Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“อบจ.เชียงราย” เปิดเวที “Design Best Practice” ดันเยาวชนสู่พลังขับเคลื่อนเมืองสร้างสรรค์

 “อบจ.เชียงราย” เปิดเวที Chiangrai Design Best Practice จุดไฟ “คนรุ่นใหม่” สู่พลังขับเคลื่อนเมืองสร้างสรรค์โลก

เชียงราย, 31 สิงหาคม 2568  — ในห้องประชุมสว่างไสวของโรงแรมแสนโฮเทล เช้าวันสิ้นเดือนสิงหาคม ผู้คนต่างวัย—นักเรียน มหาวิทยาลัย ครู อาจารย์ นักออกแบบ ช่างฝีมือท้องถิ่น ไปจนถึงผู้บริหารท้องถิ่น—ทยอยนั่งประจำโต๊ะกลุ่มย่อยต่อหน้าแผ่นงานและตัวอย่างวัสดุที่จัดวางเรียงราย เสียงสนทนาคละเคล้าระหว่าง “ภูมิปัญญาเดิม” กับ “สภาวะใหม่” ของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จุดร่วมเดียวกันคือคำถามง่ายๆ ที่ท้าทายทุกคนว่า เราจะออกแบบอนาคตเชียงรายให้ยั่งยืนด้วยรากวัฒนธรรมได้อย่างไร” นี่คือภาพเปิดของเวที “Chiangrai Design Best Practice : Knowledge Transfer from Culture to Youth” ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) ตั้งใจ “ยกห้องเรียนทั้งเมือง” เพื่อส่งต่อองค์ความรู้การออกแบบจากวัฒนธรรมสู่เยาวชน และวางรากฐานจังหวัดสู่การเป็นสมาชิก เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก (UNESCO Creative Cities Network: UCCN) ด้านการออกแบบในก้าวต่อไป

พิธีเปิดได้รับเกียรติจาก นางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการวางแผนและงบประมาณ อบจ.เชียงราย ทำหน้าที่ประธาน พร้อมเครือข่ายภาคีจากหลากหลายสาขา ทั้งหน่วยงานรัฐ เอกชน มหาวิทยาลัย และผู้เชี่ยวชาญจากเมืองเครือข่ายสร้างสรรค์ในประเทศ อาทิ เพชรบุรี (ถ่ายทอดประสบการณ์ด้านอาหารและหัตถกรรมเชิงวัฒนธรรม) และ สุพรรณบุรี (แนวทางการใช้ดนตรี–ศิลปะร่วมสมัยต่อยอดเมือง) ตลอดจนผู้แทนจาก นครฉงชิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเข้าร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และการออกแบบเชิงเมือง

คนรุ่นใหม่” คือหัวใจของเมืองออกแบบ

ภายหลังพิธีเปิด นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เดินทางมาพบปะผู้เข้าร่วมและย้ำ “แกนกลาง” ของเวทีครั้งนี้อย่างชัดเจนว่า การพัฒนาเมืองสร้างสรรค์ ไม่ใช่เพียงสร้างแลนด์มาร์ก แต่ต้องสร้าง “คน” และ “โอกาส” ให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ ลงมือทำ และนำภูมิปัญญาท้องถิ่นไปต่อยอดบนมาตรฐานสากล

“เชียงรายจะก้าวสู่การเป็นเมืองสร้างสรรค์โลกได้อย่างยั่งยืน ก็ต่อเมื่อคนรุ่นใหม่มีบทบาทและเป็นพลังขับเคลื่อน เราจึงต้องลงทุนกับการเรียนรู้และการสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนเป็นนักออกแบบแห่งอนาคต” — นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย

คำกล่าวดังกล่าววาง “ธง” ให้กิจกรรมทั้งวันเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน: ถอดบทเรียนจากวัฒนธรรม แปลงเป็นโจทย์ออกแบบ ต่อยอดเป็นต้นแบบ (prototype) ที่ใช้ได้จริง พร้อมเครื่องมือให้เยาวชนกลับไปขยายผลในโรงเรียน ชุมชน และสตาร์ทอัพ/เอสเอ็มอีที่กำลังก่อตัว

ห้องทดลอง “Best Practice” จากภูมิปัญญา สู่ผลิตภัณฑ์–พื้นที่–ประสบการณ์

โครงสร้างการประชุมเชิงปฏิบัติการแบ่งเป็น 3 แทร็กหลัก เชื่อมโยงตั้งแต่ “ของที่ทำ” ไปถึง “เมืองที่อยู่” และ “ประสบการณ์ที่ขาย” ดังนี้

  1. Design × Craft & Heritage — สำรวจทุนวัฒนธรรมเชียงราย เช่น สิ่งทอ ลายชนเผ่า งานไม้ งานดิน และงานโลหะพื้นถิ่น จากนั้นพัฒนาเป็น “ชุดเครื่องมือออกแบบ” (design toolkit) สำหรับนักเรียน–นักออกแบบรุ่นใหม่ ตั้งแต่วิธีเก็บข้อมูลลวดลาย ถ่ายทอดเรื่องเล่าของชุมชน ไปจนถึงการตั้งมาตรฐานคุณภาพสินค้าให้พร้อมส่งออก
  2. Product & Circular Design — ตั้งโจทย์ลดขยะและเพิ่มมูลค่า เช่น นำเศษวัสดุการเกษตร/เศษไม้จากงานช่าง กลับมาออกแบบเป็นของใช้ร่วมสมัย เน้นการคำนวณอายุการใช้งาน (life cycle) ต้นทุน–ราคาที่เหมาะสม และการผลิตแบบจิ๋วแต่แจ๋วที่ช่างท้องถิ่นทำได้
  3. Place–Making & Creative Tourism — แปลงทุนวัฒนธรรมให้เป็น “ประสบการณ์ในพื้นที่” ตั้งแต่การออกแบบป้ายทางเท้า–เส้นทางจักรยานเชื่อมชุมชนช่าง, ตลาดนัดงานคราฟต์รายเดือน ไปจนถึงเทศกาลขนาดเล็กที่โรงเรียนเป็นเจ้าภาพ เพื่อให้เยาวชนเรียนรู้ทักษะจัดการอีเวนต์และการสื่อสารสาธารณะ

แกนร่วมของทั้งสามแทร็กคือ ความเป็นเจ้าของ (ownership) ของชุมชนและเยาวชนให้เกิดขึ้นจริง ด้วยหลักการ “เรียน–ลอง–ใช้” ในพื้นที่ แทนการนำแนวคิดสำเร็จรูปจากที่อื่นมาใส่

ทำไม “ยูเนสโก เมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ” ถึงสำคัญ

เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก (UNESCO Creative Cities Network – UCCN) เป็นกรอบความร่วมมือระดับโลกที่ส่งเสริมให้เมืองใช้ “วัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์” เป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน เมืองสมาชิกแบ่งตามสาขา เช่น Design, Crafts & Folk Art, Gastronomy, Music, Film, Literature, Media Arts เป็นต้น

ประเทศไทยมีเมืองสมาชิก UCCN หลายแห่งที่สร้างชื่อบนเวทีโลก อาทิ กรุงเทพฯ (Design), เชียงใหม่ (Crafts & Folk Art), ภูเก็ต (Gastronomy), สุโขทัย (Crafts & Folk Art) และ เพชรบุรี (Gastronomy) เมืองเหล่านี้ต่างพิสูจน์ว่า เมื่อ “ทุนวัฒนธรรม” พบ “ระบบสนับสนุนที่เหมาะสม” ก็สามารถเปลี่ยนเป็น อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ที่ทำให้คนอยู่ได้ เมืองอยู่รอด และเอกลักษณ์ท้องถิ่นยังสดอยู่เสมอ

สำหรับเชียงราย การมุ่งไปสู่ UCCN สาขาการออกแบบ (Design) มีเหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ชัดเจน

  • เชียงรายมี รากหัตถกรรมเข้มแข็ง และ artisan ท้องถิ่นหลากหลายชาติพันธุ์ ซึ่งพร้อมถูกยกระดับด้วยเครื่องมือการออกแบบสมัยใหม่
  • เมืองมี เครือข่ายศิลปิน–นักออกแบบร่วมสมัย จากสถาบันการศึกษาและเอกชนที่พร้อมเป็น “พี่เลี้ยง” ให้เยาวชน
  • เชียงรายเชื่อมโยง การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม–ธรรมชาติ ซึ่งการออกแบบสามารถเพิ่มคุณค่าในห่วงโซ่ประสบการณ์ได้ตั้งแต่ป้าย–ทาง–ตลาด–เทศกาล

กล่าวโดยสรุป การเลือก “Design” ไม่ได้หมายถึงเน้น “รูปลักษณ์สวย” หากคือการนำ “วิธีคิดแบบนักออกแบบ” ไปแก้ปัญหาเมืองและสร้างมูลค่าใหม่ทั้งระบบ

แผนเดินเกม 12 เดือน จากเวทีวันนี้ สู่คำขอเป็นสมาชิกพรุ่งนี้

อบจ.เชียงรายได้วางกรอบความคืบหน้าหลังเวทีอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อให้ “พลังงานของห้องประชุม” กลายเป็น “โครงการที่เดินได้จริง” รวมถึงรองรับเกณฑ์สำคัญของ UCCN ที่เน้น ความต่อเนื่อง–ผลลัพธ์–ความร่วมมือ ได้แก่

  1. ฐานข้อมูลทุนสร้างสรรค์ (Creative Assets Mapping) — รวบรวมช่างฝีมือ ลาย–แบบ–วัสดุ เครื่องมือ แหล่งเรียนรู้ และผู้ประกอบการที่พร้อมเชื่อมกับเยาวชนและหลักสูตรในพื้นที่
  2. หลักสูตรสั้น/สตูดิโอเยาวชน — เปิดสตูดิโอในโรงเรียน/ชุมชน ให้เยาวชนได้ฝึกงานกับช่าง–นักออกแบบจริง และพัฒนาต้นแบบอย่างน้อย 1 ชิ้นงาน/ทีม เพื่อจัดแสดงใน “เทศกาลออกแบบเชียงราย”
  3. เครือข่ายเมือง–มหาวิทยาลัย–เอกชน — จับคู่ที่ปรึกษา (mentor matching) ระหว่างนักออกแบบอาชีพ/สตูดิโอ กับทีมเยาวชน/ผู้ประกอบการรุ่นใหม่
  4. เทศกาล/ตลาดต้นแบบ (Pilot Events) — จัดกิจกรรมขนาดกะทัดรัดเน้นคุณภาพ เช่น งานคราฟต์รายเดือน เส้นทางชมชุมชนช่าง 1 วัน เทศกาลทดลองในย่านนำร่อง เพื่อทดสอบมาตรการจราจร สิ่งอำนวยความสะดวก และระบบสื่อสาร
  5. ติดตามผลลัพธ์และสื่อสารสาธารณะ — วัดผลเป็นรูปธรรม เช่น จำนวนชิ้นงานต้นแบบที่เข้าสู่เชิงพาณิชย์ จำนวนผู้ร่วมกิจกรรม การสร้างรายได้ให้ชุมชน ชื่อเสียงเชิงสื่อ และการมีส่วนร่วมของเยาวชน

แผนนี้ไม่เพียงตอบโจทย์การเตรียมความพร้อมต่อการสมัคร UCCN หากยังทำหน้าที่ ยกระดับคน–งาน–เมือง” ระหว่างทางอย่างต่อเนื่อง

บทเรียนจากเมืองเพื่อนทำอย่างไรให้ “การออกแบบ” ไม่หยุดที่คำว่า “สวย”

ผู้เชี่ยวชาญจากเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์—ทั้งในและต่างประเทศ—เสนอ 3 หลักคิดที่ทำให้การออกแบบ “อยู่รอด” ในโลกจริง

  • การออกแบบต้องแก้ปัญหา: เริ่มจากปัญหาจริง เช่น พื้นที่สาธารณะที่คนเลี่ยงใช้ ทางเท้าไม่ปลอดภัย ตลาดที่เงียบลง เครื่องมือคือ human-centered design—ฟัง ถาม ทดลอง แล้วปรับ
  • เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular): เมืองสามารถเป็น “โรงงานรีไซเคิลเชิงสร้างสรรค์” ได้ นำเศษวัสดุจากป่า–ไร่–โรงงานขนาดเล็ก มาออกแบบให้มีคุณค่าใหม่
  • ทำเล็ก–แต่ชัด: ไม่ไล่โครงการใหญ่เกินแรง เลือก “จุดริเริ่ม (pilot)” ที่ทำแล้วเห็นผล สื่อสารได้ และคูณต่อได้ เช่น ย่านเดียว ซอยเดียว โรงเรียนเดียว แล้วค่อยขยาย

ทั้งสามหลักการสอดคล้องกับโครงสร้างเวทีในวันนี้ และปรับใช้กับบริบทเชียงรายได้โดยไม่ต้องยืมแบบใครมา

เยาวชนคือผู้เล่นหลัก จาก “ผู้ชม” สู่ “ผู้จัด”

เวที Chiangrai Design Best Practice ไม่ได้เชิญเยาวชนมา “นั่งฟัง” แต่ให้ลงมือคิด–ทำ–นำเสนอ ตั้งแต่การตีความลวดลายชาติพันธุ์ไปสู่สินค้าพกพาร่วมสมัย การออกแบบเครื่องหมาย–สัญลักษณ์สำหรับงานวิ่งชุมชน ไปจนถึงแผนตลาดนัดงานคราฟต์รายเดือนของโรงเรียน จุดเด่นคือการสอน ทักษะนุ่ม (soft skills) ที่โรงเรียนมักไม่ค่อยเน้น ได้แก่

  • การเล่าเรื่อง (storytelling) และการสื่อสารข้ามรุ่น
  • การทำงานทีมสหสาขา (designer–artisan–business)
  • การประเมินต้นทุน–ตั้งราคา–คำนึงเรื่องสุขภาวะและสิ่งแวดล้อม

ผลที่อยากเห็นจึงไม่ได้วัดจาก “ถ้วยรางวัล” แต่คือ จำนวนผู้เล่นหน้าใหม่ ที่พร้อมลุกขึ้น “จัดการ” โปรเจกต์เล็กๆ ในย่านและโรงเรียนของตน

เมือง–ชุมชน–เอกชน ใครทำอะไร เพื่อให้ต่อเนื่อง

เพื่อให้การเดินหน้ามีความต่อเนื่อง อบจ.เชียงรายวาง “บทบาทร่วม” ไว้เป็นภาพเดียว

  • อบจ./เทศบาล — ดูแลโครงสร้างรองรับ (พื้นที่สาธารณะขนาดเล็ก งบสนับสนุนกิจกรรมย่าน ช่องทางประชาสัมพันธ์) และทำหน้าที่ “ตัวเชื่อม” หน่วยงานกับโรงเรียน/ชุมชน
  • โรงเรียน/มหาวิทยาลัย — เปิดสตูดิโอฝึกงานกับช่าง–นักออกแบบ จัดทำคลินิกออกแบบรายเดือน และบูรณาการหน่วยกิตบริการชุมชน
  • ช่างฝีมือ/ผู้ประกอบการ — เป็น “พี่เลี้ยง” ตัวจริงด้านทักษะ–คุณภาพ สร้างต้นแบบที่ผลิตได้จริง และเปิดบ้าน–เวิร์กช็อปให้เรียนรู้
  • เอกชน/ผู้สนับสนุน — สนับสนุนทุนต้นแบบ ค่าการสื่อสาร และช่วยเปิดตลาด/ช่องทางจำหน่าย

เมื่อทุกคนมี “บท–เวลา–เป้าหมาย” ร่วมกัน เมืองก็จะมี ระบบนิเวศออกแบบ” ที่ยืนได้ด้วยตนเอง ไม่ขึ้นกับโครงการระยะสั้น

ตัวชี้วัดที่จับต้องได้น้อยแต่คม

เพื่อให้การสื่อสารสาธารณะชัดเจน อบจ.เชียงรายเน้นตัวชี้วัดที่ประชาชน “เห็น–สัมผัส–ใช้” ได้จริง เช่น

  • จำนวนต้นแบบผลิตภัณฑ์ ที่เกิดจากทีมเยาวชนและเข้าสู่การผลิตจริง
  • จำนวนพื้นที่สาธารณะ/กิจกรรมย่าน ที่ได้รับการออกแบบใหม่พร้อมใช้งาน (ป้าย–ทางเท้า–ตลาดนัดคราฟต์)
  • โอกาสทางอาชีพ ของเยาวชน (ฝึกงาน–จ้างงาน–ตั้งต้นธุรกิจ)
  • การมีส่วนร่วมของชุมชน วัดจากผู้ร่วมกิจกรรมและความถี่การใช้งานพื้นที่หลังออกแบบ

ตัวชี้วัดเหล่านี้จะถูกนำไปประกอบ แผนขอเป็นสมาชิก UCCN ซึ่งให้ความสำคัญกับ “ผลลัพธ์ที่เกิดบนพื้น” ไม่ใช่เอกสารอย่างเดียว

มองไกลกว่าวันนี้เชียงรายบนแผนที่เมืองสร้างสรรค์โลก

หากเดินตามแผน 12 เดือนอย่างมีวินัย เชียงรายจะมี “คลังผลงาน” และ “หลักฐานการทำงานร่วม” ที่พร้อมสำหรับการสมัครเข้าร่วมเครือข่าย UCCN ในวาระถัดไป ที่สำคัญกว่านั้นคือ เมืองจะได้ คนรุ่นใหม่ที่มีทักษะออกแบบ เป็นทุนมนุษย์ชุดใหม่ของจังหวัด และได้ โมเดลย่านทดลอง ที่ขยายผลต่อยอดได้ทั่วเมือง—จากย่านศิลปหัตถกรรม ไปสู่ย่านอาหารพื้นถิ่น และเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

เชียงรายอาจไม่ได้เป็น “เมืองใหญ่” ในเชิงประชากร แต่เป็น “เมืองใหญ่” ในเชิงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศิลปกรรม การเอา “การออกแบบ” เป็นตัวเชื่อมรากวัฒนธรรมกับตลาดสมัยใหม่ จึงเป็นคำตอบที่เหมาะสม ทั้งเพื่อ สร้างรายได้ให้ชุมชน และ รักษาอัตลักษณ์ ให้คงอยู่ในชีวิตประจำวันของคนรุ่นต่อๆ ไป

ท้ายที่สุด เวที Chiangrai Design Best Practice วันนี้ไม่ได้ปิดท้ายด้วยคำว่าจบ แต่ปิดด้วยคำว่า เริ่ม” — เริ่มโครงการเล็กๆ ในโรงเรียน เริ่มยกของจริงกับช่าง เริ่มเปิดพื้นที่สาธารณะให้เป็นห้องเรียนของเมือง และเริ่มวางหมุดหมายว่า “เชียงราย” จะยืนอยู่ตรงไหนบนแผนที่เมืองสร้างสรรค์ของโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • UNESCO Creative Cities Network (UCCN)
  • Creative Economy Agency (CEA) ประเทศไทย
  • Bangkok City of Design / Chiang Mai City of Crafts & Folk Art / Phuket City of Gastronomy / Sukhothai City of Crafts & Folk Art / Phetchaburi City of Gastronomy
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

“บ้านลิไข่” เชียงราย แลนด์มาร์คฮีลใจใหม่ ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

บ้านลิไข่” แลนด์มาร์คลับแห่งใหม่ เชียงราย ขานรับเทรนด์ท่องเที่ยวฮีลใจ พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

เชียงราย, 31 สิงหาคม 2568 – ในยุคที่ผู้คนต้องการหลีกหนีจากความเร่งรีบของชีวิตเมือง “บ้านลิไข่” ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลนางแล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย กำลังกลายเป็นจุดหมายปลายทางใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวกลุ่มที่แสวงหาการเยียวยาจิตใจผ่านการสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด

การค้นพบแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้เริ่มต้นจากการที่ชุมชนท้องถิ่นร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับความงามที่ซ่อนเร้นของนาขั้นบันไดบริเวณนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติแม่ข้าวต้ม-ห้วยลึก

จากหมู่บ้านเล็กๆ สู่แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

บ้านลิไข่เดิมเป็นหมู่บ้านย่อยของบ้านนางแลใน หมู่ที่ 7 ที่เป็นที่อยู่อาศัยของชาวเขาเผ่าอาข่าและลาหู่ ชุมชนเล็กๆ แห่งนี้มีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะการทำนาขั้นบันไดที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นเมื่อชุมชนเริ่มตระหนักถึงศักยภาพทางการท่องเที่ยวของพื้นที่ตนเอง จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือการจัดกิจกรรม “LI KHAI Nature Walk” เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2566 ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงการส่งเสริมการท่องเที่ยวธรรมดา แต่เป็นการผสมผสานระหว่างการอนุรักษ์ธรรมชาติเข้ากับการสร้างรายได้ให้ชุมชน

“การจัดกิจกรรมครั้งนั้นไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่การดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่เราต้องการระดมทุนเพื่อสร้างห้องน้ำและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการรองรับนักท่องเที่ยว” ข้อมูลจากการดำเนินการของชุมชนระบุ

ผลลัพธ์จากความมุ่งมั่นนี้ปรากฏชัดเจนในรูปแบบของการพัฒนาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีรายได้จากการท่องเที่ยว ชุมชนได้นำเงินกลับมาลงทุนในการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก ซึ่งส่งผลให้ประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวดียิ่งขึ้น สร้างกระแสบอกต่อที่เป็นบวก และดึงดูดผู้มาเยือนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ดัชนีความงาม วิเคราะห์สถิติและข้อมูลเชิงลึก

การวิเคราะห์ข้อมูลการเดินทางแสดงให้เห็นถึงจุดเด่นที่ทำให้บ้านลิไข่แตกต่างจากแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ในจังหวัดเชียงราย โดยหากพิจารณาจากระยะทางจากตัวเมือง บ้านลิไข่อยู่ห่างจากตัวเมืองเพียง 20-26 กิโลเมตร และใช้เวลาเดินทางจากสนามบินแม่ฟ้าหลวงเพียง 25 นาที ทำให้เข้าถึงได้ง่ายกว่าแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ห่างไกลอื่นๆ

สถิติที่น่าสนใจคือระยะทางการเดินเท้าในเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ซึ่งมีความยาวประมาณ 2-3 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินโดยเฉลี่ย 1-1.5 ชั่วโมง สำหรับการไปเที่ยวเดียว ความยาวเส้นทางนี้ถือเป็นจุดสมดุลที่เหมาะสมระหว่างการท้าทายตัวเองกับความสามารถในการเข้าถึงของนักท่องเที่ยวทั่วไป ไม่ยากเกินไปจนท้อแท้ แต่ก็ไม่ง่ายเกินไปจนขาดความรู้สึกของการผจญภัย

เมื่อเปรียบเทียบกับแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอื่นๆ เช่น บ้านป่าบงเปียงในจังหวัดเชียงใหม่ ผู้มาเยือนได้ให้ความเห็นว่าบรรยากาศและทะเลหมอกยามเช้าที่บ้านลิไข่มีความอลังการที่ไม่แพ้กัน แต่ยังคงความเงียบสงบและเป็นธรรมชาติมากกว่า การเปรียบเทียบนี้มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์การตลาด เนื่องจากสื่อสารไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีประสบการณ์และเข้าใจถึงคุณค่าของสถานที่ที่ยังคงความบริสุทธิ์

วิถีธรรมชาติบำบัด เส้นทางสู่การฟื้นฟูจิตใจ

หัวใจสำคัญของประสบการณ์การเยือนบ้านลิไข่อยู่ที่การเดินบนเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ถูกออกแบบมาให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับสภาพแวดล้อมอย่างใกล้ชิด เส้นทางแบ่งออกเป็นจุดหลัก 3 กิโลเมตร ประกอบด้วย กิโลเมตรแรกเป็นจุดยิงก๋งตรงป่าสัก กิโลเมตรที่ 2 เป็นนาขั้นบันไดจุดที่ 1 และกิโลเมตรที่ 3 เป็นจุดชมวิว

การเดินตลอดเส้นทางนี้ให้ประสบการณ์ที่หลากหลายและครอบคลุมระบบนิเวศที่แตกต่างกัน นักเดินทางจะได้เดินผ่านป่าไผ่ที่ให้ร่มเงาเย็นสบาย ลำธารเล็กๆ ที่ส่งเสียงเซาเซา และไร่ข้าวโพดที่แสดงให้เห็นถึงการทำเกษตรของชาวบ้าน ตลอดการเดินจะได้ยินเสียงนกร้องและเสียงน้ำตกที่ดังแว่วมาเป็นเพลงประกอบธรรมชาติ

จุดหมายปลายทางหลักคือนาขั้นบันไดที่มีความงดงามเป็นพิเศษในช่วงฤดูฝน เมื่อนาจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวขจีสดใส เป็นภาพที่สร้างความประทับใจและเป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยม สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ ยังมีจุดพิเศษต่างๆ ที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ เช่น สะพานไม้ ชิงช้า ป้ายจุดชมวิว โขดหิน และกระจกที่สะท้อนวิวเส้นทางเดิน

มิติเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ตัวเลขและผลกระทบ

การพัฒนาการท่องเที่ยวในบ้านลิไข่สะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่น่าสนใจ โดยมีตัวเลือกที่พักที่หลากหลายเพื่อรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อและความต้องการที่แตกต่างกัน

โฮมสเตย์ในหมู่บ้านมีราคาอยู่ที่ประมาณ 700 บาทต่อคน ซึ่งรวมอาหารเย็นและอาหารเช้า นับเป็นราคาที่เข้าถึงได้สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป ในขณะที่นักเดินทางสายประหยัดสามารถเลือกตั้งแคมป์ได้ด้วยค่าธรรมเนียมเพียง 50 บาทต่อเต็นท์ ข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการวางแผนทางเศรษฐกิจที่มีเป้าหมายให้การท่องเที่ยวเป็นประโยชน์ต่อชุมชนโดยไม่สร้างอุปสรรคทางการเงินที่มากเกินไป

ความสำเร็จของแบบจำลองนี้สามารถมองเห็นได้จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากการสร้างห้องน้ำสำหรับนักท่องเที่ยว การจัดเตรียมจุดจอดรถ และการพัฒนาจุดถ่ายภาพต่างๆ ที่กลมกลืนกับธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้เป็นผลมาจากรายได้ที่เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยวที่ถูกนำกลับมาใช้เพื่อปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก

นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาธุรกิจเสริมในรูปแบบของร้านอาหารและคาเฟ่ที่ออกแบบให้กลมกลืนกับธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น คาเฟ่ที่ตั้งอยู่ริมลำธารจากน้ำตกนางแล ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถนั่งพักผ่อนและแช่เท้าในน้ำได้ รวมถึงคาเฟ่ยอดนิยมอย่าง “คาเฟ่ คาใจ” และ “Foreste’ Camp&Cafe'”

ผลกระทบเชิงสังคมและวัฒนธรรม

การท่องเที่ยวที่บ้านลิไข่ไม่ได้เป็นเพียงการมอบประสบการณ์ให้กับนักเดินทางเท่านั้น แต่ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น โดยเฉพาะในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ ที่นักท่องเที่ยวจะมีโอกาสได้เห็นชาวบ้านในชุดประจำเผ่า ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้และซึมซับวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างแท้จริง

การได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของชุมชนชาวเขาที่ยังคงรักษาประเพณีและภูมิปัญญาการทำเกษตรแบบขั้นบันไดไว้ได้ ทำให้การเดินทางมีมิติที่ลึกซึ้งกว่าการท่องเที่ยวธรรมดา นักท่องเที่ยวไม่ได้เป็นเพียงผู้ชม แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนให้วัฒนธรรมและวิถีชีวิตดั้งเดิมสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้

ความท้าทายและโอกาสในอนาคต

แม้ว่าบ้านลิไข่จะมีศักยภาพทางการท่องเที่ยวสูง แต่ก็ยังมีความท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไข เส้นทางการเดินทางในช่วงสุดท้ายก่อนถึงหมู่บ้านมีลักษณะแคบและมีความลาดชัน ผู้ที่เดินทางด้วยรถยนต์ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่ถนนอาจลื่นมาก นักเดินทางจำนวนไม่น้อยจึงเลือกจอดรถไว้ที่จุดจอดใกล้กับคาเฟ่ แล้วเดินเท้าหรือใช้มอเตอร์ไซค์ต่อไป

อีกความท้าทายหนึ่งคือการจำกัดของสิ่งอำนวยความสะดวก โฮมสเตย์ส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้เรียบง่าย ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น และไฟฟ้ามีจำกัดเพียงพอสำหรับแสงสว่าง ไม่เพียงพอสำหรับการชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ นักท่องเที่ยวจึงต้องเตรียมพาวเวอร์แบงค์ไปด้วย บางพื้นที่ยังไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ที่เสถียร ทำให้ต้องพกเงินสดติดตัวไป

กลยุทธ์การท่องเที่ยวตามฤดูกาล

การวิเคราะห์รูปแบบการท่องเที่ยวแสดงให้เห็นว่าแต่ละช่วงเวลาจะมอบประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ช่วงฤดูฝนจะให้ประสบการณ์ของธรรมชาติที่เขียวขจีและสดชื่นที่สุด บรรยากาศเย็นสบายทำให้การเดินเท้าไม่ร้อนจนเกินไป ในขณะที่ฤดูหนาวจะมีโอกาสสูงที่จะได้เห็นทะเลหมอกปกคลุมภูเขาในยามเช้า

นักท่องเที่ยวที่ต้องการประสบการณ์ทางวัฒนธรรมควรพิจารณาการเดินทางในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ เนื่องจากจะมีโอกาสได้เห็นชาวบ้านแต่งกายด้วยชุดประจำเผ่า ซึ่งเป็นการเติมเต็มประสบการณ์การเดินทางให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

เทรนด์การท่องเที่ยวฮีลใจและผลกระทบต่ออุตสาหกรรม

ปรากฏการณ์ของบ้านลิไข่สะท้อนให้เห็นถึงเทรนด์การท่องเที่ยวในยุคปัจจุบันที่เน้นการ “ฮีลใจ” หรือการฟื้นฟูจิตใจผ่านการสัมผัสธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลมาจากความเครียดและความกดดันในสังคมเมือง การที่สถานที่แห่งนี้ถูกบรรยายว่าเป็น “การเยียวยาจิตใจ” และ “การเดินทางที่คุ้มค่ามาก” แสดงให้เห็นว่าคุณค่าของการท่องเที่ยวไม่ได้อยู่ที่ความหรูหราหรือความสะดวกสบายเท่านั้น แต่อยู่ที่ความสามารถในการสร้างประสบการณ์ที่มีความหมายและสร้างการเชื่อมต่อกับธรรมชาติ

การเติบโตของบ้านลิไข่ในฐานะแหล่งท่องเที่ยวยังชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ขับเคลื่อนโดยชุมชนในประเทศไทย รูปแบบการพัฒนาที่เริ่มจากภายในชุมชนและขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปนี้ สามารถเป็นต้นแบบสำหรับพื้นที่อื่นๆ ที่มีศักยภาพคล้ายคลึงกัน

คำแนะนำสำหรับนักเดินทาง

สำหรับผู้ที่สนใจเดินทางไปยังบ้านลิไข่ ควรเตรียมตัวโดยเลือกรองเท้าที่เหมาะสมกับการเดินป่าและมีคุณสมบัติกันลื่น โดยเฉพาะในฤดูฝน ควรพกพาวเวอร์แบงค์และเงินสดติดตัวไป เนื่องจากอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในพื้นที่ยังมีข้อจำกัด

ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือปัญหาสุขภาพ เช่น หอบหืด ควรพิจารณาถึงระยะทางการเดินเท้าที่ค่อนข้างไกลและเตรียมยาประจำตัวให้เพียงพอ แม้ว่าเส้นทางจะไม่ชันมากนักและเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น แต่การเดินเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรยังคงต้องใช้สมรรถภาพทางร่างกายในระดับหนึ่ง

อนาคตของการท่องเที่ยวยั่งยืน

บ้านลิไข่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการท่องเที่ยวที่สร้างผลลัพธ์ในหลายมิติ ทั้งการอนุรักษ์ธรรมชาติ การสืบทอดวัฒนธรรม การสร้างรายได้ให้ชุมชน และการมอบประสบการณ์ที่มีคุณภาพให้กับนักท่องเที่ยว ความสำเร็จในการพัฒนาสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลมาจากการวางแผนอย่างรอบคอบและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

สำหรับนักเดินทางที่ต้องการมากกว่าการพักผ่อนธรรมดา แต่ต้องการประสบการณ์การ “ค้นพบ” และการ “เยียวยาจิตใจ” ที่แท้จริง บ้านลิไข่จึงเป็นคำตอบที่สมบูรณ์แบบ การเดินทางมายังที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้ได้พบกับความงามของธรรมชาติ แต่ยังเป็นการมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

ในขณะที่แหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งกำลังเผชิญกับปัญหาการท่องเที่ยวมากเกินพอ (Overtourism) บ้านลิไข่กลับสามารถรักษาสมดุลระหว่างการต้อนรับนักท่องเที่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้อย่างยอดเยี่ยม

มุมมองและทิศทางอนาคต

บ้านลิไข่เป็นตัวอย่างที่ดีของการท่องเที่ยวที่ชุมชนเป็นเจ้าของ (Community-Based Tourism) ที่สามารถสร้างรายได้ในระดับครัวเรือนและส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง การที่ชุมชนสามารถนำรายได้จากการท่องเที่ยวมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้วยตนเอง แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของชุมชนและความยั่งยืนของรูปแบบการท่องเที่ยวนี้

ความสำคัญกับการส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพแต่ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เพื่อกระจายนักท่องเที่ยวออกจากแหล่งท่องเที่ยวหลักและสร้างรายได้ให้กับชุมชนในพื้นที่” ทิศทางนี้สอดคล้องกับนโยบายการท่องเที่ยวยั่งยืนของประเทศไทยที่มุ่งเน้นการกระจายผลประโยชน์จากการท่องเที่ยวสู่ชุมชนท้องถิ่น

การจัดการผลกระทบสิ่งแวดล้อม

การพัฒนาการท่องเที่ยวในบ้านลิไข่ได้รับการดำเนินการภายใต้หลักการของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อย่างเคร่งครัด พื้นที่นี้อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแม่ข้าวต้ม-ห้วยลึก จึงมีข้อจำกัดทางกฎหมายและแนวทางปฏิบัติที่เข้มงวดในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

การสร้างจุดถ่ายภาพและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ได้รับการออกแบบให้กลมกลืนกับธรรมชาติและไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ วัสดุที่ใช้เป็นไม้และวัสดุธรรมชาติ การจัดวางตำแหน่งต่างๆ คำนึงถึงการไม่รบกวนเส้นทางเดินของสัตว์ป่าและการไหลของน้ำตามธรรมชาติ

การจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวโดยธรรมชาติผ่านข้อจำกัดของที่พักและการเข้าถึงที่ไม่ง่ายเกินไป ทำให้สามารถควบคุมผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เกิดปัญหาขยะล้นหรือการทำลายธรรมชาติจากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก

ข้อเสนอแนะสำหรับการพัฒนาต่อไป

แม้ว่าบ้านลิไข่จะมีพัฒนาการที่น่าชื่นชม แต่ยังมีพื้นที่สำหรับการปรับปรุงและพัฒนาต่อไป การปรับปรุงเส้นทางการเข้าถึงให้ปลอดภัยมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน จะช่วยให้นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

การพัฒนาระบบการสื่อสารและข้อมูลข่าวสารสำหรับนักท่องเที่ยว เช่น การติดตั้งป้ายบอกทางและข้อมูลเกี่ยวกับธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่นตลอดเส้นทาง จะเพิ่มมูลค่าทางการศึกษาและทำให้ประสบการณ์การเดินทางสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

การสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ในจังหวัดเชียงรายเพื่อสร้างเส้นทางท่องเที่ยวแบบครบวงจร จะช่วยยืดระยะเวลาการพำนักของนักท่องเที่ยวและเพิ่มรายได้ให้กับพื้นที่

ผลกระทบระดับชาติและภูมิภาค

ความสำเร็จของบ้านลิไข่มีนัยสำคัญในระดับที่กว้างขึ้น ในฐานะที่เป็นตัวอย่างของการท่องเที่ยวยั่งยืนที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่อื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงที่มีชุมชนชาวเขาและทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์

การที่นักท่องเที่ยวเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ที่ห่างไกลจากแหล่งท่องเที่ยวแออัด สร้างโอกาสให้กับชุมชนในพื้นที่ห่างไกลสามารถพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการท่องเที่ยว โดยไม่ต้องพึ่งพาการลงทุนจากภายนอกที่อาจนำมาซึ่งการสูญเสียการควบคุมในชุมชน

ความสำเร็จของบ้านลิไข่ยังส่งสัญญาณเชิงบวกต่อนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทยที่เน้นการกระจายการท่องเที่ยวสู่พื้นที่ใหม่และการสร้างคุณค่าจากทรัพยากรท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

การเดินทางไปยังบ้านลิไข่จึงไม่ได้เป็นเพียงการพักผ่อนหย่อนใจ แต่เป็นการมีส่วนร่วมในการสร้างแรงจูงใจให้ชุมชนอื่นๆ พัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวของตนเองในรูปแบบที่เคารพธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างเครือข่ายการท่องเที่ยวยั่งยืนที่แข็งแกร่งในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย
  • กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ข้อมูลเกี่ยวกับป่าสงวนแห่งชาติแม่ข้าวต้ม-ห้วยลึก)
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • ข้อมูลจากชุมชนบ้านลิไข่ ตำบลนางแล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

TEI นำร่อง “ปฏิบัติการร่วมเมืองคู่ขนาน” แก้ปัญหาหมอกควันชายแดน เชียงราย-พะเยา

TEI จับมือท้องถิ่น–อุทยานฯ เดินเครื่อง “เมืองคู่ขนาน” ลดจุดเผา สกัด PM2.5 ข้ามแดน ภาคเหนือวางกลไกปฏิบัติการร่วมตรงจุด

เชียงราย/พะเยา, 31 สิงหาคม 2568  — ปลายฤดูฝนที่ภาคเหนือยังฉ่ำเมฆ ฝุ่นควันอาจดูห่างไกลสายตา แต่ในสมุดบันทึกภารกิจของสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ช่วง 27–29 สิงหาคม 2568 กลับเป็นต้นทางของ “ฤดูกาลเตรียมพร้อม” อันเข้มข้น ทีมงานนำโดย คุณวิลาวรรณ น้อยภา หัวหน้าโครงการ ขยับลงพื้นที่ แนวชายแดน จ.เชียงราย–พะเยา เพื่อพัฒนา “กลไกร่วมเชิงปฏิบัติการ” กับเทศบาล อบต. อุทยานฯ และชุมชนท้องถิ่น ภายใต้กรอบ ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (CLEAR Sky Strategy) ที่เน้นแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ตั้งแต่การลดการเผาในที่โล่ง การจัดการเศษวัสดุการเกษตร ไปจนถึงการออกแบบความร่วมมือ “เมืองคู่ขนาน” ให้ทำงานสอดรับกับพื้นที่เพื่อนบ้านนอกพรมแดน

ภาพแรกของการทำงานคือการ “ฟัง” TEI เปิดวงพูดคุยกับผู้นำชุมชน เกษตรกร และเจ้าหน้าที่ภาครัฐระดับพื้นที่ เพื่อวินิจฉัยต้นทุน–ข้อจำกัดของแต่ละอำเภออย่างละเอียด เป้าหมายไม่ใช่ “แผนใหญ่ฉบับเดียวใช้ได้ทุกที่” แต่คือ แผนย่อยที่จำเพาะกับภูมิประเทศ–ภูมิงาน–ภูมิคนนั้นๆ แล้วค่อยเชื่อมเข้าหากันเป็นระบบเดียวในระดับลุ่มน้ำและแนวชายแดน

เจาะลึก “ต้นทุนพื้นที่” สู่แผนจุดเดียว–ลิงก์หลายจุด

จากการสำรวจและหารือภาคสนาม TEI สรุป “จุดตั้งหลัก” ใน 5 พื้นที่เป้าหมาย ดังนี้

1) เทศบาลตำบลศรีดอนชัย (อ.เชียงของ จ.เชียงราย)
หัวใจคือ ข้าวและฟางหลังเกี่ยว ที่เป็นก้อนปัญหาซ้ำซากทุกปลายปี TEI เห็นศักยภาพการบริหารจัดการร่วม—ตั้งแต่การรวบรวม แยกประเภท และวางระบบขนส่ง–แปรรูป—เพื่อ ลดแรงจูงใจในการเผา และเปลี่ยนภาระเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจในชุมชน แนวทางปฏิบัติจึงย้ำ “ร่วมกันทำ” ระหว่างเทศบาล–กลุ่มเกษตรกร–เอกชนท้องถิ่น

2) เทศบาลตำบลครึ่ง (อ.เชียงของ จ.เชียงราย)
พื้นที่มี ทุนทางนิเวศครบ ทั้งดิน–น้ำ–ป่า และชุมชนเข้มแข็ง สิ่งที่ต้องเร่งคือการ ยกระดับความร่วมมือข้ามตำบล ให้เดินจังหวะเดียวกันจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ เช่น การนัดหมายช่วงไถกลบ/เก็บเศษวัสดุ การทำแนวกันไฟเชื่อมต่อกัน และการแจ้งเตือนก่อนเกิดเหตุในระดับกลุ่มบ้าน

3) เทศบาลตำบลบุญเรือง (อ.เชียงของ จ.เชียงราย)
ป่าชุ่มน้ำบ้านบุญเรือง คือ “ทรัพย์สินส่วนรวม” ที่ชุมชนดูแลได้ดีอยู่แล้ว TEI เสนอการต่อยอดด้วย การประเมินทรัพยากรเชิงระบบ (สำรวจพืช–สัตว์–บริการระบบนิเวศ) ควบคู่แผนจัดการไฟป่าเชิงป้องกัน ให้ป่าชุ่มน้ำทำหน้าที่เป็น buffer ลดไฟแล้ง–ควัน และเป็นแหล่งเรียนรู้ของเยาวชน

4) อบต.ตับเต่า (อ.เทิง จ.เชียงราย)
จุดแข็งคือ ความร่วมมือข้ามแดนที่มีอยู่เดิม ทั้งด้านแนวกันไฟและกิจกรรมวัฒนธรรม TEI มองโอกาส ยกระดับเป็นกลไก 4 อำเภอคู่ขนาน ฝั่งไทยให้ชัดเจนขึ้น เพื่อให้การทำงานในแนวเขตชายแดน “ต่อกันติด” ทั้งข้อมูล จุดเฝ้าระวัง และกำลังอาสาสมัคร อนาคตหากประสานประเทศเพื่อนบ้านแบบจุดต่อจุด จะช่วยลดไฟ–ควันข้ามแดนได้จริง

5) อุทยานแห่งชาติภูซาง (จ.พะเยา)
บทบาทของ อุทยานฯ สำคัญทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรงคือ ควบคุมไฟป่าเชิงป้องกัน ด้วยแนวกันไฟ/ลาดตระเวน ทางอ้อมคือ สร้างพื้นที่เรียนรู้กับชุมชนเกษตร รอบนอก—แลกเปลี่ยนวิธีจัดการเศษวัสดุการเกษตรที่ไม่เผา และตั้ง “แนวปฏิบัติที่ดี (Good Practices)” ร่วมกัน ลดโอกาสไฟป่าลามจากพื้นที่เกษตรเข้าสู่พื้นที่อนุรักษ์

ภาพรวมที่ปรากฏคือ แพตเทิร์นเดียวกันในบริบทต่างกัน”: ถ้าจะแก้หมอกควันแบบยั่งยืน ต้องจัดการตั้งแต่ เศษวัสดุ–ไฟป่า–ข้ามแดน พร้อมกัน และต้องทำให้ หลายวงทำงานเป็นวงเดียว

ทำไมต้องเร่งวันนี้ ทั้งที่วิกฤตหนักสุดอยู่ใน “หน้าแล้ง” พรุ่งนี้

แม้ เดือนกุมภาพันธ์–เมษายน จะเป็น “หน้าวิกฤตฝุ่น” ของภาคเหนือ แต่ งานเตรียมพร้อม ต้องเริ่มตั้งแต่ปลายฤดูฝน–ต้นฤดูหนาว ด้วยเหตุผล 3 ประการ

  1. หน้าที่และฤดูกาลเกษตร: หลังเก็บเกี่ยวคือช่วงตัดสินใจว่าจะ “เผาหรือไม่เผา” ถ้าจัดระบบรวบรวม–ขน–แปรรูปได้ทัน จะลดการเผาได้มากก่อนถึงหน้าแล้ง
  2. โครงข่ายไฟป่า: แนวกันไฟต้องทำก่อนใบไม้ร่วงและเชื้อเพลิงสะสม การฝึกอาสา–ตั้งจุดเฝ้าระวัง–ซ้อมเหตุ ต้องจบก่อน “สัปดาห์แดง”
  3. การประสานข้ามพื้นที่: การนัดจังหวะงานพร้อมกัน—ตำบลข้างเคียง อำเภอข้างเคียง และ เมืองคู่ขนาน—ต้องใช้เวลาเจรจาและซ้อมงานหลายรอบ

ด้วยกรอบคิดนี้ TEI จึงเลือก “ลงมือในฤดูกาลที่สงบ” เพื่อ ลดปัญหาในฤดูกาลที่ปะทุ

เมืองคู่ขนาน” คืออะไร และสำคัญอย่างไรกับควันข้ามแดน

คำว่า เมืองคู่ขนาน (Twin/Parallel Border Towns) ในโครงการนี้หมายถึง กลุ่มพื้นที่ชายแดนฝั่งไทย ที่ทำงาน “เป็นฝั่งเดียวกัน” และเตรียมพร้อมสำหรับการเชื่อมประสานกับ พื้นที่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีระบบเกษตร–ป่า–เส้นทางควันเชื่อมกันอยู่แล้ว จุดแข็งของโมเดลนี้คือ

  • เจรจาเรื่องยากในขนาดเล็ก: เริ่มจากชุมชน–ตำบลที่เผชิญปัญหาร่วมกันจริง กำหนด “กติกาเล็กๆ ที่ทำได้เลย” เช่น วันงดเผา การแจ้งเตือนก่อนเผา การแชร์จุดรวบรวมเศษวัสดุ
  • ขยายผลขึ้นระดับใหญ่: เมื่อหลายวงเล็กทำงานได้จริง จึงยกระดับเป็น ระดับอำเภอ–จังหวัด และค่อยเชื่อม ประเทศ–ประเทศ
  • ลดการโทษกันเอง: เมื่อมีข้อมูลร่วม (วัน–เวลา–ทิศทางลม–จุดร้อน/Hotspot) การสื่อสารพลิกจาก “โทษกัน” เป็น “แก้ด้วยกัน”

ในเชิงนโยบาย โมเดลนี้สอดรับ กรอบความร่วมมือด้านหมอกควันข้ามแดนของอาเซียน และแนวคิด One Health/One Air ที่เชื่อมสุขภาพคน–ป่า–การเกษตรเข้าด้วยกัน

กติกาอากาศของไทยเส้น 37.5 µg/m³ ที่ต้องไม่ข้าม

การจัดการ PM2.5 ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือ มาตรฐานคุณภาพชีวิตที่กฎหมายกำหนด โดยประเทศไทยกำหนด ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมงของ PM2.5 ที่ 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งเข้มขึ้นกว่ามาตรฐานเดิมในช่วงก่อนหน้า การวางแผนเชิงปฏิบัติการจึงต้องมี เป้าหมายเชิงตัวเลข” ให้วัดผลได้ ทั้งจำนวน วันเกินมาตรฐาน ในช่วงวิกฤต จำนวน จุดความร้อน (hotspot) ในเขตรับผิดชอบ และ พื้นที่เฝ้าระวัง ที่ต้องลดเหตุซ้ำซ้อน

บทเรียนสำคัญจากหลายเมืองคือ: หาก “ย้ายเศษวัสดุ–จัดการไฟ–สื่อสารเตือนล่วงหน้า” ได้ล่วงหน้าก่อน 4–6 สัปดาห์ จำนวนวันเกินมาตรฐานสามารถลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ภูมิอากาศไม่เป็นใจ

แปลแผนให้เป็นงาน 5 วงปฏิบัติการที่ทุกพื้นที่ทำร่วมกันได้

จากข้อสรุปภาคสนาม TEI และภาคีท้องถิ่นเห็นพ้อง 5 วงงาน ที่จะขับเคลื่อนไปพร้อมกัน โดยปรับวิธีตามบริบทพื้นที่

  1. วงเศษวัสดุการเกษตร: ทำบัญชีปริมาณ–ช่วงเวลา–พิกัดแหล่งกำเนิด วางจุดรวบรวมร่วม และตารางเคลื่อนย้ายให้ทัน “หน้าตัดสินใจ” ของเกษตรกร
  2. วงไฟป่าเชิงป้องกัน: วางผังแนวกันไฟเชื่อมตำบล–อำเภอ กำหนดพื้นที่ซ้อม–วันปฏิบัติการ และช่องทางสื่อสารเหตุจริง
  3. วงข้อมูลร่วม: สรุป “แดชบอร์ดชุมชน” ที่ดูเข้าใจง่าย—จำนวน hotspot/วัน–สัปดาห์, จุดเสี่ยง, แผนที่ทางเลือกขนเศษวัสดุ—เพื่อให้ทุกฝ่ายเห็นภาพเดียวกัน
  4. วงสื่อสารสาธารณะ–สุขภาพ: ปรับข้อความให้กระชับ เข้าใจง่าย แจ้ง “วันสีส้ม–สีแดง” ล่วงหน้า แนะการป้องกันตนเองสำหรับกลุ่มเสี่ยง
  5. วงเมืองคู่ขนาน–ข้ามแดน: นัดคุยระดับผู้นำท้องถิ่นที่ติดกันตามแนวชายแดน วาง “กติกาปฏิบัติร่วม” ที่เริ่มได้เลย เช่น ช่วงเวลาห้ามเผา–ช่องทางแจ้งเตือน–การขอแรงสนับสนุนเมื่อเหตุลุกลาม

ทุกวงงานมีเงื่อนไขเดียวกัน: ต้องมีเจ้าภาพชัด–กำหนดเวลา–วัดผลได้ และรายงานต่อกันอย่างสม่ำเสมอ

เรื่องเล่าจากพื้นที่เมื่อ “ป่าชุ่มน้ำ” กลายเป็นห้องเรียนอากาศ

ที่ บ้านบุญเรือง ป่าชุ่มน้ำที่ชุมชนดูแลร่วมกันหลายปี ถูกกล่าวถึงในวงคุยว่าเป็น ตัวกันชนฝุ่น–ไฟ” โดยธรรมชาติ จุดแข็งนี้เปิดโอกาสให้พื้นที่กลายเป็น ห้องเรียนอากาศสะอาด” ของเด็กๆ ในตำบล—เรียนรู้การวัดคุณภาพอากาศเบื้องต้น แผนที่ลม และการใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ ชาวบ้านบอกตรงกันว่า เมื่อเห็นคุณค่าร่วม “ควัน” ก็ไม่ใช่เรื่องของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของทั้งหมู่บ้าน

แรงจูงใจ–งบประมาณ–พรมแดนที่มองไม่เห็น

การเปลี่ยนจาก “เผาเพราะเร็วและง่าย” ไปสู่ “จัดการอย่างเป็นระบบ” ต้องการ แรงจูงใจที่ชัด ทั้งในรูปแบบความสะดวก (จุดรับ–รถขน–ค่าใช้จ่ายไม่สูงกว่าการเผา) และในรูปแบบ “ผลได้” กับชุมชน ขณะเดียวกัน งบประมาณดูแลระยะยาว เป็นโจทย์สำคัญ—แนวกันไฟ/อุปกรณ์/ค่าดูแล—ต้องไม่ใช่งบปีต่อปีที่กระท่อนกระแท่น ส่วนมิติข้ามแดนคือ เส้นควันไม่มีด่านตรวจ แม้จะทำดีฝั่งไทย หากลมพัดพาเหตุจากข้างนอกเข้ามา ปัญหาก็ยังเกิด การคุย “เมืองคู่ขนาน” จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็น เงื่อนไขของความสำเร็จ

จากแผนที่ปักหมุด สู่ระบบที่เดินได้เอง

การลงพื้นที่ของ TEI รอบนี้ ไม่ใช่พิธีเปิดโครงการ หากคือขั้นตอน “วิเคราะห์–ออกแบบ–นัดหมายปฏิบัติ” ที่ยึดเป้าหมายร่วมคือ ลดการเผาและจุดความร้อนในฤดูวิกฤต ให้ได้มากที่สุด ด้วยการทำงานพร้อมกัน 5 วงใน 5 พื้นที่ และยกระดับสู่ เมืองคู่ขนาน ของภาคเหนือ แนวทาง CLEAR Sky Strategy ย้ำหลัก 3 ข้อ

  • Evidence-led: ตัดสินใจจากข้อมูลจริงของพื้นที่ ไม่ใช่สูตรสำเร็จจากที่อื่น
  • People-first: ทำให้ประชาชน–เกษตรกร “อยากร่วม” เพราะง่ายขึ้นและคุ้มขึ้น
  • Alliances: สร้างพันธมิตรแนวราบ (ชุมชน–ท้องถิ่น–อุทยานฯ) และแนวดิ่ง (อำเภอ–จังหวัด–ประเทศเพื่อนบ้าน)

ปลายฤดูฝนปีนี้จึงเป็นมากกว่าช่วงพักหายใจของเมืองเหนือ แต่เป็น หน้าต่างเวลา ที่หน่วยงาน–ชุมชนต้องใช้ให้คุ้มที่สุด เพื่อให้เมื่อฤดูควันวนมาอีกครั้ง เมืองชายแดนจะไม่ยืนอยู่ลำพัง

เช็คพอยต์ความสำเร็จที่ชัด วัดได้ และสื่อสารได้

  1. ลดจำนวน hotspot ในเขตเป้าหมายเทียบค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง
  2. ลดวันเกินมาตรฐาน PM2.5 (24 ชม. > 37.5 µg/m³) ในช่วง ก.พ.–เม.ย.
  3. เพิ่มอัตราการจัดการเศษวัสดุที่ไม่เผา (เช่น รวบรวม–ส่งต่อ–แปรรูป) ต่อพื้นที่เพาะปลูก
  4. ความถี่ของการซ้อม/ปฏิบัติการไฟป่าเชิงป้องกัน และเวลาตอบสนองเมื่อเกิดเหตุ
  5. จำนวนข้อตกลงเมืองคู่ขนานที่ลงมือจริง (เช่น วันงดเผาร่วม–ช่องทางแจ้งเตือน–แผนทางเลือก)

เมื่อประชาชนเห็น “เข็มวัด” ขยับลงและชีวิตประจำวันดีขึ้น ความไว้ใจต่อระบบก็จะขยับขึ้นตาม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI)
  • เทศบาลตำบลศรีดอนชัย/เทศบาลตำบลครึ่ง/เทศบาลตำบลบุญเรือง (อ.เชียงของ จ.เชียงราย)
  • องค์การบริหารส่วนตำบลตับเต่า (อ.เทิง จ.เชียงราย)
  • อุทยานแห่งชาติภูซาง (จ.พะเยา) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • กรอบความร่วมมือหมอกควันข้ามแดนอาเซียน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

สวนนงนุชพัทยานั่งแท่นที่ปรึกษาภูมิทัศน์เมืองให้รัฐบาลบรูไน รับฉลองครองราชย์ 60 ปี

สวนนงนุชพัทยา “ส่งออกความเชี่ยวชาญ” นั่งที่ปรึกษาภูมิทัศน์ให้รัฐบาลบรูไนฯ ปรับโฉมเมืองรับฉลองครองราชย์ 60 ปี

ชลบุรี/บันดาร์เสรีเบกาวัน — บนผืนดินเขตร้อนของเกาะบอร์เนียว คณะทำงานจากเมืองพัทยาเดินสำรวจแนวถนนสายหลัก ละแวกสวนสาธารณะ และพื้นที่สีเขียวสำคัญในกรุงบันดาร์เสรีเบกาวันอย่างเป็นระบบ ระหว่างวันที่ 17–20 สิงหาคม 2568 ภารกิจครั้งนี้ไม่ใช่ทริปดูงาน แต่คือ “งานจริง” ที่รัฐบาลบรูไนดารุสซาลามเชิญ สวนนงนุชพัทยา ไปทำหน้าที่ ที่ปรึกษาด้านภูมิทัศน์และพัฒนาพื้นที่สีเขียว เพื่อยกระดับภาพลักษณ์เมืองและความพร้อมด้านสิ่งแวดล้อม ก่อนพิธีเฉลิมฉลอง ครองราชย์ครบ 60 ปี ของสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนฯ ซึ่งกำหนดจัดในปี พ.ศ. 2570

ภารกิจนำโดย นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา พร้อมคณะผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิทัศน์และพฤกษศาสตร์ ได้รับการต้อนรับโดย นายยาง เบอร์โฮมัต ดาโต๊ะ เสรี เซเตีย อาวัง ฮาจี มูฮัมหมัด จูอันดา บิน ฮาจี อับดุล ราชิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนา (Ministry of Development) และผู้บริหารระดับสูงของบรูไนฯ จุดประสงค์ตรงกัน—รีดีไซน์เมือง” ให้สวยงาม เป็นระเบียบ และเป็นมิตรต่อผู้คน ภายใต้กรอบความร่วมมือที่ตั้งชื่อเรียบง่ายแต่กินใจว่า “Friendship Garden” หรือ “สวนแห่งมิตรภาพ”

“Friendship Garden” จากแนวคิดสู่แผนปฏิบัติ 12 ถนนหลัก–4 สวนสาธารณะ–1 สวนสัตว์–1 สวนพฤกษศาสตร์

สาระการทำงานที่สรุปร่วมกันในเบื้องต้นสะท้อน “โจทย์ครบวงจร” ของการพัฒนาพื้นที่สีเขียวระดับเมือง ได้แก่

  • ปรับปรุงภูมิทัศน์ถนนสายหลักอย่างน้อย 12 สาย: เลือกชนิดไม้ที่เหมาะกับอากาศชื้นร้อนและสภาพดิน เพิ่มร่มเงาแต่ไม่บดบังทัศนวิสัย ออกแบบคอร์ริดอร์สีเขียวที่ต่อเนื่อง (green corridor) และกำหนดจุดพักสายตา/จุดพักคน
  • พัฒนาพื้นที่สาธารณะ “แกนกลางเมือง” 4 แห่ง: ปรับฟังก์ชันสวนสาธารณะให้รองรับครอบครัว ผู้สูงวัย และการละหมาดกลางแจ้ง ปรับระบบทางเดิน–จักรยานให้เข้าถึงได้จริง
  • ยกเครื่องสวนสัตว์และสวนพฤกษศาสตร์: เสริมบทบาทด้านการอนุรักษ์ การเรียนรู้สาธารณะ และเส้นทางตีความธรรมชาติ (interpretive trail) ที่เล่าเรื่องพืชพรรณเขตร้อนและภูมิปัญญาอาเซียน
  • พัฒนาคนก่อนพัฒนาพื้นที่: เปิดช่องให้บุคลากรกรมสิ่งแวดล้อมของบรูไนฯ มาฝึกปฏิบัติงานที่สวนนงนุชพัทยา—เรียนรู้ตั้งแต่เพาะชำ คัดเลือกพันธุ์ ปลูก–ตัดแต่ง–บำรุงรักษา ไปจนถึงวางแผนบูรณะเชิงระบบ

สิ่งที่สาธารณชนจับต้องได้ในช่วงเริ่มต้น คือภาพการร่วม ปลูกต้นไม้เชิงสัญลักษณ์ ระหว่างคณะไทย–บรูไนฯ เพื่อประกาศความร่วมมือระยะยาว ก่อนปิดท้ายภารกิจด้วยการจัดทำ “แนวทางปฏิบัติ” (implementation note) ส่งให้รัฐบาลบรูไนฯ ใช้เป็นกรอบออกแบบเชิงพื้นที่ต่อไป

ทำไม “สวนนงนุชพัทยา” ถึงถูกวางใจให้ทำงานเมืองในอาเซียน

ชื่อของสวนนงนุชไม่ใช่ผู้เล่นใหม่ในเวทีนานาชาติ จุดแข็งที่ต่างประเทศให้การยอมรับประกอบด้วย

  1. ฐานความรู้พฤกษศาสตร์และคอลเลกชันพันธุ์ไม้ขนาดใหญ่
    สวนนงนุชสะสมและแลกเปลี่ยนพันธุ์ไม้จากหลากถิ่นกำเนิดมายาวนาน มีบทบาทในเครือข่ายอนุรักษ์ทั้งไม้ปาล์ม ไซแคด และไม้วงศ์อื่นๆ การคุมคุณภาพ nursery, การเพาะเลี้ยง, และการจัดการแปลงภาคสนาม ทำให้ “ความสวย” ของภูมิทัศน์ยืนบน “วิทยาศาสตร์ของพืช” ไม่ใช่แค่จินตนาการ
  2. ผลงานออกแบบภูมิทัศน์ที่เป็นระบบ
    จาก “สวนท่องเที่ยว” สู่ “โครงสร้างพื้นฐานสีเขียว” (green infrastructure) สวนนงนุชชำนาญการบูรณาการองค์ประกอบแข็ง (hardscape) กับองค์ประกอบพืช (softscape) ให้ใช้งานได้จริง ดูแลง่าย และยั่งยืนในงบประมาณรัฐ
  3. พรีเมียมคิวเรชันด้านพันธุ์พืชหายาก
    ในเชิงการสื่อสาร หน่วยงานเคยเผยแพร่กรณีศึกษาการอนุรักษ์พันธุ์พืชเฉพาะถิ่นและหายากเพื่อนำมาเป็น “ตัวแทนเรื่องเล่า” ให้สาธารณชนสัมผัสบทบาทสวนพฤกษศาสตร์ยุคใหม่—การอนุรักษ์ควบคู่การเรียนรู้ (หมายเหตุ: ตัวเลขอายุและรอบการออกผลของบางชนิดพืชเป็นข้อมูลจากการสื่อสารของสวนนงนุชฯ เอง ต้องตรวจสอบเชิงวิชาการประกอบก่อนใช้นโยบาย)

กล่าวโดยสรุป ความงาม–ความรู้–ความสามารถในการส่งต่อความรู้” คือสามขายึดที่ทำให้เอกชนไทยรายนี้กลายเป็น “ที่ปรึกษาได้” เมื่อประเทศเพื่อนบ้านต้องการยกระดับพื้นที่สีเขียวในเมือง

งานภูมิทัศน์ = งานเมือง = งานคุณภาพชีวิต

การปรับภูมิทัศน์ ไม่ใช่แค่ “จัดสวน” แต่คือการลงทุนใน คุณภาพชีวิต–สุขภาพเมือง–ภาพลักษณ์ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบรูไนฯ เตรียมฉลองวาระสำคัญระดับชาติเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในปี 2570

  • คุณภาพชีวิตและสุขภาพ: ร่มเงาที่ดีช่วยลด “อุณหภูมิเกาะความร้อน” (urban heat island) เส้นทางสีเขียวที่ต่อเนื่องสนับสนุนการเดินและจักรยาน ส่งผลต่อสุขภาพกายและใจ
  • เศรษฐกิจเมืองและการท่องเที่ยว: ภูมิทัศน์ที่มีเอกลักษณ์และกิจกรรมสาธารณะที่ดี ดึงดูดนักท่องเที่ยว–การจัดงาน–กิจกรรมชุมชน เพิ่มการใช้จ่ายในเศรษฐกิจท้องถิ่น
  • ความทรงจำร่วมของสังคม: สวนสาธารณะคือ “ลานกลาง” ที่คนทุกวัยใช้ร่วมกันได้ เป็นเวทีให้ภาคประชาชนมีบทบาทกับเมืองของตน

บรูไนฯ วางบทเรียนเหล่านี้ไว้ในแผนงาน ขณะที่ฝ่ายไทยเสนอ “เครื่องมือดำเนินงาน” เช่น catalog พันธุ์ไม้ ที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมและการบำรุงรักษา, คู่มือมาตรฐานงานดูแล (maintenance SOP), และ ปฏิทินฤดูกาล สำหรับการปลูก–ตัดแต่ง–ให้น้ำ–ป้องกันศัตรูพืชอย่างปลอดสาร ตามแนวคิด “ถูกต้น–ถูกที่–ถูกเวลา”

เมื่อถนน–สวน–สถาบัน เชื่อมเป็นเรื่องเดียว

พิธีเฉลิมฉลองครองราชย์ 60 ปี ต้องการ “เวทีของเมือง” ที่เป็นหน้าต่างสู่สายตาโลก ภูมิทัศน์จึงไม่ใช่เพียงฉากหลัง หากคือ ตัวละครหลัก ที่เล่าเรื่องอัตลักษณ์บรูไนฯ—วัฒนธรรมมลายูอิสลามราชวงศ์ (MIB), ความเคร่งครัดแต่เรียบง่าย, และความพิถีพิถันในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติ

ถนนหลัก 12 สาย ที่จะถูกปรับภูมิทัศน์ให้เป็น “ทางเดินของเรื่อง” (narrative path) นำสายตาจากสนามบินสู่ศูนย์กลางเมือง ผ่านสวนสาธารณะ 4 แห่ง ที่ชุบชีวิตด้วยกิจกรรมตลอดวัน ไปจนถึง สวนพฤกษศาสตร์ และ สวนสัตว์ ที่อธิบายความหลากหลายของผืนป่าบอร์เนียว การออกแบบที่ดีทำให้ผู้มาเยือน “อ่านเมืองได้” โดยไม่ต้องใช้คำอธิบายมาก

ความท้าทายที่ต้องวางแผน ให้สวย “วันแรก” และสวย “ทุกวัน”

งานเมืองที่ดีไม่ได้จบที่พิธีเปิด สิ่งที่ทีมที่ปรึกษาและรัฐบาลเจ้าของพื้นที่ต้องคุยกันตั้งแต่ต้น คือ ต้นทุนบำรุงรักษา และ ตัวชี้วัดผลลัพธ์ ที่ตรวจวัดได้จริง ตัวอย่างเช่น

  • แผนบำรุงรักษา 3–5 ปี: วางงบและคนให้พอ—กำลังคนสวน, รถ–เครื่องมือ, งบพืชสำรอง–น้ำ–ปุ๋ยอินทรีย์
  • ตัวชี้วัดเมืองสีเขียว: พื้นที่ร่มเงาเฉลี่ยในคอร์ริดอร์, จำนวนผู้ใช้สวน (ผ่านเซ็นเซอร์/การสำรวจ), สัดส่วนพืชพื้นถิ่นเทียบพืชต่างถิ่น, ระยะเวลา “ซ่อม–เปลี่ยน” ที่สั้นลงเมื่อเกิดเหตุ
  • การมีส่วนร่วมภาคประชาชน: กลไก “เพื่อนสวน” (Friends of the Park) อาสาสมัครโรงเรียน–ชุมชน ช่วยดูแล/เฝ้าระวัง พร้อมกิจกรรมเรียนรู้พืชพรรณเป็นรายเดือน

สำหรับไทย ภารกิจนี้ชี้ให้เห็นโอกาสของอุตสาหกรรม บริการองค์ความรู้ (knowledge service export) ที่ซ่อนอยู่—จากพัทยาสู่บันดาร์เสรีเบกาวัน ไทยไม่ได้ “ส่งออกต้นไม้” แต่ “ส่งออกวิธีคิด–วิธีทำงานสวนเมือง”

เชื่อมต่อภูมิภาคมิติความร่วมมือไทย–บรูไนฯ และอาเซียน

การยอมรับของรัฐบาลบรูไนฯ สะท้อนความไว้วางใจต่อศักยภาพภาคเอกชนไทย และเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีในมิติที่จับต้องได้—สิ่งแวดล้อม เมือง และชุมชน ความร่วมมือนี้ยังสอดรับกรอบความร่วมมืออาเซียนที่ให้ความสำคัญกับเมืองยั่งยืน การปรับตัวต่อสภาพอากาศ และสีเขียวเมือง (urban greening) การมี “โครงการที่เห็นผล” ก่อนวาระสำคัญระดับชาติ ย่อมเป็นประโยชน์ต่อภาพลักษณ์ทั้งสองประเทศ

ไทม์ไลน์คร่าวๆ สู่ปี 2570 จากแบบร่างสู่เมืองที่พร้อมต้อนรับโลก

  1. ไตรมาส 3/2568: สำรวจพื้นที่–วิเคราะห์ข้อมูล–ข้อเสนอแนวคิดหลัก (concept) รายจุด
  2. ไตรมาส 4/2568–ไตรมาส 1/2569: ออกแบบรายละเอียด–จัดทำแบบปลูก–กำหนดสเปกพันธุ์ไม้และระบบน้ำ–คำนวณบำรุงรักษา
  3. ไตรมาส 2–4/2569: เริ่มงานก่อสร้าง/ปรับปรุงเฟสแรกในคอร์ริดอร์สำคัญและสวนศูนย์กลางเมือง พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้แก่บุคลากร
  4. ต้นปี 2570: เก็บงานรายละเอียด–ทดสอบระบบรดน้ำ–ไฟ–ป้ายตีความ–ทางเดิน/จักรยาน ก่อนเข้าสู่ช่วง “ใช้งานจริง” รับงานเฉลิมฉลอง

(ไทม์ไลน์ข้างต้นเป็นกรอบเชิงหลักการ อาจปรับตามแผนงานของรัฐบาลบรูไนฯ)

มุมมองเชิงนโยบายบทเรียนที่ไทยควรเก็บเกี่ยว

  • Soft Power จาก “ภูมิทัศน์และความรู้”: ไทยสามารถใช้เอกชน–สถาบันความรู้ด้านพฤกษศาสตร์ เป็นทูตเชื่อมความร่วมมือในภูมิภาค ควบคู่ท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ
  • ยกระดับมาตรฐานสวนสาธารณะไทย: นำบทเรียนการกำหนดตัวชี้วัดเมืองสีเขียว–การมีส่วนร่วม–การบำรุงรักษา ไปใช้กับเมืองไทยเอง สร้างมาตรฐานเดียวกันข้ามจังหวัด
  • ต่อยอดเศรษฐกิจสร้างสรรค์สีเขียว: บ่มเพาะธุรกิจออกแบบ–เพาะชำ–วิจัยพืช–สตอรีเทลลิง เพื่อเป็น “ชุดบริการครบ” ที่ขายได้ในตลาดภูมิภาค

จากพัทยาถึงบันดาร์เสรีเบกาวัน—สวนแห่งมิตรภาพที่งอกงาม

โครงการ Friendship Garden ทำให้เห็นว่าภูมิทัศน์ไม่ได้เป็นแค่ภาพสวย แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของคุณภาพชีวิตและศักดิ์ศรีของเมือง เมื่อ สวนนงนุชพัทยา นำความเชี่ยวชาญไปผสานกับโจทย์เมืองของบรูไนฯ เราได้เห็น “ห่วงโซ่คุณค่า” ที่โยงคนสวน นักพฤกษศาสตร์ วิศวกรเมือง ไปจนถึงครอบครัวที่พาเด็กๆ มาเล่นในสวน—ทุกคนคือเจ้าของเมือง ความร่วมมือครั้งนี้จึงมิได้จบลงที่การปลูกต้นไม้หนึ่งต้น แต่เริ่มต้น “ปลูกความสัมพันธ์” ที่จะเติบโตเข้มแข็งไปพร้อมกับเมืองในวาระเฉลิมฉลองครองราชย์ 60 ปี ที่กำลังจะมาถึง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สวนนงนุชพัทยา (Nong Nooch Tropical Garden, Pattaya)
  • กระทรวงการพัฒนา (Ministry of Development), รัฐบรูไนดารุสซาลาม
  • กรมสิ่งแวดล้อม รัฐบรูไนดารุสซาลาม —
  • สำนักงานโครงการฉลองวาระครองราชย์ 60 ปี (ข้อมูลสำนักรัฐบาลบรูไนฯ)
  • เอกสารแนะนำด้านสวนพฤกษศาสตร์/ภูมิทัศน์ของสวนนงนุชพัทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

เชียงรายปักหมุด “MICE City กาแฟ” สำเร็จ หลังโครงการสร้างยอดขายกว่า 4.4 ล้านบาท

เชียงราย “MICE City แห่งกาแฟ” สร้างยอดจับคู่ธุรกิจ 4.4 ล้านบาท จากกิจกรรม Coffee Journey 2025

เชียงราย 31 สิงหาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายก้าวสำคัญสู่การเป็น “MICE City แห่งกาแฟ” หลังโครงการ “Chiangrai Specialty Coffee MICE Journey 2025” ประสบความสำเร็จอย่างน่าประทับใจ สร้างยอดจับคู่ธุรกิจกาแฟคุณภาพสูงมูลค่ารวมกว่า 4.4 ล้านบาท ตอกย้ำศักยภาพของเชียงรายในการเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับธุรกิจไมซ์ระดับชาติ

เส้นทางแห่งการเรียนรู้ จากไร่สู่ถ้วยกาแฟ

กิจกรรมที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 สิงหาคม 2568 ณ หมู่บ้านปางขอน จังหวัดเชียงราย เป็นผลงานความร่วมมือระหว่าง Chiangrai Coffee Lovers (CCL) กับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) และสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดเชียงราย เพื่อสร้างสะพานเชื่อมต่อผู้ประกอบการกาแฟตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ

ผู้เข้าร่วมกิจกรรมประกอบด้วยเจ้าของโรงคั่วกาแฟจาก 15 แห่งทั่วประเทศ วิทยากรผู้เชี่ยวชาญจาก The Roastery by Roj, School Coffee และทีมงานดอยตุง รวมถึงเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟจากไร่กาแฟชื่อดังในพื้นที่ อาทิ ไร่กาแฟครอบครัวมะ, ไร่กาแฟ Magpie, ไร่กาแฟ Soyi และไร่กาแฟดอยกอดรัก

สิ่งที่น่าสนใจคือการที่ผู้เข้าร่วมทุกคนยินดีที่จะ “ลุยฝน” เพื่อเดินทางไปเยี่ยมชมไร่กาแฟและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเกษตรกรกว่า 30 ชีวิต ซึ่งสะท้อนถึงความจริงจังในการสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่งและยั่งยืน

วิสัยทัศน์ 4 มิติ ขับเคลื่อนกาแฟไทยสู่เวทีโลก

โครงการนี้มีวัตถุประสงค์หลัก 4 ประการที่สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศ

ประการแรก การส่งเสริมการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการกาแฟและการท่องเที่ยว ตั้งแต่เกษตรกรผู้ปลูกไปจนถึงคนคั่วและคนชง เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานที่เข้มแข็งและโปร่งใส ประการที่สอง การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการและเกษตรกรในด้านการผลิต การแปรรูป และการบริหารจัดการกาแฟโดยใช้ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์และแนวทางมาตรฐานสากล ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพกาแฟไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ และประการที่สาม การเปิดพื้นที่ให้เกิดการจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) และการนำเสนอกาแฟคุณภาพจากเกษตรกรสู่ตลาดที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ผลิต รวมไปถึง ประการสุดท้าย การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและเชิงวัฒนธรรมบนฐานกาแฟพิเศษ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระดับชุมชนตามแนวทางของสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)

การเกษตรแบบผสมผสาน หัวใจแห่งความยั่งยืน

หนึ่งในจุดเด่นที่โดดเด่นของการเดินทางครั้งนี้คือการได้เห็นแนวทางการเกษตรแบบผสมผสานของเกษตรกรในพื้นที่ ซึ่งไม่เพียงแต่ปลูกกาแฟเพียงอย่างเดียว แต่ยังปลูกร่วมกับพืชอื่นๆ เพื่อสร้างระบบนิเวศที่สมดุล

วิธีการเกษตรแบบนี้ส่งผลให้ดินและน้ำมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น ลดการใช้สารเคมี และส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของเมล็ดกาแฟที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กาแฟจากเชียงรายได้รับการยอมรับจากตลาดทั้งในและต่างประเทศ

พงศกร อารีศิริไพศาล ประธานกลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย ผู้ผลักดันโครงการ กล่าวว่า “การได้เห็นความตั้งใจของคนปลูก ทำให้เราตระหนักว่าหน้าที่ของคนคั่วและคนชงไม่ใช่แค่ทำให้กาแฟอร่อย แต่คือการเคารพและต่อยอดความตั้งใจของคนต้นน้ำให้ไปถึงมือคนดื่มอย่างสมบูรณ์ที่สุด”

รูปธรรมของยอดซื้อขายทะลุเป้าหมาย

ความสำเร็จของกิจกรรมครั้งนี้ไม่ได้หยุดอยู่ที่ความประทับใจหรือการแลกเปลี่ยนความรู้เพียงอย่างเดียว แต่สามารถวัดผลได้เป็นรูปธรรมจากยอดการจับคู่ทางธุรกิจที่เกิดขึ้นระหว่างงาน

จากการจับคู่ธุรกิจระหว่างเกษตรกรและผู้แปรรูปกาแฟกว่า 30 คน กับผู้เข้าร่วมจาก 15 โรงคั่วกาแฟ มีการจองสั่งซื้อเมล็ดกาแฟดิบ (Green Coffee Bean) เฉลี่ยโรงคั่วละ 1 ตัน ทั้งในระดับกาแฟคุณภาพ (Quality Mass) และระดับกาแฟพิเศษ (Specialty Grade) รวมยอดซื้อขายทั้งหมดมากกว่า 4.4 ล้านบาท

ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงความต้องการที่สูงของตลาดต่อกาแฟคุณภาพจากเชียงราย และเป็นบทพิสูจน์ว่าเมื่อคนต้นน้ำและคนปลายน้ำได้มาพบปะกัน จะเกิดเป็นการเชื่อมโยงทางธุรกิจที่ยั่งยืนและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาล

กาแฟไทยดาวรุ่งแห่งอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม

ธุรกิจกาแฟยังคงเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่เติบโตต่อเนื่องในประเทศไทย โดยข้อมูลจากบริษัทสำรวจตลาด Euromonitor International ระบุว่า มูลค่าตลาดกาแฟไทยในปี 2566 อยู่ที่ 34,470.3 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าจะเติบโตขึ้นเป็นกว่า 65,000 ล้านบาทในปี 2568

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เผยให้เห็นภาพการเติบโตที่น่าสนใจ โดยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม-กรกฎาคม) มีการจดทะเบียนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกาแฟเพิ่มขึ้นกว่า 5.70% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

อรรถน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้กล่าวในงานเสวนา ‘Coffee Fest’ ณ ไอคอนสยาม ว่า “กาแฟไม่ใช่แค่เครื่องดื่ม แต่เป็นวัฒนธรรมการบริโภคที่เชื่อมโยงผู้คนทุกเพศทุกวัย และยังเป็นธุรกิจที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการหน้าใหม่ก้าวเข้าสู่ตลาดได้อย่างต่อเนื่อง”

ทางด้านการส่งออก ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ระบุว่า ในปี 2566 ไทยมีมูลค่าการส่งออกกาแฟ 125.89 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 15.59 เมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการยอมรับกาแฟไทยในตลาดโลก

แนวคิดใหม่การท่องเที่ยวเชิงเกษตรบนฐานกาแฟ

โครงการ “ChiangRai Coffee Journey 2025” ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ แต่ยังเป็นการนำเสนอรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่ใหม่และน่าสนใจ ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสประสบการณ์การเรียนรู้แบบ 360 องศา ตั้งแต่การดูแลต้นกาแฟ การเก็บเกี่ยว การแปรรูป ไปจนถึงการชิมและประเมินคุณภาพ

กิจกรรมลักษณะนี้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการท่องเที่ยวในพื้นที่ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวกลุ่มเล็ก (Small Group Tourism) และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวที่ต้องการประสบการณ์ที่แท้จริงและมีส่วนร่วม

หนึ่งในผู้เข้าร่วม จากร้าน Heartmade Craft Coffee Roaster กล่าวว่า “สิ่งที่ประทับใจที่สุดคือการได้พูดคุยกับคนต้นน้ำผู้ปลูกกาแฟ ที่เลือกทำเกษตรแบบผสมผสาน ไม่ใช่แค่การปลูกกาแฟเพียงอย่างเดียว แต่ยังปลูกร่วมกับพืชอื่นๆ สร้างระบบนิเวศที่สมดุล”

MICE City เป้าหมายใหม่ของเชียงราย

การจัดกิจกรรมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการขับเคลื่อนเชียงรายสู่การเป็น MICE City ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยใช้กาแฟเป็นจุดขายหลัก ซึ่งแตกต่างจากเมืองไมซ์อื่นๆ ในประเทศที่มักเน้นไปที่โครงสร้างพื้นฐานหรือความทันสมัยของสถานที่

TCEB ในฐานะหน่วยงานหลักในการส่งเสริมอุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศ ได้ให้การสนับสนุนโครงการนี้เพื่อเป็นต้นแบบในการพัฒนาเมืองไมซ์รูปแบบใหม่ที่มีเอกลักษณ์และความยั่งยืน

การที่เชียงรายมีความโดดเด่นในด้านการผลิตกาแฟคุณภาพสูง ประกอบกับธรรมชาติที่สวยงามและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เข้มแข็ง จึงเป็นจุดแข็งที่สำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวไมซ์ที่ต้องการประสบการณ์ที่แตกต่างจากเมืองใหญ่

ผลกระทบต่อชุมชนและเศรษฐกิจท้องถิ่น

ความสำเร็จของโครงการนี้ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชนท้องถิ่นหลายมิติ เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟได้รับผลตอบแทนที่เป็นธรรมมากขึ้นจากการขายตรงให้กับโรงคั่วกาแฟ โดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง

นอกจากนี้ ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการท้องถิ่น เช่น บริษัททัวร์ รถเช่า และชุมชนได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองสู่การเป็น DMC (Destination Management Company) ที่มีคุณภาพ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมไมซ์ที่กำลังเติบโตในอนาคต

การพัฒนาในลักษณะนี้จะช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน และเป็นการกระจายความเจริญจากเมืองใหญ่สู่พื้นที่ห่างไกล ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาประเทศที่เน้นความเท่าเทียมและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

เทรนด์การบริโภคกาแฟ โอกาสทองสำหรับผู้ประกอบการ

ตลาดกาแฟไทยในปัจจุบันมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยข้อมูลจากการวิเคราะห์ของ Euromonitor International แสดงให้เห็นว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2564-2566) ตลาดกาแฟไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ร้อยละ 8.55 ต่อปี

การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ที่มองกาแฟเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ มากกว่าเพียงแค่เครื่องดื่ม เป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของตลาด ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับคุณภาพ เรื่องราวเบื้องหลัง และความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์มากขึ้น

ข้อมูลเพิ่มเติมจากเนสกาเฟ ระบุว่า กาแฟเป็นหนึ่งในเครื่องดื่ม 3 อันดับแรกที่คนไทยนิยมดื่มในปัจจุบัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งและมีศักยภาพในการขยายตัวต่อไป

ความท้าทายและโอกาสในอนาคต

แม้ว่าผลลัพธ์จากโครงการนี้จะน่าประทับใจ แต่การพัฒนาเชียงรายสู่การเป็น MICE City แห่งกาแฟยังต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ

ความท้าทายหลักคือการรักษามาตรฐานคุณภาพของกาแฟให้สม่ำเสมอตลอดทั้งปี การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับนักท่องเที่ยวไมซ์ และการสร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการให้บริการระดับสากล

อย่างไรก็ตาม โอกาสที่เชียงรายมีอยู่ก็มีมากมาย ตั้งแต่ทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ภูมิประเทศที่เหมาะสมกับการปลูกกาแฟคุณภาพสูง วัฒนธรรมท้องถิ่นที่เข้มแข็ง และที่สำคัญคือจิตวิญญาณของคนในพื้นที่ที่พร้อมจะเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง

จากไร่กาแฟสู่เวทีโลก

โครงการ “ChiangRai Coffee Journey 2025” เป็นมากกว่าการจัดกิจกรรมเพียงครั้งเดียว แต่เป็นการวางรากฐานสำคัญของการพัฒนาเชียงรายสู่การเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับธุรกิจไมซ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ความสำเร็จจากยอดซื้อขายกว่า 4.4 ล้านบาทในเวลาเพียง 3 วัน เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าตลาดพร้อมรับและชื่นชมคุณภาพของกาแฟเชียงราย การที่ผู้ประกอบการจาก 15 โรงคั่วทั่วประเทศยินดีที่จะเดินทางมาสัมผัสและเรียนรู้ด้วยตนเอง แสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือและศักยภาพของพื้นที่

สิ่งที่น่าภาคภูมิใจที่สุดคือการที่โครงการนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่ผลกำไรทางธุรกิจ แต่ยังคำนึงถึงความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาชุมชนอย่างแท้จริง การเกษตรแบบผสมผสานที่เกษตรกรในพื้นที่ใช้ไม่เพียงแต่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างคุณภาพกาแฟที่เป็นเลิศ

หากเชียงรายสามารถรักษาโมเมนตัมนี้ไว้ได้ และพัฒนาต่อยอดในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การบริการ และการสื่อสารกับตลาดสากล ไม่นานเชียงรายอาจกลายเป็น “เมืองไมซ์ที่หอมกรุ่นที่สุด” และเป็นต้นแบบให้กับพื้นที่อื่นๆ ในการใช้จุดแข็งทางการเกษตรเป็นฐานในการพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์

เสียงจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง

ผู้แทนจากสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดเชียงราย แสดงความมั่นใจว่า การจัดกิจกรรมลักษณะนี้จะช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของเชียงรายในฐานะจุดหมายปลายทางสำหรับการจัดประชุมและนิทรรศการที่มีคุณภาพ

“การที่เราสามารถสร้างประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครให้กับผู้เข้าร่วมประชุม โดยผสมผสานระหว่างการเรียนรู้ทางธุรกิจกับการสัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่น จะเป็นจุดขายที่สำคัญในการดึงดูดองค์กรและบริษัทต่างๆ ให้เลือกเชียงรายเป็นสถานที่จัดกิจกรรม” ผู้แทนสมาคมฯ กล่าว

กลยุทธ์ต่อยอดสู่อนาคต

จากความสำเร็จของโครงการครั้งนี้ CCL และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้วางแผนกิจกรรมต่อเนื่องเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเครือข่าย รวมถึงการพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมสำหรับเกษตรกรและผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานกาแฟ

การจัดกิจกรรม Road Show ไปยังเมืองใหญ่อื่นๆ เพื่อนำเสนอกาแฟคุณภาพจากเชียงราย และการสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับการซื้อขายกาแฟโดยตรงระหว่างเกษตรกรและผู้ประกอบการ ก็เป็นอีกหนึ่งแผนงานที่น่าจับตามอง

ทั้งนี้ การพัฒนาระบบมาตรฐานการรับรองคุณภาพกาแฟ (Coffee Certification) เฉพาะสำหรับเชียงราย ที่จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อและเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ ก็เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายระยะยาวที่สำคัญ

แรงบันดาลใจจากความสำเร็จ

เรื่องราวของ “ChiangRai Coffee Journey 2025” เป็นตัวอย่างที่ดีของการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ แต่สร้างผลกระทบในวงกว้าง การที่ผู้เข้าร่วมทุกคนยินดีที่จะ “ลุยฝน” เพื่อเรียนรู้และสร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริง แสดงให้เห็นถึงพลังของความร่วมมือที่เกิดจากใจจริง

กิจกรรมนี้ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างธุรกิจ แต่เป็นการสร้าง “ชุมชนแห่งการเรียนรู้” ที่ทุกคนมีส่วนร่วมในการพัฒนาและเติบโตไปด้วยกัน ซึ่งเป็นรากฐานที่มั่นคงสำหรับการพัฒนาในระยะยาว

ดังที่หนึ่งในผู้เข้าร่วมกล่าวสรุปไว้อย่างสวยงามว่า “Coffee Journey ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ทริปเรียนรู้ แต่เป็นการเดินทางของหัวใจที่เชื่อมโยงคนปลูก คนคั่ว คนชง และคนดื่มเข้าด้วยกันในถ้วยกาแฟเดียว”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)
  • สมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดเชียงราย
  • Chiangrai Coffee Lovers (CCL)
  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
  • The Roastery by Roj
  • School Coffee
  • ทีมงานดอยตุง
  • ไร่กาแฟครอบครัวมะ, ไร่กาแฟ Magpie, ไร่กาแฟ Soyi, ไร่กาแฟดอยกอดรัก
  • Heartmade Craft Coffee Roaster
  • ข้อมูลสถิติการตลาดจาก Euromonitor International
  • สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

เทเบิลเทนนิสชิงแชมป์จังหวัดเชียงรายพร้อมระเบิดศึกแล้ววันนี้

 “ศึกปิงปองชิงแชมป์จังหวัด 2568” ปลุกพลังเมืองกีฬา เวทีรวมรุ่น เยาวชน–อาวุโส สานสุขภาพ เศรษฐกิจ และเครือข่ายชุมชน

เชียงราย, 31 สิงหาคม 2568 — เสียงลูกปิงปองกระทบโต๊ะที่ดังเป็นจังหวะชัดเจนในฮอลล์ใหญ่ของศูนย์แสดงสินค้านานาชาติ GMS อาคารเชียงแสน กลายเป็นสัญลักษณ์ของการกลับมาคึกคักของวงการเทเบิลเทนนิสเชียงราย เมื่อฝ่ายเทเบิลเทนนิส สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย นำโดย น.ต.ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ประธานฝ่ายเทเบิลเทนนิส จัดการแข่งขัน ชิงชนะเลิศจังหวัดเชียงราย ประจำปี 2568” ระหว่างวันที่ 30–31 สิงหาคม 2568 บนมาตรฐานการแข่งขันที่ยกระดับทั้ง “คุณภาพสนาม–ระบบจัดการ–ความโปร่งใส” เพื่อให้เป็นเวทีกลางของนักกีฬาทุกช่วงวัย ตั้งแต่เยาวชน นักกีฬาสมัครเล่น ไปจนถึงรุ่นอาวุโส

บรรยากาศวันแรก (30 ส.ค.) เข้มข้นตั้งแต่เช้าจรดเย็น มีการลงสนามรวม 277 คู่ ต่อเนื่องหลายคอร์ท ผู้เล่นต่างพก “ไฟ” และ “ไมตรี” ลงสู่โต๊ะเดียวกัน—ภาพที่สะท้อนเสน่ห์ของกีฬา: แข่งขันเพื่อชนะ แต่ออกจากโต๊ะด้วยรอยยิ้มและความเคารพคู่ต่อสู้ การออกแบบรายการที่เปิดกว้างหลายรุ่นอายุช่วยให้ทุกคน “มีเวทีของตนเอง” ทั้งยังเป็นพื้นที่เรียนรู้ข้ามรุ่น เยาวชนได้ซึมซับวินัยการซ้อมและการควบคุมอารมณ์ ขณะที่รุ่นอาวุโสส่งต่อบทเรียนเชิงเทคนิค—ทั้งมุมมองเกม การอ่านสปิน และการยืนตำแหน่ง—ซึ่งหายากจากตำรา

สนาม–มาตรฐาน–ระบบ ต้นทุนความน่าเชื่อถือของการแข่งขัน

ฝั่งผู้จัดวางระบบการแข่งขันตามคู่มือสากล ตั้งแต่การจัดโต๊ะ อุปกรณ์ ลูก และการกำกับดูแลด้วยผู้ตัดสินที่ผ่านการอบรม โดยยึดกรอบ “กติกา ITTF” เป็นหลัก เพื่อให้การตัดสินและประสบการณ์ของนักกีฬาไม่หลุดจากมาตรฐานโลก จุดนี้สำคัญต่อการยกระดับสมรรถนะ เพราะนักกีฬาคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมจริงแบบที่พบในรายการระดับชาติในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นระยะห่างโต๊ะ–ฉากหลังที่ช่วยอ่านสปิน–และการบันทึกผลที่เป็นระบบ ซึ่งทั้งหมดพิงบนฐานเอกสารข้อบังคับจากสหพันธ์เทเบิลเทนนิสนานาชาติ (ITTF) ที่กำหนดกติกาหลักและแนวทางการแข่งขันไว้ชัดเจนเพื่อความเป็นธรรมของเกมทั่วโลก

ตัวสถานที่ก็ไม่ธรรมดา—ศูนย์แสดงสินค้านานาชาติ GMS จังหวัดเชียงราย (อาคารเชียงแสน) เป็นโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัดที่ออกแบบรองรับการจัดแสดงสินค้า–ประชุม–แข่งขันกีฬาในอาคารขนาดใหญ่ พร้อมระบบอำนวยความสะดวกครบถ้วน ทั้งลานจอด บริเวณพักคอย ผู้ปกครองและผู้ชมจึงเข้าถึงง่าย เมืองก็พร้อมรับนักกีฬาและผู้ติดตามจากอำเภอต่าง ๆ ในจังหวัด (และจังหวัดใกล้เคียง) สร้างมูลค่าเพิ่มด้าน “ไมซ์–สปอร์ตอีเวนต์” แบบบูรณาการ

มากกว่าถ้วยรางวัลกีฬาคือแพลตฟอร์มสร้างสุขภาพและทุนทางสังคม

รายการปีนี้เน้น “กระจายโอกาส” ให้คนทุกวัย—ตั้งแต่รุ่นเยาว์ที่เพิ่งเริ่มจับไม้ไปจนถึงรุ่นอาวุโส—เพราะสมการของกีฬาไม่ได้จบที่สกอร์ หากแต่ขยายผลสู่สุขภาวะของคนเชียงรายทั้งมิติร่างกาย จิตใจ และชุมชน งานวิจัยเชิงนโยบายขององค์การอนามัยโลก (WHO) ชี้ชัดว่า การมีกิจกรรมทางกายระดับปานกลางอย่างน้อย 150–300 นาที/สัปดาห์ (หรือกิจกรรมหนัก 75–150 นาที/สัปดาห์) ช่วยลดความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เพิ่มคุณภาพชีวิต และลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในระยะยาว ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายที่ฝ่ายจัดพยายามดึงคนทั่วไปเข้ามา “สัมผัสกีฬา” ผ่านการเชียร์และกิจกรรมร่วมข้างสนาม เพราะแค่ “ได้มาเดิน–นั่งเชียร์–มีส่วนร่วม” ก็เริ่มต้นคะแนนสุขภาพได้แล้ว

สำหรับนักกีฬารุ่นอาวุโส การเปิดคลาสการแข่งขันแยกตามวัย (เช่น 50+, 55+, 60+) ไม่เพียงทำให้สนามแข่งขันเป็นธรรม แต่ยังช่วย “ดึงกลับ” คนวัยทำงานและวัยหลังเกษียณให้กลับมามีวินัยการฝึกซ้อมที่พอเหมาะ ลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง และเพิ่มปฏิสัมพันธ์ทางสังคม—ปัจจัยป้องกันความโดดเดี่ยวที่ WHO ให้ความสำคัญไม่แพ้เรื่องฟิตเนสทางกาย

ดีไซน์รายการเพื่อพัฒนา “คอขวด” ที่ผู้จัดรู้และแก้

แม้จำนวนแมตช์วันแรกพุ่งสูงถึง 277 คู่ แต่ “ความหนาแน่น” นี้ไม่ได้ทำให้ระบบรวน เพราะฝ่ายจัดเตรียม ตารางเวลา–ไหลงาน (flow) และ แผนสำรอง (contingency) ล่วงหน้า ตั้งแต่การเรียกคอร์ต การบันทึกผลแบบเรียลไทม์ ไปจนถึงการสื่อสารผ่านประกาศกลาง—กุญแจลดคอขวดและข้อโต้แย้งเวลาทับซ้อน ขณะเดียวกัน การวางผังโต๊ะให้ผู้ชมเห็นเกมพร้อมกันหลายคอร์ท ยังเพิ่ม “ประสบการณ์สนาม” ให้ผู้ปกครองและแฟนกีฬาได้ติดตามลูกหลานและนักกีฬาที่ชื่นชอบในเวลาเดียวกัน

อีกด้านหนึ่ง ฝ่ายเทคนิคเน้น วินัยก่อน–หลังแข่ง เช่น ช่วงอบอุ่นร่างกายสั้น ๆ บนโต๊ะซ้อม การควบคุมอุณหภูมิและความสว่างคงที่ เพื่อไม่ให้สภาพแวดล้อมกลายเป็นตัวแปรที่บดบังคุณภาพแท้จริงของผู้เล่น ทั้งหมดนี้ยึดแนวทางจากคู่มือและธรรมเนียมปฏิบัติของสมาคมกีฬาเทเบิลเทนนิสแห่งประเทศไทย (TTAT) ซึ่งเป็นองค์กรกลางด้านพัฒนากีฬาประเภทนี้ในประเทศ

พลังข้ามรุ่น เมื่อผู้ฝึกสอน–ครู–โค้ช คือเสาหลักหลังโต๊ะ

ในสนามเดียวกัน ภาพที่เด่นชัดไม่แพ้ผู้เล่นคือ “ทีมโค้ช–ครูพละ–ผู้ฝึกสอนสโมสร” ที่ยืนเรียงแนวข้างคอร์ต คอยบันทึกจังหวะผิดพลาดและจุดแข็งของลูกศิษย์ เพื่อนำไปออกแบบการซ้อมเฉพาะบุคคล (individualized training) จุดที่เห็นได้ชัดในรายการแบบหลายรุ่นคือ พัฒนาการเชิงเทคนิค ของเยาวชน: การอ่านเสิร์ฟสั้น–ยาว การเปิดเกมบอลสาม (third ball attack) และการแก้ทางสปิน ซึ่งต้องอาศัย “ภาพจริง” จากเกมแข่งขันมากกว่าการซ้อมล้วน ๆ การมีรายการในจังหวัดที่เชื่อมโยงทุกช่วงวัยจึงเป็น “ห้องทดลองมีชีวิต” ของโค้ชและผู้เล่นไปพร้อมกัน

ผู้ปกครองเองคือแรงขับที่ทรงพลัง—เสียงเชียร์ที่พอดี (ไม่กดดัน) การจัดการเวลาพัก–โภชนาการ และการยอมรับผลการแข่งขันอย่างมีวุฒิภาวะ ล้วนเป็น “ต้นแบบ” ด้านวัฒนธรรมกีฬาให้ลูกหลานเห็นจากที่บ้าน แล้วนำกลับมาปฏิบัติในสนามจริง

เศรษฐกิจชุมชน–สปอร์ตทัวริซึมเมื่อการแข่งขันทำให้เมืองคึกคัก

รายการระดับจังหวัดที่ใช้ศูนย์ประชุมขนาดใหญ่ทำให้ “อีโคซิสเต็ม” รอบสนามขยับพร้อมกัน—ร้านอาหารเล็ก ๆ ใกล้ฮอลล์มีลูกค้าแน่นขึ้น ร้านอุปกรณ์กีฬา–ยางปิงปอง–ไม้–เสื้อทีม ได้ออกบูธและทำตลาดกับกลุ่มเป้าหมายตรง ๆ โฮสเทลและโรงแรมขนาดกลางรอบเมืองรับอานิสงส์จากทีมต่างอำเภอที่เดินทางมาพัก 1–2 คืน ขณะที่ระบบขนส่งท้องถิ่น (แท็กซี่–รถสองแถว–รถเช่า) ถูกใช้มากขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์

องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้การแข่งขันไม่ได้เป็นเพียง “ต้นทุนจัดงาน” ของสมาคมกีฬา แต่เปลี่ยนเป็น “การลงทุนทางสังคม” ที่สร้างรายได้หมุนเวียนในเมือง และต่อยอดภาพลักษณ์ Sport Event Friendly City ของเชียงราย—โมเดลที่เมืองท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมสามารถเพิ่มมิติ “กีฬาในอาคาร” เข้ามาเติมเต็มฤดูกาลท่องเที่ยว

มาตรฐานวันนี้ เพื่อความฝันวันพรุ่งนี้

การยึดกติกา ITTF อย่างเคร่งครัดคือรากฐานของการก้าวสู่เวทีใหญ่—เพราะเมื่อนักกีฬาเติบโตขึ้น ไม่ว่าจะสู่ระดับเขต ภาค ประเทศ หรือแม้แต่รายการนานาชาติ โครงสร้างการตัดสิน–รูปแบบการแข่งขัน–การจัดพื้นที่ จะคุ้นมือคุ้นตา การปรับตัวจึงเหลือเพียงคุณภาพชั้นเชิงและการจัดการความกดดัน งานนี้จึงถูกวางบทบาทเป็น “บันไดขั้นกลาง” ที่มั่นคงระหว่างการซ้อมในสโมสรกับรายการชิงแชมป์ระดับชาติ

ในเชิงองค์กร ผู้จัดยังได้ “ข้อมูลจริง” จากสนาม—จำนวนแมตช์ต่อคอร์ตต่อชั่วโมง จุดคอขวดของการเรียกคิว เวลาพักที่เหมาะสมต่อรุ่นอายุ ไปจนถึงรูปแบบประกบคู่ที่ทำให้ผู้เล่นได้เจอคู่แข่งหลากสไตล์—เพื่อยกระดับคู่มือจัดการแข่งขันฉบับจังหวัดในปีถัดไป ขณะที่ฝ่ายพัฒนาบุคลากรผู้ตัดสินสามารถคัดเลือกและประเมินผู้ตัดสินดาวรุ่งจากสถานการณ์จริง เพิ่มจำนวนกำลังคนพร้อมใช้ในปฏิทินแข่งขันที่จะหนาแน่นขึ้น

เมืองกีฬาอย่างยั่งยืน แผนที่ควรต่อยอด

  1. ปฏิทินระยะยาว – จัดวางรายการอย่างน้อย 2–3 ครั้ง/ปี แยกตามช่วงวัย/ทักษะ เพื่อให้โค้ชวางแผน periodization (ซ้อม–แข่ง–พัก–ฟื้น) และให้ผู้เล่นมีเป้าหมายชัดในแต่ละไตรมาส
  2. คลินิกเทคนิค–ผู้ตัดสิน–ผู้จัดการทีม – ควบคู่การแข่งขัน ควรมีเวิร์กช็อปสั้น ๆ จากผู้ทรงคุณวุฒิ TTAT หรืออดีตนักกีฬาทีมชาติ เพื่อถ่ายทอดทักษะเฉพาะด้านและกฎกติกาที่อัปเดตตาม ITTF อย่างสม่ำเสมอ
  3. ดิจิทัลเรคคอร์ด – จัดเก็บสถิติเกมขั้นพื้นฐาน (อัตราเสิร์ฟได้เปรียบ/เสียเปรียบ การเปิดบอลสามสำเร็จ การรับเสิร์ฟสั้นยาว) ให้ทีมโค้ชนำไปวิเคราะห์ภายหลัง
  4. เข้าถึงชุมชน – ประสานโรงเรียนและเทศบาลในอำเภอต่าง ๆ ส่งทีมเข้าร่วมและหมุนเวียนเป็นเจ้าภาพบางประเภทการแข่งขัน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านการเดินทางและสร้างฐานผู้เล่นใหม่
  5. สื่อ–เรื่องเล่า – บันทึก “เส้นทางนักกีฬาทุกวัย” จากรายการระดับจังหวัดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และสื่อสารว่ากีฬาไม่จำกัดอายุ—ใครเริ่มวันนี้ก็เดินหน้าได้ทันที

ชวนคนเมืองร่วมเชียร์ฟรี—ทำคะแนนสุขภาพไปด้วยกัน

ผู้จัดเชิญชวนประชาชนร่วมชมรอบชิงชนะเลิศ วันที่ 31 ส.ค. 2568 เข้าชมฟรี ตลอดวัน ณ ฮอลล์หลักของศูนย์ GMS—โอกาสดีสำหรับครอบครัวที่อยากพาบุตรหลานรู้จักกีฬาใกล้ตัว ใช้อุปกรณ์ไม่มากและเล่นได้ทุกฤดูกาล การได้เห็น “ทักษะจริง” ต่อหน้าจะจุดประกายให้เด็กหลายคนอยากเริ่มจับไม้ และทำให้ผู้ใหญ่หลายคนอยากกลับมาออกกำลัง—สอดคล้องกับข้อแนะนำ WHO ที่ผลักดันให้ทุกคนเพิ่มกิจกรรมทางกายในชีวิตประจำวันอย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ ซึ่งเทเบิลเทนนิสเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ปรับความหนักเบาได้ดี เหมาะทั้งหัดใหม่และผู้สูงอายุ

โต๊ะเดียวที่เชื่อมทั้งเมือง

“ศึกปิงปองชิงแชมป์จังหวัดเชียงราย 2568” แสดงให้เห็นพลังของกีฬาในสามมิติ—พัฒนาคน, ขยับเศรษฐกิจท้องถิ่น, และ สร้างทุนทางสังคม ผ่านโต๊ะสี่เหลี่ยมขนาดมาตรฐานเดียวกัน ทุกคนยืนเท่ากันหน้าโต๊ะ—แพ้ชนะอยู่ที่วินาทีของการตัดสินใจและวินัยการซ้อม เมืองได้เวทีโชว์ศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานระดับไมซ์ที่พร้อมรองรับอีเวนต์กีฬาในอาคาร ขณะที่เครือข่ายโค้ช–ครู–ผู้ปกครอง–ผู้ประกอบการท้องถิ่น ก็พบกันในภารกิจเดียว: ทำให้กีฬาเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของคนเชียงราย

การลงทุนกับกีฬาไม่ใช่ต้นทุนที่จมหาย แต่คือ เงินออมสุขภาพ ของเมือง—ลดภาระค่ารักษา เพิ่มประสิทธิภาพแรงงาน สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนจากการจัดงาน และยกคุณภาพชีวิตของชุมชน เมื่อการแข่งขันสะท้อนมาตรฐาน และเรื่องเล่าของนักกีฬาถูกเล่าต่อ เมืองจะค่อย ๆ ขยับจาก “จัดรายการได้ดี” ไปสู่ “ปลายทางของการพัฒนากีฬาเทเบิลเทนนิสภาคเหนือ” อย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การอนามัยโลก (WHO)Guidelines on physical activity and sedentary behaviour (2020): แนวทางกิจกรรมทางกายสำหรับประชากรวัยต่าง ๆ แนะนำ 150–300 นาที/สัปดาห์สำหรับกิจกรรมระดับปานกลาง และ 75–150 นาที/สัปดาห์สำหรับกิจกรรมหนัก
  • สหพันธ์เทเบิลเทนนิสนานาชาติ (ITTF)ITTF Handbook / Statutes (รวม “Laws of Table Tennis” และข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง): กรอบกติกาสากรและแนวปฏิบัติการแข่งขันที่ใช้ทั่วโลก
  • สมาคมกีฬาเทเบิลเทนนิสแห่งประเทศไทย (TTAT) – เว็บไซต์ทางการ: ข้อมูลกิจกรรม/พัฒนากีฬา/การรับรองบุคลากรและการแข่งขันในประเทศ
  • ศูนย์แสดงสินค้านานาชาติ GMS จังหวัดเชียงราย (อาคารเชียงแสน) – ข้อมูลสถานที่ ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการจัดงานขนาดใหญ่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

อบจ.เชียงรายเปิดศึกฟุตบอล สร้างทีมเวิร์ก-สุขภาพที่ดีให้บุคลากร

เชียงรายเดินหน้าสู่ “เมืองกีฬา” ด้วยพลังบวกจากทุกวัย นายก อบจ. ร่วมหนุนฟุตบอลอาวุโสสู่เวทีประเทศ เปิดลีกภายในสร้างสุขภาวะคนทำงาน—จากสนาม X-Arena สู่ภาพใหญ่ของนโยบายกีฬาเพื่อมวลชน

เชียงราย, 30 สิงหาคม 2568—สายลมปลายฤดูฝนพัดผ่านสนาม X-Arena เชียงราย ท่ามกลางเสียงเชียร์เป็นจังหวะและรองเท้าสตั๊ดที่นับก้าวบนหญ้าอย่างมั่นคง นักฟุตบอลรุ่นใหญ่วัย 50+, 55+ และ 60+ หลายสิบชีวิตกำลังก้าวเข้าสู่รอบคัดตัวแทนจังหวัด เพื่อชิงสิทธิ์ “ฟุตบอลอาวุโส อบจ. คัพ ชิงแชมป์ประเทศไทย ครั้งที่ 1” บรรยากาศเข้มข้นแต่เป็นมิตร—ภาพที่สะท้อนว่ากีฬาไม่ใช่แค่เรื่องชัยชนะ หากคือทุนสุขภาพ ทุนสังคม และทุนความหวังของชุมชน

ในวันเดียวกัน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) เดินเข้าสนามพร้อมคำกล่าวให้กำลังใจสั้น ๆ แต่ชัดเจนถึงความตั้งใจของจังหวัดในการ “ทำให้สนามกีฬาอยู่ใกล้ประชาชนมากที่สุด” ก่อนเป็นประธานเปิดการแข่งขันฟุตบอล 7 คน “CR-PAO League CUP 2025” รายการภายในองค์กรที่รวบรวมผู้บริหาร สมาชิกสภา ข้าราชการ และพนักงาน อบจ.เชียงราย รวม 7 ทีม โดยได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน อาทิ SCG และ Dolphin Toilet Partition เพื่อใช้กีฬาเป็นสื่อกลางสร้างสุขภาพ ความสามัคคี และทีมเวิร์กในที่ทำงาน

ภาพเล่าเรื่องจากสนามวันนั้นจึงไม่ใช่ “ข่าวกิจกรรม” ธรรมดา แต่เป็น “จุดเริ่มของทิศทาง”—ทิศทางที่พัฒนาเมืองด้วยกีฬาในมิติสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม โดยมีผู้สูงวัยและคนทำงานเป็นพระเอกเคียงข้างกัน

จากสนามท้องถิ่นสู่โจทย์ใหญ่ของจังหวัด—ทำไม “กีฬา” ถึงเป็นยุทธศาสตร์ที่ใช่ตอนนี้

เชียงรายกำลังยกระดับความเป็น “เมืองที่น่าอยู่” ไปอีกขั้นผ่านนโยบายด้านกีฬาและกิจกรรมทางกายที่ครอบคลุมทุกช่วงวัย เหตุผลสำคัญมีอย่างน้อยสามประการ

  1. โครงสร้างประชากรเปลี่ยนเร็ว—ไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จนระบบบริการและสวัสดิการต้อง “ปรับฐานคิด” จากการรักษาเมื่อป่วย ไปสู่การลงทุนกับการป้องกันโดยใช้กีฬาและกิจกรรมทางกายเป็นเครื่องมือหลัก แนวโน้มจากหน่วยงานด้านสถิติและแผนพัฒนาประเทศชี้สัญญาณเดียวกัน: สูงวัยมากขึ้นและยาวนานขึ้น จึงต้องออกแบบนโยบายที่ทำให้ผู้สูงวัย “แข็งแรงและมีส่วนร่วม” ไม่ใช่เพียง “อยู่รอด” เท่านั้น (อ้างอิงข้อมูลชุดสถานการณ์ผู้สูงอายุและแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13)
  2. หลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์หนุนชัด—องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้ผู้ใหญ่รวมถึงผู้สูงอายุทำกิจกรรมทางกายระดับปานกลาง 150–300 นาทีต่อสัปดาห์ ควบคู่การฝึกเสริมกำลังและทรงตัวเพื่อลดความเสี่ยงล้มและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) แนวทางเดียวกันนี้ถูกนำไปปรับใช้ในไทยโดยหน่วยงานด้านสุขภาพ เช่น กรมอนามัย ซึ่งสื่อสารข้อแนะนำ 150 นาที/สัปดาห์อย่างต่อเนื่องกับประชาชนและหน่วยงานท้องถิ่นที่ทำงานภาคสนาม
  3. นโยบายกีฬามวลชนของไทยเดินหน้า—การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) วางหลักการชัดเจนว่ากีฬามวลชนและกิจกรรมทางกายคือกลไกเพิ่มคุณภาพชีวิตและทุนมนุษย์ พร้อมผลักดันเครื่องมือ งบประมาณ และเครือข่ายระดับจังหวัด—องค์ประกอบที่เอื้อให้ อบจ. เข้ามาเป็น “แม่งาน” ด้านกีฬาเชิงระบบ ร้อยเรียงสนาม คน และปฏิทินกิจกรรมเข้าด้วยกัน

ภายใต้ภาพใหญ่ดังกล่าว เชียงรายจึงเลือก “ขยับ” ด้วยแผนที่จับต้องได้—ตั้งแต่สร้างเวทีให้ผู้สูงวัยแสดงศักยภาพ ไปจนสร้างพื้นที่ (ลีกภายใน) ให้คนทำงานขยับกายเป็นกิจวัตร เพื่อลดค่าป่วย ลดความเครียด และต่อยอดเป็นวัฒนธรรมองค์กร

ฉากจาก X-Arena ฟุตบอลอาวุโส—ทักษะ ประสบการณ์ และน้ำใจ

ช่วงบ่ายที่เมฆเริ่มโปรย นักเตะรุ่น 50+, 55+ และ 60+ ทยอยลงอบอุ่นร่างกาย—ท่าทางระมัดระวังแต่คล่องแคล่ว ผู้เล่นบางคนรัดสน็อปเข่า บางคนพกยาดม แต่ทุกคนมีอย่างเดียวกันคือแววตาที่มุ่งมั่น “ยังอยากลงแข่งให้ลูกหลานได้เห็น” หนึ่งในโค้ชทีมกล่าวระหว่างพักน้ำ

รูปแบบการคัดเลือกเน้น ทักษะพื้นฐาน-ความฟิต-การเล่นเป็นทีม เพื่อเตรียมตัวสู่การแข่งขันระดับประเทศในรายการ “อบจ. คัพ” รุ่นอาวุโส ที่มุ่งหมายให้เวทีกีฬาเปิดกว้างสำหรับวัยที่สังคมมักคิดว่า “ถึงเวลาเบรก” ทั้งที่ข้อเท็จจริงคือ การออกกำลังกายที่พอเหมาะช่วยเพิ่มสมรรถภาพหัวใจและปอด ลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง รวมทั้งช่วยเรื่องความจำและอารมณ์—ประโยชน์ที่สอดคล้องกับแนวทางของ WHO และหน่วยงานสุขภาพไทยซึ่งแนะนำการออกแรงแบบแอโรบิกผสมฝึกกล้ามเนื้อและการทรงตัวสำหรับวัยสูงอายุ  

การสร้างเวทีให้ “รุ่นใหญ่” กลับมาครื้นเครงในสนาม จึงเป็นมากกว่าเรื่องกีฬา หากคือ นโยบายสุขภาพเชิงรุก ที่อาศัย “ความสนุกและความภูมิใจ” เป็นแรงขับ—ต้นทุนทางสังคมที่เงินซื้อไม่ได้

CR-PAO League CUP ฟุตบอล 7 คนที่มากกว่าเกม—แพลตฟอร์มสร้างสุขภาพและทีมเวิร์ก

ครั้นถึงพิธีเปิด “CR-PAO League CUP 2025” นายก อบจ.เชียงราย ประกาศความพร้อมของ 7 ทีมจากบุคลากรในองค์กร โดยตั้งเป้าหมายสองข้อชัดเจน: (1) สร้างสุขภาพกาย-ใจให้คนทำงาน และ (2) สร้างทีมเวิร์กเพื่อกลับไปยกระดับประสิทธิภาพงานบริการประชาชน

การแข่งขันรูปแบบ 7 คนบริหารจัดการง่าย ใช้เวลาสั้น กระตุ้นให้เกิด “กิจกรรมทางกายสม่ำเสมอ” แทรกในชีวิตประจำวันของข้าราชการและพนักงาน—ปัจจัยที่สอดรับแนวทางองค์การอนามัยโลกเรื่องการเพิ่ม “Active Minutes” รายสัปดาห์ ตลอดจนข้อแนะนำของกรมอนามัยไทยที่สื่อสารอย่างกว้างขวางในช่วงหลัง เพราะการสะสมเวลาออกกำลังกายเป็นชั่วโมงต่อสัปดาห์—even แบบสั้น ๆ หลายครั้ง—ช่วยลดความเสี่ยงเจ็บป่วยระยะยาวได้จริง

ความร่วมมือจาก SCG และ Dolphin Toilet Partition ในฐานะภาคเอกชนท้องถิ่น ชี้ให้เห็นการระดมพลังหลายภาคส่วน (multi-stakeholder) ที่เมืองสมัยใหม่ใช้ขับเคลื่อน—อบจ. สร้างเวทีและมาตรฐานความปลอดภัย เอกชนช่วยอุปกรณ์และโลจิสติกส์ สโมสร/สนามเอกชนอย่าง X-Arena เชียงราย ทำหน้าที่เป็น “ฮับกีฬา” ที่เข้าถึงง่าย สนับสนุนกิจกรรมได้ต่อเนื่องตลอดปี

ตัวเลขที่ชวนคิด—ทำไมกีฬา (จริง ๆ) ช่วยเมืองและช่วยรัฐ

  • สังคมสูงวัย = ต้องลงทุนกับ “สุขภาพป้องกัน”
    รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทยอธิบายทิศทางการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อระบบสุขภาพและงบประมาณรัฐ หากไม่เร่งสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการขยับกายของประชาชน โดยเฉพาะในระดับท้องถิ่นที่ประชาชนเข้าถึงบริการมากที่สุด 
  • เกณฑ์กิจกรรมทางกายสากลชัดเจน
    WHO กำหนดกรอบ 150–300 นาที/สัปดาห์สำหรับผู้ใหญ่/ผู้สูงอายุ พร้อมแนะนำการเสริมกำลังกล้ามเนื้อและการฝึกทรงตัวอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 วัน แนวทางนี้ถูกถ่ายทอดเป็นสื่อสารสาธารณะของกรมอนามัยไทยต่อเนื่อง—เป็น “ค่ามาตรฐาน” ที่ อบจ. และหน่วยงานท้องถิ่นนำไปออกแบบโปรแกรมได้ทันที เช่น ฟุตบอล 7 คนสัปดาห์ละ 2–3 ครั้งรวมให้ได้ 150 นาที เป็นต้น
  • กีฬามวลชนคือวาระแห่งชาติด้านคุณภาพชีวิต
    เอกสารแนวทาง/งบประมาณของการกีฬาแห่งประเทศไทยย้ำบทบาท “กีฬามวลชน” ในการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตและศักยภาพมนุษย์—สอดรับกับแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ของสภาพัฒน์ที่ผลักดันสุขภาวะและทุนมนุษย์เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์แกนหลักของประเทศ

ตัวเลขและกรอบมาตรฐานเหล่านี้ ทำให้การตัดสินใจของ อบจ.เชียงรายในวันนี้ “มีหลักฐานรองรับ” มากกว่าความเชื่อ—และพร้อมถอดบทเรียนไปยังพื้นที่อื่น

นายกฯ นก อทิตาธร เปิดการแข่งขันฟุตบอล "CR-PAO League CUP 2025" ฟาดแข้งกระชับมิตร เสริมความสามัคคีบุคลากร อบจ.เชียงราย

บริหารความเสี่ยงอย่างมืออาชีพ ความปลอดภัยของนักเตะอาวุโสต้องมาเป็นที่หนึ่ง

เมื่อผลักดันกีฬาในกลุ่มผู้สูงอายุ สิ่งที่ต้องมาคู่กันคือ มาตรการความปลอดภัย ตั้งแต่คัดกรองสุขภาพเบื้องต้น (เช่น แบบประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจ/ความดัน) ออกแบบภาระงานตามวัย (intensity/interval) ไปจนถึงการเตรียมทีมแพทย์/กู้ชีพ ณ จุดแข่ง การยืดเหยียดก่อน-หลัง การอบอุ่นและคูลดาวน์อย่างเพียงพอ ตลอดจนการจัดตารางแข่งที่ลดความร้อนและความล้าเกินจำเป็น—แนวทางที่สอดคล้องกับข้อเสนอของ WHO และคู่มือสุขภาพระดับประเทศที่เน้น “ปลอดภัย-สนุก-ต่อเนื่อง” เป็นเงื่อนไขให้เกิดพฤติกรรมซ้ำ

จากเกมลูกหนังสู่ “ทุนสังคม” และ “ทุนเศรษฐกิจท้องถิ่น”

  1. สุขภาพประชาชนดีขึ้น = ภาระโรคลดลง
    คนทำงานในองค์กรที่มีกิจกรรมทางกายสม่ำเสมอ มีแนวโน้มลาป่วยลดลง ประสิทธิภาพงานดีขึ้น ความสัมพันธ์ในทีมดีขึ้น—ผลลัพธ์นุ่ม ๆ ที่สะสมกลายเป็นความก้าวหน้าขององค์กรภาครัฐซึ่งให้บริการประชาชนโดยตรง
  2. สนาม/ลีก = ปฏิทินเศรษฐกิจชุมชน
    ทุกครั้งที่มีนัดแข่ง คือตลาดนัดขนาดย่อมของผู้ค้าอาหาร เครื่องดื่ม อุปกรณ์กีฬา ผู้ให้บริการขนส่งในชุมชน—เม็ดเงินหมุนเวียนเล็ก ๆ แต่ถี่และจริง ซึ่งหากวางปฏิทินกิจกรรมทั้งปี จะเกิด ฤดูกีฬาท้องถิ่น” ที่ช่วยเสริมแกร่งเศรษฐกิจฐานรากโดยไม่ต้องพึ่งฤดูกาลท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว
  3. สร้างต้นแบบ “เมืองกีฬา” เชื่อมโรงเรียน-ชุมชน-ท้องถิ่น
    เมื่อ อบจ. ทำสำเร็จในองค์กร ย่อมต่อยอดไปสู่เครือข่ายโรงเรียน ชุมชน และ อปท. เพื่อนบ้าน เกิดทัวร์นาเมนต์ย่อยตามช่วงวัย ทั้งเยาวชน วัยทำงาน และอาวุโส—โครงข่ายที่พาเชียงรายไปสู่ภาพของ “เมืองกีฬา” อย่างยั่งยืน โดยมีกลไก กกท. และแผนพัฒนาฯ ระดับชาติเป็นพี่เลี้ยงด้านกรอบนโยบายและงบประมาณ

เสียงจากสนามความภาคภูมิใจที่แบ่งปันได้

ระหว่างพักครึ่งทีมอาวุโสรุ่น 60+ นักเตะคนหนึ่งบอกว่า “ผมดีใจที่ยังได้ลงสนาม เพราะฟุตบอลมันทำให้รู้สึกว่าเรายังมีบทบาท” เสียงสั้น ๆ แต่ตรงใจผู้ชมข้างสนามที่เป็นลูกหลาน—นี่คือ คุณค่าทางสังคม ของกีฬา ที่ทำให้คนต่างวัย “เจอกันตรงกลาง” อย่างงดงาม

ฝ่ายจัดการแข่งขันย้ำว่า รายการ “อบจ. คัพ” รุ่นอาวุโส จะให้ความสำคัญกับ มาตรฐานสนาม อุปกรณ์ และทีมเวชกีฬา เพื่อความปลอดภัย พร้อมจัดการความร้อน ความชื้น และเวลาพักตามวัย—เกณฑ์ที่ขยับได้ตามข้อมูลสุขภาพของนักกีฬาแต่ละรุ่น

เชื่อมโยงนโยบาย บทบาท อบจ. กับการทำงานเชิงข้อมูล

ความก้าวหน้าด้านกีฬาในวันนี้ไม่ใช่เรื่องฉาบฉวย อบจ.เชียงรายสื่อสารบทบาทด้านการสนับสนุนกีฬาและกิจกรรมสาธารณะผ่านช่องทางทางการอย่างต่อเนื่อง ทั้งเว็บไซต์และเพจทางการ เพื่อเชื่อม “ข่าวกิจกรรม” เข้ากับ “การรับรู้ของสาธารณะ” ว่ากีฬาคือวาระเมือง มิใช่เพียงความสนุกเฉพาะกลุ่ม—แนวทางสื่อสารสาธารณะที่สำคัญต่อการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน

สิ่งที่เชียงรายทำวันนี้ “ถูกโจทย์” และ “ทันเวลา”

  1. ถูกโจทย์—เพราะตอบต่อสังคมสูงวัยด้วยเครื่องมือที่มีหลักฐานรองรับ (กีฬา/กิจกรรมทางกาย) และยึดเกณฑ์สากล-เกณฑ์ไทย (150 นาที/สัปดาห์ + เสริมกำลัง + ทรงตัว) เป็นแกนกลางของการออกแบบโปรแกรม
  2. ทันเวลา—เพราะวางระบบตั้งแต่คนทำงานในองค์กร (ลีก 7 คน) จนถึงผู้สูงวัย (อบจ. คัพ) เพื่อสร้างพฤติกรรมซ้ำต่อเนื่อง พร้อมต่อยอดเป็นปฏิทินกิจกรรมทั้งปี และขยายความร่วมมือกับเอกชน-สนามกีฬา-ชุมชนให้เป็น “โครงข่ายเมืองกีฬา”
  3. ต่อเติมได้—ด้วยการเชื่อมกรอบนโยบายของ กกท. และแผนพัฒนาฯ เข้ากับข้อมูลสุขภาพในพื้นที่ เพื่อวัดผลเป็นรูปธรรม: อัตราการมีกิจกรรมทางกายของประชาชน, วันลาป่วยของบุคลากร, และการมีส่วนร่วมของชุมชน—ตัวชี้วัดที่ทำให้ “กีฬามวลชน” กลายเป็น นโยบายสาธารณะที่วัดผลได้

ในท้ายที่สุด ลูกฟุตบอลลูกหนึ่งที่กลิ้งอยู่กลางสนาม X-Arena จึงมิใช่สัญลักษณ์ของการแข่งขันอย่างเดียว แต่คือ สัญลักษณ์ของการลงทุนในคน—การลงทุนที่เริ่มต้นจากเสียงนกหวีด พาไปไกลถึงคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจฐานราก และความภูมิใจร่วมของชุมชนเชียงราย

  • รายการคัดตัวแทนฟุตบอลอาวุโส อบจ. คัพ: จัดคัดตัวรุ่น 50+, 55+, 60+ ณ สนาม X-Arena เชียงราย เป้าหมายส่งทีมตัวแทนจังหวัดสู่ “ชิงแชมป์ประเทศไทย ครั้งที่ 1”
  • การแข่งขันภายใน “CR-PAO League CUP 2025”: ฟุตบอล 7 คน 7 ทีม จากผู้บริหาร สมาชิกสภา ข้าราชการ และพนักงาน อบจ.เชียงราย โดยมีภาคเอกชนในพื้นที่ร่วมสนับสนุน
  • เป้าหมายยุทธศาสตร์ ยกระดับสุขภาพคนทำงาน-ผู้สูงวัย, สร้างทีมเวิร์กองค์กร, และต่อยอดสู่ “เมืองกีฬา” โดยอาศัยกรอบกีฬามวลชนของ กกท. และเกณฑ์กิจกรรมทางกายของ WHO/กรมอนามัย
นายก อบจ.เชียงราย ให้กำลังใจทัพนักเตะอาวุโส ลุยศึก "อบจ. คัพ" ครั้งที่ 1

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย – ช่องทางข้อมูลกิจกรรม/นโยบายด้านกีฬาและชุมชน (เว็บไซต์และเพจทางการ).
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) – แนวทางกิจกรรมทางกายสำหรับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ 150–300 นาที/สัปดาห์ และคำแนะนำด้านความปลอดภัย/การเสริมกำลังและการทรงตัว.
  • กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข – ข้อแนะนำกิจกรรมทางกายสำหรับประชาชนไทย สื่อสารเป้าหมาย 150 นาที/สัปดาห์ และสาระเกี่ยวกับ Active Lifestyle.
  • การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) – เอกสารนโยบาย/งบประมาณด้านการส่งเสริมกีฬาเพื่อมวลชนและการยกระดับศักยภาพกีฬาในระดับจังหวัด/พื้นที่.
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) – รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย (แนวโน้มสัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง).
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช./NESDC) – เอกสารขยายความแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566–2570): มิติสุขภาวะ-ทุนมนุษย์และเมืองน่าอยู่.
  • X-Arena เชียงราย – สนามกีฬาเอกชนในพื้นที่ที่ทำหน้าที่เป็นฮับกิจกรรมชุมชน.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ส่งออกสินค้าเกษตรไทยไตรมาส 2 แข็งแกร่ง นำโดยตลาดสหรัฐฯ-ยุโรป

ส่งออกเกษตรไทย Q2/68 โต 4.2% แรงหนุน “US–EU” ก่อนภาษีสหรัฐฯ มีผล ขณะจีนโตช้า–ข้าวทรุดหนัก รัฐ–เอกชนถูกจี้เร่งยกระดับคุณภาพและกระจายความเสี่ยง

กรุงเทพฯ, 31 สิงหาคม 2568 — ในราคาเช้าตรู่ของปลายไตรมาส 2 รถห้องเย็นบรรทุกไก่แปรรูปและอาหารสัตว์เลี้ยงทะยานออกจากคลังสินค้าอย่างต่อเนื่อง ปลายทางคือ “ผู้บริโภคโลก” ที่ยังต้องการโปรตีนและสินค้าอุปโภคบริโภค—ภาพนี้คือฉากหน้าของสถิติส่งออกเกษตรไทยที่ “เขียวสด” ช่วงเมษายน–มิถุนายน 2568 แม้หลายตัวแปรรายตลาดยังขรุขระและบางหมวดสินค้ากลับหดแรงจนน่ากังวล

รายงานของ Krungthai COMPASS ชี้ว่า การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทยในไตรมาส 2 ปี 2568 ขยายตัว 4.2% (YoY) เร่งขึ้นจากไตรมาสแรก โดยได้แรงส่งจาก สหรัฐอเมริกา และ สหภาพยุโรป ที่นำเข้าล่วงหน้าก่อน มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ จะมีผลในเดือนสิงหาคม ขณะที่ จีน ตลาดใหญ่สุดของไทยยังโตน้อย และ อาเซียน เริ่มฟื้นจากฐานต่ำ

ตลาดหลัก โตไม่เท่ากัน—US–EU เร่งเครื่อง จีนประคองตัว อาเซียนเริ่มหายใจ

  • สหรัฐฯ (สัดส่วน ~10%) โต 18.1% YoY เป็น “แรงขับหลัก” จากดีมานด์ อาหารสัตว์เลี้ยง และ ถุงมือยางจากยางพารา ที่เร่งนำเข้าก่อนภาษีมีผล
  • สหภาพยุโรป (EU) (สัดส่วน ~8%) โต 13.3% YoY โดดเด่นด้วย ไก่สด/แปรรูป ที่ยังแข่งขันได้ด้านคุณภาพและมาตรฐาน
  • จีน (สัดส่วน ~24%) โตเพียง 2% YoY การนำเข้าเด่นไปที่ วัตถุดิบ เพื่อการผลิตสินค้าเพื่อส่งออก สะท้อนอุปสงค์ปลายน้ำที่ยังเปราะบาง
  • อาเซียน (สัดส่วน ~23%) ฟื้น 3.8% YoY โดยมี น้ำตาลทราย เป็นหัวลากสำคัญ

สัญญาณนี้แปลว่า “การเร่งซื้อก่อนภาษี” มีบทบาทจริง และตลาดที่เน้นมาตรฐาน–การตรวจสอบคุณภาพสูง (อย่าง EU) ยังเปิดโอกาสให้สินค้าไทยที่ปรับตัวทัน ส่วนจีนแม้ยังเป็นตลาดหมายเลข 1 แต่ “ความเร็วในการเติบโต” ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด

ภาพสินค้า อุตสาหกรรมเกษตรฉุดขึ้น—เกษตรดิบยังอ่อน ข้าวติดลบแรง ผลไม้ชะงัก

โครงสร้างการเติบโตสะท้อนความต่างในเชิงคุณค่า (value-add)

  • กลุ่มเกษตรดิบ (สัดส่วน ~55%): -1.2% YoY
  • กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร (สัดส่วน ~45%): +12.1% YoY

ดาวเด่นที่ฉุดรวมให้บวก

  • ไก่สด/แปรรูป: +11.2% YoY ได้แรงหนุนตลาด EU และจีน
  • น้ำตาลทราย: +22.7% YoY จากผลผลิตอ้อยที่เพิ่มขึ้น
  • มันสำปะหลัง: กลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 2 ปี +4.9% YoY ตามการนำเข้าของจีน
  • อาหารสัตว์เลี้ยง: +9.1% YoY แรงซื้อชัดในสหรัฐฯ–ยุโรป
  • ยางพารา: +4.3% YoY โดยเฉพาะ น้ำยางข้น ที่จีนเร่งนำเข้า เพิ่มกว่า 100% เพื่อผลิตถุงมือยางส่งออกไปสหรัฐฯ ก่อนมาตรการภาษีบังคับใช้

ตัวที่น่าห่วง

  • ข้าว: หดแรง -34.1% YoY โดยเฉพาะ ข้าวขาว 5% ร่วงถึง -58% เมื่อ อินเดีย กลับมาส่งออกและกดการแข่งขันด้านราคา
  • ผลไม้: โตเพียง +2.2% YoY โดย ทุเรียน ซึ่งเป็น “เรือธง” หด -6.5% จาก มาตรการตรวจคุณภาพเข้มของจีน และประเด็นการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว

เมื่อนำภาพนี้มาวางบนแผนที่โลจิสติกส์ชายแดน จะยิ่งเห็น “ความเปราะบางแบบพื้นที่” ชัดขึ้น: ทิศเหนือ–อีสาน ที่พึ่งพาด่านบกไปจีนและเพื่อนบ้าน ได้อานิสงส์จากสินค้าแปรรูป/วัตถุดิบบางตัว แต่ในช่วงที่ด่านมีข้อจำกัดหรือความตึงเครียดทางการเมือง ปริมาณเคลื่อนย้ายผลไม้สดและเกษตรดิบจะสะดุดเป็นพิเศษ

สงครามการค้า + จีนชะลอ = สองแรงกดในครึ่งหลังปี 2568–ปี 2569

Krungthai COMPASS ประเมิน “แรงกด” ที่ต้องรับมือสองด้านพร้อมกัน

  1. มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ (อัตรา 19%) ที่เริ่มมีผลในเดือนสิงหาคม มีแนวโน้มฉุดหมวดที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูง โดยเฉพาะห่วงโซ่ ยาง–น้ำยางข้น–ถุงมือยาง หลังพ้นช่วง “เร่งซื้อก่อนภาษี”
  2. เศรษฐกิจจีนชะลอตัว ทำให้ดีมานด์สินค้าบริโภคและวัตถุดิบเติบโตช้าลง พร้อมกฎระเบียบคุณภาพ–สุขอนามัยพืช (SPS) เข้มขึ้น ส่งผลโดยตรงต่อ ผลไม้ และ ข้าว

ภาพรวมปี 2568–2569 จึงมีความเสี่ยงที่ ยางพารา อาจกลับไปหดตัวต่อเนื่อง และ ข้าว อาจลดลงแรงถึง -48% ในปี 2568 หากไม่มีมาตรการเสริมความสามารถแข่งขันด้านราคา–คุณภาพ ส่วน ไก่ แม้ยังโตได้ แต่ต้องประคองมาร์จินท่ามกลางคู่แข่งอย่าง บราซิล ที่ได้เปรียบด้านต้นทุน ขณะที่ ผลไม้ไทย มีโอกาสกลับมาขยายตัวในปี 2569 หาก “ด่านคุณภาพ” ผ่านได้ราบรื่นกว่าเดิม

เชื่อมโยงเศรษฐกิจชายแดน เมื่อหน้าด่านสะดุด ผลรวมประเทศก็สั่น

แม้รายไตรมาสของเกษตรรวมจะบวก แต่เส้นเลือด “หน้าด่าน” ยังบอบบาง—โดยเฉพาะช่วงเดือนกรกฎาคมที่ภาพรวม การค้าชายแดน ลดลงหนัก เพราะการเมืองชายแดนฝั่งกัมพูชาและข้อจำกัดการเปิด–ปิดจุดผ่านแดน ขณะที่ “การค้าผ่านแดน” ไปจีนกลับยังแรงจากวัฏจักรผลไม้และอุปสงค์เฉพาะทาง จุดนี้สะท้อนว่า นโยบายด่าน และ มาตรการคุณภาพ มีน้ำหนักพอ ๆ กัน: หากหน้าด่านนิ่ง—สินค้าสดเดินทางได้เร็ว และถ้าคุณภาพ–เอกสารครบ—ตลาดปลายทางก็เปิดรับอย่างต่อเนื่อง

กลยุทธ์ “อยู่เป็น–อยู่รอด–อยู่ยั่งยืน”: 7 ข้อทำได้จริง

1) ล็อกมาตรฐานคุณภาพผลไม้–โปรตีน:
เร่งขยายระบบ Pre-clearance / Pre-inspection กับประเทศคู่ค้า และสนับสนุน ระบบตรวจย้อนกลับ (traceability) ระดับฟาร์ม–ล้ง–โรงงาน ให้เชื่อมกับแพลตฟอร์มดิจิทัลของรัฐ ช่วยให้ผลไม้และเนื้อสัตว์ผ่านด่าน SPS/TBT ได้เร็วขึ้น ลดความเสี่ยง “ถูกสุ่มตรวจ–ถูกตีกลับ”

2) ยกระดับสินค้าดิบสู่แปรรูปคุณค่าเพิ่ม:
ตั้งเป้าหมวดที่มี value-add สูง—เช่น แปรรูปยางพารา (ยางทางการแพทย์, ยางกันสั่น), มันสำปะหลัง (modified starch), และโปรตีนแปรรูป—เพื่อกันกระสุนในช่วงราคาโภคภัณฑ์ผันผวน

3) กระจายตลาดและหน้าต่างเวลา:
จัดพอร์ตส่งออกแบบ “กระจายฤดูกาล–กระจายประเทศ” ลดการกระจุกตัวในจีนช่วงผลไม้พีก และเพิ่มสัดส่วนตลาดกำลังซื้อสูงใน ตะวันออกกลาง–สหรัฐฯ–ยุโรปตะวันออก ผ่านข้อตกลงความร่วมมือด้านมาตรฐานอาหารฮาลาล–สุขอนามัยสัตว์

4) โลจิสติกส์คอขวดเป็นต้นทุนเงียบ—ต้องแก้แบบแพ็กเกจ:
ทดลอง ช่องตรวจเฉพาะกิจช่วงฤดูผลไม้, ขยายเวลาทำการด่านแบบกำหนดช่วง และพัฒนา คลังเย็น–ศูนย์รวบรวม ใกล้ด่านบก/ด่านราง ควบคู่การผลักดัน Single Window เอกสารข้ามแดน

5) คุ้มครองความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน–ราคาโภคภัณฑ์:
ผลักดันการใช้เครื่องมือ hedging อย่างจริงจังใน SMEs ผ่านสถาบันการเงินรัฐ–เอกชน และให้สิทธิประโยชน์ภาษีกับผู้ใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยงอย่างมีวินัย

6) สื่อสาร–แจ้งเตือนล่วงหน้าเรื่องภาษี/กำแพงการค้า:
ตั้ง War room การค้า ประสานหน่วยงานเศรษฐกิจและการทูตเชิงพาณิชย์ แจ้งเตือน “มาตรการใหม่–โควตา–มาตรฐานสุขอนามัย” ให้ผู้ส่งออกทราบล่วงหน้าพร้อมคู่มือปฏิบัติในรูปแบบ checklists

7) ข้าวต้อง “เกมใหม่”:
ยกเครื่องยุทธศาสตร์จาก “ปริมาณ–ราคา” เป็น “ความต่าง–คุณภาพ–เรื่องราว” เร่งพัฒนา ข้าวพรีเมียม/ข้าวสุขภาพ ปรับแพ็กจิ้ง–แบรนด์ และสร้างความร่วมมือกับห้าง–แพลตฟอร์มออนไลน์ต่างประเทศ เปลี่ยนสมรภูมิแข่งขันออกจากสงครามราคาที่อินเดีย-เวียดนามถนัด

คำเตือนจากตัวเลข จุดแข็ง–จุดอ่อนในคำเดียวกัน

  • การโตของ อุตสาหกรรมเกษตร แปลว่าผู้ประกอบการไทย “เดินมาถูกทาง” ในการเพิ่มมูลค่า
  • แต่การหดตัวของ ข้าว และการโตช้าของ ผลไม้ สื่อว่าการบ้านเรื่อง “คุณภาพ–มาตรฐาน–ต้นทุน” ยังรอการแก้เชิงระบบ
  • ดีมานด์ US–EU ที่ดีขึ้น อาจ “ผ่อนแรง” หลังภาษีสหรัฐฯ มีผล หากไม่มีการบริหารความเสี่ยง–เจรจาทางการค้าเสริม
  • จีน ยังเป็น “เสือหลับ”—หากเศรษฐกิจฟื้นและไทยแก้คอขวดคุณภาพ-โลจิสติกส์ได้ทัน ผลไม้–แปรรูปไทยยังมีพื้นที่เติบโต

สรุปย่อตัวเลขสำคัญ (ไตรมาส 2/2568)

  • ส่งออก เกษตร+อุตสาหกรรมเกษตร: +4.2% YoY
  • ตลาด: US +18.1%, EU +13.3%, จีน +2%, อาเซียน +3.8%
  • กลุ่มสินค้า: เกษตรดิบ -1.2%, อุตสาหกรรมเกษตร +12.1%
  • รายสินค้าเด่น: ไก่ +11.2%, น้ำตาล +22.7%, มันสำปะหลัง +4.9%, อาหารสัตว์เลี้ยง +9.1%, ยางพารา +4.3% (น้ำยางข้นที่จีนเร่งนำเข้า >100%)
  • รายสินค้าน่าห่วง: ข้าว -34.1% (ข้าวขาว 5% -58%), ผลไม้ +2.2%, ทุเรียน -6.5%

จาก “เร่งซื้อก่อนภาษี” สู่ “แข่งขันจริงบนมาตรฐาน”

ตัวเลขสวยในไตรมาส 2 ไม่ได้บอกว่าทางข้างหน้าจะราบรื่น—ครึ่งหลังปี 2568 คือบททดสอบจริงหลังมาตรการภาษีสหรัฐฯ มีผล และเมื่อจีนยังชะลอ ไทยจำเป็นต้อง “คุมคุณภาพให้เป๊ะ–ลดต้นทุนให้คม–เปิดตลาดให้กว้าง” ควบคู่กับการทำให้ “ด่าน” เดินได้อย่างคาดเดาได้ หากปรับตัวทัน ชุดสินค้าที่ไทยถนัด—ตั้งแต่โปรตีนแปรรูปถึงแป้งมันดัดแปร—จะยังสร้างมูลค่าเพิ่ม และผลไม้ไทยก็มีพื้นที่กลับมา “เฉิดฉาย” ในปี 2569 เมื่อมาตรฐานคือภาษาเดียวกันระหว่างเรากับโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Krungthai COMPASS (ธนาคารกรุงไทย): รายงานวิเคราะห์ “การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทย ไตรมาส 2/2568” (เผยแพร่ปลายส.ค. 2568) – ตัวเลขอัตราการเติบโตรายหมวดสินค้า/รายตลาด, สมมติฐานความเสี่ยงภาษีสหรัฐฯ, แนวโน้ม H2/2568–ปี 2569
  • กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์: ข่าวเผยแพร่/สรุปสถานการณ์ “การค้าชายแดน–การค้าผ่านแดน” เดือนกรกฎาคม 2568 และช่วง 7 เดือนแรก – ใช้ประกอบบริบทความเสี่ยงหน้าด่านและการเติบโตของการค้าผ่านแดนไปจีน
  • สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์: ชุดข้อมูลสถิติการส่งออกสินค้าเกษตร–อุตสาหกรรมเกษตร (รายตลาด/รายหมวด) เพื่อเทียบเคียงแนวโน้มไตรมาส
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ค้าชายแดนดิ่ง! แต่ส่งออกผ่านแดนฟื้นตัวแรงดันยอดรวมเกินดุลการค้า

 “เส้นเลือดหน้าด่าน” สะดุด ส่งออกชายแดนไทยหดรอบ 7 เดือน ขณะ “การค้าผ่านแดน” แรงไม่หยุด รัฐถูกจี้ปลดล็อกการเมืองชายแดน–กระจายความเสี่ยงสินค้า

กรุงเทพฯ, 29 สิงหาคม 2568 — รถบรรทุกคันยาวจอดรอคิวแน่นหน้าด่านในหลายจังหวัดชายแดน ภาพที่คุ้นตาของผู้ประกอบการท้องถิ่นกลับแฝงความกังวลมากกว่าความคึกคัก เพราะ “ยอดส่งออกชายแดน” ที่เคยเป็นเสาหลักเศรษฐกิจชุมชน กำลังอ่อนแรงสวนทางกับ “การค้าผ่านแดน” ที่ทะยานขึ้นแรง เมื่อผนวกกับความตึงเครียดทางการเมืองชายแดนที่ยังไม่นิ่ง ทำให้ครึ่งหลังปี 2568 เป็นช่วงชี้ชะตาของเศรษฐกิจชายแดนไทยโดยแท้

ข้อมูลล่าสุดที่หน่วยงานรัฐเปิดเผยสะท้อนภาพนี้อย่างชัดเจนแม้มูลค่าการค้ารวม “ชายแดน+ผ่านแดน” เดือนกรกฎาคม 2568 จะยังขยายตัว 5% แต่วงเล็บสำคัญคือ หากตัด “ผ่านแดน” ออก แล้วดูเฉพาะ “ชายแดน” จะเห็นการหดตัวแรงทั้งรายเดือนและสะสม 7 เดือน โดยมีปัจจัยชี้นำหลักจากทิศกัมพูชา ขณะที่ “ผ่านแดนสู่จีน” กลับแข็งแกร่ง ผลักโดยความต้องการสินค้าเกษตรไทย โดยเฉพาะ “ทุเรียนสด” ที่ยังครองใจผู้บริโภคแดนมังกร (ตัวเลขตามที่สื่อเศรษฐกิจอ้างจากกรมการค้าต่างประเทศดูได้ในแหล่งอ้างอิง)

โครงเรื่องของวิกฤต เมื่อ “ด่านชายแดน” สะดุด แต่ “ทางผ่านแดน” กลับเร่งเครื่อง

1) การค้าชายแดนหดตัวหนัก
เดือนกรกฎาคม 2568 มูลค่าการค้าชายแดนรวมอยู่ที่ 66,220 ล้านบาท ลดลง 20% โดยฝั่งส่งออกหดถึง 29.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ยอดสะสม 7 เดือนแรก การค้าชายแดนรวมอยู่ที่ 572,241 ล้านบาท ติดลบ 0.8% ฝั่งส่งออกติดลบ 3.5% สัญญาณที่กดดันผู้ประกอบการรายย่อยตามเมืองด่านอย่างปฏิเสธไม่ได้

ปัจจัยฉุดหลัก: ด้านกัมพูชา
รายงานเดียวกันระบุว่า ความไม่สงบและข้อพิพาทหน้าด่านทำให้ จุดผ่านแดนกัมพูชาถูกปิดถึง 18 แห่ง ส่งผลให้ มูลค่าการค้ากับกัมพูชาในเดือนกรกฎาคมร่วงเกือบ 100% เหลือราว 376 ล้านบาท หรือแทบชะงักงัน ข้อมูลนี้ชี้ว่าการเมืองชายแดนแปรเปลี่ยนเป็นต้นทุนธุรกิจโดยตรงรถบรรทุกที่เคยวิ่งเป็นพาหนะรายได้กลายเป็น “สินทรัพย์ว่างงาน” ในพริบตา

คู่ค้าอื่นก็เปราะบาง

  • มาเลเซีย: ส่งออกช่วง 7 เดือนแรก ลดลง 3.2% แม้ภาพรวมการค้ายังบวกเล็กน้อย
  • สปป.ลาว: ส่งออกช่วงเดียวกันหด 4%
  • เมียนมา: เดือนกรกฎาคมดีขึ้น แต่ยอด 7 เดือนแรก ฝั่งส่งออกแทบไม่ขยับ โตเพียง 0.1% สะท้อนการเติบโตที่เปราะบางท่ามกลางความผันผวนทางการเมืองและโลจิสติกส์ข้ามแดน

2) การค้าผ่านแดนแข็งแกร่งจีนคือตัวขับเคลื่อนสำคัญ
คนในแวดวงโลจิสติกส์พูดตรงกันว่า “ทางผ่านแดน” คือ จุดสว่างกลางพายุ เดือนกรกฎาคม 2568 การค้าผ่านแดนมีมูลค่า 99,805 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.5% ฝั่งส่งออกพุ่ง 55% ส่วนยอดสะสม 7 เดือนแรก โต 24.6% ฝั่งส่งออกโตเกือบ 30% โดยมี จีน เป็นแกนกลางมูลค่าผ่านแดนไปจีนในเดือนกรกฎาคมโต 44% ฝั่งส่งออกทะยาน 72.4% สินค้าวิ่งแรงที่สุดคือ ทุเรียนสด มูลค่า 22,949 ล้านบาท โต 135.6% ทำสถิติเด่นจนแทบกลบข่าวร้ายฝั่งชายแดนไปชั่วขณะ

เสียงจากตัวเลข อ่านเศรษฐกิจชายแดนผ่าน “ผู้คน”

เชียงราย เป็นหนึ่งในจังหวัดแนวหน้า ทั้งในบทบาท “ด่านเมียนมา–ท่าขี้เหล็ก/แม่สาย” และ “ประตูสู่จีนตอนบน” ผ่านโครงข่าย R3A–R3B ที่ต่อเชื่อมลาวและจีน จังหวะเศรษฐกิจของเมืองจึงขึ้นกับ “จราจรหน้าด่าน” อย่างยากหลีกเลี่ยง ตัวเลขที่สะท้อนการหดของ “การค้าชายแดน” จึงหมายถึงร้านอาหารที่ขายได้น้อยลง แคชโฟลว์ของผู้รับเหมาขนส่งตึงขึ้น สินเชื่อรถบรรทุกของผู้ประกอบการ SMEs ต้องยืดหยุ่นมากขึ้น และตลาดงานขนส่งที่รับแรงสั่นไหวโดยตรง

ขณะเดียวกัน การค้าผ่านแดน ที่ยังโตแรง กลับอุ้ม “ซัพพลายเชนผลไม้” ไว้ได้โดยเฉพาะฤดูกาลทุเรียนที่ยังเป็นพระเอกของปี อย่างไรก็ดี ความสำเร็จที่ผูกกับสินค้าไม่กี่ชนิดก็คือ ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง: ถ้าความต้องการจีนสะดุดจากภาวะเศรษฐกิจหรือมาตรการศุลกากรเข้มขึ้น โซ่รายได้ของชาวสวน–ล้ง–ขนส่ง–หน้าด่านจะสะดุดทั้งเส้น

ปมซ่อนเร้นในสถิติ การเมืองชายแดน–กฎระเบียบ–โครงสร้างพื้นฐาน

หนึ่ง, การเมืองชายแดนคือความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ
กรณีกัมพูชาที่ปิดจุดผ่านแดนจำนวนมากทำให้เห็นชัดว่า “ความมั่นคง” และ “การค้า” พันผูกกันแนบแน่นเพียงใด การลดทอนความตึงเครียด การสร้างกลไกเจรจาระดับพื้นที่ และการยกระดับศูนย์ประสานงานชายแดนให้แก้ปัญหาเชิงรุก จึงเป็น นโยบายเร่งด่วน ไม่ใช่ทางเลือก

สอง, กฎระเบียบหน้าด่านและมาตรฐานเอกสาร
ผู้ประกอบการร้องขอ “ความแน่นอน” มากกว่าทุกสิ่ง ทั้งเรื่องเวลาทำการด่าน มาตรฐานตรวจสอบสินค้า และช่องทางด่วนสำหรับสินค้าสด หากกฎระเบียบ คาดเดาไม่ได้ ต้นทุน “เวลารอ” จะลามเป็นต้นทุนสินค้าทั้งห่วงโซ่โดยทันที

สาม, โครงสร้างพื้นฐานเชื่อมต่อ
แม้ทางผ่านแดนไปจีนจะเติบโต แต่การเชื่อมต่อระหว่างด่าน–จุดพัก–คลังสินค้า–รางรถไฟ ยังเป็นโจทย์ที่ต้องอุดช่องโหว่ โดยเฉพาะจุดคอขวดที่ทำให้การเคลื่อนย้ายผลไม้สดต้องแข่งกับ “นาฬิกาความสด” ทุกนาทีที่เสียไปคือมูลค่าที่หายไป

พลิกเกมอย่างไร ข้อเสนอเชิงนโยบายที่ “ทำได้เลย” และ “ต้องทำต่อเนื่อง”

เร่งด่วน (0–3 เดือน)

  • เจรจาคลี่คลายจุดเสี่ยงกัมพูชา ตั้ง “โต๊ะทำงานร่วม” ระดับผู้ว่าฯ–ผู้ว่าฯ/ฝ่ายความมั่นคง และ ช่องทางสื่อสารฉุกเฉิน ระหว่างด่านคู่ขนานทุกคู่ เพื่อเปิด–ปิดด่านอย่างมีแผน ลดช็อกซัพพลาย (ตัวเลขเดือน ก.ค. ชี้ความเสียหายชัดเจน)
  • ยืดหยุ่นกฎหน้าด่านช่วงฤดูกาลผลไม้ ขยายเวลาทำการเป็นกรณี/เพิ่มช่องตรวจเฉพาะกิจ ลดเวลารอของตู้คอนเทนเนอร์เย็น
  • บรรเทาภาระต้นทุน SMEs ชายแดน ใช้เครื่องมือการเงินระยะสั้น (working capital/พักหนี้ที่ตรงจุด) ผูกกับหลักฐานคำสั่งซื้อจริง ลดการตัดตอนห่วงโซ่

ระยะกลาง (3–12 เดือน)

  • ยกระดับมาตรฐาน “ด่านบริการ” (Single Stop/Single Window) สำหรับสินค้าสด โดยทดสอบในด่านหลัก เช่น แม่สาย–เชียงของ–หนองคาย แล้วขยายผล
  • กระจายพอร์ตสินค้า ดัน “ผลไม้รอง/เกษตรแปรรูป–ของใช้จำเป็น–สินค้าเขียว” ไปตลาดจีนและ CLM ผ่านแพลตฟอร์มเจาะกลุ่ม (เช่น โอทอป–ฮาลาล–เวชสำอาง) ลดความเสี่ยงจาก “ทุเรียนตัวเดียว”
  • เชื่อมราง–ถนน–คลัง เร่งโครงการ “คลังเย็นใกล้ด่าน/ศูนย์รวบรวมผลไม้” และจุดเปลี่ยนถ่ายสู่ราง เพื่อให้สินค้าสดไปได้ไกล–เร็ว–คงคุณภาพ

ระยะยาว (มากกว่า 1 ปี)

  • ออกแบบความร่วมมือชายแดนแบบ “เศรษฐกิจเพื่อชุมชน” ให้รายได้จากหน้าด่านไหลย้อนกลับสู่พื้นที่ (กองทุนพัฒนาท้องถิ่น–ท่องเที่ยวเชิงโลจิสติกส์)
  • ยกเครื่องข้อมูลด่านแบบเรียลไทม์ เปิดแดชบอร์ดสาธารณะเรื่องปริมาณรถ–เวลารอ–สถานะด่าน เพื่อให้ผู้ประกอบการวางแผนและลดต้นทุนแบบเชิงระบบ

 

ด่านปิดวันเดียว เท่ากับเราขาดรายได้ทั้งสัปดาห์” ประโยคเรียบง่ายที่ผู้ประกอบการขนส่งรายหนึ่งเอ่ยกับผู้สื่อข่าวในภาคเหนือ สะท้อนความจริงที่ตัวเลขทางการยืนยัน—เดือนกรกฎาคมเดียว การค้ากับกัมพูชาดิ่งเกือบ 100% เหลือเพียง 376 ล้านบาท จากปกติที่คึกคักกว่านั้นหลายเท่า เมื่อรถไม่วิ่ง ร้านอะไหล่–ปั๊มน้ำมัน–ร้านข้าวตามสั่งในเมืองด่านก็ซบเซาตามกันไปเป็นลูกโซ่

ในอีกภาพหนึ่ง รถห้องเย็นเรียงยาวตามเส้นทางผ่านลาวไปจีน ผลผลิตทุเรียนจากตะวันออก–ใต้ไหลรวมขึ้นเหนือแข่งกับเวลา ฤดูกาลนี้ “ผลไม้ไทย” ยังทำคะแนนในตลาดจีนได้ดีจนยอดผ่านแดนพุ่ง ตัวเลขบอกชัด—ทุเรียนสดเพียงชนิดเดียวมีมูลค่าเกือบ 2.3 หมื่นล้านบาท ในเดือนเดียว โต สามหลัก แต่คำถามสำคัญคือ พึ่ง “พระเอก” ได้นานแค่ไหน หากวันหนึ่งรสนิยมผู้บริโภคเปลี่ยน หรือระเบียบสุขอนามัยปลายทางเข้มขึ้น

ถอดบทเรียนให้เชียงรายและจังหวัดชายแดน

สำหรับ เชียงราย เมืองยุทธศาสตร์ที่เชื่อมเมียนมา–ลาว–จีน การหดตัวของ “การค้าชายแดน” และความไม่แน่นอนที่ด่าน ไม่ใช่แค่ข่าวเศรษฐกิจ แต่คือความเป็นอยู่ของผู้คน—ตั้งแต่ชาวสวน–แรงงานขนถ่าย–คนขับรถ ไปจนถึงผู้ค้าในตลาดชายแดน ฝั่งหนึ่ง จังหวัดควรเร่งบทบาท “แม่งานประสานด่าน” สร้าง ศูนย์บัญชาการข้อมูล รวบรวมสถานะด่าน–คิวรถ–แนวโน้มสินค้าสด ให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแบบเรียลไทม์ อีกฝั่งหนึ่ง ภาคเอกชนควรรวมกลุ่มต่อรองบริการโลจิสติกส์ (เช่น ค่าตู้เย็น/ค่ารอคิว) เพื่อลดต้นทุนเฉลี่ย และร่วมมือกับสถาบันการเงินในพื้นที่ออกแบบเงินทุนหมุนเวียนที่ ผูกกับข้อมูลการขนส่งจริง แทนการประเมินความเสี่ยงแบบเหมารวม

เปลี่ยน “จุดเสี่ยงชายแดน” เป็น “จุดแข็งภูมิภาค”

ตัวเลขกรกฎาคม–สะสม 7 เดือนแรกปี 2568 ให้ภาพสองด้าน—ด้านมืดคือการส่งออกชายแดนที่หดแรงโดยเฉพาะทิศกัมพูชา ด้านสว่างคือการค้าผ่านแดนที่ทะยานสู่จีนหนุนด้วยทุเรียนสด หากมองเชิงระบบ นี่ไม่ใช่ภาพที่ขัดแย้ง แต่เป็นสัญญาณเตือนให้ไทย จัดการความเสี่ยงชายแดน และ ยกระดับโครงสร้างผ่านแดน พร้อมกัน

โจทย์ของรัฐจึงไม่ใช่เพียง “อัดมาตรการระยะสั้น” แต่คือการ ทำให้ด่านคาดการณ์ได้–กฎระเบียบโปร่งใส–โลจิสติกส์ไร้คอขวด และที่สำคัญที่สุดคือ กระจายพอร์ตสินค้า ให้เศรษฐกิจหน้าด่านไม่ต้องฝากอนาคตไว้กับสินค้าไม่กี่ชนิดหรือความสัมพันธ์การเมืองชายแดนที่ผันผวน การทำให้ “ชายแดนไทย” เป็นทั้ง ประตูการค้า และ กันชนความเสี่ยง จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะพาเศรษฐกิจท้องถิ่น—ตั้งแต่เชียงรายถึงเบตง—ก้าวผ่านความไม่แน่นอนในช่วงเวลาที่โลกเปลี่ยนเร็วที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์

ตัวเลขสำคัญ

  • การค้ารวม “ชายแดน+ผ่านแดน” ก.ค. 2568: 166,025 ล้านบาท (+5% YoY)
  • การค้าชายแดน ก.ค. 2568: 66,220 ล้านบาท (-20% YoY) / ส่งออก -29.5% | สะสม 7 เดือน: 572,241 ล้านบาท (-0.8%), ส่งออก -3.5%
  • กัมพูชา: ปิดจุดผ่านแดน 18 แห่ง / มูลค่าก.ค. เหลือราว 376 ล้านบาท (เกือบ -100%)
  • การค้าผ่านแดน ก.ค. 2568: 99,805 ล้านบาท (+32.5%) / ส่งออก +55% | สะสม 7 เดือน: +24.6%, ส่งออกเกือบ +30%
  • จีน (ผ่านแดน): ก.ค. 2568 การค้ารวม +44% / ส่งออก +72.4% | ทุเรียนสด ก.ค. 22,949 ล้านบาท (+135.6%)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมการค้าต่างประเทศ (กระทรวงพาณิชย์)
  • ชายแดน–ผ่านแดน’ ก.ค. 68 / กัมพูชาดิ่ง ทุเรียนสดพาจีนพุ่ง” (เผยแพร่ 26 ส.ค. 2568).
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ป.ป.ช.ชี้ 3 จุดเสี่ยงทุจริตงานประเพณีท้องถิ่น ดันมหาดไทยแก้ระบบสู่ความโปร่งใส

ป.ป.ช. “จี้จุดเสี่ยง” งานประเพณีท้องถิ่น ชี้ช่องโหว่ทุจริต 3 แกนหลัก—ดันชุดมาตรการเชิงระบบ มหาดไทยถูกระบุบทบาท “แม่งาน” ขับเคลื่อนสู่ความโปร่งใสเพื่อประชาชน

เชียงราย, 28 สิงหาคม 2568 — ในรอบหลายปีที่ผ่านมา งานประเพณีและเทศกาลท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ถูกจับตามองว่าเป็น “จุดเปราะบาง” ของวินัยการเงินการคลัง—ตั้งแต่การจัดซื้อจัดจ้างแบบยกเว้นแข่งขัน ไปจนถึงการปล่อยให้เอกชนผูกขาดรายได้ในพื้นที่จัดงาน และการใช้ที่ดินสาธารณะโดยขาดการอนุญาตที่ถูกต้อง ผลคือรัฐเสียโอกาสจัดเก็บรายได้ ประชาชนและผู้ค้าท้องถิ่นเผชิญต้นทุนสูงขึ้น ความศรัทธาต่อภาครัฐถูกกัดกร่อน

บนฉากทัศน์ดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จึงจัดทำ “ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตในการจัดงานของ อปท.—กรณีศึกษา: การจัดงานประเพณี” เสนอไปยังฝ่ายนโยบาย โดยระบุความเสี่ยงหลัก 3 ประเด็น พร้อมมาตรการเชิงระบบ เทคโนโลยี และธรรมาภิบาลให้หน่วยงานกลาง โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย (มท.) ถือธงบูรณาการร่วมกระทรวงการคลังและคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ก.ก.ถ.) เพื่อยกระดับความโปร่งใสทั้งกระบวนการ ตั้งแต่ก่อน-ระหว่าง-หลังการจัดงานประเพณีในพื้นที่ทั่วประเทศ

ป.ป.ช. เปิด 3 ช่องโหว่—ชี้ทิศแก้เกม “จัดงานประเพณี” ให้คล่องและโปร่งใส

หนึ่ง—การจัดซื้อจัดจ้างโดยมิชอบ: ป.ป.ช. ระบุว่าในทางปฏิบัติ หลายพื้นที่หลีกเลี่ยงการแข่งขันราคา ใช้วิธีคัดเลือก/วิธีพิเศษบ่อยครั้ง ขณะที่ขอบเขตงาน (TOR) ไม่ชัดเจนพอ ทำให้ดุลพินิจ “ลื่นไหล” และเสี่ยงเอื้อผู้รับจ้างหน้าเดิม ป.ป.ช. เสนอให้ยึดกฎหมายจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ พ.ศ. 2560 และมาตรฐาน TOR ตามหนังสือ กค (กวจ) 0405/ว 159 ที่ระบุสาระจำเป็นของ TOR ตั้งแต่ความเป็นมา วัตถุประสงค์ คุณสมบัติผู้ยื่นข้อเสนอ ไปจนถึงคุณลักษณะเฉพาะของงาน เพื่อให้ตัดสินได้บนหลักเกณฑ์วัดผล ไม่ใช่ความเห็นส่วนบุคคล

สอง—การจัดการรายได้งานประเพณีรั่วไหล เมื่อมอบสิทธิแก่เอกชนบริหารพื้นที่—ค่าที่จอดรถ ค่าเช่าแผงค้า ค่าบริการสุขา ฯลฯ—พบรูปแบบให้เอกชนผูกขาดเก็บรายได้เอง ขณะที่ อปท. ไม่ได้กำกับอัตราค่าธรรมเนียมอย่างเป็นธรรม ส่งผลให้รายได้รัฐหดหาย ผู้ค้าท้องถิ่นเสียเปรียบ ป.ป.ช. แนะให้ อปท. เปิดเผยโครงสร้างรายได้-รายจ่าย ข้อสัญญา และผลการดำเนินงานบนเว็บไซต์/ป้ายประกาศ เพื่อให้ชุมชนร่วมตรวจสอบได้ และให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจัดแนวทางตรวจสอบภายในประจำปีสำหรับกิจกรรมที่มีรายได้เกิดขึ้นโดยตรงจากประชาชน

สาม—การใช้ที่ดินสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต: ป.ป.ช. ชี้ว่า การใช้อุทยาน สวนสาธารณะ หรือที่ราชพัสดุจัดงานโดยไม่ผ่านการอนุญาตที่ถูกต้อง ทำให้รัฐเสียสิทธิและอาจเกิดข้อพิพาทกับหน่วยงานผู้ดูแล พ่วงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม จึงเสนอให้ อปท. ทำแผนที่ สอบเขตผู้ครอบครองสิทธิ และขออนุญาตล่วงหน้าตามขั้นตอน เพื่อปิดช่องว่างและสร้างความชัดเจนต่อสาธารณะ

กรอบกฎหมายและคู่มือปฏิบัติ “โครง” มีแล้ว—ต้อง “ยึด” ให้เป็นวินัยเดียวกัน

ในทางกรอบ ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการจัดงาน การจัดกิจกรรมสาธารณะ การส่งเสริมกีฬา และการแข่งขันกีฬาของ อปท. พ.ศ. 2564 วางหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายและการเบิกจ่ายไว้อย่างครอบคลุม—ตั้งแต่วิธีอนุมัติ การวางแผนงบประมาณ ไปจนถึงหลักฐานการจ่ายเงินและการตรวจรับงาน หากบังคับใช้อย่างเคร่งครัด จะช่วยให้การจัดงานประเพณีเป็น “บริการสาธารณะ” ที่ตั้งอยู่บนการใช้เงินแผ่นดินอย่างคุ้มค่าและตรวจสอบได้ (มีเอกสารเผยแพร่มาตรฐานโดยหน่วยงานท้องถิ่นและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเพื่อใช้เป็นคู่มือ)

ขณะเดียวกัน หนังสือด่วนที่สุดของกรมบัญชีกลาง กค (กวจ) 0405/ว 159 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2566 กำหนดสาระสำคัญ TOR ที่หน่วยงานต้องจัดทำให้ครบถ้วน—เป็น “เช็กลิสต์” ที่ลดดุลพินิจส่วนบุคคล และยกระดับคุณภาพการเทียบข้อเสนอ โดยเฉพาะงานขนาดใหญ่ที่มีรายได้แฝงจากกิจกรรมพาณิชย์ (ค่าแผง ค่าโฆษณา ฯลฯ) การใช้ TOR ตามแบบแนะนำจึงเป็นหัวใจสำคัญของการทำสัญญาที่เที่ยงธรรมและโต้แย้งได้ด้วยข้อมูล

กลไกความโปร่งใส เปิดข้อมูล–เปิดเวทีชุมชน–เปิดประตูตรวจสอบ

ข้อเสนอของ ป.ป.ช. เน้น “เปิดข้อมูลเชิงรุก” เป็นมาตรการแกน—เผยแพร่ประกาศเชิญชวน ร่าง TOR แบบร่างสัญญา ราคากลาง รายงานผลการคัดเลือก แผนผังพื้นที่จัดงาน ปฏิทินงาน รายได้–รายจ่าย และเอกสารเบิกจ่ายที่เกี่ยวข้อง—ซึ่งสอดรับกับชุดตัวชี้วัด ITA (Integrity and Transparency Assessment) ที่ ป.ป.ช. ใช้ประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสหน่วยงานรัฐทั่วประเทศทุกปี การยกระดับคะแนน ITA จึงไม่ใช่ “แค่คะแนน” แต่สะท้อนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐที่จับต้องได้ผ่านข้อมูลสาธารณะจริง ๆ

อีกด้าน ป.ป.ช. ผลักหลักคิด STRONG–จิตพอเพียงต้านทุจริต ให้ชุมชนร่วมเป็น “ผู้กำกับดูแล” ในพื้นที่ของตน ผ่านเครือข่ายภาคประชาสังคม โรงเรียน ชมรมผู้ค้า และอาสาสมัคร ให้ช่วยสอดส่องและแจ้งเบาะแสเมื่อพบเห็นความผิดปกติในขั้นตอนจัดงาน—จากเวทีรับฟังเสียงชาวบ้านถึงข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพื่อทำให้ “วัฒนธรรมไม่ทนต่อการทุจริต” เป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวัน

มหาดไทย–การคลัง–ก.ก.ถ. บทบาท “สามเสาหลัก” ที่ต้องเดินไปด้วยกัน

แกนปฏิบัติการที่ ป.ป.ช. เสนอ คือให้ กระทรวงมหาดไทย ทำหน้าที่กำกับ–สั่งการ อปท. ให้ยึดกฎหมาย/ระเบียบและแนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน, ให้ กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ชี้แนวทาง TOR/ราคากลาง/สัญญา—และอบรมเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นอย่างเป็นระบบ, ส่วน สำนักงาน ก.ก.ถ. ทำหน้าที่ปรับโครงสร้าง–ข้อกำหนดที่เกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้หน่วยปฏิบัติสามารถทำงานได้คล่องโดยไม่หลุดกรอบธรรมาภิบาล ทั้งหมดถูกออกแบบให้เชื่อมกับการประเมิน ITA เพื่อเป็น “ตัวชี้วัดผล” ที่เปิดเผยต่อสาธารณะในแต่ละปีงบประมาณ

ตัวเลขที่ชวนคิด เมื่อ “ต้นทุนแฝง” กลายเป็นภาระประชาชน

ประสบการณ์หลายพื้นที่สะท้อนรูปแบบคล้ายกัน—เมื่อเอกชนผูกขาดพื้นที่และตั้งอัตราค่าธรรมเนียมสูง ผู้ค้าท้องถิ่นต้องชำระค่าแผงแพงกว่าคู่แข่งที่มากับผู้จัดงาน รายได้ส่วนหนึ่งไม่ไหลเข้าท้องถิ่น ขณะที่ค่าใช้จ่ายของประชาชนเพิ่มขึ้น (ค่าจอดรถ/เข้าห้องน้ำ/บริการสาธารณะ) ข้อเสนอ “เปิดข้อมูลรายได้–รายจ่ายทุกงาน” และ “กำหนดเพดานค่าธรรมเนียมเป็นธรรม” จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้คนในชุมชนมองเห็นเส้นทางเงินของงานประเพณี—ว่ากลับมาเป็นสวัสดิการสาธารณะมากน้อยเพียงใด ไม่ใช่เพียง “ภาพจำสวยงาม” ของงานรื่นเริงเท่านั้น

เชียงรายในภาพใหญ่ จากเทศกาลท้องถิ่น สู่บททดสอบธรรมาภิบาลระดับพื้นที่

เชียงรายเป็นจังหวัดที่งานประเพณี–เทศกาลคือ “แรงขับเศรษฐกิจชุมชน” ตั้งแต่เทศกาลท้องถิ่น งานวัฒนธรรมไปจนถึงกิจกรรมสร้างสรรค์ใหม่ ๆ สิ่งที่ ป.ป.ช. เสนอจึงไม่ใช่ “ภาระ” ของผู้ปฏิบัติ หากเป็น “เข็มทิศ” ให้ผู้ว่าฯ อปท. และท้องที่–ท้องถิ่น จัดวาระร่วมกัน

  1. แผนล่วงหน้า—กำหนดพื้นที่จัดงาน ตรวจสอบสิทธิการใช้ที่ดิน ทำหนังสือขออนุญาตจากหน่วยงานเจ้าของกรรมสิทธิ์ให้ครบถ้วน
  2. จัดซื้อจัดจ้างโปร่งใส—ประกาศ TOR ตามคู่มือ กค (กวจ) 0405/ว 159, ใช้วิธีแข่งขันเท่าที่ทำได้, เปิดข้อมูลสัญญาและผลพิจารณา
  3. จัดเก็บรายได้เป็นธรรม—กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมที่ “เป็นมิตรต่อผู้ค้า–ประชาชนท้องถิ่น” มีโควตาพื้นที่ให้ผู้ค้าชุมชน และเปิดเผยรายได้–รายจ่ายหลังปิดงาน
  4. เวทีตรวจสอบสาธารณะ—ตั้งคณะทำงานร่วมภาคประชาชน–สื่อ–สภาเด็กและเยาวชน ทำบทเรียนหลังงาน (after action review) และรายงานผลบนเว็บไซต์ อปท.

จาก “เอกสาร” สู่ “พฤติกรรมองค์กร” เมื่อตัวชี้วัดต้องแปลเป็นภาคปฏิบัติ

ความท้าทายไม่ได้อยู่ที่การมีระเบียบ–คู่มือ หากอยู่ที่ วินัยของผู้ปฏิบัติ และ แรงจูงใจขององค์กร การหนุนใช้ ITA เป็น “กระจกเงา” ให้หน่วยงาน—ควบคู่การสื่อสารความเสี่ยง (risk communication) และการฝึกอบรมแบบลงมือทำ—เป็นกุญแจให้คะแนนโปร่งใส “ไม่ใช่แค่คะแนน” แต่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมที่ประชาชนสัมผัสได้ เช่น เห็น TOR ล่วงหน้าจริง เห็นราคากลาง เห็นสัญญา เห็นรายรับ–รายจ่ายหลังจบงานทุกงาน และสามารถถาม–ทัก–ตรวจได้ตลอดเวลา

เส้นทางคลี่คลายปม แผนเดินหน้าที่ “ทำได้ทันที”

  • ยึดกฎหมาย–ระเบียบเป็นฐาน: ใช้ระเบียบ มท. 2564 เป็น “คัมภีร์การเงินงานประเพณี” และ TOR ตาม ว 159 เป็น “แบบมาตรฐาน” ลดความเสี่ยงดุลพินิจส่วนบุคคล
  • เปิดข้อมูลเชิงรุก: ตั้งหน้าเว็บ “ศูนย์ข้อมูลงานประเพณี” ของแต่ละ อปท.—รวมปฏิทินงาน แผนที่พื้นที่ TOR ราคากลาง แบบร่างสัญญา ผลคัดเลือก รายได้–รายจ่าย และบทเรียนหลังงาน
  • ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง: กำหนดเพดานค่าธรรมเนียมแผง–จอดรถ–ห้องน้ำที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อคนในพื้นที่ สัดส่วนพื้นที่ค้าชุมชนต้องชัด
  • สร้างเครือข่าย STRONG: ผนึกโรงเรียน กลุ่มสตรี ผู้สูงอายุ สภาเด็ก–เยาวชน และสื่อท้องถิ่น ร่วมสอดส่องทุกขั้นตอน—จากเวทีรับฟังจนถึงวันปิดงาน

ทำให้งานประเพณี “คืนประโยชน์สาธารณะ” อย่างแท้จริง

ข้อเสนอของ ป.ป.ช. ทำให้ “งานประเพณี” ซึ่งเคยถูกมองเป็นเพียงกิจกรรมรื่นเริง กลับมามีนิยามสาธารณะครบมิติ—วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และธรรมาภิบาล เมื่อโครงกฎหมาย–คู่มือพร้อม ข้อมูลเปิด และประชาชนร่วมกำกับดูแล เม็ดเงินที่เคยรั่วไหลย่อมกลับมาเป็นงบสาธารณะสำหรับพื้นที่ ขวัญกำลังใจผู้ค้า–ชุมชนดีขึ้น ผู้เสียภาษีเห็นภาพชัดว่าเงินที่จ่ายไป “เวียนกลับมา” ในรูปบริการและโครงสร้างพื้นฐานอย่างไร

สำหรับเชียงราย—เมืองที่วัฒนธรรมคือทุน ชุมชนคือหัวใจ—การยกระดับมาตรฐานการจัดงานประเพณีตามแนวทางนี้ ไม่เพียงสร้างความเชื่อมั่นต่อรัฐและผู้จัดงาน หากยังเป็น “แบบฝึกหัดธรรมาภิบาล” รายปี ที่ทำให้ท้องถิ่นแข็งแรง โปร่งใส และยั่งยืนกว่าที่เคย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงาน ป.ป.ช. – “ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตในการจัดงานของ อปท. (กรณีจัดงานประเพณี)” (เผยแพร่ก.ค. 2568) และบทความอธิบายแนวคิด–มาตรการ (ก.ค. 2568). เอกสารอ้างอิงข้อเท็จจริงเรื่องความเสี่ยง 3 ประเด็นและแนวทางปฏิบัติที่เสนอฝ่ายนโยบาย
  • สำนักงาน ป.ป.ช. – หมวด “มาตรการป้องกันการทุจริต ปีงบประมาณ 2568” ซึ่งแสดงสถานะการพิจารณาของข้อเสนอที่ส่งต่อฝ่ายนโยบาย
  • กรมบัญชีกลาง – หนังสือด่วนที่สุด กค (กวจ) 0405/ว 159 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2566 เรื่องแนวทางจัดทำ TOR และสาระสำคัญที่ต้องมี สร้างมาตรฐานการพิจารณาและลดดุลพินิจ.
  • ระเบียบกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2564 ว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการจัดงาน/กิจกรรมสาธารณะ/กีฬา ของ อปท. แนวทางต้นแบบสำหรับวินัยการเงินการคลังของท้องถิ่น (มีเอกสารเผยแพร่ใช้อ้างอิงโดยหน่วยงานท้องถิ่น)
  • โครงการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส (ITA) โดยสำนักงาน ป.ป.ช.—กรอบคิด ตัวชี้วัด และการประกาศผลการประเมินหน่วยงานรัฐ ซึ่งใช้เป็น “กระจก” สะท้อนความก้าวหน้าด้านความโปร่งใส
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News