ์” แจ้งเบาะแสรวดเร็ว
  2. ประสานท้องถิ่น–ท้องที่ – อบต./เทศบาล/กำนันผู้ใหญ่บ้าน ร่วมออกประกาศย้ำเตือนก่อนเทศกาล และนัดหมาย “เวลาปลอดภัย” หากจำเป็นต้องมีกิจกรรมที่ได้รับอนุญาต
  3. การสื่อสารสาธารณะ – ป้ายรณรงค์ อินโฟกราฟิก และโพสต์สาระย่อยง่าย เช่น ภาพ “โคมลอยอาจเท่ากับชนช้างหนึ่งตัว” เพื่อกระตุ้นการรับรู้
  4. ลาดตระเวน–เฝ้าระวังเชิงรุก – ทีมงานสนามบินตรวจพื้นที่เสี่ยงรอบรันเวย์/แนวขึ้นลงก่อน–ระหว่างเทศกาล

เชียงราย 70% บทพิสูจน์ของเมืองท่องเที่ยว–ฮับการบิน ที่ต้องอยู่ร่วมกับประเพณีอย่างปลอดภัย

เชียงรายกำลังเดินหน้าเป็น “เมืองท่องเที่ยวสุขภาพ–วัฒนธรรม” เทศกาลยี่เป็งคือเสน่ห์สำคัญที่ดึงดูดผู้มาเยือน แต่สนามบินแม่ฟ้าหลวงฯ ก็เป็น “โครงข่ายชีวิต” ของเศรษฐกิจจังหวัด ความสมดุลระหว่าง ความงดงามของประเพณี กับ ความปลอดภัยของน่านฟ้า จึงเป็นโจทย์ยุคใหม่ที่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันแก้

เวทีรณรงค์ครั้งนี้สะท้อน “บทเรียนเชียงราย” อย่างน้อย 3 ประการ

  • ความรู้เท่าทัน คือเส้นแบ่งระหว่างงานรื่นเริงกับความเสี่ยง – ประชาชนจำนวนมาก “เพิ่งรู้” ว่าการปล่อยโคมลอยบางประเภทมีโทษสูงถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิต หากก่อให้เกิดอันตรายต่ออากาศยาน
  • การมีส่วนร่วม ของภาคธุรกิจ–โรงแรม–ชุมชน มีอิทธิพลต่อผลลัพธ์ – โรงแรมและผู้จัดทัวร์คือด่านหน้าในการสื่อสารกับนักท่องเที่ยวต่างจังหวัด/ต่างชาติ
  • มาตรการเชิงระบบ ต้องทำก่อนเทศกาล – การแจ้งเตือนล่วงหน้า 7 วัน การกำหนดพื้นที่–เวลา (ในกรณีที่ได้รับอนุญาต) และการเชื่อมต่อข้อมูลกับหอบังคับการบิน คือหัวใจของการลดความเสี่ยงเชิงปฏิบัติ

ประเทศไทย 20% กฎเดียวกันใช้ทั้งประเทศ แต่พื้นที่รอบสนามบิน “เข้มเป็นพิเศษ”

แม้มาตรการรณรงค์ครั้งนี้จะเกิดขึ้นในเชียงราย แต่กฎเกณฑ์ของ พ.ร.บ.การเดินอากาศ พ.ศ. 2497, ข้อกำหนดของ กพท. และ กสทช. มีผลบังคับใช้ทั่วประเทศ โดยเฉพาะสนามบินหลัก–รอง และพื้นที่ที่ประกาศเป็น “เขตปลอดภัยในการเดินอากาศ” ช่วงเทศกาลลอยกระทง ภาคเหนือและภาคอื่น ๆ ที่มีวัฒนธรรมปล่อยโคม–พลุ จึงต้องประสานงานกับสนามบินในพื้นที่อย่างเคร่งครัดเช่นเดียวกัน

สำหรับผู้ใช้ โดรน ทั่วประเทศ กรอบคิดที่ควรยึดไว้เสมอคือ “มองเห็น–ควบคุมได้–รับอนุญาต” หากบินใกล้สนามบินหรือในพื้นที่อ่อนไหว และ “ขึ้นทะเบียน–ทำประกัน” ให้ครบ เพื่อความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น

ต่างประเทศ 10% เวทีโลกก็เผชิญโจทย์เดียวกัน – วัตถุเล็ก ความเสี่ยงใหญ่

หลายประเทศเข้มงวดกับ โคมลอย และ โดรน ใกล้สนามบินอย่างมาก เพราะอุบัติการณ์ “วัตถุเล็ก–ผลกระทบใหญ่” เกิดขึ้นจริง ทั้งกรณีโดรนรุกล้ำเขตห้ามบินจนสนามบินต้อง ปิดรันเวย์ชั่วคราว, หรือเหตุไฟไหม้จากโคมลอยที่ลอยไกลควบคุมไม่ได้ ข้อเท็จจริงเหล่านี้ตอกย้ำว่าแนวนโยบายของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงฯ ที่เลือกใช้ “ป้องกันไว้ก่อน” คือทางเลือกที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในระยะยาว

จาก “ความงดงาม” สู่ “ความรับผิดชอบร่วมกัน”

เทศกาลยี่เป็ง–ลอยกระทงคือมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของเชียงรายและชาวล้านนา การรักษาเสน่ห์นั้นไว้คู่กับการเดินอากาศที่ปลอดภัย จำเป็นต้องอาศัย ความร่วมมือจากทุกคน

  • หากต้องการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับโคมลอย ต้องยื่นขออนุญาต แจ้งวัน–เวลา–สถานที่–จำนวน และประสานสนามบินล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน
  • เลือกใช้ โคมมาตรฐาน ขนาดตามเกณฑ์ และ ห้าม ผูกพลุ/ลูกไฟตก
  • ผู้ใช้ โดรน ต้อง ขึ้นทะเบียน ตามเกณฑ์ของ กสทช.–กพท., ทำประกันบุคคลที่สาม, บินในพื้นที่ปลอดภัย ห่างสนามบินอย่างน้อย 9 กม., ความสูงไม่เกิน 90 เมตร, และมองเห็นด้วยตาเปล่าเสมอ
  • เมื่อพบวัตถุในอากาศรุกล้ำเขตปลอดภัย แจ้งท่าอากาศยาน ผ่านช่องทางที่ประกาศ (QR Code) ทันที

เสียงปิดท้ายจากเวทีรณรงค์ของเชียงรายชัดเจน น่านฟ้าปลอดภัย คือความรับผิดชอบร่วมกันของคนทั้งเมือง” หากทุกภาคส่วนขยับพร้อมกัน เชียงรายจะคงไว้ซึ่งทั้ง ความงามของประเพณี และ ความมั่นคงของเส้นทางบิน ที่เชื่อมผู้คน เศรษฐกิจ และอนาคตของเมืองเข้าด้วยกันอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (AOT Mae Fah Luang Chiang Rai International Airport)
  • บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.)
  • สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.)
  • สำนักงาน กสทช.
  • ประกาศกระทรวงคมนาคม
  • พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

มูลค่ากว่า 2.2 แสนล้าน! ภาคเหนือเร่ง “ลดเสี่ยงแม่สาย-เร่งเครื่องเชียงของ” สร้างเสถียรภาพการค้า

การค้าชายแดนภาคเหนือสุดผันผวน! ด่านแม่สายเสี่ยงสูงจากเมียนมา แต่ “เชียงของ” แบกรับมูลค่ามหาศาลจากทุเรียนสู่จีน

เชียงราย, 21 ตุลาคม 2568 — ยามเช้าที่เวียงแก่นหมอกบางแตะไหล่เขา เสียงเครื่องยนต์หัวลากค่อยๆ ไล่คิวหน้าด่านศุลกากรเชียงของ รถผลไม้หุ้มคลุมอย่างแน่นหนารอชั่ง–สแกน–ปล่อยผ่าน เส้นเลือดโลจิสติกส์ R3A ซึ่งพุ่งขึ้นเหนือไปคุนหมิงทำงานไม่เคยหยุด และนั่นคือ “หัวใจเต้น” ของการค้าผ่านแดนเชียงรายในปีงบประมาณ 2568 ที่ตัวเลขรวมภาคเหนือแตะ 224,215.423 ล้านบาท โดยมูลค่าส่งออกคิดเป็น 150,860.635 ล้านบาท ตามรายงานของสำนักงานศุลกากรภาค 3

เมื่อส่องเฉพาะ “สามด่านหลัก” ของเชียงราย—เชียงของ, แม่สาย และเชียงแสน—ภาพความต่างปรากฏชัด

  • เชียงของ คือ “ประตูสู่จีนตอนใต้” แบกสัดส่วนการค้ารวมของเชียงรายถึง 73.5% ด้วยมูลค่าส่งออก 42,099.333 ล้านบาท และฐานสินค้าหลักคือผลไม้สด โดยเฉพาะทุเรียน—ราชาผลไม้ที่ขึ้นรถจากภาคตะวันออก–ภาคใต้ของไทยแล้วเร่งทำเวลาผ่านแดนไปยังยูนนาน
  • แม่สาย คือ “ตลาดปลายแดน” ของเมียนมา ส่งออกโดยตรง 11,462.327 ล้านบาท แต่เปราะบางต่อประกาศ–การสู้รบ–ข้อกำหนดชั่วคราวของฝ่ายเมียนมาที่พลิกเกมการค้าได้ภายใน “สัปดาห์เดียว”
  • เชียงแสน คือ “ท่าขึ้น–ลงทางน้ำ” มูลค่าส่งออก 9,285.396 ล้านบาท ใช้ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนแห่งที่ 2 เป็นเข็มขัดพยุงสำหรับสินค้าที่มีน้ำหนักมาก/ปริมาณมาก เชื่อมจีน–ลาว–เมียนมาบนลุ่มโขงตอนบน

เชียงของ 73.5% ของเค้กทั้งก้อน—R3A พยุงค้าผ่านแดน ผลไม้คือ “ทองคำที่ต้องรักษาความเย็น”

ตัวเลขที่โดดเด่นที่สุดของเชียงรายปีนี้มาจาก ด่านศุลกากรเชียงของ—ด่านชายแดนที่ทำหน้าที่ “โหนฉลุย” ให้ขบวนคอนวอยสินค้าเกษตรไทยวิ่งผ่าน สปป.ลาว ไปจีนตอนใต้ตามเส้นทาง R3A ด้วยความรวดเร็ว ตัวเลขสัดส่วน 73.5% ของมูลค่าการค้าจังหวัดที่เกิดจาก “การค้าผ่านแดน (Transit Trade)” บอกชัดว่าเชียงของคือ “จุดคอขวดดีมานด์” ไปจีน

สินค้าเอก คือผลไม้สด ทุเรียน–ลำไย–มะขาม โดยเฉพาะทุเรียนที่ครองสัดส่วนมูลค่าโดดเด่น ฤดูกาลพีคทำให้ภาพรถห้องเย็นต่อคิวเป็นเรื่องปกติ สำนักงานศุลกากรภาค 3 ระบุว่าเฉพาะผลไม้สดที่ไหลผ่านภาค 3 รวมกันมีน้ำหนักกว่า 439 ล้านกิโลกรัม คิดเป็นมูลค่าราว 38,669 ล้านบาท การรักษา โซ่ความเย็น (cold chain) ตั้งแต่สวน–ล้ง–ด่าน–ปลายทาง จึงไม่ใช่ “ดีต่อภาพลักษณ์” แต่คือ “ชีวิตของมูลค่า” ที่ต้องไม่สะดุด ทั้งฝั่งเอกชนและรัฐจึงต้องจัดการคิว–ห้องเย็น–การตรวจปล่อยให้ เร็ว–แม่น–ปลอดภัย

ด้านนำเข้า เชียงของมีบทบาทรับไฟฟ้าจากเพื่อนบ้านคิดเป็นมูลค่าประมาณ 26,013.7 ล้านบาท และผัก–ผลไม้จากจีน เช่น องุ่นสด–ส้มแมนดาริน—สะท้อนความเป็น Fruit Corridor สองทิศทางของด่านนี้อย่างชัดเจน

จุดท้าทายที่ต้องเร่งแก้ แรงกดดันทางกายภาพของ R3A (หลุมบ่อ, ระยะหยุดรอ, ความหนาแน่นหน้าด่าน, เอกสารด่านคู่) และความแปรปรวนตามฤดูกาลของผลผลิตเป็นต้นเหตุ “คอขวด” ที่ทำให้ความเสี่ยงเสียโซ่ความเย็นเพิ่มขึ้นทันทีที่เกิดความล่าช้า

แม่สาย ส่งออกแรง แต่ “เปราะบางที่สุด”—เมียนมาสะเทือน ตลาดไทยสั่นตาม

ด่านแม่สาย เป็นจุดค้าชายแดนโดยตรงกับ ท่าขี้เหล็ก–เมียนมา ซึ่งในทางสถิติคือ “ตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของภาคเหนือ” ในหลายเดือนที่ผ่านมา ทว่าปี 2568 ความไม่แน่นอนกลับเด่นชัด—ตั้งแต่ประกาศฝ่ายเมียนมาวันที่ 1 กันยายน 2568 ให้เข้มงวดการนำเข้าสินค้าไทย (ก่อนจะผ่อนคลายภายในราวหนึ่งสัปดาห์) ไปจนถึงเหตุสู้รบในพื้นที่ต่างๆ ที่โยงกับเส้นทางขนส่งหลักทางฝั่งเมียวดี/แม่สอด ทั้งหมดนี้กดให้ด่านแม่สาย “ผันผวนสูงกว่าค่าเฉลี่ย” อย่างมีนัยสำคัญ

แม้ภาพรวมทั้งปี แม่สาย ยังทำมูลค่าส่งออก 11,462.327 ล้านบาท และสินค้าหลักอย่าง น้ำมันดีเซล มีรายงานมูลค่าส่งออกประมาณ 14,308 ล้านบาท ประกอบกับสินค้าอุปโภค–บริโภคอย่างเครื่องดื่มชูกำลังที่ยังมีดีมานด์ต่อเนื่อง แต่ความเสี่ยง “ปิด–เปิดกะทันหัน” คือปัจจัยที่ผู้ประกอบการควบคุมไม่ได้

ผลสั่นคลอนระดับภูมิภาค แม้มีเหตุสู้รบ เมืองคู่แฝดอย่าง แม่สอด–เมียวดี ยังทำมูลค่าส่งออกสูงถึง 53,470.825 ล้านบาท ยืนยันว่า “ดีมานด์มีจริง” แต่ “เสถียรภาพของเส้นทาง” คือปัจจัยตัดสินใจอันดับต้นๆ ของผู้ส่งออก

เชียงแสน ท่าเรือพาณิชย์แห่งที่ 2 ถือหาง—ทางน้ำคือ “กันชน” ของระบบ

หากเชียงของคือหัวรถจักรทางบก เชียงแสน ก็เป็น กันชนทางน้ำ ที่ช่วยเฉลี่ยภาระระบบ ด้วยมูลค่าส่งออก 9,285.396 ล้านบาท ผ่านท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนแห่งที่ 2 ที่เชื่อม จีน–ลาว–เมียนมา บนลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน เส้นทางน้ำมีจุดแข็งที่การรองรับสินค้าน้ำหนักมาก/ปริมาณมาก แต่ก็มี “ฤดูกาลของน้ำโขง” เป็นเงื่อนไขเชิงธรรมชาติ ดังนั้น ประสิทธิภาพของท่าเรือ–การจัดตารางเรือ–การบริหารคิวขนถ่าย–การเชื่อมต่อถนนหน้าเทอร์มินัลคือหัวใจ

บทบาทที่เริ่มชัด คือการเป็นทางเลือกสำหรับสินค้า Bulk/General Cargo และรองรับจังหวะที่ทางบกแน่น (เช่น ช่วงผลไม้พีค) ทำให้เชียงแสนเป็น ตัวปรับสมดุล” (balancer) ของระบบการค้าจังหวัดในมิติการเดินทางของสินค้า

โครงสร้างสินค้า “เกษตรสด–พลังงาน–อุปโภคบริโภค” กำหนดทิศ และ “ไฟฟ้า–แร่–ผักผลไม้จีน” คือฝั่งนำเข้า

เมื่อถอดรหัสโครงสร้างสินค้า

  • ส่งออก ผลไม้สด (ทุเรียน, ลำไย, มะขาม, มังคุด), น้ำมันดีเซล, เครื่องดื่มชูกำลัง
  • นำเข้า พลังงานไฟฟ้า (≈ 26,013.7 ล้านบาท), โลหะพลวงและแร่พลวง (รวมกว่า 14,900 ล้านบาท โดยประมาณ), องุ่นสด (≈ 5,186.4 ล้านบาท), ส้มแมนดาริน (≈ 2,159.7 ล้านบาท), ผักกาดขาว–ฮ่องเต้ (≈ 1,867.3 ล้านบาท), ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (≈ 1,743.7 ล้านบาท)

ภาพนี้ตอกย้ำว่าเชียงรายทำหน้าที่ ศูนย์รวม–กระจายสินค้าเกษตรสด ของไทยสู่จีน ขณะเดียวกันก็เป็น ประตูรับพลังงานและวัตถุดิบ สู่ไทย—โมเดล “สองทิศ–สองระบบ” ที่ต้องการทั้ง คุณภาพสินค้า และ ความพร้อมโลจิสติกส์

ภาคเหนือในกระจก เมียนมาคือ “เครื่องยนต์ส่งออก” จีน–ลาวคือ “เครื่องดูดนำเข้า”

การอ่านภาพทั้งภาคเหนือ (น้ำหนัก 20%) ตามกรอบสถิติรายเดือนของธนาคารแห่งประเทศไทยช่วง ส.ค. 2568 สะท้อนว่า การค้าชายแดนคิดเป็นสัดส่วนกว่า 98% ของการค้าในภูมิภาค โดย เมียนมา คือตลาดส่งออกอันดับหนึ่ง (ประมาณ 157.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนดังกล่าว) ทำให้ภาคเหนือ เกินดุล เด่นกับเมียนมา ขณะที่ จีนตอนใต้ และ สปป.ลาว เป็นคู่ค้าฝั่งนำเข้าที่ใหญ่กว่า ส่งผลให้เกิดดุลการค้าแบบ “เกินดุลกับเมียนมา–ขาดดุลกับจีน/ลาว” ตามโครงสร้างสินค้าและบทบาทเส้นทางผ่านแดน

บทเรียนสำหรับเชียงราย ดุลการค้าบวก–ลบเหล่านี้ไม่ใช่ “ผิดปกติ” หากสะท้อน บทบาทหน้าที่เฉพาะ ของแต่ละด่าน—แม่สายเน้นซัพพลายสินค้าบริโภค–พลังงานให้เมียนมา, เชียงของ–เชียงแสนเน้น “ระเบียงผลไม้–วัตถุดิบ” เชื่อมจีนและลาว

ปัจจัยเสี่ยง ภูมิรัฐศาสตร์เมียนมา–คอขวด R3A–น้ำโขง–เอกสารข้ามแดน

  1. เมียนมา — ความไม่สงบ–มาตรการเฉียบพลัน ทำให้แม่สาย “เปิด–ปิด–ผ่อน–เข้ม” ได้ภายในไม่กี่วัน กระทบ ต้นทุนถือสต็อก, ต้นทุนความเสี่ยง, สภาพคล่องผู้ประกอบการ
  2. R3A — ความพร้อมของผิวทาง–ด่านคู่–ช่องจอด–ระบบสแกน–ห้องเย็น เป็นปัจจัยชี้ชะตาโซ่ความเย็นผลไม้สด
  3. แม่น้ำโขง — ระดับน้ำเปลี่ยนตามฤดูกาลจำกัดโควตาความถี่/น้ำหนักบรรทุกของเรือ กระทบแผนขนส่งระยะกลาง–ยาว
  4. พิธีการ–เอกสาร — ความต่างมาตรฐานการตรวจของด่านคู่/ช่วงเวลาเร่งด่วนทำให้ เวลาวงรอบ (cycle time) บวมง่าย

ข้อเสนอเชิงนโยบาย–เชิงปฏิบัติ “ลดเสี่ยงแม่สาย–เร่งเครื่องเชียงของ–เสริมเข็มขัดเชียงแสน”

De-risking แม่สายแบบแผนที่เดินได้จริง

  • จัดทำ แผนฉุกเฉินโลจิสติกส์ (contingency plan) สำหรับสินค้าที่วิ่งออกแม่สาย เส้นทางสำรองผ่านแม่สอด/เชียงของ/เชียงแสน ตามประเภทสินค้า
  • ประกันความเสี่ยงการค้า รายย่อย ผลักดันสินเชื่อเฉพาะกิจ/รับประกันความเสี่ยงระยะสั้นให้ผู้ส่งออก SMEs ที่พึ่งพาแม่สาย
  • ตั้ง ศูนย์ข้อมูลเตือนภัยการค้าเมียนมา แบบเรียลไทม์ รวบรวมประกาศ–เงื่อนไขใหม่–จุดคัดกรอง–เวลาเฉลี่ยข้ามแดน

ยกระดับ R3A–เชียงของ จาก “คอขวด” เป็น “ทางด่วนผลไม้”

  • ลงทุน จุดรอ–ที่จอด–สถานีตรวจ–ห้องเย็น หน้า–หลังด่าน เพิ่ม throughput และลด dwell time สำหรับรถห้องเย็น
  • อัปเกรด เอกสารดิจิทัล–ชิปติดตาม–นัดหมายคิว (slot booking) เชื่อมระบบด่านคู่ให้ตรวจปล่อย “ไร้กระดาษ–ไร้คิวล่องหน”
  • สนับสนุน มาตรฐานโซ่ความเย็น ตั้งแต่สวน–ล้ง–ขนส่ง–ด่าน (audit + incentive) เพื่อคงคุณภาพจนถึงแดนจีน

เสริมบทบาทเชียงแสน กันชนทางน้ำ–ทางเลือกสินค้าหนัก

  • เพิ่มประสิทธิภาพ ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนแห่งที่ 2 กำลังขนถ่าย, พื้นที่พักตู้/พักของ, ระบบจองคิวเรือ
  • ทำ แผนบูรณาการถนน–ท่าเรือ รองรับ peak season ของผลไม้/สินค้าปริมาณมาก ลดซ้อนทับกับ R3A

เกษตรเพื่อการค้า “เร็ว–สะอาด–ตามเกณฑ์คู่ค้า”

  • ชุดมาตรการ ผลไม้พร้อมส่ง” ตรึงมาตรฐาน GAP/GMP, ระบบตรวจย้อนกลับ, ห้องเย็นเชิงเครือข่าย, ประกันราคาฤดูกาลพีค
  • จัด เวิร์กช็อปกฎจีน สำหรับผู้ประกอบการชายแดน ฉลาก, พิธีการใหม่, มาตรการสุ่มตรวจ, การตอบกลับเมื่อเคลม

 “หนึ่งนาทีที่ด่าน เท่ากับหนึ่งชั่วโมงของโซ่ความเย็น”

“ไฟห้องเย็นต้องไม่ดับ—คิวต้องไม่ค้าง—เอกสารต้องไม่ตกหล่น” คือสามคำสั้นๆ ที่คนขับรถห้องเย็นพูดตรงกัน เมื่อคิวข้ามแดน “สั้นลงหนึ่งนาที” ก็เท่ากับ “อุณหภูมิในตู้” เสถียรขึ้นอีกขั้น ลดโอกาสคัดทิ้งหน้าปลายทางจีนที่ราคาเข้มงวดกว่าตลาดในประเทศหลายเท่า ในมุมกลับกัน รถที่ “หลุดคิว–จอดตากแดด–รอตรวจ” คือ กำไรที่ระเหย เพราะผลไม้สดไม่รอใคร

ด่านเชียงของจึงไม่ใช่แค่ “เสาเขตแดน” แต่เป็น พื้นที่เวลา ที่ต้องบริหารอย่างแม่นยำ—ความต่างระหว่าง “ขายได้ราคา” กับ “เสียทั้งล็อต” อยู่ที่ วงจรคิวและเอกสาร ล้วนๆ

เชื่อมโยงต่างประเทศ 10% จีน–ลาว–เมียนมา—สามคู่ค้า สามโจทย์

  • จีนตอนใต้ เป็นทั้งตลาดรับผลไม้ไทยและแหล่งผัก–ผลไม้เข้าไทย—มาตรฐานตรวจ–ความเร็วพิธีการคือปัจจัยชี้อนาคตมูลค่าการค้า
  • สปป.ลาว พันธมิตร “ทางผ่าน” สำคัญ—ความคล่องตัวพิธีการ–ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานฝั่งลาวช่วยให้ R3A ไหลลื่น
  • เมียนมา ตลาดส่งออกสำคัญของภาคเหนือ—แต่เสถียรภาพการเมืองคือปัจจัยความเสี่ยงหมายเลขหนึ่งที่กระทบแม่สายโดยตรง

 “แยกบทบาท–ลดเสี่ยง–เร่งประสิทธิภาพ” คือทางรอดเชียงราย

  1. ยอมรับข้อเท็จจริงเชิงบทบาท แม่สาย = ตลาดเมียนมาที่ผันผวนสูง, เชียงของ = ทางด่วนผลไม้สู่จีน, เชียงแสน = กันชนทางน้ำ/สินค้าหนัก
  2. ลดการพึ่งด่านเดียว วางแผนเส้นทางสำรองสำหรับทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเน่าเสียง่าย
  3. ลงทุนจุดคอขวด ห้องเย็น–คิวดิจิทัล–ลานจอด–ช่องตรวจ–คน–ระบบเชื่อมด่านคู่
  4. ยกระดับมาตรฐานสินค้า ผลไม้พร้อมส่ง—ตรึงคุณภาพและการตรวจย้อนกลับให้สอดรับเกณฑ์จีน
  5. กลไกการเงิน–ประกันความเสี่ยง เพื่อให้ SMEs ชายแดนรับมือเหตุฉุกเฉินได้โดยไม่สะดุดเงินทุนหมุนเวียน

เชียงรายในปี 2568 จึงไม่ได้มีเพียง “ข่าวดีมูลค่าโต” หรือ “ข่าวร้ายด่านผันผวน” หากคือ บทสอบการบริหารสมดุล ระหว่าง “ความเร็ว” กับ “ความเสถียร”—ระหว่าง “ผลไม้สด” ที่ต้องการเวลาและอุณหภูมิ กับ “เส้นทางชายแดน” ที่ถูกกำหนดโดยการเมืองและโครงสร้างพื้นฐาน เมื่อรู้บท–รู้เสี่ยง–รู้จะลงทุนตรงไหน เมืองชายแดนเหนือสุดของไทยย่อมกลายเป็น ฮับการค้า GMS ที่แข็งแรงกว่าที่เคย

สรุปตัวเลขชวนคิด

  • มูลค่ารวมการค้าชายแดน/ผ่านแดนภาคเหนือ ปีงบฯ 2568 224,215.423 ล้านบาท (ส่งออก 150,860.635 ล้านบาท, นำเข้า 73,354.788 ล้านบาท)
  • เชียงของถือ 73.5% ของเค้กการค้าเชียงราย—ส่งออก 42,099.333 ล้านบาท; สินค้าเด่น ผลไม้สด (ทุเรียน, ลำไย, มะขาม)
  • แม่สายส่งออก 11,462.327 ล้านบาท—เสี่ยงสูงต่อเหตุการณ์ฝั่งเมียนมา; สินค้าเด่น น้ำมันดีเซล, เครื่องดื่มชูกำลัง
  • เชียงแสนส่งออก 9,285.396 ล้านบาท—บทบาททางน้ำผ่านท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนแห่งที่ 2
  • ผลไม้สดผ่านภาค 3 น้ำหนักรวมกว่า 439 ล้านกก., มูลค่าประมาณ 38,669 ล้านบาท
  • นำเข้าหลัก พลังงานไฟฟ้าประมาณ 26,013.7 ล้านบาท, แร่/โลหะพลวงรวมกว่า 14,900 ล้านบาท, องุ่นสด ≈5,186.4 ล้านบาท, ส้มแมนดาริน ≈2,159.7 ล้านบาท เป็นต้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ผู้จัดการออนไลน์
  • สำนักงานศุลกากรภาค 3
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (สำนักเศรษฐกิจภาคเหนือ)
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
  • กรมศุลกากร
  • กรมเจ้าท่า/ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนแห่งที่ 2
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย/หอการค้าจังหวัดเชียงราย
  • หน่วยงานความมั่นคง/ประกาศภาครัฐเมียนมา
  • ข้อมูลสถิติสินค้าเฉพาะรายการ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

เปิด 3 ปัจจัยหลักทำ “ตึกแถว” หายจากตลาด 50% นายกสมาคมฯ ชี้ไทยเสี่ยงเผชิญปัญหาทรัพย์ร้าง

หมดอายุขัยทางเศรษฐกิจ? เมื่อ “ตึกแถวไทย” ถูกดิสรัปต์—เจ้าของแห่ขาย ไร้คนซื้อ เสี่ยงกลายเป็นทรัพย์ร้างทั่วประเทศ

กรุงเทพฯ, 21 ตุลาคม 2568 — ยามเช้าบนถนนสายเก่าในเมืองรองของภาคเหนือ ประตูเหล็กบานม้วนของตึกแถวเรียงยาวยังคงถูกเปิด–ปิดเป็นจังหวะคุ้นตา แต่ป้าย “ขาย/ให้เช่า” กลับปรากฏถี่ขึ้นเรื่อย ๆ และค้างอยู่นานกว่าที่เคย สำหรับคนไทยหลายรุ่น “ตึกแถว” คือภาพจำของพลังเศรษฐกิจฐานราก—ค้าขายชั้นล่าง อยู่ชั้นบน เชื่อมบ้าน–ร้าน–ชุมชนเข้าไว้ด้วยกัน ทว่าในโลกธุรกิจที่เคลื่อนไปด้วยอีคอมเมิร์ซ โลจิสติกส์ดิจิทัล และความต้องการอยู่อาศัยรูปแบบใหม่ ทรัพย์สินรูปแบบนี้กำลังเผชิญการทดสอบครั้งใหญ่

รายงานของ สำนักข่าวมติชนออนไลน์ เมื่อ 20 ตุลาคม 2568 อ้างคำให้สัมภาษณ์ของ นายวสันต์ คงจันทร์ นายกสมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ ระบุชัดว่า ตึกแถวคืออสังหาริมทรัพย์ที่ถูกดิสรัปต์เพราะหมดประโยชน์ใช้สอย” และ “ปัจจุบันมีตึกแถวหายไปจากตลาดแล้ว 50%” พร้อมย้ำว่าตึกแถวมือสอง “ขายยากมาก” โดยเฉพาะต่างจังหวัดที่ไม่ใช่โซนท่องเที่ยวหรือย่านการค้า แม้บางทรัพย์ที่บริษัทบริหารสินทรัพย์และธนาคารนำออกขายจะ ลดราคาถึง 50% ก็ยัง “ขายออกยาก” เหตุผลสำคัญ—คนไม่รู้จะซื้อไปทำอะไร

3 แรงดิสรัปต์ เมื่อ “หน้าร้าน” แพ้ “หน้าจอ”

  1. อีคอมเมิร์ซแทนหน้าร้าน
    พฤติกรรมซื้อขายเคลื่อนไปสู่แพลตฟอร์มออนไลน์อย่างรวดเร็ว ต้นทุนการเปิดร้านค้าบนแพลตฟอร์มและสื่อสังคมต่ำกว่าการเช่าหรือซื้ออาคารพาณิชย์ ขณะที่ระบบโลจิสติกส์–ชำระเงิน–โฆษณาดิจิทัลครบวงจร ทำให้ SMEs จำนวนมาก “ไม่จำเป็น” ต้องมีหน้าร้านอีกต่อไป ส่งผลตรงต่ออุปสงค์ตึกแถวที่เคยรองรับร้านโชห่วย ร้านอะไหล่ ร้านอาหารแบบคลาสสิก
  2. ข้อจำกัดด้านการอยู่อาศัย–ทำเล–ที่จอดรถ
    ตึกแถวจำนวนมากอยู่ในย่านดั้งเดิมที่ ที่จอดรถขาดแคลน และแวดล้อมด้วยผังเมืองที่ไม่ได้รองรับรถยนต์ส่วนบุคคลอย่างปัจจุบัน ประกอบกับคุณภาพชีวิตสมัยใหม่ที่ผู้ซื้อรุ่นใหม่มักเลือกบ้านแนวราบในชานเมืองหรือคอนโดที่มีส่วนกลาง–ที่จอดครบ ทำให้ “อยู่ชั้นบน–ค้าชั้นล่าง” ไม่ตอบโจทย์ครัวเรือนยุคใหม่
  3. ความคาดหวังราคาจากการเก็งกำไร
    ทำเลที่คาดว่าจะได้อานิสงส์จาก โครงสร้างพื้นฐานใหม่ เช่น รถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ถนนลาดพร้าว) ทำให้เจ้าของบางราย “ตั้งราคาเผื่ออนาคต” แต่เมื่อตลาดจริง ไม่มีผู้ซื้อใช้งาน (end-user) ที่ชัดเจน ราคาเสนอขายจึง “ลอย” และทรัพย์แขวนยาว เกิดภาพ “ป้ายขายเรียงถี่” ที่เห็นทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมือง

สัญญาณตลาด ลด 50% ยังขายยาก–บางทำเลแปลงเป็นโรงแรมเล็ก–คอนโด

จากรายงานเดียวกัน ตลาดกำลัง แตกขั้ว ชัดเจน

  • ต่างจังหวัด/ทำเลไม่ท่องเที่ยว ขายยากมาก แม้ลดราคาครึ่งหนึ่ง
  • ทำเลท่องเที่ยว (เช่น เยาวราช) มีการปรับโฉมเป็น โรงแรมขนาดเล็ก รับนักท่องเที่ยว ห้องพักคืนละหลัก 1,000 บาทบวกลบ
  • แนวรถไฟฟ้า บางช่วง ดีเวลลอปเปอร์ กว้านซื้อ เพื่อ พัฒนาเป็นคอนโด
  • ราคาคงที่ในบางย่าน เช่น เยาวราช คูหาละ 40–50 ล้านบาท อยู่ระดับนี้มาหลายปี หรือแยกรัชดา–ลาดพร้าว คูหาละ 9–10 ล้านบาท ประกาศขายค้างนาน สะท้อนอุปสงค์จริงที่จำกัด

ภาพนี้ทำให้ผู้เล่นในตลาดรองอย่าง บริษัทบริหารสินทรัพย์ เองยัง “ไม่รีบรับตึกแถวเข้าพอร์ต” เพราะ ระบายช้า เสี่ยง ทรัพย์ร้าง สะสมกว้างขึ้น—คำเตือนที่ทำให้หลายคนย้อนนึกถึงโจทย์ “บ้านว่าง–ตึกว่าง” ในญี่ปุ่น

จากสัญลักษณ์การค้า…สู่โจทย์ “ใช้การอย่างไรในโลกใหม่”

“ตึกแถว” ไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์อสังหาฯ แต่คือ โครงสร้างสังคม–เศรษฐกิจ ของเมืองไทยหลายทศวรรษ—แถวเดียวรองรับทั้ง ธุรกิจครอบครัว–ห้องเก็บของ–ห้องเช่า ในยุคที่เศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยการค้าปลีกออฟไลน์ แต่เมื่อ ซัพพลายเชน ของการค้าเปลี่ยน—สินค้าถูกเก็บใน คลังสินค้าชานเมือง, “หน้าร้าน” ย้ายไปอยู่บนจอ, “คอนเทนต์” กลายเป็นพนักงานขาย 24 ชั่วโมง—บทบาทของอาคารพาณิชย์ในเมืองจึงถูกท้าทายโดยตรง
สิ่งที่ตามมาคือ ต้นทุนโครงสร้าง ของตึกแถว—หน้ากว้าง 4 เมตร ลึก 12–16 เมตร, บันไดชัน, ระบบสาธารณูปโภคที่ไม่ได้ออกแบบสำหรับ ครัวสมัยใหม่/ระบบดับเพลิง/ลิฟต์โดยสาร—ทำให้การ “รีโนเวตเพื่ออยู่อาศัย” หรือ “ดัดแปลงเป็นธุรกิจใหม่” มีต้นทุน–ข้อจำกัดทางกฎหมาย สูงกว่าที่คิด โดยเฉพาะถ้าต้องยื่นขอเปลี่ยนการใช้ประโยชน์อาคารให้ถูกต้องตามกฎหมายควบคุมอาคาร มาตรฐานอัคคีภัย และผังเมืองรวม

ทำไมต่างจังหวัดเจ็บกว่า? 5 เหตุผลเชิงโครงสร้าง

  1. ทราฟฟิกคนเดินต่ำลง เมื่อศูนย์การค้า–ไฮเปอร์มาร์เก็ต–ไลฟ์สไตล์มอลล์กลายเป็นแหล่งจับจ่ายหลัก
  2. การย้ายฐานที่อยู่อาศัย จากใจเมืองสู่ชานเมือง/แนวถนนสายหลักที่มีที่จอดและพื้นที่ใช้สอยมากกว่า
  3. รายได้ท่องเที่ยวกระจุก ในเมืองท่องเที่ยวหลัก ทำให้ตึกแถวในเมืองที่พึ่งพานักท่องเที่ยวน้อย “ไม่มีดีมานด์ใหม่”
  4. ค่าขนส่ง–เดลิเวอรีที่ถูกลง ทำให้ร้านออนไลน์ “ข้ามทำเล” ไปขายทั่วเมืองโดยไม่ต้องมีหน้าร้าน
  5. การเข้าถึงแหล่งทุน–ความรู้ปรับโฉม ของผู้ถือครองรายย่อยยังจำกัด เมื่อเทียบกับดีเวลลอปเปอร์ในเมืองใหญ่

ทางเลือก “ปรับโฉม” มีจริง แต่ต้องจับคู่กับเงื่อนไขที่ถูกต้อง

  • บูทีคโฮเทล/โฮสเทล เหมาะในย่านท่องเที่ยว–วัฒนธรรมที่ “เดินได้” แต่ต้องลงทุนระบบความปลอดภัย–ช่องทางหนีไฟ–เสียง–สุขาภิบาล
  • คีตชัน/โกสต์คิทเช่น ใช้จุดแข็งของทำเลกลางเมืองเชื่อมเดลิเวอรี แต่ต้องลงทุนระบบครัว–จัดการกลิ่น–ข้อกำหนดเทศบัญญัติ
  • โคเวิร์กกิง/สตูดิโอครีเอทีฟ เหมาะย่านศิลปะ–สตาร์ทอัพ–มหาวิทยาลัย แต่ต้องแก้ข้อจำกัดที่จอด–การสัญจร
  • ไมโครฟูลฟิลเมนต์/พิกอัปพอยต์ จับตลาดอีคอมเมิร์ซท้องถิ่น แต่ต้องประเมินทราฟฟิก–ค่าเช่า–ผลตอบแทนต่อ ตร.ม.
  • โค–ลิฟวิง/เซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ ต้องตีความรหัสอาคาร–มาตรฐานที่อยู่อาศัยใหม่–การระบายอากาศ–แสงธรรมชาติ–เสียงรบกวน

ข้อเท็จจริงสำคัญ คือการปรับโฉม “คูหาเดียว” มัก ไม่คุ้มทุน เท่าการ รวบแปลงหลายคูหา เพื่อเพิ่มหน้ากว้าง–พื้นที่ใช้สอย–ทางหนีไฟ และวางผังใหม่ให้รองรับการใช้งานสมัยใหม่ ซึ่งต้องอาศัย การรวมเจ้าของ ที่อาจใช้เวลาและการเจรจาซับซ้อน

คำเตือนจากตัวเลข “ลดครึ่งหนึ่งยังขายยาก” และเงาสะท้อน “บ้านว่าง” แบบญี่ปุ่น

คำกล่าวของนายวสันต์ว่าบางสินทรัพย์ “ต้องลด 50% จากราคาปกติก็ยังขายยาก” ไม่เพียงชี้ ความเครียดด้านราคา แต่ยังชี้ว่า ผู้ซื้อปลายทาง (end-user) ในหลายทำเล “แทบไม่มี” เทียบกับญี่ปุ่นที่มี บ้านว่าง (Akiya) กระจายตัวสูงในเมืองรอง ประเด็นนี้จึงไม่ใช่เรื่อง “ความสวยงามของอาคารเก่า” แต่คือ ความสามารถในการใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ของทรัพย์สินที่ต้องการ นโยบาย–แรงจูงใจ–ความร่วมมือ มากกว่าปล่อยให้ตลาดแก้เอง

7 แนวทางเชิงระบบ จาก “ทรัพย์แขวน” สู่ “ทรัพย์หมุนเวียน”

  1. อินเซนทีฟภาษีเพื่อการรีโนเวตเชิงอนุรักษ์
    ลดหย่อนภาษีที่ดิน–สิ่งปลูกสร้างชั่วคราวสำหรับผู้รีโนเวตอาคารพาณิชย์เพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ในกิจการที่ผังเมืองสนับสนุน
  2. กองทุน/สินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษเพื่อการปรับปรุงตึกแถว
    สินเชื่อยืดหยุ่นสำหรับ “รวมคูหา–ติดตั้งระบบความปลอดภัย–ปรับโครงสร้าง” โดยร่วมมือธนาคารพาณิชย์–กองทุนท้องถิ่น
  3. การรวมกลุ่มเจ้าของ (Block Assembly)
    เทศบาล/จังหวัดเป็น “ตัวกลาง” ให้เจ้าของคูหาติดกันหารือแนวทางการรวม–รีโนเวต–ร่วมลงทุน เพื่อให้เกิดขนาดเศรษฐกิจ (economies of scale)
  4. ผังเมือง “โซนประสบการณ์”
    อนุญาตการใช้ประโยชน์ผสม (mixed-use) และผ่อนผันจอดรถ–ทางเท้า ในย่านที่กำหนดให้เป็น ย่านเดินได้ (walkable district) พร้อมพื้นที่สีเขียว–ทางจักรยาน
  5. มาตรฐานความปลอดภัย–อัคคีภัย “ทางลัดที่ปลอดภัย”
    จัดทำคู่มือ–แบบมาตรฐานสำหรับอาคารพาณิชย์รีโนเวต เพื่อลดเวลา–ความไม่แน่นอนในการยื่นขออนุญาต แต่ยังคงความปลอดภัยเต็มรูปแบบ
  6. ตลาดชั่วคราว–อีเวนต์ครีเอทีฟ ดึงทราฟฟิก
    เมืองสามารถปล่อยใช้ชั่วคราว (temporary use) กับคูหาว่าง เป็นป๊อปอัปโชว์รูม–อาร์ตสเปซ–งานคราฟต์–สตรีทฟู้ดคุณภาพ เพื่อทดสอบดีมานด์จริง
  7. ฐานข้อมูล “ทรัพย์ว่างโปร่งใส”
    สร้างแพลตฟอร์มเผยแพร่ข้อมูลตึกแถวว่าง–สภาพอาคาร–เงื่อนไขการใช้ เพื่อลด ต้นทุนการค้นหา (search cost) ของนักลงทุน–ผู้ประกอบการรุ่นใหม่

สำหรับเจ้าของ เช็กลิสต์ 90–180 วันเพื่อตัดสินใจด้วยข้อมูล

  • ประเมินศักยภาพเชิงพาณิชย์ ทราฟฟิกคนเดิน/ระยะถึงขนส่งสาธารณะ/ความหนาแน่นประชากร–สถานศึกษา–สำนักงาน
  • วิเคราะห์โครงสร้าง–ต้นทุนรีโนเวต ระบบไฟ–น้ำ–บันได–พื้น–หลังคา–ผนังรับแรง, ปรับช่องเปิด–แสง–ระบายอากาศ
  • เช็กกฎหมาย–ผังเมือง–อัคคีภัย การใช้ประโยชน์ที่อนุญาต/ที่จอด/จำนวนทางหนีไฟ/ระบบแจ้งเหตุ–สปริงเกลอร์
  • สำรวจทางเลือกการใช้ โรงแรมเล็ก–โกสต์คิทเช่น–โคเวิร์กกิง–สตูดิโอ–ไมโครฟูลฟิลเมนต์–โค–ลิฟวิง (เทียบผลตอบแทน–ความเสี่ยง)
  • ตัดสินใจ “ขาย/ถือ/รีโนเวต” ด้วยตัวเลข ทำ DCF งบลงทุน–ค่าเช่าเป้าหมาย–ระยะเวลาคืนทุน หาก “ขาย” อาจพิจารณา ขายยกแถว ให้ดีเวลลอปเปอร์เพื่อเพิ่มโอกาสปิดดีล

สำหรับท้องถิ่น ทำให้ “เดินได้–ลงทุนได้–อยู่ได้”

เมืองที่อยากเห็นย่านเก่าฟื้น ต้องทำงาน “สามชั้น” พร้อมกัน—โครงสร้างพื้นฐาน (ฟุตปาธ–ไฟ–ถังขยะ–ต้นไม้), กติกายืดหยุ่น (mixed-use–ที่จอดแบบรวมศูนย์–มาตรฐานปรับใช้), และ กิจกรรมสร้างชีวิต (มาร์เก็ต–เทศกาล–งานศิลปะ) เมืองที่ทำสามชั้นได้พร้อม จะเปลี่ยน “ตึกแถวว่าง” เป็น “ตึกแถวมีชีวิต” ได้เร็วกว่าการรอให้ตลาดทำเอง

จากตึกแถวสู่ทรัพยากรเมืองยุคใหม่

บทวิเคราะห์ของนายวสันต์—ที่ชี้ว่าตึกแถว ครึ่งหนึ่งหายไปจากตลาด และ ต้องลดราคา 50% ยังขายยาก—ไม่ใช่ “ข่าวร้าย” หากมองอีกด้าน มันคือ “สัญญาณเตือน” ให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝั่ง ยอมรับความจริง ว่าฟังก์ชันเดิมของอาคารพาณิชย์กำลังหมดอายุในหลายทำเล แล้วหันมาร่วมกันออกแบบ ฟังก์ชันใหม่ ที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจฐานบริการ–ดิจิทัล–ท่องเที่ยวคุณภาพ—ด้วยกติกาที่ชัด ระบบที่ช่วยได้ และการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคุ้มความเสี่ยง

ในบางย่าน—เยาวราช–เมืองเก่า–โครงการรถไฟฟ้า—เรามีตัวอย่าง การปรับโฉมที่เวิร์ก อยู่แล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อคือขยายบทเรียนเหล่านั้นให้ ไปไกลกว่าศูนย์กลาง สู่เมืองรอง–อำเภอ–ย่านรอบนอก เพื่อไม่ให้ “ตึกแถว” กลายเป็น ทรัพย์ร้าง ที่ค่อย ๆ ดับไฟชุมชน แต่กลายเป็น ทรัพยากรเมือง ที่ช่วยสร้างงาน–สร้างกิจกรรม–สร้างตัวตนของย่านในยุคใหม่

สรุปตัวเลข–ข้อความชวนคิด

  • ตึกแถวหายไปจากตลาด ~50% (ตามคำให้สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ)
  • ตึกแถวมืสองขายยาก แม้ลดราคา ~50% โดยเฉพาะต่างจังหวัด–ย่านไม่ท่องเที่ยว
  • บางย่านท่องเที่ยว แปลงเป็น โรงแรมเล็ก (ค่าห้อง ~1,000 บาท/คืน)
  • แนวรถไฟฟ้าบางช่วง ถูกกว้านซื้อพัฒนาเป็น คอนโด
  • ราคาบางย่านทรงตัวหลายปี เยาวราช คูหาละ 40–50 ล้าน, แยกรัชดา–ลาดพร้าว คูหาละ 9–10 ล้าน
  • บทเรียนญี่ปุ่น บ้าน–ตึกว่างเพิ่ม หากไม่เร่งหาฟังก์ชันใหม่–สร้างแรงจูงใจรีโนเวต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

LINE FOOD TECH ชี้วิกฤตร้านอาหารไทย ยอดขายตก-ต้นทุนพุ่ง สวนทาง “มัทฉะ” โต 28%

LINE FOOD TECH 2025 ชี้วิกฤตร้านอาหารไทย “ยอดขายตก ต้นทุนเพิ่ม ลูกค้าลด”  มัทฉะพุ่งแรง เป็น “เส้นชีพจร” ของตลาดเครื่องดื่ม — 4 ทางรอดสู่ปี 2026

กรุงเทพฯ, 21 ตุลาคม 2568 — เสียงบี๊ปจากเครื่องรับออเดอร์ที่เคยดังถี่ในชั่วโมงเที่ยง กลับเงียบลงกว่าที่เคย ขณะเดียวกันใบแจ้งหนี้ค่าวัตถุดิบและค่าแรงก็ขยับขึ้นทีละน้อย แต่รวมกันแล้วหนักหนาสาหัส นี่คือสภาพจริงที่ผู้ประกอบการร้านอาหารจำนวนมากเผชิญอยู่ และถูกถ่ายทอดอย่างตรงไปตรงมาในเวทีสัมมนา LINE FOOD TECH 2025 ของ LINE for Business เมื่อ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา — งานที่รวบรวมข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคและภาพรวมการค้าปลีกอาหารจากระบบนิเวศของแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อให้ผู้ประกอบการวางแผนรับปี 2569/2026

ภาพจำที่ชัดจากเวทีนี้คือ “สามแรงกดดัน” ที่หนีไม่พ้น เศรษฐกิจซบเซาและนักท่องเที่ยวบางกลุ่มหายไป, ต้นทุนดำเนินงานรวมพุ่งมากกว่า 25% โดยเฉพาะค่าวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น 25%, และสนามแข่งขันที่หนาแน่นตั้งแต่ร้านเชนต่างชาติจนถึงผู้เล่นออนไลน์ไร้หน้าร้าน ทั้งหมดนี้กำลังบีบกำไรของร้านอาหารให้บางลง จนเกิดปรากฏการณ์ที่ มากกว่า 50% ของร้านเปิดใหม่ต้องปิดในปีแรก” — ตัวเลขสะเทือนใจที่บอกชัดว่า “เปิดร้าน” ไม่ใช่เรื่องง่ายแม้ทำเลจะดีและเมนูจะโดน

เศรษฐกิจชะลอท่องเที่ยวเปลี่ยนทิศ เมื่อ “คนเดิน” น้อยลงกว่าเดิม

ข้อมูลจากเวทีระบุว่า แม้ไตรมาสแรกของปีจะดูสดใส แต่เข้าสู่ไตรมาส 2–3 จำนวน นักท่องเที่ยวต่างชาติ ในย่านหลักลดลงอย่างมีนัย สวนทางกับค่าใช้จ่ายคงที่ของร้านที่เพิ่มขึ้น ทำให้ ยอดขายหน้าร้าน (Offline Same Store Sale) ปี 2025 หดตัวถึง 14% (เทียบกับปี 2024 ที่หด 3%) ในขณะที่บิลเฉลี่ยก็ลดลงทั้งสองช่วงราคา — บิลต่ำกว่า 500 บาทลดลง 12% และบิลมากกว่า 500 บาทลดลง 14% สะท้อนพฤติกรรม “รัดเข็มขัด” ของผู้บริโภค

ภาพนี้ชัดขึ้นเมื่อมองระดับหมวด — ร้านอาหาร สตรีทฟู้ด เติบโต 4% ทวนกระแส เพราะตอบโจทย์ “อิ่มคุ้มในงบจำกัด” ขณะที่หมวดเมนูท็อปฮิตยังเป็นของคุ้นลิ้นอย่าง ไก่ทอด ซึ่งโต 18% และ “สุกี้” ที่พุ่งแรง 30% ในไตรมาสล่าสุด แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มหันหาเมนู “บ้านๆ แต่มั่นใจได้” และคุมงบได้ง่าย

ต้นทุน 25% ที่มองไม่เห็นแต่อยู่ทุกจาน

ในครัว ต้นทุนแทบทุกบรรทัดขยับขึ้นพร้อมกัน — วัตถุดิบหลักหลายรายการแพงขึ้น ราว 25%, ค่าแรงปรับขึ้นตามนโยบาย และค่าเช่าพื้นที่ที่ยืดหยุ่นน้อยในทำเลหลัก ผลคือ “ต้นทุนรวม” ของหนึ่งจานอาหารแพงขึ้นแม้พยายามตรึงราคา หน้าเคาน์เตอร์ลูกค้าอาจไม่ทันเห็น แต่ในสมุดบัญชีผู้ประกอบการเห็นทุกวัน ผู้เชี่ยวชาญบนเวทีจึงย้ำว่า ระบบอัตโนมัติ และ ข้อมูล คือกลไกลดรั่วไหลที่จับต้องได้จริง — ตั้งแต่การจัดตารางพนักงาน, การคุมสต๊อกและของเสีย (waste), จนถึงการคำนวณจุดสั่งซื้ออัตโนมัติ

สนามแข่งขันเดือด “เปิดง่าย–ปิดเร็ว” และการรุกของแบรนด์ต่างชาติ

ดัชนีอีกด้านคือ จำนวนบริษัทจดทะเบียนใหม่ในหมวดอาหาร ที่อยู่ใน Top 3 ของทุกอุตสาหกรรม สะท้อนว่าผู้เล่นใหม่ไหลเข้าสนามไม่หยุด ขณะเดียวกัน แบรนด์ต่างชาติ ทั้งไก่ทอด เบเกอรี่ และสตรีทฟู้ดระดับโลกเข้ามาจับจุดแข็งทำเลและการตลาดดิจิทัลอย่างเข้มข้น ผลคือร้านที่ “ไม่มีจุดต่าง” มักถูกบีบให้ออกจากตลาดเร็วขึ้น

บทเรียนเชิงตัวเลข ยอดขายหน้าร้านปี 2025 ลด 14% | ต้นทุนวัตถุดิบ +25% | บิลเฉลี่ยลด 12–14% | ร้านใหม่มากกว่า 50% ปิดภายในปีแรก

เสียงสะท้อนจาก “แก้ว” แทน “จาน” ตลาดเครื่องดื่มยังหายใจแรง — มัทฉะนำขบวน

ท่ามกลางความหนืดของตลาดอาหาร หมวดเครื่องดื่ม กลับงอกเงย โดยเฉพาะร้านกาแฟและชาเขียวที่พุ่งสวนทางกับร้านอาหารภาพรวม คีย์เวิร์ดของปีนี้คือ มัทฉะ” ซึ่ง ยอดขายเครื่องดื่มชาเขียวเติบโต 28% มูลค่ารวมแตะราว 1,160 ล้านบาท จำนวนร้านที่ขายเมนูชาเขียวเพิ่มจาก 9,600 เป็น 12,400 ร้าน และบนแพลตฟอร์มเดลิเวอรีมีการสั่ง “มัทฉะ” มากกว่า 5 ล้านแก้ว ในครึ่งปีแรกเพียงอย่างเดียว

ที่น่าจับตายิ่งกว่า คือ เพียวมัทฉะ” กลับโตแซง “มัทฉะลาเต้” ซึ่งสะท้อนรสนิยมใหม่ของผู้บริโภคที่หันหา ความแท้จริง (authenticity) และ คุณภาพวัตถุดิบ มากขึ้น ผู้จัดงานยังชี้เทรนด์ ชานมเผือกโมจิ” ที่ได้รับอิทธิพลจากจีน — ยอดค้นหาเพิ่มขึ้นกว่า 530% และทำยอดขาย 150,000 แก้วใน 3 เดือน บ่งชี้ว่านวัตกรรมเมนูข้ามวัฒนธรรมยังมีที่ทาง หากจับ “จังหวะไว ทำจริงเร็ว–เล่าเรื่องเป็น”

แผนที่มัทฉะ ยังสะท้อนการกระจุกตัวในเมืองใหญ่—กรุงเทพฯ นนทบุรี ชลบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี ติดท็อป 5 จังหวัดที่มีร้านมัทฉะมากที่สุด เป็นสัญญาณว่าตลาด “รอง” ยังมีพื้นที่รอการเจาะ โดยเฉพาะทำเลมหาวิทยาลัย/แหล่งงานที่มีกำลังซื้อวัยเริ่มทำงาน

พฤติกรรมผู้บริโภคปี 2025 สุขภาพ ส่วนบุคคล โอมนิแชนแนล

เส้นเรื่องผู้บริโภควันนี้ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

  • ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ต้องการปรับแต่งเมนู ลดหวาน/เพิ่มท็อปปิงเฉพาะ
  • แยก “กินในร้าน–สั่งเดลิเวอรี” ไม่ออก แล้ว ร้านต้องพร้อมทุกช่องทาง
  • เดลิเวอรีโตต่อเนื่อง 2–3%/ปี คิดเป็น ~29% ของยอดขายรวม ปี 2025 แม้พ้นยุคโควิด
  • ผู้บริโภคคาดหวัง ช่องทางสั่งซื้อหลากหลาย 72%, จ่ายเงินหลายรูปแบบ 66%, ความเร็วบริการ 60%, ระบบคิว 43%, ความสะดวกใช้งาน 36%

สาระสำคัญจึงไม่ใช่แค่ “เปิดให้สั่งออนไลน์” แต่คือการทำ โอมนิแชนแนล ให้ลื่น ทั้งการค้นหา–สั่ง–จ่าย–ติดตาม–รับสินค้า และการดูแลหลังการขายในช่องทางที่ลูกค้าคุ้นเคย (เช่น LINE OA)

4 ทางรอดที่ทำได้ทันที จากเวทีสู่หน้าร้าน

เวที LINE FOOD TECH 2025 ย้ำ 4 คันโยก ที่ลงมือแล้วเห็นผล

  1. Differentiation — สร้างความต่างให้ชัด
    เลือก “เล่าเรื่อง” หรือ “นิช” ที่ไปให้สุด เช่น มัทฉะสายเพียว/ซิงเกิลออริจิน, สุกี้แห้งสูตรท้องถิ่น, ไก่ทอดสไตล์เฉพาะถิ่น เชื่อมด้วยกิจกรรมหน้าร้านคอนเทนต์หลังร้าน ให้ลูกค้ารู้สึกว่า “แบรนด์นี้มีตัวตนและเหตุผลของราคา”
  2. คุณภาพ ราคา — คุ้มจริงในมือผู้บริโภค
    ในยุคที่ทุกบาทมีความหมาย ลูกค้าจะกลับมาซื้อซ้ำเมื่อ “คุณภาพสม่ำเสมอ” และ “ป้ายราคาเข้าใจได้” สูตร ไซซ์ ภาพจริงต้องตรงปก และสื่อสารชัด (เช่น ระบุ % ความหวาน/คาเฟอีน) เพื่อสร้างความเชื่อถือ
  3. Automation — คุมต้นทุนด้วยระบบ
    เริ่มจากจุดที่ “รั่วง่าย” เช่น สต๊อกวัตถุดิบ, ของเสียในครัว, ตารางเวรพนักงาน นำระบบจัดซื้อ/สต๊อก/พนักงานอัตโนมัติเข้ามาช่วย ต้นทุนบุคลากรลดลงโดยไม่กระทบคุณภาพ และผู้จัดการร้านมีเวลาไปทำการตลาด พัฒนาสินค้ามากขึ้น
  4. Experience — ประสบการณ์ลูกค้าคือสินทรัพย์
    ทำให้ “ค้นหา–สั่ง–จ่าย–รับ” ไหลลื่น รองรับการชำระเงินทุกแบบที่ลูกค้าคุ้น มือถือจบได้ในไม่กี่คลิก ตั้ง SLA ความเร็ว และ ระบบคิว ที่โปร่งใส พร้อม การันตีคืนเงิน/เปลี่ยนสินค้า ในกรณีผิดพลาด เพื่อซื้อใจในระยะยาว

มัทฉะ” ไม่ใช่แค่กระแส แต่คือบทเรียนเชิงกลยุทธ์

การขึ้นแท่นของมัทฉะสอนเราสามข้อ

  • คุณภาพ–ความแท้จริง ชนะในระยะยาว ผู้บริโภคสนใจ “เพียวมัทฉะ” มากกว่าเมนูที่ถูก–หวานจัด
  • ซัพพลายและเล่าเรื่อง สำคัญเท่ารสชาติ แหล่งที่มา–ระดับการบด–พิธีชง เป็นส่วนหนึ่งของ “ประสบการณ์”
  • ต่อยอดข้ามหมวด ได้ เช่น จากเครื่องดื่มสู่เบเกอรี่ ครัวซองต์ ขนมปังมัทฉะ เมื่อทำให้ “คอนเซ็ปต์เดียวกัน” เชื่อมทุกเมนู

ด้วยเหตุนี้ ร้านเล็กสามารถ “จิ้มจุดต่าง” ให้ชัด แล้วใช้คอนเทนต์–รีวิวจริง–กิจกรรมร่วมกับคอมมูนิตี้วัฒนธรรมชา สร้างฐานลูกค้าประจำที่มั่นคงกว่าการลดราคาแข่ง

โรดแมป 90–180 วัน แผนทำจริงสำหรับปี 2026

ช่วง 0–90 วัน

  • ติดตั้ง ระบบสต๊อก–จัดซื้อ แบบง่ายที่เชื่อม POS
  • ตั้ง มาตรฐานคุณภาพ (สูตร–ไซซ์–ภาพจริง) และอบรมบาริสต้า/ครัวให้ชัดเจน
  • เปิด ช่องทางสั่งครบ หน้าร้าน–โทร–แชต LINE–เดลิเวอรี พร้อม จ่ายหลายแบบ (โอน/QR/บัตร/อีวอลเล็ต)

ช่วง 91–180 วัน

  • ทดลอง 2–3 เมนู “นิช” (เช่น เพียวมัทฉะระดับเกรด/สุกี้แห้งสูตรบ้านเกิด) พร้อม A/B test ราคา–ภาพ–คำอธิบาย
  • นำ ระบบจัดตารางพนักงานอัตโนมัติ และ วิเคราะห์ของเสีย เพื่อลดต้นทุน 3–7%
  • ทำ โปรแกรมสมาชิก บน LINE OA สะสมแต้ม–เกิดวัน–ชุดล่วงเวลา (off-peak) ดันยอดช่วงเงียบ

ตลอดปี 2026

  • สร้าง คอนเทนต์เล่าเรื่องวัตถุดิบ และ รีวิวจริงตรวจสอบได้
  • ขยาย สาขา/คีออสท์ขนาดเล็ก ในทำเลรองที่ต้นทุนเช่าต่ำ แต่มีทราฟฟิกกลุ่มเป้าหมาย
  • วัดผล CSAT/NPS รายช่องทาง และเชื่อมเข้ากับโบนัสทีม เพื่อให้ “ประสบการณ์ลูกค้า” เป็น KPI กลาง

เปิดเร็ว–ปิดเร็ว หรือปรับเร็ว–อยู่ยาว

ประเด็นที่ทำให้หลายร้าน “เปิดเร็ว–ปิดเร็ว” มักไม่ใช่แค่ยอดขาย แต่คือ โครงสร้างต้นทุน–ระบบ–จุดต่าง ที่ไม่ทันกาล ข้อมูลจาก LINE FOOD TECH 2025 จึงไม่ได้ชี้เพียง “ตลาดแย่” แต่ยื่น เครื่องมือ ให้จับต้อง—ตั้งแต่วิธีเลือกเมนูที่มีสัญญาณเติบโต (เช่น มัทฉะ/สุกี้/ไก่ทอด), การทำโอมนิแชนแนลให้ลื่น, ไปจนถึงระบบหลังบ้านที่ช่วยอุ้มกำไร

เมื่อปี 2026 กำลังจะมาถึงพร้อมความผันผวน สิ่งที่ร้านเล็กทำได้คือ “เปลี่ยนแต่เนิ่น ๆ” เปลี่ยนให้มีข้อมูล เปลี่ยนให้มีระบบ เปลี่ยนให้โดดเด่นในสายตาลูกค้า — เพราะในตลาดที่ลูกค้าจ่ายน้อยลง การเลือกของพวกเขาจะยิ่งเฉียบคมขึ้นเสมอ

สถิติสำคัญจากเวที

  • ยอดขายหน้าร้านปี 2025 (Offline SSS) ลดลง 14% (ปี 2024 ลด 3%)
  • ต้นทุนรวม เพิ่ม >25% โดยวัตถุดิบ +25% และค่าแรงปรับขึ้น
  • ลูกค้าจ่ายน้อยลง บิล <500 บาท -12%, บิล >500 บาท -14%
  • สตรีทฟู้ด โต 4% | ไก่ทอด โต 18% | สุกี้ โต 30% (ไตรมาสล่าสุด)
  • มากกว่า 50% ของร้านเปิดใหม่ ปิดภายในปีแรก
  • มัทฉะ/ชาเขียว โต 28% เป็น ~1,160 ล้านบาท | ร้านที่ขายชาเขียวเพิ่มจาก 9,600 → 12,400 ร้าน
  • ครึ่งปีแรก 2025 มีการสั่ง มัทฉะ >5 ล้านแก้ว บนแพลตฟอร์มเดลิเวอรี
  • ชานมเผือกโมจิ ยอดค้นหา +530%, ยอดขาย >150,000 แก้วใน 3 เดือน
  • เดลิเวอรีเติบโต 2–3%/ปี, คิดเป็น ~29% ของยอดขายรวม
  • ความคาดหวังผู้บริโภค ช่องทางสั่งหลากหลาย 72%, จ่ายได้หลายแบบ 66%, เร็ว 60%, คิวดี 43%, สะดวก 36%

ข้อมูลจาก LINE FOOD TECH 2025 ให้ภาพใหญ่ที่ตรงไปตรงมาว่า “ปีที่ยาก” ยังไม่ผ่านพ้น แต่ โอกาส อยู่ตรงการเลือกเล่นในสนามที่ “คนอยากซื้อจริง” (เช่น มัทฉะ–สุกี้–ไก่ทอด), ทำระบบให้เกิดผล (automation/stock), และทำประสบการณ์ให้เหนือความคาดหวัง (โอมนิแชนแนล–จ่ายหลายแบบ–คืนเงินโปร่งใส) หากทำได้ ร้านเล็กก็มีสิทธิ์ “อยู่ยาว” ท่ามกลางคลื่นเศรษฐกิจที่ซัดแรง

ปี 2026 จึงน่าจะไม่ใช่ปีที่ร้านอาหารต้อง “ทนรอ” แต่เป็นปีที่ ลงมือปรับ เพื่อกลับมา “เลือกกำไร” แทนที่จะ “เหลือกำไร”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • LINE for Business — LINE FOOD TECH 2025
  • LINE MAN Wongnai
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

SME ไทยต้องรอด! finbiz by ttb เปิดคู่มือ 6 เทรนด์ ปรับตัวสู้ De-globalization และ Decarbonization

4D Syndrome เขย่าโลกธุรกิจ: เปิด 6 เทรนด์ปี 2026—โอกาสทอง SME ไทยสู่ยุค “ฉลาดขึ้น-เขียวขึ้น-เข้าใจมนุษย์”

ประเทศไทย, 21 ตุลาคม 2568 — เมื่อโลกธุรกิจหมุนเข้าสู่เกียร์เปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ “4D Syndrome” กำลังกลายเป็นสมการพื้นฐานของการแข่งขันยุคใหม่—De-globalization, Decarbonization, Digitalization, Demographics Challenges ไม่ได้เป็นเพียงศัพท์เทคนิคในห้องสัมมนาอีกต่อไป แต่กำลังแทรกซึมอยู่ในทุกใบสั่งซื้อและทุกแผนซัพพลายเชนของผู้ประกอบการไทย

บนเวที Future Forum 2025: Great Transformation ซึ่งจัดโดย สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) นักคิด นักกลยุทธ์ และซีอีโอต่างเห็นพ้องว่า ปี 2026 จะเป็นปีที่ตลาด “เปิดหน้าไพ่ใหม่” ผ่านกติกาที่บังคับให้ธุรกิจ ฉลาดขึ้น (Smart) เขียวขึ้น (Green) และ เข้าใจมนุษย์มากขึ้น (Human-Centric) ขณะที่ finbiz by ttb ร้อยเรียงภาพใหญ่นี้ให้เป็น “คู่มือโอกาส” สำหรับ SME ไทย ด้วย 6 เทรนด์สำคัญ ที่ปฏิบัติได้จริงและรองรับ 4Ds อย่างครบถ้วน

สัญญาณร่วมที่ชัด การค้าโลกกำลังกลับสู่ภูมิภาค (de-globalization) ซัพพลายเออร์ถูกขอให้เปิดเผยมลคาร์บอนและความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม (decarbonization) การทำงาน–การขาย–การจ่ายเงินย้ายสู่ดิจิทัล (digitalization) ขณะที่โครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมสูงวัยและครัวเรือนเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย (demographics)

ภาพรวมเช่นนี้ทำให้ ทำเหมือนเดิม” ไม่ใช่ทางเลือก สำหรับ SME ไทยอีกต่อไป ขณะเดียวกัน มันก็เปิด หน้าต่างโอกาส ขนาดใหญ่ให้ผู้ประกอบการที่กล้าปรับตัวได้ “ข้ามชั้น” อย่างก้าวกระโดด

จากหอประชุมสู่หน้าร้าน—เมื่อ 4Ds หลอมรวมสู่แผนทำจริง

ลองจินตนาการถึงผู้ประกอบการท้องถิ่นที่เคยพึ่งพาช่องทางออฟไลน์เป็นหลัก—ปี 2569 เขาจำเป็นต้องมี ระบบรับออเดอร์ดิจิทัล, เครื่องมือ AI ช่วยคัดคำถามลูกค้าและจัดลำดับสต๊อก, หลักฐานคาร์บอน สำหรับคู่ค้าต่างประเทศ, และ การออกแบบบริการ ให้รองรับทั้งผู้สูงวัยและครอบครัวที่เลี้ยงสัตว์แบบ “สมาชิกในบ้าน”

ทั้งหมดนี้ดูเยอะ แต่เมื่อแยกออกเป็น 6 คันโยก ที่ “หมุนแล้วเห็นผล” ภาพจะชัดขึ้น

เทรนด์ที่ 1: AI x Digital — จากเครื่องมือสู่ผู้ช่วยตัดสินใจ

สาระสำคัญ: AI ก้าวจาก “ของเล่น” สู่ “ผู้ช่วยงานหลังบ้านและหน้าร้าน” ตั้งแต่แชตตอบลูกค้าอัตโนมัติ, การคาดการณ์ยอดขาย, ไปจนถึงการวางสต๊อกแบบเรียลไทม์ โครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินแบบดิจิทัล เช่น ระบบพร้อมเพย์ที่มีฐานผู้ใช้งานจำนวนมากและธุรกรรมต่อวันระดับหลายสิบล้านรายการ ช่วยเร่งการปิดการขายและลดเงินค้างรับ ในภาพรวม SME ไทยกว่า 70% กำลัง ใช้/ทดลองใช้ AI และในกลุ่มที่ใช้จริง ราว 90% รายได้เพิ่มขึ้น (ตามชุดข้อมูลที่รวบรวมโดย finbiz by ttb อ้างอิงงานสำรวจและหน่วยงานด้านดิจิทัล)

ภาครัฐขับเคลื่อน: DEPA เดินหน้ากลไก “One Tambon, One Digital” หนุน SME และเกษตรกรจำนวนมาก (เป้าหมายรวมถึงปี 2026) ผ่านแพ็กเกจทดลองใช้ฟรีและร่วมจ่ายสำหรับเครื่องมือดิจิทัล ลดอุปสรรคต้นทุนเริ่มต้น และเชื่อมผู้ให้บริการโซลูชันกับผู้ประกอบการรายย่อยอย่างเป็นระบบ

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • เริ่มที่ งานซ้ำ–งานข้อมูล: chatbot/FAQ, ระบบจอง, ระบบ CRM ที่เชื่อม POS/ร้านค้าออนไลน์
  • ใช้ แดชบอร์ดรวม มอง “ปลายทางยอดขาย–กลางทางสต๊อก–ต้นทางสั่งซื้อ” ในจอเดียว เพื่อลดสต๊อกค้างและหมดสต๊อก
  • วาง กติกาใช้ข้อมูลลูกค้า ให้โปร่งใส ตั้งค่าความยินยอม (consent) และสื่อสารสิทธิ์ลูกค้าอย่างชัดเจน—นี่คือฐานของ “ความไว้วางใจ” (โยงสู่เทรนด์ที่ 4)

เทรนด์ที่ 2: Smart Mobility/EV — โลจิสติกส์ฉลาด ประหยัดคาร์บอน

เหตุผลเชิงเศรษฐกิจ: แอปวางเส้นทางและระบบติดตามรถสามารถ ลดต้นทุนน้ำมัน–เวลา–อุบัติเหตุ ได้สูง (มีกรณีศึกษาอ้างถึงตัวเลขลดได้ถึง ~30%) ผนวกกับ แรงจูงใจรัฐด้าน EV (เช่น ช่วยซื้อและลดภาษีสรรพสามิตในเฟส EV 3.0/3.5) ทำให้ต้นทุนรวมต่อกิโลเมตรของยานยนต์ไฟฟ้าลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ภาพลักษณ์องค์กร “สีเขียว” ช่วยปิดดีลคู่ค้า B2B ได้ง่ายขึ้น

สัญญาณตลาด: ประเทศไทยคาดจำนวน EV แตะหลายแสนคันภายในปี 2027 ระบบชาร์จเริ่มหนาแน่นขึ้นและผู้ผลิตในประเทศเพิ่มไลน์การผลิต–ประกอบ

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • เลือก ยานพาหนะ EV สำหรับเส้นทางในเมือง/ระยะสั้น และวางแผนชาร์จในช่วงโหลดไฟต่ำ
  • ใช้ ซอฟต์แวร์วางแผนเส้นทาง + ข้อมูลคอขวดจราจรแบบเรียลไทม์
  • คำนวณ ต้นทุนตลอดอายุการใช้งาน (TCO) แทนการเทียบราคาซื้ออย่างเดียว
  • เก็บ ข้อมูลคาร์บอนต่อการส่ง 1 ออร์เดอร์ เพื่อใช้ตอบแบบสอบถาม ESG ของคู่ค้า

เทรนด์ที่ 3: Green Mandate — จากสมัครใจสู่ “เงื่อนไข” การค้า

สาระสำคัญ: การลดคาร์บอนและความโปร่งใสด้านสิ่งแวดล้อมกำลังก้าวจาก “ดีมี” สู่ ต้องมี” ผ่านกรอบกฎหมาย–นโยบายที่ไทยเตรียมใช้ เช่น Climate Change Bill (วางกรอบการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) และ Clean Air Management Bill (การจัดการอากาศสะอาด) ที่คาดหมายบทบัญญัติให้ เปิดเผยข้อมูลคาร์บอน/ความเสี่ยง ของธุรกิจ โดยยึดเป้าหมายประเทศ Carbon Neutrality ปี 2050 และ Net Zero 2065 พร้อมการผลักดันเครื่องมือเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมโดย TGO และ ONEP เช่น Emissions Trading System (ETS), การตั้งต้น ภาษีคาร์บอน/CBAM สำหรับบางหมวดสินค้า

ผลกระทบเชิงปฏิบัติ: ซัพพลายเออร์ไทยในโซ่คุณค่าข้ามชาติถูกขอให้ เผยตัวเลขคาร์บอนฟุตพรินต์ และ แผนลดปล่อย มากขึ้น หากทำไม่ได้ เสี่ยงตก shortlist การจัดซื้อ

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • ทำ พลังงาน/คาร์บอนบุกเบิก: audit พลังงาน, เปลี่ยนมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง, โซลาร์รูฟ/ซื้อไฟหมุนเวียน (REC)
  • เก็บข้อมูล Scope 1–2–3 แบบ “เท่าที่ทำได้” เริ่มจากไฟฟ้า น้ำมัน ยาแนววัตถุดิบหลัก
  • ใช้ มาตรฐานฉลาก/การรับรอง (เช่น Thai Green Label, ISO 14064/14067) เป็นภาษากลางคุยกับคู่ค้าต่างชาติ
  • ผูก แรงจูงใจภายใน: ประหยัดค่าไฟ=โบนัสทีม, ของเสียลด=ส่วนแบ่งกำไร

เทรนด์ที่ 4: Trust Economy — ความน่าเชื่อถือคือทุน

บริบทยุคดิจิทัล: ในโลกที่ข้อมูลไหลเร็วและข่าวปลอมแพร่ไว ผู้บริโภคจำนวนมาก (งานศึกษาหลายชิ้นชี้สัดส่วนกว่า สองในสาม) ใช้ “ความไว้วางใจด้านการชำระเงิน” เป็นตัวแปรตัดสินใจซื้อ ขณะเดียวกัน รีวิวปลอม และ ข้อมูลบิดเบือน ทำให้ลูกค้ากว่า 60% ลังเลในการตัดสินใจ

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • ใช้ ช่องทางจ่ายเงินที่ได้รับการยอมรับ พร้อม 2FA/แจ้งเตือนแบบเรียลไทม์
  • สร้าง นโยบายคืนเงิน/เปลี่ยนสินค้า ที่ชัดและเป็นธรรม—เขียนให้เข้าใจง่าย ไม่ใช้ฟอนต์เล็ก
  • ตั้ง ระบบรีวิวตรวจสอบได้ (ซื้อจริงเท่านั้น, เชื่อมหมายเลขคำสั่งซื้อ) และ ตอบรีวิว ภายใน 24–48 ชม.
  • ธุรกิจอาหาร/สุขภาพ พิจารณา บล็อกเชนติดตามย้อนกลับ (lot–วันผลิต–ใบรับรอง) ให้สแกนดูได้จาก QR
  • กำหนด นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล (privacy) ที่ระบุสิทธิ์ลูกค้าอย่างชัดเจน—ยิ่งโปร่งใส ยิ่งเพิ่ม conversion

เทรนด์ที่ 5: Longevity Economy — ตลาดสูงวัย = ตลาดคุณภาพชีวิต

โครงสร้างประชากร: ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ มีผู้มีอายุ 60+ ประมาณ 13.2 ล้านคน (~20%) และมีแนวโน้มแตะ ~31% ภายในปี 2583 ตลาดนี้ขยายตัวรวดเร็ว โดยเฉพาะบริการสุขภาพที่บ้าน อุปกรณ์ช่วยพึ่งพา และท่องเที่ยวเพื่อสุขภาวะ

โอกาสผลิตภัณฑ์/บริการ:

  • AgeTech/HealthTech: อุปกรณ์ติดตามสัญญาณชีพ แอปนัดพบแพทย์–เวชโทรคมนาคม
  • บ้านและสถานที่เป็นมิตร: Universal Design—พื้นกันลื่น ราวจับ ป้ายตัวใหญ่ ความสูงเคาน์เตอร์เหมาะสม
  • ท่องเที่ยววัยเกษียณ: โปรแกรมค่อยเป็นค่อยไป, ประกันเหมาจ่าย, ที่พักเข้าถึงวีลแชร์
  • โภชนาการเฉพาะวัย: โปรตีนย่อยง่าย, เสริมใยอาหาร/แคลเซียม, บรรจุภัณฑ์เปิดง่าย

ทางปฏิบัติสำหรับ SME: เริ่มจาก การออกแบบเชิงมนุษย์ (human-centered design)—ไปคุยกับลูกค้าสูงวัยจริง ๆ ทดสอบต้นแบบในบ้าน/ร้าน/สถานพยาบาล และ ร่วมมือโรงพยาบาล–ชมรมผู้สูงอายุ เพื่อยืนยันคุณค่า

เทรนด์ที่ 6: Pet Humanization — “น้องคือลูก” ตลาดทะลุแสนล้าน

พฤติกรรมผู้บริโภค: ครัวเรือนไทยจำนวนมากมองสัตว์เลี้ยงเป็น “สมาชิกครอบครัว” ยินดีจ่ายเพื่อสุขภาพและความสุขของ “น้อง” มากขึ้น ข้อมูลจากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจของสถาบันการเงินชี้ว่าปี 2026 มูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงไทยมีโอกาส ทะลุ 100,000 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายแบบ Pet Humanization สูงถึง ~50,500 บาท/ตัว/ปี มากกว่าแบบทั่วไปหลายเท่า ขณะเดียวกันไทยยังเป็น ผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงลำดับต้น ๆ ของโลก

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • อาหารพรีเมียม/ฟังก์ชันนัล (grain-free, sensitive stomach, joint care) พร้อม ตรรกะโภชนาการโปร่งใส
  • บริการ: grooming ทางการแพทย์, pet hotel มาตรฐานสูง, คาเฟ่/ที่พัก pet-friendly
  • แฟชั่น/อุปกรณ์: ปลอกคอ–สายจูงอัจฉริยะ, รถเข็นสัตว์เลี้ยง, เสื้อผ้าตามฤดูกาล
  • สร้าง แบรนด์เชิงอารมณ์ เล่าเรื่อง “สุขภาพ–ความผูกพัน–ความปลอดภัย” และ รับรองคุณภาพ (โรงงานมาตรฐาน, สูตรสัตวแพทย์)

จาก “ค่าใช้จ่าย” สู่ “การลงทุนที่พิสูจน์ได้”

หลาย SME กังวลว่าการลงเทคโนโลยี–สีเขียว–มาตรฐาน จะเพิ่มต้นทุนในยามกำไรบาง แต่เมื่อวางในกรอบ TCO + ความเสี่ยงตก shortlist ภาพกลับชัด—ต้นทุนที่ไม่ลงทุน อาจแพงกว่า ทั้งโอกาสหลุดดีล, เวลาเสียไปกับงานซ้ำ, ค่าไฟที่รั่วไหล, และความเสียหายจากคำร้องเรียนคุณภาพ/ความปลอดภัย

“คีย์เวิร์ด” ของปี 2026 จึงไม่ใช่แค่ เร็ว” แต่คือ เร็วอย่างมีระบบและน่าเชื่อถือ” ธุรกิจที่ทำให้เห็น ข้อมูล–มาตรฐาน–กติกาชัด จะได้ ส่วนเพิ่มความไว้วางใจ ที่กลายเป็นคะแนนนำถาวรในสนามแข่งขันที่แออัด

ปี 2026—ปีที่ธุรกิจไทยต้อง “ฉลาด เขียว และเข้าใจมนุษย์”

4Ds คือพายุใหญ่ แต่ทุกพายุล้วนมี กระแสลมยกตัว ให้คนที่กล้าโต้ลม—AI x Digital ทำให้เล็กสู้ใหญ่ได้ Smart Mobility/EV ลดต้นทุนพร้อมยกระดับภาพลักษณ์ Green Mandate แปลงความยั่งยืนเป็นตั๋วผ่านด่าน Trust Economy ทำให้ยอดขายยั่งยืนกว่ายอดวิว Longevity Economy เปิดตลาดคุณภาพชีวิต และ Pet Humanization แปรความผูกพันเป็นธุรกิจแสนล้าน

สำหรับ SME ไทย บทเรียนเชิงข่าวชิ้นนี้ชี้ชัด: อย่ารอให้กติกาบังคับ—เริ่มนับหนึ่งวันนี้ แล้วปี 2026 จะกลายเป็น ปีแห่งโอกาส มากกว่าปีแห่งแรงกดดัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA)
  • finbiz by ttb
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA)
  • องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO)
  • สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ONEP)
  • ทิศทางกฎหมายด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Bill)
  • ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

อาจารย์เฉลิมชัย-เซ็นทรัลเชียงราย! มอบเงิน 4 แสน มทบ.37 ส่งต่อกำลังใจทหารกองทัพภาคที่ 2

ศิลปะส่งแรงใจข้ามพรมแดน “ขัวศิลปะ–เชียงราย” มอบรายได้ 417,336 บาท หนุนภารกิจชายแดนภาคอีสาน สะท้อนพลังเครือข่ายศิลปิน–ชุมชน–เอกชน ร่วมค้ำจุนขวัญกำลังใจทหารหาญ

เชียงราย, 20 ตุลาคม 2568 — ท่ามกลางภูมิทัศน์ชายแดนที่ยังคงต้องอาศัยความพร้อมทางยุทธศาสตร์และกำลังใจจากสังคมพลเรือน เสียงกลองสะบัดชัยอีกระลอกดังขึ้นจากเวทีศิลปะเมืองเหนือ เมื่อ “ขัวศิลปะ” (Art Bridge Chiang Rai) นำโดยเครือข่ายศิลปินเชียงราย จัดมอบรายได้จากนิทรรศการ ศิลปะเพื่อแผ่นดิน กำลังใจสู่ชายแดน” จำนวน 417,336 บาท ให้แก่ มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) เพื่อส่งต่อไปยัง กองทัพภาคที่ 2 สนับสนุนภารกิจชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ—ภาพสะท้อนความร่วมแรงร่วมใจของเมืองศิลปะที่ใช้ “พู่กันและผืนผ้าใบ” แปลงเป็นพลังใจให้แนวหน้า

จากสตูดิโอถึงแนวหน้า เรื่องเล่าที่เชื่อมโลกศิลปะกับโลกทหาร

เย็นวันหนึ่งของต้นฤดูหนาวภาคเหนือ บริเวณ ค่ายเม็งรายมหาราช เมืองเชียงราย พลตรีจักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 พร้อมคณะนายทหารฝ่ายเสนาธิการ ยืนรับมอบเช็คและรายการบัญชีรายได้จากผู้แทน “ขัวศิลปะ” และตัวแทน ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ผู้สนับสนุนพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการ รายได้ที่ระดมจากผู้มีจิตศรัทธาและนักสะสมศิลปะทั้งในและนอกจังหวัดถูกประกาศอย่างโปร่งใสเป็นสามส่วนชัดเจน

  • ภาพพิมพ์ของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ 150,000 บาท
  • รายได้จำหน่ายเสื้อที่ระลึก ลวดลายจากผลงานศิลป์ 73,018 บาท
  • รายได้จากการจำหน่ายผลงานศิลปะ (หลังหักค่าใช้จ่าย) 194,318 บาท

เมื่อรวมทั้งหมด จึงเป็นตัวเลข 417,336 บาท — ตัวเลขที่ไม่ได้สะท้อนเพียง “มูลค่า” หากแต่สะท้อน “คุณค่า” ของการห่วงใยที่ข้ามพรมแดนภาคเหนือไปยังกำลังพลแนวหน้าภาคอีสาน

อาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม ศิลปินผู้ประสานงานหลักของโครงการให้ถ้อยคำสั้น กระชับ แต่หนักแน่นว่า การมอบเงินในครั้งนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งกำลังใจจากศิลปินทั่วประเทศ เพื่อส่งต่อแรงใจให้กับเหล่าทหารหาญที่เสียสละปฏิบัติหน้าที่พิทักษ์ประเทศ” ขณะที่ พลตรีจักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ กล่าวขอบคุณแทนพี่น้องทหาร โดยย้ำว่าเงินดังกล่าว จะถูกส่งต่อผ่านแม่ทัพภาคที่ 3 เพื่อมอบให้ กองทัพภาคที่ 2 นำไปสนับสนุนภารกิจป้องกันชายแดน โดยเน้นเขตพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา

ศิลปะเพื่อแผ่นดิน” จากแรงบันดาลใจสู่การลงมือทำ

นิทรรศการ ศิลปะเพื่อแผ่นดิน กำลังใจสู่ชายแดน” ถือกำเนิดจากแนวคิดของ อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติชาวเชียงราย ผู้ผลักดันให้ศิลปะทำบทบาทมากกว่าความงาม—แต่เป็น “เครื่องมือ” สร้างขวัญกำลังใจให้ผู้รักษาอธิปไตยของชาติ แนวคิดนี้แปรรูปเป็นการลงมือทำ ผ่านการระดมศิลปินหลากรุ่นทั่วประเทศ โดยมี “ขัวศิลปะ” เป็นแกนกลางประสานพลัง และได้รับการสนับสนุนสถานที่จาก ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ตลอดจนร้านค้าที่ร่วมจำหน่ายสินค้าที่ระลึกเพื่อการกุศล

รายละเอียดเชิงปฏิบัติการก็ถูกออกแบบอย่างตั้งใจ—เสื้อยืดลวดลายจากผลงานของอาจารย์เฉลิมชัย ผลิตสองสี (ขาว–ดำ) ผ้า Cotton นุ่ม สวมใส่สบาย มีตั้งแต่ขนาด S ถึง 3XL ราคา 350 บาท (2XL/3XL เพิ่ม 20 บาท) โดยเปิดจุดจำหน่ายหน้าร้าน 3 แห่ง ได้แก่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย, วัดร่องขุ่น Shop ศิลปินเชียงราย และ เซ็นทรัล เชียงราย (ชั้น G ข่วงล้านนา) ขณะเดียวกันยังมีช่องทางสั่งซื้อออนไลน์ผ่านเพจ ขัวศิลปะ, พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย, และ Art bridge shop เพื่อลดข้อจำกัดด้านสถานที่และเวลา

วิธีการดังกล่าวสะท้อนภาพ “Soft Power เชียงราย” ที่ก่อรูปจากฐานวัฒนธรรมและเครือข่ายศิลปะเข้มแข็ง—เมืองที่มีทั้ง วัดร่องขุ่น อันเป็นแลนด์มาร์กสากล เครือข่ายศิลปินร่วมสมัยที่เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง และภาคเอกชนที่เข้าใจบทบาทสาธารณะของศิลปะ เมื่อองค์ประกอบเหล่านี้เชื่อมเข้าด้วยกัน ศิลปะจึงกลายเป็น “สื่อกลาง” ที่ทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมในภารกิจชาติได้อย่างจับต้องได้

ทำไม “กำลังใจ” จึงเดินทางจากเชียงรายไปชายแดนภาคอีสาน

แม้เชียงรายจะเป็นจังหวัดเหนือสุด ติดกับเมียนมาและลาว แต่ “วงจรน้ำใจ” ครั้งนี้มุ่งตรงสู่ กองทัพภาคที่ 2 ซึ่งรับผิดชอบ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อันมีแนวชายแดนไทย–กัมพูชาเป็นสมรภูมิภารกิจหลักในช่วงที่ผ่านมา สะท้อน “แนวคิดเครือข่ายชาติเดียวกัน”—ที่ไม่แบ่งแยกเหนือ–อีสาน–กลาง–ใต้ หากแต่เห็นว่าทุกแนวหน้าคือ “ฉันทามติร่วมของสังคมพลเรือน” ที่ต้องประคับประคอง

การเดินทางของกำลังใจในห้วงเวลานี้มิใช่ครั้งแรก เมื่อ 14 สิงหาคม 2568 ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ได้ขับเคลื่อนโครงการ ลำไยไปแนวหน้า” ขนส่งผลผลิต ลำไยคุณภาพกว่า 2,300 กิโลกรัม โดยสายการบินนกแอร์ (DD101 เชียงราย–ดอนเมือง และเชื่อมต่อ DD324 ดอนเมือง–อุบลราชธานี) เพื่อนำไปเป็นเสบียงและสัญลักษณ์กำลังใจให้กำลังพล กองบิน 21 อุบลราชธานี และหน่วยที่ปฏิบัติงานตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา โครงการนี้กลายเป็น “ต้นแบบ” ว่าจังหวัดเมืองรอง สามารถเป็นศูนย์กลางการส่งต่อพลังใจได้จริง หากมีการจัดการและเครือข่ายที่ดี

เมื่อ “พู่กัน” สานต่อ “ปลายกระบอกปืน”

ภาพของศิลปินในสตูดิโอที่ก้มหน้าละเลียดลายเส้น บางทีอาจดูห่างไกลจากภาพของทหารที่เดินลาดตระเวนในพื้นที่ทุรกันดาร แต่ในความเป็นจริง ทั้งสอง “ยืนอยู่ขอบฟ้าเดียวกัน”—ศิลปินสร้าง “ความหมายและความหวัง” ส่วนทหารสร้าง “ความปลอดภัยและความมั่นใจ” ให้สังคมดำเนินไปได้อย่างปกติ

บนเวทีรับมอบครั้งนี้ จึงไม่แปลกที่ พลตรีจักรวีร์ จะเอ่ยขอบคุณ “อาจารย์เฉลิมชัย–อาจารย์สุวิทย์–และคณะศิลปิน” ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เพราะเงินทุกบาท คือสัญลักษณ์ของสังคมที่รับรู้ “ความเหน็ดเหนื่อยของแนวหน้า”—เงินจำนวนสี่แสนเศษนี้อาจไม่ใช่งบประมาณก้อนใหญ่เมื่อเทียบกับระบบราชการ แต่มี “พลังทางสัญลักษณ์” สูงยิ่ง เพราะสะท้อนความร่วมมือของ ศิลปิน–ชุมชน–เอกชนท้องถิ่น ที่ตั้งใจ “ระดมและลงมือทำ” โดยสมัครใจ

มองผ่านเลนส์ข้อมูล พลังระดมทุนเชิงสัญลักษณ์ที่ส่งผลจริง

ตัวเลข 417,336 บาท หากแยกโครงสร้างจะเห็น “บทบาทแต่ละภาคส่วน” ชัดเจน

  • งานศิลป์ระดับไอคอน (ภาพพิมพ์อาจารย์เฉลิมชัย) สร้าง “แรงดึงดูด” ให้ตลาดศิลปะและนักสะสม พร้อม “ยกระดับราคา” เพื่อการกุศล
  • สินค้าที่ระลึก (เสื้อยืด) เปิดช่องทางการมีส่วนร่วมของประชาชนวงกว้างในราคาที่เข้าถึงได้
  • การขายผลงานรวม (หลังหักค่าใช้จ่าย) คือสนามของศิลปินหลากรุ่น ที่ได้ “ร่วมส่งพลัง” ผ่านงานของตน

การทำงานเช่นนี้เท่ากับนำ “เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ (creative economy)” มาประสาน “ความมั่นคงเชิงมนุษย์ (human security)” อย่างกลมเกลียว—ทั้งยังเกิด ผลคูณ” (multiplier) ต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น ผู้ผลิตเสื้อ–ผู้ให้บริการสถานที่–แรงงานติดตั้งนิทรรศการ–สื่อท้องถิ่น และผู้ประกอบการรายย่อย ล้วนได้รับอานิสงส์ทางเศรษฐกิจพร้อมกับการทำความดีร่วมกัน

บทบาทของเอกชนท้องถิ่น พื้นที่ที่กลายเป็น “เวทีสาธารณะ”

การสนับสนุนสถานที่จัดงานโดย ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ทำให้เกิด “เวทีสาธารณะ” ที่ประชาชนเข้าถึงง่าย มีที่จอดรถ มีระบบรักษาความปลอดภัย และมีสื่อสารผ่านช่องทางของห้างฯ เอง ช่วยขยายการรับรู้ให้กว้างไกลกว่าการจัดในแกลเลอรีเฉพาะทาง จึงไม่น่าแปลกใจที่ ยอดจำหน่ายเสื้อ และ ผลงานศิลปะ จะทำได้ดีในเวลาอันจำกัด—แบบอย่างเช่นนี้ชี้ให้เห็นว่า เมื่อเอกชนท้องถิ่นมองบทบาทของตนมากกว่าแค่ “พื้นที่เชิงพาณิชย์” แต่เป็น “พื้นที่สาธารณะของเมือง” เมืองนั้นย่อมเข้มแข็งขึ้น

เชื่อมร้อย “Soft Power เชียงราย” เข้ากับ “ขวัญกำลังใจชาติ”

ในห้วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เชียงรายสถาปนาตัวเองชัดเจนในฐานะ “นครศิลปะร่วมสมัยของล้านนา”—มีทั้งพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ มีโรงเรียนศิลป์รุ่นใหม่ และมีเทศกาล–งานแสดงอย่างสม่ำเสมอ เมื่อรวมเข้ากับ เครือข่ายคมนาคม ที่สะดวก (ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง, ทางหลวงเชื่อมพรมแดน, โลจิสติกส์เอกชน) เมืองนี้จึงสามารถพลิก “ทุนทางวัฒนธรรม” ให้เป็น “ทุนทางสังคม” และ “ทุนทางความมั่นคง” ได้อย่างเป็นรูปธรรม

โครงการ ลำไยไปแนวหน้า” เมื่อเดือนสิงหาคม 2568 เป็นตัวอย่างชัด—ระบบโลจิสติกส์ทางอากาศที่จัดวางร่วมกับสายการบินพาณิชย์ สามารถเคลื่อนย้ายสินค้าการเกษตรไปยังหน่วยปฏิบัติการได้ตรงเวลา พร้อมสร้างมูลค่าเชิงสัญลักษณ์ว่า “ชุมชนเกษตรกร” ก็เป็นส่วนหนึ่งของขวัญกำลังใจทหารได้ เช่นเดียวกับที่ครั้งนี้ “ชุมชนศิลปิน” ทำให้เห็นว่าแปรพลังสร้างสรรค์เป็นพลังใจได้เช่นกัน

มุมมองเชิงนโยบาย เมื่อ “การให้” มีระบบและตรวจสอบได้

แม้โครงการจะเกิดจากภาคประชาสังคมและเอกชนท้องถิ่น แต่กลไกการมอบ–รับ–ส่งต่อยังคงดำเนินไปอย่างมีระบบ—มทบ.37 รับมอบในฐานะหน่วยประสานงานพื้นที่ ก่อน ส่งผ่านแม่ทัพภาคที่ 3 ไปยัง กองทัพภาคที่ 2 เพื่อใช้สนับสนุนภารกิจชายแดนตามความเหมาะสม ขั้นตอนเช่นนี้ทำให้การใช้จ่าย “เงินสาธารณะจากการบริจาค” มี ความน่าเชื่อถือ และ ตรวจสอบย้อนกลับ ได้

ขณะเดียวกัน การประกาศ ยอดรายได้แยกรายการ (ภาพพิมพ์/เสื้อ/ผลงานอื่น) และการแสดง รายการบัญชีผลงาน ต่อสาธารณะ ก็ช่วยสร้างมาตรฐานโปร่งใส—ย้ำว่าศิลปะมิได้ห่างจากธรรมาภิบาล หากตรงกันข้าม “ยิ่งเป็นศิลปะเพื่อสาธารณะ ยิ่งต้องโปร่งใส”

ถ้อยคำที่ทิ่มใจ แต่อบอุ่น “ศิลปิน” ขอบคุณ “ทหาร” และ “ทหาร” ขอบคุณ “ศิลปิน”

ในพิธีรับมอบ อาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม ยืนยันบทบาทของศิลปินว่าไม่ได้อยู่แค่หน้าผืนผ้าใบ หากแต่ยืนอยู่รวมแถวกับสังคมเวลาเกิดภารกิจชาติ ส่วน พลตรีจักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ กล่าวอย่างสะเทือนใจว่าแรงสนับสนุนจากพลเรือนทำให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่ชายแดน “รู้สึกไม่โดดเดี่ยว” และเป็น “พลังเงียบ” ที่ผลักให้ภารกิจยากลำบากเดินหน้าต่อ

คำกล่าวสองฝั่งนี้คือตัวอย่าง “การสื่อสารสองทาง” ที่ควรเกิดในสังคมประชาธิปไตย—ศิลปินยืนยันว่าจะสร้างผลงานเพื่อประเทศได้อย่างไร และทหารยืนยันว่าจะใช้งบที่ได้รับเพื่อความปลอดภัยของประชาชนได้อย่างไร เมื่อบทสนทนาเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ความไว้วางใจสาธารณะก็จะหนาขึ้นเรื่อย ๆ

ก้าวต่อไป ทำอย่างไรให้ “โครงการดี” ขยายผลได้จริง

จากบทเรียนครั้งนี้ มีอย่างน้อย 4 แนวทางที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องสามารถพิจารณา

  1. ปฏิทินนิทรรศการประจำปี ขัวศิลปะและเครือข่ายควรวาง “คิวประจำ” สำหรับนิทรรศการเพื่อสาธารณะ—อาจหมุนเวียนธีม (กำลังใจทหาร, ทุนการศึกษา, ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม) เพื่อให้ผู้สนับสนุนเลือกสมทบตามความสนใจ
  2. ดิจิทัลแพลตฟอร์มโปร่งใส สร้างหน้าเว็บ/แดชบอร์ดแสดงยอดบริจาคแบบเรียลไทม์เชื่อมกับเพจขัวศิลปะ–หอศิลป์–เซ็นทรัลเชียงราย เพื่อให้ประชาชนติดตามยอดและเส้นทางเงินจนถึงหน่วยปลายทาง
  3. เครือข่ายภาคธุรกิจท้องถิ่น นอกจากศูนย์การค้า อาจเชิญโรงแรม–ร้านอาหาร–สตูดิโอพิมพ์–โลจิสติกส์ เข้าร่วมเป็น “พันธมิตรการกุศล” เพื่อเพิ่มช่องทางจำหน่ายและลดต้นทุนการจัดงาน
  4. คู่มือ “ศิลป์เพื่อสาธารณะ” บันทึกกระบวนการทำงานเป็น “Playbook” ตั้งแต่องค์ความคิด–งานภัณฑารักษ์–งานการตลาด–งานการเงิน–งานบัญชี–งานมอบ/รับ/ส่งต่อ เพื่อให้จังหวัดอื่นหยิบไปปรับใช้ได้ทันที

จากแรงบันดาลใจ สู่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้

จุดตั้งต้นของเรื่องนี้คือ “แรงบันดาลใจ” ของศิลปินชั้นครู—อาจารย์เฉลิมชัย ที่อยากเห็นศิลปะทำสิ่งมากกว่าการประดับผนัง จากนั้นเครือข่ายศิลปิน–ภัณฑารักษ์–เอกชน–สื่อท้องถิ่น จึงร่วมกัน “จัดเวที” ให้แรงบันดาลใจกลายเป็น “งานนิทรรศการ” และกลายเป็น “ยอดระดมทุน” ที่ส่งต่อไปยังแนวหน้าอย่างมีระบบ เมื่อ มทบ.37 รับมอบและ แม่ทัพภาคที่ 3 ส่งต่อไป กองทัพภาคที่ 2 เส้นเรื่องจึงคลี่คลายด้วยผลลัพธ์ที่จับต้องได้—417,336 บาท ที่ห่อด้วยกำลังใจของผู้คนทั้งเมือง

หากจะสรุปบทเรียนสั้น ๆ เรื่องนี้สอนเราว่า เมืองที่มีวัฒนธรรมเข้มแข็ง ย่อมสร้าง “ทุนสังคม” ได้รวดเร็วในยามต้องการ และเมื่อทุนสังคมนั้นไหลไปสู่แนวหน้าที่ต้องการกำลังใจ—ความมั่นใจของทั้งสังคมก็จะไหลกลับคืนมา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) ค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย
  • ขัวศิลปะ (Art Bridge Chiang Rai)
  • เซ็นทรัล เชียงราย
  • พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย
  • วัดร่องขุ่น Shop ศิลปินเชียงราย
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

เร่งคลายปม “น้ำประปาหมู่บ้านริมกก” พบ 3 จุดต่ำกว่ามาตรฐาน อบจ.ชี้ระบบไม่ผ่านเกณฑ์

เร่งคลายปม “น้ำประปาหมู่บ้านริมกก” ปนเปื้อนโลหะหนัก ทส.ระดมหน่วยงานลงพื้นที่ 45 แห่ง—พบ 3 จุดต่ำกว่ามาตรฐาน อบจ.ชี้ระบบไม่ผ่านเกณฑ์–ชาวบ้านไม่ชอบคลอรีน ขณะที่ คพ.เร่งตรวจครบ 18 หมู่บ้าน พร้อมหาแหล่งน้ำทดแทน

เชียงราย, 19 ตุลาคม 2568 — กระแสกังวลเรื่อง น้ำประปาหมู่บ้านริมแม่น้ำกก เสี่ยงปนเปื้อนโลหะหนัก จุดประกาย “ปฏิบัติการเร่งด่วน” ของภาครัฐ เมื่อ นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) สั่งการให้ กรมทรัพยากรน้ำ (ทน.) และ กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ลงพื้นที่ตรวจสอบเชิงรุกตลอดแนวลำน้ำในรัศมี 1 กิโลเมตร ทั้งเพื่อคัดกรองระดับความเสี่ยง อุปโภค–บริโภค–เกษตร และเพื่อคลี่คลายข้อเท็จจริงด้วยข้อมูลที่ตรวจสอบได้

ในทางปฏิบัติ สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 ได้สำรวจ “ระบบประปาหมู่บ้าน” รอบลำน้ำกก รวม 45 แห่ง พบว่า ประปาบาดาล 29 แห่ง และ ประปาภูเขา 6 แห่ง “ไม่พบผลกระทบ” จากคุณภาพน้ำ ขณะที่ ประปาที่ใช้น้ำผิวดินจากแม่น้ำกก 10 แห่ง ตรวจพบว่า 3 จุดคุณภาพน้ำต่ำกว่ามาตรฐาน ซึ่งกลายเป็น จุดเร่งด่วน สำหรับการออกแบบแหล่งน้ำทดแทนและมาตรการแก้ไขชั่วคราว–ถาวร

ด้าน องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) นำโดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ. ชี้ “ปัญหาแกนกลาง” คือ ระบบประปาหมู่บ้านจำนวนมากยังไม่ผ่านมาตรฐาน ทั้งในขั้นตอนทำให้น้ำใส (ตกตะกอน) และขั้นตอนฆ่าเชื้อ (คลอรีเนชัน) โดยสะท้อนข้อเท็จจริงในพื้นที่ว่า “ชาวบ้านไม่ชอบกลิ่นคลอรีน” ทำให้หลายแห่ง ใส่สารส้ม–คลอรีนต่ำกว่าที่ควร เพิ่มความเสี่ยงด้านความขุ่นและการปนเปื้อน

ขณะเดียวกัน คพ. นำทีมลงตรวจพื้นที่รายตำบลตามรายงานจุดเสี่ยง 18 แห่ง โดยเริ่มที่ ต.แม่ยาว อ.เมือง เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2568 ตรวจภาคสนาม ไม่พบสารหนูเบื้องต้น พร้อมเก็บตัวอย่างส่งห้องปฏิบัติการเพื่อวิเคราะห์โลหะหนักชนิดอื่น ๆ ต่อไป พร้อมตั้งเป้าตรวจให้ครบ ทุกจุดที่ถูกรายงาน ภายในสัปดาห์หน้า และ ขยายวงตรวจ ไปยังชุมชนใกล้เคียงเพื่อลดความวิตกกังวล

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบน “ฉากใหญ่” ของลุ่มน้ำกกที่เป็นแหล่งชีวิตของเชียงราย—ตั้งแต่ครัวเรือน เกษตร แหล่งท่องเที่ยว ไปจนถึงสุขภาวะของคนริมฝั่งน้ำ โจทย์จึงไม่ได้มีแค่ “ค่าตรวจหนึ่งครั้ง” หากคือ “ความเชื่อมั่นระยะยาว” ที่ต้องสร้างด้วยระบบมาตรฐาน ข้อมูลเปิดเผย และการร่วมกำกับของชุมชน

ไทม์ไลน์ “เร่งแก้” ตามสั่งการ สำรวจ 45   เร่งแก้ 3   เดินหน้าตรวจครบ 18 จุดเสี่ยง

1) สำรวจ 45 แห่งรอบลำน้ำกก
นายธีระชุณ บุญสิทธิ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ ระบุผลสำรวจว่า ในรัศมี 1 กิโลเมตรจากแม่น้ำกก มีระบบประปาหมู่บ้านรวม 45 แห่ง แบ่งเป็น บาดาล 29, ประปาภูเขา 6 (ทั้งสองกลุ่ม “ไม่พบผลกระทบ”) และ ใช้แหล่งน้ำผิวดินจากกก 10 แห่ง ซึ่งใน 10 แห่งนี้ ตรวจพบ 3 จุดคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน จำเป็นต้อง เปลี่ยนแหล่งน้ำ/เสริมการปรับปรุงระบบ อย่างเร่งด่วน

2) แหล่งน้ำทดแทน ระบบกระจายน้ำ
โครงการ ก่อสร้างระบบกระจายน้ำหนองไคร้คราง เพื่อสนับสนุนประปา บ้านสันไทรงาม อ.เวียงเชียงรุ้ง เดินหน้าในฐานะ ทางออกเฉพาะหน้า ด้วยท่อส่งน้ำยาวกว่า 7 กิโลเมตร เพื่อ เพิ่มปริมาณ “น้ำดิบ” สะอาด สำหรับการผลิตประปาชุมชน คาดว่าเมื่อแล้วเสร็จจะ ช่วยประชาชนกว่า 265 ครัวเรือน ส่วนอีก 2 จุดที่ต่ำกว่ามาตรฐาน (บ้านริมกก และบ้านเมืองงิม อ.เมืองเชียงราย) อยู่ระหว่าง สำรวจ ออกแบบ เพื่อเสริมความมั่นคงน้ำ

3) คพ.เร่งตรวจครบ 18 หมู่บ้านเสี่ยง
นายสุรินทร์ วรกิจธำรง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยว่าได้สั่งการ ตรวจคุณภาพน้ำแบบปูพรม ครอบคลุม 18 แห่ง ที่ถูกรายงาน พบว่า 2 ตัวอย่างแรกที่ ต.แม่ยาว (ระบบประปาภูเขาหมู่ 2 “กะเหรี่ยงรวมมิตร” และระบบประปาบาดาลหมู่ 3 “ห้วยทรายขาว”) ไม่พบสารหนูเบื้องต้นจากชุดตรวจ และได้เก็บตัวอย่างส่งห้องแล็บ ตรวจโลหะหนักชนิดอื่น ๆ ต่อ พร้อม แผนขยายการตรวจ ไปยัง ต.ดอยฮาง ต.รอบเวียง ต.ริมกก ต.เวียงเหนือ ต.ดงมหาวัน ต.หนองป่าก่อ ต.ท่าข้าวเปลือก และ ต.บ้านแซว ภายในสัปดาห์ถัดไป

ภาพจริงในพื้นที่” จาก อบจ.เชียงราย ระบบไม่มาตรฐาน คลอรีน “ใส่น้อย” เพราะชาวบ้านไม่ชอบกลิ่น

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ให้ข้อมูลที่สะท้อน “โครงสร้างปัญหา” ว่า หลายหมู่บ้าน ระบบผลิตประปายังไม่เป็นมาตรฐาน โดยเฉพาะ ขั้นตอนตกตะกอน กรอง ฆ่าเชื้อ ทั้งที่การปนเปื้อนโลหะหนักที่ชาวบ้านกังวล มักเดินมาพร้อมความขุ่นของน้ำ ซึ่งต้องอาศัย สารส้ม และ คลอรีน ตามหลักสุขาภิบาลน้ำ แต่ “ในความจริง” หลายหมู่บ้านใส่น้อยกว่าที่เหมาะสม เนื่องจาก ไม่ชอบกลิ่นคลอรีน ส่งผลให้น้ำ ขุ่น เสี่ยงปนเปื้อน มากขึ้น

“ส่วนของระบบการผลิตน้ำประปา เราตรวจร่วมกับ อว. พบว่าน้ำมีค่าสนิมสูงและมีสารปนเปื้อนบ้าง หลายแห่ง ‘ใส่สารส้ม คลอรีนน้อย’ เพราะชาวบ้านไม่ชอบกลิ่น ทำให้องค์ประกอบเสี่ยงมาพร้อมความขุ่นของน้ำ” — นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย

อบจ.เตรียมเดินหน้า ต้นแบบระบบประปาหมู่บ้านมาตรฐาน” 2–3 แห่ง ร่วมกับ กระทรวง อว. เพื่อเป็น โมเดลปรับปรุงอย่างประหยัด ให้ท้องถิ่นอื่นนำไปปรับใช้ พร้อม รณรงค์ลดการใช้สารเคมีการเกษตร ที่รั่วไหลลงดิน แหล่งน้ำ และ แจกเครื่องทดสอบความขุ่น ให้หมู่บ้านเฝ้าระวังเบื้องต้นด้วยตนเอง

ในมิติ ต้นน้ำ ระหว่างประเทศ นายก อบจ.สะท้อนข้อกังวลเรื่อง “กิจกรรมเหมืองแร่ฝั่งเมียนมา” ในลำน้ำกกตอนบน และเสนอให้รัฐบาลไทย เจรจาหารือระบบจัดการของเสีย ร่วมกับฝ่ายเมียนมา เพื่อแก้ปัญหา “เหตุ–ปัจจัย” ต้นทางควบคู่ไปกับ มาตรการปลายน้ำ ภายในประเทศ

คุณภาพน้ำ “โดยรวมพอใช้” แต่เชิงปฏิบัติยังต้องเข้ม MRC-WQMN และการเฝ้าระวังระยะยาว

นอกเหนือจากการตรวจเฉพาะจุดเสี่ยง กรมทรัพยากรน้ำยังใช้ เครือข่ายติดตามคุณภาพน้ำแม่น้ำโขง (MRC – Water Quality Monitoring Network: WQMN) ควบคู่ไปกับการเก็บตัวอย่างที่ สะพานแม่น้ำกก ซึ่งล่าสุดผลวิเคราะห์จาก กองวิจัยพัฒนาและอุทกวิทยา ระบุว่า คุณภาพน้ำโดยรวม “อยู่ในเกณฑ์พอใช้” แต่การเฝ้าระวังต้อง ต่อเนื่อง เข้มข้น โดยเฉพาะใน จุดที่มีฝายรับน้ำ จุดผลิตน้ำประปา และ พื้นที่เกษตร ที่อ่อนไหวต่อการปนเปื้อน

แก่นสำคัญ คือ ต้องทำให้ ข้อมูลคุณภาพน้ำ “เข้าถึงได้” และ “เข้าใจง่าย” ทั้งค่าความขุ่น โลหะหนัก และตัวชี้วัดสุขาภิบาล เพื่อให้ชุมชน สังเกตสัญญาณเสี่ยง และ ร่วมกำกับมาตรฐาน กับหน่วยงานรัฐอย่างมีพลัง

ทำไม “น้ำประปาหมู่บ้าน” สะดุด และควรแก้อย่างไร

วิศวกรรมสุขาภิบาลชี้ว่า ระบบประปาหมู่บ้าน ที่ยั่งยืนต้องครบ 4 วงจร ตั้งแต่ คัดเลือกแหล่งน้ำ ปรับปรุงคุณภาพ ฆ่าเชื้อ คงเหลือคลอรีนในระบบ ประกอบกับ การบำรุงรักษา (O&M) และ การสื่อสารกับผู้ใช้น้ำ อย่างต่อเนื่อง

  1. แหล่งน้ำ หากแหล่งน้ำผิวดิน “มีความขุ่นสูง/ไหลผ่านพื้นที่กิจกรรมเสี่ยง” ต้องมี กระบวนการตกตะกอน กรอง ที่เพียงพอ และ จุดจ่ายคลอรีน ที่ควบคุมได้ ส่วน บาดาล ประปาภูเขา แม้เสถียรกว่า แต่ยังต้องเฝ้าระวัง โลหะหนัก จุลชีพ ตามรอบ
  2. การปรับปรุงคุณภาพ สารส้ม ช่วยจับตะกอน ลดความขุ่น และ คลอรีน ฆ่าเชื้อ แต่ ปริมาณ จุดใส่ ระยะเวลาสัมผัส ต้องพอเหมาะ การ “ใส่น้อยเพราะกลิ่น” ทำให้ฆ่าเชื้อไม่ครบและลด “ความมั่นใจ” ของระบบทั้งสาย
  3. คลอรีนคงเหลือปลายท่อ หลักสุขาภิบาลเน้นให้ มีคลอรีนคงเหลือ ปลายระบบเพื่อความปลอดภัยในท่อจ่าย—ตรงนี้ต้อง สื่อสารกับชุมชน ว่ากลิ่นคลอรีน “เล็กน้อย” คือ เกราะป้องกัน ที่ทำให้น้ำ ปลอดภัยตลอดเส้นทาง
  4. เครื่องมือ คน งบ ประปาหมู่บ้านจำนวนมาก “ทำได้” หากได้รับ งบย่อยเพื่อปรับปรุงไม่น้อย (เช่น ระบบตกตะกอน/กรองพื้นฐาน, ปั๊ม ท่อ, ตู้ควบคุมคลอรีน) ควบคู่กับ การอบรมผู้ดูแลระบบ และ คู่มือ O&M แบบง่าย

การ “วางต้นแบบ” 2–3 แห่งที่ อบจ. จะทำร่วมกับ อว. จึงเป็น ทางเดินที่เหมาะ เพื่อ พิสูจน์แนวทาง งบประมาณ ขีดความสามารถชุมชน ก่อนขยายผลสู่เครือข่ายหมู่บ้านอื่น ๆ

โรดแมป “เชิงบูรณาการ” ทำทันที ทำระยะกลาง ทำยั่งยืน

ทำทันที (1–4 สัปดาห์)

  • เร่งตรวจครบ 18 หมู่บ้านเสี่ยง (คพ. + สธ. + ท้องถิ่น) พร้อม เผยแพร่ผลเป็นรายจุด บนแพลตฟอร์มสาธารณะ
  • ตั้งจุดแจกน้ำสะอาดชั่วคราว/น้ำบรรจุภาชนะ ในพื้นที่ที่ “ต่ำกว่ามาตรฐาน” หรือยังอยู่ระหว่างปรับปรุง
  • ใส่คลอรีน ควบคุมความขุ่น ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ พร้อม สื่อสารเรื่อง “กลิ่นคลอรีน” ให้เข้าใจร่วมกัน
  • ตั้งฮอตไลน์ จุดร้องเรียน และ คณะทำงานร่วมชุมชน เพื่อติดตามการแก้ไขแบบ day-by-day

ทำระยะกลาง (1–6 เดือน)

  • ต้นแบบประปามาตรฐาน 2–3 แห่ง ร่วม อว. พร้อม คู่มือ O&M และ โปรแกรมอบรมผู้ดูแลระบบ
  • โครงข่ายเซ็นเซอร์ชุมชน (ชุดตรวจความขุ่น/ชุดทดสอบภาคสนาม) รายงานผล ผ่านบอร์ดชุมชน + ออนไลน์ เพื่อสร้าง “การเฝ้าระวังร่วม”
  • เดินหน้าโครงข่ายท่อหนองไคร้คราง   สันไทรงาม และออกแบบระบบทดแทน บ้านริมกก บ้านเมืองงิม
  • สำรวจแหล่งน้ำสำรอง (บาดาล/อ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก/ฝาย) ในรัศมีใช้งานได้จริง เผื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน

ทำยั่งยืน (6–24 เดือน)

  • ยกระดับมาตรฐานประปาหมู่บ้านทั้งจังหวัด (จัดงบย่อย “กองทุนยกระดับระบบน้ำอุปโภค–บริโภค”)
  • เปิดข้อมูลคุณภาพน้ำแบบถาวร (แดชบอร์ดสาธารณะ) จาก ทน.–คพ.–สธ.–อบจ.–ท้องถิ่น
  • ความร่วมมือข้ามพรมแดน จัดทำ กรอบหารือด้านสิ่งแวดล้อมลำน้ำกก ร่วมหน่วยงานเมียนมา (ประเด็นเหมือง ของเสีย มาตรการกันตะกอน)
  • รณรงค์เกษตรปลอดการปนเปื้อน (ลดใช้สารเคมี/แนวกันชนริมน้ำ) เพื่อ ตัดต้นตอ “สารลงน้ำ” เชิงระบบ

คำถามปลายข่าวที่สังคมควรถามร่วมกัน

  1. ข้อมูล–ความโปร่งใส ผลตรวจทั้ง 18 หมู่บ้าน จะเผยแพร่ เมื่อใด–รูปแบบใด ให้ประชาชนตรวจสอบได้เอง
  2. มาตรการชั่วคราว พื้นที่ “ต่ำกว่ามาตรฐาน” จะได้รับ น้ำสะอาดทดแทน อย่างไร และใครรับผิดชอบค่าใช้จ่าย
  3. มาตรฐานเดียวกันทั้งจังหวัด ต้นแบบ 2–3 แห่ง จะ ขยายผลทั่วจังหวัด ด้วย งบ–คน–ระยะเวลา อย่างไร
  4. ต้นน้ำระหว่างประเทศ ไทยจะเดินหน้า หารือเมียนมา เรื่องแหล่งกำเนิดมลพิษในลำน้ำกก เมื่อใด–อย่างไร–และใครเป็นเจ้าภาพ

คำถามเหล่านี้คือ “ตัวชี้วัด” ว่าการแก้ปัญหาจะไม่หยุดอยู่ที่ข่าว แต่ เดินต่อ ไปสู่ “ความเชื่อมั่น” ที่ประชาชนสัมผัสได้จริง

เสียงจากพื้นที่–เสียงจากรัฐ จุดร่วมคือ “ความปลอดภัยของคนเชียงราย”

  • ชุมชน ต้องการน้ำที่ ดื่ม กิน ใช้ ได้อย่าง ไร้กังวล และต้องการทราบ ความเสี่ยงจริง แผนสำรอง ช่องทางช่วยเหลือ ที่ชัดเจน
  • ท้องถิ่น (อบจ.–อปท.) ต้องการ งบย่อย–องค์ความรู้–เครื่องมือ เพื่อปรับปรุงระบบประปาหมู่บ้าน ในต้นทุนที่ประชาชนรับได้
  • หน่วยงานรัฐส่วนกลาง (ทน.–คพ.–สธ.) เร่ง ตรวจ–วิเคราะห์–ประสานแหล่งน้ำทดแทน และพัฒนา ระบบข้อมูลเปิด ให้ตรวจสอบได้
  • มิติต้นน้ำ–ข้ามแดน ต้องการ กรอบความร่วมมือ ที่ต่อเนื่อง เพื่อให้ “เหตุ–ปัจจัย” ไม่ย้อนกลับมาเป็นปมซ้ำ

จุดร่วม ของทุกฝ่ายคือ ความปลอดภัยของคนเชียงราย และ ศักดิ์ศรีของลุ่มน้ำกก ที่ต้องคงความอุดมสมบูรณ์—นี่คือเดิมพันที่สูงกว่า “ตัวเลขในใบรายงาน” และต้องชนะด้วย มาตรฐาน–สื่อสาร–และการลงมือทำอย่างโปร่งใส

ยกระดับด้วยมาตรฐาน–ยั่งยืนด้วยความร่วมมือ

กรณี “น้ำประปาหมู่บ้านริมกก” ทำให้เราเห็นภาพ กลไกฉุกเฉิน ของภาครัฐที่ “ติดเครื่องไว” ทั้งการสำรวจ 45 แห่ง การแก้ไขจุดต่ำมาตรฐาน 3 แห่ง การส่งทีม คพ. ตรวจครบ 18 หมู่บ้านเสี่ยง และการหาแหล่งน้ำทดแทน วางระบบกระจายน้ำใหม่ ขณะเดียวกัน “เสียงจริงจากพื้นที่” ช่วยเปิดโปง คอขวดเชิงระบบ ของประปาหมู่บ้าน—ตั้งแต่วิธีคิดเรื่องคลอรีนที่ “ไม่เป็นมิตรต่อจมูก” จนกลายเป็น “ไม่เป็นมิตรต่อสุขอนามัย”—ไปจนถึงโจทย์ต้นน้ำต่างแดน

คำตอบของจังหวัดจึงไม่ใช่ เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง” แต่คือ ทำทั้งหมด” ในจังหวะที่เหมาะสม ตรวจให้เร็ว ช่วยให้ทัน ปรับระบบให้ผ่านมาตรฐาน เปิดข้อมูลให้ตรวจสอบ และเชื่อมมือกับเพื่อนบ้านให้เหตุ ปัจจัยถูกแก้ที่ต้นทาง หากทำได้ครบ “ความเชื่อมั่น” จะกลับมา ท่ามกลางฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปีที่เชียงรายหวังให้ เมืองสุขภาพ–เมืองแห่งสายน้ำ” กลับมาสมชื่อ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมทรัพยากรน้ำ (ทน.) / สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1
  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.)
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ จังหวัดเชียงราย (กระทรวงสาธารณสุข)
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จังหวัดเชียงราย
  • คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ทส.)
  • Mekong River Commission (MRC) – Water Quality Monitoring Network (WQMN)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

กก.สิ่งแวดล้อมฯ ยกระดับแผนปี 69 คุมเข้มแหล่งกำเนิดมลพิษ เชื่อมโยงข้อกังวลโรงไฟฟ้าขยะท้องถิ่น

ชาวพานร้อง “ชั่งน้ำหนักให้ครบทุกด้าน” เวทีรับฟังโครงการโรงไฟฟ้าขยะ อบต.ป่าหุ่งสะท้อนเสียงกังวลรัฐขยับยกระดับแผนรับมือไฟป่า–หมอกควันปี 2569 คุมเข้มแหล่งกำเนิดมลพิษ เชื่อมโยงโจทย์สิ่งแวดล้อมระดับท้องถิ่นสู่ภาพใหญ่ของประเทศ

เชียงราย, 19 ตุลาคม 2568 — เช้าวันอาทิตย์ที่อากาศโปร่ง ลมหนาวแรกเริ่มพัดผ่านไหล่เขา เสียงเครื่องขยายกำลังเบา ๆ ดังขึ้นที่ ศาลาประชาคม หมู่ 3 บ้านป่าฮ่างงาม ตำบลทานตะวัน อำเภอพาน จุดนัดพบของชาวบ้านสามตำบล ทานตะวัน แม่เย็น และม่วงคำ ที่เดินทางมาร่วมเวทีให้ข้อมูล–รับฟังความคิดเห็นเรื่อง โครงการโรงไฟฟ้าขยะขององค์การบริหารส่วนตำบลป่าหุ่ง (อบต.ป่าหุ่ง) ซึ่งตั้งอยู่ในรัศมีประมาณ 3 กิโลเมตร จากพื้นที่ชุมชน โดยในวันดังกล่าวมีประชาชนเข้าร่วม 449 คน บรรยากาศคึกคักแต่สงบเรียบร้อย มีทั้งผู้สูงอายุ กลุ่มแม่บ้าน เกษตรกร และตัวแทนผู้ประกอบการท้องถิ่น

ภาพตรงหน้าเป็น “ฉากเล็ก” ของการมีส่วนร่วมสาธารณะ แต่ปมประเด็นกลับ “ใหญ่” เพราะไม่ใช่แค่จะ “เอาหรือไม่เอาโรงไฟฟ้าขยะ” หากสะท้อนเรื่อง การจัดการของเสียชุมชน ความมั่นคงทางพลังงาน คุณภาพอากาศ สุขภาพ เศรษฐกิจท้องถิ่น และความเชื่อมั่นของชุมชน ที่ต้องถูกร้อยเรียงเข้าด้วยกันอย่างรอบคอบ

ขณะเดียวกัน “ฉากใหญ่” ของประเทศก็ขยับ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.สิ่งแวดล้อมฯ) ที่ประชุมเมื่อ 15 ตุลาคม 2568 มีมติเห็นชอบมาตรการ รับมือไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 2569 โดยยกระดับการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษแบบเจาะจงพื้นที่และกิจกรรม (sector-based) หลังผลลัพธ์รอบ 1 พ.ย. 2567–31 พ.ค. 2568 ชี้ให้เห็นว่าคุณภาพอากาศดีขึ้นในหลายมิติ ค่าเฉลี่ยฝุ่นทั่วประเทศลดลง 10% (เหลือ 28 µg/m³), วันที่เกินมาตรฐานลดลง 2% (เหลือ 184 วัน), จุดความร้อนลดลง 25%, พื้นที่เผาไหม้ลดลง 27% แต่ยังต้อง “เร่งต่อเนื่อง” เพื่อให้เป้าหมายปี 2569 เดินหน้าได้จริง

บทข่าวนี้จึงพาไล่สายใยระหว่าง เสียงของชุมชน กับ ยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อมของรัฐ และชวนมอง “ทางเลือก–ทางรอด” ของการจัดการขยะและอากาศสะอาดที่อยู่บนฐานข้อมูลข้อเท็จจริง มาตรฐานวิชาชีพสื่อ และความเป็นกลาง

เวทีชุมชน “ยังไม่เห็นด้วย” แต่ขอข้อมูลครบ ความเสี่ยงชัด มาตรการป้องกันจริงจัง

ตลอดช่วงเช้าถึงบ่าย ตัวแทนผู้จัดเวทีชี้แจง วัตถุประสงค์ของโครงการโรงไฟฟ้าขยะ และเปิดพื้นที่สำหรับถาม ตอบอย่างต่อเนื่อง ประเด็นสำคัญที่ประชาชนส่วนใหญ่สะท้อน ได้แก่

  • ความเสี่ยงด้านอากาศและสุขภาพ ความกังวลเรื่องก๊าซ ฝุ่นละเอียด ไดออกซิน/ฟิวแรน และโลหะหนักจากกระบวนการเผา รวมถึงการรั่วไหลทางอากาศและผลกระทบกับกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ
  • น้ำ–ดิน–เถ้าก้นเตา/เถ้าลอย ความสามารถในการบำบัดน้ำเสีย การป้องกันการปนเปื้อนสู่แหล่งน้ำชุมชนและพื้นที่เกษตร การจัดการเถ้าลอย (hazardous) และเถ้าก้นเตา (non-hazardous) ให้ถูกต้องตามกฎหมายและมาตรฐาน
  • การคมนาคม–เสียง–กลิ่น ปริมาณรถขนขยะต่อวัน ผลกระทบต่อถนนท้องถิ่น ความปลอดภัยบนท้องทาง และกลิ่นจากสถานีกำจัดขยะ/โรงงาน
  • ความเชื่อมั่นเชิงระบบ “คำมั่น การกำกับ บทลงโทษ” หากไม่ปฏิบัติตาม EIA/EHIA มาตรฐานปล่อง และการรายงานผลสู่สาธารณะ (real-time/รายเดือน) ที่ตรวจสอบได้จริง

ด้วยเหตุนี้ ข้อเสนอหลักในเวทีจึงไปในทิศทาง ยังไม่เห็นด้วย” แต่หากจะเดินหน้าต้อง ทบทวนรอบด้าน และ วางการมีส่วนร่วมที่มากกว่าการรับฟัง ได้แก่ การจัดทำ EIA/EHIA อย่างเข้มงวด, การเปิดเผย ข้อมูลการปล่อย (emission) แบบต่อเนื่อง (CEMS) ที่เข้าถึงได้, แผนคุ้มครองชุมชน (health surveillance), กองทุนสิ่งแวดล้อมท้องถิ่น และ กลไกหยุดเดินเครื่องทันที หากค่าการปล่อยเกินมาตรฐาน

ใจความร่วมของผู้เข้าร่วม “ขอให้หน่วยงานทบทวนโดยให้ผลประโยชน์ชุมชน สิ่งแวดล้อมมาก่อน กำหนดเงื่อนไขป้องกันเข้ม และต้องโปร่งใสตั้งแต่วันแรก”

ผู้แทนภาครัฐย้ำในเวทีว่า พร้อมรับฟังทุกเสียง และขับเคลื่อนตามขั้นตอนที่ถูกต้อง โปร่งใส และเป็นธรรม โดยยึด “ประโยชน์ร่วมของพื้นที่และชุมชนโดยรวม” เป็นฐานการตัดสินใจ

ทำไม “ไฟฟ้าจากขยะ” จึงถูกหยิบมาคุย และอะไรคือเงื่อนไขสำคัญ

การผลิตไฟฟ้าจากขยะ (Waste-to-Energy, WtE) มักถูกเสนอในฐานะ “ทางออก” ของปัญหาขยะชุมชนสะสม เพราะมี ข้อดี บางประการ เช่น ลดปริมาณขยะเข้าสู่หลุมฝังกลบ, สร้างไฟฟ้าทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล, และลดก๊าซเรือนกระจกจากการย่อยสลายแบบไร้อากาศในหลุมฝังกลบ อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขสำคัญ ที่ทำให้ WtE “เป็นทางออกจริง” ไม่ใช่เพียงเตาเผา หากคือ “ทั้งระบบ” ได้แก่

  1. การคัดแยกต้นทาง ลดเศษอินทรีย์ที่มีความชื้นสูง เพิ่มค่าความร้อนของขยะเชื้อเพลิง (RDF) ให้เตาเผาทำงานได้มีประสิทธิภาพ ลดการใช้เสริมด้วยเชื้อเพลิงอื่น และลดสารก่อมลพิษจากการเผา
  2. มาตรฐานเทคโนโลยีและการดักจับมลพิษ ระบบบำบัดไอเสียหลายชั้น (เช่น Scrubber/Bag filter/Activated carbon) และ CEMS รายงานต่อเนื่องสู่สาธารณะ
  3. การจัดการเถ้า แยกเถ้าลอย (อันตราย) และเถ้าก้นเตา (ไม่อันตราย) ตามกฎหมาย กำหนดปลายทางชัดเจน (เช่น บ่อฝังกลบอันตรายมาตรฐาน/การใช้ประโยชน์อย่างปลอดภัยที่ผ่านการรับรอง)
  4. ระยะห่าง ทิศทางลม ภูมิประเทศ ออกแบบด้วยข้อมูล microclimate และผังเมือง กำหนดแนวกันชน (buffer) และระบบควบคุมกลิ่น
  5. ธรรมาภิบาล การเปิดเผยข้อมูล ตั้งคณะกรรมการร่วมภาคประชาชน, ระบบร้องเรียนที่ตอบสนองเร็ว, เงื่อนไขหยุดเดินเครื่องอัตโนมัติ, และบทลงโทษจริงจัง

กล่าวอีกนัยหนึ่ง WtE จะ “ยั่งยืน” ได้ต่อเมื่อ ขยับฐานคัดแยก ลดของเสียตั้งแต่ครัวเรือน และใช้โรงงานในบทบาท “ปลายทางที่ปลอดภัย” ไม่ใช่ “ต้นทางของปัญหาใหม่”

 “โรงไฟฟ้าขยะ” กับโจทย์ “อากาศสะอาดภาคเหนือ” รัฐยกระดับแผนปี 2569

แม้โครงการในอำเภอพานจะอยู่ในขั้นรับฟัง แต่เสียงกังวลเรื่องคุณภาพอากาศก็เชื่อมโยงกับ บริบทภาคเหนือ ที่ต่อสู้กับ “ไฟป่า หมอกควัน ฝุ่น PM2.5” มายาวนาน ข้อมูลจาก กรมควบคุมมลพิษ ที่นำเสนอต่อ กก.สิ่งแวดล้อมฯ (15 ต.ค. 2568) สะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในฤดูกาล 2567–2568 (1 พ.ย. 67–31 พ.ค. 68) ได้แก่

  • ค่าเฉลี่ยฝุ่นทั่วประเทศ 28 µg/m³ ลดลง 10%
  • จำนวนวันเกินมาตรฐาน 184 วัน ลดลง 2%
  • จุดความร้อน ลดลง 25%
  • พื้นที่เผาไหม้ ลดลง 27%

อย่างไรก็ดี รัฐยังเดินหน้ามาตรการปี 2569 ใน 5 ด้านหลัก เพื่อ “ล็อกแหล่งกำเนิด” ให้เข้มกว่าปีก่อน

  1. พื้นที่เกษตร   จัดการเศษวัสดุเหลือใช้, คุมอ้อยไฟไหม้เข้าโรงงาน, กำหนดพื้นที่ ช่วงเวลาเผาที่จำเป็น พร้อมมาตรการจูงใจลดการเผา
  2. พื้นที่ป่า   บูรณาการแผนป้องกัน ควบคุมไฟป่า ระหว่าง อปท. และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ (ทส.) ปรับกฎระเบียบการจัดหาเครื่องมือ อุปกรณ์ดับไฟให้คล่องตัว
  3. เขตเมือง   ขยาย Low Emission Zone (LEZ) ครอบคลุมทุกเขตในกรุงเทพฯ เข้มงวด ควันดำไม่เกิน 20% เร่งวินัยบำรุงรักษารถ (น้ำมันเครื่อง/ไส้กรอง)
  4. หมอกควันข้ามแดน   คุมการ นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปลอดการเผา สอดคล้องประกาศของ กรมการค้าต่างประเทศ มีผล 1 ม.ค. 2569
  5. บริหารจัดการภาพรวม   ของบกลางเสริมงบปกติ, แจ้งเตือนสถานการณ์ผ่าน Cell Broadcast/SMS, ใช้กลไกคณะกรรมการทุกระดับเร่งรัดติดตามผล

เป้าหมาย 2569 ตั้งธง ลดพื้นที่เผาไหม้ในป่าอย่างน้อย 10%, ในเกษตรอย่างน้อย 15%, และให้ ยานพาหนะ โรงงาน สถานประกอบการ ปฏิบัติตามกฎหมาย 100% ขณะที่ภาคเหนือคาดหวังว่าแนวทาง “กำกับแหล่งกำเนิด” จะช่วย ลดวันวิกฤตหมอกควัน และสร้างภาวะอากาศดีในช่วงไฮซีซันท่องเที่ยวได้จริง

เมื่อ “อากาศดีขึ้น” ต้องดีแบบยั่งยืน และชุมชนต้องรู้สึกปลอดภัย

ตัวเลขที่ดีขึ้นในปี 2567–2568 เป็น “สัญญาณเชิงบวก” แต่การยกระดับมาตรการปี 2569 สะท้อนความเข้าใจว่า ตัวแปรฝุ่น ไม่ได้มีเพียง ไฟป่า การเผาเกษตร หากรวมถึง การคมนาคม อุตสาหกรรม การก่อสร้าง และกิจกรรมชุมชน การลดฝุ่นอย่างยั่งยืนจึงต้อง “ผูกแพ็กเกจ” ทั้ง มาตรการควบคุม, แรงจูงใจเศรษฐกิจ, และ วินัยสังคม เข้าด้วยกัน

สำหรับพื้นที่ที่กำลังถกเถียงเรื่องโครงการ WtE อย่างอำเภอพาน การยึด “มาตรฐานสูงสุด” เป็นเงื่อนไขตั้งต้น ไม่ใช่ข้อยกเว้น เช่น

  • กำหนดค่าการปล่อยปลายปล่อง ให้เทียบเคียงมาตรฐานสากลที่เข้มเท่าหรือมากกว่ากฎหมายไทย
  • ติดตั้ง CEMS ที่ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้แบบเรียลไทม์/รายชั่วโมง
  • สุขภาพชุมชน ทำ ฐานข้อมูลสุขภาพก่อนโครงการ (baseline) และติดตามต่อเนื่องโดยหน่วยงานสาธารณสุขอิสระ
  • ความโปร่งใส การกำกับ ตั้งคณะกรรมการอิสระร่วมชุมชน ท้องถิ่น วิชาการ ตรวจติดตามแบบสุ่มไม่แจ้งล่วงหน้า
  • การมีส่วนร่วมที่ต่อเนื่อง ไม่ใช่ “ปรึกษาครั้งเดียว” แต่เป็น วงจรสื่อสาร ตลอดอายุโครงการ รวมถึง กลไกเยียวยา หากมีผลกระทบ

“ความรู้สึกปลอดภัย” จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อ ข้อมูลโปร่งใส ตรวจสอบได้ และชุมชนมีอำนาจร่วมกำกับ ไม่ใช่เพียงผู้รับฟัง

ทางเลือกคู่ขนาน “ลด–แยก–ใช้ซ้ำ–รีไซเคิล” เดินพร้อม “ปลายทางที่ปลอดภัย”

ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการของเสียเน้นย้ำว่า ไม่ว่าพื้นที่จะมี WtE หรือไม่ รากฐานของระบบขยะยั่งยืน คือ การลด (Reduce) แยก (Segregate)  ใช้ซ้ำ (Reuse)  รีไซเคิล (Recycle) และเสริมด้วย

  • เศษอาหาร/อินทรีย์ → ทำปุ๋ย/ไบโอแก๊ส ลดความชื้นและกลิ่นของขยะผสม
  • ของมีค่ารีไซเคิล → ดึงออกตั้งแต่ต้นทาง ลดการเผาวัตถุดิบที่มีมูลค่า
  • การศึกษา–แรงจูงใจ → สร้างนิสัยคัดแยกด้วยทั้งรณรงค์และสิ่งจูงใจ (ค่าธรรมเนียมตามปริมาณขยะผสม ส่วนลดสำหรับครัวเรือนคัดแยกดี)

เมื่อ ต้นทางแข็งแรง ปลายทาง ไม่ว่าจะเป็นหลุมฝังกลบสุขาภิบาลหรือโรงไฟฟ้าขยะ ก็จะปลอดภัยและมีประสิทธิภาพขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

 “ฟังให้ครบ อธิบายให้ชัด ลงมือให้โปร่งใส”

จากเวทีชุมชนที่พาน เราเห็น เสียง “ยังไม่เห็นด้วย” ซึ่งไม่ได้ปิดประตู แต่ร้องขอ “หลักประกันความปลอดภัยและความโปร่งใส” ที่จับต้องได้ ขณะเดียวกัน ภาพใหญ่ของประเทศก็กำลังเดินสู่ การจัดการอากาศอย่างเป็นระบบ ในปี 2569 โดยมุ่งคุมแหล่งกำเนิดและเร่งบูรณาการทุกระดับ

จุดคลี่คลายปม อยู่ที่ “กระบวนการและความไว้วางใจ” หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทบทวนโครงการด้วยข้อมูลครบถ้วน, ปรับแบบ เพิ่มเงื่อนไขคุ้มครองชุมชน, เปิดเผยข้อมูลแบบเรียลไทม์, และ ให้ชุมชนมีสิทธิร่วมกำกับอย่างแท้จริง การตัดสินใจ จะเดินหน้า ปรับแก้ หรือยุติ ก็จะได้รับการยอมรับมากขึ้น

ท้ายที่สุด การจัดการขยะและอากาศสะอาด ไม่ใช่โจทย์ที่ “ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง” จะแก้ได้ หากเป็น พันธสัญญาร่วมของทั้งชุมชน–ท้องถิ่น–รัฐ–เอกชน ที่ต้องฟังกันด้วยข้อมูล และลงมือด้วยความโปร่งใส เพื่อให้พาน–เชียงราย และภาคเหนือ เดินสู่ คุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติ

  1. ทำฐานข้อมูลสุขภาพ สิ่งแวดล้อมก่อนโครงการ (Baseline) ตรวจ PM2.5, ไดออกซิน/ฟิวแรนในดิน–น้ำ–อากาศ, โลหะหนัก, และตัวชี้วัดสุขภาพกลุ่มเสี่ยง
  2. ยกระดับการมีส่วนร่วม ตั้ง คณะกรรมการเฝ้าระวังร่วมชุมชน มีอำนาจเข้าถึงข้อมูล CEMS/เข้าตรวจโรงงานแบบสุ่ม
  3. CEMS + Open Data เปิดข้อมูลการปล่อยบนแพลตฟอร์มออนไลน์แบบรายชั่วโมง พร้อมระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติเมื่อเกินค่า
  4. เงื่อนไขหยุดเดินเครื่อง ระบุชัดในใบอนุญาต หากเกินมาตรฐานให้หยุดทันที ตรวจสอบแก้ไขก่อนกลับมาเดินเครื่อง
  5. กองทุนสิ่งแวดล้อมท้องถิ่น จัดสรรเพื่อสุขภาพชุมชน–อากาศสะอาด–วิจัยอิสระ และการเยียวยา
  6. ทางเลือกต้นทาง แผนลดขยะอินทรีย์–ขยายไบโอแก๊สครัวเรือน/ชุมชน–ตั้งสถานีคัดแยกร่วมเอกชน–ให้แรงจูงใจเชิงเศรษฐศาสตร์
  7. เชื่อมยุทธศาสตร์ปี 2569 ของรัฐ ผูกมาตรการพื้นที่เกษตร–ป่า–เมือง เข้ากับแผนท้องถิ่นของพาน–เชียงราย ลดฝุ่นอย่างบูรณาการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ข้อมูลเวทีชุมชนอำเภอพาน จ.เชียงราย (19 ต.ค. 2568) เวทีให้ข้อมูล รับฟังความคิดเห็นโครงการโรงไฟฟ้าขยะ อบต.ป่าหุ่ง ณ ศาลาประชาคม ม.3 บ้านป่าฮ่างงาม ต.ทานตะวัน ผู้เข้าร่วมจาก 3 ตำบล (ทานตะวัน–แม่เย็น–ม่วงคำ) รวม 449 คน   รายงานโดยผู้จัดกิจกรรมและผู้แทนชุมชนในพื้นที่
  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) / คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
  • กรมการค้าต่างประเทศ (พาณิชย์)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FOOD

ไทยอันดับ 1 อาหารโลก! จี้รัฐบาลต่อยอด GI-Thai SELECT พร้อมผนึกชายแดนสู้โจทย์ความปลอดภัย

อาหารไทยยืนหนึ่งโลกและแบบเรียนจากชายแดนเหนือสุด “แม่สายโมเดล” ขยายพลัง Soft Power สู่ความมั่นคงอาหารและเศรษฐกิจฐานรากภายใต้นโยบาย “Quick Big Win”

เชียงราย, 19 ตุลาคม 2568 — ข่าวดีที่สะท้อนพลังอ่อน (Soft Power) ของไทยดังก้องอีกครั้ง เมื่อ Condé Nast Traveler นิตยสารท่องเที่ยวชั้นนำจากสหรัฐฯ ประกาศผล Readers’ Choice Awards 2025 ยกให้ประเทศไทยครองแชมป์ ประเทศที่มีอาหารดีที่สุดในโลก 2025” ด้วยคะแนน 98.33/100 เหนืออิตาลีและญี่ปุ่น ขณะเดียวกัน กรุงเทพฯ ยังมีร้านอาหาร ติดอันดับท็อป 35 ของโลกถึง 7 แห่ง ย้ำชัดว่า “ครัวไทย” ไม่ได้แค่ครองใจนักชิม แต่กำลังก้าวสู่ กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจแห่งชาติ ท่ามกลางโจทย์ใหญ่เรื่องมาตรฐานความปลอดภัยตลอดห่วงโซ่อาหาร

บทพิสูจน์เชิงสัญลักษณ์ของ Soft Power ครั้งนี้เกิดขึ้นในจังหวะเดียวกับการเร่งเครื่องเศรษฐกิจของรัฐบาล โดย กระทรวงพาณิชย์ ขับเคลื่อนแนวคิด “Quick Big Win” พุ่งเป้าสร้างผลลัพธ์เร็วที่ต่อยอดได้ยาว ผ่านการยกระดับคุณค่าของวัตถุดิบไทย (GI) การผลักดันตรารับรอง Thai SELECT และการขยายเครือข่ายการค้าระหว่างประเทศ ขณะที่ในพื้นที่ชายแดน อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เกิดต้นแบบ “ระบบอาหารปลอดภัยทั้งห่วงโซ่” ที่ผสานงานท้องถิ่น–สาธารณสุข–ด่านชายแดน เป็น “ด่านหน้า” คัดกรองความเสี่ยงก่อนอาหารและวัตถุดิบจะเดินทางสู่โต๊ะอาหารคนทั้งประเทศ

ทั้งหมดนี้คือ “สองลมหายใจ” ของเรื่องเดียวกัน อาหารไทยที่อร่อยและปลอดภัย ซึ่งต้องเดินคู่กันเพื่อเปลี่ยนเสียงชื่นชมบนเวทีโลกให้กลายเป็น รายได้ยั่งยืน และ สุขภาวะของประชาชน อย่างแท้จริง

จากคำชมบนเวทีมาสู่แรงขับทางเศรษฐกิจ “ครัวไทย” ที่เป็นมากกว่ารสชาติ

ผลโหวตของผู้อ่าน Condé Nast Traveler ทำให้ไทยครองแชมป์ The Best Countries for Food in the World: 2025 ด้วยคะแนน 98.33 จุดเด่นไม่ใช่เพียง “รสชาติ” แต่คือ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมอาหาร, ตลาดกลางคืนที่คึกคัก, และ การเข้าถึงประสบการณ์ท้องถิ่นที่จริงแท้ ตั้งแต่ก๋วยเตี๋ยวริมทาง แกง–ซุปรสจัด ไปจนถึงร้านอาหารร่วมสมัยที่ใช้วัตถุดิบพื้นถิ่นยกระดับ (local ingredients to fine plates) จน ร้านอาหารในกรุงเทพฯ 7 แห่งติดอันดับโลก ส่องสะท้อน “ระบบนิเวศอาหาร” ที่มีชีวิตชีวาทั้งฝั่งสตรีทฟู้ดและภัตตาคาร

แต่คำถามสำคัญในมุมเศรษฐกิจคือ จะต่อยอดจาก “คำชม” ให้เป็น “รายได้กระจายตัว” ได้อย่างไร? คำตอบหนึ่งอยู่ในนโยบายเชิงรุกของภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ ที่เร่ง “เชื่อมรสชาติสู่มูลค่า” ผ่านตรารับรองและการสร้างเรื่องเล่าบนฐานวัตถุดิบไทย พร้อมกันนั้น ระบบ “ความปลอดภัยของอาหาร” ต้องเข้มแข็งตั้งแต่ต้นน้ำ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ลดทอนความเชื่อมั่น

ภาพใหญ่ที่ชายแดน “แม่สายโมเดล” ด่านหน้าความมั่นคงอาหารของประเทศ

แม่สาย เมืองหน้าด่านเหนือสุดของไทย คือ ประตูการค้า สู่ประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีการนำเข้า–ส่งออกสินค้าอาหารอย่างต่อเนื่อง ความปลอดภัยจึงไม่ใช่แค่ “มาตรฐานทางเทคนิค” แต่หมายถึง เกราะป้องกันสุขภาวะ ของผู้คนทั่วประเทศ การปล่อยให้เกิด “จุดรั่ว” เพียงจุดเดียว อาจสร้างความเสียหายลุกลามทางเศรษฐกิจ–สังคมได้

ภายใต้ โครงการบูรณาการและขับเคลื่อนระบบอาหารเพื่อสุขภาวะตลอดห่วงโซ่ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย” เทศบาลตำบลแม่สายร่วมกับหน่วยงานสาธารณสุขและเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ใช้แนวทาง แซน” (San) และ “แซนพลัส” (San Plus) วางมาตรการดูแลสุขาภิบาลอาหารแบบครบวงจร ตั้งแต่แหล่งผลิต (ต้นน้ำ) การขนส่ง–จำหน่าย (กลางน้ำ) จนถึงผู้บริโภค (ปลายน้ำ)

นายชัยยนต์ ศรีสมุทร นายกเทศมนตรีตำบลแม่สาย อธิบายหัวใจของงานว่า แม่สายต้อง “ทำถูกตั้งแต่ด่านแรก” เพราะเป็นพื้นที่ เปราะบางและพลุกพล่าน จึงดำเนินการ สุ่มตรวจอาหารต่อเนื่อง, อบรมผู้ประกอบการ–พ่อค้าแม่ค้า–เกษตรกร, และ สนับสนุนแหล่งผลิตมาตรฐาน เพื่อให้ระบบอาหารในชุมชนและสินค้าที่ผ่านชายแดน “ปลอดภัยจริง” ไม่ใช่เพียงบนกระดาษ

ผลลัพธ์ที่ปรากฏ ไม่ใช่แค่ “ผ่าน–ไม่ผ่าน” ตามเช็กลิสต์ แต่คือการ สร้างวินัยตลาด ให้เกิดขึ้นกับผู้ค้า–ผู้ผลิต–ผู้บริโภค โดยอาศัย การสื่อสารและการร่วมมือ มากกว่าการลงโทษล้วน ๆ โมเดลนี้จึงเริ่ม “ยกระดับความไว้เนื้อเชื่อใจ” ซึ่งเป็นทุนสังคมสำคัญสำหรับเมืองชายแดน และเป็น ส่วนต่อขยายความเชื่อมั่นของอาหารไทย ในสายตานักท่องเที่ยวและคู่ค้าต่างชาติ

Soft Power ที่แปลงเป็น “ทุนแข็ง” นโยบาย “Quick Big Win” ของกระทรวงพาณิชย์

ขณะชายแดนเสริมเกราะความปลอดภัย กระทรวงพาณิชย์ก็เร่งต่อยอดคุณค่าทางอาหารในเชิงพาณิชย์อย่างจริงจัง ในงาน Thailand Taste & Treasures ภายใต้แนวคิด “Discovering Authentic Flavors and Crafted Excellence” นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุชัดว่า นโยบายของกระทรวงสอดคล้องวิถีรัฐบาลและคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ  กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว”  โดยใช้ “อาหารไทย” เป็นเครื่องมือ สร้างรายได้ เร็ว–ชัด–ยั่งยืน

เครื่องมือเชิงนโยบายที่ชี้เป้าได้ทันที ได้แก่

  • วัตถุดิบ GI (Geographical Indications) ยกระดับคุณค่าทางพื้นที่ให้กลายเป็น “ทุนทางแบรนด์” และราคาที่ดีขึ้นสำหรับเกษตรกร
  • มาตรฐาน Thai SELECT รับรองคุณภาพรสชาติและความเป็นไทย กระตุ้นให้ร้านอาหารไทยทั้งใน–นอกประเทศก้าวสู่มาตรฐานเดียวกัน
  • การตลาดสร้างสรรค์ ดึงเชฟรุ่นใหม่มีอิทธิพลบนโซเชียล อย่าง เชฟอิน กำลังอิน มาสร้างเมนูร่วมสมัยจากวัตถุดิบ GI ตัวอย่างเช่น เห่าดงไก่” จากพริกไทยตรัง, ของหวาน ทีรามิสุเมืองระนอง” ใช้กาแฟระนองและมะพร้าวน้ำหอมบ้านแพ้ว ตอกย้ำ “ไอเดีย = มูลค่าเพิ่ม” ให้กับวัตถุดิบไทย

เหนือสิ่งอื่นใด กระทรวงพาณิชย์ขับเคลื่อน 7 แนวทาง Quick Big Win ครอบคลุมตั้งแต่ความร่วมมือด้านภาษีกับสหรัฐฯ, การดูแลค้าชายแดน, การเร่งเจรจา FTA และเปิดตลาดใหม่, การลดค่าครองชีพประชาชน (เช่น มหกรรมลดราคาเทศกาลกินเจช่วยประหยัดกว่า 750 ล้านบาท), การดูแลเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร, การเสริมแกร่ง SMEs, และการปรับกฎ–ประยุกต์เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ  ทั้งหมดยิงตรงเป้าที่ “ผลลัพธ์เร็ว” แต่ไม่ฉาบฉวย เพราะถูกออกแบบให้ต่อยอดโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาวได้

จากครัวไทยสู่ครัวโลก เมื่อ “รสชาติ” ต้องจับมือ “ความปลอดภัย”

ซีนแรก แสงนีออนบนถนนเยาวราช สตรีทฟู้ดคึกคัก นักท่องเที่ยวต่อคิวก๋วยเตี๋ยวเรือ–ผัดไทย รอยยิ้ม แสงแฟลช และคำชมกระหึ่มโซเชียล
ซีนต่อมา ด่านแม่สาย เจ้าหน้าที่ตรวจอุณหภูมิ–สภาพบรรจุ–เอกสารรับรองรถขนส่งเลี้ยวเข้าสถานตรวจ เจ้าหน้าที่สุ่มตัวอย่าง ทดสอบ–บันทึกผล รถผ่านด่านในเวลาที่ควบคุม
ซีนสุดท้าย เวทีสร้างสรรค์เชฟหนุ่มหยิบพริกไทยตรัง GI ใส่ลงในหม้อ ไอน้ำยกตัวขึ้นพร้อมกลิ่นหอมฉุน เมนู “เห่าดงไก่” จานร่วมสมัยเกิดขึ้นต่อหน้าแขก–สื่อมวลชน บทสนทนาไม่ได้มีแค่ “อร่อย” แต่ต่อยอดไปถึง “พื้นที่–ผู้ผลิต–มาตรฐาน–การรับรอง–ราคายุติธรรม” นี่คือภาพที่ รสชาติ, ความปลอดภัย, และต้นทางที่เป็นธรรม มาบรรจบในจานเดียว

เหตุแห่งความยั่งยืนของ Soft Power ไม่ใช่การติดอันดับแล้วจบ แต่คือ การรักษาคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ, การคุ้มครองผู้บริโภค, และ การจ่ายผลตอบแทนที่เป็นธรรมให้กับต้นน้ำ เพื่อให้ “คำชม” ในวันนี้ แปรเป็น “รายได้หมุนเวียน” ที่ประชาชนสัมผัสได้

ตัวเลข–สถิติที่อ่านแล้วคิดต่อ

  • 98.33 คะแนน คือแต้มเฉลี่ยที่ไทยได้จากผู้อ่านทั่วโลกในหมวดประเทศที่มีอาหารดีที่สุดในโลก (2025)
  • ประเทศที่ตามมา—อิตาลี 96.92, ญี่ปุ่น 96.77, เวียดนาม 96.67, สเปน 95.91—สะท้อนการแข่งขันที่สูงมาก ไทยจึงต้องรักษามาตรฐานอย่างต่อเนื่อง
  • 7 ร้านอาหารในกรุงเทพฯ ติดทำเนียบท็อป 35 ของโลก ชี้ว่าระดับบนของอุตสาหกรรมอาหารไทยก้าวทันและก้าวข้ามเวทีโลกแล้ว
  • ฝั่ง นโยบายดูแลค่าครองชีพ ที่พ่วงมากับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเชิงอาหาร มหกรรมกินเจราคาประหยัด ช่วยลดค่าครองชีพรวม กว่า 750 ล้านบาท สะท้อนความพยายามบาลานซ์ “รายได้ผู้ประกอบการ–ภาระประชาชน”

10 อันดับประเทศที่มีอาหารที่ดีที่สุดในโลก

  •  อันดับ 1 ประเทศไทย  98.33 คะแนน
  •  อันดับ 2  อิตาลี 96.92 คะแนน
  • อันดับ 3  ญี่ปุ่น  96.77 คะแนน
  • อันดับ 4 เวียดนาม  96.67 คะแนน
  • อันดับ 5 สเปน 95.91 คะแนน
  • อันดับ 6 นิวซีแลนด์ 95.79 คะแนน
  • อันดับ 7 ศรีลังกา  95.56 คะแนน
  • อันดับ 8  กรีซ  95.42 คะแนน
  • อันดับ 9  แอฟริกาใต้  94.76 คะแนน
  • อันดับ 10  เปรู  94.55 คะแนน / มัลดีฟส์ 94.55 คะแนน

จากเชียงรายสู่เวทีโลก ทำไม “ชายแดน” จึงเป็นหัวใจของระบบอาหารปลอดภัย

“แม่สายโมเดล” สอนเราว่า ระบบอาหารปลอดภัย ไม่ใช่งานของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง หากแต่เป็น งานทีม ที่ต้องวางผังตั้งแต่ ต้นทาง–ด่านผ่าน–ตลาด–ผู้บริโภค การตรวจสอบแบบ สุ่มตัวอย่างสม่ำเสมอ, การให้ความรู้ภาคธุรกิจ, และ การปลูกวินัยตลาด คือสามฟันเฟืองที่ทำให้ระบบขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง

ยิ่งในช่วงที่ Soft Power ของอาหารไทย “ขึ้นหม้อ” การค้าข้ามแดนจะยิ่งคึกคัก ด่านชายแดนคือด่านหน้าความน่าเชื่อถือ หากล้มเพียงจุดเดียว ความไว้วางใจทั้งระบบสั่นสะเทือนทันที ตรงกันข้าม หากชายแดนเข้มแข็ง เชื่อมมือกับผู้ผลิต GI และร้านอาหารที่ได้ Thai SELECT เราจะได้ “โซ่อุปทานที่เล่าเรื่องความปลอดภัยได้” ซึ่งเป็น ข้อได้เปรียบเชิงแข่งขัน ที่ประเทศคู่แข่งเลียนแบบยาก

เชื่อม Soft Power ให้เป็น “Hard Currency” อย่างไรให้ยั่งยืน

  1. แผนจังหวัด–ชายแดน–ประเทศต้อง sync กัน
    เมืองชายแดนอย่างแม่สายต้องมีทรัพยากรตรวจ–อบรม–สื่อสารครบมือ เชื่อมกับนโยบาย GI และ Thai SELECT ของกระทรวงพาณิชย์/หน่วยงานท่องเที่ยว เพื่อให้ เรื่องเล่าความปลอดภัย เดินคู่กับ เรื่องเล่าความอร่อย อย่างไร้รอยต่อ
  2. ยกระดับ “ข้อมูลและการตรวจสอบได้” (Traceability)
    สำหรับวัตถุดิบ GI และผู้ประกอบการที่ต้องการออกสู่ตลาดโลก การมีระบบติดตามย้อนกลับ (จากแหล่งผลิต–จานอาหาร) จะทำให้ มูลค่า–ราคา–ความเชื่อมั่น สูงขึ้นและคงอยู่ได้ยาว
  3. ผลักดันเชฟ–ครีเอเตอร์–แพลตฟอร์มออนไลน์ ให้เป็นกระบอกเสียงของพื้นที่
    เมนูร่วมสมัยจากวัตถุดิบ GI ที่ “เล่าเรื่องบ้านเกิด” จะทำให้ผู้บริโภคเห็นคุณค่าเกินกว่ารสชาติ และ ยอมจ่ายเพื่อสนับสนุนพื้นที่ มากขึ้น
  4. ดูแลคนตัวเล็กในห่วงโซ่
    หากเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยรู้สึกว่า “ระบบนี้ทำให้ชีวิตดีขึ้นจริง” โครงสร้าง Soft Power จะยืนระยะ เพราะ แรงจูงใจ อยู่กับคนที่ถือ “ต้นทางของคุณภาพ”
  5. วัดผลให้ถูกจุด
    นอกจากยอดติดอันดับ/ยอดเช็กอิน ควรติดตาม รายได้เกษตรกร–SMEs, จำนวนผู้ประกอบการที่ได้มาตรฐานเพิ่ม, เหตุร้องเรียนอาหารไม่ปลอดภัยลดลง, และ การเข้าถึงอาหารปลอดภัยของประชาชน เพื่อเห็นภาพยั่งยืนจริง

ชัยชนะของรสชาติจะสมบูรณ์ เมื่อความปลอดภัยและความเป็นธรรมเดินมาด้วยกัน

การที่ไทยครองแชมป์ ประเทศที่มีอาหารดีที่สุดในโลก 2025 ด้วยคะแนน 98.33 ไม่ใช่เพียงเหรียญรางวัลให้ชาติ แต่คือ ภารกิจ ว่าต้องรักษามาตรฐานนี้ด้วย “ระบบ” ที่คุ้มครองผู้บริโภค–เกื้อกูลผู้ผลิต–เสริมพลังผู้ประกอบการ และเล่าความเป็นไทยออกไปอย่างสง่างาม

แม่สายโมเดล” แสดงให้เห็นว่า เมืองชายแดนไม่ใช่พื้นที่ชายขอบของนโยบาย หากคือ หัวใจของห่วงโซ่อาหารปลอดภัย และเป็น “ด่านหน้า” ที่ทำให้คำว่า ครัวไทยสู่ครัวโลก มีความหมายมากกว่าคำขวัญ มันคือ ระบบที่ทำงานทุกวัน เพื่อให้ทุกจานที่เสิร์ฟ อร่อย ปลอดภัย และยุติธรรม จริง ๆ

ในอีกฟากหนึ่ง นโยบาย “Quick Big Win” ของกระทรวงพาณิชย์กำลังแปลง Soft Power ให้เป็น Hard Currency ผ่านตรารับรอง–วัตถุดิบ–การตลาดสร้างสรรค์ และมาตรการดูแลค่าครองชีพ หากสองฟากนี้เดินไปพร้อมกัน ชัยชนะบนเวทีโลก จะกลายเป็น รายได้ที่ไหลถึงมือประชาชน และ ความภูมิใจที่ยืนยาว ของประเทศไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Condé Nast Traveler – Readers’ Choice Awards 2025
  • สำนักข่าว CNN (สรุปผล Readers’ Choice Awards 2025)
  • กระทรวงพาณิชย์ (Thailand Taste & Treasures / นโยบาย Quick Big Win)
  • ข้อมูล GI และมาตรฐาน Thai SELECT
  • เทศบาลตำบลแม่สาย / โครงการบูรณาการและขับเคลื่อนระบบอาหารเพื่อสุขภาวะตลอดห่วงโซ่ จ.เชียงราย
  • หน่วยงานสาธารณสุขท้องถิ่น จ.เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

นักท่องเที่ยวหาย! เจาะ 3 ตลาดโอกาสใหม่ ดันเชียงรายชิงส่วนแบ่งจากอัตราเข้าพักที่ยังว่าง

อัตราเข้าพัก 55.5%” กับโจทย์ใหญ่ของโรงแรมเชียงราย ทำอย่างไรให้รายได้อันดับ 2 ของภาคเหนือ แปลงร่างเป็น “กำไรยั่งยืน” ท่ามกลางอุปทานใหม่ที่ชะลอตัวและนักท่องเที่ยวจีนหายไป

เชียงราย, 19 ตุลาคม 2568 — ครึ่งทางของปีท่องเที่ยว 2568 ผ่านไปพร้อมตัวเลขที่ตีความได้สองหน้า ด้านหนึ่ง “เชียงราย” ยังรักษาตำแหน่งจังหวัดรายได้ท่องเที่ยวอันดับ 2 ของภาคเหนือด้วยยอดสะสม 35,926 ล้านบาท (ม.ค.–ก.ย. 2568) รองเพียงเชียงใหม่ สะท้อนศักยภาพของปลายทางเมืองรองที่กำลังเติบโต แต่อีกด้านหนึ่ง อัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมในภาคเหนือ (ซึ่งรวมจังหวัดเชียงราย) ในช่วง ครึ่งแรกของปี 2568 กลับอยู่เพียง 55.5% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั้งประเทศที่ 60.8% ตัวเลขชุดนี้เปิดภาพ “โอกาส–ช่องว่าง–และภารกิจ” พร้อมกันในคราวเดียว ตลาดยังไม่ตึงตัวเท่ากรุงเทพฯ การแข่งขันยังเปิดพื้นที่ให้ผู้เล่นใหม่ที่มีคุณภาพ แต่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับแผนรับมือกับ “ดีมานด์ที่เปลี่ยนทิศ” และ “ซัพพลายที่ชะลอเปิดใหม่” เพื่อเปลี่ยนโอกาสเชิงปริมาณให้กลายเป็นผลลัพธ์เชิงคุณภาพอย่างจริงจัง

บทความข่าวชิ้นนี้ชวนผู้อ่านถอดรหัสสถานการณ์โรงแรมเชียงราย–และภาคเหนือ—ด้วยวิธีการเล่าแบบ “ค่อย ๆ เปิดชั้นข้อมูล” ตั้งแต่ภาพมหภาคของประเทศ สู่บริบทภาคเหนือและพฤติกรรมตลาดเฉพาะพื้นที่ ก่อนปิดท้ายด้วย “รายการปฏิบัติการ” ที่ผู้ประกอบการทำได้ทันที พร้อมอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่ตรวจสอบได้จากหน่วยงานรัฐและสถาบันที่เชื่อถือได้

ตัวเลขที่ขัดแย้ง—อุปสงค์ชะลอ แต่อัตราเข้าพักประเทศดีขึ้น

รายงาน “สถานการณ์ธุรกิจโรงแรม ครึ่งแรกปี 2568” ของ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สรุปแรงกดดันด้านอุปสงค์ชัดเจน—นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง –4.7% YoY โดยเฉพาะตลาดจีนที่หดตัวถึง -34.1% และมาเลเซีย -5.6% ซึ่งเป็นสองสัญชาติหลักที่เคยพยุงยอดผู้มาเยือนในภาคเหนือและภาคอื่น ๆ ของไทยอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ดี ในระดับประเทศ อัตราการเข้าพักเฉลี่ย กลับ “ขยับขึ้น” เป็น 60.8% (จาก 59.1% เดิม) สะท้อนว่าแม้อุปสงค์รวมสะดุด แต่โรงแรมจำนวนมากยังคงสามารถรักษาอัตราการใช้ห้องพักได้ผ่านการบริหารราคาและช่องทางขายที่คล่องตัว ประกอบกับการท่องเที่ยวในประเทศที่ยังพยุงตลาดเอาไว้ได้พอสมควร

ทำไมภาพรวมประเทศดีขึ้น แต่ ภาคเหนือ (รวมเชียงราย) จึงเฉลี่ยเพียง 55.5%? คำตอบหนึ่งอยู่ที่ “การกระจุกตัวของการลงทุน” และ “โครงสร้างดีมานด์” ที่เปลี่ยนแปลง—ขณะที่กรุงเทพฯ–ปริมณฑลเดินหน้าโครงการใหม่ เพิ่ม stock อย่างหนัก ภาคเหนือกลับขยับช้ากว่า และต้องแบกรับ shock จากตลาดจีนที่ฟื้นตัวไม่เต็มที่

แว่นขยายซัพพลาย—เปิดใหม่ลดลง สะสมหดตัว แต่พื้นที่อนุญาตก่อสร้างโตแรงในศูนย์กลาง

REIC ฉายภาพ ซัพพลายโรงแรมทั่วประเทศ ในครึ่งแรกปี 2568 ว่า

  • โรงแรมขออนุญาตประกอบธุรกิจใหม่ ลดลงทั้ง “จำนวนแห่ง” -34.6% และ “จำนวนห้อง” -32.2% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน
  • จำนวนโรงแรมจดทะเบียนสะสม ลดลง -3.7% และ จำนวนห้องพักสะสม ลดลง -1.8% สะท้อนการ “คัดตัวเองออกจากตลาด” ของผู้เล่นบางกลุ่ม รวมถึงการปิดตัวชั่วคราวที่ยังไม่กลับมาเปิด
  • ตรงกันข้าม พื้นที่ที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างทั่วประเทศ กลับเพิ่มขึ้น 29.6% โดย กรุงเทพฯ–ปริมณฑล พุ่งสูงถึง +230.7% ชี้ว่าการลงทุนใหม่กำลังกระจุกตัวในเมืองหลักและศูนย์กลางขนส่ง/ธุรกิจ—แนวโน้มที่อาจดูดดีมานด์ high-yield ไปจากเมืองรองบางช่วงเวลา

สำหรับ ภาคเหนือ (ที่นับรวมเชียงราย) ผลรวมคือ “ยังมี room ให้โต”—เพราะการแข่งขันไม่รุนแรงเท่ากรุงเทพฯ แต่ก็หมายความว่า “ต้องลงมือจัดพอร์ตสินค้าและมาตรฐานบริการให้ตรงดีมานด์ใหม่” เพื่อเก็บเกี่ยว share ที่ยังเหลืออยู่

 ดีมานด์เปลี่ยนหน้า—จีนสะดุด แต่มี “สามตลาดโอกาส” แทรกขึ้นมา

ตัวเลขของ REIC ยังสะท้อน “การสับเปลี่ยนโครงนักท่องเที่ยว” อย่างชัดเจน—แม้จีนและมาเลเซียถอย แต่ยังมีสามกลุ่มที่ขยายตัวเกิน 10% ได้แก่

  • อินเดีย (+13.8%)
  • รัสเซีย (+12.4%)
  • สหราชอาณาจักร (+17.9%)

สำหรับ เชียงราย ซึ่งมีทั้งธรรมชาติ–ศิลปะ–วิถีชนเผ่า–ชายแดน–กาแฟ–ชา—ฐานทรัพยากรวัฒนธรรมเมืองรองเหล่านี้สอดรับกับพฤติกรรมนักเดินทาง “คุณภาพ” ที่นิยมสเตย์นานขึ้น เดินทางนอกฤดูกว่าภูเก็ต/เชียงใหม่ และมักจองกิจกรรมเฉพาะทาง (artisan/ชา–กาแฟ/เดินป่าเบา ๆ/ชุมชน). นี่คือ “ฐานใหม่” ที่ผู้ประกอบการโรงแรมควรแปลงเป็นแพคเกจและช่องทางขายอย่างจริงจัง

ภาพเฉพาะเชียงราย—รายได้อันดับ 2 ของภาคเหนือ แต่ occupancy ยัง “ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ”

ในเชิงรายได้ เชียงราย ทำได้โดดเด่น—รายได้ท่องเที่ยว 9 เดือน แรกแตะ 35,926 ล้านบาท เป็นรองเพียงเชียงใหม่ในภาคเหนือ แต่มิติ ประสิทธิภาพการใช้ห้อง (occupancy) ยังอยู่ในกรอบเฉลี่ยของภาคเหนือที่ 55.5% (H1/2568) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ 60.8% ความหมายเชิงปฏิบัติคือ “รายได้รวมสูง แต่การใช้ห้องยังไม่เต็มศักยภาพ”—ถ้าเพิ่มอัตราเข้าพักขึ้นได้ทีละ 3–5 จุดเปอร์เซ็นต์ โดยไม่กดราคาแรงจน RevPAR ตก ภาพกำไรของผู้ประกอบการจะต่างออกไปอย่างมีนัยสำคัญ

สิ่งที่กำลังฉุดตัวเลข

  1. ฤดูกาล/พีกชอร์ต (peak short) — เชียงรายยังขึ้นกับฤดูกาลหนาวและงานเทศกาลเป็นหลัก ช่วง non-peak จึงโล่งยาว
  2. โครงสร้างช่องทางขาย — โรงแรม/ที่พักจำนวนหนึ่งยังพึ่งพา OTA เป็นหลัก มี direct channel ไม่แข็งแรงพอ ทำให้ต้นทุนค่าคอมสูง และควบคุม yield/segment ยาก
  3. พอร์ตสินค้า — สัดส่วนที่พักระดับกลาง–บนที่มีจุดขาย “ประสบการณ์+ความยั่งยืน” ซึ่งนักเดินทางรุ่นใหม่ยอมจ่าย premium ยังไม่มากเท่าจังหวัดแม่เหล็กอื่น

จะ “ปิดช่องว่าง 55.5%” อย่างไรให้เห็นผลใน 2 ฤดูกาล

เพื่อไม่ให้ข้อเสนอเป็นแค่สูตรสำเร็จ เราผูก “การบ้าน 5 ข้อ” เข้ากับโครงสร้างดีมานด์–ซัพพลายและนโยบายภาครัฐที่เกิดขึ้นจริงในปี 2568

1) ปั้นไฮซีซันให้ “ยาวขึ้น” ด้วย Micro-Season และ Shoulder Events

  • สร้าง mini-festival/กิจกรรมเฉพาะทาง (กาแฟ–ชา–ดนตรีในสวน–คอมมูนิตี้รัน–ศิลปะร่วมสมัย) ในช่องว่างระหว่างเทศกาลหลัก เช่น หลังปีใหม่ถึงก่อนซากุระพญาเสือโคร่งบาน หรือปลายฝนก่อนลมหนาว เพื่อถ่างไหล่ไฮซีซัน
  • ทำ แพคเกจร่วม ระหว่างโรงแรม–ผู้จัดกิจกรรม–คาเฟ่–อาร์ตสเปซ เน้นระยะสั้น 2–3 คืน มุ่งกลุ่มกรุงเทพฯ/เชียงใหม่ที่ขับรถมาเองและตลาดลัดฟ้า CLMV

2) ใช้ “สามตลาดโอกาส” ให้คุ้ม อินเดีย–รัสเซีย–สหราชอาณาจักร

  • อินเดียชอบ leisure+family+ภาพถ่าย เพิ่ม service design สำหรับครอบครัว (connecting rooms, kids activity, อินเดียมังสวิรัติ) พร้อมแผนสื่อสารในภาษาอังกฤษที่เน้นภาพ “สวย ถ่ายรูปขึ้น”
  • รัสเซียต้องการธรรมชาติ–อากาศเย็น วางโปรยาว 5–7 คืน สำหรับ long-stay ใน low season ด้วยราคาเฉลี่ยต่อคืนที่จูงใจแต่คง margin ผ่านบริการเสริม (laundry/ซ่อมจักรยาน/คูปองร้านในเมือง)
  • สหราชอาณาจักรเน้นคุณค่าความยั่งยืนและวัฒนธรรม ใส่มาตรฐาน sustainable practice ที่ตรวจสอบได้ เช่น การลดพลาสติก, แหล่งซื้ออาหารท้องถิ่น, กิจกรรม community-based พร้อมหน้าเว็บแสดงนโยบาย ESG ชัดเจน

3) รีแพ็กเกจสินค้ากลุ่ม Bleisure และ Wellness-lite

เทรนด์ทำงานนอกสถานที่ยังไม่หาย—ออกแบบแพคเกจ “Work from Chiang Rai 5–7 คืน” รวม co-working day pass/นวดไทย/กิจกรรมเย็น, เน็ตแรงรับรอง, late check-out วันศุกร์ พร้อม “เงื่อนไขเลื่อนได้” เพื่อลดความเสี่ยงผู้จอง

4) Direct Booking-First ลดค่าคอมฯ OTA โดยไม่เสียยอด

  • ตั้ง “Best Value on Our Site” จริง—ไม่ใช่คำโฆษณา—ให้สิทธิพิเศษเฉพาะจองตรง เช่น early check-in (ถ้าห้องว่าง), welcome drink, เครดิตอาหาร 300 บาท/คืน
  • ลงทุน CRM + Email Automation เพื่อเรียกกลับลูกค้าเก่า ส่งข้อเสนอจับเวลา 72 ชั่วโมงหลังเช็กเอาต์ พร้อมดีลวันเกิด/ครบรอบ—ต้นทุนต่ำแต่ conversion สูง
  • วัดผลด้วย RevPAR/Net (หลังหักค่าคอม) ไม่ใช่แค่ ADR/Occ. เพื่อเห็นกำไรจริง

5) เตรียมตัวรับ Air Access และ “คานอำนาจราคา” ในไฮซีซัน

นโยบายเชิงรุกของรัฐในไตรมาสท้ายปี—ตั้งแต่การเจรจาเพิ่มเที่ยวบินระหว่างประเทศไปยังเมืองรอง ไปจนถึงมาตรการจูงใจสายการบิน—หากส่งผลถึงเชียงราย ผู้ประกอบการต้องพร้อมทั้ง Rate Strategy และ Allotment Management ไม่ขายห้องหมดเร็วเกินไปในราคาเปิด–แต่กัก allotment เพื่อจับดีมานด์ท้ายไฮซีซันที่ willingness-to-pay สูงกว่า

ด้านแรงงานและมาตรฐานบริการ คู่สมรสของ Occupancy

อัตราเข้าพักจะ “แปรเป็นกำไร” ก็ต่อเมื่อโรงแรมคุม ต้นทุนแรงงาน–พลังงาน–อาหาร ได้ในระดับคุณภาพบริการที่ไม่ตก—เรื่องนี้ยิ่งสำคัญในเชียงรายที่ตลาดแรงงานการบริการคุณภาพยังตึงมือเป็นระยะ ข้อเสนอทางปฏิบัติ ได้แก่

  • Upskill แบบ pinpoint เลือกทักษะที่สร้างความต่าง เช่น สื่อสารอังกฤษ/จีนขั้นพื้นฐานสำหรับพนักงานต้อนรับ–เบลล์บอย, เทคนิค upsell อาหารเช้า–สปา–เลทเช็กเอาต์ สำหรับ front-line
  • Energy Management ลงระบบควบคุมไฟ–แอร์โซนสาธารณะ, เปลี่ยนหลอด/เครื่องทำน้ำร้อนประสิทธิภาพสูง, ติดตาม kWh ต่อห้อง/คืน แบบรายสัปดาห์—ต้นทุนกิโลวัตต์ลดลง = margin เพิ่มขึ้นโดยไม่แตะราคา
  • มาตรฐานความสะอาด–ความปลอดภัย ให้ “เห็นและจับต้องได้” ป้ายเช็กชื่อแม่บ้าน/เวลาทำความสะอาด, มุมแสดงนโยบายอาหารปลอดภัย, อธิบายการใช้น้ำอย่างรับผิดชอบ—คือสัญญาณคุณภาพที่นักเดินทางยุคใหม่ให้คะแนน

สัญญาณเตือนและโอกาสระยะกลาง ซัพพลายใหม่กำลัง “เลือกเกิด” เมืองรองต้องชิงคุณภาพ

แม้จำนวนโรงแรมอนุญาตเปิดใหม่ทั่วประเทศลดลงแรง แต่ พื้นที่ก่อสร้างรวม กลับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกรุงเทพฯ–ปริมณฑล—แปลว่าเงินลงทุนกำลัง “เลือกเกิด” ในจุดที่คิดว่าหวังผลได้แน่ เมืองรองอย่างเชียงรายจึงควรเน้น “คุณภาพสินทรัพย์” ไม่ไล่ปริมาณ ตอบโจทย์กลุ่มพรีเมียม–ครอบครัว–นักเดินทางยาว เพื่อยืดระยะเวลาพักและดันค่าใช้จ่ายต่อทริป (Spend per Trip) มากกว่าการแข่งราคาเฉลี่ยต่อคืน

การที่ สินเชื่อคงค้างโรงแรม/รีสอร์ท ครึ่งแรกปี 2568 อยู่ที่ 418,557 ล้านบาท (ขยายตัวเล็กน้อย +0.2% YoY) บ่งชี้ว่าแบงก์ยัง “เปิดไฟเขียวแบบมีเงื่อนไข”—ทีมที่มีแผนธุรกิจชัด, Demand mapping ดี, โครงสร้างทุนเหมาะสม ยังเข้าถึงแหล่งเงินได้ เมืองรองจึงควรชูแผนเชื่อมชุมชน–สิ่งแวดล้อม–วัฒนธรรม เพื่อให้ดีลมี “เรื่องเล่าและผลกระทบเชิงบวก” มากกว่าตัวเลข occupancy เพียงอย่างเดียว

เชื่อมโยงกับโครงนโยบายท่องเที่ยว ทำงาน “ร่วมจังหวะรัฐ” ให้เป็น

ในระดับนโยบาย ภาครัฐผลักดัน Airline Focus เพิ่มเส้นทางบินสากลเข้าสู่ไทยและเมืองหลักหลายแห่ง รวมทั้งการรุกตลาดต่างชาติช่วงไฮซีซัน การส่งสัญญาณเช่นนี้สำคัญต่อเชียงรายใน 2 ประเด็น

  1. หากเที่ยวบินระหว่างประเทศ/เช่าเหมาลำเข้าถึงเมืองเหนือมากขึ้น เชียงรายต้องรีบจับมือผู้จัดทัวร์–ไกด์–ผู้ประกอบการกิจกรรม เพื่อทำ multi-night program ที่ดึงนักท่องเที่ยวไปไกลกว่า “แวะ 1 คืน”
  2. ควรใช้สถานะเมืองปลายทางปลอดภัย–เป็นมิตร–วัฒนธรรมเด่น มัดใจกลุ่มผู้หญิงเดินทางเดี่ยว/กลุ่มเล็ก/ดิจิทัลโนแมด ที่มีแนวโน้มพักยาวและใช้จ่ายเฉลี่ยสูง

จากตัวเลขสู่การบ้าน—ทำอย่างไรให้ “55.5%” ขยับใกล้ 60.8% และเกินกว่านั้น

ภารกิจเร่งด่วน 90–180 วัน สำหรับโรงแรมเชียงรายและภาคเหนือที่อยากเห็น occupancy ขยับขึ้นอย่างมีคุณภาพ โดยไม่บั่นทอนราคาเฉลี่ย มีได้อย่างน้อย 6 ข้อ

  1. สร้างแพคเกจ “อยู่ยาวขึ้น” (Stay Longer, Save Smarter) 4/6/8 คืน พร้อมสิทธิ late check-out + เครดิต F&B แทนการลดราคาโต้ง ๆ เพื่อรักษา ADR
  2. เน้นกลุ่มเดินทางต่างชาติที่เติบโต—อินเดีย/รัสเซีย/สหราชอาณาจักร—ทำคอนเทนต์ภาษาอังกฤษที่ตอบคำถาม “มาทำอะไรได้บ้างใน 72 ชั่วโมง” พร้อมจองกิจกรรมล่วงหน้าบนเว็บตรง
  3. ทำ Calendar Micro-Season ร่วมพันธมิตรท้องถิ่นเพื่อถ่างช่วงพีก และเลี่ยง “หลุมร้าง” ระหว่างเทศกาลโดยใช้กิจกรรมเฉพาะทาง
  4. จัดโครงสร้างราคาแบบ smart-fence member-only rates บนเว็บตรง, add-on ซื้อเพิ่ม (อาหารเช้า/รถรับ–ส่ง/กิจกรรม), กำหนด blackout period ให้ OTA ในวันดีมานด์สูง
  5. ยกระดับงานบริการเชิงประสบการณ์ (experience cues) ที่ต้นทุนต่ำแต่รับรู้คุณค่าสูง เช่น ชา–กาแฟสายพิเศษ local maker, มินิวอร์กช็อป 30 นาที, มุมงานคราฟต์เด็ก–ครอบครัว
  6. วัดผลด้วยตัวชี้วัด “กำไรจริง”—RevPAR/Net, GOPPAR—แทนการดัน occupancy อย่างเดียว เพื่อเลี่ยงกับดัก “ห้องเต็มแต่กำไรบาง”

หากทำได้ตามนี้ แม้ “จำนวนนักท่องเที่ยวรวม” ยังแกว่งตามเศรษฐกิจโลก ผู้ประกอบการเชียงรายก็ยังมีโอกาสดันอัตราเข้าพักให้ “ไล่ทันหรือแซงค่าเฉลี่ยประเทศ” พร้อมรักษาราคาเฉลี่ยต่อคืนให้เหมาะกับคุณภาพประสบการณ์—นั่นคือการเปลี่ยนรายได้จังหวัดที่อันดับ 2 ของภาคเหนือ ให้ “ไหลลงงบกำไรขาดทุน” อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • athitahotel
  • ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (MOTS)
  • ข้อมูลข่าวและสรุปนโยบายภาครัฐด้านการท่องเที่ยวปี 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News