Categories
TOP STORIES

ป.ป.ช.เริ่มไต่สวนข้อร้องเรียนทุจริตสอบนายอำเภอ 2568 เดิมพันศรัทธาระบบราชการ

เดินเกมสอบ “รายชื่อผู้เกี่ยวข้อง” ปมร้องทุจริตสอบเข้าอบรมนายอำเภอ 2568 ป.ป.ช.เริ่มไต่สวนเบื้องต้น—เปิดฉากทดสอบศรัทธาระบบคุณธรรมราชการ

เชียงราย, 28 สิงหาคม 2568 —ข้อร้องเรียนเรื่องความไม่โปร่งใสในการคัดเลือกเข้าอบรมหลักสูตรนายอำเภอปี 2568 กำลังไหลบ่าเป็น “แรงกดดันสาธารณะ” ครั้งใหญ่ต่อระบบคุณธรรม (merit system) ของงานปกครองไทย เมื่อ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยสำนักไต่สวนการทุจริตภาครัฐที่ 3 เดินเกม ทำหนังสือเรียกข้อมูล–ชี้แจงข้อเท็จจริง จากทั้งข้าราชการในและนอกสังกัดกรมการปกครองตามเอกสารร้องเรียน ตอกย้ำ “เดิมพัน” ที่สูงกว่าคำว่าได้–เสียตำแหน่ง คือศรัทธาของประชาชนต่อความยุติธรรมในระบบสอบคัดเลือกของรัฐเอง

ปมร้องเรียนปะทุ จาก “เบาะแสรายชื่อ” สู่การไต่สวนเบื้องต้น

ผู้สื่อข่าวพิเศษได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวว่า สำนักไต่สวนการทุจริตภาครัฐที่ 3 ป.ป.ช. (ที่ตั้งนนทบุรี) ได้ทยอยส่งหนังสือไปยังเจ้าหน้าที่หลายรายเพื่อขอทราบข้อเท็จจริงและเชิญชี้แจงพร้อมแนบพยานเอกสาร หลังมี เอกสารร้องเรียน กล่าวหาความไม่ชอบมาพากลในกระบวนการคัดเลือกเข้า หลักสูตรนายอำเภอ ปี 2568 ของกรมการปกครอง

แกนกลางของข้อมูลร้องเรียน—ซึ่งเคยถูกเผยต่อสาธารณะผ่าน สำนักข่าวอิศรา—ถูกระบุว่าเริ่มต้นจากผู้ใช้ชื่อ “ข้าราชการผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรม” ในสังกัดกรมการปกครอง ส่ง รายชื่อผู้เกี่ยวข้อง “จำนวนมาก” พร้อมกล่าวหาการ “เอื้อประโยชน์พวกพ้อง” จนกระทบขวัญกำลังใจของผู้ไม่มีเส้นสาย และเสนอให้ ยกเลิกการสอบ ครั้งนี้ รวมถึงให้ หน่วยงานกลางที่ไม่ใช่กรมการปกครอง เป็นผู้จัดสอบใหม่เพื่อสร้างความเป็นธรรม

อีกด้านหนึ่ง แหล่งข่าววิเคราะห์ว่า รายชื่อที่ถูกจับตา “ส่วนใหญ่” มีความเชื่อมโยงกับ เครือข่ายทางการเมืองกลุ่มหนึ่ง โดยคาดว่า กว่า 20 รายชื่อ จะถูกเชิญเข้าชี้แจงต่อ ป.ป.ช. เป็นลำดับ ซึ่งหากพบมูล อาจขยายผลไปสู่กระบวนการไต่สวนเชิงลึกต่อไป

จุดที่สังคมเฝ้ามอง มีข้อกล่าวหาว่าผู้ผ่านเข้ารับการอบรม 300 คน (ในสังกัด 285 และนอกสังกัด 15 ตามเสียงร้องเรียน) มี “สายสัมพันธ์” ใกล้ชิดผู้มีอำนาจ ทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และนักการเมือง จึงเรียกร้องตรวจสอบความเชื่อมโยงอย่างเร่งด่วน

เดิมพัน” ตำแหน่งนายอำเภอ ทำไมการสอบครั้งนี้ถึงสำคัญ

นายอำเภอ คือข้าราชการฝ่ายปกครองระดับหัวหน้าอำเภอที่ทำหน้าที่บูรณาการนโยบายรัฐกับความมั่นคง–บริการประชาชนในพื้นที่ ตั้งแต่งานทะเบียนราษฎร ความสงบเรียบร้อย การปกครองท้องที่ ไปจนถึงบูรณาการภัยพิบัติ–เศรษฐกิจฐานราก จึงไม่น่าแปลกเมื่อการเปิดคัดเลือกเข้าอบรมปีนี้ดึงดูดความสนใจ ข้าราชการผู้สมัครราว 1,700 คน แย่ง ที่นั่ง 300 ที่ โดยแบ่งเป็น สอบแข่งขัน 195 และ สายผู้มีประสบการณ์ 105 ที่ ความต้องการสูง–ที่นั่งจำกัด ทำให้ “แรงจูงใจแสวงหาช่องลัด” พุ่งขึ้นเป็นเงาตามตัว และคือบริบทที่ก่อให้เกิดข้อกล่าวหานานารูปแบบ

ข้อกล่าวหาหนัก “ขายข้อสอบหัวละ 3 ล้าน” และเครือข่ายเงินการเมือง

เมื่อ 3 เม.ย. 2568 นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋น บุรีรัมย์” เปิดเผยต่อสาธารณะว่า มีการ ลักลอบนำข้อสอบ 100 ข้อไปจำหน่าย ในราคา หัวละ 3 ล้านบาท โดยให้วางมัดจำ 1.5 ล้านบาท และจ่ายส่วนที่เหลือในวันนัดรับข้อสอบ (อ้างว่า 4 เม.ย.) เพื่อท่องคำตอบก่อนสอบจริง (5 เม.ย.) พร้อมระบุว่ามีผู้สมัคร “หลายสิบคน” เข้าเกณฑ์ จนวงเงินหมุนเวียนทั้งกระบวนการ 200–600 ล้านบาท และโยงว่าเงินจำนวนนี้ถูกส่งต่อสู่ พรรคการเมืองพรรคหนึ่ง โดยมีบุคคลชื่อเล่น “นายทอง” ทำหน้าที่จัดการ

ข้อกล่าวหาเหล่านี้ยัง อยู่ในชั้นกล่าวอ้าง ต้องรอการพิสูจน์ตามกระบวนการ แต่ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนทางสังคม–การเมือง เพราะหากมีมูลจริง จะเป็นคดีเชิงโครงสร้าง ที่พัวพันผลประโยชน์มหาศาลระหว่าง “ระบบสอบ” และ “ทุนการเมือง”

 “สุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้”

4 เม.ย. 2568 นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง แถลงยืนยันว่า กระบวนการสอบทุกระดับดำเนินไปอย่างสุจริต โปร่งใส และยุติธรรม พร้อมเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อการแอบอ้าง และกรมฯ จะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้เรียกรับผลประโยชน์

ต่อมา 21 เม.ย. 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ระบุว่า ได้รับรายงานว่า “โปร่งใส รอบคอบ และตรวจสอบได้” พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า เสียงกล่าวหาอาจมาจากผู้ไม่ผ่านการสอบ ย้ำว่าเรื่องใดมีมูลจะให้หน่วยงานเกี่ยวข้องตรวจสอบตามขั้นตอน

สาระสำคัญเชิงวิชาชีพสื่อ ขณะนี้ข้อกล่าวหาและคำชี้แจงเดินคู่ขนาน—สื่อมวลชนจึงต้องรายงานอย่างเป็นกลาง ใช้ถ้อยคำระวัง และยึด “ข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบได้” เป็นหลัก จนกว่าจะมีผลการไต่สวนยืนยัน

บทเรียนที่ไม่ควรถูกลืม คดีทุจริตสอบนายอำเภอ ปี 2552

เหตุการณ์ปี 2552 เป็น หมุดหมายสำคัญ ที่ศาลอาญาคดีทุจริตฯ มีคำพิพากษาคดีทุจริตสอบนายอำเภอ—มีจำเลยรวม หลักร้อยราย ในจำนวนนี้รวมถึง อดีตอธิบดีกรมการปกครอง และ อดีตผู้อำนวยการส่วนกำนันผู้ใหญ่บ้าน ศาลพิพากษาจำคุกผู้บริหารระดับสูง 3 ปีโดยไม่รอลงอาญา และลงโทษผู้เกี่ยวข้องอื่น ๆ ฐานสนับสนุนการกระทำผิด แผนทุจริตในคดีนั้น แตกต่าง จากข้อกล่าวหาปี 2568 อย่างมีนัยสำคัญ—คือเป็น การแก้ไขสมุดคำตอบหลังสอบ” โดยเจ้าหน้าที่วงใน มากกว่าจะเป็น “การขายข้อสอบก่อนสอบ” ตามข้อกล่าวหาในปีนี้

ความเหมือน ระบบตรวจสอบที่เปิดช่องให้ เครือข่ายอำนาจ แทรกตัวได้
ความต่าง: จาก “แก้ในห้อง” → สู่ “ลอบนำออกก่อนถึงห้อง” (ตามข้อกล่าวหา) สะท้อน วิวัฒน์ของกลโกง เพื่อตอบโต้มาตรการป้องกันที่เข้มขึ้น

เกมยาวของ “กฎหมาย–วินัย–ความน่าเชื่อถือ”

  1. ชั้นไต่สวนเบื้องต้น (ป.ป.ช.) — รวบรวมคำให้การ พยานหลักฐาน หนังสือสั่งการ/การเบิกจ่าย/การติดต่อสื่อสาร หากพบ “มูลพอสมควร” จะ ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน
  2. ชั้นวินัย (ต้นสังกัด) — กรมการปกครอง/มหาดไทย/ก.พ. ดำเนินการคู่ขนานได้ หากมีหลักฐานชัดว่ามีพฤติการณ์ผิดวินัยร้ายแรง
  3. ชั้นอาญา — หากเข้าข่ายทุจริตต่อหน้าที่/เรียกรับผลประโยชน์/ปลอมเอกสาร ฯลฯ จะเข้าสู่กระบวนการพนักงานอัยการ–ศาล
  4. มาตรการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส — เป็นเงื่อนปมสำคัญ เพราะคดีเชิงโครงสร้างมักพัวพันผู้มีอำนาจ จำเป็นต้องมี ช่องทางที่ปลอดภัย ให้ผู้รู้เห็นกล้าให้ข้อมูล

ตัวเลข” ที่ชวนคิด

  • 1,700 : 300 ที่นั่ง — อัตราแข่งขันสูงเป็นดินแดนสีเทาที่ แรงจูงใจ ต่อ “ช่องทางพิเศษ” โตตาม
  • 3,000,000 บาท/หัว — ราคาที่ถูกกล่าวหาในการซื้อข้อสอบ สะท้อน ผลประโยชน์ที่คาดหวัง จากการได้สถานะนายอำเภอ
  • 200–600 ล้านบาท — ขนาดวงเงินหมุนเวียนในข้อกล่าวหา หากพิสูจน์ได้จริง เทียบเท่า ระบบซื้อ–ขาย” มากกว่าการทุจริตรายย่อย
  • บทเรียนปี 2552 — การลงโทษระดับ “อดีตอธิบดี” ยืนยันว่ากฎหมาย ไปถึงตัวใหญ่ได้ หากหลักฐานถึง

เสียงของผู้เดือดร้อน บทพิสูจน์ความเป็นธรรม

ในเอกสารร้องเรียน ผู้แจ้งระบุชัดว่า ผู้ไม่มีเส้นสายเสียขวัญกำลังใจ” นี่คือคำสั้น ๆ แต่สะท้อนความรู้สึกใหญ่ ๆ ของข้าราชการจำนวนมาก ที่มองว่า โอกาสในระบบราชการควรตั้งอยู่บนความสามารถ ไม่ใช่ “วงการ–สายสัมพันธ์” การไต่สวนครั้งนี้จึงไม่ได้ชี้ชะตาเฉพาะคนกลุ่มหนึ่ง หากแต่เป็น บทพิสูจน์ศรัทธาทั้งระบบ ว่า “กระบวนการสอบของรัฐ” ยังยืนอยู่บนหลักความเสมอภาคจริงเพียงใด

ทางสองแพร่งของนโยบาย ซ่อมระบบ หรือซ่อมเฉพาะคดี

ผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมาภิบาลชี้ว่า ขณะไต่สวนเดินหน้า ฝ่ายนโยบาย ควรเดินคู่ขนานด้วย 3 วาระเร่งด่วน

  1. แยกผู้จัดสอบออกจากผู้ใช้คนสอบ — ให้ หน่วยงานกลางอิสระ ทำหน้าที่จัดสอบ–เก็บข้อสอบ–ตรวจข้อสอบ แทนหน่วยงานผู้บังคับบัญชาทางสายงาน เพื่อลดความขัดแย้งทางผลประโยชน์
  2. ใช้เทคโนโลยีปิดช่องทุจริต — ระบบ ธนาคารข้อสอบแบบสุ่ม (Randomized Pools), ตรวจอัตโนมัติ, วิเคราะห์แพตเทิร์นผิดปกติด้วย AI และ บันทึกเส้นทางเอกสาร (audit trail) ตั้งแต่ผลิต–ขนส่ง–เก็บรักษา
  3. คุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส — จัด แพลตฟอร์มร้องเรียนปลอดภัย พร้อมคุ้มครองสถานะการงานและข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อดึง “คนเห็นเหตุ” ออกมาเป็น “คนเห็นค่า”

เกมยาวที่ชื่อ “ความเชื่อมั่น”

การเริ่มไต่สวนของ ป.ป.ช. คือสัญญาณว่ารัฐรับฟังสังคม และพร้อมคลี่คลายข้อสงสัยด้วย กลไกที่ตรวจสอบได้ ทว่า ปลายทางของคดี ไม่ได้วัดเพียง “ลงโทษได้กี่ราย” แต่คือการ “ปิดวงจร” ให้ การทุจริตสอบ ไม่หวนกลับมาเป็นระลอกใหม่ แตกหน่อเป็นเครือข่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หากหน่วยงานเกี่ยวข้องสามารถ คลี่คลายข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบ รวดเร็ว และโปร่งใส พร้อมวางมาตรการเชิงระบบเพื่ออุดช่องโหว่ ตั้งแต่วันนี้ วิกฤตศรัทธาครั้งนี้อาจแปรเป็น จังหวะปฏิรูป ที่ทำให้การคัดเลือกบุคลากรในตำแหน่ง “หัวใจของรัฐ” กลับมายืนอยู่บน ความสามารถ–ความเสมอภาค–ความยุติธรรม อย่างแท้จริง

สาระสำคัญสำหรับประชาชนและผู้สมัครในอนาคต ติดตามประกาศอย่างเป็นทางการจาก ป.ป.ช., กรมการปกครอง และกระทรวงมหาดไทย ตรวจสอบช่องทางรับร้องเรียนที่ปลอดภัย เก็บหลักฐานการสื่อสาร–เอกสารทุกชิ้น และหากพบพฤติการณ์ผิดปกติ แจ้งหน่วยงานโดยทันที—เพราะ “ระบบคุณธรรม” ต้องการพยานความจริงจากทุกคน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) — แนวทางรับเรื่องร้องเรียนและกระบวนการไต่สวนข้อกล่าวหาทุจริตภาครัฐ (สำนักไต่สวนการทุจริตภาครัฐที่ 3)
  • กรมการปกครอง (กระทรวงมหาดไทย) — เอกสารชี้แจงกระบวนการสอบคัดเลือกเข้าอบรมหลักสูตรนายอำเภอ ปี 2568 (แถลงโดยอธิบดี 4 เม.ย. 2568)
  • กระทรวงมหาดไทย — คำให้สัมภาษณ์รัฐมนตรีว่าการฯ (21 เม.ย. 2568) เกี่ยวกับความโปร่งใสในการจัดสอบและการตรวจสอบได้
  • สำนักข่าวอิศรา (isranews.org) — รายงานพิเศษและข้อมูลร้องเรียนจาก “ข้าราชการผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรม” เกี่ยวกับรายชื่อ–ความเชื่อมโยงในการคัดเลือกเข้าอบรมหลักสูตรนายอำเภอ 2568
  • คำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง (คดีทุจริตสอบนายอำเภอ ปี 2552) — สรุปคำพิพากษาและรายชื่อผู้ถูกลงโทษในคดีดังกล่าว
  • ข้อมูลสาธารณะจากการแถลงข่าว/ข่าวสารทางการ เกี่ยวกับจำนวนผู้สมัคร (~1,700 ราย) และโควตาที่นั่ง (สอบแข่งขัน 195/ผู้มีประสบการณ์ 105) ของหลักสูตรนายอำเภอปี 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายได้งบกลางก้อนใหญ่ 363 ล้านบาท ซ่อมโครงสร้างพื้นฐานและฟื้นฟูเศรษฐกิจ

ครม. อนุมัติงบกลาง 363.62 ล้านบาท ฟื้นฟูเชียงราย 18 โครงการ หลังวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ ซ่อม–เสริม–สร้างขวัญ พร้อมปูรากฐานรับมือภัยพิบัติรอบใหม่

เชียงราย, 28 สิงหาคม 2568 — หนึ่งปีให้หลังจากมหาอุทกภัยปลายปี 2567 เชียงรายกำลังยกเครื่องฟื้นฟูครั้งใหญ่ด้วย “งบกลาง” 363.62 ล้านบาท ที่ ครม. อนุมัติเมื่อ 26 ส.ค. 2568 โจทย์ไม่ได้มีเพียงซ่อมถนน–เขื่อน–ระบายน้ำ แต่ต้องประคองเศรษฐกิจท้องถิ่นและขวัญกำลังใจชุมชนไปพร้อมกัน ตัวเลขนี้คิดเป็นราว 5.6% เมื่อเทียบมูลค่าความเสียหายรวมของจังหวัด 6,412 ล้านบาท สะท้อนว่า “งบชุดนี้” มุ่งจี้จุดโครงสร้างพื้นฐานรัฐเป็นหลัก ขณะที่การเยียวยาภาคครัวเรือนและเกษตรถูกผลักไปยังแหล่งงบและมาตรการอื่น การเดินเกมหลายชั้นเช่นนี้ จะเพียงพอที่จะเปลี่ยน “ความเสียหาย” ให้กลายเป็น “ภูมิคุ้มกัน” ได้จริงหรือไม่—คำตอบอยู่ที่ประสิทธิภาพการบูรณาการและความต่อเนื่องหน้างานมากกว่าตัวเลขเพียงอย่างเดียว

บทเรียนจากปลายปี 2567 เมื่อเชียงราย “หนักสุด” ในประเทศ

ปลาย ก.ย.–ต.ค. 2567 เชียงรายเผชิญน้ำหลาก–ดินโคลนถล่มจากอิทธิพลพายุหลายลูก พื้นที่ อ.แม่สาย ถูกซัดซ้ำด้วยตะกอนและน้ำป่า โครงสร้างพื้นฐานทั้งถนน คอสะพาน โรงเรียนเสียหายจำนวนมาก การประเมินในห้วงวิกฤตระบุว่า 9 อำเภอ ได้รับผลกระทบ 53,209 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต 14 ราย บาดเจ็บ 2 ราย ระบบประปาบางจุดต้องหยุดบริการชั่วคราว สรุปความเสียหายด้านเศรษฐกิจของเชียงราย 6,412 ล้านบาท สูงสุดในประเทศ ขณะที่ทั้งประเทศเสียหายราว 24,251 ล้านบาทเชียงรายแบกไว้ถึงหนึ่งในสี่ ของความสูญเสียทั้งหมด

ไม่นานหลังเหตุการณ์ 29 พ.ย. 2567 รัฐบาลเคยอนุมัติโครงการเร่งด่วนบางส่วนไปแล้ว ทว่าการ “ซ่อมใหญ่” ที่ต้องสำรวจ–ออกแบบ–ขออนุญาต–เข้าประชุม ครม. เป็นเรื่องของเวลา รอบนี้จึงเป็น งบฟื้นฟูเชิงโครงสร้างระยะกลาง–ยาว ที่เดินตามกระบวนการงบประมาณ

งบกลาง 363.62 ล้านบาท จุดโฟกัสและเหตุผลเชิงยุทธศาสตร์

แม้ตัวเลข 363.62 ล้านบาทจะดูเล็กเมื่อเทียบ “ความเสียหาย 6,412 ล้านบาท” (คิดเป็น ประมาณ 5.6% โดยการคำนวณ 363.62 ÷ 6,412 = 0.0567) แต่ “ฐานคิด” งบกลางชุดนี้ต่างกัน:

  • มุ่งซ่อม–เสริมทรัพย์สินสาธารณะของรัฐ (ถนน เขื่อน ระบบระบายน้ำ ระบบสาธารณูปโภค) เพื่อให้เมืองและการสัญจรกลับสู่สมรรถนะ
  • ระบายแรงกดดันเศรษฐกิจ–สังคม ด้วยกิจกรรมกระตุ้นท่องเที่ยว–ตลาดชุมชน เพื่อเยียวยาจิตใจและรายได้ฐานราก
  • เปิดทางโครงการสำคัญที่ติดขั้นตอนที่ดิน ให้เดินต่อได้ เมื่อผ่านการอนุญาตจากหน่วยงานเจ้าของพื้นที่

ขณะเดียวกัน การช่วยเหลือด้านอื่นยังมาจาก “ถังงบคนละใบ” เช่น มาตรการช่วยค่าไฟฟ้าผู้ประสบอุทกภัยใน 18 จังหวัด วงเงิน 1,696 ล้านบาท (ยกเว้นค่าไฟเดือนก.ย. 67 และลด 30% เดือนต.ค. 67 สำหรับครัวเรือน/กิจการขนาดเล็กที่เข้าเกณฑ์) รวมถึงงบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเชียงรายที่เคยอนุมัติ 49.92 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเร่งด่วน และงบซ่อมทาง–แหล่งน้ำในจังหวัดอื่นที่ ครม. อนุมัติในช่วงเม.ย.–พ.ค. 2568 สะท้อน “ภาพใหญ่” ว่า การจัดการภัยพิบัติไทยยังเดินด้วยหลายกลไกพร้อมกัน

“18 โครงการ” ที่ได้รับไฟเขียว ซ่อมกายภาพ–ยกเครื่องเมือง–ปลุกเศรษฐกิจ

การจัดชุดฟื้นฟูครั้งนี้ครอบคลุม สามมิติหลัก ดังนี้

1) โครงสร้างพื้นฐาน (รวม ราว 264.49 ล้านบาท)

ซ่อม–เสริมระบบคมนาคมและป้องกันตลิ่งในจุดวิกฤต โดยมีงานเด่น ได้แก่

  • ฟื้นฟู–ป้องกันทางหลวงหมายเลข 131 (กม. 8+700–9+300) วงเงิน 45.00 ล้านบาท – เส้นทางหลักที่รับภาระการสัญจรเมือง–ชานเมือง
  • ฟื้นฟูทางหลวง 1232 ช่วงอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งราย–เวียงชัย (กม. 0+000–2+000) วงเงิน 45.00 ล้านบาท – เส้นทางเศรษฐกิจสำคัญของตัวจังหวัด
  • ซ่อมถนน–รางระบายน้ำในชุมชนแม่สาย หลายจุด: เหมืองแดง (52.23 ล้านบาท), ไม้ลุงขน (53.20 ล้านบาท), เกาะทราย (24.04 ล้านบาท), ป่ายางชุม (12.18 ล้านบาท), สายลมจอย–ดอยเวา (12.18 ล้านบาท) — โฟกัสจ่อจุดน้ำหลากซ้ำซาก
  • ถนนเลียบคลองชลประทาน (ริมกก, อ.เมือง) 3.28 ล้านบาท และ ปรับผิวจราจร–ฟุตปาธถนนไกรสรสิทธิ์ 1.80 ล้านบาท เพื่อคืนสภาพความปลอดภัย
  • ซ่อมเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำกก (สวนสาธารณะฝั่งหมิ่น–ร่องเสือเต้น–ป่าแดง) 25.00 ล้านบาท และ เขื่อนสวนสาธารณะเกาะลอย 14.23 ล้านบาท — เพิ่มเกราะกันน้ำกัดเซาะพื้นที่สาธารณะ
  • เพิ่มประสิทธิภาพระบายน้ำ เขตเทศบาลนครเชียงราย 17.63 ล้านบาท — ช่วย “คอขวด” เมืองชั้นในให้ระบายทันฝน

หมายเหตุสำคัญ ยังมีโครงการ ก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำกก (หมู่บ้านธนารักษ์, อ.เมือง) วงเงิน 29.10 ล้านบาท ที่ยัง “ไม่เข้าแพ็กเกจ” เพราะอยู่ระหว่างขออนุญาตใช้ที่ราชพัสดุจากกรมธนารักษ์ หากผ่านจะสามารถเสนอของบในขั้นตอนต่อไปได้

2) ระบบสาธารณูปโภค (รวม 32.65 ล้านบาท)

  • ปรับปรุงซ่อมแซมระบบจัดการน้ำเสีย 17.65 ล้านบาท — ลดความเสี่ยงด้านสุขาภิบาลหลังน้ำลด
  • ปรับปรุงระบบกลบฝังขยะมูลฝอย 15.00 ล้านบาท — รองรับภาระขยะหลังการทำความสะอาดครั้งใหญ่

3) ฟื้นฟูเศรษฐกิจ–สังคม (รวม 20.20 ล้านบาท)

  • โครงการ “หลงแสงเวียง เจียงฮาย (Light Festival)” 9.68 ล้านบาท — เทศกาลแสงสีคืนชีวิตเมือง กระตุ้นท่องเที่ยว–บริการ–ค้าปลีก
  • บูรณาการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจของเชียงราย 9.33 ล้านบาท — แพ็กเกจพยุงกิจกรรมเศรษฐกิจท้องถิ่น
  • ส่งเสริมและพัฒนาช่องทางการตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชน 1.19 ล้านบาท — ปรับตัว “ของดีชุมชน” สู่ตลาดยุคใหม่

ภาพรวมสะท้อนแนวคิด “ฟื้นบ้าน–ฟื้นเมือง–ฟื้นใจ” ไม่ใช่ซ่อมกายภาพเพียงอย่างเดียว แต่ประคองรายได้–แรงงาน–ความหวังให้กลับมาคึกคักพร้อมกัน

ทำไม “เทศกาลแสงสี” จึงอยู่ในงบฟื้นฟูน้ำท่วม?

คำถามนี้ถูกตั้งขึ้นแทบทุกครั้งที่มี “งบอีเวนต์” เข้ามาในแพ็กเกจภัยพิบัติ เหตุผลเชิงนโยบายคือ เศรษฐกิจเชียงรายพึ่งพาการท่องเที่ยว และ กิจกรรมเมือง การคืน “เหตุผลให้คนออกมาใช้จ่าย” มีผลต่อรายได้หาบเร่–แผงลอย–โรงแรม–ร้านอาหาร–รถรับจ้าง ตลอดจนสร้าง “วาระแห่งเมือง” ให้ผู้คนร่วมกันก้าวข้ามบาดแผล อย่างไรก็ดี ความคุ้มค่า–ความโปร่งใส–ตัวชี้วัด (จำนวนนักท่องเที่ยว ยอดใช้จ่าย หมุนเวียนในท้องถิ่น) ต้องถูกติดตามอย่างจริงจัง เพื่อให้ “ทุกบาท” กลับมาเป็น “โอกาส” ไม่ใช่แค่ภาพจำชั่วคราว

จากวิกฤตสู่โอกาสปรับระบบให้ “ไว–ลึก–ยืดหยุ่น”

การอนุมัติครั้งนี้เกิดเกือบครบปีหลังเกิดเหตุการณ์ สะท้อนความเป็นจริงของกระบวนการงบฟื้นฟูขนาดใหญ่ที่ต้อง สำรวจ–ออกแบบ–อนุญาต–พิจารณา ครม. ประเด็นเชิงระบบที่ผู้ปฏิบัติหน้างานชี้ตรงกัน คือ

  1. เร่งรัดขั้นตอนหลังภัย: ให้งบซ่อมใหญ่ “เริ่มได้เร็ว” กว่าวัฏจักรงบประจำปีปกติ โดยวางกลไกสำรวจความเสียหายมาตรฐาน–ทีมนักออกแบบเร่งด่วน–กรอบเงื่อนไขจัดซื้อเฉพาะฉุกเฉินที่คุมได้
  2. ลงทุนเชิงป้องกันล่วงหน้า: แทน “ซ่อมหลังพัง” ควร ขุดลอก–ขยายทางระบายน้ำ–ยกผิวจราจรจุดเสี่ยง ตามข้อมูลภูมิประเทศ–สถิติฝน–ประวัติน้ำท่วม เพื่อบรรเทาผลกระทบคลื่นวิกฤตรอบถัดไป
  3. ศูนย์ข้อมูลเดียว–มาตรฐานเดียว: รวมศูนย์ข้อมูลความเสียหาย–โครงการ–สถานะงาน ให้ทุกหน่วยใช้ ข้อมูลชุดเดียวกัน ลดซ้ำซ้อน และเปิดเผยต่อสาธารณะเพื่อคุมความโปร่งใส
  4. เชื่อม “งานแข็ง” กับ “งานนุ่ม”: สร้างเครือข่ายอาสา–ชุมชน–ท้องถิ่นคู่ขนานงานวิศวกรรม เช่น การเตือนภัยชุมชน–ช่องทางร้องเรียนเร็ว–การซ้อมอพยพ เพิ่ม “ภูมิทัศน์ความพร้อม” ของเมืองทั้งระบบ

เสียงจากตัวเลข งบ 363.62 ล้านบาท จะเปลี่ยนอะไรได้บ้าง?

  • คืนสมรรถนะเมือง: เมื่อถนน–ระบายน้ำ–เขื่อนตลิ่งกลับมาทำงาน การเดินทาง–ขนส่ง–ท่องเที่ยวจะ “ไหลลื่น” ขึ้น ลดต้นทุนแฝงหลังวิกฤต
  • กันซ้ำจุดเดิม: งานระบายน้ำ–เขื่อนตลิ่งในจุดล่อแหลม เช่น ริมกก–ย่านเทศบาล จะลดโอกาส “ท่วมซ้ำ–กัดเซาะซ้ำ”
  • ฟื้นขวัญ–รายได้: กิจกรรมเมืองและโครงการตลาดชุมชน ช่วยให้เศรษฐกิจฐานราก “เริ่มเดิน” ระหว่างรอโครงการใหญ่ทยอยเสร็จ
  • เซ็ตมาตรฐานใหม่: โครงการที่ยังติดขั้นตอนที่ดิน (เช่น เขื่อนธนารักษ์ 29.10 ล้านบาท) จะเป็นบททดสอบว่าระบบประสานงานที่ดิน–น้ำ–ทางหลวง ทำได้เร็วเพียงใด

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จไม่ได้วัดที่ “ก้อนงบ” แต่คือ ผลลัพธ์เชิงพื้นที่ — ถนนที่น้ำไม่ขัง, ชุมชนที่ไม่ต้องอพยพซ้ำ, ผู้ประกอบการที่ลืมตาได้ และ การสื่อสารความคืบหน้าอย่างโปร่งใส ให้ประชาชนติดตามได้

ไทม์ไลน์ย่อ จากน้ำหลากสู่เงินลงพื้นที่

  • ก.ย.–ต.ค. 2567: น้ำหลาก–ดินโคลนถล่ม 9 อำเภอ กระทบ 53,209 ครัวเรือน เสียชีวิต 14 ราย
  • ปลาย ก.ย. 2567: นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่กำชับฟื้นฟู–ช่วยเหลือเร่งด่วน
  • 29 พ.ย. 2567: ครม. อนุมัติโครงการเร่งด่วนเบื้องต้นบางส่วน
  • ตลอดต้น–กลางปี 2568: จังหวัดจัดทำแผนฟื้นฟู–สำรวจ–ออกแบบ–ประสานหน่วยงานเจ้าของพื้นที่
  • 26 ส.ค. 2568: ครม. อนุมัติงบกลาง 363.62 ล้านบาท สำหรับ 18 โครงการในเชียงราย (ผ่านการเสนอโดยกระทรวงมหาดไทย และเบิกจ่ายตามระเบียบผ่านสำนักงบประมาณ)

มองไปข้างหน้า เชียงราย “ยืดหยุ่นขึ้น” ได้อย่างไร

  1. ส่งมอบงานให้ทันฤดูฝน: งานถนน–ระบายน้ำต้องเร่งจังหวะให้สอดคล้องฤดูกาล ลดความเสี่ยงงานเปิดหน้าขุดในช่วงฝนชุก
  2. คุมคุณภาพ–ความทนทาน: ใช้มาตรฐานวัสดุและแบบก่อสร้างที่เหมาะกับพื้นที่ลาดเชิงเขา–ดินอุ้มน้ำสูง เพิ่มอายุใช้งาน
  3. รายงานความคืบหน้าเป็นระยะ: เปิดเผยงบ–สัญญา–สถานะงาน–รูป Before/After ต่อสาธารณะในเว็บ/เพจทางการ เพื่อความโปร่งใส–ร่วมตรวจสอบ
  4. ยกระดับ “แผนที่เสี่ยง”: ผนวกข้อมูลฝน–น้ำหลาก–ทิศทางไหล–จุดคอขวด เข้ากับงานวางผังเมือง–จราจร–ก่อสร้างใหม่ ลดสร้างปัญหาในอนาคต

จาก “งบฟื้นฟู” สู่ “วาระป้องกันใหม่ของเมือง”

แพ็กเกจ 363.62 ล้านบาท คือก้าวสำคัญที่จะช่วยให้เชียงรายกลับมายืนได้มั่นคงขึ้น ทั้งในเชิงคมนาคม ป้องกันตลิ่ง สุขาภิบาล และเศรษฐกิจชุมชน แต่คำถามที่ยากกว่า คือเมืองจะ ไม่กลับไปเจอซ้ำ ได้อย่างไร คำตอบอยู่ที่การลงทุนเชิงป้องกันล่วงหน้า–การเร่งรัดขั้นตอนโครงการ–การสื่อสารโปร่งใส และการยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง เมื่อ “ซ่อมวันนี้” ถูกวางบนฐานคิด “กันพรุ่งนี้” เชียงรายจะไม่เพียงฟื้นตัว แต่จะ ยืดหยุ่น พร้อมรับพายุลูกต่อไป

โครงการที่ได้รับอนุมัติ (สรุปตามเอกสารจังหวัด)

  1. หลงแสงเวียง เจียงฮาย (Light Festival) — 9.68 ลบ.
  2. ฟื้นฟูทางหลวงหมายเลข 131 (กม. 8+700–9+300) — 45.00 ลบ.
  3. ถนน–รางระบายน้ำ ชุมชนเหมืองแดง (แม่สาย) — 52.23 ลบ.
  4. ถนน–รางระบายน้ำ ชุมชนเกาะทราย (แม่สาย) — 24.04 ลบ.
  5. ถนน–รางระบายน้ำ ชุมชนไม้ลุงขน (แม่สาย) — 53.20 ลบ.
  6. ถนน–รางระบายน้ำ สายลมจอย–ดอยเวา (เวียงพางคำ) — 12.18 ลบ.
  7. ถนน–รางระบายน้ำ ชุมชนป่ายางชุม (แม่สาย) — 12.18 ลบ.
  8. ถนน ค.ส.ล. เลียบคลองชลประทาน (ริมกก, อ.เมือง) — 3.28 ลบ.
  9. ปรับปรุงระบบจัดการน้ำเสีย — 17.65 ลบ.
  10. บูรณาการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจ — 9.33 ลบ.
  11. ฟื้น–พัฒนาทางหลวง 1232 (กม. 0+000–2+000) — 45.00 ลบ.
  12. ซ่อมเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำกก (ฝั่งหมิ่น–ร่องเสือเต้น–ป่าแดง) — 25.00 ลบ.
  13. เพิ่มประสิทธิภาพระบายน้ำ เขตเทศบาลนครเชียงราย — 17.63 ลบ.
  14. ซ่อมเขื่อนป้องกันตลิ่งสวนสาธารณะเกาะลอย — 14.23 ลบ.
  15. ปรับปรุงทางเท้าถนนกองคำ ชุมน้ำลัด — 5.00 ลบ.
  16. ปรับปรุงระบบกลบฝังขยะมูลฝอย — 15.00 ลบ.
  17. ปรับผิวจราจร (AC) และฟุตปาธถนนไกรสรสิทธิ์ — 1.80 ลบ.
  18. ส่งเสริม–พัฒนาช่องทางการตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชน — 1.19 ลบ.

อยู่ระหว่างขั้นตอน เขื่อนป้องกันตลิ่งริมกก (หมู่บ้านธนารักษ์, อ.เมือง) — 29.10 ลบ. รออนุญาตใช้ที่ดินราชพัสดุ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 26 สิงหาคม 2568: รายการ “งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น” สำหรับจังหวัดเชียงราย (18 โครงการ วงเงิน 363.62 ล้านบาท) — เอกสารสรุปผลการประชุม ครม. และข่าวแจกสำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
  • สำนักงบประมาณ (สงป.): คำชี้แจงการเบิกจ่ายงบกลางปีงบประมาณ 2568 หมวดฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานจังหวัดที่ประสบสาธารณภัย
  • กระทรวงมหาดไทย: หนังสือเสนอ ครม. โครงการฟื้นฟูหลังอุทกภัยจังหวัดเชียงราย และกรอบนโยบายช่วยเหลือ/เยียวยาจังหวัดประสบภัย
  • จังหวัดเชียงราย (สำนักงานจังหวัด/ศูนย์อำนวยการบรรเทาสาธารณภัย): แผนฟื้นฟู 19 โครงการที่เสนอ (อนุมัติจริง 18 โครงการ) และรายละเอียดรายการงานถนน–ระบายน้ำ–เขื่อนตลิ่ง–กิจกรรมเศรษฐกิจ
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.): สรุปสถานการณ์อุทกภัย ก.ย.–ต.ค. 2567 จังหวัดเชียงราย—จำนวนครัวเรือน/ผู้เสียชีวิต/โครงสร้างพื้นฐานที่เสียหาย
  • การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) / กระทรวงมหาดไทย: มาตรการช่วยค่าไฟฟ้า 18 จังหวัดผู้ประสบอุทกภัย (ยกเว้นเดือน ก.ย. 67 และลด 30% เดือน ต.ค. 67) อนุมัติในวาระเดียวกัน
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.): มติ/งบประมาณช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย 49.92 ล้านบาท (กันยายน 2567)
  • กรมทางหลวง/กรมทางหลวงชนบท/กรมชลประทาน: ข่าว/เอกสารงบซ่อมโครงสร้างพื้นฐานและแหล่งน้ำในจังหวัดต่าง ๆ (เม.ย.–พ.ค. 2568) เพื่อเทียบเคียงภาพรวมงบภัยพิบัติของปีงบประมาณเดียวกัน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ทุ่ม 200 ล้านสร้างแม่เหล็กที่เชียงราย ยกระดับอุตสาหกรรมบ้าน

อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ทุ่ม 200 ล้านบาท ปักธง “เชียงราย” สร้างแม่เหล็กเรื่องบ้านผสานงานคราฟต์ท้องถิ่นยกระดับอุตสาหกรรมที่อยู่อาศัยและท่องเที่ยวเมืองรองสู่ความยั่งยืน

เชียงราย, 27 สิงหาคม 2568 — อาคารใหม่เอี่ยมสไตล์โมเดิร์นโคซี่ พื้นที่กว่า 6,300 ตารางเมตร ของ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ สาขาเชียงราย กำลังกลายเป็น “หมุดหมายใหม่” ของผู้บริโภคและภาคธุรกิจในจังหวัด ด้วยงบลงทุน 200 ล้านบาท และแนวคิดที่ตั้งใจเชื่อมเสน่ห์งานคราฟต์ล้านนากับดีไซน์ร่วมสมัย ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเปิดสโตร์ลำดับที่ 35 ของบริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM หากแต่เป็นสัญญาณ “ขึ้นเกมรุกเมืองรอง” อย่างมีกลยุทธ์ในครึ่งปีหลังของปีเศรษฐกิจที่ผันผวน

ทำไมต้องเชียงราย” เมืองศิลปะเมืองรองดาวรุ่ง ที่ดีมานด์ “ของบ้าน” กำลังปะทุ

การตัดสินใจปักธงเชียงรายของ ILM สะท้อนการจับจังหวะเศรษฐกิจที่ถูกเวลา เชียงราย วันนี้ไม่ใช่เพียงจุดหมายปลายทางของธรรมชาติและศิลปวัฒนธรรม แต่เป็น “ตลาดบ้านและโฮสพิทาลิตี้” ที่โตตามโครงสร้างพื้นฐานและเทรนด์การท่องเที่ยวเมืองรอง

  • แรงส่งการท่องเที่ยว ข้อมูลจากหน่วยงานท่องเที่ยวระบุว่าในช่วง 6 เดือนแรกปี 2568 การท่องเที่ยวในประเทศสร้างรายได้รวม 1.34 ล้านล้านบาท (นักท่องเที่ยวต่างชาติ 770,000 ล้านบาท และไทยเที่ยวไทย 570,000 ล้านบาท) โดย เชียงราย เป็น เมืองรองที่มีผู้เยี่ยมเยือนมากที่สุด และทำรายได้สูงสุดในช่วงเดียวกัน เทรนด์ดังกล่าวสอดคล้องกับการวิเคราะห์ของภาควิจัยเอกชนที่คาดว่า ปี 2568 คนไทยจะท่องเที่ยวในประเทศ 205 ล้านคน–ครั้ง และ สัดส่วนเที่ยวเมืองรองแตะราว 41.4% เพิ่มจากก่อนโควิดอย่างมีนัยสำคัญดีมานด์ที่พัก ร้านอาหาร โฮมสเตย์ และคาเฟ่ ออกดอกเป็น ความต้องการเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้าน ที่จับต้องได้ทันที
  • โลจิสติกส์หนุน โครงข่ายการคมนาคมที่เชื่อมโยง North–South Economic Corridor (R3A) และการยกระดับ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ทำให้เมืองชายแดนแห่งนี้กลายเป็นประตูการค้าสำคัญสู่ลาว เมียนมา จีนตอนใต้ ส่งผ่านเม็ดเงินลงทุนสู่ที่อยู่อาศัยที่พักและรีเทลรูปแบบใหม่
  • บรรยากาศดอกเบี้ย แนวโน้มดอกเบี้ยขาลด ช่วยผ่อนแรงผ่อนบ้านสินเชื่อปรับปรุงที่พัก การตัดสินใจ “ซ่อม–แต่ง–ขยาย” จึงเกิดถี่ขึ้น ส่งสัญญาณบวกต่อ สินค้ากลุ่มบ้าน ในทุกเซ็กเมนต์

ในภาพนี้ เชียงราย จึงเป็น “เวทีที่พร้อมใช้งาน” ให้แบรนด์ผู้นำด้านสินค้าเรื่องบ้านอย่าง ILM เข้าไปเติมเต็มพอร์ตทั้งฝั่ง B2C (ครัวเรือน) และ B2B (โรงแรม รีสอร์ต โครงการอสังหา โรงพยาบาล และธุรกิจบริการ) ได้ในคราวเดียว

จากแนวคิดสู่ประสบการณ์ 5 ไฮไลท์ที่นิยาม “แต่งบ้านที่ใช่ ในเมืองที่รัก”

สาขาเชียงรายถูกออกแบบให้เป็นมากกว่าโชว์รูม แต่เป็น แพลตฟอร์มของการใช้ชีวิต” ที่เล่าอัตลักษณ์พื้นที่ได้ชัด และส่งมอบโซลูชันครบวงจรให้ผู้ใช้และผู้ประกอบการ

  1. New Design — โมเดิร์นโคซี่ที่สื่อสารเมือง
    เส้นสายเรียบเท่ถูก “ถักทอ” ด้วยอัตลักษณ์ล้านนา ตั้งแต่ ดอกพวงแสด สัญลักษณ์จังหวัดที่เป็นแรงบันดาลใจในงานตกแต่ง ไปจนถึง เครื่องเคลือบดินเผา “เวียงกาหลง” งานคราฟต์มือชั้นดีจาก อ.เวียงป่าเป้า ที่ถูกยกมาเป็นอีลีเมนต์ในร้าน โทนเอิร์ธโทนไม้ระแนงโปร่งเลย์เอาต์ยืดหยุ่น ชวนให้ “เดิน–มอง–แตะ” แล้วจินตนาการภาพบ้านตัวเองได้ทันที
  2. New Zone — ครบกว่าในสโตร์เดียว
    รวมแบรนด์หลักของเครือ Index Furniture, Younique (บิวท์อิน), Winner Furniture, Furinbox และที่นอนแบรนด์ดัง พร้อม DESIGN STUDIO จุดนัดพบดีไซเนอร์ที่ช่วยออกแบบห้อง “เสมือนจริง” ก่อนตัดสินใจซื้อ และโซลูชัน B2B ตั้งแต่ SME โรงแรม โครงการอสังหา โรงพยาบาล ไปจนถึง VIP SPACE สำหรับลูกค้าคนพิเศษชุดเครื่องมือที่ทำให้เจ้าของกิจการ คุมงบ คุมแบรนด์ คุมเวลา ได้ดีขึ้น
  3. New Offers — โปรเปิดสาขาที่ “รู้ใจ” คนซื้อ
    ฉลองเปิดสาขาด้วยแคมเปญเฉพาะกิจ อาทิ สมาชิก JOY Member ช้อป 1,000 คืน 1,000 (จำนวนสิทธิ์จำกัด ช่วงเปิดสาขา), สินค้านาทีทองรายวัน 27–31 ส.ค., ผ่อน 0% สูงสุด 10 เดือน กับบัตรเครดิตพันธมิตร พร้อมของสมนาคุณตั้งแต่ ทองคำแท่ง, e-Voucher, ที่พัก 3 วัน 2 คืน ถึง เครื่องฟอกอากาศ สำหรับยอดช้อปตามเงื่อนไข ทั้งยังมี Coupon กิจกรรมออนไลน์–รีวิว ให้ร่วมสนุกช่วงเปิดตัว
  4. New Member — โตฐานสมาชิกด้วย “สิทธิ์ที่ใช้จริง”
    นอกจากตั้งเป้าขยายฐาน JOY Member ในภาคเหนือแล้ว ILM ยังปั้น “ชุดสิทธิประโยชน์ 3 ต่อ” สำหรับสมาชิกใหม่–เก่า ตั้งแต่ คูปองส่วนลด, พอยต์โบนัส, ของที่ระลึก พร้อมกิจกรรม พอยต์ x3 สำหรับการช้อปขั้นต่ำที่กำหนด ฐานสมาชิกใน 5 จังหวัดเหนือบน (เชียงราย พะเยา น่าน แพร่ ลำปาง) ปัจจุบันรวมกว่า 16,000 ราย จึงมีต้นทุน “ความภักดี” ให้ต่อยอด
  5. Sustainability — “เราได้ โลกได้ เขาได้”
    สินค้ากลุ่ม Well-being (เพื่อสุขภาวะ), Eco Product จากวัสดุ หวาย ไม้ไผ่ ไม้ยาง เปลือกข้าวโพด พลาสติก/ผ้ารีไซเคิล ตลอดจนไอเทมประหยัดพลังงาน ถูกยกเป็นพระเอก ขณะเดียวกันสาขาเชียงรายยังเตรียม โครงสร้างรองรับโซลาร์รูฟท็อป, ลดสื่อพิมพ์ที่ไม่เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม (ใช้กระดาษลูกฟูก 80%), คัดแยกขยะจริงจัง และ เชื่อมเศรษฐกิจชุมชน ด้วยของที่ระลึกจาก พัดไม้ไผ่บ้านเมืองรวง และ ผ้าทอบ้านสันทรายน้อย ที่ทำให้เงินหมุนเวียน “ใกล้แหล่งกำเนิด” มากขึ้น
คุณกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM ผู้นำธุรกิจ

เนื้อแท้ของกลยุทธ์ เชื่อม “บ้าน งาน ชุมชน” ด้วยข้อมูลและบริการครบวงจร

คุณกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM ผู้นำธุรกิจ ย้ำเป้าหมายชัดว่า บริษัทเดินเกมครึ่งปีหลังด้วยความยืดหยุ่นต่อปัจจัยภายนอกภายใน โดยยึดบทบาท “THAILAND’s No.1 Furniture & Home Decorative Destination” และใช้ เมืองรองเมืองท่องเที่ยว เป็น “สนามเติบโต” ที่ยั่งยืน “เชียงราย” จึงเป็นสาขาที่ สอง ในภาคเหนือ (ต่อจากเชียงใหม่) เพื่อพิสูจน์พลังของแนวคิด แต่งบ้านที่ใช่ ในเมืองที่รัก” ผ่านสินค้าบริการแรงบันดาลใจครบวงจร

สารพัดบริการหลังบ้านที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงตั้งแต่ สำรวจหน้างาน ประมาณการค่าใช้จ่าย วางแบบ 3Dกำหนดเวลา ติดตั้งรับประกันบริการหลังการขาย คือ “ฟันเฟือง” ที่ทำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยว/ที่พัก ลดความเสี่ยง ในการรีโนเวต/ขยายห้องพัก ขณะครัวเรือนทั่วไปก็ “ผ่อนแรงตัดสินใจ” ด้วยการเห็นภาพรวมก่อนซื้อจริง

ที่สำคัญ สาขาเชียงรายยังเป็นเวทีทดลอง โครงการทรัพยากรบุคคลแบบผูกชุมชน อย่าง ปิ๊กบ้าน ILM สาขาเชียงฮาย กั๋นเต๊อะ” เปิดทางให้พนักงานที่มีภูมิลำเนาเชียงรายได้ โอนย้ายกลับบ้าน สร้างสมดุลชีวิตงานและเกื้อหนุนเศรษฐกิจท้องถิ่นในคราวเดียว

เม็ดเงิน 200 ล้านบาท “หมุน” อย่างไรในเศรษฐกิจเมือง

เงินลงทุนก้อนใหญ่ไม่ได้หยุดอยู่ที่ก่อสร้างตกแต่ง แต่ต่อท่อไปสู่ ห่วงโซ่คุณค่า ที่กว้างกว่า

  • การจ้างงานโดยตรง–ทางอ้อม ตั้งแต่ทีมขาย ดีไซน์ ติดตั้ง คลังสินค้า ไปจนถึงผู้รับเหมาสายงานไม้ เหล็ก ผ้า ไฟ เศรษฐกิจฐานรากรับแรงสั่นเชิงบวกทันที
  • ดีมานด์ B2B: โรงแรม รีสอร์ต โฮสเทล คาเฟ่ และ โครงการอสังหา กำลัง “อัพเกรดประสบการณ์” เพื่อตอบรับนักท่องเที่ยวที่ละเอียดกับฟังก์ชันดีไซน์ การมีสโตร์ที่ รวมเซ็ตรวมแบรนด์รวมบริการ ในรัศมีไม่ไกลสนามบิน/เมือง จึงลดต้นทุน “เวลา ความเสี่ยง การขนส่ง” ของผู้ประกอบการ
  • ชุมชน–วัฒนธรรม: การใช้ คราฟต์ท้องถิ่น เป็นองค์ประกอบในร้าน ทำให้สินค้าชุมชน “มีเวที” สร้างความภาคภูมิใจและรายได้ซ้ำอย่างเป็นรูปธรรมนี่คือ Soft Power เชิงพื้นที่ ที่วัดผลได้

ข้อเสนอเชิงนโยบายท้องถิ่น เมื่อรีเทลสมัยใหม่ผสานชุมชน

โมเดลเชียงรายของ ILM เปิด “บทเรียน” ให้เมืองรองอื่นๆ มองเห็นทางร่วมมือภาครัฐ–เอกชน

  1. ส่งเสริมคลัสเตอร์ออกแบบตกแต่งภายใน มหาวิทยาลัย/อาชีวะควรเชื่อมหลักสูตร พัสตราภรณ์ ดีไซน์ วัสดุศาสตร์ โลจิสติกส์ กับอุตสาหกรรมจริง เพิ่มแรงงานทักษะเฉพาะ
  2. มาตรฐานสินค้าชุมชนสู่เชิงพาณิชย์ หน่วยงานท้องถิ่นช่วยยกระดับ มาตรฐานความปลอดภัย–ฉลากสิ่งแวดล้อม ให้คราฟต์ท้องถิ่นพร้อมวางจำหน่ายในรีเทลสมัยใหม่
  3. แรงจูงใจสีเขียว  สนับสนุนการติดตั้ง โซลาร์รูฟท็อป รีไซเคิลขยะ ลดพลาสติก ในรีเทล เชื่อมกับ มาตรการภาษี/คาร์บอนเครดิต ระดับเมือง

สำหรับผู้บริโภค จะช้อปอย่าง “คุ้มและยั่งยืน” ที่เชียงรายได้อย่างไร

  • เริ่มจากแผนห้องจริง ใช้บริการ DESIGN STUDIO จำลองพื้นที่ ช่วยลด “การซื้อผิด” และส่งเสริมการใช้สินค้ายาวนาน
  • มองความคุ้มวงจรชีวิต วัสดุรีไซเคิล งานไม้ยั่งยืน ฟังก์ชันถอดประกอบซ่อมง่าย แพงกว่าเล็กน้อยวันนี้ แต่คุ้มกว่าใน 3–5 ปี
  • ใช้สิทธิ JOY Member ให้คุ้ม เก็บพอยต์ ใช้คูปอง ผ่อน 0% ช่วยกระจายภาระและปลดล็อกของชิ้น “ใหญ่”
  • สนับสนุนของชุมชน  เลือกไอเทมท้องถิ่นในบ้าน เงินหมุนเวียนไม่ไกล ช่วยรักษา “ตัวตนเมือง” ให้ยังสด

เดินเกมเปิดตัว จากเสียงกลองสู่การจับจ่าย

พิธีเปิด 27 สิงหาคม มาในธีม “ปลุกพลังจากธรรมชาติและจิตวิญญาณ” ด้วย กลองสะบัดชัย กลองปูจา กลองไทโกะ ให้พลังและฤกษ์ชัยในแบบผสมผสานตะวันออก ล้านนา ก่อนส่งต่อสู่ ช่วงโปรพิเศษ รายวันและกิจกรรมสมาชิกตลอดเดือนคือการเล่าเรื่อง ร่วมสมัย ร่วมถิ่น ร่วมมือ” ให้คนเชียงรายสัมผัสได้ทั้งหู ตา และหัวใจ

สาขาเชียงรายจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางโซลูชันเรื่องบ้านครบวงจร ทั้งสำหรับครัวเรือนและภาคธุรกิจบริการของเมืองท่องเที่ยวสุดสร้างสรรค์แห่งนี้ เราเชื่อว่าการผสานดีไซน์ร่วมสมัยกับวัฒนธรรมท้องถิ่น จะสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมไปพร้อมกัน” สารจากผู้บริหาร ILM ในวันเปิดสาขา

รีเทลที่ “อ่านเมืองออก” ย่อมเติบโตไปกับเมือง

การเข้ามาของ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ สาขาเชียงราย ไม่ใช่แค่การเพิ่มสาขาที่ 35 แต่คือ เคสศึกษา ว่าแบรนด์ใหญ่จะเติบโตในเมืองรองได้อย่างไร อ่านดีมานด์จากข้อมูล, ออกแบบประสบการณ์ที่ยึดโยงอัตลักษณ์พื้นที่, และสร้างทางร่วมกับชุมชน ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจผันผวน นี่คือการลงทุนที่ “ซื้ออนาคต” ของเมืองไปพร้อมกับ “ขายของวันนี้” ให้กับผู้คน และหากเมือง–เอกชน–ชุมชนเดินไปด้วยกัน สโตร์เรื่องบ้านหลังนี้จะกลายเป็น แม่เหล็กเศรษฐกิจยั่งยืน ที่ทำให้คำว่า “แต่งบ้านที่ใช่ ในเมืองที่รัก” มีความหมายจริงทั้งในสมุดบัญชี และในชีวิตประจำวันของคนเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) – ILM: ข่าวประชาสัมพันธ์การเปิด สาขาเชียงราย (ลำดับที่ 35) แนวคิด “แต่งบ้านที่ใช่ ในเมืองที่รัก”, งบลงทุน 200 ล้านบาท, พื้นที่ 6,300 ตร.ม., 5 ไฮไลท์สาขา, สิทธิประโยชน์ JOY Member, บริการ DESIGN STUDIO และโซลูชัน B2B รวมถึงกิจกรรมเปิดสาขาและโครงการด้านความยั่งยืน
    (เอกสารข่าว/ประกาศบริษัท; ฝ่ายสื่อสารองค์กร ILM)
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.): ภาพรวมรายได้ท่องเที่ยวในประเทศ ช่วง 6 เดือนแรกปี 2568 รวม 1.34 ล้านล้านบาท (ต่างชาติ 770,000 ล้านบาท / ไทยเที่ยวไทย 570,000 ล้านบาท) และข้อมูล เชียงราย ในฐานะ เมืองรองที่มีผู้เยี่ยมเยือนมากที่สุด/รายได้สูงสุด ในช่วงเวลาเดียวกัน
    (ฐานข้อมูลสถิติการท่องเที่ยว, ข่าวประชาสัมพันธ์ ททท.)
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch): ประมาณการ จำนวนนักท่องเที่ยวไทยในประเทศปี 2568 = 205 ล้านคน–ครั้ง และแนวโน้มสัดส่วนการท่องเที่ยว เมืองรอง ~41.4%, ปัจจัยขับเคลื่อนกระแสเที่ยวเมืองรอง (เลี่ยงแออัด, รีวิวออนไลน์, ท่องเที่ยวเชิงศาสนา)
    (บทวิเคราะห์เศรษฐกิจ–ท่องเที่ยว, รายงานเชิงประมาณการปี 2568)
  • หน่วยงานโครงสร้างพื้นฐาน: ข้อมูลเชิงบริบทโครงการทางหลวงเศรษฐกิจ North–South Economic Corridor (R3A) และการยกระดับ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ที่หนุนบทบาทเชียงรายเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์และการค้าชายแดน
    (กรมทางหลวง/เอกสาร GMS–R3A, ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง/กรมท่าอากาศยาน)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผู้ว่าฯ เชียงรายสั่งลุย! จับร้านกัญชา-น้ำกระท่อมปรุงขายเยาวชน

เชียงรายเปิดปฏิบัติการ “เชียงรายฟ้าใส ไร้สิ่งมอมเมา” ลุยตรวจ–จับร้านกัญชา–น้ำกระท่อมปรุงใกล้โรงพยาบาลและสถานศึกษา หลังร้องเรียนขายให้เยาวชนไม่สนกฎหมาย

เชียงราย, 27 สิงหาคม 2568 —ช่องว่างการกำกับดูแล “พืชกระท่อม–กัญชา” หลังปลดล็อกในระดับประเทศ กลายเป็นโจทย์ยากของจังหวัดท่องเที่ยว–การค้าชายแดนอย่างเชียงราย เมื่อธุรกิจบางส่วนฉวยโอกาสตั้งร้านในทำเลอ่อนไหวและขายให้กลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะเยาวชน ประเด็นนี้ไม่ใช่แค่กฎหมายลายลักษณ์อักษร แต่คือ “สมดุลใหม่” ระหว่างสุขภาพสาธารณะ เศรษฐกิจท้องถิ่น และความปลอดภัยชุมชน ข่าวชิ้นนี้พาไล่เรียงจากเสียงร้องเรียนของพ่อแม่–ครู สู่การบูรณาการ “ฝ่ายปกครอง–สาธารณสุข–ตำรวจ” ลงพื้นที่จริง พร้อมคลี่ให้เห็นปมกฎหมาย–ทางปฏิบัติที่ต้องเร่งปิด และข้อเสนอเพื่อให้ธุรกิจอยู่ได้–เด็กปลอดภัย–เมืองไม่เสื่อมโทรม

เสียงจากผู้ปกครอง–ครู จุดชนวน “เช็คตรง–จับจริง” ใจกลางเมือง

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 27 ส.ค. 2568 ภายใต้คำสั่งการของ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ชุดปฏิบัติการผสมจาก ที่ทำการปกครองจังหวัดเชียงราย (กลุ่มงานความมั่นคง), สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย, ที่ทำการปกครองอำเภอเมืองเชียงราย และ สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงราย ได้เข้าตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายกับสถานประกอบการร้านจำหน่ายกัญชา “#ใจแลกใจ” ซึ่งตั้งอยู่บริเวณสี่แยกหลัง โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ — ทำเลที่มีทั้งโรงพยาบาลและสถานศึกษากระจุกหนาแน่น

เบื้องหลังการลงพื้นที่ครั้งนี้ เริ่มจาก ข้อร้องเรียนต่อเนื่อง ของผู้ปกครองและสถานศึกษาในย่านดังกล่าว ระบุพฤติการณ์จำหน่าย ช่อดอกกัญชา และ น้ำต้มใบกระท่อมปรุงรส ให้แก่นักเรียน–เยาวชน อย่างเปิดเผย ตลอดทั้งกลางวันและยามวิกาล จนเกิดปัญหามั่วสุมใกล้ชุมชน ซึ่งสร้างแรงกดดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้อง “ตรวจ–ตัด–เตือน” แบบเร่งด่วน

ทำเลอ่อนไหว–พฤติการณ์ชัด–ดื่มผสมปรุงรส ขายง่าย ราคางาม

จากการตรวจค้น เจ้าหน้าที่พบว่าร้านดังกล่าวตั้งอยู่ ไม่ถึง 200 เมตร จากโรงพยาบาลและสถานศึกษา ถือเป็น ทำเลเสี่ยงต่อการเข้าถึงของเยาวชนและผู้ป่วย แม้ทางร้าน อ้างมีใบอนุญาตจำหน่ายกัญชา แต่พบ การจำหน่าย “น้ำกระท่อมปรุง” เป็นกิจวัตร ทั้งในรูปแบบเครื่องดื่มปรุงแต่งรสชาติ ซึ่งเป็น ผลิตภัณฑ์ที่อยู่ภายใต้ข้อห้ามของกฎหมายอาหาร และหลักเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข

ที่น่าห่วงยิ่งกว่า คือ การไม่ตรวจสอบอายุผู้ซื้อ และ ไม่เรียกดูใบสั่งแพทย์/ใบรับรองแพทย์ ตามแนวทางที่หน่วยงานสาธารณสุขกำหนดสำหรับการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ส่งผลให้ นักเรียน–เยาวชนเข้าถึงได้ง่าย และมีรายงานจากชุมชนว่า มีการรวมกลุ่มมั่วสุม หลังซื้อออกจากร้าน ทั้งในช่วงหลังเลิกเรียนและยามค่ำคืน

คำให้การและของกลาง: ผู้จัดการยอมรับ “ขายจริง–ไม่คัดกรอง” รายได้วันละหลักหมื่น

ภายในร้าน เจ้าหน้าที่ควบคุมตัว นายวิจิตรศักดิ์ (นามสมมติ) อายุ 27 ปี แสดงตนเป็นผู้จัดการและผู้จำหน่าย นายวิจิตรศักดิ์ รับสารภาพในที่เกิดเหตุ ว่ามีการจำหน่ายทั้งช่อดอกกัญชาและน้ำต้มใบกระท่อมปรุง โดยไม่สอบถามอายุ–ไม่เรียกใบสั่งแพทย์ พร้อมให้ข้อมูลเชิงธุรกิจว่า มีรายได้เฉลี่ยวันละ 10,000–15,000 บาท สะท้อน เม็ดเงินหมุนเวียน ของธุรกิจที่อาศัยช่องว่างกำกับดูแลได้อย่างชัดเจน

เจ้าหน้าที่จึงรวบรวม ของกลาง และแจ้งข้อกล่าวหา 2 กระทงหลัก ได้แก่

  1. จำหน่ายอาหารที่ห้ามจำหน่าย (กรณี “น้ำกระท่อมปรุง”) — โทษจำคุก 6 เดือน–2 ปี และปรับ 5,000–20,000 บาท ตามกฎหมายอาหารและประกาศที่เกี่ยวข้องของกระทรวงสาธารณสุข
  2. ตั้งสถานที่จำหน่ายอาหารโดยไม่มีหนังสือรับรองฯ — โทษจำคุก ไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับ ไม่เกิน 25,000 บาท ตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข

ภายหลังการแจ้งข้อหา เจ้าหน้าที่นำตัวผู้ต้องหาและของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองเชียงราย เพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอน

คลายปมกฎหมาย “ปลดล็อกไม่ใช่เสรี” และทำไม “น้ำกระท่อมปรุง” ยังผิด

การปลดล็อกพืชกระท่อมและกัญชาในช่วงที่ผ่านมา มิได้หมายถึงเสรีภาพเต็มรูปแบบ การจำหน่าย–โฆษณา–รูปแบบผลิตภัณฑ์ และ กลุ่มเปราะบาง” (เช่น ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี, หญิงตั้งครรภ์/ให้นมบุตร) ยังถูก จำกัดและห้าม หลายประการ โดยเฉพาะฝั่งอาหาร–เครื่องดื่ม ซึ่งอยู่ภายใต้ พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 และ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ที่ระบุ รายการอาหารต้องห้ามผลิต–นำเข้า–จำหน่าย อย่างชัดเจน

  • น้ำกระท่อมปรุง” จัดเป็น อาหาร/เครื่องดื่มที่ห้ามผลิต–นำเข้า–จำหน่าย เพราะอยู่ในประเภทผลิตภัณฑ์ที่มี ความเสี่ยงต่อสุขภาพ และ ความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์ ควบคุมไม่ได้จากการต้ม–ปรุง–ผสม
  • การจำหน่าย ช่อดอกกัญชา ต้องดำเนินการภายใต้ หลักเกณฑ์เฉพาะ (เช่น การแสดงข้อความคำเตือน, ข้อห้ามขายให้ผู้มีอายุต่ำกว่าเกณฑ์, ข้อจำกัดสถานที่ขาย–บริโภค) รวมถึง การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ที่ต้องมี ผู้ประกอบวิชาชีพ/สถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาต กำกับดูแล
  • ทำเลตั้งร้าน ใกล้ โรงพยาบาล–สถานศึกษา–ชุมชน หลายจังหวัดและท้องถิ่นมี ข้อบัญญัติ/คำสั่ง กำกับระยะห่าง/เขตห้าม เพื่อป้องกันการเข้าถึงของเยาวชน แม้ “ระยะเมตร” จะต่างกันตามข้อกำหนดแต่ละพื้นที่ ใจกลางเมืองเชียงราย ก็ถือเป็น เขตอ่อนไหว” ที่หน่วยงานต้องพิจารณาเข้ม

ความจริงสำคัญคือ การใช้ประโยชน์เชิงการแพทย์ กับ การค้าเชิงเสพ มี “เส้นบาง ๆ” คั่นอยู่ที่ เครื่องมือกำกับ–ความรับผิดชอบผู้ประกอบการ–การบังคับใช้กฎหมายเชิงพื้นที่ กรณีร้านดังกล่าวจึงถูกดำเนินคดีในส่วนที่ กฎหมายกำหนดชัด คือผลิตภัณฑ์อาหารต้องห้าม และการตั้งสถานจำหน่ายโดยไม่มีหนังสือรับรอง

มุมสังคม ทำไม “ร้านใกล้โรงพยาบาล–สถานศึกษา” เสี่ยงเป็นพิเศษ

เชียงรายเป็นเมืองที่มีทั้ง โรงเรียน–มหาวิทยาลัย–โรงพยาบาล กระจุกในรัศมีไม่กี่กิโลเมตรจากศูนย์กลางเมือง การมีร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่อาจก่อ ผลกระทบต่อพฤติกรรม/สุขภาพ อยู่ ในรัศมีเดินถึง ย่อมเพิ่มโอกาสเข้าถึงของเยาวชน อย่างก้าวกระโดด ยิ่งเมื่อ ไม่มีการคัดกรองอายุ ตามที่พบในคดีนี้

ประเด็นนี้สัมพันธ์กับ ทฤษฎี “ความพร้อมใช้งาน–ราคาย่อมเยา–การยอมรับทางสังคม” (Availability–Affordability–Acceptability) ซึ่งระบุว่า หาก มีของ–ราคาไม่แพง–สังคมไม่ห้าม อัตราการทดลองใช้ในเยาวชนจะ พุ่งขึ้น แนวทางสาธารณสุขจึงมักใช้ การจำกัดทำเล และ การบังคับใช้เข้มกับผู้ขาย เป็น “ด่านหน้า” ป้องกัน ก่อนจะค่อย ๆ เสริมด้วย การให้ความรู้ ครู–ผู้ปกครอง–นักเรียน เพื่อสร้าง “ภูมิคุ้มกันทางข้อมูล”

ภาพรวมการปฏิบัติการบูรณาการ–ปิดช่องโหว่–ปักหมุดมาตรฐานใหม่

การลงพื้นที่ครั้งนี้สะท้อน สามยุทธศาสตร์หลัก ของจังหวัดเชียงราย

  1. เชิงรุก (Proactive): ใช้ ข้อร้องเรียน เป็นสัญญาณเตือน ร่วมบูรณาการฝ่ายปกครอง–สาธารณสุข–ตำรวจ ตรวจจริง–จับจริง
  2. เชิงกฎหมาย (Enforcement): ชี้เป้า บทบัญญัติที่ชัดเจน (อาหารต้องห้าม, การตั้งสถานที่จำหน่ายโดยไม่มีหนังสือรับรอง) เพื่อ ดำเนินคดีได้ทันที ลดการตีความ
  3. เชิงระบบ (Systemic): หลังคดีนี้ สาธารณสุขจังหวัด เตรียม สั่งพักใช้ใบอนุญาต/ทบทวนเงื่อนไข และแจ้งมาตรการ “เข้ม” ไปยังผู้ประกอบการในพื้นที่ ตั้งจุดเสี่ยง พร้อม สุ่มตรวจ ต่อเนื่อง

เจ้าหน้าที่ชี้ว่า สัญญาณจากคดีนี้ ไม่ใช่เพียง “ปิดร้านหนึ่ง” แต่คือ เปิดมาตรฐานใหม่ทั้งเมือง” — ร้านใดตั้งอยู่ใน ทำเลอ่อนไหว หรือ ละเลยการคัดกรองอายุ จะถูก เพ่งเล็ง–สุ่มตรวจ–ปรับปรุงหรือปิด ตามกฎหมายและดุลพินิจเชิงพื้นที่

เสริมเกราะป้องกัน 5 แนวทางลดเสี่ยงเชิงพื้นที่–ชุมชน

เพื่อให้ “ธุรกิจเดิน–เด็กปลอดภัย–เมืองไม่เสื่อมโทรม” ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายสาธารณสุขในพื้นที่เสนอแนวทางที่ ทำได้ทันที ดังนี้

  • กำหนดโซนนิ่ง/ระยะห่าง รอบสถานศึกษา–โรงพยาบาล–ศูนย์เยาวชน โดยออกเป็น คำสั่ง/ข้อบัญญัติท้องถิ่น ที่อ่านง่าย–บังคับใช้ได้จริง
  • บังคับป้ายคำเตือน–ข้อห้ามขาย ที่จุดขายทุกร้าน (เช่น ไม่ขายให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี/หญิงตั้งครรภ์/ให้นมบุตร) พร้อม กล้องบันทึก–ระบบสุ่มตรวจอายุ
  • สุ่มตรวจเชิงสารวิเคราะห์ สำหรับผลิตภัณฑ์น้ำกระท่อม–กัญชาปรุงแต่ง เพื่อเช็ก ความเข้มข้นสารออกฤทธิ์ และ การปนเปื้อน
  • ตั้งช่องร้องเรียนออนไลน์ เชื่อม ฝ่ายปกครอง–สาธารณสุข–ตำรวจ ตอบสนองภายใน 24–48 ชม.
  • จัดชุดเคลื่อนที่เร็ว (Rapid Response) ลงพื้นที่ หลังเลิกเรียน–ยามวิกาล ในจุดเสี่ยง เพื่อตัดวงจร มั่วสุม–เสพผสม

มองไกลกว่าคดี เมื่อ “ความรับผิดชอบของผู้ประกอบการ” คือเส้นแบ่ง

บทเรียนจากกรณีนี้ตอกย้ำว่า ผู้ประกอบการที่ปรับตัวรับกติกา ยังเดินธุรกิจได้ โดยเฉพาะร้านที่เน้น สินค้าเชิงสุขภาพ–กึ่งการแพทย์ และมี มาตรการคัดกรอง–ป้องกันเยาวชน ที่เข้มงวด ในทางกลับกัน ผู้ที่อาศัยช่องว่าง ขายให้กลุ่มเปราะบาง–ตั้งร้านใกล้แหล่งเสี่ยง–ปรุงแต่งผลิตภัณฑ์ต้องห้าม ย่อมเผชิญ ต้นทุนทางกฎหมาย–ชื่อเสียง–ความเชื่อมั่น ที่สูงกว่าผลตอบแทนในระยะยาว

หรือกล่าวให้ชัด “ปลดล็อกไม่ใช่ปล่อยเสรี” เมืองจะเดินหน้าได้ เมื่อ ทุกฝ่ายแสดงความรับผิดชอบ ตามบทบาท — รัฐออกกติกาชัด–บังคับใช้จริง, ธุรกิจค้าขายอย่างใจเข็มทิศสาธารณสุข, ครู–พ่อแม่สื่อสารกับเด็กเรื่องความเสี่ยง และชุมชนช่วยกัน เฝ้าระวังเชิงสร้างสรรค์

เชียงรายปักหมุด “ฟ้าใส” ด้วยกฎหมายที่ทำงาน–ชุมชนที่ไม่นิ่งเฉย

คดี “#ใจแลกใจ” ไม่ใช่เพียงภาพจับกุมรายวัน แต่คือ จุดเปลี่ยนเชิงสัญลักษณ์ ว่าเชียงรายกำลังก้าวสู่ มาตรฐานเมืองปลอดภัยสำหรับเยาวชน ด้วย 3 กลไกขับเคลื่อนพร้อมกัน—ชุมชนร้องเรียนอย่างมีหลักฐาน, รัฐบังคับใช้กฎหมายชัด–รวดเร็ว, และ สาธารณสุขวางเงื่อนไข–สั่งพักใบอนุญาตเมื่อจำเป็น สิ่งสำคัญคือ ความต่อเนื่อง: สุ่มตรวจ–สื่อสาร–ทำให้เห็นผลของการทำผิด (โทษ–ค่าปรับ–ปิด) และผลของการทำถูก (อยู่ได้–เชื่อถือได้)

หากรักษา “วินัยใหม่” นี้ไว้ได้ยาว ๆ เชียงรายจะไม่เพียง “ฟ้าใส” ต่อหน้ากล้องในวันจับกุม แต่จะ ใสจริง ในชีวิตประจำวันของเด็ก ๆ ครู พ่อแม่ และผู้ป่วยรอบโรงพยาบาล–สถานศึกษา ซึ่งคือ หัวใจแท้ของเมืองน่าอยู่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ที่ทำการปกครองจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • ที่ทำการปกครองอำเภอเมืองเชียงราย
  • สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงราย
  • ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 430) พ.ศ. 2564
  • พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522
  • พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

เชียงรายปั้น “แพลตฟอร์มกลาง” แก้วิกฤตภัยพิบัติ เชื่อมข้อมูล-อาสาฯ ไม่ซ้ำซ้อน

เชียงรายยกระดับ “ระบบกู้ภัยอัจฉริยะ” ใช้แผนที่–ข้อมูล–อาสาสมัคร เชื่อมรัฐกับประชาชน หลังบทเรียนอุทกภัย 2567 เดินหน้าปั้น “แพลตฟอร์มกลางจังหวัด” รับมือภัยพิบัติครบวงจร

เชียงราย, 26 สิงหาคม 2568 — 2–3 ปีที่ผ่านมา ภัยพิบัติในภาคเหนือมีทั้งความถี่และความรุนแรงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ “น้ำหลากปนโคลน” ที่เกิดจากปัจจัยร่วมของฝนตกหนัก น้ำท่า และน้ำหนุน ทำให้รูปแบบความเสียหายต่างจากน้ำท่วมเมืองแบบเดิมอย่างมีนัยสำคัญ บทเรียนใหญ่ของเชียงรายในเดือนกันยายน 2567 จึงไม่ใช่แค่เรื่องเครื่องมือกู้ภัยหรืองบเยียวยา แต่คือ “ข้อมูลที่เชื่อมถึงกัน” เพื่อให้คน–หน่วยงาน–ทรัพยากร พบกันได้รวดเร็ว ถูกจุด และไม่ซ้ำซ้อน ข่าวนี้ชี้ให้เห็น 3 ประเด็นหลักที่น่าจับตา: (1) ปัญหาเรื้อรังด้านข้อมูลภาคสนามเมื่อเกิดเหตุ (2) การลุกขึ้นมาสร้างระบบร่วมระหว่างภาครัฐ–มูลนิธิ–แพลตฟอร์มภาคประชาชน และ (3) วิสัยทัศน์ “แพลตฟอร์มกลางของจังหวัด” ที่ตั้งเป้าให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งก่อน–ระหว่าง–หลังภัยพิบัติ หากเชียงรายทำสำเร็จ โมเดลนี้จะต่อยอดสู่จังหวัดอื่นได้ไม่ยาก

เสียงสนทนาแน่นขนัดใน “ห้องประชุมสักทอง” โรงแรม Teak Garden Spa Resort เมืองเชียงราย บ่ายวานนี้สะท้อนความจริงว่า การรับมือภัยพิบัติยุคใหม่ต้องพึ่ง “ข้อมูลที่ดี + เทคโนโลยีที่ใช่ + อาสาสมัครที่พร้อม” ไปพร้อมกัน การอบรมเชิงปฏิบัติการ ระบบปฏิบัติการกู้ภัยด้วยเทคโนโลยีด้านแผนที่และการบริหารจัดการข้อมูลในสถานการณ์ภัยพิบัติ” จัดโดย มูลนิธิกระจกเงา สำนักงานจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ จิตอาสาแคร์ (Jitasa.care) และสมาคมกู้ชีพกู้ภัยศิริกรณ์ มีผู้ปฏิบัติงานจริงจากหลายหน่วยงานเข้าร่วม เพื่อทดลอง “ต่อท่อข้อมูล” ให้ไหลลื่นตั้งแต่ปลายน้ำ (ประชาชนผู้ขอความช่วยเหลือ) ย้อนสู่ต้นน้ำ (ศูนย์บัญชาการ) แบบไร้รอยต่อ

นางสาวประไพ เกศล ผู้อำนวยการมูลนิธิกระจกเงา สำนักงานเชียงราย กล่าวต้อนรับ ก่อนที่ นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย จะประกาศเปิดเวที พร้อมส่งสัญญาณความมุ่งมั่นของจังหวัดในการสร้างระบบที่ “ช่วยได้จริง” ไม่ใช่แค่ “แจ้งเตือน” แล้วหายไป

บทเรียนอุทกภัย 2567 เมื่อ “น้ำสามชนิด” มาเจอกัน และงบเยียวยามหาศาลก็ยังไม่พอ

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ย้อนภาพมหาอุทกภัยเดือนกันยายน 2567 ว่า “ครั้งนั้นไม่ใช่แค่น้ำ แต่เป็นน้ำปนโคลน—ครั้งแรกของพื้นที่” จุดเกิดเหตุไม่ได้มีแค่น้ำฝนในพื้นที่ แต่เกิดจาก สามแรงปะทะ คือ น้ำท่าในพื้นที่ + ฝนตกหนัก + น้ำหนุนจากแม่น้ำโขง พอทั้งสามซ้อนกัน “ท่วม 100% และท่วมนาน” ส่งผลให้รูปแบบความเสียหายขยับจากทรัพย์สินสู่ “สภาพแวดล้อมอยู่อาศัย” ชนิดที่บ้านหลายหลังต้องระดมคน–เครื่องมือ–เวลา เพียงเพื่อ “ตักโคลนออก” ก่อนจะซ่อมแซมอย่างอื่นได้

ภาครัฐเร่งเยียวยาอย่างกว้างขวาง—เงินโอนเยียวยาเข้าบัญชีประชาชนรวม 1,074 ล้านบาท (ไม่รวมงบซ่อมสาธารณูปโภคที่กระทรวงคมนาคมอัดเข้าไป ราว 400–500 ล้านบาท เพื่อฟื้นถนนที่เสียหาย) นอกจากนี้ยังมี “แพ็กเกจ” เฉพาะกิจหลายรายการ อาทิ

  • แพ็กเกจ 1: เงินช่วยเหลือ 9,000 บาท/ครัวเรือน สำหรับบ้านที่น้ำท่วมและเสียหาย ครอบคลุม กว่า 35,000 ครัวเรือน รวมใช้งบ กว่า 350 ล้านบาท
  • แพ็กเกจ 2: เงินช่วย 10,000 บาท/ครัวเรือน สำหรับครัวเรือนที่ต้องขนโคลนออกจากบ้าน ครอบคลุม กว่า 18,000 ครัวเรือน รวม กว่า 180 ล้านบาท
  • แพ็กเกจ 3: ช่วยซ่อมบ้าน–อุปกรณ์ทำกิน สูงสุดไม่เกิน 49,500 บาท
  • แพ็กเกจ 4: เติมเต็มส่วนที่เกินระเบียบราชการโดย สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) อีก 34 ล้านบาท ครอบคลุม 1,200 หลังคาเรือน
  • แพ็กเกจ 5: ภาคเกษตร–ปศุสัตว์–ประมง รวม 268 ล้านบาท
  • แพ็กเกจ 6 และ 8: เงินช่วยจากกองทุนจังหวัดสำหรับบ้านเสียหายทั้งหลัง (174 ครัวเรือน) และช่วยกลุ่มเปราะบาง

ตัวเลขมหาศาลเหล่านี้ช่วยพยุงชีวิตผู้คนให้ลุกเดินต่อ แต่ “เงินอย่างเดียว” ไม่อาจทัดทาน “เวลาช่วยเหลือที่ช้า–ข้อมูลผิดจุด–งานซ้ำซ้อน” ซึ่งคือหัวใจของความสูญเสีย “ที่ป้องกันได้” หากระบบข้อมูลดีตั้งแต่ต้น

จุดเจ็บของภารกิจข้อมูลสะเปะสะปะ พิกัดผิดซ้ำซ้อน “ทำให้คนช่วยไปไม่ถึง”

นายโจ้ จากมูลนิธิกระจกเงา เล่าตรงไปตรงมา—ทุกวิกฤตมี “ช่องว่างข้อมูล” ซ่อนอยู่เสมอ แม้ภาคสนามมีคนและอุปกรณ์พร้อม แต่หาก พิกัดบ้านไม่ชัด” ก็ยากที่ทีมกู้ภัยจะฝ่าเสี่ยงเข้าไปถึงได้ “ตอนแม่สายปีที่แล้ว ญาติ–ชาวบ้านต้องเขียนข้อมูลใส่กระดาษยื่นให้เทศบาล” ก่อนที่ทีมมูลนิธิฯ ต้องมานั่ง คีย์ชื่อกว่า 900 ราย ลง Excel แล้วโทรไล่หาพิกัดจากญาติ ใช้ Google Street View ช่วยเดา บ้านที่ ‘คุ้น’ เมื่อแห้ง แต่ ‘หลง’ เมื่อท่วม และสิ่งที่ทีมได้ยินจากหน่วยซีลที่ถูกเรียกมาช่วยคือ ถ้าข้อมูลไม่ชัด เขาจะไม่ไป”—ไม่ใช่ไม่อยากไป แต่เพราะ การเสี่ยงชีวิตต้องมี “ความชัดเจน” ค้ำประกัน

นายชูเกียรติ จันทบูรณ์ เลขานุการและหัวหน้าชุดปฏิบัติการ สมาคมกู้ชีพกู้ภัยศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัย เสริมบทเรียนจากภารกิจที่น่าน ว่าการ “ไม่มีที่รวมศูนย์รายงานตัว” ทำให้เกิด งานทับซ้อน อย่างกรณีผู้ป่วยฟอกไต—ทีมหนึ่งฝ่าเสี่ยงเอาเรือเข้าไปรับ แต่ไปถึงจุดหมายกลับพบว่า มีทีมอื่นรับตัวออกไปแล้ว เสียทั้งเวลา–น้ำมัน–ความเสี่ยง โดยไม่จำเป็น “ถ้าทุกทีม ทุกเคส รายงานเข้า ‘ที่เดียวกัน’ ใช้เลขเคสเดียวกัน เราจะไม่เสียเวลา”

คำตอบเชิงระบบ “จิตอาสาแคร์” แพลตฟอร์มที่จับคู่งาน–ความช่วยเหลือด้วยแผนที่

คุณวสันชัย วงศ์สันติวนิช หัวหน้าทีม Jitasa.care เล่าจุดเริ่มแพลตฟอร์มที่เกิดจากโศกนาฏกรรมโควิด-19 เมื่อทีมงานคนหนึ่งสูญเสียญาติและ “หาที่เผาศพไม่ได้” ทีมโปรแกรมเมอร์–วิศวกร–นักวิจัยจึงรวมตัวพัฒนาระบบภายใน สองสัปดาห์ เพื่อให้ ความช่วยเหลือหาเจอกัน” ได้จริง จิตอาสาแคร์เคยรองรับผู้ใช้งาน กว่า 2 ล้านคนในกรุงเทพฯ ช่วงวิกฤต และถูกนำมา “รีดีไซน์” เพื่อภารกิจภัยพิบัติ

หน้าจอของจิตอาสาแคร์เข้าใจง่าย—หมุดสีแดง คือคำขอความช่วยเหลือ, หมุดสีเขียว คือมีคน “รับเคสแล้ว”, หมุดสีเทา คือ “ภารกิจสำเร็จ” ระบบมี เลขเคสเฉพาะ (case ID) และ QR/ลิงก์ ให้ส่งหากัน—ทีมไหนเปิดดู ก็เห็นข้อมูลชุดเดียวกัน ลดโอกาสซ้ำซ้อน มูลนิธิกระจกเงาช่วย คัดกรอง–ลบหมุดซ้ำ–ยืนยันข้อมูล ให้ “ข้อมูลชัดก่อนลงเรือ” พร้อมกันนี้ยังออกแบบ บทบาทอาสา 3 กลุ่ม ได้แก่

  1. อาสาประสาน (Operator): รับ–กระจายเคส เชื่อมทุกหน่วย
  2. อาสากู้ภัย (Rescuers): ลงพื้นที่หน้างาน
  3. อาสาข้อมูล (Data Volunteers): เก็บ–รวบรวม–ปรับคุณภาพข้อมูล (ร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัย/มูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ))

ในบางพื้นที่ไม่มีสัญญาณมือถือ ทีมจึงสาธิตการใช้ Gaia GPS—แอปแผนที่ออฟไลน์ที่ดาวน์โหลดแผนที่ไว้ล่วงหน้า บันทึก เส้นทาง–ระยะ–ความสูง–ความชัน ได้ และ นำเข้า/ส่งออกไฟล์ GPX/KML เพื่อแชร์เส้นทางเดียวกันระหว่างทีม สอดคล้องกับความจริงภาคสนามที่ Google Maps อาจไม่ตอบโจทย์เมื่อ “สัญญาณล่ม”

กลางคืน–น้ำเชี่ยว–ไฟดับ และพฤติกรรม “ไม่อพยพ” ในระยะเตือน

นายชูเกียรติเล่าตรงไปตรงมา งานกู้ภัย “กลางคืน–ไม่มีไฟ–น้ำแรง” คือเสี่ยงที่สุด อีกทั้ง ชาวบ้านจำนวนมากไม่ยอมอพยพตั้งแต่แรก ยอมออกก็ต่อเมื่อ “น้ำถึงอก” ทำให้ทีมต้อง “วนซ้ำ” จุดเดิมหลายรอบ ความปลอดภัยของทั้งผู้ช่วยและผู้รอก็ลดลงพร้อมกัน

มิติโดรนจึงถูกหยิบมาหารือ จะบินอย่างไรให้ ‘ข้อมูล’ กลับมาที่ศูนย์กลาง ไม่ใช่แค่ ‘ภาพ’ อยู่ในมือถือคนบิน” หากทุกเที่ยวบินถูกเก็บเป็น เลเยอร์แผนที่เดียวกัน ทีมบัญชาการจะเห็นภาพรวม แบบเรียลไทม์ จัดคิว–จัดเส้นทาง–จัดอุปกรณ์ให้ “ตรงจุด–ทันเวลา” มากกว่า และอนาคตทีมเทคนิคกำลังพิจารณา อุปกรณ์ส่งพิกัดผ่านคลื่นวิทยุสื่อสาร เพื่อแก้ปัญหา “ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์” ในบางจุด

 “แพลตฟอร์มเดียว–ข้อมูลเดียว” ของทั้งจังหวัด

หัวใจที่รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายย้ำคือ แพลตฟอร์มกลางของจังหวัดเพียงหนึ่งเดียว” เพื่อรวม ข้อมูลเตือนภัย + คำขอช่วยเหลือ + แผนที่ภารกิจ + สถานะเยียวยา ไว้ที่เดียว และต้อง อ่านเข้าใจง่าย สำหรับประชาชนใน 1,774 หมู่บ้าน 124 ตำบล 144 อปท. โดยตั้งใจให้ มูลนิธิกระจกเงาและเครือข่าย ทำหน้าที่ “มือกลาง” บริหารระบบ ด้วยเหตุผลด้านความยืดหยุ่น ว่องไว และเชื่อมภาคสนามได้จริง

“ข้อมูลใดก็ตามต้อง ‘ไหล’ เข้ามาที่แพลตฟอร์มกลาง และผ่านการกลั่นกรองในนามจังหวัด เปรียบเหมือน ตรารับรองมาตรฐาน เพื่อให้ประชาชน เชื่อถือ” แนวคิดนี้ไม่ได้หยุดแค่ ก่อนเกิดภัย (เตือน–เตรียม) แต่จะครอบคลุม ระหว่างภัย (ขอ–จัดคิว–กู้ภัย) และ หลังภัย (สำรวจ–เยียวยา–ฟื้นฟู) ให้ครบวงจร ซึ่งในปี 2568 ที่เชียงรายเริ่มทดลองใช้จริง “ระบบไหลลื่นกว่าปีก่อนมาก” ตามคำบอกเล่าของทีมจิตอาสาแคร์ ขณะที่รองผู้ว่าฯ ทิ้งท้ายบนเวทีว่า “สิ่งที่เราทำวันนี้ จะเป็น ต้นแบบ ให้จังหวัดอื่นนำไปปรับใช้—เพื่อประโยชน์ของพี่น้องชาวเชียงราย กว่า 1,290,000 คน และประชาชนทั่วประเทศ”

ตัวเลขที่ชวนคิด ทำไม “ข้อมูลดี” ถึงสำคัญกว่างบอีกหลายร้อยล้าน

  • 1,074 ล้านบาท เยียวยาเข้าบัญชีประชาชน + 400–500 ล้านบาท ซ่อมถนน คือค่าใช้จ่าย “ปลายน้ำ” ที่จำเป็น แต่หาก ข้อมูล/การสื่อสารต้นน้ำดี (พิกัดแม่น, ไม่ซ้ำเคส, จัดคิวถูก) ความสูญเสียและงบซ่อมซ้ำจะลดลงอย่างเป็นรูปธรรม
  • 35,000 + 18,000 ครัวเรือน ในสองแพ็กเกจหลัก สะท้อนสเกล “งานข้อมูล” ที่ต้องรองรับ—โมเดล “คีย์กระดาษ–โทรถามพิกัด–เดา Street View” ไม่อาจทันภัยพิบัติรุ่นใหม่อีกต่อไป
  • 1,774 หมู่บ้าน คือสาเหตุว่าทำไม “แพลตฟอร์มเดียว” สำคัญ—ต่างหน่วยต่างทำ ย่อมได้ “ความดีคนละชิ้น” แต่ “ระบบที่เชื่อมกัน” จะได้ “ความสำเร็จชิ้นเดียว” ที่ใหญ่กว่า

ข้อตกลงความร่วมมือและการเปิดข้อมูลแบบรับผิดชอบ

เวทีประกาศความตั้งใจจะลงนาม บันทึกความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง มูลนิธิกระจกเงา – จิตอาสาแคร์ – สมาคมกู้ชีพกู้ภัยศิริกรณ์ เพื่อกำหนด มาตรฐานข้อมูล–ขั้นตอนปฏิบัติ–การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และ “บทบาท–หน้าที่” ของอาสาแต่ละกลุ่มให้ชัด ทำให้ทุกภาคส่วน เห็นภาพเดียวกัน ตั้งแต่ระดับตำบลถึงศูนย์บัญชาการ

แก่นของบทเรียนเชียงราย จึงไม่ใช่การมีเครื่องมือมากชิ้น หากแต่คือ การเอาเครื่องมือที่มีอยู่มา “เชื่อมเข้าหากัน” บนแผนที่เดียวและภาษาข้อมูลเดียว เพื่อให้ “คนที่เดือดร้อน” ได้เจอ “คนที่พร้อมช่วย” โดยมีรัฐทำหน้าที่รับรองมาตรฐานและอำนวยทรัพยากรสนับสนุน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย / รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย — ข้อมูลภาพรวมสถานการณ์อุทกภัย 2567 ในพื้นที่, แนวคิด “แพลตฟอร์มกลางจังหวัด”, ตัวเลขเยียวยาและแพ็กเกจช่วยเหลือสำคัญที่ประกาศใช้ในพื้นที่
  • มูลนิธิกระจกเงา (สำนักงานเชียงราย) — รายละเอียดการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ, บทบาทคัดกรอง/ยืนยันข้อมูลภาคสนาม, ประสบการณ์ภารกิจแม่สาย (การคีย์ข้อมูล 900 รายชื่อ, การยืนยันพิกัด)
  • แพลตฟอร์มจิตอาสาแคร์ (Jitasa.care) — หลักการทำงานของระบบจับคู่ความช่วยเหลือ (หมุดสีแดง/เขียว/เทา, case ID, QR/ลิงก์), ที่มาแพลตฟอร์มยุคโควิดและการใช้งานใน กทม. ช่วงวิกฤต
  • สมาคมกู้ชีพกู้ภัยศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัย — ประเด็นปัญหางานซ้ำซ้อน, ข้อเสนอเรื่อง “รายงานตัวที่เดียว”, ข้อจำกัดปฏิบัติการกลางคืน–น้ำแรง–อพยพล่าช้า
  • เครือข่ายอาสา–ภาควิชาการ (เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ)) — บทบาทสนับสนุนข้อมูลฝน–น้ำและงานอาสาข้อมูล (Data Volunteers) ในระบบ
  • ข้อมูลเทคนิคแผนที่ออฟไลน์ (เครื่องมือประเภท Gaia GPS) — คุณสมบัติการดาวน์โหลดแผนที่ล่วงหน้า, บันทึกเส้นทาง–ความสูง–ความชัน, นำเข้า/ส่งออก GPX/KML สำหรับใช้ในพื้นที่อับสัญญาณ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

สะพานแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก “ล็อกดาวน์สินค้า” ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจเมียนมา

ล็อกดาวน์สินค้า” สะพานแม่สาย–ท่าขี้เหล็ก สัญญาณสั่นคลอนเศรษฐกิจชายแดน—ของจำเป็นขาดแคลน ค่าใช้จ่ายขนส่งพุ่ง เสี่ยง “ค้าเถื่อน” คืนชีพ

เชียงราย, 26 สิงหาคม 2568 —วันที่ชายแดนไม่เหมือนเดิม รถบรรทุกจอดเรียงรายริมถนนพหลโยธินฝั่งอำเภอแม่สาย โดยมีแม่น้ำสายกั้นกลางสู่เมืองท่าขี้เหล็กของเมียนมา เหนือศีรษะคือคานเหล็กของสะพานมิตรภาพไทย–เมียนมา แห่งที่ 1 ที่เคยคึกคักด้วยกระแสสินค้าหลั่งไหล วันนี้กลับถูกบีบให้เหลือเพียง “ช่องเล็ก” สำหรับอาหารและเครื่องดื่มเท่านั้น สะท้อน “การล็อกดาวน์สินค้า” ที่สื่อเมียนมาอย่าง The People’s Voice รายงานเมื่อ 25 สิงหาคม 2568 ว่าทางการฝั่งท่าขี้เหล็ก จำกัดการขนส่งสินค้าทุกประเภท ยกเว้นอาหารและเครื่องดื่มในปริมาณจำกัด สร้างแรงกระเพื่อมต่อเศรษฐกิจ–สังคมทั้งฝั่งไทยและเมียนมาอย่างฉับพลัน

ข่าวสั้นไม่กี่บรรทัดจากฝั่งท่าขี้เหล็ก แปลความหมายเป็นภาพยาวไกล: สายพานค้าชายแดนที่พึ่งพาเวลานาทีต่อ นาที เริ่มสะดุด ตลาดเมืองหลักของรัฐฉานอย่าง ตองยี ร้องขาด “ของจำเป็น” โดยเฉพาะ ยา อุปกรณ์ไฟฟ้า–คอมพิวเตอร์ และชิ้นส่วนโทรศัพท์ที่พึ่งพาการนำเข้า—สินค้าที่ “ไม่ได้อยู่ในกรอบยกเว้น” เมื่อสะพานแคบลง คลื่นราคาในฝั่งเมียนมาก็สูงชันขึ้นตามรายงานภาคสนาม ขณะที่สายเดินรถขนส่งหลายสาย “หยุดให้บริการ” เพราะ ค่าธรรมเนียมท่าเรือสูงขึ้น และเกิดสภาวะ “มีแต่ขาไป ไม่มีขากลับ” ทำให้ต้นทุน/เที่ยว ขาดความคุ้มทุน ทวีคูณ

ปมเหตุที่เชื่อมถึง “ภูมิรัฐศาสตร์ของท้องตลาด”

มาตรการจำกัดสินค้าข้ามแดนครั้งนี้เกิดขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมา ที่ยืดเยื้อ และแรงกดดันทางเศรษฐกิจภายในประเทศที่ทวีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาการสำคัญปรากฏที่ชายแดน: เมื่อช่องทางการค้า “ปกติ” ถูกบีบให้เล็กลง ความต้องการของตลาด—โดยเฉพาะ ยารักษาโรค–ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์–อุปกรณ์สื่อสาร—ไม่ได้หายไป แต่ถูกผลักให้ไหลลง ช่องทางไม่เป็นทางการ มากขึ้น เสี่ยงให้ การค้าเถื่อน” คืนชีพ อย่างที่ผู้ประกอบการหลายรายบนแนวชายแดนกังวล

แต่ผลสะเทือนมิได้จำกัดอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสาย ฝั่งไทย—โดยเฉพาะ เชียงราย—ซึ่งพึ่งพา การค้าชายแดน เป็นกลไกหลักของเศรษฐกิจท้องถิ่น ก็ต้องเผชิญแรงดึงกลับจากสองทิศทางพร้อมกัน

  1. ปริมาณธุรกรรมถูกหดรัด รายได้เกี่ยวเนื่องจากโลจิสติกส์–บริการชายแดนหดตัว
  2. ความเสี่ยงด้านความมั่นคงเพิ่ม เจ้าหน้าที่ต้องเฝ้าระวัง ลักลอบนำเข้า–ส่งออก สินค้าต้องห้าม/สินค้าที่ไม่ผ่านมาตรฐาน ซึ่งมักมาพร้อมกับ สินค้าปลอม–ยาปลอม และ อาชญากรรมข้ามชาติ รูปแบบต่างๆ

ของขาด–ราคาเพิ่ม–เส้นทางหยุด” เส้นทางวิกฤตที่ซ้ำเติมกันเอง

รายงานของ The People’s Voice ต่อจิ๊กซอว์สามชิ้นที่ร้อยเข้าด้วยกันอย่างน่ากังวล

  • ขาดแคลนยาและอะไหล่สื่อสาร: ร้านค้าบริเวณตลาดเมืองตองยีสะท้อนตรงกันว่า “ยา” และ อุปกรณ์ไฟฟ้า–คอมพิวเตอร์–ชิ้นส่วนโทรศัพท์ ขาดแคลนหนัก สินค้าที่เคยเดินทางผ่านชายแดนภาคเหนือของไทยด้วยรูปแบบปกติ กลับต้องหยุดชะงักเมื่อ “รายการสินค้าต้องห้าม” ของทางการเมียนมา ยืดตัว ไปครอบคลุมสินค้าจำเป็นจำนวนมาก
  • ต้นทุนโลจิสติกส์ถีบตัว: มาตรการจำกัดสินค้าบีบให้ ค่าธรรมเนียมท่าเรือ–ผ่านแดนสูงขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทขนส่งเผชิญภาวะ เที่ยวขากลับว่างเปล่า เมื่อสินค้า “ไม่เข้าเกณฑ์ผ่านได้” ย่อมไม่มีสินค้าให้บรรทุกย้อนกลับ—ต้นทุนต่อเที่ยวจึง พุ่งขึ้นทันที
  • ความเสี่ยง “ตลาดมืด” แทรกตัว: เมื่อสินค้าในตลาดทางการขาดแคลนและราคาเด้งสูง ผู้ค้าบางส่วน—เพื่อความอยู่รอด—อาจหันไป ช่องทางนอกระบบ ซึ่งสำหรับแนวชายแดนที่สลับซับซ้อนและภูมิประเทศเอื้อต่อการเล็ดลอด นี่คือความเสี่ยงที่ฝ่ายความมั่นคงต้องคาดการณ์ล่วงหน้า

เชียงรายต้องเตรียมอะไร มาตรการ “ตั้งรับ–รุก–ประสาน” ในเวลาเดียวกัน

ในสถานการณ์ที่ข้อมูลอย่างเป็นทางการจากฝั่งเมียนมามักมาแบบกระท่อนกระแท่น หน่วยงานไทยจำเป็นต้องขยับเชิงรุก ทั้งมิติ การค้า–ความมั่นคง–ผู้บริโภค ไปพร้อมกัน

  1. เข้มด่าน–คุมคุณภาพสินค้าเข้มงวด
    • ศุลกากร–ตรวจคนเข้าเมือง–ฝ่ายปกครอง ควรประสาน เพิ่มการสแกนความเสี่ยงตามชนิดสินค้า (risk-based) บนสินค้าประเภทที่มีโอกาสลักลอบสูง เช่น ยา–อาหารเสริม–ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยเน้น คุณภาพ–มาตรฐาน ป้องกันสินค้าปลอม/ไม่ปลอดภัย หลุดสู่ผู้บริโภคฝั่งไทย
  2. กัน “แร่–สินแร่สกปรก” และของผิด กม. ไม่ให้ปนสายในวิกฤต
    • วิกฤตฝั่งโน้นอาจเปิดช่องให้ แร่–สินแร่ จากพื้นที่เสี่ยง (รวมถึงสินค้าควบคุมอื่น) ไหลผ่านช่องทางผิดกฎหมาย เพื่อแปรรูป/ตบตาเอกสารในไทย จำเป็นต้อง ยกระดับตรวจสอบแหล่งที่มา (traceability) และ เครือข่ายข่าวกรองชุมชน บริเวณจุดผ่อนปรน/ทางลำลอง
  3. ดูแลผู้ประกอบการขนส่ง–ค้าชายแดนไทย
    • รัฐควรพิจารณา ผ่อนคลายน้ำหนักภาษี/ค่าธรรมเนียมบางประเภทชั่วคราว หรือจัด สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ให้ผู้ประกอบการขนส่งชายแดนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เพื่อ คงสภาพการจ้างงาน และไม่ให้ระบบโลจิสติกส์ท้องถิ่น “หยุดนิ่ง”
  4. คุ้มครองผู้บริโภค–สาธารณสุขชายแดน
    • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น–สาธารณสุขจังหวัด ควร เผยแพร่คำเตือน เรื่องการซื้อ ยา/อุปกรณ์การแพทย์ ผ่านช่องทางนอกระบบ และตั้ง จุดให้คำปรึกษา สำหรับผู้ที่จำเป็นต้องเข้าถึงยา พร้อมจับมือ โรงพยาบาล–ร้านขายยา บริหารจัดการ ยาเทียบเคียง/ยาทดแทน ในภาวะเปลี่ยนผ่าน
  5. เดินหน้าช่องทางประสานงานเทคนิคกับฝั่งเมียนมา
    • นอกเหนือจากระดับรัฐบาลกลาง ควรใช้ ช่องทางชายแดน–จังหวัดคู่แฝด ระหว่าง แม่สาย–ท่าขี้เหล็ก เปิดโต๊ะหารือเทคนิคเพื่อ กำหนดรายการยกเว้นอย่างโปร่งใส (เช่น ยาจำเป็นเวชภัณฑ์, อุปกรณ์การแพทย์เร่งด่วน) และออก คิวโควตา ที่สามารถคาดการณ์ได้ ลดแรงจูงใจเข้าสู่ตลาดมืด

เมื่อเศรษฐกิจคลอนแคลน ความมั่นคงชายแดนย่อมเปราะบาง

ประวัติศาสตร์การค้าชายแดนไทย–เมียนมาบอกเราว่า เมื่อเศรษฐกิจฝั่งหนึ่งสะดุด ชายแดนจะเห็น “เส้นทางเงา” ขยับทันที ทั้ง สินค้าต้องห้าม–แรงงานผิดกฎหมาย–สารเสพติด–อาชญากรรมไซเบอร์ ความรุนแรงของลูกคลื่นขึ้นกับสองปัจจัย:

  • ช่องทางทางการเปิดแคบแค่ไหน (ยิ่งแคบ ยิ่งดันให้ไหลใต้ดิน)
  • ความเข้มแข็งของการบังคับใช้กฎหมาย ทั้งสองฝั่ง (ยิ่งรั่ว ยิ่งไหล)

ในกรอบนี้ เชียงรายต้อง รักษาสมดุลยาก ระหว่าง เอื้อต่อการค้าถูกกฎหมาย (เพื่อพยุงเศรษฐกิจท้องถิ่น) กับ ปิดช่องโหว่ ที่เปิดโอกาสให้สินค้าผิดกฎหมายเล็ดลอด สาระสำคัญไม่ใช่ “ปิด–เปิด” แต่คือ เปิดอย่างมีระบบ–ปิดอย่างมีข้อมูล” ผ่านการ แลกเปลี่ยนข้อมูลเรียลไทม์ ระหว่างศุลกากร–ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง–กองกำลังผสมชายแดน–ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ

เสียงจากปลายน้ำ เมื่อตลาดเปลี่ยน ผู้ประกอบการไทยต้องเปลี่ยนแผน

สำหรับผู้ประกอบการไทย 3–6 เดือน ข้างหน้าควรถือเป็นช่วง “บริหารความเสี่ยง” มากกว่าขยายการลงทุน โดยมีแนวทางเบื้องต้นดังนี้

  • กระจายตลาด: หากพึ่งพาลูกค้าฝั่งท่าขี้เหล็กสูง ให้ กระจายสัดส่วน ไปสู่ตลาดในประเทศ–จังหวัดข้างเคียง พร้อมสำรวจ ช่องทางดิจิทัล สำหรับสินค้าที่ไม่ติดข้อกำหนดผ่านแดน
  • บริหารสต็อกแบบ Lean: สินค้าที่มีโอกาสติดขัดการคืนภาษี/กระบวนการผ่านแดน ควรลดสต็อกค้าง และหันมาใช้ สัญญาซื้อ–ขายแบบสั้น ลดความเสี่ยงจากการคาดการณ์ผิด
  • ติดตามกฎระเบียบรายสัปดาห์: มาตรการฝั่งเมียนมามีโอกาส เปลี่ยนกะทันหัน ผู้ประกอบการควรตั้ง “จุดเฝ้าฟัง” ข่าวจากหน่วยงานไทย–เมียนมา/สื่อท้องถิ่น เพื่อปรับแผนการส่งมอบแบบทันทีทันใด

ความเป็นไปได้ข้างหน้า 3 ฉากทัศน์ และผลต่อเชียงราย

  1. คลายบางส่วนแบบมีรายการยกเว้น
    ฝั่งท่าขี้เหล็กอนุญาตสินค้าจำเป็นเพิ่ม (เช่น เวชภัณฑ์ อะไหล่สื่อสารที่จำเป็นต่อโครงสร้างพื้นฐาน) ภายใต้ โควตา/คิว การค้าอย่างเป็นทางการฟื้นบางส่วน ความเสี่ยงค้าเถื่อนลดลงบ้าง เชียงรายได้ สภาพคล่องการค้า กลับส่วนหนึ่ง
  2. ล็อกเข้มยืดเยื้อ
    การขาดแคลนในรัฐฉาน–เมืองหลักลึกขึ้น ราคาพุ่ง ตลาดมืดโตเร็ว แรงกดดันต่อแนวชายแดนไทยสูงที่สุด หน่วยงานไทยต้อง ทุ่มกำลังตรวจ–สกัด มากขึ้น ผู้ประกอบการไทยหดตัวทางรายได้ช่วงสั้น–กลาง
  3. เปิด–ปิดสลับ (stop–go)
    ฝั่งเมียนมาปรับมาตรการรายช่วง ทำให้ผู้ประกอบการ วางแผนไม่ได้ เกิดต้นทุนแฝงจากความไม่แน่นอน เชียงรายต้องพึ่ง ระบบแจ้งเตือน–ศูนย์ข้อมูลชายแดน เพื่อลดความเสียหายจากการ “เลี้ยวโค้งกะทันหัน” ของกฎระเบียบ

ในทั้งสามฉากทัศน์ บทบาทเชิงรุกของ จังหวัดเชียงราย และด่านชายแดน แม่สาย ในการเป็น “ศูนย์เชื่อมประสานข้อมูล–นโยบาย” กับหน่วยงานส่วนกลาง จะเป็นตัวแปรว่าพื้นที่สามารถ ลดผลกระทบ และ รักษาความเชื่อมั่นทางการค้า ได้มากเพียงใด

ประเด็นมนุษยธรรม “ยาจำเป็น” ต้องไม่ติดคอข้ามสะพาน

แม้มาตรการจำกัดสินค้าจะมุ่งประเด็นเศรษฐกิจ–ความมั่นคง แต่เสียงสะท้อนจากร้านยาที่ ตองยี ชี้ให้เห็นชัดว่า มิติ มนุษยธรรม ต้องถูกจัดวางข้างหน้า หาก “ยาเร่งด่วน/เวชภัณฑ์จำเป็น” ไม่สามารถผ่านแดนได้ทันเวลา ผลกระทบต่อ ผู้ป่วยเรื้อรัง–ผู้สูงอายุ–เด็ก จะชัดเจนรวดเร็ว

นี่คือเหตุผลที่ฝ่ายไทยควรเสนอ กลไก “ทางด่วนมนุษยธรรม” (Humanitarian Fast-Track) สำหรับรายการเวชภัณฑ์จำเป็น โดยกำหนด รายการ–เอกสาร–โควตา–จุดรับมอบ ที่ตรวจสอบได้ ลดแรงจูงใจให้ ยาเถื่อน–ยาปลอม แทรกซึมเข้ามาในตลาด

สะพานที่แคบลงกำลังทดสอบ “ภูมิคุ้มกัน” เศรษฐกิจชายแดนไทย

การจำกัดการขนส่งสินค้าข้าม สะพานแม่สาย–ท่าขี้เหล็ก คือสัญญาณเตือนชัดเจนว่า ความปั่นป่วนทางการเมือง–เศรษฐกิจในเมียนมากำลัง สาดซัด มาถึงเสาหลักการค้าชายแดนของไทย หากมองเพียงมิติ “ปิด–เปิด” สะพาน เราอาจเห็นแค่ การหยุดชะงัก แต่หากมองให้ครบทั้ง “เส้นเลือดเศรษฐกิจ–ความมั่นคง–ผู้บริโภค–มนุษยธรรม” จะเห็นว่า เชียงรายมีทางเลือก ในการเปลี่ยนวิกฤตให้เป็น “บทเรียนยกระดับระบบชายแดน” ได้

กุญแจอยู่ที่ ข้อมูล–ความเร็ว–ความร่วมมือ

  • ข้อมูล: ด่าน–จังหวัด–ผู้ประกอบการต้องแชร์สัญญาณตลาดแบบใกล้จริง
  • ความเร็ว: มาตรการชั่วคราวด้านภาษี–สินเชื่อ–คิวเวชภัณฑ์ต้อง “ทันเวลา”
  • ความร่วมมือ: ประสานงานข้ามพรมแดนในระดับพื้นที่ เพื่อ เว้นช่องมนุษยธรรม แต่ปิดประตู สินค้าอันตราย–ผิดกฎหมาย

สะพานที่แคบลงวันนี้ อาจกว้างกลับไม่ช้า—ถ้าเรารู้ เลือกเปิด ในสิ่งที่สังคมต้องการ และ กล้าปิด ในสิ่งที่ทำร้ายความมั่นคงร่วมกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • The People’s Voice (Myanmar) — รายงานวันที่ 25–26 สิงหาคม 2568
  • ด่านศุลกากรแม่สาย / กรมศุลกากร
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ / กอ.รมน.ภาค 3 / ตม.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

เวทีเชียงรายชำแหละวิกฤต “แรร์เอิร์ทข้ามพรมแดน” เตือนฟื้นฟูธรรมชาติกินเวลา 100 ปี

เวทีเชียงรายชำแหละวิกฤต “แรร์เอิร์ทข้ามพรมแดน” นักวิจัยคะฉิ่นเตือนฟื้นฟูธรรมชาติอาจกินเวลา 50–100 ปี แนะไทยเร่งตั้งการ์ด ตรวจน้ำ–คัดกรองแร่ และเปิดเจรจากลุ่มชาติพันธุ์

เชียงราย, 26 สิงหาคม 2568 — ยามเย็นปลายฤดูฝน เม็ดฝนจางๆ เคล้าสายลมเหนือพัดผ่านลุ่มน้ำกก ผู้คนหลากวัยแน่นหอจัดแสดงของ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย ศูนย์กลางศิลปะที่วันนี้กลายเป็น “เวทีนโยบายสาธารณะฉุกเฉิน” กับเสวนา จากคะฉิ่นถึงไทย: เหมืองแร่แรร์เอิร์ทกับผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม” ผู้ร่วมเสวนาครอบคลุมทั้งนักวิชาการและนักสิ่งแวดล้อมจากไทยและคะฉิ่น อาทิ นายธารา บัวคำศรี (Climate Connector), ผศ.ดร.นัทมน คงเจริญ (คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่), ดร.สงกรานต์ ป้องบุญจันทร์, ดร.สืบสกุล กิจนุกร (มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง), Zung Ting และ Seng Li จาก Shaba Foundation (Kachin State)

แม้ชื่อเวทีจะเริ่มจาก “คะฉิ่น” ที่ดูห่างไกล แต่สารที่ส่งมาถึงชายแดนเหนือของไทยนั้นใกล้กว่าที่คิด—ใกล้เท่า สายน้ำเดียวกัน ที่ไหลจากสันเขาสูงลงสู่ แม่โขง–แม่กก–แม่รวก–แม่สาย ซึ่งบำรุงโลกทั้งการกินอยู่และเศรษฐกิจของเชียงราย

จุดตั้งต้นของสัญญาณเตือน “50–100 ปี” ไม่ใช่คำขู่ แต่คือเวลาฟื้นฟูระบบนิเวศ

ไฮไลท์ที่ทำให้ทั้งห้องเงียบงัน คือคำให้สัมภาษณ์ของ นาย Seng Li นักวิจัยชาวคะฉิ่นจาก Shaba Foundation ที่ระบุอย่างตรงไปตรงมาว่า ผลกระทบสิ่งแวดล้อมจาก การทำเหมืองแรร์เอิร์ท ในคะฉิ่นนั้น รุนแรงลึก ถึงขั้นที่ธรรมชาติอาจต้องใช้เวลา 50–100 ปี จึงจะฟื้นคืนสภาพใกล้เดิมได้ พร้อมเตือนว่า “หลายอย่างในคะฉิ่น สายเกินแก้ ไปแล้ว ไทยจึงต้อง ตื่นตัว ตั้งแต่วันนี้”

สารของเขาไม่ได้เป็นเพียง “เสียงจากต่างแดน” หากเป็นประสบการณ์ตรงจาก พื้นที่ต้นน้ำ ที่กำลังถูกไชทะลวงด้วยกระบวนการ ละลายชะแร่ในชั้นดิน (in-situ leaching) จนหน้าดินพรุน น้ำปนเปื้อน และภูเขากลายเป็นโพรง—ภาพที่สอดรับกับวิดีโอจากแรงงานเหมืองและภาพถ่ายดาวเทียมที่องค์กรสิทธิในรัฐฉานเผยแพร่เมื่อไม่นานนี้

ทำไมเรื่องคะฉิ่นจึง “ถึงเชียงราย” โยงสายธาร—โยงเศรษฐกิจ—โยงความมั่นคงมนุษย์

ดร.สืบสกุล กิจนุกร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ขยายภาพให้เห็นความเชื่อมโยงทางภูมิศาสตร์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้: เหมืองแรร์เอิร์ทในรัฐฉาน–คะฉิ่นจำนวนหนึ่งตั้งอยู่ บนลำน้ำสาขา ที่ไหลลงทั้ง สาละวิน และ โขง ก่อนแผ่ผลสะเทือนถึง เชียงราย–เชียงของ–เชียงแสน แน่นอนว่าการปนเปื้อนที่ต้นน้ำ ไม่จำเป็นต้องรุนแรงทันที แต่การสะสมซ้ำซากในฤดูฝน—โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดฝนหนักต่อเนื่อง—อาจทำให้ ตะกอน–โลหะหนัก เดินทางลงสู่ปลายน้ำได้

แม้ปัจจุบัน ข้อมูลการปนเปื้อนเชิงวิทยาศาสตร์บนสาขาแม่น้ำต้นทาง ยังต้องเร่งตรวจสอบอย่างเป็นระบบ แต่ดร.สืบสกุลชี้ว่า งานร่วมกับ คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) พบ โลหะหนักในลำน้ำโขง แล้วในบางช่วงเวลา อีกทั้งเวทียังหยิบยกประเด็น “แร่–สินแร่ที่นำเข้าจากเมียนมา” ซึ่งไทยควรมีมาตรการ คัดกรองสารปนเปื้อน และ ตรวจสอบที่มา (traceability) เพื่อลดความเสี่ยงไม่ให้ แร่สกปรก” หลุดเข้าสู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมของประเทศ

เบื้องลึกเหมืองแรร์เอิร์ทคะฉิ่น–ฉาน เมื่อภูเขาถูกฉีดสารเคมี และระบบอำนาจอ่อนต่อทุน

Zung Ting นักสิ่งแวดล้อมคะฉิ่นที่ทำงานภาคสนามมากว่า 20 ปี เล่าถึงจุดเปลี่ยนว่า หลัง จีนปรับนโยบายควบคุมผลกระทบสิ่งแวดล้อม ภายในประเทศ กิจการ “แรร์เอิร์ท” ส่วนหนึ่งจึง ย้ายฐาน มายังพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะหลัง รัฐประหารเมียนมา ปี 2564 กลไกกำกับดูแลอ่อนแรงลง ความเข้มข้นของการทำเหมือง พุ่งสูงอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันคะฉิ่นคาดว่ามีเหมือง ราว 370 แห่ง หลายแห่งเป็น HREEs (แร่หายากหนัก) ที่มี มูลค่าและความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ สูง ใช้ผลิต แม่เหล็กถาวร–กังหันลม–อุปกรณ์ทหาร–อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง

ผลกระทบที่เห็นชัดและต่อเนื่อง ได้แก่

  • น้ำท่วม–ดินโคลนถล่ม ถี่ขึ้น เพราะโครงสร้างภูเขา “กลวงพรุน” จากการฉีดสารลงชั้นดิน
  • น้ำผิวดิน–น้ำใต้ดิน เปลี่ยนสีและคุณภาพ ชุมชน ขาดแคลนน้ำสะอาด บริโภค
  • ผู้คนเผชิญ โรคผิวหนัง และอาการผิดปกติทางสุขภาพเพิ่มขึ้น
  • ความมั่นคงทางอาหาร ถดถอย: จากเดิมที่ขายสมุนไพร–เครื่องเทศให้จีน กลับถูก ปิดรับซื้อ เมื่อกิจการเหมืองขยาย

ด้านโครงสร้างอำนาจ Seng Li ระบุว่า ปัจจุบันพื้นที่จำนวนมากอยู่ในการควบคุมของ KIO/KIA แต่ ธรรมาภิบาลเหมือง ยังอ่อน ทั้งกระบวนอนุญาตที่ ไม่โปร่งใส, การไม่ฟื้นฟูพื้นที่ หลังทำเหมือง, และข้อพิพาทแรงงานที่ เอนเอียงเข้าข้างทุน โดยเฉพาะทุนจีน เขาชี้ให้เห็น “ด้านสว่าง” เพียงเล็กน้อยว่า ช่องทางการเข้าถึงพื้นที่ของ นักวิชาการและสื่อ ยังพอเป็นไปได้—และควรถูกใช้เพื่อผลักดัน มาตรฐานสิ่งแวดล้อมขั้นต่ำ ที่วัดผลได้จริง

หลักฐานจากอวกาศ SHRF ชี้เหมือง 19 แห่งห่างโขง ~40 กม. ภายใต้ NDAA/เมืองลา เพิ่มพรวดใน 4 ปี

เสวนายังหยิบยกแถลงการณ์ล่าสุดของ Shan Human Rights Foundation (SHRF) ที่เผย ภาพถ่ายดาวเทียม (พ.ค. 2568) และวิดีโอจากแรงงานเหมือง ระบุการกระจายตัวของเหมืองแรร์เอิร์ท 19 แห่ง ในเขตควบคุมของ กองกำลังเมืองลา (NDAA) ใกล้ เมืองยอง ทางตะวันออกของรัฐฉาน ห่างแม่น้ำโขงเพียงราว 40 กิโลเมตร จากเดิมเมื่อ ต้นปี 2564 ตรวจพบบริเวณเดียวกัน เพียง 3 แห่ง (และทยอยร้าง) ปัจจุบันพบว่า 16 แห่งเดินเครื่อง และ อีก 3 แห่งกำลังก่อสร้าง ลักษณะเด่นคือ บ่อสกัดแร่เป็นวงแหวนซ้อน และ ท่อฉีดสารเคมี ลงเชิงเขา น้ำทิ้งจากเหมืองไหลผ่าน คลองน้ำนับ แม่น้ำโหลย (Lwe River) → แม่น้ำโขง ซึ่งหากประกอบกับฝนหนักต่อเนื่อง ก็ยิ่งเพิ่ม โอกาสพัดพาตะกอนปนเปื้อน ลงสู่ ระบบทางน้ำสายหลัก ได้

จากเวทีสู่ข้อเสนอเชิงนโยบาย “การ์ดไทย” ที่ทำได้ทันที

เสียงส่วนใหญ่ในเวทีสรุปไปในทิศทางเดียวกันว่า ไทยต้อง ยกระดับการเฝ้าระวังคุ้มกันความเสี่ยง ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สาธารณสุข และเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเร่งดำเนินการอย่างน้อย 4 แนวทางหลัก ดังนี้

  1. ตั้งเครือข่ายตรวจคุณภาพน้ำข้ามพรมแดนแบบต่อเนื่อง
    • กำหนด “จุดตรวจหลัก” บน แม่กก–แม่รวก–แม่สาย–แม่โขง ในเชียงราย (เช่น เชียงแสน–แม่สาย–แม่จัน) ตรวจ โลหะหนัก/สารหนู/ค่าความขุ่น เป็น รายสัปดาห์ ช่วงฤดูฝน และ รายเดือน ช่วงปกติ
    • แสดงผลผ่าน แดชบอร์ดสาธารณะ ให้ชุมชนประมง–ผู้ประกอบการท่องเที่ยว–ประชาชนเข้าถึงแบบเรียลไทม์ สร้างความเชื่อมั่นด้วย ข้อมูลเปิด (open data)
  2. คัดกรอง “แร่–สินแร่” ขาเข้าที่ด่านเหนือ
    • เพิ่มขั้นตอน สุ่มตรวจสารปนเปื้อน ในสินแร่–วัตถุดิบที่ผ่านแดนเข้าสู่ไทย โดยเฉพาะสินค้าจำพวก หินดินทราย/ดินสกัด ที่เกี่ยวข้องกับวงจรผลิตแรร์เอิร์ท
    • จัดทำระบบ traceability ครอบคลุม ที่มา–เส้นทาง–ผู้ค้า และเชื่อม มาตรฐานสิ่งแวดล้อม–แรงงาน เพื่อกัน “แร่สกปรก” ออกจากห่วงโซ่อุตสาหกรรมไทย
  3. เปิดโต๊ะคุยกับ “ผู้ควบคุมพื้นที่จริง” ควบคู่รัฐบาลกลางเมียนมา
    • นอกเหนือจากช่องทางทวิภาคีกับรัฐบาลทหารเมียนมา ไทยควร หารือทางเทคนิค กับกลุ่มที่ควบคุมพื้นที่เหมือง เช่น KIO/KIA, NDAA/เมืองลา, และเครือข่ายชาติพันธุ์อื่นๆ เพื่อกำหนด มาตรฐานสิ่งแวดล้อมขั้นต่ำ–ขั้นตอนตรวจร่วม–ช่องทางร้องเรียน ที่ทำงานได้จริงในพื้นที่
  4. ตั้งการ์ดสาธารณสุข–เตือนภัยชุมชน
    • เมื่อพบสัญญาณผิดปกติ (สี–กลิ่น–ค่าความขุ่นของน้ำ, ปลา/สัตว์น้ำตายผิดธรรมชาติ) ให้ แจ้งเตือน งดจับ–งดบริโภคสัตว์น้ำชั่วคราว พร้อมจัดชุดแพทย์ คัดกรองโรคผิวหนัง–ระบบทางเดินอาหาร ลงพื้นที่
    • สนับสนุน ชุดทดสอบชุมชน สำหรับแกนนำท้องถิ่น และจัด งบฟื้นรายได้ ให้กลุ่มประมง–ท่องเที่ยว หากจำเป็นต้องออกประกาศงดกิจกรรมชั่วคราว

เชียงรายต้องระวัง “ตรงไหน–อย่างไร” ใน 3 เดือนข้างหน้า

  • จุดเสี่ยงธรรมชาติ: คลอง–ลำห้วยที่รับน้ำจากแนวป่าชายแดนซึ่งไหลลง แม่กก–แม่รวก–แม่สาย รวมถึง ตอนบนของแม่โขง ในเขตเชียงแสน/เชียงของ
  • สัญญาณเตือนเร็ว: น้ำเปลี่ยนเป็น เขียวใสผิดธรรมชาติ/ขุ่นจัด, มี ตะกอน–ฟอง มากผิดปกติ, พบ ปลาลอยหัว/ตาย เป็นหย่อม
  • สื่อสารชุมชน: ใช้เครือข่าย ผู้ใหญ่บ้าน–เทศบาล–อปพร. ส่งสัญญาณผ่าน ไลน์กลุ่ม/เสียงตามสาย และป้ายเตือนริมน้ำแบบ เข้าใจง่าย
  • ผู้ประกอบการริมน้ำ: แพ–ล่องเรือ–ร้านอาหาร ควรติดตามคำแนะนำจาก สาธารณสุขจังหวัด–สำนักสิ่งแวดล้อมภาค อย่างใกล้ชิด พร้อม ประกาศความปลอดภัย–มาตรการเฝ้าระวัง ต่อผู้ใช้บริการอย่างโปร่งใส

มิติภูมิรัฐศาสตร์ของ “แร่อนาคต” พลังงานสะอาดกับราคาที่ธรรมชาติต้องจ่าย

บทสนทนาในเวทีสะท้อนความย้อนแย้งของโลกยุคเปลี่ยนผ่านพลังงาน: โลกต้องการ แม่เหล็กถาวร–กังหันลม–รถไฟฟ้า มากขึ้น จึงต้องใช้ HREEs มากขึ้น แต่กระบวนการผลิตที่ ไม่รับผิดชอบ กลับผลัก ต้นทุนสิ่งแวดล้อม ไปที่สันเขาและชุมชนชายแดน หากไม่มี มาตรฐานสากล–แรงกดดันผู้ซื้อ–กลไกตรวจสอบแหล่งที่มา ก็เสมือนโลกกำลังขับ “การเปลี่ยนผ่านสีเขียว” ด้วย วัตถุดิบสีเทา

Seng Li เน้นว่า ประเทศผู้นำเข้า—ทั้งรัฐและเอกชน—ควร ตรวจสอบต้นทาง ให้ชัดเจนก่อนซื้อ โดยยึด เกณฑ์สิ่งแวดล้อม–สิทธิมนุษยชน ที่ตรวจได้จริง ขณะที่ฝั่งไทยควร ยืนอยู่บนข้อมูล ที่เก็บเอง ตรวจเอง และเปิดเผยเอง ไม่ใช่รอเพียงรายงานจากภายนอก

ให้ “เชียงราย” เป็นต้นแบบการป้องกันความเสี่ยงข้ามพรมแดนของลุ่มน้ำโขง

ความจริงจากเวทีเชียงรายบอกเรา 3 ประการ

  1. ความเสี่ยงเป็นจริงและเพิ่มขึ้น: หลักฐานภาพถ่ายดาวเทียม–ภาคสนามชี้ว่าการทำเหมืองแรร์เอิร์ท ขยายเร็ว ใกล้แนวแม่น้ำโขง
  2. ผลกระทบลึกและยืดเยื้อ: หากปล่อยให้ธรรมชาติพัง “50–100 ปี” จะไม่ใช่คำคาดคะเน แต่นาฬิกานับถอยหลังของ รุ่นลูก–รุ่นหลาน
  3. ทางออกอยู่ที่การลงมือทำอย่างเป็นระบบ: ตรวจน้ำต่อเนื่อง–คัดกรองแร่ขาเข้า–เจรจากับผู้ควบคุมพื้นที่จริง–สร้างระบบเตือนภัยชุมชน

เชียงราย—เมืองชายแดนที่เชื่อมโลกด้วยสายน้ำ—ไม่ต้องรอให้ “ปัญหาเดินทางมาถึงประตูบ้าน” จึงค่อยเริ่มตั้งการ์ด หากเราเริ่มวันนี้ เมืองศิลป์–เมืองท่องเที่ยว–เมืองเกษตรคุณภาพแห่งนี้จะกลายเป็น ต้นแบบการจัดการความเสี่ยงข้ามพรมแดน ของทั้งลุ่มน้ำโขงได้จริง ไม่ใช่เพียงในหนังสือรายงาน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายพร้อมรับมือ “คาจิกิ” วอร์รูม 24 ชม. เตือนฝนหนัก-น้ำหลาก

เชียงรายยกระดับรับมือ “คาจิกิ” วอร์รูมพร้อม 24 ชม. เฝ้าระวัง 25–27 ส.ค. เสี่ยงฝนหนักมาก–น้ำหลาก จุดเสี่ยงเชิงเขาและลุ่มต่ำต้องระมัดระวัง

เชียงราย, 25 สิงหาคม 2568 — ท้องฟ้าตอนบ่ายคล้อยของเชียงรายมืดสลัวเร็วกว่าปกติ กลุ่มเมฆหนาตาเคลื่อนตัวจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ—เป็นสัญญาณเดียวกับที่ประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยา “ฉบับที่ 9 (212/2568)” ย้ำเมื่อคืนวาน (24 ส.ค.) ว่า ไต้ฝุ่น “คาจิกิ” บนทะเลจีนใต้ตอนบนกำลังเดินหน้าเข้าสู่แผ่นดินเวียดนาม จากนั้นจะอ่อนกำลังผ่านลาวและเข้าถึงภาคเหนือของไทย โดยจังหวัด เชียงราย อยู่ใน “หน้าต่างความเสี่ยง” ช่วง 25–27 สิงหาคม 2568 คาดมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่และลมแรง โดยเฉพาะบริเวณใกล้เส้นทางเดินพายุและพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน

พร้อมกันนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิด วอร์รูม (War Room) รับมือพายุ “คาจิกิ” ตลอด 24 ชั่วโมง ขานรับนโยบายรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (ผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ) กระจายเครื่องจักรกลสาธารณภัยล่วงหน้า กำหนด ศูนย์ ปภ. เขต 9 พิษณุโลก เป็นจุดระดมทรัพยากรสนับสนุนภาคเหนือ พร้อมแจ้งเตือน 58 จังหวัด เฝ้าระวังฝนหนัก น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม และคลื่นลมแรงในช่วง 24–27 ส.ค. 68 โดยในภาคเหนือระบุชื่อ เชียงราย ในบัญชีเฝ้าระวังของวันที่ 25–27 ส.ค. อย่างชัดเจน

เส้นทางพายุ “คาจิกิ” และหน้าต่างความเสี่ยงของเชียงราย

ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยาเมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 24 ส.ค. 68 ระบุว่า พายุไต้ฝุ่น “คาจิกิ” มีศูนย์กลางห่างเมืองวิญ (เวียดนาม) ราว 450 กม. ที่พิกัด ละติจูด 17.6°N ลองจิจูด 109.9°E ความเร็วลมใกล้ศูนย์กลางประมาณ 150 กม./ชม. เคลื่อนที่ทางทิศตะวันตกค่อนไปทางเหนือเล็กน้อยราว 20 กม./ชม. คาดขึ้นฝั่งเวียดนามตอนบนและอ่อนกำลังเป็นพายุโซนร้อนใน 25 ส.ค. ก่อนลดระดับเป็นดีเปรสชันเข้า สปป.ลาว เช้าวันที่ 26 ส.ค. และมีแนวโน้มอ่อนกำลังเป็น หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง เคลื่อนเข้าสู่ฝั่งไทยบริเวณ จ.น่าน ในช่วงเย็นวันเดียวกัน

สำหรับ เชียงราย การประเมินของกรมอุตุนิยมวิทยาระบุให้อยู่ในช่วงได้รับผลกระทบระหว่าง 25–27 ส.ค. โดยร่วมกับจังหวัดภาคเหนืออื่น ๆ เช่น แพร่ พะเยา น่าน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน และอุตรดิตถ์ ทั้งนี้คำเตือนสำคัญคือ ฝนตกหนักถึงหนักมาก ลมแรง และฝนสะสม” ที่เพิ่มโอกาสเกิด น้ำท่วมฉับพลัน–น้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะ พื้นที่ลาดเชิงเขา พื้นที่แนวทางน้ำไหลผ่าน และพื้นที่ลุ่มต่ำในเขตเมือง ซึ่งมักท่วมขังซ้ำซาก

ตัวเลขชวนคิด: พายุระดับไต้ฝุ่นด้วยลมใกล้ศูนย์กลาง 150 กม./ชม. แม้เมื่ออ่อนกำลังบนบกจะลดลงเร็ว แต่ “มวลความชื้น” ที่ติดมากับระบบยังทำให้เกิดฝนหนักเป็นบริเวณกว้างได้ โดยเฉพาะเมื่อโครงสร้างภูมิประเทศเป็นภูเขาสลับลุ่มน้ำ—ลักษณะเด่นของภาคเหนือ

กลไกฉุกเฉิน “วอร์รูม” และการระดมทรัพยากร—เชียงรายในเครือข่ายช่วยเหลือภาคเหนือ

ปภ. เปิด วอร์รูมส่วนกลาง เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง นัดประชุมติดตามสถานการณ์ทุกวัน และ สั่งการศูนย์ ปภ. เขต ระดมชุดปฏิบัติการพร้อมเครื่องจักรกลสาธารณภัยเข้าประจำ “พื้นที่เสี่ยง” ล่วงหน้า โดยกำหนด ศูนย์ ปภ. เขต 9 พิษณุโลก เป็น Staging Area รับผิดชอบการสนับสนุนภาคเหนือ ขณะเดียวกันเครื่องจักรกลจาก ศูนย์ ปภ. เขต 2 สุพรรณบุรี และ เขต 16 ชัยนาท ได้เคลื่อนเข้าสู่แนวรับภาคเหนือแล้ว

สาระสำคัญของคำสั่งการ ได้แก่

  • ให้ 76 จังหวัดและ กทม. ปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุ เตรียมอพยพประชาชนเมื่อจำเป็น ดูแลปัจจัยยังชีพ และรายงานสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
  • ให้ แจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยง ล่วงหน้า หากแนวโน้มรุนแรง พร้อมจัดทีมเผชิญเหตุเข้าพื้นที่ทันที
  • หากมีการประกาศเขตให้ความช่วยเหลือกรณีฉุกเฉิน ให้ จังหวัดรายงาน–ขอขยายวงเงินทดรองราชการ โดยเร็ว เมื่อวงเงินเดิมไม่พอ
  • ให้ประชาชน ติดต่อสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชม. และติดตามการแจ้งเตือนผ่านแอป THAI DISASTER ALERT

สำหรับ เชียงราย โครงสร้างการรับมือในจังหวัดจะขับเคลื่อนโดยจังหวัดและท้องถิ่นร่วมกับแขนขาของ ปภ., สาธารณสุข, แขวงทางหลวง/ชลประทาน, ตำรวจ/ทหาร, ผู้นำหมู่บ้าน/อปพร. และเครือข่ายอาสาสมัคร—รูปแบบ “บูรณาการ” ที่ต้องพร้อมยกกำลังสูบ–เครื่องผลักดันน้ำ–รถบรรทุกสูง–ไฟส่องสว่าง–เรือท้องแบน และเวรเฝ้าระวังจุดเสี่ยงตลอดคืนในห้วงฝนหนัก

เชียงรายต้องระวัง “ตรงไหน–เมื่อไร–อย่างไร” แผนที่ความเสี่ยงเชิงสถานการณ์

แม้ประกาศจะไม่ระบุจุดพิกัดรายตำบล แต่จากลักษณะพื้นที่ ภูเขาสลับลุ่มน้ำ ของเชียงราย แนวทางปฏิบัติที่ “ลดความเสี่ยงได้จริง” มีดังนี้

  1. ช่วงเวลาความเสี่ยงสูง (25–27 ส.ค.)
  • ก่อนฝนมา: เคลียร์ท่อ–รางระบายน้ำหน้าอาคาร–ตลาด–ชุมชน, เก็บของสูง, เตรียมกระสอบทรายจุดลุ่มต่ำ
  • ระหว่างฝนจัดต่อเนื่อง: หลีกเลี่ยงการสัญจรผ่าน แนวทางน้ำไหลผ่าน–ใต้สะพาน–ทางเชิงเขา, งดเที่ยวชม น้ำตก/แก่ง และอย่าจอดรถในจุดที่เคยท่วมซ้ำ
  • หลังฝน: ระวัง ไฟฟ้ารั่ว–ถนนทรุด–ดินอุ้มน้ำ และแจ้งเหตุผ่าน 1784 หากพบความเสียหาย
  1. ครัวเรือนเสี่ยงพิเศษ
  • ผู้สูงอายุ–ผู้ป่วยติดเตียง–เด็กเล็ก ควรเตรียม ยาประจำตัว, อาหารพร้อมทาน 1–2 วัน, ไฟฉาย, วิทยุ, power bank, เอกสารสำคัญใส่ซองกันน้ำ
  • เกษตรกรตรวจแนว คันนา–ทางน้ำเข้าสวน–โรงเรือน, ย้ายเครื่องมือและสารเคมีขึ้นที่สูง ปิดฝาภาชนะทุกครั้ง
  1. ธุรกิจ–โรงแรม–ค้าชายแดน
  • สำรวจ จุดเสี่ยงท่วมขังในลานจอด–ชั้นใต้ดิน, เตรียมปั๊มน้ำ–เครื่องไฟสำรอง
  • อัปเดตข้อมูลให้ลูกค้า–แขกพัก และวางแผนเส้นทางเลี่ยง ถนนต่ำ–ทางผ่านลำห้วย หากต้องรับ–ส่งสนามบิน

ข้อเท็จจริงจากประกาศ 3 ประเด็นที่ชาวเชียงรายควรรู้

1) พายุจะอ่อนกำลังเมื่อขึ้นฝั่ง แต่ฝนยัง “หนัก” ได้
เมื่อ “คาจิกิ” แตะฝั่งเวียดนาม แรงลมจะลด แต่ มวลไอน้ำ จะป้อนเข้าภาคเหนือ–อีสานอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดฝนวงกว้าง โดยเชียงรายถูกย้ำอยู่ในช่วงเสี่ยง 25–27 ส.ค.

2) พื้นที่เสี่ยงหลักคือ “ลาดเชิงเขา–ลำทางน้ำ–ลุ่มต่ำ”
ฝนสะสมคือปัจจัยชี้ชะตา หากฝนตกหนักต่อเนื่องหลายชั่วโมง โอกาสเกิด น้ำป่า–น้ำหลาก เพิ่มขึ้นทันที โดยเฉพาะใกล้ทางน้ำไหลผ่าน

3) คลื่นลมแรงกระทบโดยอ้อม
แม้เชียงรายไม่ติดทะเล แต่การขนส่งระหว่างภูมิภาคอาจได้รับผลกระทบจาก ทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 2–3 เมตร (ฝนฟ้าคะนองอาจเกิน 3 เมตร) ส่งผลต่อโลจิสติกส์สินค้า/ท่องเที่ยวทะเลที่เชื่อมโยงกับภาคเหนือ

มาตรการภาครัฐและสิทธิประชาชน ต้องรู้–ต้องใช้

  • ศูนย์โควต้าเครื่องจักรกลสาธารณภัย: จังหวัดสามารถร้องขอเสริมกำลังจาก ศูนย์ ปภ. เขต 9 พิษณุโลก ซึ่งทำหน้าที่คล้ายคลังยุทธภัณฑ์เพื่อกระจายไปพื้นที่ภาคเหนือ
  • งบช่วยเหลือฉุกเฉิน: หากประกาศเป็นเขตให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน จังหวัดสามารถ ขอขยายวงเงินทดรองราชการ เพื่อเยียวยาเร่งด่วน
  • ช่องทางรับแจ้งเหตุและแจ้งเตือน:
    • สายด่วนนิรภัย 1784 (ปภ.) ตลอด 24 ชม.
    • แอป THAI DISASTER ALERT (แจ้งเตือนพิบัติภัย)
    • 1182 และ 0-2399-4012-13 (กรมอุตุนิยมวิทยา)
    • เว็บไซต์ tmd.go.th (ประกาศ–เรดาร์–พยากรณ์)

คำถามที่พบบ่อย” ในห้วงฝนหนัก

Q: ฝนจะ “หนักแค่ไหน” ในเชียงราย?
A: ประกาศระบุ “หนักถึงหนักมาก” ในช่วง 25–27 ส.ค. ความหนักขึ้นกับตำแหน่งเมฆฝนและภูมิประเทศ จุดสำคัญคือ “ฝนสะสม” หากฝนตกต่อเนื่องหลายชั่วโมง พื้นที่เชิงเขา/แนวลำน้ำต้อง เตรียมอพยพชั่วคราว ตามสัญญาณเตือนของท้องถิ่น

Q: ถ้าอยู่คอนโด/ตึกสูงในเขตเมือง ยังเสี่ยงหรือไม่?
A: เสี่ยงน้อยกว่าลุ่มต่ำ แต่ให้ระวัง ไฟฟ้าลัดวงจร–น้ำรั่วซึม–ลิฟต์ และการสัญจรเข้า–ออกอาคาร หากรอบอาคารเป็นแอ่งรับน้ำ

Q: ต้องกักตุนอาหารยาวนานหรือไม่?
A: โดยทั่วไป 1–2 วัน สำหรับครัวเรือนในจุดเสี่ยงเพียงพอ สิ่งสำคัญคือ ยาประจำตัว–น้ำดื่ม–ไฟฉาย–Power Bank และ เอกสารสำคัญใส่ซองกันน้ำ

Q: หากน้ำเริ่มหลากเข้ารวดเร็ว ควรทำอย่างไร?
A: ตัดไฟฟ้าเฉพาะวงจรในจุดที่น้ำท่วมถึง (หากทำได้อย่างปลอดภัย), ย้ายขึ้นที่สูง, อย่าฝืนเดินลุยน้ำเชี่ยว, โทร 1784 หรือ 1669 กรณีฉุกเฉินทางการแพทย์

บทเรียน “น้ำท่วมฉับพลัน” กับเมืองชายขอบภูเขา

เชียงรายเป็นจังหวัดที่ ภูมิประเทศสูง–ต่ำสลับซับซ้อน การเผชิญฝนหนักช่วงสั้น ๆ อาจนำไปสู่ “น้ำหลากเร็ว” จากหุบเขาเข้าสู่ชุมชน ขณะที่เขตเมืองลุ่มต่ำมีความเสี่ยง ท่วมขังเฉียบพลัน หากท่อระบายน้ำรับไม่ทัน เมื่อเชื่อมปัจจัยเหล่านี้เข้ากับ “คาจิกิ” ที่พา มวลไอน้ำขนาดใหญ่ เข้าภาคเหนือ ภาพรวมจึงไม่ใช่คำถามว่า “จะตกหรือไม่” แต่คือ “ฝนสะสมจะกี่ชั่วโมง–กี่รอบ” และ “จุดคอขวดการระบายน้ำอยู่ตรงไหน” การ ลดความเสี่ยงเชิงพฤติกรรม เช่น งดผ่านทางลุ่มต่ำ/เชิงเขาในห้วงฝนจัด และการ พร้อมอพยพชั่วคราว เมื่อมีประกาศเตือน จึงเป็นตัวแปรที่ประชาชนควบคุมได้ทันที

ภาครัฐในระดับพื้นที่—ตั้งแต่จังหวัด เทศบาล อบต. จนถึงหมู่บ้าน—จำเป็นต้อง เปิดข้อมูลจุดเสี่ยงและจุดปลอดภัยให้ชัดเจน ตั้งจุดเวรยามเฝ้าระวังน้ำ 24 ชม. ใน 2–3 วันที่เสี่ยงสูง รวมถึง ซ้อมแผนอพยพแบบเร็ว (Quick Evac) กับครัวเรือนเปราะบางในชุมชน หากปฏิบัติพร้อมกันทั้ง “ฝั่งประชาชน–ฝั่งรัฐ” โอกาสสูญเสียจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

 “คาจิกิ” คือบททดสอบระบบเตือนภัย—แผนพร้อม ชีวิตปลอดภัย

25–27 สิงหาคม 2568 คือช่วงเวลาที่เชียงรายต้อง ตั้งการ์ดสูง ประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยาชี้ชัดว่าเชียงรายอยู่ในแถบฝนหนักถึงหนักมาก ขณะที่กลไกส่วนกลางนำโดย ปภ. ได้เปิดวอร์รูมและระดมทรัพยากรล่วงหน้าแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คือ การลงมือในระดับครัวเรือนและชุมชน—เคลียร์ระบายน้ำ เตรียมของยังชีพ เฝ้าระวังข่าวเตือน และพร้อมอพยพเมื่อจำเป็น

“ฝนจะผ่านไป แต่การเตรียมพร้อมจะอยู่กับเรา” หากเชียงรายผ่านห้วงนี้ด้วย ข้อมูลที่ถูกต้อง–การตัดสินใจที่รวดเร็ว–และความร่วมมือของทุกฝ่าย เมืองจะยืนหยัดได้โดยไม่ต้องแลกด้วยความสูญเสียที่ป้องกันได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
  • กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ลุ้นโฮงยาไทยเปิด “Premium Clinic” ในห้างเซ็นทรัลเชียงราย ลดแออัด-ยกระดับบริการสุขภาพ

โฮงยาไทย” สู่เมือง พา Premium Clinic ลงห้าง ทางเลือกใหม่เพื่อลดแออัด-ยกระดับประสบการณ์สุขภาพของชาวเชียงราย

เชียงราย, 24 สิงหาคม 2568 — ภาพพื้นที่ “Premium Clinic” หรือที่คนเชียงรายคุ้นปากว่า “โฮงยาไทย” นอกเขตรพ.หลัก—คลินิกแนวคิดใหม่ที่กำลังจะเปิดให้บริการในอนาคตอันใกล้ เป้าหมายชัดเจน ทำให้การพบแพทย์ “ใกล้-ง่าย-เร็วขึ้น” และช่วยกระจายผู้ป่วยนอกจากโรงพยาบาลใหญ่

แม้รายละเอียดบริการและกำหนดเปิดอย่างเป็นทางการยังไม่ประกาศ แต่โครงร่างภาพใหญ่เริ่มชัด โครงการเตรียมใช้พื้นที่ Unit 234 ชั้น 2 เซ็นทรัลเชียงราย ออกแบบสถาปัตยกรรมเสร็จแล้วและกำลังก้าวสู่ขั้นตอนปรับปรุง ภายใต้สาระสำคัญอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ช่วยลดความหนาแน่นของโรงพยาบาลหลัก และรองรับไลฟ์สไตล์เมืองท่องเที่ยวและชายแดนของเชียงราย ที่การเดินทาง การทำงาน และการจับจ่ายในศูนย์การค้ามักเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน

ทำไม “คลินิกในห้าง” จึงเป็นคำตอบของเมือง?

ถ้า “โรงพยาบาล” คือฐานทัพหลักของระบบสุขภาพ “คลินิกนอกพื้นที่” ก็เปรียบเสมือนป้อมหน้าเมืองเข้าถึงง่าย คล่องตัว และตอบโจทย์บริการที่ไม่ซับซ้อน การดึงบริการบางส่วนไปไว้ในศูนย์การค้า มีข้อดีเชิงระบบอย่างน้อย 4 ประการ

  1. ลดการเดินทาง-เวลาเสียโอกาส
    ผู้ป่วยที่อาการไม่ฉุกเฉินเช่น ติดตามอาการโรคเรื้อรัง รับยา ตรวจสุขภาพประจำปี ฉีดวัคซีนไม่จำเป็นต้องฝ่ารถติดเข้ารพ.หลัก สามารถใช้เวลาว่างก่อน-หลังเลิกงาน หรือระหว่างทำธุระในห้างมารับบริการได้ทันที
  2. กระจายภาระงานบุคลากร
    เมื่อเคสเบาถูกย้ายออกจากโรงพยาบาลใหญ่ ทีมแพทย์-พยาบาลสามารถโฟกัสกับเคสซับซ้อน ผู้ป่วยฉุกเฉิน หรือการผ่าตัดได้มากขึ้น สอดคล้องกับแนวคิด “ลดแออัดผู้ป่วยนอก (OPD congestion)” ที่กระทรวงสาธารณสุขผลักดันต่อเนื่อง ทั้งผ่านระบบนัดหมาย/หน้าต่างบริการเฉพาะกิจ และทางเลือกบริการที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม
  3. ยกระดับประสบการณ์ผู้รับบริการ (patient experience)
    ศูนย์การค้ามีที่จอดรถ ทางเดินสะดวก ห้องน้ำ ร้านค้า ร้านอาหาร โซนครอบครัว รวมถึงโรงแรมรอบข้าง เหมาะอย่างยิ่งกับผู้สูงอายุ ผู้ปกครองที่พาเด็กมาตรวจ หรือญาติที่ต้องรอผู้ป่วย
  4. เชื่อมเทคโนโลยีสุขภาพเข้ากับชีวิตประจำวัน
    การนัดหมายล่วงหน้า การจ่ายยาปลอดสัมผัส การชำระค่าบริการดิจิทัล หรือแม้แต่ Telemedicine สำหรับเคสติดตามผลทั้งหมดนี้ทำได้คล่องขึ้นในบรรยากาศ “บริการในเมือง” ซึ่งประเทศไทยมีบทเรียนการใช้เทเลเมดิซีนเพื่อลดการแออัดและเพิ่มการเข้าถึงมาต่อเนื่องตั้งแต่โควิด-19 และกำลังต่อยอดในระบบบริการปกติ

โฮงยาไทย” ในความทรงจำของเมือง กับบทใหม่ที่กำลังจะเริ่ม

คนเชียงรายเรียกโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ว่า “โฮงยาไทย” มาหลายทศวรรษ สถาบันแห่งนี้เป็นโรงพยาบาลหลักของจังหวัดบทบาท “เสาหลัก” แห่งระบบสุขภาพที่รับส่งต่อจากอำเภอ พรมแดน และนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ความหมายเชิงวัฒนธรรมของชื่อ “โฮงยาไทย” จึงมากกว่าสถานพยาบาล แต่คือความไว้ใจของชุมชนที่ส่งต่อรุ่นสู่รุ่น การขยายบริการสู่ศูนย์การค้า จึงไม่ใช่การ “ออกจากชุมชน” แต่คือการ “เข้าไปใกล้ชุมชน” มากยิ่งขึ้น  

เชื่อมโยงกับนโยบายชาติ “Premium Clinic” ของรัฐ—อีกเครื่องมือหนึ่งเพื่อลดแออัด

ตลอดปี 2567–2568 กระทรวงสาธารณสุขสื่อสารแนวทาง คลินิกพรีเมียม (Premium Clinic)” ในโรงพยาบาลรัฐบางแห่ง—บริการทางเลือกที่เร็วขึ้น มีความสะดวกสบายเพิ่มขึ้น และมีค่าบริการตามกรอบกฎหมาย โดยยืนยันควบคู่ว่า สิทธิพื้นฐานของประชาชน (เช่น บัตรทอง/ประกันสังคม/ข้าราชการ) ยังคงอยู่ครบถ้วน คลินิกพรีเมียมจึงเป็น “ช่องทางเสริม” ที่ช่วยแก้จุดปวดเรื่องคิวและเวลารอ โดยมีการรายงานความคืบหน้าและติดตามผลในระดับนโยบายอย่างต่อเนื่อง

เมื่อจับภาพรวม การตั้ง Premium Clinic ของ “โฮงยาไทย” ในศูนย์การค้าจึงสอดคล้องกับกรอบเชิงนโยบายของประเทศที่มุ่งให้ระบบบริการ “ยืดหยุ่น-ทันสมัย-เลือกได้” โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

บริการที่คาดหวัง ไม่ฉุกเฉิน แต่สำคัญต่อคุณภาพชีวิต

แม้โรงพยาบาลยัง ไม่ได้ประกาศ รายละเอียดรายการบริการและเวลาเปิด-ปิดอย่างเป็นทางการ แต่จากธรรมชาติของคลินิกนอกเขตรพ.หลักในหลายพื้นที่ และแนวโน้มบริการผู้ป่วยนอกยุคใหม่ บริการที่ “มีแนวโน้ม” เหมาะสมกับรูปแบบ Premium Clinic ได้แก่

  • ตรวจติดตามโรคเรื้อรังที่ควบคุมได้ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันผิดปกติ (ผู้ป่วยอาการคงที่/ไม่มีภาวะฉุกเฉิน)
  • คลินิกเวชศาสตร์ครอบครัว/เวชปฏิบัติทั่วไป ตรวจรักษาอาการไม่รุนแรง เจ็บคอ ไอ จาม แพ้อากาศ ผื่น คำปรึกษาพื้นฐาน
  • วัคซีนและส่งเสริมสุขภาพ ตรวจสุขภาพประจำปี คัดกรองความเสี่ยง NCDs ให้คำปรึกษาโภชนาการ/การเลิกบุหรี่
  • บริการนัดติดตาม-รับยา ร่วมกับระบบนัดหมาย/รับยาแบบ Drive-thru หรือส่งยาถึงบ้านในบางกรณี (ขึ้นกับนโยบายของหน่วยบริการในพื้นที่)
  • Telemedicine/Teleconsult (เมื่ออนุญาต) สำหรับการติดตามผลที่ไม่ต้องตรวจร่างกายซับซ้อน

ทั้งหมดนี้เป็น “ตัวอย่างแนวปฏิบัติทั่วไป” ของคลินิกเมืองยุคใหม่ทั่วโลกและสอดคล้องกับบทเรียนไทยด้าน Telemedicine ซึ่งช่วยลดเวลารอ ลดความหนาแน่น และคงคุณภาพการดูแลเมื่อคัดกรองผู้ป่วยอย่างเหมาะสม

ข้อสำคัญ: ผู้ป่วยฉุกเฉิน (เจ็บหน้าอกรุนแรง หอบเหนื่อยเฉียบพลัน อัมพาตเฉียบพลัน อุบัติเหตุเลือดออกมาก ฯลฯ) ต้องไปโรงพยาบาลหลักหรือโทร 1669 ตามมาตรฐานระบบการแพทย์ฉุกเฉิน

มองผ่านเลนส์ “เศรษฐกิจ-สังคม-สุขภาพ” ใครได้ประโยชน์?

ประชาชนทั่วไป
ได้ทางเลือกบริการใกล้ตัว ลดเวลารอ ลดค่าโสหุ้ยจากการเดินทาง ช่วยให้คนทำงาน/ผู้ประกอบการรายย่อย/นักท่องเที่ยวได้รับการดูแลทันเวลา ไม่ปล่อยให้โรคเรื้อรังลุกลาม

โรงพยาบาลจังหวัด (โฮงยาไทย)
สามารถบริหารคิวงานดีขึ้น—แยก เคสเบา-เคสหนัก” อย่างสมเหตุผล เพิ่มความพึงพอใจผู้ป่วย และรักษาคุณภาพการดูแลเคสซับซ้อนได้มากขึ้น

ระบบสุขภาพจังหวัด
เสริมความเข้มแข็งของเครือข่ายบริการ (PCC/รพ.สต./รพช.) ด้วยจุดรับบริการ “ดาวเทียม” ในเมือง เชื่อมข้อมูลกับรพ.หลักได้เร็วขึ้น สร้าง continuity of care ที่ดี

เศรษฐกิจท้องถิ่นและการท่องเที่ยว
เชียงรายเป็นเมืองท่องเที่ยวและประตูการค้าชายแดน การมีบริการสุขภาพมาตรฐานในโลเคชันที่เข้าถึงง่ายอย่างศูนย์การค้า ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้นักท่องเที่ยวและนักลงทุน (ข้อมูลสถานที่ศูนย์การค้าจากแหล่งสาธารณะ)

ความคืบหน้า-สิ่งที่ต้องติดตาม

  • ขั้นตอนก่อสร้าง/ตกแต่งภายใน: การออกแบบสถาปัตยกรรมเสร็จแล้ว กำลังเข้าสู่การปรับปรุงพื้นที่
  • กรอบบริการ/เวลาทำการ/ตารางแพทย์: รอประกาศอย่างเป็นทางการจากโรงพยาบาล
  • อัตราค่าบริการ/การใช้สิทธิ: หากอยู่ในกรอบ “คลินิกพรีเมียม” จะเป็น บริการทางเลือก ที่มีค่าธรรมเนียมชัดเจน แต่สิทธิพื้นฐานเดิมยังคงอยู่ (ตามกรอบนโยบายระดับประเทศ)
  • การเชื่อมระบบดิจิทัล: นัดหมายออนไลน์ ชำระเงินดิจิทัล Telemedicine/รับยาต่อเนื่อง—แนวทางที่ไทยมีบทเรียนและงานวิจัยสนับสนุนแล้ว

เสียงสะท้อนจาก “แนวโน้มประเทศ” ลดแออัดให้ได้ผล ต้อง “หลายเครื่องมือพร้อมกัน”

การลดความแออัดผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลรัฐ ไม่ใช่โจทย์ที่แก้ด้วยมาตรการเดียว ศูนย์กลางนโยบายไทยระบุแนวทางผสมผสาน ตั้งแต่ บริหารคิว/นัดหมายล่วงหน้า/ขยายชั่วโมงบริการบางคลินิก/ใช้แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวเป็นด่านหน้า/เชื่อม Telemedicine/และกระจายบริการสู่จุดใกล้บ้านใกล้เมือง ซึ่งสะท้อนอยู่ในทั้งเอกสารวิชาการและการสื่อสารเชิงนโยบายของภาครัฐ

การตั้ง Premium Clinic ในห้าง ของ “โฮงยาไทย” จึงควรอ่านควบคู่ไปกับมาตรการอื่น ๆ ไม่ใช่ตัวแทนของการ “แปรรูปบริการ” หากแต่เป็น ทางเลือกเสริม” ที่เติมช่องว่างประสบการณ์ผู้รับบริการ—โดยที่สิทธิพื้นฐานยังอยู่ครบถ้วนตามกฎหมายและนโยบาย

ความคาดหวังที่สมเหตุผลคืออะไร?

  1. ความโปร่งใสเรื่องค่าบริการและการใช้สิทธิ
    การสื่อสารชัดว่าบริการใดอยู่ในแพ็กเกจพรีเมียม/ค่าใช้จ่ายประมาณการเท่าไร/ประชาชนที่ใช้สิทธิบัตรทองหรือสิทธิอื่น ๆ มีทางเลือกอะไร—คือหัวใจของการยอมรับ
  2. มาตรฐานวิชาชีพและความต่อเนื่องของข้อมูล
    ระบบเวชระเบียนเดียวกัน/การส่งต่อระหว่างคลินิกกับรพ.หลักแบบไร้รอยต่อ/มาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัย—ยิ่งแน่น ยิ่งสร้างความเชื่อมั่น
  3. สมดุลระหว่าง “ความสะดวก” กับ “ความเป็นธรรม”
    คลินิกพรีเมียมเพิ่มทางเลือกความสะดวก แต่ต้องไม่ดึงทรัพยากรสำคัญออกจากการดูแลตามสิทธิพื้นฐาน—การจัดสรรกำลังคนและตารางแพทย์จึงต้องวางแผนอย่างรอบคอบ
  4. การประเมินผลอย่างเป็นระบบ
    วัดจริงว่าคิวรพ.หลักลดลงแค่ไหน เวลาเฉลี่ยผู้ป่วยนอกดีขึ้นเท่าไร ความพึงพอใจ-ความปลอดภัย-ผลลัพธ์สุขภาพของผู้ป่วยเป็นอย่างไร และรายได้-ค่าใช้จ่ายหน่วยบริการสมดุลหรือไม่

ก้าวเล็กในแปลนก่อสร้าง แต่คือก้าวใหญ่ของการดูแลสุขภาพแบบใหม่

จาก “โฮงยาไทย” ในความทรงจำของชาวเชียงราย สู่ Premium Clinic ในศูนย์การค้าใจกลางเมือง—นี่คือตัวอย่างการพลิกมุมมองว่า “การแพทย์ไม่จำเป็นต้องอยู่แต่ในโรงพยาบาล” และ “ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องเสียทั้งวันเพื่อพบแพทย์ 10 นาที” หากออกแบบประสบการณ์ที่ดี เชื่อมโยงเทคโนโลยีและระบบคิวให้ฉลาด การดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพสามารถเกิดขึ้นได้ในพื้นที่ที่ผู้คนใช้ชีวิตจริง

ในระยะสั้น โครงการนี้จะเป็น จุดทดสอบ” ว่าเชียงรายสามารถกระจายบริการ ลดแออัด และยกระดับความพึงพอใจของประชาชนได้จริงเพียงใด ในระยะยาว หากโมเดลนี้เดินได้ด้วยความโปร่งใส ยึดมาตรฐานวิชาชีพ และเคารพสิทธิพื้นฐาน—เชียงรายอาจกลายเป็นต้นแบบของ คลินิกเมือง” ที่เมืองอื่น ๆ น่าศึกษาและต่อยอด

สิ่งที่ทุกฝ่ายรอคือ ประกาศอย่างเป็นทางการ เรื่องรายการบริการ เวลาเปิด-ปิด และเงื่อนไขการใช้สิทธิ/ค่าบริการ เมื่อถึงวันนั้น “คลินิกในห้าง” แห่งนี้อาจไม่ใช่เพียงโครงการสวย ๆ ในแปลน แต่จะกลายเป็น ประตูบานใหม่ของระบบสุขภาพ ที่เปิดออกสู่ผู้คนทุกวัน—ใกล้ขึ้น สะดวกขึ้น และเป็นมิตรกับชีวิตมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เว็บไซต์ทางการโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์: ข้อมูลสถาบัน/บทบาทโรงพยาบาลจังหวัด 
  • สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สลน.)/สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี 
  • HITAP – Health Intervention and Technology Assessment Program 
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) 
  • Hfocus.org 
  • ท้องถิ่นนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ย้ายชุมชนแม่สาย สู่โครงการ “บ้านมั่นคง” บนที่ดินโรงงานยาสูบ แก้ปัญหาน้ำท่วมยั่งยืน

ก้าวยาวสู่ความมั่นคง! แม่สายเตรียมย้ายชุมชนริมน้ำ จัดสรรที่ดินโรงงานยาสูบสร้างบ้านใหม่

แม่สายเมืองหน้าด่านเศรษฐกิจ เชียงรายผลักดันแผนแก้ปัญหาอุทกภัยระยะยาวแบบระบบ ตั้งแต่ “ขยายลำน้ำก่อสร้างคันกันน้ำจัดระเบียบริมตลิ่งย้ายชุมชนเสี่ยง” สู่การตั้งถิ่นฐานใหม่ผ่าน โครงการบ้านมั่นคง บนที่ดินโรงงานยาสูบ (ที่ราชพัสดุ)

วิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น

  • ตัวเลขชวนคิด: เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สายครอบคลุม 8 ตำบล พื้นที่ 304.78 ตร.กม. (ราว 190,487.5 ไร่) เคยมี น้ำท่วมใหญ่ ก.ย.–ต.ค. 2567 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 6,000 ล้านบาท; แม่น้ำสายแคบลงจาก 70–80 ม. เหลือ <20 ม. ใต้สะพานมิตรภาพฯ แห่งที่ 1; พบการรุกล้ำลำน้ำ ฝั่งไทย 45 จุด/ฝั่งเมียนมา 33 จุด (เมียนมารื้อถอนแล้ว 20 จุด); แผนวิศวกรรมตั้งเป้า “ขยายลำน้ำ ≥50 ม. + คันยกระดับ สูงรวม ~3 ม. กว้าง 9 ม. ระยะทาง 3,960 ม. รองรับน้ำหลาก ~430 ม³/วินาที” พร้อมกรอบก่อสร้างเบื้องต้น ~2,000 ล้านบาท และสำรวจ–ออกแบบ 24 ล้านบาท
  • ปมชี้ขาด: ความพร้อมในการ “ย้าย–เยียวยา–จัดสรรที่อยู่อาศัยใหม่” ของ 843 หลังคาเรือน ริมน้ำ และการประสานข้ามพรมแดนกับเมียนมาเพื่อแก้ที่ ต้นน้ำตะกอนมลพิษโลหะหนัก
  • กุญแจสู่การคลี่คลาย: ใช้ที่ราชพัสดุโรงงานยาสูบ ประมาณ 70 ไร่ ในเขตเทศบาล ติดเมือง–พ้นแนวท่วม ทำ “บ้านมั่นคง” (สิทธิอยู่ เช่าที่ราชพัสดุ/กู้สหกรณ์สร้างบ้าน ~280,000–400,000 บาท ต่อหน่วย ขึ้นกับแบบและพื้นที่) โดย พอช. เป็นแม่งานภาคสังคม ร่วมกับ กรมโยธาฯ–กรมธนารักษ์–จังหวัดเชียงราย

 “ขยับเมืองหนีน้ำ” แม่สายเดินหน้าแผนใหญ่ขยายลำน้ำ สร้างคันกันน้ำ ย้ายชุมชนเสี่ยง สู่ ‘บ้านมั่นคง’ บนที่ดินโรงงานยาสูบ

เชียงราย, 24 สิงหาคม 2568 — ยามฝนหลงฤดูซัดกระหน่ำเหนือดอยแม่สายในคืนหนึ่ง น้ำขุ่นจัดไหลทะลักผ่านช่องแคบใต้สะพานมิตรภาพไทย–เมียนมา แห่งที่ 1 ก่อนจะแผ่ซ่านเข้าเขตตลาดและชุมชนริมน้ำในเวลาไม่กี่สิบนาที เป็นภาพที่คนในพื้นที่เรียกติดปากว่า “มาเร็ว–ลงไว–ทิ้งโคลน” และเป็นสัญญาณเตือนว่าต้นทุนการอยู่ร่วมกับสายน้ำในเมืองหน้าด่านเศรษฐกิจแห่งนี้ “เปลี่ยนไป” แล้ว

หนึ่งปีให้หลังจาก เหตุอุทกภัยใหญ่ ก.ย.–ต.ค. 2567 ที่ก่อความเสียหายทางเศรษฐกิจประเมินค่ากว่า 6,000 ล้านบาท แม่สายเดินมาถึงจุดตัดสินใจสำคัญ: จะ “ซ่อมความเสียหาย” เป็นครั้ง ๆ แบบเดิม หรือ “ยกเครื่องทั้งระบบ” แม่น้ำ–ตลิ่ง–เมือง–ชุมชน ให้สอดคล้องกับภูมิประเทศเสี่ยงน้ำและความจริงใหม่ของสภาพภูมิอากาศ

คำตอบเริ่มชัด เมื่อแผนงานชุดใหญ่ที่รัฐบาลมอบหมายให้ กรมโยธาธิการและผังเมือง (โยธาฯ) เป็นแกนกลาง กำหนดภาพรวมตั้งแต่ ขยายหน้าตัดแม่น้ำสาย ให้กว้าง ไม่น้อยกว่า 50 เมตร, ก่อสร้างคันป้องกันน้ำหลาก–โคลน ระยะทาง 3,960 เมตร ยกระดับความสูงรวมราว 3 เมตร (คันดิน 2 ม. + ผนังคอนกรีต 1 ม.) พร้อม ย้ายรื้อสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำ และจัดระเบียบพื้นที่ริมตลิ่งทั้งสองฝั่ง เพื่อให้ระบบระบายน้ำรองรับอัตราการไหล ประมาณ 430 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ได้อย่างมีเสถียรภาพ โดยวางกรอบงบประมาณก่อสร้างเบื้องต้นราว 2,000 ล้านบาท และวงเงินศึกษาสำรวจ–ออกแบบ 24 ล้านบาท เพื่อเร่งงานเตรียมการในช่วง 8 เดือน ข้างหน้า

“เร่งศึกษารูปแบบก่อสร้างให้จบเร็วที่สุด แต่ย้ำว่านี่เป็น โครงการระยะยาว โดยเฉพาะการย้ายบ้านเรือนกว่า 800 หลัง ไม่อาจแล้วเสร็จภายในฤดูฝนนี้หรือปีหน้า” ข้อความตามการชี้แจงของ นายพงษ์นรา เย็นยิ่ง อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง

เมื่อ “แม่น้ำแคบ–ตะกอนหนา–กิจกรรมมนุษย์เร่งวิกฤต”

หากถอยออกมาดูทั้งลุ่มน้ำ ภาพใหญ่ของแม่สายคือเมืองชายแดนที่ตั้งอยู่บน เนินตะกอนรูปพัด (alluvial fan) อันเป็นพื้นที่เสี่ยงน้ำหลากโดยธรรมชาติ เมื่อประกอบกับลักษณะลำน้ำที่ แคบลงต่อเนื่องจาก 70–80 เมตร เหลือ ไม่ถึง 20 เมตร บริเวณใต้สะพานมิตรภาพฯ แห่งที่ 1 ความสามารถระบายน้ำย่อมลดฮวบ ขณะเดียวกัน “แรงเร่ง” จากกิจกรรมมนุษย์ทำให้วิกฤตรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

  • การเปิดหน้าดิน–ทำลายป่าต้นน้ำในรัฐฉาน (เมียนมา) เพื่อเกษตรและเหมือง สร้างมวลตะกอนพัดพาลงลำน้ำสาย เมื่อหน้าตัดลำน้ำแคบ–ความลาดชันในช่วงเมืองต่ำ ตะกอนจึง ตกทับถมรวดเร็ว เกิดปรากฏการณ์ที่คนท้องถิ่นเปรียบว่า “สึนามิโคลน” นั่นคือไม่ใช่เพียงน้ำ แต่เป็น น้ำ+โคลน ที่ลากเศษซากลงสู่เขตชุมชน
  • การรุกล้ำลำน้ำ–ก่อสิ่งปลูกสร้างริมตลิ่ง พบจุดรุกล้ำ ฝั่งไทย 45 จุด และ ฝั่งเมียนมา 33 จุด โดย ฝ่ายเมียนมารื้อถอนไปแล้ว 20 จุด ฝั่งไทยก็ประกาศเดินหน้าเช่นกัน การรุกล้ำเหล่านี้ทำให้พื้นที่หน้าตัดลำน้ำหายไป ก่อ “คอขวด” หลายช่วง และเป็นอุปสรรคต่อวิธีแก้ทางวิศวกรรม
  • มลพิษจากเหมืองต้นน้ำ โดยเฉพาะการปนเปื้อน สารหนู (Arsenic) และโลหะหนักในบางจุดของแม่น้ำสาย—ประเด็นที่เกี่ยวพันกับสุขภาพชุมชนและระบบนิเวศ และต้องการความร่วมมือข้ามพรมแดนในการแก้ที่ต้นทาง

 “ขยายลำน้ำ–ย้ายเสี่ยง–สร้างคัน–ตั้งถิ่นฐานใหม่”

หัวใจของแผนแม่สายไม่ได้มีเพียงคันกันน้ำ แต่เริ่มจากการ คืนพื้นที่ให้แม่น้ำ ผ่านการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำ มากกว่า 843 หลังคาเรือน และ ขยายหน้าตัด ลำน้ำให้ได้มาตรฐานทางไฮดรอลิก ก่อนเสริมด้วยคันป้องกัน–ผนังคอนกรีต เพื่อ ลดโอกาสน้ำทะลัก เข้าพื้นที่เศรษฐกิจ–ชุมชนสำคัญ

จุดชี้เป็นชี้ตายของการ “คืนพื้นที่ให้แม่น้ำ” คือ จัดหาที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ ให้กับผู้ได้รับผลกระทบโดยเร็ว—และนั่นนำไปสู่การพิจารณาใช้ ที่ดินโรงงานยาสูบ (ที่ราชพัสดุ) ประมาณ 70 ไร่ ในเขตเทศบาลตำบลแม่สาย เพื่อจัดทำชุมชนใหม่ภายใต้ โครงการบ้านมั่นคง” ซึ่ง สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) รับบทเป็นแกนกลางการทำงานกับชุมชน

“ที่ดินดังกล่าวอยู่ห่างด่านพรมแดนราว 1.5 กม. ห่างที่ว่าการอำเภอเพียง 300 ม. ใช้เป็นสวนสุขภาพและ ไม่เคยท่วม จึงเหมาะสำหรับตั้งถิ่นฐานใหม่” สาระจากคำอธิบายของ นายวิเชียร พลสยม ผอ.พอช. ภาคเหนือ

บ้านมั่นคง แบบสิทธิภาระผ่อน

บ้านมั่นคง เป็นโมเดล “สิทธิอยู่อาศัย” ที่ให้ประชาชนเช่าที่ราชพัสดุจาก กรมธนารักษ์ (สิทธิรวมกลุ่มตามเงื่อนไขโครงการ) แล้วใช้กลไก สหกรณ์ออมทรัพย์ชุมชน เป็นแหล่งสินเชื่อเพื่อก่อสร้าง/ปรับปรุงบ้าน โดยมี แบบบ้านหลายขนาด รองรับครัวเรือนต่างบริบท ตัวอย่างเช่น ห้องแถว/ทาวน์เฮาส์ขนาดเล็ก ≤30 ตร.ม. ต้นทุนก่อสร้างประมาณ 280,000–300,000 บาท (ในเมืองใหญ่) และ 350,000–400,000 บาท ในต่างจังหวัดสำหรับครอบครัว ~5 คน ทั้งนี้สิทธิในโครงการเน้น ประชาชนสัญชาติไทย (เลข 13 หลัก) และ ครอบครัวขยาย ที่ได้รับการรับรองจากชุมชน เพื่อลดข้อขัดแย้งและป้องกันการเก็งกำไรสิทธิ

ทำไม “ที่ราชพัสดุโรงงานยาสูบ” จึงเป็นจิ๊กซอว์สำคัญ

พื้นที่โรงงานยาสูบในแม่สายเคยถูกหยิบยกใน ปี 2559 ภายใต้นโยบาย เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ครอบคลุมที่ราชพัสดุ 3 แปลง รวม ~870-3-5 ไร่ ใน ต.โป่งผา ทำเลติดถนนพหลโยธิน ใกล้ด่านศุลกากรแม่สายแห่งที่ 2 ราว 4 กม. แต่การพัฒนาติดเงื่อนไขการใช้ประโยชน์ที่ดินเดิม (เช่าปลูกข้าวโพด–ยาสูบ) การนำ บางส่วน ของที่ดิน “ที่พ้นแนวท่วม” มาใช้เพื่อแก้ปัญหาสาธารณะตั้งถิ่นฐานให้ผู้ย้ายจึงเป็น ทางเลือกใหม่ ที่น่าจับตา และหากเดินหน้าได้จริง จะช่วย “ลดแรงต้าน” ในภาคสนาม เพราะชุมชนใหม่อยู่ ไม่ไกล จากที่ทำกิน–ที่ทำงานเดิม

เสียงจากสนามจริง ใครได้–ใครเสีย–จะเดินต่ออย่างไร

ฝ่ายได้ประโยชน์

  1. ชาวแม่สายในระยะยาว: ลดความเสี่ยงชีวิต–ทรัพย์สิน เศรษฐกิจเมืองชายแดนมีเสถียรภาพมากขึ้น
  2. ครัวเรือนที่ย้ายเข้าโครงการ: เข้าถึงที่อยู่อาศัยมั่นคง ถูกกฎหมาย มีระบบสาธารณูปโภคครบถ้วน
  3. แม่น้ำ–สิ่งแวดล้อม: คืนหน้าตัดระบายน้ำ ลดการกัดเซาะ–ทับถม และเปิดทางสู่การฟื้นฟูคุณภาพน้ำ
  4. ภาพลักษณ์ชายแดน: ด่าน–ริมน้ำเป็นระเบียบ เพิ่มความเชื่อมั่นด้านท่องเที่ยว–การค้า

ฝ่ายได้รับผลกระทบ

  1. ครัวเรือนที่ต้องย้าย: แม้มีทางออก “บ้านมั่นคง” แต่การย้ายคือการเปลี่ยนชีวิต โดยเฉพาะผู้ที่ ไม่มีเอกสารสิทธิ์ จะได้รับชดเชยเฉพาะ ค่าบ้าน ไม่รวมที่ดิน
  2. เกษตรกรผู้เช่าที่ในเขตโรงงานยาสูบ: หากนำบางส่วนของที่ดินมาใช้ตั้งถิ่นฐาน อาจต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบทำกิน
  3. ผู้ประกอบการค้าริมน้ำที่รุกล้ำ: เช่น บางส่วนของตลาด–แผงค้า จำเป็นต้องรื้อ/ย้าย ไปสู่รูปแบบพื้นที่ค้าขายใหม่
  4. ภาครัฐ: แบกรับภาระงบฯ ทั้งศึกษาความเหมาะสม–รับฟังความเห็น–ชดเชย–ก่อสร้าง (ประเมินเบื้องต้น ค่าประนีประนอม ~200 ล้านบาท + ค่าก่อสร้าง ~2,000 ล้านบาท) และต้องบริหาร ความไว้วางใจสาธารณะ อย่างใกล้ชิด

ท่าทีจังหวัด ด้าน นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ระบุว่า ประชาชนส่วนใหญ่ “รับทราบความจำเป็นต้องย้าย” เพื่อแก้ปัญหาระยะยาว และจังหวัดได้ตั้งคณะทำงานตรวจสอบ ข้อมูลครัวเรือนกว่า 1,500 หลังคาเรือน ที่อยู่ในแนวต้องเคลื่อนย้าย เพื่อกำหนด ลำดับ–มาตรการเยียวยา–แบบชุมชนใหม่ ให้เหมาะสม

ข้ามพรมแดนเพื่อแก้ที่ต้นเหตุ: ขุดลอก–คุมตะกอน–ลดมลพิษ

ปัญหาแม่สายไม่สิ้นสุดที่ฝั่งไทย เพราะ ต้นน้ำส่วนใหญ่อยู่ในเมียนมา รัฐบาลไทยจึงเดินหน้าเจรจา ขุดลอกแม่น้ำสาย–แม่น้ำรวก, ตั้ง คณะทำงานวิชาการร่วม เพื่อจัดการมลพิษข้ามแดน โดยเฉพาะ โลหะหนักจากกิจกรรมเหมือง และการ อนุรักษ์ป่าต้นน้ำ แม้ความคืบหน้ายังผูกกับสถานการณ์ภายในเมียนมา แต่กรอบความร่วมมือถือเป็น ก้าวแรกที่จำเป็น เพื่อไม่ให้มาตรการปลายน้ำของไทย “รับภาระลำพัง”

เส้นเวลา–สิ่งที่จับตาจากแบบบนกระดาษสู่สนามจริง

  • 1–2 เดือน: กรมโยธาฯ ใช้งบกลางเริ่มศึกษารูปแบบก่อสร้าง–โครงสร้างป้องกัน
  • ภายใน ~8 เดือน: สำรวจ–ออกแบบ–รับฟังความคิดเห็นสาธารณะ (งบ 24 ล้านบาท)
  • ระยะก่อสร้าง: ผูกกับผลการออกแบบ รายการเวนคืน/รื้อย้าย และ ฤดูกาลฝน ซึ่งอาจต้อง “ก่อสร้างเป็นช่วง ๆ”
  • กระบวนการสังคม: สำรวจสิทธิ–เข้าโครงการบ้านมั่นคง–จัดผังชุมชน–สาธารณูปโภค—เป็น “งานใหญ่” ไม่แพ้โครงสร้างทางวิศวกรรม

หมุดเช็กความก้าวหน้า ที่สาธารณะควรถามซ้ำทุกไตรมาส คือ
(1) แผนผัง “แนวเขตเวนคืน/รื้อย้าย” โปร่งใสเพียงใด
(2) รายชื่อ–สถานะ “ผู้มีสิทธิ์เข้าบ้านมั่นคง” ชัดแค่ไหน
(3) ตารางการขุดลอก–เพิ่มหน้าตัดลำน้ำ เดินตามแบบหรือไม่
(4) ความคืบหน้าความร่วมมือข้ามแดนด้านตะกอน–มลพิษ

เมืองที่ยืนอยู่ได้บน “สายน้ำที่ยอมรับความจริง”

แม่สายเป็นหนึ่งใน เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ที่สำคัญ ครอบคลุม 8 ตำบล พื้นที่ ~304.78 ตร.กม. เศรษฐกิจชายแดนเติบโตเร็วแต่ความเปราะบางก็ขยายตาม หากปล่อยให้น้ำท่วมเป็น “เหตุการณ์พิเศษ” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมืองจะสูญเสียทั้ง ความเชื่อมั่นเสถียรภาพ และ โอกาส ในการเป็นศูนย์กลางการค้า–ท่องเที่ยวของภาคเหนือ

แผน “ขยายลำน้ำ–สร้างคัน–ย้ายเสี่ยง–บ้านมั่นคง” จึงคือการเลือก ยอมรับความจริง ของภูมิประเทศ และปรับเมืองให้เข้ากับสายน้ำ มากกว่าบังคับให้สายน้ำ “เดินตามเมือง” การจะสำเร็จได้ จำเป็นต้องมีทั้ง วิศวกรรมที่ดี และ วิศวกรรมสังคมที่ละเมียดสื่อสารโปร่งใส เยียวยาเป็นธรรม ประสานผลประโยชน์ และ “จับมือกันข้ามพรมแดน” กับเมียนมาในประเด็นตะกอน–มลพิษ

ท้ายที่สุด หาก “บ้านหลังใหม่” ของ 843 ครัวเรือนเกิดขึ้นจริงบนที่ดินที่ ไม่ท่วม–ไม่ไกล–มีงาน–มีโอกาส และหากแม่น้ำสายกลับมามีหน้าตัดตามหลักไฮดรอลิก เมืองแม่สายก็จะไม่ได้เพียง “หนีน้ำ” แต่ “อยู่กับน้ำได้”—อย่างมั่นคง และเดินหน้าบทบาทเมืองหน้าด่านเศรษฐกิจได้อย่างไม่สะดุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมโยธาธิการและผังเมือง (โยธาฯ) — กรอบแนวทางออกแบบ–ก่อสร้างคันกันน้ำ/ผนังคอนกรีต–การขยายหน้าตัดลำน้ำสาย ระยะทางรวม 3,960 ม., ขีดความสามารถรองรับน้ำหลาก ~430 ม³/วินาที, วงเงินศึกษาสำรวจ–ออกแบบ 24 ล้านบาท, กรอบงบก่อสร้างเบื้องต้น ~2,000 ล้านบาท
  • สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) – พอช. (สำนักงานภาคเหนือ) — โมเดล โครงการบ้านมั่นคง: หลักเกณฑ์สิทธิ, กลไกสหกรณ์สินเชื่อ, ช่วงราคาก่อสร้างต่อหน่วย ~280,000–400,000 บาท, หลักเกณฑ์การรับรองสมาชิก
  • กรมธนารักษ์ — หลักการใช้ประโยชน์ ที่ราชพัสดุ และการเช่าที่เพื่ออยู่อาศัยภายใต้กรอบโครงการบ้านมั่นคง
  • จังหวัดเชียงราย / ที่ว่าการอำเภอแม่สาย — ข้อมูลพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สาย (8 ตำบล, 304.78 ตร.กม. / ~190,487.5 ไร่), สถานการณ์อุทกภัย ก.ย.–ต.ค. 2567 และการตั้งคณะทำงานสำรวจครัวเรือน ~1,500 หลังคาเรือน
  • หน่วยงานชายแดนไทย–เมียนมา (คณะกรรมการร่วม) — ข้อมูลจุดรุกล้ำลำน้ำ ฝั่งไทย 45 จุด/ฝั่งเมียนมา 33 จุด และความคืบหน้าการรื้อถอนฝั่งเมียนมา 20 จุด
  • หน่วยงานสิ่งแวดล้อม/สาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง — ข้อมูลเบื้องต้นด้านคุณภาพน้ำ กรณีการปนเปื้อน สารหนู/โลหะหนัก จากกิจกรรมเหมืองในรัฐฉาน (เมียนมา) ที่ส่งผลข้ามพรมแดน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News