Categories
SOCIETY & POLITICS

ทันตแพทย์ มฟล. บริการแบบครบวงจร สุขภาพช่องปากพระสงฆ์สามเณร

 

เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2566 ผศ.ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และ ผศ. (พิเศษ) ทพ.ไพศาล กังวลกิจ คณบดี สำนักวิชาทันตแพทยศาสตร์ พร้อมด้วยผู้บริหาร แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ จัดพิธีทำบุญสำนักวิชาทันตแพทย์ศาสตร์ และเปิดการดำเนินโครงการส่งเสริมและฟื้นฟูสุขภาพช่องปากพระสงฆ์ ที่ห้องประชุมวันชัย ศิริชนะ อาคารสำนักวิชาทันตแพทย์ศาสตร์ ชั้น 5 ภายในศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ตำบลท่าสุด อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โดยมี นายสมหวัง บุญระยอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พระพุทธิญาณมุนี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย และพระพุทธิวงศ์วิวัฒน์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย ตลอดจน พระเถระผู้ใหญ่ เจ้าคณะอำเภอ ร่วมพิธีในครั้งนี้ด้วย 
 
โดยจัดให้มีพิธีทางศาสนาพระสงฆ์ 9 รูป เจริญพระพุทธมนต์ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้บริหาร แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่หลังจากนั้น นายสมหวัง บุญระยอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ผศ.ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และ ผศ. (พิเศษ) ทพ.ไพศาล กังวลกิจ คณบดี สำนักวิชาทันตแพทยศาสตร์ พระพุทธิญาณมุนี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย และพระพุทธิวงศ์วิวัฒน์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย ได้ร่วมกันเปิดดำเนินโครงการส่งเสริมและฟื้นฟูสุขภาพช่องปากพระสงฆ์ ซึ่งเป็นการดำเนินโครงการของสำนักวิชาทันตแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ที่ได้เล็งเห็นความสำคัญเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากของพระสงฆ์ ให้มีความรู้ มีเจตคติและปฏิบัติตนอย่างถูกต้องในการดูแลสุขภาพช่องปาก ซึ่งจะนำไปสู่การมีสุขภาพช่องปากที่ดี
 
ผศ.(พิเศษ) ทันตแพทย์ ไพศาล กังวลจิต คณบดี สำนักวิชาทันตแพทยศาสตร์ม หาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าสุขภาพอนามัยที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญและจำเป็นของชีวิต ปัญหาสุขภาพช่องปากทั้งโลกฟันผุ โรคเหงือกอักเสบ รวมถึงโรคปริทันต์ และโรคติดเชื้อในช่องปาก เป็นโรคที่ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายโดยรวมและมีผลต่อการรักษาโรคร้ายแรงหลายโรค เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ซึ่งจากการสำรวจพบว่า พระสงฆ์และสามเณรจำนวนมากมีปัญหาสุขภาพในช่องปาก ทั้งโรคฟันผุ โรคปริทันต์ โรคติดเชื้อต่างๆ นอกจากทำให้เกิดความเจ็บปวดทรมานและนำไปสู่การสูญเสียฟันก่อให้เกิดปัญหาต่อการบดเคี้ยวอาหาร และส่งผลต่อสุขภาพ
 
นอกจากนี้ยังพบว่า กลุ่มพระสงฆ์เป็นกลุ่มที่เข้าถึงบริการรักษาทางทันตกรรมในอัตราที่ต่ำ ทำให้โรคในช่องปากไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่แรกเริ่ม จึงทำให้โรคลุกลามไปจนถึงขั้นติดเชื้อที่รุนแรง และสูญเสียฟัน ส่งผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพ เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติศาสนกิจ ดังนั้นเพื่อให้พระสงฆ์ได้มีความรู้และปฏิบัติตนอย่างถูกต้องในการดูแลสุขภาพช่องปากตนเอง และเพื่อให้พระสงฆ์ได้รับบริการทางทันตกรรมที่ถูกต้องเหมาะสมอย่างครบวงจร เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพระสงฆ์ควบคู่ไปกับกิจกรรมส่งเสริมทันตสุขภาพ โดยการออกหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่เพื่อให้บริการตรวจ วินิจฉัย การอุดรักษาฟัน การขุดหินปูน รักษาโรคเหงือกอักเสบ และโรคปริทันต์ รวมทั้งการถอนฟันที่วัด ให้ทันตสุขศึกษาควบคู่ไปกับการรักษาทางทันตกรรมเพื่อให้พระสงฆ์และสามเณรสามารถดูแลสุขภาพช่องปากตนเองได้อย่างเหมาะสมในกรณีที่เป็นโรคที่รุนแรง จำเป็นต้องได้รับการรักษาเป็นพิเศษ หรืออาศัยทันตแพทย์เฉพาะทาง เช่น การรักษาโรคปริทันต์อักเสบที่รุนแรง การรักษาคลองรากฟัน การรักษาโรคติดเชื้อ เนื้องอกต่างๆ ในช่องปากและกระดูกขากรรไกร รวมทั้งการใส่ฟันปลอมจะส่งตัวมารับการรักษาที่สำนักวิชาทันตแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ซึ่งโครงการนี้ได้ตั้งเป้าหมายให้บริการแก่พระสงฆ์และสามเณร ที่วัดต่างๆ ในจังหวัดเชียงราย จำนวน 300 รูป ระยะเวลาดำเนินการเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน ถึงเดือนตุลาคม 2566 ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากมูลนิธิ โสภณพาณิชย์ อีกด้วย
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงอุตสาหกรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
SOCIETY & POLITICS

ก.อุตฯ สั่ง 2.7 หมื่นโรงงาน เร่งรายงานข้อมูลกากอุตสาหกรรมภายใน 30 มิ.ย.นี้ ฝ่าฝืนปรับ 2 หมื่นบาท

 

นายวิษณุ ทับเที่ยง หัวหน้าผู้ตรวจกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่ากระทรวงอุตสาหกรรม มีแนวทางควบคุมผู้ก่อกำเนิดของเสียเป็นผลจากนโยบายของ ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ที่มอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมขับเคลื่อนงานภายใต้นโยบาย MIND ใช้หัวและใจ ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน มุ่งสู่ความสำเร็จใน 4 มิติ ได้แก่ ความสำเร็จทางธุรกิจ การดูแลสังคม การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม การกระจายรายได้ให้กับชุมชน
และให้ความสำคัญในการยกระดับทุกองค์ประกอบของภาคอุตสาหกรรม ควบคู่กับการสร้างความเข้มแข็งและ
กระจายรายได้สู่ชุมชน เพื่อนำไปสู่เป้าหมาย “อุตสาหกรรมดี อยู่คู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน” โดยเฉพาะประเด็น
การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมในมิติของการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม

 

นายวิษณุ กล่าวว่า เมื่อเร็วๆนี้ กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ปรับปรุงกฎหมายฉบับล่าสุด คือ “ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ. 2566” นำหลักการผู้ก่อมลพิษเป็น
ผู้จ่ายหรือเป็นผู้รับผิดชอบ (Polluter Pays Principle: PPP) มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ โดยกำหนดความรับผิดตั้งแต่
ต้นทางโรงงานผู้ก่อกำเนิด ไปจนกว่าสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วจะได้รับการจัดการจนแล้วเสร็จ ซึ่งจะมีผล
บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 เป็นต้นไป

 

ทั้งนี้ ได้กำหนดให้โรงงานผู้ก่อกำเนิดของเสียทุกโรงงานต้องรายงานข้อมูลผ่านระบบการรายงานข้อมูลกลางของกระทรวงอุตสาหกรรม หรือ iSingle Form (https://isingleform.go.th/home) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ของกระทรวงฯ ที่ใช้ในการกำหนดนโยบาย การกำกับดูแลการประกอบกิจการโรงงาน การป้องกันและปราบปรามการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนและสิ่งแวดล้อม โดยให้โรงงาน
ต้องรายงานภายในกรอบระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดคือ 30 มิถุนายน 2566 หากฝ่าฝืนไม่รายงานหรือรายงานล่าช้ามีโทษปรับสุงสุด 20,000 บาท

 

“การบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม จำเป็นต้องใช้กฎหมายในการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด และต้องมีการจัดการอย่างถูกต้องและเหมาะสมตามหลักวิทยาศาสตร์ เพื่อป้องกันไม่ให้ของเสียจากภาคอุตสาหกรรมหลุดออกจากระบบ อาจส่งผลกระทบกับชุมชนและสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง ดังนั้น จึงอยากแจ้งเตือนไปยังผู้ประกอบการที่ยังไม่ได้รายงานข้อมูลกากอุตสาหกรรม ให้เร่งดำเนินการภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยมีโรงงาน
ผู้ก่อกำเนิดของเสียจำนวน 60,638 โรงงานทั่วประเทศ โดยมีโรงงานที่ยังไม่ได้รายงานข้อมูลกว่า 27,000 แห่ง
จึงกำชับให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอุตสาหกรรมทั่วประเทศ เร่งประสาน ติดตาม และเน้นย้ำให้ผู้ประกอบกิจการโรงงานรายงานข้อมูลการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุไม่ใช้แล้วผ่านระบบข้อมูลกลางของกระทรวงอุตสาหกรรม หรือ iSingle Form (https://isingleform.go.th/home) ภายในกรอบระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนด คือไม่เกินวันที่คือ 30 มิถุนายน 2566 นี้ ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามมีโทษปรับสูงสุด 20,000 บาท” นายวิษณุ กล่าวทิ้งท้าย

 

ทั้งนี้ กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) จะจัดการอบรมให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงานโดยไม่มีค่าใช้จ่ายในหัวข้อ “ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ.2566” จำนวน 5 รอบ คือรอบที่ 1 วันที่ 19 มิถุนายน 2566 เวลา 09.00-12.00 น. รอบที่ 2 วันที่ 20 มิถุนายน 2566 เวลา 09.00-12.00 น. รอบที่ 3 วันที่ 21 มิถุนายน 2566 เวลา 13.00-16.00 น. รอบที่ 4 วันที่ 22 มิถุนายน 2566 เวลา 09.00-12.00 น. รอบที่ 5 วันที่ 23 มิถุนายน 2566 เวลา 13.00-16.00 น. โดยผู้สนใจสามารถเลือกเข้ารับการอบรมผ่านระบบออนไลน์ ได้ 2 ช่องทาง ระบบ ZOOM Meeting จำนวนรอบละ 500 ราย และทาง Live Facebook กรมโรงงานอุตสาหกรรม สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กกอ.กรอ.) โทร. 0 2430 6307 ต่อ 1609

 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงอุตสาหกรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

“สลากดิจิทัล” บนแอปฯ เป๋าตัง ครบ 1 ปี คนถูกไปแล้ว 17,000 ล้านบาท

 

สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และธนาคารกรุงไทย เผยความสำเร็จ 1 ปี  “สลากดิจิทัล” บนแอปฯ เป๋าตัง ช่วยให้คนไทยเข้าถึงสลากฯ ราคา 80 บาท มากกว่า 20 ล้านครั้งต่อเดือน เพิ่มช่องทางขายให้ผู้ค้ารายย่อยทั่วประเทศกว่า 38,000  ราย เผยมีผู้ถูกรางวัลแล้วกว่า 1 ล้านราย เป็นเงินรางวัลรวมกว่า 17,000 ล้านบาท

นายลวรณ แสงสนิท ประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้ร่วมกับธนาคารกรุงไทย พัฒนาช่องทางการซื้อ-ขาย “สลากดิจิทัล” ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” นับเป็นความสำเร็จในการนำเทคโนโลยีมาช่วยยกระดับบริการของหน่วยงานรัฐ เพื่อให้คนไทยเข้าถึงสลากฯ ราคา 80 บาท  โดยเปิดจำหน่ายสลากดิจิทัลผ่านแอปฯ เป๋าตัง ครั้งแรก เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2565 (สลากงวดวันที่ 16 มิถุนายน 2565) จำนวน 5 ล้านใบ ราคาใบละ 80 บาท เพื่อแก้ปัญหาการขายสลากเกินราคา และสามารถตรวจสอบอายุของผู้ซื้อ เพื่อป้องกันการขายสลากให้ผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี มีการยืนยันสิทธิความเป็นเจ้าของสลาก และมีบริการเลือกรับเงินรางวัลที่สะดวก ปลอดภัย โดยสามารถโอนเงินรางวัลภายใน 2 ชั่วโมงหลังประกาศผลรางวัล สามารถอำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าถึงบริการของหน่วยงานรัฐ สร้างความพึงพอใจและผลตอบรับที่ดีจากประชาชนผู้ซื้อสลากเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ ตั้งแต่งวดวันที่ 16 มิถุนายน  2565 จนถึงงวดวันที่ 16 มิถุนายน 2566 มีผู้ถูกรางวัลสลากดิจิทัลรวมทั้งสิ้น 1,135,099 ราย และมีสลากที่ถูกรางวัลแล้วรวม  5,045,409 ใบ คิดเป็นเงินรางวัลกว่า 17,000 ล้านบาท และมีผู้ถูกรางวัลที่ 1 รวมทั้งสิ้น 165 ราย โดยในงวดวันที่ 16 เมษายน  2566 มีผู้ซื้อสลากดิจิทัลผ่านแอปฯ เป๋าตัง ถูกรางวัลที่ 1 รายเดียวสูงสุดจำนวน 19 ใบ ได้รับเงินรางวัล 114,000,000 บาท

ตลอดระยะเวลา 1 ปีของการซื้อ-ขาย “สลากดิจิทัล” ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” มีผู้ซื้อสลากดิจิทัลรวมกว่า 5.8 ล้านราย  มีสลากดิจิทัลที่จำหน่ายไปแล้วรวมทั้งสิ้น 356 ล้านใบ คิดเป็นมูลค่ากว่า 28,000 ล้านบาท เป็นของผู้ค้าสลากรายย่อยจากทั่วประเทศกว่า 38,000 ราย ซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานแอปฯ เป๋าตัง ที่ปัจจุบันมีจำนวนกว่า 40 ล้านราย และจำหน่ายสลากหมดก่อนถึงวันออกรางวัลทุกงวด  คาดว่าปีนี้ จะมีสลากดิจิทัลจำหน่ายบนแอปฯ เป๋าตังไม่น้อยกว่า 25 ล้านใบต่องวด  จากปัจจุบัน 18.6  ล้านใบต่องวด โดยจะพิจารณาให้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของประชาชน

นอกจากนี้ในเดือน กรกฎาคม 2566 นี้จะมีการเปิดให้บริการฟีเจอร์ใหม่ “QR ขายสลากดิจิทัล” เพื่อเพิ่มช่องทางการซื้อ-ขายรูปแบบใหม่ให้แก่ผู้ซื้อและผู้ค้าสลากดิจิทัล ให้สามารถซื้อสลากดิจิทัลฯ ในรูปแบบ Face-to-Face ผ่านแอปฯ “ถุงเงิน” จากผู้ค้าสลากดิจิทัลโดยตรง โดยผู้ซื้อสามารถเลือกสลากฯ ที่ต้องการจากร้านค้า และสามารถใช้แอปฯ เป๋าตัง สแกนเพื่อซื้อสลากและชำระเงินได้ทันที

ประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวต่อไปอีกว่า การจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลขณะนี้ อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน แม้ว่าจะมีช่องทางสลากดิจิทัลที่ทำให้ประชาชนสามารถซื้อสลากในราคา 80 บาทได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีลูกค้าบางส่วนที่ต้องการสลากแบบใบอยู่ ทำให้การควบคุมราคายังเป็นไปได้ยาก ดังนั้นโครงการร้านค้าสลาก 80 ซึ่งดำเนินการมาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว  ก็จะเป็นตัวเชื่อมให้ผู้ที่ต้องการซื้อสลากแบบใบ สามารถซื้อสลากได้ในราคา 80 บาทได้ แต่เนื่องจากเป็นการซื้อสลากที่ใด้ใบสลากไปครอบครอง ทำให้เกิดการเปลี่ยนมือเพื่อขายต่อเกินราคาได้ จึงมีการควบคุมการจ่ายเงินซื้อสลากผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังเท่านั้น ปัจจุบันมีจุดจำหน่ายสลาก 80 กระจายอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ 1,236 จุด และจะขยายจำนวนจุดจำหน่ายเพิ่มขึ้นในอนาคต

สำหรับสลากกินแบ่งรัฐบาลแบบตัวเลข 6 หลัก (L6) และสลากกินแบ่งรัฐบาลแบบตัวเลข 3 หลัก (N3) นั้น ขณะนี้ อยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางการกำหนดประเภทและรูปแบบสลาก เพื่อนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบอีกครั้ง

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า  ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา “สลากดิจิทัล” บนแอปฯ เป๋าตัง ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความสำเร็จของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลและธนาคารกรุงไทย ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง และนำมาต่อยอดแก้ปัญหาของประเทศ ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงสลากฯ 80 บาทได้สะดวก ทั่วถึง และเท่าเทียม ด้วยจุดเด่นของแอปฯ “เป๋าตัง” ที่ได้รับการพัฒนาโดย Infinitas by Krungthai ให้เป็น Thailand Open Digital Platform เปิดกว้างให้ประชาชนทุกคนใช้งานได้ง่าย โดยไม่จำเป็นต้องมีบัญชีธนาคารกรุงไทย สอดคล้องกับวิถีชีวิตประจำวันในยุคดิจิทัล สะดวก รวดเร็ว และประชาชนคุ้นเคยเป็นอย่างดี จึงเป็นช่องทางการซื้อ-ขายสลากฯ ที่ตอบโจทย์ทั้งผู้ซื้อ และผู้จำหน่ายสลาก  

สำหรับประโยชน์ต่อผู้จำหน่ายสลากฯ คือ ลดค่าใช้จ่ายจากเดิมที่ขายบนแผง หรือเดินเร่ขาย เปลี่ยนมาขายบนแพลตฟอร์ม โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม แต่มีช่องทางและโอกาสในการขายเพิ่มขึ้น เพราะแอปฯ เป๋าตังเป็นศูนย์รวมผู้ซื้อจำนวนมาก จากผู้ใช้งานที่มีจำนวนรวมกว่า 40 ล้านราย ทำให้สลากฯ มีโอกาสถูกเลือกซื้อมากกว่าการวางขายตามปกติ นอกจากนี้ ยังมีเวลาขายมากขึ้น ตั้งแต่เวลา 06.00-23.00 น.  ส่วนประโยชน์ของผู้ซื้อสลากดิจิทัล  คือ ซื้อสลากฯ ได้ในราคา 80 บาท สามารถเลือกซื้อเลขสลากที่ต้องการได้สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องไปหาซื้อตามแผง กรณีถูกรางวัล ผู้ซื้อสลากฯ สามารถขึ้นเงินรางวัลได้ง่าย ด้วยการเลือกโอนเงินรางวัลเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทยได้  

จากความสำเร็จในครั้งนี้ เชื่อว่าจะนำไปสู่ความร่วมมือด้านอื่นๆ ต่อไป โดยธนาคารกรุงไทย จะเดินหน้าพัฒนาประสิทธิภาพของแอปฯ เป๋าตัง อย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของสำนักงานสลากฯ ทั้งในด้านศักยภาพการทำธุรกรรม พัฒนาระบบการขึ้นเงินรางวัลอัตโนมัติ เพิ่มความสะดวกให้ผู้ถูกรางวัล รวมถึงระบบการชำระเงินของผู้จำหน่ายสลาก ที่สามารถทำผ่านแอปฯ เป๋าตังได้ ช่วยลดปริมาณการทำรายการผ่านช่องทางสาขา หรือ ตู้ ATM นอกจากนี้ ยังร่วมกับสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย พัฒนาฟีเจอร์ “ตัวอ่านหน้าจอ” หรือ Voice Assistant ช่วยให้ผู้พิการทางสายตาเข้าถึงการซื้อ-ขายสลากดิจิทัล ผ่านแอปฯ เป๋าตังและถุงเงินได้สะดวก รวดเร็ว

“นวัตกรรมทางการเงินได้ถูกพัฒนามาเป็นลำดับ ตามบริบทของโลกที่เปลี่ยนไป เช่นกันกับธนาคารกรุงไทย  ที่ยังคงมุ่งมั่นขับเคลื่อนองค์กรด้วยนวัตกรรม และพัฒนาบริการทางการเงินเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนไทยทุกกลุ่มอย่างไม่หยุดยั้ง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ  ตอบโจทย์ การแก้ปัญหาและพัฒนาเศรษฐกิจประเทศอย่างยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ “กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน” 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และธนาคารกรุงไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ธ.ก.ส. เปิดแล้วสลากมั่งมีทวีโชค ฝาก 100 ลุ้นรางวัลใหญ่ 10 ล้านบาท

 

ธ.ก.ส. เปิดจอง “สลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดมั่งมีทวีโชค” วงเงินรวม 100,000 ล้านบาท หน่วยละ 100 บาท เมื่อฝากครบ 1 ปี ได้รับดอกเบี้ยทันที 0.25% พร้อมลุ้นรางวัลใหญ่ 10 ล้านบาท และรางวัลอื่น ๆ รวมมูลค่ากว่า 66 ล้านบาทต่อเดือน โดยเปิดรับฝากตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป ผ่านแอปพลิเคชัน A-Mobile Plus และเคาน์เตอร์ ธ.ก.ส. ทุกสาขา พิเศษ ! สำหรับลูกค้าเงินฝากออมทรัพย์ทวีโชคที่ใช้บริการแอปพลิเคชัน A-Mobile Plus สามารถใช้สิทธิ์จองสลากก่อนใครในวันที่ 19 – 28 มิถุนายนนี้

นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. เปิดรับฝาก “สลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดมั่งมีทวีโชค” จำนวน 1,000 ล้านหน่วย หน่วยละ 100 บาท วงเงินรวม 100,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนทางเลือกในการออมเงินที่ไม่เสียภาษี พร้อมลุ้นเงินรางวัล โดยแบ่งการเปิดรับฝากเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงที่ 1 สำหรับลูกค้าที่มีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ทวีโชคกับ ธ.ก.ส. เปิดรับฝากวันที่ 3 – 11 กรกฎาคม 2566 และช่วงที่ 2 สำหรับลูกค้าที่มีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ทวีโชคและบุคคลทั่วไป ในวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 เวลา 8.30 น. เป็นต้นไป โดยสามารถฝากผ่านแอปพลิเคชัน A-Mobile plus สูงสุดไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อครั้ง แต่ไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อวันต่อราย หรือฝากที่เคาน์เตอร์ ธ.ก.ส. ทุกสาขา สูงสุดไม่เกิน 400 ล้านบาทต่อวันต่อราย พิเศษ ! สำหรับลูกค้าเงินฝากออมทรัพย์ทวีโชคที่ใช้งานแอปพลิเคชัน A-Mobile Plus สามารถใช้สิทธิ์ผ่านระบบจองสลากบนแอปฯ ได้ก่อนใครในวันที่ 19 – 28 มิถุนายน 2566

สลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดมั่งมีทวีโชค มีอายุการรับฝาก 1 ปี เมื่อฝากครบกำหนด จะได้รับดอกเบี้ยหน่วยละ 0.25 บาท คิดเป็นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ต่อปี และมีสิทธิ์ลุ้นรางวัลรวม 12 ครั้ง ในทุกวันที่ 16 ของเดือน ยกเว้นเดือนมกราคม ออกรางวัลในวันที่ 17 มกราคมของทุกปี ประกอบด้วย รางวัลที่ 1 จำนวน 1 รางวัล รางวัลละ 10,000,000 บาท รางวัลที่ 1 ต่างหมวด จำนวน 99 รางวัล รางวัลละ 10,000 บาท รางวัลที่ 2 จำนวน 300 รางวัล รางวัลละ 5,000 บาท รางวัลที่ 3 จำนวน 1,000 รางวัล รางวัลละ 2,500 บาท รางวัลที่ 4 จำนวน 2,000 รางวัล รางวัลละ 1,000 บาท รางวัลที่ 5 จำนวน 10,000 รางวัล รางวัลละ 500 บาท รางวัลเลขท้าย 4 ตัว จำนวน 100,000 รางวัล รางวัลละ 50 บาท และรางวัล เลขท้าย 3 ตัว จำนวน 2,000,000 รางวัล รางวัลละ 20 บาท รวมรางวัลต่องวดสูงสุดทั้งสิ้น 2,113,400 รางวัล รวมเงินรางวัล 66,990,000 บาทต่อเดือน ออกรางวัลครั้งแรกวันที่ 16 กรกฎาคม 2566 สำหรับผู้ฝากสลากที่ฝากผ่านแอปพลิเคชัน A-Mobile Plus และประสงค์ออกบัตรสลากออมทรัพย์ ธนาคารจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการออกบัตรสลากฉบับละ 20 บาท และในกรณีถอนสลากคืนก่อนครบกำหนดจะไม่ได้รับดอกเบี้ย หรืกรณีฝากสลากไม่ครบ 3 เดือน ธ.ก.ส. จะคิดค่าธรรมเนียมการถอนจากมูลค่าสลาก 2 บาทต่อหน่วย โดยดอกเบี้ยและเงินรางวัลในการฝากสลากออมทรัพย์ได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับบุคคลธรรมดาและสามารถนำไปใช้เป็นหลักประกันเงินกู้ของ ธ.ก.ส. ได้อีกด้วย

ทั้งนี้ สามารถตรวจผลการออกรางวัลและรับชมการถ่ายทอดสดการออกสลากออมทรัพย์ได้ทางเว็บไซต์ www.baac.or.th Facebook Page “ธกส BAAC Thailand” Youtube Channel “BAAC Thailand” แอปพลิเคชัน A-Mobile Plus โดยท่านที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสลากออมทรัพย์ได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขา   ทั่วประเทศ หรือ Call Center 02 555 0555

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

กรมทางหลวง สรุปอุบัติเหตุลดลง 23% เดือนพฤษภาคม 66

 

กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม โดยสำนักอำนวยความปลอดภัย ได้สรุปรายงานข้อมูลอุบัติเหตุบนทางหลวงทั่วประเทศประจำเดือนพฤษภาคม 2566 จากการรายงานอุบัติเหตุทางระบบ HAIMS พบว่า อุบัติเหตุเกิดขึ้นบนทางหลวงในความรับผิดชอบของกรมทางหลวง จำนวน 1,197 ครั้ง ทำให้มีผู้เสียชีวิต 178 คน ได้รับบาดเจ็บทั้งสิ้น 1,019 คน จำนวนรถที่เกิดอุบัติเหตุ 1,829 คัน เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของกรมทางหลวงเสียหายประมาณ 12 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบสถิติอุบัติเหตุประจำเดือนพฤษภาคม 2565 จำนวนอุบัติเหตุลดลงจากปีที่ผ่านมา 23% 

 – ผู้เสียชีวิตลดลง 1% 

 – บาดเจ็บลดลง 7% 

 – จำนวนรถที่เกิดอุบัติเหตุลดลง 19% 

 

ซึ่งสาเหตุหลักการเกิดอุบัติเหตุมาจากผู้ขับขี่ขับรถด้วยความเร็วสูงกว่ากฎหมายกำหนด 68% (818 ครั้ง) รองลงมาได้แก่ หลับใน 8% (90 ครั้ง) และการตัดหน้าระยะกระชั้นชิด 7% (88 ครั้ง) สำหรับอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดบริเวณทางตรง 65% (775 ครั้ง) ทางโค้ง 11% (137 ครั้ง) และทางแยกระดับเดียวกัน 6% (75 ครั้ง) 

ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุส่วนใหญ่ ได้แก่ 

1.รถปิคอัพบรรทุก 4 ล้อ42% (759 คัน) 

2.รถยนต์นั่ง 25% (454 คัน) 

3.รถจักรยานยนต์ 10% (188 คัน) 

4.รถบรรทุกมากกว่า 10 ล้อ (รถพ่วง) 10% (177 คัน) 

 

ซึ่งหากจำแนกตามภาคของการเกิดอุบัติเหตุพบว่าเส้นทางในภาคเหนือเกิดอุบัติเหตุสูงสุด 20% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 16% และภาคตะวันออก 16% นอกจากนี้ ทางหลวงที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ ทางหลวงหมายเลข 7 แขวงคลองสองต้นนุ่น – พิมพา กรุงเทพมหานคร จำนวน 46 ครั้ง  

 

        ทั้งนี้ กรมทางหลวงได้มีมาตรการแก้ไขที่ได้ดำเนินการร่วมกับตำรวจทางหลวงในการบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการตรวจจับความเร็วยานพาหนะทุกประเภทที่วิ่งบนทางหลวงพร้อมทั้งให้แขวงทางหลวงดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัยถนน ซึ่งเป็นมาตรการที่สำคัญในการลดและป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้ง ขอความร่วมมือผู้ใช้ทางโปรดขับขี่ด้วยความระมัดระวัง พักผ่อนให้เพียงพอและตรวจเช็คสภาพรถก่อนการเดินทางทุกครั้ง  เพื่อความปลอดภัยของท่านและผู้ร่วมทางรวมถึงป้องกันและลดอุบัติเหตุให้ได้ประสิทธิผลอีกด้วย  


     หากประชาชนผู้ใช้ทางต้องการแจ้งอุบัติเหตุหรือสอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่สายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) สายด่วนมอเตอร์เวย์ 1586 กด 7 และตำรวจทางหลวง 1193 ตลอด 24 ชั่วโมง

 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมทางหลวง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

สธ. ห่วงไข้เลือดออกเพิ่มสูง เตือนเด็กและผู้ใหญ่ เป็นรีบไปพบแพทย์

 

 กระทรวงสาธารณสุข ห่วงสถานการณ์ไข้เลือดออกปีนี้พบผู้ป่วยสูงขึ้น เตือนประชาชนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ หากมีไข้ ไม่มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ น้ำมูก และตรวจ ATK ไม่พบเชื้อโควิด 19 ให้สงสัยว่าอาจจะเป็นโรคไข้เลือดออก และรีบไปพบแพทย์ตรวจวินิจฉัยแต่เนิ่น ๆ เพื่อป้องกันการเสียชีวิต โดยข้อมูลล่าสุด 1 มกราคม – 14 มิถุนายน 2566 พบผู้ป่วยไข้เลือดออกแล้ว 21,457 ราย สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 3.3 เท่า กลุ่มอายุ 5-14 ปี มีอัตราป่วยสูงถึงร้อยละ 96.63 และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 19 ราย


          นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า กรมควบคุมโรครายงานสถานการณ์โรคไข้เลือดออกในปีนี้มีแนวโน้มพบผู้ป่วยสูงขึ้น ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 14 มิถุนายน 2566 พบผู้ป่วยแล้ว 21,457 ราย เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2565 ที่มีผู้ป่วย 6,488 ราย พบว่ามากกว่าถึง 3.3 เท่า และมีผู้เสียชีวิต 19 ราย ผู้ป่วยอยู่ในกลุ่มอายุ 5-14 ปี มากสุด จำนวน 7,331 ราย และเป็นกลุ่มที่มีอัตราป่วยสูงถึงร้อยละ 96.63 ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในวัยเรียน จึงต้องช่วยกันดูแลสภาพแวดล้อมทั้งที่บ้านและโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้มีเศษขยะ เช่น กล่องโฟม พลาสติกเหลือใช้ ที่จะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เพื่อป้องกันอันตรายจากโรคไข้เลือดออก


          นายแพทย์โอภาส กล่าวต่อว่า โรคไข้เลือดออก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ร่วมกับอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก ปวดกระบอกตา บางรายอาจมีปวดท้อง อาเจียน มีจุดแดงเล็กๆ ตามแขน ขา ลําตัว มีเลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดออกตามไรฟัน หรือประจำเดือนมากผิดปกติ ดังนั้นในช่วงนี้ หากป่วยมีไข้สูง แต่ไม่มีอาการระบบทางเดินหายใจอื่นๆ เช่น ไอ หรือน้ำมูก และตรวจ ATK ไม่พบเชื้อโควิด 19 โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว มีภาวะอ้วน และผู้สูงอายุ ให้สงสัยว่าอาจจะเป็นโรคไข้เลือดออก ห้ามรับประทานยาลดไข้กลุ่มเอ็นเสด เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน และรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโรคให้ชัดเจน ช่วยลดความเสี่ยงการเสียชีวิต ส่วนเด็กๆ ที่ยังไม่สามารถบอกอาการของตนเองได้ ผู้ปกครองต้องสังเกตอาการใกล้ชิด หากรับประทานยาลดไข้ 2 วันแล้วไม่ดีขึ้น ให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจเป็นโรคไข้เลือดออก และให้รีบไปพบแพทย์ ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก สามารถโทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค  1422

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

‘พรรคก้าวไกล’ โพสต์แสดงจุดยืน เด็กทุกคนต้องได้รับการศึกษา

 

เฟซบุ๊ค ‘พรรคก้าวไกล’ โพสต์แสดงจุดยืน “การเดินหน้าสู่ทางออก เพื่อให้เยาวชนทุกคนได้เข้ารับการศึกษา

ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์กรณีของหยก ทางบุคลากรของพรรคนำโดย วิโรจน์ ลักขณาอดิศร, ณัฐวุฒิ บัวประทุม, ปารมี ไวจงเจริญ ว่าที่ ส.ส. บัญชีรายชื่อ ได้พยายามพูดคุย และประสานกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่เพื่อทำความเข้าใจข้อเท็จจริง และหาทางออก

ทางพรรคก้าวไกลมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่เพียงเป็นแค่เรื่องของหยกหรือใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของ “หลักการ” ที่เราต้องกำหนดร่วมกันสำหรับเยาวชนทุกคนในทุกสถานการณ์ในอนาคต

พรรคก้าวไกลต้องการหาทางออกโดยยึด 2 เป้าหมาย

เป้าหมายที่ 1 คือ เด็กและเยาวชนทุกคนได้เข้ารับการศึกษา ไม่ว่าสถานะของผู้ปกครองเป็นอย่างไร

หนึ่งใน ‘ภารกิจหลัก’ ของระบบการศึกษา คือการตรึงไม่ให้เด็กหรือเยาวชนหลุดออกจากระบบการศึกษา ไม่ว่าจากปัญหาความไม่พร้อมทางด้านสัญชาติ ฐานะทางบ้าน ความพร้อมของครอบครัว ฯลฯ หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องและโรงเรียนควรเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการแก้ไขปัญหา ขจัดอุปสรรคที่เกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด หรือหากแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้ อย่างน้อย ก็ควรผ่อนปรนแนวทางปฏิบัติบางประการที่เสี่ยงจะทำให้นักเรียนหลุดจากระบบการศึกษาโดยไม่จำเป็น และยิ่งหากเจ้าตัวมีความประสงค์ที่อยากเรียน ก็ไม่ควรมีเหตุผลใดๆ มาจำกัดสิทธิขั้นพื้นฐานดังกล่าว ซึ่งคือหลักการทั่วไปที่ควรจะเป็น

สำหรับกรณีของหยก ที่ผ่านมา เหตุผลหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาทำให้หยกไม่ได้รับการับรองเป็นนักเรียน คือข้อกังวลเรื่องกระบวนการมอบตัวที่ไม่สมบูรณ์ เนื่องจากไม่มีผู้ปกครอง (มารดา) หรือบุคคลที่ผู้ปกครองมอบหมายอย่างเป็นทางการ มามอบตัวนักเรียนโดยตรงที่โรงเรียน ซึ่งถือเป็นข้อจำกัดหรืออุปสรรคที่เล็กน้อยเมื่อเทียบกับหลักการเรื่องสิทธิในการศึกษาที่ยึดถือเป็นหลักใหญ่

แม้ในเชิงกฎหมาย นิยามของ “ผู้ปกครอง” ใน พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 อาจถูกตีความได้กว้างกว่าที่เป็นที่เข้าใจของโรงเรียนหรือสังคม ณ ปัจจุบัน เนื่องจากมาตรา 3 เขียนนิยาม “ผู้ปกครอง” ที่รวมถึง “บุคคลอื่นซึ่งรับเด็กไว้ในความอุปการะเลี้ยงดูหรือซึ่งเด็กอาศัยอยู่ด้วย

แต่ในความเป็นจริง เป็นที่ทราบว่ามีเด็กและเยาวชนจำนวนมากที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกปล่อยปละละเลยโดยผู้ปกครอง และไม่สามารถติดต่อได้ บางกรณีพบว่าผู้ปกครองไม่มีความพร้อมที่จะสามารถทำหน้าที่ผู้ปกครองได้อย่างเต็มที่ตามที่โรงเรียนต้องการ (เช่น การจ่ายค่าเล่าเรียน ค่าบำรุงการศึกษา พานักเรียนเข้ามอบตัว การร่วมทำการบ้าน การร่วมกิจกรรมโรงเรียน การร่วมเข้ารับฟังปฐมนิเทศน์) ดังนั้นโดยหลักการ การติดต่อผู้ปกครองไม่ได้ ไม่ควรเป็นเหตุในการปิดกั้นให้เด็กและเยาวชนกลุ่มนี้เข้าถึงการศึกษา ไม่ว่าจะด้วยสถานการณ์ใดๆ ก็ตาม โดยปัจจุบันมีหลายโรงเรียนที่พยายามวางแนวทางในการรับเด็กและเยาวชนให้เข้าศึกษา แม้อาจไม่มีผู้ปกครองที่สะดวกมามอบตัวด้วยตนเอง

ดังนั้น เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าวสำหรับเด็กและเยาวชนทุกคน เราควรทำความเข้าใจเพื่อคลายข้อกังวลของทุกโรงเรียน รวมถึงแก้ไขกฎระเบียบที่ขัดกับหลักการนี้ (หากยังมีอยู่) เพื่อคุ้มครองสิทธิของนักเรียนทุกคนในการเข้าถึงการศึกษา ไม่ว่าสถานะของผู้ปกครองจะเป็นเช่นใด ซึ่งจะทำให้ในกรณีของหยก สถานภาพการเป็นนักเรียนของหยก ไม่ถูกปฏิเสธเพียงเพราะการขาดผู้ปกครองโดยตรง (เช่น มารดา) มารายงานตัว

เป้าหมายที่ 2 คือ เด็กและเยาวชนทุกคนปฏิบัติตามกติกาโรงเรียนที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมพูดคุยและออกแบบร่วมกัน โดยกระทรวงศึกษาธิการจะรับบทบาทเชิงรุกในการดูแลว่ากฎระเบียบเหล่านั้นต้องไม่ขัดหลักสิทธิมนุษยชน

แม้เราเชื่อว่าสังคมมีความเห็นตรงกันว่าไม่ควรมีกฎระเบียบไหนที่ขัดหลักสิทธิมนุษยชน แต่สังคมปัจจุบันยังมีความเห็นที่แตกต่างต่อกฎระเบียบปัจจุบันที่เป็นอยู่ (เช่น ทรงผม ชุดนักเรียน) – คนที่ไม่มองว่ากฎระเบียบเหล่านี้เป็นปัญหาหรือขัดหลักสิทธิมนุษยชนจึงคาดหวังให้นักเรียนทุกคนปฏิบัติตามกฎระเบียบ ในขณะที่คนอีกจำนวนหนึ่งตั้งคำถาม (ด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน) ถึงความเหมาะสมของการมีอยู่ของกฎระเบียบดังกล่าวที่ถูกมองว่าขัดหลักสิทธินักเรียนและสิทธิมนุษยชน

ดังนั้น เพื่อทำให้การทำตามกฎระเบียบและการคุ้มครองสิทธินักเรียนไม่ขัดแย้งกัน ทางกระทรวงศึกษาธิการควรเร่งเปิดบทสนทนากับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อออกข้อกำหนดว่ามีกฎระเบียบด้านไหนบ้างที่ขัดกับหลักสิทธินักเรียนและสิทธิมนุษยชน

กฎระเบียบใดๆ ก็ตามที่มีความเห็นร่วมกันว่าขัดหลักสิทธิมนุษยชน กระทรวงต้องออกข้อกำหนดที่ชัดเจนเพื่อห้ามไม่ให้มีกฎระเบียบดังกล่าวในโรงเรียนใดก็ตาม โดยไม่ปล่อยให้เกิดการถกเถียงระหว่างนักเรียนกับโรงเรียนกันเองเพียงลำพัง

ในขณะที่กฎระเบียบอื่นๆ ก็ควรถูกออกแบบโดยโรงเรียนผ่านกระบวนการที่เปิดให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม เพื่อได้ข้อสรุปที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย พร้อมการดำเนินการทางวินัยสำหรับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎที่เหมาะสม ได้สัดส่วน ไม่ขัดหลักสิทธิมนุษยชนเอง (เช่น การลงโทษต่อร่างกาย การทุบตี การสั่งยืนกลางแดด) และทั้งหมดนี้ ต้องอยู่บนพื้นฐานของการทำให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน

ไม่ว่าแต่ละฝ่ายจะมีความเห็นต่อจุดยืนและการกระทำของบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างไร การร่วมกันแสวงหาทางออกเพื่อเดินหน้าไปสู่ 2 เป้าหมายนี้ ไม่เพียงแต่จะเป็นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในกรณีของหยกโดยคำนึงถึงสิทธิอันชอบธรรมของทุกฝ่าย แต่จะยังเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่สำคัญสำหรับการรับประกันสิทธิในการเข้าถึงระบบการศึกษาที่มีคุณภาพในอนาคต

เป้าหมายสูงสุดของเรา คือการไม่ทำให้ใครหลุดออกจากระบบการศึกษา และให้โรงเรียนต้องเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยและโอบรับทุกคน”

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : พรรคก้าวไกล

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ปลัดมหาดไทยนำคณะทำกิจกรรม World Soil Day 2022

 

เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2566 เวลา 08:00 น. นายบุญธรรม ทองพิจิตร นายอำเภอเมืองเชียงราย พร้อมด้วย ปลัดอำเภอ ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้างในสังกัดที่ทำการปกครองอำเภอเมืองเชียงราย ร่วมมอบนโยบายสำคัญของกระทรวงมหาดไทยในการขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs)และกิจกรรมปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติฯ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี ที่วัดพุทธอุทยานดอนอินทรีย์ ในพื้นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าดอยอินทรีย์ หมู่ที่ 3 ต.ดอยฮาง อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานประกอบพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่พระเศียร “พระพุทธบารมีรักษาป่า รักษาธรรม รักษาชีวิตสัตว์” ตามโครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี “ป่านี้มีผลผู้คนรักกัน” เขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง (SEDZ) ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ แก้ปัญหาหมอกควันไฟป่าที่เหตุแห่งปัญหา ส่งเสริมให้ทุก ๆ ภาคส่วนมีส่วนร่วมด้วยช่วยกันด้วยความ “สามัคคีเป็นพลังค้ำจุนแผ่นดินไทย” ในโครงการ “บวร” จังหวัดเชียงราย
 
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองเนื่องในการจัดงานวันดินโลก ปี 2565 (World Soil Day 2022) โดยได้รับเมตตาจาก พระครูขันติพลาธร รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เจ้าอาวาสวัดฝั่งหมิ่น พระครูสิริธรรมนิวิฐ เจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงราย เจ้าอาวาสวัดศรีบุญเรือง พระอาจารย์วิบูลย์ ธมฺมเตโช เจ้าอาวาสวัดพุทธอุทยานดอยอินทรีย์ พระวีระยุทธ์ อภิวีโร วัดพระบรมธาตุดอยผาส้ม และคณะสงฆ์ ร่วมอนุโมทนา โดยมี นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น รองศาสตราจารย์วรวรรณ โรจนไพบูลย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเชฐ โสวิทยสกุล นายประสพโชค อยู่สำราญ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายจิรชัย มูลทองโร่ย สมาชิกวุฒิสภา นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ นายวราดิศร อ่อนนุช นางภัทราวดี สุทธิธนกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ 18 อำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคีเครือข่าย ร่วมในพิธี
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

ห้างฯต้องรับผิด! หากรถหายแล้ว มีภาพถ่ายรถที่เห็นป้ายทะเบียน

 

เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา ทางเพจมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค โพสต์บทความที่น่าสนใจอย่างรถหายในห้าง !! #ใครต้องรับผิด !!
 
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7471/2556 “ ห้างต้องรับผิด”
คำพิพากษาศาลฎีกา 10570/2557 “ ห้างไม่ต้องรับผิด”
คำพิพากษาศาลฏีกาที่ 743 /2561 ล่าสุด “ ห้างต้องรับผิด”
 
 
ลูกค้าจอดรถในห้าง ฯ แต่กลับหายจ้อยโดยไม่รู้สาเหตุ เจ้าของสถานที่ต้องรับผิดชอบ ! หรือไม่ ? มาดูคำตอบที่สิ้นสุดในชั้นศาลฏีกาเข้าไป SHOPPING เพลินเลย ออกมาลานจอด อ้าว ! รถหาย ก็ตอนขับเข้ามายังอยู่ที่ชั้นนี้ ใครเคยมีประสบการณ์แบบนี้ ไม่ต้องตกใจโวยวาย ในฐานะผู้บริโภคและเป็นผู้ใช้บริการ ต้องหาหลักฐานด่วนๆ นั่นคือ “ใบเสร็จ “ ซื้อสินค้า เพื่อยืนยันการมาใช้บริการ จากนั้น เอาใบเสร็จ นี่แหละไปแจ้งความกับตำรวจ ถ่ายสำเนาให้ไปนะ ส่วนตัวจริงเก็บเอาไว้ทีนี้ละ เป็นขั้นตอนสำคัญ การเจรจากับห้างฯ ที่รถของเราหายไปถ้าห้างฯ ไม่ยอมชดใช้ค่าเสียหาย จะได้ใช้ใบเสร็จกับภาพถ่ายรถในโทรศัพท์มือถือเป็นพยานหลักฐานในการฟ้องร้องในชั้นศาล
 
 
แต่…. เดี๋ยวก่อน ! การที่ผู้เสียหายจะชนะคดี ก็ต่อเมื่อมีหลักฐานอีกอย่างที่ชัดเจน นั่นคือ ภาพถ่ายรถที่เห็นป้ายทะเบียน รวมถึง สภาพสถานที่จอด อยู่ชั้นไหน ล็อกช่องจอดหมายเลข หรือ อักษรอะไร ซึ่งผู้ที่ชนะคดีรายนี้ รอบคอบอย่างมาก เพราะถ่ายรูปเก็บไว้ตั้งแต่ตอนเข้ามาจอดรถในห้างฯ เมื่อสู้คดีสิ้นสุดในชั้นศาลจึงได้รับการชดใช้ โดยมี คำพิพากษา ศาลฎีกา ที่ 7471/2556 เผยแพร่ เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2557
 
 
“จำเลยเป็นห้างสรรพสินค้าขายปลีกและขายส่งสินค้าอุปโภคและบริโภค ย่อมต้องให้ความสำคัญด้านบริการต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการเกี่ยวกับสถานที่จอดรถซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของลูกค้าที่จะเข้าไปซื้อสินค้าหรือใช้บริการอื่น ๆ หรือไม่ แม้ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 8 (9), 34 บัญญัติให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของอาคารต้องจัดให้มีพื้นที่จอดรถเพื่ออำนวยความสะดวกแก่การจราจร แต่จำเลยยังต้องคำนึงและมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของลูกค้าทั้งในชีวิตและทรัพย์สิน มิใช่ปล่อยให้ลูกค้าระมัดระวังหรือเสี่ยงภัยเอาเอง การที่จำเลยเคยจัดให้มีการแจกบัตรสำหรับรถของลูกค้าที่เข้ามาในห้างซึ่งเป็นวิธีการที่ค่อนข้างรัดกุม เพราะหากไม่มีบัตรผ่าน กรณีจะนำรถยนต์ออกไปจะต้องถูกตรวจสอบโดยพนักงานของจำเลย แต่ขณะเกิดเหตุกลับยกเลิกวิธีการดังกล่าวเสียโดยใช้กล้องวงจรปิดแทน เป็นเหตุให้คนร้ายสามารถเข้าออกลานจอดรถห้างฯ ของจำเลยและโจรกรรมรถได้โดยง่ายยิ่งขึ้น แม้จำเลยจะปิดประกาศว่าจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญหายหรือเสียหายใด ๆ รวมทั้งการที่ลูกค้าก็ทราบถึงการยกเลิกการแจกบัตรจอดรถ แต่ยังนำรถเข้ามาจอดก็ตาม ก็เป็นเรื่องข้อกำหนดของจำเลยแต่ฝ่ายเดียวไม่มีผลเป็นการยกเว้นความรับผิดในการทำละเมิดของจำเลย”
 
 
หลังจาก ศาลฎีกา มีคำพิพากษาให้ ห้างฯ ต้องรับผิดในกรณีที่รถลูกค้าสูญหาย นับตั้งแต่นั้น เป็นต้นมา ห้างฯ ก็ได้มีวิวัฒนาการเพื่อที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบ ! แต่ ศาลฏีกา ก็มีคำพิพากษา ไปตามวิวัฒนาการ เพื่อปกป้องผู้บริโภค มาดูตัวอย่าง จาก 3 กรณี
 
1)กรณี ห้างฯ มอบบัตรผ่าน เข้า-ออก หรือ บัตรจอดรถให้ลูกค้า **ศาลฎีกา มีคำวินิจฉัยว่า “กรณีนี้เข้าลักษณะการฝากทรัพย์ เมื่อปล่อยให้รถหายก็เป็นการผิดสัญญาฝากทรัพย์ และเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะผิดฐานละเมิดในการงดเว้นหน้าที่ ที่ห้างฯจะต้องดูแลรถให้ดี
 
2) พอศาลมีคำพิพากษาไปแบบนั้น ห้างฯก็เขียนว่า”ท่านที่เอารถมาจอด ถือว่าห้างอำนวยความสะดวกให้ ไม่ถือเป็นการรับฝากรถ “ ปิดประกาศทางเข้า-ออกของห้าง ซึ่งคดีนี้ศาลฎีกามีคำวินิจฉัยว่า แม้จะมีข้อตกลงหรือประกาศว่าจะไม่รับผิดชอบอย่างใดๆ ถือว่าเป็นประกาศฝ่ายเดียวลูกค้าที่เอารถมาจอดไม่ได้ตกลงด้วยไม่มีผลบังคับ ห้างต้องรับผิด
3)ต่อมาห้างก็มีวิวัฒนาการต่อไปคือ ยกเลิก รปภ.ไม่มอบบัตรเข้าออก แต่ใช้วิธีติดตั้งกล้องแทนแล้วก็ปิดประกาศเหมือนเดิมว่าจะไม่รับผิดใดๆ จากเหตุนี้ ศาลฎีกามีคำวินิจฉัยว่าแม้จะไม่มีการออกบัตรประหนึ่งว่าเป็นสัญญาฝากทรัพย์ แต่การที่ห้างจัดให้มีสถานที่จอดรถเป็นการอำนวยความสะดวกและเพื่อประโยชน์ของห้างโดยแท้ เมื่อรถหายห้างก็ต้องรับผิดอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกกรณีที่ห้างจะต้องรับผิดอยู่ตลอด เช่น กรณีนี้ มีคำพิพากษาศาลฎีกา 10570/2557 “ ห้างไม่ต้องรับผิด” เพราะอะไร ? มาดูจากเหตุกัน
 
 
เจ้าของรถไปซื้อของที่ห้างใกล้บ้านและได้รับอนุญาตให้เข้าจอดรถในพื้นที่ของห้าง แต่ต้องหาที่จอดเอง ต้องดูแลทรัพย์สินเอง เหมือนกับจอดในห้างทั่ว ๆ ไปแหละ ทั้งนี้ ห้างก็ไม่มีบริการเก็บค่าบริการรับฝากรถ ดังนั้นห้างจึงไม่ใช่ผู้รับฝากรถ
 
 
เมื่อเจ้าของรถทำธุระเสร็จ ออกมาจากห้างปรากฎว่ารถหาย เจ้าของรถ ก็ฟ้องศาล เรียกร้องให้ห้างรับผิดชอบ
คดีนี้ได้ความว่า รปภ. ไม่ได้ประมาทปราศจากความระมัดระวัง ปล่อยให้คนร้ายลักรถของผู้เป็นเจ้าของ ดังนั้น การที่รถหายจึงไม่ใช่ผลจากการกระทำโดยตรงจากการะทำของ รปภ. และห้าง ไม่ต้องรับผิดชอบ
 
 
โดยคำพิพากษา ระบุว่า ห้างสรรพสินค้าไม่มีภาระหน้าที่และความรับผิดชอบยิ่งไปกว่าการดำเนินการตามปกติทางธุรกิจการค้า ผู้ที่นำรถเข้าไปจอด จึงยังมีหน้าที่ต้องดูแลความปลอดภัยรถและทรัพย์สินที่อยู่ภายในรถของตนเอง
ทั้งนี้ จำเลย ( ห้างสรรพสินค้า ) ไม่ได้เรียกเก็บค่าบริการในการนำรถเข้าจอด ดังนั้น ความครอบครองในรถยังคงอยู่กับเจ้าของรถหรือผู้ที่นำรถเข้ามาจอด จำเลย จึงไม่ใช่ผู้รับฝากรถและไม่ได้รับประโยชน์ อันเนื่องจากการที่มีผู้นำรถเข้าไปจอดในห้างสรรพสินค้าที่เกิดเหตุ เพียงแต่ได้รับประโยชน์จากผลกำไรที่ได้จากการจำหน่ายสินค้าและการบริการซึ่งเป็นปกติทางการค้าเท่านั้น ส่วนพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยร่วม ไม่ได้กระทำประมาทปราศจากความระมัดระวังปล่อยให้คนร้ายลักรถคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ออกไปโดยไม่ตรวจสอบบัตรอนุญาตจอดรถให้ถูกต้อง และจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่ได้ระมัดระวังดูแลรักษาความปลอดภัยสำหรับรถที่มีผู้นำมาจอดในห้างสรรพสินค้าของจำเลยตามสมควรแล้ว การที่รถสูญหายมิใช่เป็นผลโดยตรงจากการกระทำหรือละเว้นกระทำของจำเลยและจำเลยร่วม ดังนั้นจำเลยและจำเลยร่วม จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง จึงพิพากษายกฟ้อง (อ้างอิงฎีกาที่ 10570/2557)
ฎีกาใหม่ล่าสุด 743/2561
 
การที่จำเลยซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ย่อมต้องการให้มีผู้มาซื้อสินค้าและใช้บริการเป็นจำนวนมากซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อรายได้ของจำเลย การจัดให้มีลานจอดรถเป็นการให้บริการอย่างหนึ่งของจำเลยแก่ลูกค้า ดังนั้น การที่จำเลยยอมให้บุคคลทั่วไปนำรถยนต์มาจอดที่ลานจอดรถไม่ทำให้จำเลยหลุดพ้นจากหน้าที่ที่ต้องดูแลรถที่ลูกค้าของจำเลยนำมาจอดในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้า จำเลยจึงมีหน้าที่ในการดูแลรักษาความปลอดภัยรถยนต์ของลูกค้าที่นำมาจอดในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าจำเลยและรับฟังได้อีกว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยได้จัดให้มีการแจกบัตรเข้าออกสำหรับรถยนต์ของลูกค้าที่นำเข้ามาจอดแต่ขณะเกิดเหตุได้ยกเลิกการแจกบัตรเข้าออกและนำกล้องวงจรปิดมาติดตั้งไว้บริเวณทางเข้าออกลานจอดรถแทนซึ่งการติดตั้งกล้องวงจรปิดก็เป็นเพียงอุปกรณ์บันทึกภาพรถยนต์เข้าออกเท่านั้น ดังนั้น จึงเท่ากับจำเลยงดเว้นหน้าที่ที่จะต้องดูแลรถยนต์ของลูกค้าโดยให้ลูกค้าต้องเสี่ยงภัยเอง
 
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7471/2556 “ ห้างต้องรับผิด”
คำพิพากษาศาลฎีกา 10570/2557 “ ห้างไม่ต้องรับผิด”
คำพิพากษาศาลฏีกาที่ 743 /2561 “ ห้างต้องรับผิด”
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ตำรวจท่องเที่ยวปัดเอี่ยวรับส่วยทัวร์ผี-ไกด์เถื่อน ลั่นฟันไม่เลี้ยง หากตรวจพบ

 

กลุ่มมัคคุเทศก์ภาษาจีน ร่วมถกตำรวจท่องเที่ยวหาแนวทางแก้ปัญหาบริษัททัวร์ผี-ไกด์เถื่อน ก่อนยิงตรงถาม “ตำรวจท่องเที่ยว มีเรียกรับส่วยหรือไม่” ด้าน ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ลั่น หากรู้ว่าใครรับส่วย จ่อลงโทษหนัก “ไล่ออกจากตำรวจ”
พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผู้บัญชาการบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เป็นประธานในที่ประชุมการแก้ปัญหาทัวร์ผี ,ไกด์เถื่อน และบริษัทบริษัททัวร์นอมินี โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ,สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) ,สมาคมผู้ประกอบการสัมพันธ์ไทยจีน ,สมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย ,ชมรมไกด์ภาษาอินเดีย ,ชมรมไกด์ภาษาเวียดนาม ,ชมรมไกด์ภาษาเกาหลี และชมรมไกด์ภาษาจีน โดยมีนายสายชล ชื่นชู เป็นตัวแทน ที่กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ (16 มิ.ย.66)
โดยที่ประชุมได้หารือประเด็นสำคัญคือ 1.การประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยไม่ได้รับอนุญาต ,2.การประกอบอาชีพโดยไม่ได้รับอนุญาต และ 3.การประกอบธุรกิจนำเที่ยวในลักษณะเป็นตัวแทนอำพราง ซึ่งหัวข้อเหล่านี้ทางกลุ่มมัคคุเทศก์ และผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบมาเป็นเวลานานกว่า 10 ปี และปัญหาเพิ่งจะเบาบางลงในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดโรคโควิด-19 ที่ผ่านมา
 
ซึ่งหลังจากสถานการณ์คลี่คลายลง จึงทำให้กลุ่มทุนจีนเทา และผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวที่ทำผิดกฎหมาย อาศัยจังหวะที่ตลาดการท่องเที่ยวของไทยเปิด เข้ามาก่อเหตุในลักษณะดังกล่าวอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย จึงทำให้กลุ่มมัคคุเทศก์ และผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวชาวไทย สงสัยว่าเหตุใดกลุ่มคนที่ทำผิดกฎหมายยังคงลอยนวลเต็มบ้านเต็มเมือง โดยไม่มีการปราบปรามตามยุทธวิธีที่วางไว้ก่อนที่ผู้แทนภาคเอกชนจะยิงคำถามถึง ผู้บัญชาการบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ว่า “ตำรวจท่องเที่ยวมีการเรียกรับส่วยจากผู้กระทำผิดกฎหมายเหล่านี้หรือไม่” จนทำให้ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ถึงกับตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ในยุคสมัยนี้ คงไม่มีใครทำอะไรแบบนี้ ถ้าใครไปทำแบบนี้ ก็ต้องรับผิดชอบในการกระทำของตัวเอง เพราะมีกฎระเบียบวางไว้ชัดเจนอยู่แล้ว”
 
ทั้งนี้ ผู้แทนภาคเอกชน มองว่า คำตอบที่ได้รับยังคงคลุมเครือ จึงฝากถึงผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ให้กำชับตำรวจในสังกัดเข้มงวดกวดขันในการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องปรามไม่ให้กลุ่มคนที่กระทำการผิดกฎหมายเข้ามาก่อเหตุ ซึ่งเป็นการแย่งอาชีพคนไทย และความเสียหายให้กับภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยโดยรวม
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ข่าววงการท่องเที่ยว

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News