Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

ป.ป.ส. ยกระดับเชียงรายเป็น “สมรภูมิยาเสพติดข้ามชาติ” บินรับตัว “บิ๊กบอส” ค่าหัว 2.5 ล้าน

ป.ป.ส. ยกระดับเชียงรายเป็น “สมรภูมิยาเสพติดข้ามชาติ” บินรับตัว “บิ๊กบอส” ค่าหัว 2.5 ล้านบาท แฉเครือข่ายโยง 100 ล้านบาท!

เชียงราย, 16 กรกฎาคม 2568 – ในปฏิบัติการครั้งสำคัญที่สะท้อนถึงการยกระดับความร่วมมือในการปราบปรามยาเสพติดระหว่างประเทศไทยและเมียนมา พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมด้วยคณะทำงานระดับสูง ได้นำกำลังชุดปฏิบัติการพิเศษอินทรีย์ 19 เดินทางไปยังสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 (แม่สาย-ท่าขี้เหล็ก) เพื่อรับมอบตัว นายเตชินท์  และ นายฉมัง  สองนักค้ายาเสพติดข้ามชาติระดับผู้สั่งการ ที่มีหมายจับและเป็นเป้าหมายสำคัญของสำนักงาน ป.ป.ส. พร้อมเงินรางวัลนำจับรวม 2.5 ล้านบาท หลังหลบหนีไปกบดานในจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา

การส่งมอบตัวผู้ต้องหาในครั้งนี้ ถือเป็นความสำเร็จอันเป็นรูปธรรมของความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วยงานปราบปรามยาเสพติดของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำนักงานคณะกรรมการเพื่อการควบคุมยาเสพติด (Central Committee for Drug Abuse Control: CCDAC) สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา นำโดย Police Brigadier General Thant Lwin Maung, Joint Secretary of CCDAC และ Commander of Drug Enforcement Division ที่ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการสืบสวนพิสูจน์ทราบที่พักอาศัยของผู้ต้องหาจนนำไปสู่การจับกุมตัว

เจาะลึกเครือข่าย “เตชินท์-ฉมัง” บงการข้ามชาติ ยึดทรัพย์ 100 ล้าน

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. เปิดเผยว่า นายเตชินท์ และ นายฉมัง เป็นนักค้ายาเสพติดข้ามชาติรายสำคัญที่มีพฤติการณ์อยู่ในระดับผู้สั่งการและจัดหายาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยใช้เครือข่ายผู้ลำเลียงชาวไทยลักลอบนำยาเสพติดเข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศ

จากการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน เจ้าหน้าที่พบว่าเครือข่ายของนายเตชินท์ฯ มีความเชื่อมโยงกับคดีสำคัญหลายคดี:

  • 22 ตุลาคม 2567: จับกุมผู้ต้องหา 3 คน พร้อมของกลางเฮโรอีน 54 กิโลกรัม ซุกซ่อนใต้เบาะรถตู้ ขยายผลพบว่า นายเตชินท์ฯ เป็นผู้สั่งการ และมีนายฉมังฯ กับ นายพรรคภูมิฯ ร่วมขบวนการ
  • 15 กุมภาพันธ์ 2568: ป.ป.ส. ร่วมกับหน่วยงานภาคี จับกุมผู้ต้องหา 3 คน พร้อมของกลางไอซ์ 50 กิโลกรัม และมีการออกหมายจับ 5 คน ซึ่งรวมถึงนายเตชินท์ฯ
  • 5 มีนาคม 2568: ภายใต้ ปฏิบัติการตัดไฟแต่ต้นลม ครั้งที่ 3″ ป.ป.ส. ร่วมกับหน่วยงานภาคี ปิดล้อมตรวจค้น 10 จุด ใน 6 จังหวัด (เชียงราย, เชียงใหม่, สุพรรณบุรี, อ่างทอง, สุโขทัย, พระนครศรีอยุธยา) เพื่อติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 3 คน (นายเตชินท์ฯ, นายฉมังฯ, นายพรรคภูมิฯ) ผลปฏิบัติการสามารถจับกุมนายพรรคภูมิฯ และยึดทรัพย์สินมูลค่ากว่า 80 ล้านบาท อาทิ ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง, รถยนต์, ทองรูปพรรณ, เงินในบัญชีธนาคาร ฯลฯ

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงเดือนตุลาคม 2567 ถึงมิถุนายน 2568 มีการจับกุมยาเสพติดเครือข่ายนายเตชินท์ฯ รวม 4 คดี ของกลางรวมยาไอซ์ 609 กิโลกรัม, เฮโรอีน 154 กิโลกรัม, ยาบ้า 1.3 ล้านเม็ด และมีการขยายผลออกหมายจับผู้ต้องหา 8 คน (จับกุมแล้ว 3 คน) เตรียมออกหมายจับเพิ่มเติมอีก 3 คน ยึดทรัพย์สินเครือข่ายรวมมูลค่าสูงถึง 100 ล้านบาท

แม้จะถูกออกหมายจับ นายเตชินท์ฯ และนายฉมังฯ ยังคงมีพฤติการณ์สั่งการและจัดหายาเสพติดให้บุคคลในเครือข่ายลักลอบลำเลียงเข้าสู่พื้นที่ตอนในอย่างต่อเนื่อง ทำให้สำนักงาน ป.ป.ส. กำหนดให้บุคคลทั้งสองเป็นเป้าหมายในโครงการประกาศสืบจับผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญประจำปีงบประมาณ 2568 โดยมีเงินรางวัลนำจับรวม 2.5 ล้านบาท

การจับกุมตัวทั้งสองในครั้งนี้ เกิดขึ้นจากข้อมูลเบาะแสที่สำนักปราบปรามยาเสพติด ป.ป.ส. ได้รับเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 และประสานข้อมูลผ่านอัครราชทูตที่ปรึกษาสำนักงาน ป.ป.ส. ณ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ไปยัง CCDAC เพื่อช่วยสืบสวนพิสูจน์ทราบที่พักอาศัย จนนำไปสู่การเข้าตรวจค้นและจับกุมตัวได้ในที่สุด

ภายหลังจากนี้ สำนักงาน ป.ป.ส. จะร่วมกับหน่วยงานภาคี ดำเนินการสืบสวนขยายผลเพื่อดำเนินการต่อทรัพย์สินของบุคคลในเครือข่ายเพิ่มเติมต่อไป

สถานการณ์ยาเสพติดข้ามแดนที่ด่านศุลกากรแม่สาย (ปี 2567-2568)

ด่านศุลกากรแม่สาย จังหวัดเชียงราย ยังคงเป็นจุดผ่านแดนทางบกที่สำคัญยิ่งในการค้ายาเสพติดข้ามชาติในภูมิภาคสามเหลี่ยมทองคำ แม้จะมีการยกระดับความร่วมมือระหว่างไทยและเมียนมาอย่างต่อเนื่อง

  1. บริบทชายแดนไทย-เมียนมา และสามเหลี่ยมทองคำ อำเภอแม่สายเป็นประตูสู่การค้าที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย รวมถึงการค้ายาเสพติด รายงานล่าสุดจากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ชี้ว่าการผลิตยาเสพติดสังเคราะห์ โดยเฉพาะยาบ้า เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในรัฐฉานของเมียนมาตั้งแต่ปี 2564 ปริมาณยาเสพติดที่เพิ่มขึ้นนี้มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับสถานการณ์ความไม่มั่นคงและสงครามกลางเมืองภายในเมียนมา ซึ่งเป็นปัจจัยผลักดันการค้ายาเสพติดผิดกฎหมาย
  2. การส่งผู้ต้องหายาเสพติดรายสำคัญที่แม่สาย (ปี 2567-2568) ด่านศุลกากรแม่สายเป็นจุดสำคัญของการส่งมอบผู้ต้องหา ซึ่งสะท้อนความสำเร็จของความร่วมมือ:
  • 6 พฤษภาคม 2568: มีการส่งมอบผู้ต้องหายาเสพติด 4 ราย รวมถึงนายสมยศ และนางสาวพัชราพร ซึ่งถูกต้องการตัวในข้อหาร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดประเภท 1 การส่งมอบนี้เกิดขึ้นที่สะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 อ.แม่สาย
  • 16 กรกฎาคม 2568: ปฏิบัติการสำคัญในการรับมอบตัวนายเตชินท์ และ นายฉมัง ผู้บงการค้ายาเสพติดข้ามชาติ ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงการมุ่งเป้าทำลายโครงสร้างเครือข่ายสำคัญของทางการไทย
  • 29 มีนาคม 2567: ทางการเมียนมารายงานการส่งตัวผู้ต้องหา 2 รายข้ามด่านแม่สาย ซึ่งบริบทโดยรวมบ่งชี้ว่าเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมยาเสพติด
  • ประวัติการส่งมอบก่อนปี 2567: ก่อนหน้านี้ ในวันที่ 9 มีนาคม 2566 ป.ป.ส. เคยรับมอบตัวนายเจษฎา ยาเปี่ยง ผู้ต้องหาคดียาเสพติด “Most Wanted” (ค่าหัว 1 ล้านบาท) ที่สะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 อ.แม่สาย ซึ่งแสดงถึงความร่วมมือที่มีมาอย่างต่อเนื่อง
  1. กลไกความร่วมมือทวิภาคีและพหุภาคี ความสำเร็จเหล่านี้เป็นผลจากกลไกความร่วมมือที่แข็งแกร่ง:
  • บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนไทย-เมียนมา (กรกฎาคม 2567): เป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้ความร่วมมือเป็นทางการมากขึ้น ครอบคลุมอาชญากรรมข้ามชาติร้ายแรง รวมถึงการค้ายาเสพติด แม้จะมีข้อยกเว้นบางประการ เช่น กรณีผู้หลบหนีเกณฑ์ทหาร การดำเนินงานอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2551 ของไทย
  • การประชุมทวิภาคีโดยตรง: การประชุมระหว่างหน่วยงานควบคุมยาเสพติดของทั้งสองประเทศเป็นประจำ เป็นช่องทางสำคัญในการประสานงานและแลกเปลี่ยนข่าวกรอง
  • โครงการริเริ่มของอาเซียน: ไทยมีส่วนร่วมในกรอบความร่วมมือทางกฎหมายของอาเซียน เช่น อนุสัญญาอาเซียนว่าด้วยการโอนตัวนักโทษ และสนธิสัญญาอาเซียนว่าด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องทางอาญา (MLA) ที่ครอบคลุมการแลกเปลี่ยนหลักฐานและการยึดทรัพย์สิน
  • องค์กรระหว่างประเทศ: ไทยและเมียนมาประสานงานกับ UNODC และ INCB เพื่อแลกเปลี่ยนข่าวกรองและประสานนโยบายระดับโลก
  • การสนับสนุนของไทยต่อประเทศเพื่อนบ้าน: ป.ป.ส. ให้การสนับสนุนทางการเงินและเทคนิคแก่หน่วยงานควบคุมยาเสพติดในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อต่อความร่วมมืออย่างยั่งยืน
  1. บริบทที่กว้างขึ้น: การผลิตและยุทธศาสตร์ปราบปรามยาเสพติด
  • การแพร่กระจายของยาบ้า: การผลิตยาเสพติดสังเคราะห์ โดยเฉพาะยาบ้า เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในรัฐฉาน เมียนมา โดยในปี 2567 มีการยึดเมทแอมเฟตามีนเป็นประวัติการณ์ในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวม 236 ตัน อย่างไรก็ตาม ปริมาณที่ยึดได้เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
  • สารตั้งต้น: จีนยังคงเป็นประเทศต้นทางหลักของสารเคมีที่ใช้ในการผลิตเมทแอมเฟตามีนในเมียนมา โดยไทยได้สกัดกั้นสารเคมีจำนวนมากที่ปลายทางในเมียนมา
  • เส้นทางการค้ายาเสพติด: ไทยยังคงเป็นจุดผ่านแดนและปลายทางหลักสำหรับเมทแอมเฟตามีน แต่ก็มีการขยายเส้นทางใหม่ไปยังกัมพูชา และเส้นทางทะเลไปยังมาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์
  • เครือข่ายอาชญากรรมและการทุจริต: เครือข่ายอาชญากรรมขนาดใหญ่ยังคงดำรงอยู่ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา โดยมีศูนย์กลางในพื้นที่อย่าง KK Park และชเวโก๊กโก่ ซึ่งเป็นแหล่งรวมการทุจริต การคงอยู่ของ “Dark Zomia” หรือเขตชายแดนที่ไร้กฎหมายยังคงเป็นความท้าทาย
  • ยุทธศาสตร์ปราบปรามยาเสพติดของไทย: รัฐบาลไทยและ ป.ป.ส. มีนโยบายที่ครอบคลุม อาทิ โครงการ “Seal Stop Safe” และ “หมู่บ้านปลอดยาเสพติด” ที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาในระดับรากหญ้า มีการเพิ่มทรัพยากร มุ่งเน้นการยึดทรัพย์สิน และการสร้างความตระหนักรู้ของประชาชนเกี่ยวกับยาเสพติด

สงครามยาเสพติดที่ยังไม่สิ้นสุด

การส่งมอบตัวผู้ต้องหายาเสพติดข้ามแดนที่ด่านศุลกากรแม่สายในช่วงปี 2567-2568 แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่แข็งแกร่งของประเทศไทยในการต่อสู้กับอาชญากรรมยาเสพติดข้ามชาติ การมุ่งเน้นไปที่การจับกุมผู้บงการและการยึดทรัพย์สินมูลค่ามหาศาล สะท้อนถึงการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์จากการจับกุมผู้ขนส่งรายย่อยไปสู่การบ่อนทำลายโครงสร้างองค์กรทางการเงินและเครือข่ายการสั่งการ ซึ่งเป็นแนวทางที่มุ่งสร้างผลกระทบที่ยั่งยืนต่อการค้ายาเสพติดผิดกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม ภูมิทัศน์ของปัญหายาเสพติดยังคงซับซ้อนอย่างยิ่ง การผลิตยาเสพติดสังเคราะห์ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในเมียนมา ซึ่งได้รับแรงหนุนจากความไม่มั่นคงภายในประเทศ ยังคงเป็นแหล่งที่มาหลักของยาเสพติดที่ไหลเข้าสู่ภูมิภาค การคงอยู่ของเครือข่ายอาชญากรรมที่หยั่งรากลึกและการทุจริตตามแนวชายแดน ยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญ

ในอนาคต การแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืนจะต้องอาศัยแนวทางที่หลากหลายและต่อเนื่อง ได้แก่: การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งการแบ่งปันข่าวกรองและประสานงานปฏิบัติการ, การมุ่งเน้นการบ่อนทำลายโครงสร้างเครือข่ายยาเสพติด, การจัดการกับปัจจัยพื้นฐานที่เชื่อมโยงกับความไม่มั่นคงทางการเมืองในเมียนมา, และการดำเนินโครงการป้องกันและสร้างความตระหนักรู้ในระดับชุมชน เพื่อลดอุปสงค์และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับสังคม

 

ในสถานการณ์ที่ยาเสพติดยังคงเป็นภัยคุกคามข้ามพรมแดนเช่นนี้ คุณคิดว่าบทบาทของ “ประชาชนในพื้นที่ชายแดน” จะสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการปราบปรามและป้องกันยาเสพติดได้อย่างไรบ้าง?

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงาน ป.ป.ส.
  • สำนักงานคณะกรรมการเพื่อการควบคุมยาเสพติด (CCDAC) สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
  • กรมศุลกากร
  • กองกำลังผาเมือง
  • หน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด ภาคเหนือ 35 (นบ.ยส.35)
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
  • สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC)
  • คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศ (INCB)
  • GISTDA (สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ)
  • รายงานสถานการณ์ยาเสพติดต่างๆ ที่กล่าวถึงในเนื้อหา
  • การให้สัมภาษณ์และข้อมูลจาก พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ศูนย์จัดการน้ำส่วนหน้าลุย! เชียงรายผนึก สทนช. รับมือวิกฤตน้ำหลากแม่โขงเหนือ

เชียงราย–สทนช. เสริมแนวรับบริหารน้ำลุ่มน้ำโขงเหนือ ร่วมประชุมส่วนหน้าเตรียมพร้อมฤดูฝน เชื่อมโยงข้อมูล-ขับเคลื่อนนโยบาย ลดความเสี่ยงอุทกภัย

ศูนย์บริหารจัดการน้ำ “ส่วนหน้า” กับภารกิจฝ่าวิกฤตฤดูฝนลุ่มน้ำโขงเหนือ

เชียงราย, 15 กรกฎาคม 2568 – ท่ามกลางสภาพอากาศที่ผันผวนและภัยน้ำหลากที่มาเยือนทุกปี จังหวัดเชียงรายขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ใหม่ด้วยการผนึกกำลังกับสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในการประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำ (ส่วนหน้า) เพื่อติดตามสถานการณ์และวางมาตรการเชิงรุกในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงเหนือ โดยมีศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าชั่วคราวตั้งอยู่ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงรายและเชื่อมต่อข้อมูลแบบเรียลไทม์กับส่วนกลาง ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์แบบบูรณาการ

ประชุมเข้ม เตรียมพร้อมทุกมิติ บูรณาการข้อมูล-นโยบาย ป้องกันอุทกภัย

ภายใต้การนำของนายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมคณะทำงานส่วนหน้า พร้อมผู้แทนหน่วยงานท้องถิ่น ประชาสัมพันธ์จังหวัด และผู้เชี่ยวชาญ สทนช. โดยมีนายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการ สทนช. เป็นประธานการประชุมผ่านระบบออนไลน์ ร่วมถ่ายทอดนโยบายและติดตามปัญหาแบบเรียลไทม์

ในการประชุม ได้มีการทบทวนมติครั้งก่อน และรายงานสถานการณ์สำคัญจากทุกหน่วยงาน เช่น กรมอุตุนิยมวิทยา และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) ที่อัปเดตข้อมูลฝนตกและคาดการณ์ล่วงหน้า ขณะที่ สทนช. รายงานสถานการณ์น้ำและคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายหลัก พร้อมกับหน่วยงานท้องถิ่นที่นำเสนอความคืบหน้าโครงการขุดลอกแม่น้ำและมาตรการรับฤดูฝน 2568

6 มาตรการเข้มข้น รับมือฤดูฝน 2568

  1. เฝ้าระวัง-เตรียมพร้อมพื้นที่เสี่ยง
    ทุกหน่วยงานต้องติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงเหนืออย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะช่วงวันที่ 15-16 และ 20-24 กรกฎาคม 2568 พร้อมปรับแผนการจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำใหญ่ให้ทันกับสถานการณ์
  2. ใช้ข้อมูลวิทยาศาสตร์ขับเคลื่อน
    ใช้ข้อมูลปริมาณฝนแบบเรียลไทม์จากดาวเทียมและเรดาร์กรมอุตุนิยมวิทยา พร้อมทั้งระบบ EWS ของกรมทรัพยากรน้ำเพื่อประเมินและคาดการณ์น้ำหลาก
  3. สำรวจ-ติดตั้งสถานีโทรมาตรเพิ่ม
    สสน. ได้รับมอบหมายเร่งสำรวจและติดตั้งสถานีโทรมาตรในจุดเสี่ยงอุทกภัย และใช้ Mobile Mapping System (MMS) สำรวจภูมิประเทศลุ่มน้ำโขงเหนือ เพื่อเก็บข้อมูลที่แม่นยำต่อการตัดสินใจ
  4. ตรวจสอบคุณภาพน้ำ-ผลผลิตการเกษตร
    กรมส่งเสริมการเกษตรต้องติดตามคุณภาพน้ำที่เกษตรกรใช้ในการเพาะปลูก พร้อมประชาสัมพันธ์สร้างความมั่นใจเรื่องสารปนเปื้อนในข้าวและพืชผล
  5. เร่งสร้างพนังป้องกันน้ำสำคัญ
    ฝ่ายเลขานุการประสานการขอรับงบประมาณก่อสร้างพนังป้องกันน้ำที่สะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 อ.แม่สาย เพื่อป้องกันน้ำหลากเข้าสู่พื้นที่เศรษฐกิจ
  6. ตรวจสอบน้ำหลากจากฝั่งเมียนมา
    GISTDA ติดตามข้อมูลความชื้นและสภาพน้ำต้นน้ำกกและต้นน้ำสายจากฝั่งเมียนมา เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มอุทกภัยข้ามพรมแดน

ขับเคลื่อนกลไกประจำสัปดาห์ เชื่อมโยงศูนย์-พื้นที่ ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

ที่ประชุมมีมติกำหนดประชุมประสานงานทุกวันอังคาร เวลา 13.00 น. จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย เพื่อให้ข้อมูลและแผนปฏิบัติสอดรับกันในทุกระดับ ทั้งส่วนกลางและพื้นที่ ช่วยให้มาตรการรับมืออุทกภัยมีความคล่องตัวและเป็นหนึ่งเดียวกัน

เชียงรายลุ่มน้ำโขงเหนือ – เมื่อการจัดการน้ำคือ “ภารกิจชีวิต”

การประชุมคณะทำงานส่วนหน้านี้ สะท้อนความเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์จากการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไปสู่การเตรียมพร้อมเชิงรุก ด้วยกลไกติดตาม วิเคราะห์ และสื่อสารข้อมูลแบบเรียลไทม์ การนำเทคโนโลยีดาวเทียม เรดาร์ และ MMS มาเสริมการบริหารจัดการ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจ

ประเด็นสำคัญที่น่าจับตา

  • การเปลี่ยนผ่านสู่การบริหารจัดการน้ำเชิงรุก:
    ระบบประชุมและศูนย์ส่วนหน้า เป็นเครื่องมือสำคัญในยุคที่ความผันผวนของอากาศและความเสี่ยงน้ำหลากสูงขึ้นทุกปี
  • การผนวกข้อมูลวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยี:
    การใช้ข้อมูลดาวเทียมและระบบเรดาร์ ช่วยให้การคาดการณ์น้ำท่วมและจัดสรรน้ำมีความแม่นยำมากขึ้น
  • การเชื่อมโยงคุณภาพน้ำกับผลผลิตการเกษตร:
    การติดตามสารปนเปื้อนในข้าวและพืชผล เป็นการขยายความรับผิดชอบสู่คุณภาพชีวิตของประชาชนโดยตรง
  • การทำงานร่วมกันทุกภาคส่วน:
    จาก สทนช. ถึง กรมอุตุนิยมวิทยา กรมส่งเสริมการเกษตร สสน. กรมการทหารช่าง และ GISTDA การบูรณาการข้ามหน่วยงานและข้อมูลข้ามพรมแดนคือหัวใจสำคัญของความสำเร็จ
  • ความท้าทาย:
    การประสานข้อมูลและมาตรการในทุกระดับ, การสื่อสารข้อมูลที่โปร่งใสกับประชาชน และการจัดการงบประมาณในโครงการระยะยาว เป็นโจทย์ที่เชียงรายและทุกหน่วยงานต้องเร่งขับเคลื่อนต่อเนื่อง

สรุป
เชียงรายในฐานะจุดยุทธศาสตร์ของลุ่มน้ำโขงเหนือ แสดงศักยภาพในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ หากทุกฝ่ายผนึกกำลังและนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างเต็มศักยภาพ เชื่อว่าการรับมือฤดูฝนและภัยน้ำท่วมในปีนี้จะมีประสิทธิภาพสูงสุด ลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน สร้างความมั่นใจแก่ประชาชนอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าจังหวัดเชียงราย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.)
  • กรมส่งเสริมการเกษตร
  • GISTDA
  • กรมการทหารช่าง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

วช.ผนึก “เชียงราย-พะเยา” พลิกโฉมสิ่งแวดล้อมเหนือ จุดพลุ “อากาศสะอาด-น้ำมั่นคง” ด้วยวิจัย

วช. ผนึก “เชียงราย-พะเยา” พลิกโฉมสิ่งแวดล้อมเหนือ จุดพลุ “อากาศสะอาด-น้ำมั่นคง” ด้วยวิจัยและนวัตกรรม

ความร่วมมือข้ามจังหวัด จุดเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมภาคเหนือ

เชียงราย,วันที่ 15 กรกฎาคม 2568 –  สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ก้าวสำคัญด้วยการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับจังหวัดเชียงรายและพะเยา ขยายขอบเขตความร่วมมือไปสู่ภาคีเครือข่ายในพื้นที่ โดยมีเป้าหมายชัดเจน “อากาศสะอาด น้ำมั่นคง” ผ่านการประยุกต์ใช้งานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมให้เป็นจริงในระดับพื้นที่ นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญของการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 และความมั่นคงทางน้ำอย่างเป็นระบบ

พิธีลงนามครั้งประวัติศาสตร์ ขับเคลื่อนอนาคตไทย

งานลงนามจัดขึ้น ณ โรงแรมเลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท โดยมีบุคคลสำคัญหลากหลายสาขาร่วมพิธี นำโดย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อน ผู้อำนวยการ วช. นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายภูธนะ ชมภูมิ่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ตัวแทนสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) อบจ.เชียงราย อบจ.พะเยา สภาเกษตรกร สภาลมหายใจ สภาวัฒนธรรม และหน่วยงานพันธมิตรจากสองจังหวัด ขานรับยุทธศาสตร์วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) สู่ภารกิจจัดการฝุ่น PM2.5 ใน 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน และจัดการน้ำใน 10 จังหวัดเสี่ยงภัยแล้งและน้ำท่วม ภายใต้แนวคิด “มุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย เพื่ออากาศสะอาด น้ำมั่นคง”

พลังความร่วมมือหลากมิติ รัฐ-วิชาการ-ประชาชน

ข้อตกลงครั้งนี้ถือเป็นการรวมพลังของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ สถาบันวิชาการ ภาคประชาชน และภาคีเครือข่าย เพื่อขับเคลื่อนองค์ความรู้สู่การปฏิบัติจริงในพื้นที่ โดยผู้แทนจังหวัดเชียงรายและพะเยาได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นของความร่วมมือแบบบูรณาการ “การจัดการฝุ่น PM2.5 และน้ำ ต้องใช้เครือข่ายและองค์ความรู้ทุกภาคส่วน มิใช่ภาครัฐเพียงลำพัง” นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าฯ เชียงราย กล่าว

เชียงราย กลไกหลัก ขับเคลื่อนการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมเชิงระบบ

จังหวัดเชียงรายแสดงเจตจำนงชัดเจนในการรับบท “กลไกหลัก” สนับสนุนงานวิจัยให้สอดคล้องกับความต้องการจริงในพื้นที่ โดยเฉพาะประเด็นฝุ่น PM2.5 และการบริหารน้ำ ที่ต้องใช้ฐานข้อมูลและนวัตกรรมปรับใช้กับความหลากหลายของแต่ละชุมชน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายกล่าวว่า การลงนาม MOU ครั้งนี้ จะช่วยประสานความร่วมมืออย่างเป็นระบบ มีการติดตามผลที่ชัดเจน และขยายผลสู่จังหวัดอื่นในอนาคต

อบจ.เชียงราย ดัน “วิจัยสู่พื้นที่จริง” สร้างต้นแบบเมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืน

นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เน้นย้ำแนวทาง “การทำงานเชิงพื้นที่” ผสานงานกับชุมชนและวิชาการเพื่อต่อยอดการจัดการฝุ่น PM2.5 และน้ำ โดยอบจ.เชียงรายผลักดันโครงการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (PDOSS) เพื่อเป็นฐานข้อมูล แผนฟื้นฟู และเครือข่ายความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมทั้งระบบ

ขับเคลื่อนนวัตกรรมสู่ชุมชน Knowledge to Action

การเชื่อมโยงงานวิจัยของ วช. กับชุมชนท้องถิ่น ช่วยให้เกิดการถ่ายทอดความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม “พร้อมใช้” ไปถึงพื้นที่เป้าหมายจริง ลดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงองค์ความรู้และเครื่องมือที่ทันสมัย จังหวัดเชียงรายยังสนับสนุนให้ชุมชนมีส่วนร่วมเลือกพื้นที่ทดลองและขยายผล รวมถึงสนับสนุนการจัดตั้งระบบเฝ้าระวังคุณภาพอากาศ พัฒนาการจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่เสี่ยงไฟป่า และวางระบบบริหารจัดการน้ำให้ตอบโจทย์ “น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง” ตามเป้าหมาย

ประชาชน-ท้องถิ่น คือฟันเฟืองสำคัญของความสำเร็จ

อบจ.เชียงรายเน้นย้ำบทบาทองค์กรปกครองท้องถิ่น และเครือข่ายประชาชน ว่าเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลงทุกขั้นตอน สร้างความยั่งยืนที่แท้จริง ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า พร้อมผลักดันกลไกประเมินผลและรายงานความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกโครงการเกิดผลสัมฤทธิ์ในระยะยาว

วิทยาศาสตร์เปลี่ยนชีวิต จากห้องวิจัยสู่มือประชาชน

ความสำเร็จของ MOU ครั้งนี้ คือการพา “วิทยาศาสตร์” และ “นวัตกรรม” ลงจากห้องวิจัย สู่การแก้ปัญหาที่ตรงจุดในชีวิตประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการลดฝุ่น PM2.5 หรือการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนที่เหมาะสมกับบริบทแต่ละพื้นที่

จุดเด่นสำคัญของความร่วมมือ คือ

  • การจัดการปัญหาแบบเชื่อมโยงข้ามหน่วยงาน ข้ามจังหวัด
  • การนำองค์ความรู้ไปสู่การปฏิบัติที่วัดผลได้จริง
  • การดึงภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทุกขั้นตอน
  • การวางแผนแก้ปัญหาระยะยาว สร้างความยั่งยืนแท้จริง

จากนโยบายสู่ผลลัพธ์จับต้องได้

การดำเนินงานจะประสบผลสำเร็จได้ ต้องอาศัยการประเมินผลที่ต่อเนื่อง การจัดสรรทรัพยากรและบุคลากรที่เหมาะสม และการส่งเสริมให้ประชาชนมีบทบาทนำในพื้นที่ ความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างรัฐ วิชาการ และประชาชน คือกุญแจไปสู่ “อากาศสะอาด น้ำมั่นคง” ที่แท้จริงสำหรับชาวเชียงรายและพะเยา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สภาเกษตรกร, สภาลมหายใจ, สภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายและพะเยา
  • รายงานพิธีลงนาม MOU 15 กรกฎาคม 2568
  • ข้อมูลจากผู้แทนและผู้อำนวยการ วช.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ความร่วมมือรอบด้าน RBC ไทย-เมียนมา ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ-สังคมชายแดนอย่างยั่งยืน

RBC ไทย-เมียนมา จากความมั่นคงชายแดน สู่ความร่วมมือเพื่อคุณภาพชีวิตประชาชนชายแดนที่ยั่งยืน

พลวัตความสัมพันธ์ไทย-เมียนมา RBC ก้าวข้ามขอบเขตทหาร สู่ความร่วมมือรอบด้าน

เชียงใหม่, 15 กรกฎาคม 2568 – ในยุคที่ความมั่นคงของชาติไม่ได้วัดจากอาวุธหรือกำลังทหารเท่านั้น การขับเคลื่อนความร่วมมือชายแดนโดยกลไกคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) ไทย-เมียนมา กลับกลายเป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างความสงบสุขให้กับประชาชนชายแดนทั้งสองประเทศมากว่าทศวรรษ จุดเริ่มต้นของ RBC เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2533 จากบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลเมียนมา ได้กลายเป็นเส้นทางสายหลักของการสานสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่มีความหลากหลายเชิงภูมิรัฐศาสตร์และความซับซ้อนของบริบทพื้นที่

วิวัฒนาการของ RBC จากความมั่นคงทหาร สู่ความมั่นคงชีวิต

หากย้อนไปในอดีต RBC ก่อตั้งขึ้นเพื่อร่วมกันแก้ปัญหาความมั่นคงบริเวณชายแดน เช่น การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ การป้องกันการลักลอบเข้าเมือง และการควบคุมสถานการณ์ความไม่สงบ อย่างไรก็ตาม ตลอด 34 ปีที่ผ่านมา RBC ได้ปรับตัวและขยายขอบเขตความร่วมมือไปไกลกว่ามิติทางทหาร สู่ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ สังคม มนุษยธรรม และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนริมชายแดน ผลลัพธ์สำคัญคือการเปลี่ยนแนวคิด “ชายแดนแห่งภัยคุกคาม” ให้กลายเป็น “ชายแดนแห่งสันติภาพและโอกาส”

องค์ประกอบการขับเคลื่อนกลไก RBC การผนึกกำลังภาครัฐ-เอกชนเพื่อทุกชีวิตริมชายแดน

โครงสร้างของ RBC ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 นั้นแข็งแกร่งด้วยการมีส่วนร่วมของแม่ทัพภาค ผู้บังคับหน่วยทหาร ผู้ว่าราชการจังหวัดที่ติดชายแดน และตัวแทนส่วนราชการอื่น ๆ รวมทั้งการประสานความร่วมมือกับภาคเอกชนและประชาสังคมสองประเทศ กลไกดังกล่าวช่วยให้การแก้ปัญหาและส่งเสริมโอกาสในพื้นที่ชายแดนมีประสิทธิภาพและรอบด้านมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประเด็นความมั่นคง การค้าชายแดน การท่องเที่ยว การศึกษา หรือการบรรเทาสาธารณภัย

ประชุม RBC ครั้งที่ 37 ตอกย้ำพันธกิจความร่วมมือไทย-เมียนมา

ระหว่างวันที่ 2-4 กรกฎาคม 2568 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค RBC (ไทย-เมียนมา) ครั้งที่ 37 โดยมีพลโท กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 (ฝ่ายไทย) และพลโท ยุ้น วิน ส่วย (ฝ่ายเมียนมา) เป็นประธานร่วม ถือเป็นเวทีสำคัญในการต่อยอดภารกิจและวางแนวทางความร่วมมือในอนาคต ประเด็นหลักที่หารือร่วมกันมีทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และมนุษยธรรม

  • การแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำกองทัพ สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจในทุกระดับ
  • การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ยาเสพติด และค้ามนุษย์ ร่วมมือกันสกัดภัยคุกคามในพื้นที่ชายแดน
  • การเปิดจุดผ่านแดนเพื่อการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ส่งเสริมการเติบโตเศรษฐกิจฐานราก
  • โครงการหมู่บ้านคู่ขนาน ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตในหมู่บ้านแนวชายแดนสองฝั่ง
  • การแก้ปัญหาความไม่สงบในเมียนมา ป้องกันผลกระทบที่อาจลามถึงความมั่นคงและมนุษยธรรมในไทย
  • การก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง ร่วมแก้ปัญหาน้ำท่วมและกัดเซาะสองฝั่งแม่น้ำ

RBC ในยุคเปลี่ยนผ่าน โอกาสและความท้าทายของไทย-เมียนมา

สถานการณ์โลกปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของ RBC ที่ไม่เพียงตอบโจทย์ความมั่นคงระยะสั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสร้างเสถียรภาพระยะยาวโดยเฉพาะกับ 17 จังหวัดภาคเหนือของไทย RBC คือหลักประกันความมั่นคงชายแดนที่เชื่อมโยงปัจจัยท้องถิ่นกับภูมิภาคและระดับโลกอย่างเป็นระบบ

พลโท กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 ฝ่ายไทย เน้นย้ำความพร้อมของกองทัพบกและภาคส่วนต่าง ๆ ที่จะสนับสนุนความมั่นคง และบูรณาการกำลังพล ยุทโธปกรณ์ รวมทั้งการช่วยเหลือประชาชนเพื่อให้เกิดความยั่งยืน สะท้อนบทบาทใหม่ของทหารไทยในฐานะ “ผู้พิทักษ์ประชาชน”

ในมิติการพัฒนาเศรษฐกิจ RBC ส่งเสริมให้เกิดการเปิดจุดผ่านแดน การค้าชายแดนและการลงทุน อันนำไปสู่การสร้างงาน กระจายรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน อีกทั้งยังสนับสนุนโครงการหมู่บ้านคู่ขนานและการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมระหว่างกัน

RBC คือโมเดลความร่วมมือชายแดนเพื่ออนาคต

แม้ยังมีความท้าทายจากสถานการณ์ภายในเมียนมาและปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติที่ซับซ้อน แต่ RBC พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเป็นกลไกแห่งความหวัง ที่ผลักดันให้ชายแดนกลายเป็นพื้นที่แห่งโอกาส สันติภาพ และความมั่นคงในทุกมิติ

RBC เป็นต้นแบบความร่วมมือข้ามพรมแดนที่สามารถปรับใช้กับภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีความซับซ้อนด้านชาติพันธุ์ เศรษฐกิจ หรือปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ หากประเทศเหล่านั้นเลือกสร้างกลไกการพูดคุยร่วมกัน วางพื้นฐานจากความเชื่อใจและยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นศูนย์กลาง ความมั่นคงจะขยายไปสู่ความผาสุกของประชาชนทุกชาติอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการ RBC 9 เมษายน 2533
  • ข่าวสารประชาสัมพันธ์ กองทัพภาคที่ 3
  • ข้อมูลจากผู้เข้าร่วมประชุม RBC ครั้งที่ 37
  • รายงานการประชุม RBC และข้อมูลการพัฒนาชายแดนไทย-เมียนมา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายลุยติดตั้ง “เสาเตือนภัยอัจฉริยะ” ยกระดับความปลอดภัย สร้างศูนย์จัดการภัยแบบเบ็ดเสร็จ

อบจ.เชียงรายลุยติดตั้ง “เสาเตือนภัยอัจฉริยะ” ยกระดับความปลอดภัย สร้างศูนย์จัดการภัยแบบเบ็ดเสร็จ ตอบโจทย์เชียงรายปลอดภัย

เชียงรายเดินหน้าสู่เมืองปลอดภัย รับมืออุทกภัยด้วยเทคโนโลยีทันสมัย

เชียงราย,วันที่ 14 กรกฎาคม 2568 –  จังหวัดเชียงรายยกระดับมาตรการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ โดยเฉพาะอุทกภัยที่เกิดซ้ำซากทุกปี ด้วยการนำร่องติดตั้ง “เสาเตือนภัยอัจฉริยะ” ในพื้นที่เสี่ยง พร้อมเร่งจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (PDOSS) ตอกย้ำความมุ่งมั่นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ในการดูแลความปลอดภัยของประชาชนและลดความสูญเสียจากภัยธรรมชาติอย่างเป็นรูปธรรม

ลงพื้นที่จริงประเมินจุดติดตั้งครอบคลุมพื้นที่เสี่ยง

เวลา 13.30 น. วันที่ 14 กรกฎาคม 2568 นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย ซึ่งได้รับมอบหมายจากนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมด้วยนางสาวปราณปรียา โพธิเลิศ ผู้อำนวยการกองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย ร่วมทีมบุคลากรสำนักช่างและทีมวิจัย ลงพื้นที่สำรวจจุดติดตั้งเสาเตือนภัยอัจฉริยะในตำบลแม่เปา อำเภอพญาเม็งราย หนึ่งในพื้นที่ที่เคยเผชิญกับน้ำท่วมบ่อยครั้ง เป้าหมายเพื่อประเมินจุดเสี่ยงและวางแผนติดตั้งระบบเตือนภัยให้ครอบคลุมพื้นที่วิกฤตมากที่สุด

เทคโนโลยีอัจฉริยะเสริมเขี้ยวเล็บการจัดการภัยพิบัติ

โครงการนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของ อบจ.เชียงราย ที่เลือกนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาเป็นเครื่องมือหลักในการรับมือและบรรเทาสาธารณภัย โดยเสาเตือนภัยอัจฉริยะจะทำหน้าที่แจ้งเตือนสถานการณ์น้ำท่วมและภัยธรรมชาติแบบเรียลไทม์ สามารถวัดระดับน้ำ ส่งสัญญาณเตือนและถ่ายทอดข้อมูลไปยังศูนย์ควบคุมกลางและประชาชนในพื้นที่ผ่านหลายช่องทาง เช่น เสียง ไฟไซเรน และข้อความแจ้งเตือนออนไลน์ เพื่อให้สามารถเตรียมรับมือและอพยพได้อย่างทันท่วงที

จัดตั้งศูนย์ PDOSS ศูนย์กลางข้อมูลและแผนฟื้นฟูครบวงจร

หัวใจของโครงการนี้ คือการจัดตั้ง “ศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ” (PDOSS) เพื่อเป็นศูนย์กลางบูรณาการข้อมูล รับ-ส่ง-วิเคราะห์สถานการณ์แบบเรียลไทม์ ทั้งการรับมือ ป้องกัน และฟื้นฟูผลกระทบหลังเกิดภัยพิบัติ ศูนย์นี้จะช่วยเชื่อมโยงการทำงานทุกหน่วยงาน ให้ประสานงานอย่างรวดเร็ว ลดขั้นตอนซ้ำซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพการจัดสรรทรัพยากร และตอบสนองสถานการณ์ได้อย่างแม่นยำ

เป้าหมายและผลลัพธ์ที่วางไว้

  • เพิ่มศักยภาพตอบสนองเหตุฉุกเฉินของหน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่น
  • นำเทคโนโลยีอัจฉริยะมาใช้ลดความเสียหายชีวิตและทรัพย์สิน
  • เสริมสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย
  • สะสมข้อมูลเชิงลึกเพื่อนำไปสู่การวางแผนฟื้นฟูและป้องกันภัยพิบัติระยะยาวอย่างยั่งยืน

ต้นแบบเมืองปลอดภัยในยุคภัยธรรมชาติถี่

จังหวัดเชียงรายถือเป็นพื้นที่ตัวอย่างของการปรับตัวสู่ “เมืองปลอดภัย” ด้วยการบริหารความเสี่ยงเชิงรุกและการใช้เทคโนโลยีเสริมแกร่งการป้องกันภัยพิบัติ ภูมิประเทศที่มีแม่น้ำหลายสายและพื้นที่ภูเขาทำให้มีความเสี่ยงเกิดอุทกภัยซ้ำซาก การติดตั้งเสาเตือนภัยอัจฉริยะช่วยให้ชุมชนมีเวลารับมือ เตรียมอพยพ หรือเคลื่อนย้ายทรัพย์สินได้ก่อนเหตุการณ์รุนแรง

ศูนย์ PDOSS ยังช่วยสร้างเครือข่ายข้อมูลเชื่อมต่อทุกภาคส่วน ทั้งการแจ้งเตือน การเก็บสถิติภัยพิบัติ และการฝึกซ้อมอพยพให้กับประชาชน ช่วยลดความสูญเสียและสร้างมาตรฐานใหม่ในการรับมือภัยพิบัติในอนาคต

ความท้าทายและสิ่งที่ต้องเดินหน้าต่อ

ความสำเร็จของโครงการนี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงรักษาระบบเตือนภัยให้พร้อมใช้งานเสมอ การฝึกซ้อมการอพยพและถ่ายทอดความรู้สู่ประชาชนในพื้นที่ และการสื่อสารข้อมูลอย่างโปร่งใสและเข้าใจง่ายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบ

อบจ.เชียงรายกำลังปูทางให้จังหวัดก้าวสู่ต้นแบบการจัดการภัยพิบัติอย่างยั่งยืน ด้วยการผสานเทคโนโลยีและนวัตกรรมกับภูมิปัญญาชุมชน เชื่อมโยงภาครัฐกับประชาชนเข้าด้วยกัน พร้อมเป้าหมายสูงสุด “เชียงรายปลอดภัย” ท่ามกลางโลกที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย
  • รายงานพิเศษภัยพิบัติและเทคโนโลยีเตือนภัย, 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

ภัยพิบัติถล่มภูชี้ฟ้า! ดินสไลด์ตัดขาดถนน 1093 แขวงทางหลวงเร่งกู้ หินยักษ์ขวาง

ภัยพิบัติถล่มภูชี้ฟ้าดินสไลด์ตัดขาดถนน 1093! แขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2 เร่งกู้สถานการณ์ เปิดเส้นทาง 1 เลนแล้ว หินยักษ์หนักเท่าตึก 3 ชั้นรอเคลียร์!

เชียงราย, 14 กรกฎาคม 2568 – ภูชี้ฟ้า จังหวัดเชียงราย หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่โหยหาความงามของทะเลหมอกยามเช้าตรู่ ต้องเผชิญกับสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งสำคัญ เมื่อฝนกระหน่ำหนักส่งผลให้เกิดดินสไลด์ขนาดใหญ่ พัดพาก้อนหินยักษ์และต้นไม้ลงมาขวางถนนหลวงหมายเลข 1093 เส้นทางหลักสู่ยอดภูชี้ฟ้า ทำให้การสัญจรถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิงเป็นเวลาหลายชั่วโมง

นายอนุศิลป์ ตันหล้า หัวหน้าหน่วยบำรุงทางภูชี้ฟ้า แขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2 เปิดเผยความคืบหน้าล่าสุดของการแก้ไขสถานการณ์ที่ท้าทายนี้ ซึ่งไม่เพียงส่งผลกระทบต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยว แต่ยังเผยให้เห็นถึงความเปราะบางทางธรณีวิทยาของพื้นที่ที่มีความสำคัญทางการท่องเที่ยวแห่งนี้

นายอนุศิลป์ ตันหล้า หัวหน้าหน่วยบำรุงทางภูชี้ฟ้า แขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2

การรับมือกับหินยักษ์ภารกิจข้ามเดือนและความท้าทายทางธรณีวิทยา

ทันทีที่ได้รับแจ้งเหตุ เจ้าหน้าที่จากแขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2 ได้ระดมกำลังและเครื่องจักรหนักเข้าพื้นที่ ร่วมกับทหารจากกองกำลังผาเมือง และความร่วมมือจากชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อเร่งดำเนินการตัดต้นไม้และเคลียร์ดินที่สไลด์ลงมา เบื้องต้นสามารถเปิดเส้นทางการสัญจรได้แล้ว 1 ช่องจราจร บรรเทาความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านและนักท่องเที่ยวที่ยังคงติดค้างได้ในระดับหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญคือก้อนหินขนาดมหึมาที่ตกลงมาขวางถนน ซึ่งมีขนาดประมาณ 3-4 เมตร สูง และ 2-3 เมตร กว้าง ตามรายงานจากพื้นที่ หรือตามการประเมินของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่ระบุว่าสูงถึง 10 กว่าเมตร กว้าง 6-8 เมตร ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไข

สถานการณ์หินยักษ์ที่ขวางเส้นทางเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย นายอนุศิลป์ยืนยันว่า จากการประเมินเบื้องต้น ก้อนหินดังกล่าวมีขนาดใหญ่และน้ำหนักมากเกินกว่าที่จะสามารถใช้รถเครนยกออกไปได้ทั้งหมด ทางแขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2 จึงได้ประสานงานเพื่อนำรถแบคโฮติดหัวเจาะเข้ามาดำเนินการสกัดก้อนหินให้เป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายออกไป

“เรากำลังประสานงานกับรถแบคโฮติดหัวเจาะเพื่อขึ้นมาดำเนินการ ตอนนี้ก็เปิดให้รถผ่านได้ 1 ช่องจราจรไปก่อน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวบ้าน” นายอนุศิลป์ กล่าวถึงแผนการดำเนินงานในระยะสั้น

คาดการณ์ว่ากระบวนการนี้อาจต้องใช้เวลาดำเนินการอย่างน้อย 1 สัปดาห์หากสามารถใช้เครนยกได้ แต่หากต้องทำลายหินเป็นชิ้นเล็ก อาจใช้เวลานานถึง 1 เดือน เนื่องจากยังพบหินขนาดใหญ่อื่นๆ อีก 2-3 ก้อนในบริเวณใกล้เคียง

ผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานและแผนการซ่อมแซม

นอกจากก้อนหินยักษ์แล้ว ยังพบรอยแยกบนผิวถนนยาวประมาณ 20 เมตร ซึ่งเกิดจากแรงกระแทกของหินที่ตกลงมา เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ประเมินแล้วว่ายังไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้งานในระยะสั้น รถยนต์และรถจักรยานยนต์ยังสามารถผ่านไปมาได้ แต่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ

อย่างไรก็ตาม การซ่อมแซมในระยะยาวเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับผิวจราจรและโครงสร้างพื้นฐานบริเวณดังกล่าว จำเป็นต้องรอการอนุมัติงบประมาณการก่อสร้างก่อน ซึ่งอาจใช้เวลาในการดำเนินการระบบราชการตามปกติ

เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเตือนผู้ขับขี่ให้ใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อผ่านบริเวณดังกล่าว และติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสภาพเส้นทางอย่างสม่ำเสมอ

ถนนหมายเลข 1093 จากยุทธศาสตร์การรบสู่เส้นทางท่องเที่ยวอันงดงาม

ถนนหมายเลข 1093 ไม่ได้เป็นเพียงเส้นทางสัญจรธรรมดา แต่ยังเป็นเส้นทางประวัติศาสตร์ที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อภูมิภาคนี้ ในอดีตตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 ถึง พ.ศ. 2527 ถนนเส้นนี้เคยเป็น “ถนนสายยุทธศาสตร์ทางการรบ” ที่ใช้ในการปราบปรามการเคลื่อนไหวของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.) การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนประชาชนและเจ้าหน้าที่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระบรมราชินีนาถในปี พ.ศ. 2525 ได้นำมาซึ่งสันติภาพและการพัฒนาชุมชนตามแนวชายแดนในที่สุด

ปัจจุบัน ถนน 1093 ได้เปลี่ยนบทบาทจากถนนแห่งความขัดแย้งมาเป็น “ถนนสายยุทธศาสตร์ทางการท่องเที่ยว” อย่างสมบูรณ์ เส้นทางที่ทอดยาวคดเคี้ยวไปตามแนวเทือกเขาดอยผาหม่นนี้ เป็นแกนหลักที่เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ภูชี้ฟ้า ภูชี้ดาว ภูชี้เดือน ดอยผาหม่น และดอยผาตั้ง ซึ่งแต่ละแห่งล้วนมีทิวทัศน์อันงดงามของทะเลหมอก พระอาทิตย์ขึ้น และแนวเทือกเขาสลับซับซ้อนทั้งฝั่งไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว รวมถึงแม่น้ำโขงที่ไหลเป็นแนวกั้นดินแดน

การเดินทางจากตัวเมืองเชียงรายสู่ภูชี้ฟ้า สามารถทำได้หลายเส้นทาง โดยเส้นทางหลักที่แนะนำคือผ่านอำเภอเทิง ใช้ทางหลวงหมายเลข 1020, 1021, 1155 และ 1093 ระยะทางรวมประมาณ 110-112 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.5-3 ชั่วโมง แม้ถนนส่วนใหญ่จะเป็นลาดยางสภาพดี แต่ช่วงท้ายของเส้นทางเมื่อเข้าใกล้ภูชี้ฟ้าจะเริ่มคดเคี้ยวและชันมาก ผู้ขับขี่ควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในหน้าฝนที่ถนนอาจลื่นได้

ธรณีวิทยาภูชี้ฟ้าความงามที่ซ่อนเร้นและความเสี่ยงจากธรรมชาติ

เหตุการณ์ดินสไลด์ครั้งนี้เป็นเครื่องย้ำเตือนถึงความเปราะบางทางธรณีวิทยาของภูชี้ฟ้า ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกหล่อหลอมมาจากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาอันยาวนานและซับซ้อน ภูชี้ฟ้ามีลักษณะเป็นหน้าผาชันที่เกิดบนเขาเควสตา ซึ่งเป็นภูมิประเทศที่ลาดเอียงตามแนวเอียงของชั้นหินที่รองรับอยู่ข้างใต้

หินในบริเวณนี้ประกอบด้วยกลุ่มหินตะกอนและหินตะกอนกึ่งหินแปร ซึ่งมีอายุทางธรณีกาลเก่าแก่มาก ย้อนไปราว 355-250 ล้านปี หรืออยู่ในยุคคาร์บอนิเฟอรัส-เพอร์เมียน ชนิดหินหลักที่พบในภูชี้ฟ้าได้แก่ หินปูน, หินฟิลไลต์, หินชีสต์, หินทรายแป้ง, หินทราย, หินกรวดมน และหินดินดาน

การมีซากดึกดำบรรพ์จำพวกเซฟาโลพอด, ฟอแรม, แบรคีโอพอด และออสทราคอดในหินเหล่านี้ ช่วยยืนยันอายุและสภาพแวดล้อมการกำเนิดของหิน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสภาพแวดล้อมทางทะเล ภูมิประเทศที่เป็นเอกลักษณ์ของภูชี้ฟ้า ทั้งรูปทรงคล้ายนิ้วชี้ฟ้าและหน้าผาที่สูงชัน ล้วนเป็นผลมาจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก โดยเฉพาะการที่แผ่นเปลือกโลกอินเดียชนกับแผ่นเปลือกโลกยูเรเซียเมื่อประมาณ 40 ล้านปีที่แล้ว

การทำความเข้าใจประวัติทางธรณีวิทยาอันเก่าแก่และซับซ้อนนี้ ไม่เพียงเพิ่มมิติทางความรู้ให้กับการท่องเที่ยว แต่ยังช่วยให้เราตระหนักถึงความเสี่ยงที่มาพร้อมกับความงามของธรรมชาติ

ข้อเสนอเชิงนโยบายและการรับมือในระยะยาว

เหตุการณ์ดินสไลด์ครั้งนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการวางแผนและบริหารจัดการพื้นที่ท่องเที่ยวที่มีความเปราะบางทางธรณีวิทยาอย่างยั่งยืน เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างความปลอดภัยให้กับทั้งนักท่องเที่ยวและชุมชนท้องถิ่น

การสำรวจและประเมินความเสี่ยงเชิงรุกจึงมีความสำคัญ โดยจำเป็นต้องจัดทำแผนที่ธรณีวิทยาและธรณีเทคนิคโดยละเอียด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมทรัพยากรธรณี ควรทำงานร่วมกับแขวงทางหลวงและหน่วยงานท้องถิ่น เพื่อจัดทำแผนที่แสดงพื้นที่เสี่ยงดินสไลด์ รอยเลื่อน และโครงสร้างทางธรณีวิทยาที่อาจเป็นอันตรายในบริเวณถนน 1093 และพื้นที่ภูชี้ฟ้าทั้งหมด

การติดตั้งระบบเตือนภัยล่วงหน้าก็เป็นสิ่งที่ควรพิจารณา โดยติดตั้งระบบตรวจวัดปริมาณน้ำฝน ความชื้นในดิน และการเคลื่อนตัวของมวลดินในพื้นที่เสี่ยง เพื่อให้สามารถแจ้งเตือนและอพยพประชาชนได้ทันท่วงทีในกรณีที่คาดว่าจะเกิดดินสไลด์ ควบคู่ไปกับการตรวจสอบสภาพพื้นที่และโครงสร้างพื้นฐานอย่างสม่ำเสมอ

มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่สำคัญ ได้แก่ การเสริมความมั่นคงของไหล่ทางและลาดชัน การปรับปรุงระบบระบายน้ำ และการจัดทำแผนฉุกเฉินและเส้นทางเลี่ยง หน่วยงานท้องถิ่นและแขวงทางหลวงควรร่วมกันจัดทำแผนฉุกเฉินสำหรับการรับมือกับภัยพิบัติ และประชาสัมพันธ์เส้นทางเลี่ยงที่ปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวและชาวบ้านทราบ

การให้ความรู้และสร้างความตระหนักแก่ประชาชน ผ่านการเผยแพร่ข้อมูลความเสี่ยงและข้อควรปฏิบัติ รวมถึงการฝึกอบรมชาวบ้านในการรับมือภัยพิบัติ จะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างชุมชนที่มีความพร้อมรับมือกับภัยธรรมชาติ

สถานการณ์ปัจจุบันและการติดตามข่าวสาร

ขณะนี้ ทหารจากกองกำลังผาเมืองได้เข้าร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นและชาวบ้านเพื่อช่วยเคลียร์ทางหลวง 1093 ที่กิโลเมตรที่ 68 บริเวณบ้านร่มฟ้าทอง และ ด้วยการสนับสนุนจากแขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2 ได้นำเครื่องจักรเข้ามาช่วย และขณะนี้สามารถเปิดเส้นทางให้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ผ่านได้ 1 ช่องจราจรแล้ว

การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าจากการสไลด์ของหินยักษ์เป็นภารกิจเร่งด่วนที่ต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมาก แต่การวางแผนเชิงรุกและนโยบายที่ครอบคลุมในระยะยาวจะเป็นหัวใจสำคัญในการปกป้องทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และความงดงามทางธรรมชาติของภูชี้ฟ้าให้คงอยู่คู่กับประเทศไทยต่อไป

นักท่องเที่ยวที่วางแผนเดินทางไปภูชี้ฟ้าควรติดตามข่าวสารและสภาพเส้นทางอย่างสม่ำเสมอ ใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ และพิจารณาเส้นทางเลี่ยงในกรณีที่มีความจำเป็ต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • นายอนุศิลป์ ตันหล้า หัวหน้าหน่วยบำรุงทางภูชี้ฟ้า แขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2
  • Chiang Rai Times – “Landslide Blocks The Road Heading To Phu Chi Fa In Chiang Rai” (14 กรกฎาคม 2568)
  • รายงานจากพื้นที่โดยเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและชาวบ้านบริเวณเกิดเหตุ
  • กองกำลังผาเมือง (Pha Muang Task Force)
  • แขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2, กรมทางหลวง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

เวียตเจ็ทไทยแลนด์ ผนึกกำลังดันไทยฮับเที่ยว! ปักหมุดเชียงราย ติด Top 10 ตรงเวลาอาเซียน

เวียตเจ็ทไทยแลนด์ ผนึกกำลังภาครัฐ-เอกชน ดันไทยเป็น Hub ท่องเที่ยวไร้ขีดจำกัด! ปักหมุดเชียงรายนำร่อง “Fun & Fly เที่ยวเมืองไทย สนุกได้ทั้งปี” พร้อมประกาศศักดาติด Top 10 สายการบินตรงเวลาที่สุดในอาเซียน

เชียงราย,14 กรกฎาคม 2568เวียตเจ็ทไทยแลนด์ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเป็นฟันเฟืองสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวไทยอย่างยั่งยืน ด้วยการเปิดตัวโครงการยักษ์ใหญ่ “Fun & Fly เที่ยวเมืองไทย สนุกได้ทั้งปี” โดยเริ่มต้นจังหวัดแรกที่ เชียงราย ภายใต้แคมเปญสุดคึกคัก เจียงฮายม่วนใจ๋ แอ่วตอนไหนก็ม่วนจอย” พร้อมกันนี้ สายการบินยังสร้างความภาคภูมิใจให้กับอุตสาหกรรมการบินไทย ด้วยการประกาศผลงานสุดโดดเด่นติด 10 อันดับแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในฐานะสายการบินที่มีความตรงต่อเวลามากที่สุด (On-Time Performance – OTP) จากการจัดอันดับของ Cirium ผู้นำระดับโลกด้านการวิเคราะห์ข้อมูลการบิน ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตเชิงกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งและมาตรฐานการบริการระดับสากล

“Fun & Fly เที่ยวเมืองไทย สนุกได้ทั้งปี” ปลุกสีสันการท่องเที่ยวไทย ไม่จำกัดฤดูกาล

เวียตเจ็ทไทยแลนด์เล็งเห็นถึงศักยภาพอันหลากหลายของการท่องเที่ยวไทยที่สามารถสัมผัสได้ตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นฤดูฝน ฤดูหนาว หรือฤดูร้อน เพื่อให้ทุกจังหวัดกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจเสมอ สายการบินจึงได้ริเริ่มโครงการ “Fun & Fly เที่ยวเมืองไทย สนุกได้ทั้งปี” ขึ้นมา โดยมีเป้าหมายในการร่วมมือกับภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการท้องถิ่น เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์การเดินทางที่น่าดึงดูดใจ และกระจายเม็ดเงินสู่เศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน

คุณภูเบศ กิตติญาณปัญญา รองผู้อำนวยการฝ่ายการพาณิชย์ สายการบินเวียตเจ็ท ไทยแลนด์ กล่าวในพิธีเปิดโครงการว่า “เรามีความเชื่อมั่นในเสน่ห์อันไม่รู้จบของประเทศไทย เวียตเจ็ทไทยแลนด์มุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำให้ทุกจังหวัดเป็นจุดหมายปลายทางที่เข้าถึงได้และน่าสนใจตลอดทั้งปี โครงการ ‘Fun & Fly เที่ยวเมืองไทย สนุกได้ทั้งปี’ นี้ จึงเป็นเสมือนสะพานเชื่อมโยงนักท่องเที่ยวกับประสบการณ์ท้องถิ่นอันล้ำค่า ที่จะนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของอุตสาหกรรม และสร้างรอยยิ้มให้กับชุมชนทั่วไทย”

เจียงฮายม่วนใจ๋ แอ่วตอนไหนก็ม่วนจอย” ต้นแบบการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น

สำหรับการเริ่มต้นโครงการ “Fun & Fly” เวียตเจ็ทไทยแลนด์ ได้เลือก จังหวัดเชียงราย เป็นจังหวัดแรก ภายใต้แคมเปญ เจียงฮายม่วนใจ๋ แอ่วตอนไหนม่วนก็จอย” ซึ่งเน้นการกระตุ้นการเดินทางและส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในจังหวัดอย่างรอบด้าน ทั้งในด้านทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ วัฒนธรรมอันงดงาม และอัตลักษณ์ท้องถิ่นอันเป็นเอกลักษณ์

ภายใต้แคมเปญนี้ เวียตเจ็ทไทยแลนด์ได้จับมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการท้องถิ่นในเชียงราย กว่า 100 ราย ครอบคลุมหลากหลายกลุ่มธุรกิจ ได้แก่ โรงแรม ร้านอาหาร คาเฟ แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ สถานบริการสุขภาพ และสถานบันเทิงยามค่ำคืน เป้าหมายคือการมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่สมบูรณ์แบบ ตอบโจทย์ความต้องการของนักเดินทางทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นนักเดินทางเดี่ยว กลุ่มเพื่อน หรือครอบครัว รวมถึงตอบสนองความชอบที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา

ผู้โดยสารที่ถือบัตรโดยสารของเวียตเจ็ทไทยแลนด์จะได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษและส่วนลดสูงสุดถึง 50% ณ ร้านค้าที่เข้าร่วมรายการทั่วจังหวัดเชียงราย ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์ที่คุ้มค่าและน่าประทับใจ แต่ยังเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจในระดับชุมชนโดยตรง ทำให้เม็ดเงินหมุนเวียนในท้องถิ่น และสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการรายย่อยได้อย่างเป็นรูปธรรม

การเปิดตัวโครงการครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากตัวแทนจากองค์กรภาครัฐและภาคเอกชนหลายท่านร่วมงาน นำโดย คุณนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย, คุณนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และนายกสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย, และ คุณโชติศิริ ดารายน นายกสมาคมสื่อมวลชนและนักประชาสัมพันธ์เชียงราย รวมถึงแขกผู้มีเกียรติท่านอื่นๆ อีกคับคั่ง นอกจากนี้ เพื่อเข้าถึงนักเดินทางรุ่นใหม่ เวียตเจ็ทไทยแลนด์ยังได้เชิญอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังมาร่วมประชาสัมพันธ์แคมเปญ เพื่อสร้างกระแสและแรงบันดาลใจในการเดินทางสู่เชียงรายอีกด้วย

ความสำเร็จระดับโลก เวียตเจ็ทไทยแลนด์ติด Top 10 สายการบินตรงเวลาที่สุดในอาเซียน

นอกจากการผลักดันการท่องเที่ยวภายในประเทศแล้ว เวียตเจ็ทไทยแลนด์ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพการบริการในทุกมิติ ซึ่งรวมถึง “ความตรงต่อเวลา” ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากผู้โดยสารทั่วโลก ล่าสุด Cirium ผู้นำระดับโลกด้านการวิเคราะห์ข้อมูลการบิน ได้จัดอันดับให้เวียตเจ็ทไทยแลนด์เป็นหนึ่งในสายการบินที่มีผลงานความตรงต่อเวลา (On-Time Performance – OTP) โดดเด่นที่สุด โดยติด 10 อันดับแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในเดือนพฤษภาคม 2568

รายงาน On-Time Performance ของ Cirium เดือนพฤษภาคม 2568 เผยว่า จากจำนวนเที่ยวบินทั้งหมด 3,077 เที่ยวบินของเวียตเจ็ทไทยแลนด์ สามารถทำคะแนนในหัวข้อต่างๆ ได้สูงอย่างน่าประทับใจ:

  • อัตราการมาถึงตรงเวลา (On-Time Arrival): 74.32%
  • เที่ยวบินที่ถูกติดตามข้อมูล (Tracked Flights): 96.82%
  • อัตราความสมบูรณ์ของเที่ยวบิน (Completion Factor): 100% (คะแนนเต็ม)

ความสำเร็จนี้สะท้อนถึงกลยุทธ์การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพภายใต้มาตรฐานระดับสากล และแสดงศักยภาพที่โดดเด่นภายใต้การแข่งขันที่เข้มข้นในตลาดโลว์คอสต์ระดับภูมิภาค Cirium ซึ่งเป็นองค์กรด้านการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับการยอมรับจากอุตสาหกรรมการบินระดับโลก ด้วยฐานข้อมูลเที่ยวบินนับล้านเที่ยวบิน เทคโนโลยี Big Data และการตรวจสอบหลายชั้น ทำให้การวิเคราะห์ด้าน OTP มีความแม่นยำ โปร่งใส และน่าเชื่อถือ สายการบินที่จะได้รับการพิจารณาเข้าสู่การจัดอันดับ จะต้องมีข้อมูลเที่ยวบินที่เสร็จสิ้นการเดินทางอย่างสมบูรณ์ไม่น้อยกว่า 90%

ความสำเร็จของเวียตเจ็ทไทยแลนด์ในครั้งนี้ เป็นผลลัพธ์จากการดำเนินกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลากว่า 8 ปีที่ให้บริการในประเทศไทย โดยเฉพาะในปี 2568 ซึ่งถือเป็นปีแห่ง การขยายตัวเชิงกลยุทธ์” ของสายการบิน ด้วยการขยายฝูงบินที่มีประสิทธิภาพ พร้อมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านปฏิบัติการ ทั้งการเสริมกำลังคนในห้องนักบินและภาคพื้น การอบรมทักษะตามมาตรฐานสากล และการนำเทคโนโลยีติดตามเที่ยวบินแบบเรียลไทม์มาใช้ในการบริหารเที่ยวบินแบบ Proactive ซึ่งสามารถคาดการณ์และป้องกันปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดความล่าช้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ก้าวต่อไปของเวียตเจ็ทไทยแลนด์ ต้นแบบสายการบินยุคใหม่

เวียตเจ็ทไทยแลนด์ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2557 และได้ให้บริการในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยมีเส้นทางบินภายในประเทศรวม 11 เส้นทาง และเครือข่ายบินสู่ต่างประเทศที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน อินเดีย และเวียดนาม นอกจากมาตรฐานด้าน OTP แล้ว เวียตเจ็ทยังได้รับรางวัลระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่อง เช่น แบรนด์สายการบินราคาประหยัดยอดเยี่ยม ประเทศไทย จาก Global Brand Awards ปี 2567 และปี 2568 รวมถึงรางวัล สายการบินที่ลูกเรือเป็นมิตรต่อผู้โดยสารมากที่สุด จาก International Finance Magazine ต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน

หากเวียตเจ็ทไทยแลนด์สามารถรักษามาตรฐานด้านความตรงต่อเวลาและการบริการที่มีคุณภาพได้อย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับขยายความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวในประเทศอย่างต่อเนื่อง สายการบินนี้จะไม่เพียงแค่เป็นสายการบินที่ “ผู้โดยสารไว้วางใจ” แต่ยังมีศักยภาพสูงในการก้าวขึ้นเป็น ต้นแบบสายการบินยุคใหม่” ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้โดยสารยุคดิจิทัล ซึ่งให้ความสำคัญกับความรวดเร็ว ความเที่ยงตรง และความคุ้มค่าเป็นอันดับแรกในการเลือกใช้บริการ

ไทยพร้อมก้าวสู่ศูนย์กลางท่องเที่ยวเอเชียด้วยสายการบินแห่งศตวรรษใหม่

โครงการ Fun & Fly โดยเวียตเจ็ทไทยแลนด์ เป็นตัวอย่างของการบูรณาการความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน และท้องถิ่น ผลักดันให้ประเทศไทยมีศักยภาพแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน เชียงรายในฐานะจังหวัดนำร่อง สะท้อนบทบาทเมืองรองที่พร้อมรับความเปลี่ยนแปลง มุ่งสู่การเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำในภูมิภาค ไม่เพียงตอบโจทย์คนไทยแต่ยังสร้างความประทับใจแก่นักเดินทางทั่วโลก

เวียตเจ็ทไทยแลนด์ พร้อมก้าวไปข้างหน้าในฐานะสายการบินไทยที่ยืนหยัดในมาตรฐานสากล ขับเคลื่อนเศรษฐกิจท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน สร้างรอยยิ้มให้ชุมชน และเชื่อมโยงประสบการณ์ใหม่ระหว่างไทยกับประเทศในภูมิภาคและทั่วโล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เวียตเจ็ทไทยแลนด์
  • Cirium, รายงาน On-Time Performance พฤษภาคม 2568
  • สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

ปีทองชา-กาแฟเชียงราย ‘ม.แม่ฟ้าหลวง’ เจ้าภาพ Global Forum ดันสู่ศูนย์กลางอุตสาหกรรมโลก

เชียงรายเปิดเวทีโลก! จัดงาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 ยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางชา-กาแฟนานาชาติ

เชียงราย,14 กรกฎาคม 2568 – แม้โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม จังหวัดเชียงรายพร้อมเขียนประวัติศาสตร์ต่อเนื่องด้วยการเตรียมจัดงาน “Global Coffee and Tea Association Forum 2025: Shaping the Future Together” โดยได้รับการสนับสนุนการจัดงานจากสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. ระหว่างวันที่ 17-20 กรกฎาคม 2568 ณ โรงแรม เลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท และอุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง

งานครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการรวมพลังผู้เล่นระดับโลกในอุตสาหกรรมชาและกาแฟ แต่ยังเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน ทั้งในฐานะจังหวัดที่ผลิตชาและกาแฟคุณภาพสูงระดับโลก และเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน พร้อมกับการเฉลิมฉลอง 1 ทศวรรษแห่งความร่วมมือทางวิชาการระหว่างสถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กับ Tea Research Institute, Chinese Academy of Agricultural Sciences

จากหมู่บ้านเล็กสู่เมืองหลวงแห่งชาและกาแฟ

เรื่องราวของเชียงรายกับอุตสาหกรรมชาและกาแฟเริ่มต้นจากศักยภาพทางธรรมชาติที่พระเจ้าประทานให้ ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นเทือกเขาสูง ภูมิอากาศเย็นสบาย และความอุดมสมบูรณ์ของดินที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกพืชเมืองหนาว ทำให้พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นแหล่งผลิตชาและกาแฟที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

ตัวเลขจากสำนักงานจังหวัดเชียงรายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เผยให้เห็นถึงความเป็นผู้นำของเชียงรายในอุตสาหกรรมนี้อย่างชัดเจน

  • ชา จังหวัดเชียงรายมีพื้นที่ปลูกชากว้างใหญ่ถึง 91,541 ไร่ คิดเป็น 68.94% ของพื้นที่ปลูกชาทั่วประเทศ และให้ผลผลิตรวม 76,893 ตัน หรือคิดเป็น 72.31% ของผลผลิตชาทั้งประเทศ
  • กาแฟ มีพื้นที่ปลูก 54,892 ไร่ คิดเป็น 25.36% ของพื้นที่ปลูกกาแฟทั่วประเทศ และให้ผลผลิตรวม 4,736 ตัน คิดเป็น 28.49% ของผลผลิตกาแฟทั้งประเทศ

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าเชียงรายไม่ได้เป็นเพียงแหล่งผลิต แต่คือศูนย์กลางและหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมชาและกาแฟของไทย ที่พร้อมจะเติบโตและสร้างมูลค่าเพิ่มสู่ตลาดโลก

ก้าวสำคัญจากประสบการณ์ที่สั่งสม

การเดินทางสู่การเป็นเจ้าภาพงาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลจากการสั่งสมประสบการณ์และการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของสถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ในการจัดงานระดับนานาชาติ 5 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2009 และการจัดงานก็ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) หรือ สสปน. อย่างต่อเนื่อง

ย้อนกลับไปในปี 2567 งาน Tea and Coffee International Symposium 2024 (TCIS2024) และ The 3rd International Congress on Cocoa Coffee and Tea Asia ที่จัดขึ้นในเดือนกรกฎาคม ได้สร้างความประทับใจและผลลัพธ์ที่เกินความคาดหมาย การจัดงานในรูปแบบ Hybrid ร่วมกับ The State Key Laboratory of Tea Plant Biology and Utilization Anhui Agricultural University สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม โดยมีผู้เข้าร่วมถึง 437 คน จาก สาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ไต้หวัน อินเดีย เวียดนาม ฝรั่งเศส เยอรมนี ฮังการี สหราชอาณาจักร แคนาดา รวม 11 ประเทศ

สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือผลลัพธ์ทางธุรกิจที่เกิดขึ้น มีการออกบูธแสดงสินค้าจากผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศมากกว่า  40 บูธ  เช่นจากประเทศจีนและญี่ปุ่น ซึ่งนำไปสู่การเจรจาจับคู่ธุรกิจมากถึง 7 ธุรกิจ และที่สำคัญที่สุดคือการสร้างมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจในพื้นที่ประมาณ 8.47 ล้านบาท ตามข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)

ความสำเร็จนี้ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 งาน Chiangrai Brewtopia 2025 ที่จัดร่วมกับสิงห์ปาร์ค เชียงราย ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการกาแฟอีกครั้ง ภายในงานมีการสัมมนาหัวข้อ “Sustainability in Specialty Coffee: Challenges and Opportunities” กับบูธแสดงสินค้า 44 ร้าน ผลลัพธ์ที่ได้คือการเชื่อมโยงเครือข่ายกาแฟระหว่างประเทศที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น การกระตุ้นยอดขาย และการส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

วิสัยทัศน์แห่งอนาคตการสร้างสังคมที่ยั่งยืน

งาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 ไม่ใช่เพียงแค่การประชุมทางวิชาการหรือเวทีทางการค้า แต่เป็นการรวมพลังเพื่อเตรียมรับความท้าทายที่อุตสาหกรรมชาและกาแฟทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นความยั่งยืนที่กลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 21

จากข้อมูลสถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้เผยถึงความสำคัญของงานนี้ถึงการเชื่อมั่นว่า “งาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 จะเป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่ช่วยให้ผู้เล่นในอุตสาหกรรมชาและกาแฟทั่วโลกได้มาทำงานร่วมกัน แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และหาแนวทางรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ โดยเฉพาะประเด็นความยั่งยืน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมในระยะยาว”

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การขาดแคลนวัตถุดิบ และความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นสามประเด็นหลักที่งานนี้จะมุ่งเน้นหาแนวทางแก้ไขผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างประเทศ

หลากหลายมิติกิจกรรมจากห้องประชุมสู่ไร่นา

การจัดงานในระยะเวลา 4 วันเต็ม ตั้งแต่วันที่ 17-20 กรกฎาคม 2568 โดยวันที่ 17 กรกฎาคม จะเป็นวันเปิดงานประชุม Global Coffee and Tea Association Forum 2025 ณ โรงแรม เลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท โดยคาดการณ์ว่าจะมีผู้ที่สนใจเข้าร่วมมากถึง 250 คน จากประเทศไทย 210 คน และต่างประเทศมากถึง 40 คน หลายทวีป รวมถึงเอเชีย ยุโรป และอเมริกา

ส่วนไฮไลต์ของงานที่บรรดาประชาชนจะมาร่วมในวันที่ 18 กรกฎาคม จะเป็นวันสำคัญสำหรับการสร้างเครือข่ายระดับสูง ด้วยการจัด Round table: Shaping future together สำหรับผู้แทนสมาคมชาและกาแฟ หน่วยงานภาครัฐ และมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังเป็นวันเปิดงานแสดงสินค้า Chiang Rai Brewtopia (Green Season) ณ อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง ซึ่งจะเป็นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ชาและกาแฟคุณภาพสูงจากผู้ผลิตท้องถิ่นและนานาชาติ

วันที่ 19 กรกฎาคม ผู้แทนสมาคมทั้งในและต่างประเทศ ที่จะได้เข้าร่วมกิจกรรม Farm visit: A Cup to Village ซึ่งเป็นการเยี่ยมชมแปลงปลูกและกระบวนการผลิตชาและกาแฟในพื้นที่จริง การเดินทางนี้จะพาผู้เข้าร่วมไปสู่ World Award-Winning Tea Route เส้นทางดอยแม่สลองและเส้นทาง Coffee: A cup to village ที่จะให้ประสบการณ์ตรงจากต้นทางสู่ปลายทางของอุตสาหกรรมชาและกาแฟ

สำหรับวันที่ 19-20 กรกฎาคม งานแสดงสินค้า Chiang Rai Brewtopia (Green Season) จะเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชม ณ อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง โดยคาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าชมงานตลอด 3 วัน ไม่น้อยกว่า 2,500 คน พร้อมมีร้านค้าจากในประเทศและต่างประเทศ  40 ร้านค้า และกิจกรรม Workshop ที่น่าสนใจสำหรับเกษตรกร ผู้ประกอบการ และผู้สนใจทั่วไป

เฉลิมฉลองมิตรภาพรากฐานความสัมพันธ์ไทย-จีน

อีกหนึ่งความพิเศษของงานในปีนี้คือการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความแข็งแกร่งของมิตรภาพระหว่างสองประเทศที่ได้พัฒนาและเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 1 ทศวรรษแห่งความร่วมมือระหว่างสถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กับ Tea Research Institute, Chinese Academy of Agricultural Sciences จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2558

ความร่วมมือที่ยาวนานนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การแลกเปลี่ยนทางวิชาการ แต่ยังเป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมชาและกาแฟของทั้งสองประเทศ ผลจากความร่วมมือนี้ทำให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต การพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ การจัดกิจกรรมฝึกอบรมเพื่อเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการชาไทย และการสร้างเครือข่ายการค้าที่เชื่อมโยงตลาดในภูมิภาคเอเชียอย่างแข็งแกร่ง

การเปลี่ยนแปลงในระดับภูมิภาคเส้นทางแห่งความสำเร็จกับประสบการณ์จากงานระดับนานาชาติ

การจัดงาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่การสร้างเครือข่ายหรือการแลกเปลี่ยนความรู้ แต่ยังมุ่งหวังที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกที่ยาวนานและครอบคลุมหลายมิติ

ในมิติทางสังคม (Social Impact) งานนี้คาดว่าจะช่วยพัฒนาและยกระดับทักษะของเกษตรกรและผู้ประกอบการในพื้นที่ ผ่านการเข้าถึงองค์ความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระดับนานาชาติที่จะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ตลาดโลก และการส่งเสริมการทำเกษตรแบบยั่งยืนที่จะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับชุมชน

ในมิติทางเศรษฐกิจ (Economic Impact) ผลลัพธ์ที่คาดหวังคือการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมชาและกาแฟไทยในตลาดโลก ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของมูลค่าการส่งออกและการสร้างรายได้ให้กับประเทศ นอกจากนี้ยังจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในจังหวัดเชียงรายผ่านการจัดงานและการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ การเพิ่มยอดขายสินค้าและผลิตภัณฑ์ในงานแสดงสินค้า และการสร้างโอกาสในการลงทุนและพัฒนาโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศ

เส้นทางสู่ “Chiang Rai Tea and Coffee Destination”

งาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 เป็นก้าวสำคัญในเส้นทางที่จะขับเคลื่อนจังหวัดเชียงรายให้กลายเป็น “Chiang Rai Tea and Coffee Destination” ที่แท้จริง ไม่เพียงแค่ในฐานะแหล่งผลิตชาและกาแฟคุณภาพสูง แต่ยังเป็นศูนย์กลางการค้า การวิจัยและพัฒนา และการจัดงานเทศกาลระดับนานาชาติในอุตสาหกรรมนี้

ความสำเร็จของงานนี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความพร้อมของเชียงรายในการเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมชาและกาแฟในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับจังหวัดอื่นๆ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปสู่ระดับสากล

การรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย เกษตรกร และผู้ประกอบการจากทั่วโลกในครั้งนี้ จะเป็นการสร้างพลังขับเคลื่อนที่สำคัญสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมชาและกาแฟไทยให้มีความยั่งยืน สร้างสรรค์ และสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกในยุคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

อนาคตที่เต็มไปด้วยความหวัง

งาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 ไม่ใช่เพียงแค่งานประชุมหรือเทศกาลสินค้า แต่เป็นการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับอุตสาหกรรมชาและกาแฟทั่วโลก ผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ และการหาแนวทางแก้ไขความท้าทายร่วมกัน

สำหรับจังหวัดเชียงราย งานนี้จะเป็นการยืนยันสถานะในฐานะ “เมืองหลวงแห่งชาและกาแฟของไทย” และเป็นก้าวสำคัญสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมชาและกาแฟของภูมิภาค การสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น การพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและชุมชน และการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของผลิตภัณฑ์ไทยในตลาดโลก

ในขณะที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ อย่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง การรวมตัวของผู้เล่นในอุตสาหกรรมเพื่อหาแนวทางแก้ไขร่วมกันจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง งาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 จะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและเต็มไปด้วยความหวังสำหรับอุตสาหกรรมชาและกาแฟทั่วโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด
  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย, ข้อมูลสถิติการเกษตร ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567
  • สถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, รายงานผลการจัดงาน TCIS2024
  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB), รายงานผลกระทบทางเศรษฐกิจ 2567
  • Tea Research Institute, Chinese Academy of Agricultural Sciences, รายงานความร่วมมือด้านการวิจัยชา 2558-2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

เมืองรองสู่เวทีโลก เชียงรายพร้อมแจ้งเกิด! เรียนรู้จากเชียงใหม่เมืองที่ดีที่สุดอันดับ 2

เชียงรายก้าวสู่เมืองท่องเที่ยวระดับโลกถอดบทเรียนจากเชียงใหม่ อันดับ 2 “เมืองที่ดีที่สุดในโลก ปี 2025” สู่ความเป็นเลิศสากล

เชียงรายกับโอกาสบนเวทีโลกเมื่อเมืองรองขยับสู่เส้นทางความสำเร็จ

ประเทศไทย, 13 กรกฎาคม 2568 –  เมืองเหนือที่เปี่ยมด้วยศักยภาพ กำลังถูกจับตามองในฐานะเมืองท่องเที่ยวที่มีโอกาสแจ้งเกิดบนเวทีโลก หลังจากที่เชียงใหม่คว้าอันดับ 2 “เมืองที่ดีที่สุดในโลก ปี 2025” จากการจัดอันดับของ Travel + Leisure สื่อท่องเที่ยวยักษ์ใหญ่ระดับโลก หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความพร้อมของเชียงรายว่า จะสามารถเดินรอยตามเมืองพี่อย่างเชียงใหม่ สู่การเป็นจุดหมายในฝันของนักเดินทางนานาชาติได้หรือไม่

ไขรหัส “เมืองที่ดีที่สุดในโลก” จากมุมมอง Travel + Leisure

การจัดอันดับ “World’s Best Awards” ของ Travel + Leisure ไม่ได้วัดกันแค่ความสวยงามของแหล่งท่องเที่ยวหรือรสชาติอาหารเท่านั้น แต่ครอบคลุมองค์ประกอบสำคัญหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นระบบคมนาคมขนส่ง ความสะดวกในการเดินทาง พื้นที่สีเขียว ความเป็นมิตรของผู้คน ไปจนถึงบรรยากาศเมืองโดยรวม เมืองที่คว้าอันดับ 1 อย่างซานมิเกลเดอาเยนเดในเม็กซิโก โดดเด่นด้วยประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และการเป็นศูนย์กลางสำหรับนักสำรวจไวน์ ขณะที่เชียงใหม่และกรุงเทพฯ ของไทยเองก็ครองใจนักเดินทางจากทั่วโลกด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว

จุดแข็งของเชียงรายต่อยอดสู่ความยั่งยืน

แม้เชียงรายจะยังไม่ติดโผ 10 อันดับแรกของการจัดอันดับนี้ แต่ด้วยจุดแข็งหลายด้าน เมืองเหนือแห่งนี้ก็พร้อมจะพัฒนาและต่อยอดสู่มาตรฐานสากล

  • มรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ
    เชียงรายมีทั้งศิลปะ ประวัติศาสตร์ และธรรมชาติที่งดงาม เช่น วัดร่องขุ่น ดอยตุง ดอยแม่สลอง หรือสามเหลี่ยมทองคำ สถานที่เหล่านี้กลายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติอย่างต่อเนื่อง
  • เมืองแห่งชาและกาแฟ
    การประกาศวิสัยทัศน์ให้เชียงรายเป็น “เมืองแห่งชาและกาแฟ” ควบคู่กับการพัฒนาแบรนด์กาแฟ GI อย่างกาแฟดอยตุงและกาแฟดอยช้าง รวมถึงการจัดงานเทศกาลระดับชาติ สร้างภาพจำใหม่ให้เชียงรายเป็นจุดหมายของคอกาแฟและนักท่องเที่ยวสายประสบการณ์
  • นวัตกรรมและการวิจัย
    เชียงรายลงทุนในงานวิจัยและนวัตกรรมต่อเนื่อง เช่น “เชียงราย 1” “เชียงราย 2” หรือ “จมูกอิเล็กทรอนิกส์” ที่ใช้วิเคราะห์รสชาติกาแฟ ไปจนถึงผลิตภัณฑ์คาเฟอีนต่ำ เพิ่มมูลค่าและชื่อเสียงผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
  • โครงสร้างพื้นฐานและศักยภาพชายแดน
    เมืองเชียงรายได้รับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นถนน สนามบิน หรือด่านการค้าชายแดน จุดแข็งด้านที่ตั้งเป็น “ประตูสู่อาเซียน” เอื้อประโยชน์ต่อทั้งธุรกิจท่องเที่ยวและการค้าชายแดน
  • เมืองปลอดภัยและเป็นมิตร
    เชียงรายได้รับการจัดอันดับเป็น “เมืองปลอดภัยที่สุดในโลกอันดับ 2 สำหรับนักเดินทางหญิงสายดิจิทัล” สะท้อนถึงความปลอดภัยและบรรยากาศเป็นมิตรที่รองรับนักเดินทางจากทั่วโลก

ก้าวต่อไปของเชียงรายสู่เมืองในฝันของโลก

เชียงรายยังคงมีพื้นที่ให้พัฒนาและยกระดับไปอีกหลายด้านเพื่อสู่เป้าหมาย “เมืองที่ดีที่สุดในโลก” ดังนี้

  • ยกระดับประสบการณ์การท่องเที่ยว
    เมืองต้องไม่เพียงแค่สวยงาม แต่ต้องสร้างประสบการณ์ที่ลึกซึ้ง เช่น การท่องเที่ยวเชิงกาแฟ เรียนรู้วัฒนธรรมชนเผ่า หรือเข้าร่วมเทศกาลท้องถิ่น
  • พัฒนาโครงข่ายคมนาคมและสาธารณูปโภค
    การเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ควรเข้าถึงง่ายและปลอดภัย รวมถึงการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานให้พร้อมรับนักท่องเที่ยว
  • รักษาสิ่งแวดล้อมและเพิ่มพื้นที่สีเขียว
    การบริหารจัดการหมอกควัน มลพิษ และเพิ่มสวนสาธารณะ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่จะส่งผลต่อภาพลักษณ์และคุณภาพชีวิตของนักเดินทาง
  • เสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรมและความเป็นมิตร
    เมืองควรสร้างบรรยากาศเปิดกว้างสำหรับผู้คนหลากหลาย สร้างความประทับใจด้วยรอยยิ้มและการต้อนรับแบบไทย
  • การมีส่วนร่วมของชุมชน
    การให้คนท้องถิ่นมีบทบาทในการพัฒนาและรักษาอัตลักษณ์ รวมถึงการกระจายรายได้สู่ชุมชน จะสร้างความยั่งยืนให้กับเมือง
  • ประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์เชิงรุก
    การสื่อสารจุดแข็งของเชียงรายออกสู่เวทีโลกผ่านช่องทางดิจิทัลและสื่อระหว่างประเทศ จะยิ่งผลักดันให้เชียงรายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

เชียงรายพร้อมก้าวสู่เวทีสากล

เชียงรายคือเมืองที่รวมความโดดเด่นทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรม นวัตกรรม และความเป็นมิตรในบรรยากาศเดียวกัน หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันขับเคลื่อนและเสริมจุดแข็ง พัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน เมืองแห่งนี้มีศักยภาพมากพอจะกลายเป็นหนึ่งในจุดหมายสำคัญของนักเดินทางระดับโลก

การถอดบทเรียนจากเชียงใหม่และเมืองชั้นนำอื่นๆ ของโลก ไม่ใช่เพียงการลอกเลียนแบบ แต่คือการปรับใช้และสร้างจุดขายเฉพาะตัวที่เชียงรายมีอย่างแท้จริง เมื่อถึงวันนั้น เชียงรายจะเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของไทยที่ยืนหยัดบนเวทีโลกอย่างสง่างาม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

พลิกวิกฤตสู่โอกาส กาแฟ Specialty ต่ำร้อย ยอดขายทะลุเป้า กลยุทธ์ใหม่ร้านกาแฟไทย

กาแฟ Specialty ราคาต่ำร้อย ดันตลาดโตสวนกระแสเศรษฐกิจ เจาะกลยุทธ์ร้านกาแฟยุคใหม่ยุคดิจิทัล

ตลาดร้านอาหารกับร้านกาแฟ แตกต่างชัดเจนในยุคเศรษฐกิจผันผวน

กรุงเทพฯ, 12 กรกฎาคม 2568 –ในปี 2568 สถานการณ์เศรษฐกิจไทยยังเต็มไปด้วยความท้าทาย จำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลงและกำลังซื้อผู้บริโภคที่ชะลอตัว ส่งผลต่อยอดขายและการเปิดใหม่ของร้านอาหารอย่างเห็นได้ชัด LINE MAN Wongnai รายงานในงาน Thailand Coffee Fest 2025 ว่ายอดขายร้านอาหารรวมลดลงถึง 14% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จำนวนร้านอาหารที่เปิดใหม่ในปี 2025 ก็ลดลง 30% และมีอัตราการปิดตัวสูงถึง 50% สะท้อนแรงกดดันจากสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว

แต่ในขณะเดียวกัน ตลาดร้านกาแฟโดยเฉพาะกลุ่ม Specialty Coffee กลับแข็งแกร่งและเติบโตสวนทางตลาดอาหาร ร้านกาแฟที่ขายกาแฟ Specialty ราคาต่อบิลต่ำกว่า 100 บาทกลายเป็นขวัญใจผู้บริโภคในยุคนี้ โดยในกรุงเทพฯ มีอัตราเติบโตถึง 46% ส่วนต่างจังหวัดโต 19% ถือว่าโดดเด่นท่ามกลางวิกฤต

ร้านกาแฟยังรอดมากกว่าร้านอาหารตัวเลขชี้ชัดความต่าง

แม้จำนวนร้านกาแฟเปิดใหม่จะลดเหลือเพียง 5,000 ร้านในครึ่งปีแรก จาก 7,000 ร้านของปีก่อน แต่อัตราการรอดในปีแรกกลับสูงกว่าร้านอาหารอย่างมีนัยสำคัญ ร้านกาแฟมีอัตราการปิดตัวเพียง 43% ในขณะที่ร้านอาหารปิดถึง 50% สะท้อนให้เห็นว่าโมเดลธุรกิจร้านกาแฟยืดหยุ่นและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของตลาดได้ดีกว่า

อีกหนึ่งกลุ่มเครื่องดื่มที่มาแรงไม่แพ้กาแฟ คือ “มัทฉะ” ซึ่งยอดขายในร้านมัทฉะเดิมเพิ่มขึ้นถึง 28% บ่งชี้ถึงแนวโน้มผู้บริโภคที่หันมาเลือกเมนูเครื่องดื่มทางเลือกมากขึ้น

กาแฟ Specialty ครองตลาดคุณภาพสำคัญกว่าราคา

ยอดขาย Specialty Coffee ครองตลาดถึง 56% ของยอดขายกาแฟทั่วประเทศ และสูงถึง 66% ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เทรนด์นี้ชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคที่หันมาให้ความสำคัญกับคุณภาพรสชาติ กลิ่น และประสบการณ์การดื่มมากกว่าราคาที่ถูกที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Specialty Coffee ที่จับต้องได้ในราคาต่ำร้อย

เทคโนโลยีเดลิเวอรีพลิกเกมฟันเฟืองธุรกิจกาแฟยุคใหม่

การใช้ช่องทางเดลิเวอรีกลายเป็นหัวใจสำคัญของการทำตลาดกาแฟในยุคดิจิทัล LINE MAN Wongnai เปิดเผยว่ายอดขายกาแฟผ่านเดลิเวอรีเพิ่มขึ้นถึง 23% และคิดเป็น 22% ของยอดขายร้านกาแฟทั้งหมด ในขณะเดียวกัน Digital Payment ช่วยเพิ่มยอดขายต่อบิลถึง 32% ส่วนการสั่งอาหาร/เครื่องดื่มผ่าน QR Code ช่วยเพิ่มขนาดออเดอร์ถึง 37% เทคโนโลยีเหล่านี้จึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นหัวใจสำคัญของความอยู่รอดและการเติบโต

สามหัวใจสำคัญธุรกิจอาหาร-เครื่องดื่มยุคใหม่

LINE MAN Wongnai ได้สรุป 3 กลยุทธ์สำคัญสำหรับความสำเร็จในยุคนี้ ได้แก่

  1. คุณภาพราคาจับต้องได้: สินค้าที่ดีและราคาที่เหมาะสม คือหัวใจดึงดูดใจลูกค้า
  2. Omni-channel: มีช่องทางขายครบทั้งหน้าร้านและออนไลน์ เข้าถึงลูกค้าได้ทุกกลุ่ม
  3. ใช้เทคโนโลยีอย่างเต็มประสิทธิภาพ: จากระบบ POS สู่การสั่ง-จ่ายเงินดิจิทัล ลดต้นทุน ขยายตลาดได้ไกลขึ้น

ข้อมูลยังชี้ว่า “ทำเลที่ตั้ง” ยังสำคัญไม่แพ้กัน ร้านอาหารที่อยู่ในห้างมีโอกาสรอดสูงกว่าร้านนอกห้างถึง 22% ส่วนร้านกาแฟในย่านที่มีผู้คนหนาแน่นหรือเดินทางสะดวกก็มักจะประสบความสำเร็จมากกว่าเช่นกัน

โปรโมชัน-เมนูใหม่สร้างแรงจูงใจยอดขาย

เดลิเวอรียังคงเป็นช่องทางดึงดูดลูกค้าสำคัญ ลูกค้า 88% มองหาโปรค่าอาหาร 59% เลือกจากส่วนลดค่าส่ง และอีก 56% ชื่นชอบโปรเซ็ตเมนู เทรนด์เมนูที่มาแรงอย่าง “ชิโอะปัง” ก็สะท้อนถึงการปรับตัวและนวัตกรรมในเมนูที่ตอบโจทย์พฤติกรรมใหม่

เมนูที่ถูกค้นหามากสุด 5 อันดับ ได้แก่ หม่าล่า, หมี่ไก่ฉีก, สุกี้, ผัดไทย และขนมปัง ขณะเดียวกัน ร้านค้าที่อัปเดตเมนูและโปรโมชันบ่อยครั้ง ยังคงได้เปรียบในการแข่งขัน

ตลาดกาแฟไทยในยุคใหม่

ตลาดกาแฟไทยในปี 2025 ไม่ได้วัดกันที่เมล็ดพันธุ์หรือความพรีเมียมเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่คือยุคที่ผู้บริโภคเข้าถึงกาแฟคุณภาพได้ง่าย ราคาสมเหตุสมผล การใช้เทคโนโลยีและช่องทางขายแบบ Omni-channel กลายเป็นปัจจัยความสำเร็จที่แท้จริง

ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในยุคใหม่นี้ คุณภาพ จับต้องได้ และนวัตกรรม คือหัวใจที่ขับเคลื่อนให้เติบโตอย่างยั่งยืนท่ามกลางทุกความเปลี่ยนแปลง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • LINE MAN Wongnai (รายงานตลาดร้านอาหาร-กาแฟ 2568)
  • Thailand Coffee Fest 2025
  • ข้อมูลประกอบจากสมาคมร้านกาแฟไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News