Categories
ECONOMY

SCB EIC เตือน! การนำเข้าทะยาน 53% ของ GDP ไทย เสี่ยงพึ่งจีนหนัก

ไทยเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ การนำเข้าพุ่งสูงสุดรอบ 12 ปี สะท้อนพึ่งพาจีนหนัก เสี่ยงเป็นแค่ “ประเทศทางผ่าน” ในห่วงโซ่อุปทานโลก!

เชียงราย, 19 กรกฎาคม 2568 – เปิดม่าน “โจทย์ใหม่เศรษฐกิจไทย” เมื่อการนำเข้าทะยานสูงสุดรอบ 12 ปี ท่ามกลางกระแสเศรษฐกิจโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวน ผลการศึกษาของ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนวงการเศรษฐกิจไทยอย่างยิ่ง เมื่อเผยแพร่ข้อมูลชี้ชัดว่า มูลค่าการนำเข้าสินค้าของไทยในปี 2567-2568 ขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2020 โดยสัดส่วนการนำเข้าสินค้าต่อจีดีพีของไทยพุ่งสูงถึง 53% ในปี 2024 ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบ 12 ปีที่ผ่านมา ทั้งยังส่งผลให้ไทยเผชิญภาวะขาดดุลการค้าติดต่อกันเป็นปีที่ 3

สัญญาณนี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจของไทยอย่างเด่นชัด โดยเฉพาะบทบาทของไทยในห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain) ที่กำลังเปลี่ยนจาก “ประเทศผู้ผลิต” สู่ “ประเทศผู้ซื้อ” และ “ประเทศทางผ่าน” มากขึ้นทุกที

3 ปัจจัยหนุนการนำเข้าทะยาน – ผลักไทยสู่จุดเปลี่ยนใหญ่

การวิเคราะห์ของ SCB EIC ระบุชัดว่า แนวโน้มการนำเข้าสินค้าของไทยที่เร่งตัวขึ้นตลอด 4 ปีหลัง เกิดจาก 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่

  1. การระบายสินค้าส่วนเกินจากจีน: จีนในฐานะประเทศผู้ผลิตอันดับต้นของโลก เผชิญปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกสินค้าส่วนเกินมายังประเทศคู่ค้าเพิ่มสูงขึ้น ไทยกลายเป็นปลายทางสำคัญ ด้วยอัตราการนำเข้าสินค้าจากจีนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 4 เท่า
  2. ธุรกิจอีคอมเมิร์ซข้ามชาติเติบโต: คนไทยนิยมช้อปปิ้งผ่านแพลตฟอร์มข้ามชาติ เช่น Alibaba, Shopee, Lazada สินค้าส่วนใหญ่ที่สั่งซื้อมาจากจีน ไม่เพียงกระตุ้นการนำเข้าในกลุ่มอุปโภคบริโภค แต่ยังส่งผลให้รายได้ของธุรกิจออนไลน์เหล่านี้ไหลกลับไปยังต่างประเทศ มากกว่าหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทย
  3. โครงสร้างอุตสาหกรรมที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้า (High Import Content): กลุ่มธุรกิจที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้ามีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้น พบทั้งในกลุ่มการผลิต (อิเล็กทรอนิกส์ เหล็ก พลาสติก) ก่อสร้าง บริการ และร้านอาหาร โดยเฉพาะกลุ่มทุนต่างชาติที่ย้ายฐานเข้ามาเพียงเพื่อประกอบขั้นต้นในไทย แล้วส่งออกต่อไปยังประเทศที่สาม

ผลกระทบเป็นลูกโซ่ ไทยกลายเป็น “Trader” ภาคอุตสาหกรรมซบเซา-เสี่ยงตกเป็นทางผ่าน

บทวิเคราะห์ของ SCB EIC เตือนชัดว่า ผลลัพธ์ของการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นมีทั้งด้านเศรษฐกิจมหภาคและความมั่นคงทางอุตสาหกรรม

  • อุตสาหกรรมภายในประเทศซบเซา: การนำเข้าสินค้าทดแทนการผลิตในประเทศ กลายเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรม ทั้งกลุ่มเหล็ก, แผงวงจร, เครื่องใช้ไฟฟ้า, ชิ้นส่วนยานยนต์และพลาสติก ไทยเสี่ยงสูญเสียความสามารถในการแข่งขันและมูลค่าเพิ่ม (Value-added) ลดลง
  • ธุรกิจ “ซื้อมา-ขายไป” & ความเสี่ยง “สวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้า”: ธุรกิจในไทยจำนวนมากเริ่มเปลี่ยนบทบาทเป็น “Trader” มากกว่าผู้ผลิต โดยเฉพาะในกลุ่มแผงวงจร, อิเล็กทรอนิกส์, ยานยนต์, พลาสติก, อะลูมิเนียม และเครื่องใช้ไฟฟ้า กิจกรรมเหล่านี้บางส่วนอาจเข้าข่าย “สวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้า” เพื่อเลี่ยงกำแพงภาษีในตลาดตะวันตก ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อมาตรการกีดกันในอนาคต

จากผู้ผลิตสู่ผู้ซื้อ ไทยเสี่ยง “ติดกับดักประเทศทางผ่าน”

หากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป ไทยจะเสี่ยงต่อการถูกลดบทบาทในห่วงโซ่อุปทานโลกจาก “ฐานการผลิต” ไปสู่ “ประเทศผู้ซื้อ” และ “ประเทศทางผ่าน” ซึ่งมีลักษณะเป็นจุดพักสินค้า หรือประกอบสินค้าก่อนส่งออกไปยังปลายทางประเทศที่สาม โดยที่มูลค่าเพิ่มและประโยชน์ที่ได้ตกอยู่กับเจ้าของวัตถุดิบหรือแบรนด์ต่างชาติ

ประเด็นสำคัญที่ควรจับตาได้แก่

  • ขีดความสามารถแข่งขันถดถอย: หากภาคการผลิตภายในประเทศยังพึ่งพานำเข้าสูง จะกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว
  • ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบระหว่างประเทศ: มาตรการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าและมาตรการกีดกันการค้าโดยสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป อาจทำให้ไทยเผชิญความยากลำบากในการส่งออกสินค้ากลุ่มเสี่ยง
  • บทบาทจีนที่เพิ่มขึ้น: เมื่อธุรกิจและแพลตฟอร์มจีนกลายเป็นผู้กำหนดทิศทางตลาด ภาคธุรกิจไทยต้องเร่งพัฒนาและหาจุดแข็งที่แท้จริงของประเทศ

ทางรอดต้องเร่งปรับยุทธศาสตร์ “จากทางผ่าน สู่ศูนย์กลางมูลค่าสูง”

บทเรียนจากสถานการณ์นี้สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้กำหนดนโยบายของไทยต้องร่วมมือกันในการ

  • ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เน้นนวัตกรรม เทคโนโลยี และการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
  • ลดการพึ่งพิงวัตถุดิบและสินค้าเทคโนโลยีต่ำจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน
  • สร้างแรงจูงใจในการลงทุนและพัฒนาทักษะแรงงาน เพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมอนาคต (Next-Gen Industry)
  • ผลักดันการเชื่อมโยงซัพพลายเชนในประเทศ สร้างผู้ประกอบการไทยที่แข็งแกร่ง
  • ติดตามและปรับตัวตามมาตรการกีดกันการค้าและข้อกำหนดแหล่งกำเนิดสินค้าอย่างใกล้ชิด

วิเคราะห์สถานการณ์

สถานการณ์การนำเข้าสูงสุดในรอบ 12 ปีของไทยถือเป็น “สัญญาณเตือน” สำคัญ ที่ทุกภาคส่วนควรร่วมกันหาทางออก เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจไทยตกสู่ “กับดักประเทศทางผ่าน” ในห่วงโซ่อุปทานโลก การเพิ่มขีดความสามารถภายในและสร้างจุดแข็งใหม่จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย
  • สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
  • รายงานข่าวเศรษฐกิจและสถิติการค้าไทย-จีน
  • กระทรวงพาณิชย์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“นายก นก” ลุยเอง! อบจ.เชียงรายเสริมแกร่งป้องกันน้ำท่วม เร่งเตรียมพร้อมรับมือพายุ

อบจ.เชียงราย “นายก นก” ลงพื้นที่เทิง เร่งมอบบิ๊กแบ็ค-สร้างทางเบี่ยง สั่งเตรียมพร้อมเต็มสูบรับมือ “พายุวิภา”

เชียงราย, 19 กรกฎาคม 2568 – ลงพื้นที่เชิงรุก ตอบโจทย์ภัยพิบัติ: อบจ.เชียงราย-ผู้นำท้องถิ่นเดินหน้าป้องกันน้ำท่วมอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอเทิง กลายเป็นหนึ่งในแนวหน้าการเตรียมรับมือภัยพิบัติในฤดูฝนปีนี้ เมื่อองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ภายใต้การนำของนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย หรือ “นายก นก” เดินหน้านำทีมลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งจัดการสถานการณ์และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดจากอิทธิพลของพายุโซนร้อน “วิภา” ที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยและมีแนวโน้มสร้างฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องในภาคเหนือ

เร่งมอบบิ๊กแบ็ค – เสริมแนวป้องกันชุมชนเวียงเทิง

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 19 กรกฎาคม 2568 นายก นก พร้อมด้วยสมาชิกสภา อบจ.เชียงราย เขตอำเภอเทิง ได้แก่ นายอาทิตย์ รู้ทำนอง (เขต 1), นายสุชัด เสนคำ (เขต 2), นายประจวบ แก้วข้าว (เขต 3) และเจ้าหน้าที่ อบจ.เชียงราย ได้ลงพื้นที่บ้านตั้งข้าว หมู่ 2 และหมู่ 14 ตำบลเวียง เทศบาลตำบลเวียงเทิง เพื่อมอบกระสอบบิ๊กแบ็คแก่ประชาชน โดยมีนายเอนก ปัญทะยม นายอำเภอเทิง และนายสิงห์ทอง หนุนนำศิริสวัสดิ์ นายกเทศมนตรีตำบลเวียงเทิง เป็นตัวแทนรับมอบ

นายก นก เปิดเผยกับประชาชนว่า “อบจ.เชียงราย ตระหนักถึงความเดือดร้อนที่อาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์น้ำท่วม โดยเฉพาะในฤดูฝนนี้ เรามุ่งเน้นการป้องกันเชิงรุก จึงได้เร่งมอบกระสอบบิ๊กแบ็ค เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมแนวป้องกันน้ำท่วม หวังว่าทุกครัวเรือนจะสามารถเตรียมตัวรับมือกับวิกฤตได้อย่างทันท่วงที”

กระสอบบิ๊กแบ็คที่ได้รับการจัดสรรในครั้งนี้ จะถูกนำไปวางเป็นแนวป้องกันน้ำและเตรียมการรับมือสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่เสี่ยง ช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อบ้านเรือนและทรัพย์สินของประชาชน ถือเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารความเสี่ยงเชิงรุกในระดับท้องถิ่น

ลุยสร้างทางเบี่ยง – รับมือปัญหาน้ำป่า “ลำน้ำหงาว”

ต่อมาเวลา 10.30 น. นายก นก และคณะเดินทางต่อไปยังบ้านปางค่า หมู่ 8 ตำบลหงาว อำเภอเทิง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เพิ่งเผชิญกับน้ำป่าไหลหลากเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ทางเบี่ยงขาดและชาวบ้านไม่สามารถสัญจรไปมาได้

อบจ.เชียงราย ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่สำนักช่างเร่งนำเครื่องจักรกลเข้าดำเนินการสร้างทางเบี่ยงชั่วคราว เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง พร้อมสนับสนุนการวางกระสอบบิ๊กแบ็คบรรจุทรายตลอดแนวตลิ่งลำน้ำหงาว ป้องกันการพังทลายและลดผลกระทบในระยะยาวต่อเส้นทางการสัญจรและทรัพย์สินของประชาชน โดยคาดว่าทางเบี่ยงใหม่จะแล้วเสร็จภายใน 2 วันนี้

นอกจากนี้ ยังได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นในอำเภอเทิง เพื่อวางแผนรับมือกับสถานการณ์อุทกภัยที่อาจเกิดขึ้น พร้อมกำชับให้ทุกฝ่ายเตรียมอุปกรณ์และแผนฉุกเฉินเต็มรูปแบบ

 “อบจ.เชียงราย” เดินหน้าทำงานเชิงรุก สร้างความมั่นใจชาวบ้าน

เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างอบจ.เชียงราย ที่สามารถเคลื่อนตัวและตอบสนองต่อภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม หลายประเด็นสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงแนวคิดการบริหารจัดการภัยพิบัติยุคใหม่ในระดับท้องถิ่น ได้แก่

  • การตอบสนองฉับไว: ทันทีที่มีรายงานผลกระทบ อบจ.เชียงรายสามารถจัดสรรและมอบกระสอบบิ๊กแบ็ค รวมถึงนำเครื่องจักรกลลงพื้นที่ทันที เป็นการสร้างความมั่นใจและลดความกังวลให้ประชาชนในยามวิกฤต
  • การเตรียมพร้อมล่วงหน้า: การมอบกระสอบบิ๊กแบ็คให้กับชุมชนเสี่ยงน้ำท่วม ช่วยให้ชาวบ้านมีเครื่องมือรับมือภัยธรรมชาติ ตั้งแต่ก่อนวิกฤตจะมาถึง เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการลดความเสียหาย
  • การแก้ปัญหาที่ตรงจุด: การสร้างทางเบี่ยงชั่วคราวหลังน้ำป่าหลาก ช่วยให้การเดินทางของชาวบ้านไม่สะดุด และลดผลกระทบในชีวิตประจำวัน
  • การสื่อสารเชิงบวกและสร้างขวัญกำลังใจ: คำมั่นของ “นายก นก” ที่ประกาศต่อหน้าชาวบ้านว่า อบจ.จะไม่ทอดทิ้งประชาชน เป็นการเสริมสร้างความไว้วางใจและความสามัคคีในชุมชน
  • การบูรณาการทุกภาคส่วน: ความร่วมมือระหว่างอบจ., สมาชิกสภา, นายอำเภอ, เทศบาลตำบล สะท้อนการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ

ข้อควรจับตาต่อไป

  • การซ่อมแซมถาวรในระยะยาวจำเป็นต้องวางแผนใช้งบประมาณและจัดสรรทรัพยากรให้เพียงพอ
  • ต้องประเมินและเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงภัยอื่น ๆ ทั่วจังหวัดอย่างต่อเนื่อง
  • การเสริมสร้างความรู้และฝึกอบรมชุมชนให้พร้อมรับมือและช่วยเหลือตนเองในภาวะฉุกเฉิน จะทำให้เชียงรายสามารถรับมือภัยธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน

วิเคราะห์สถานการณ์

การดำเนินงานของอบจ.เชียงรายในวันนี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความตั้งใจจริงของผู้นำท้องถิ่นในการปกป้องและดูแลประชาชนในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน การมุ่งเน้นทำงานเชิงรุกและบูรณาการทุกฝ่ายถือเป็นต้นแบบสำคัญของการบริหารจัดการภัยพิบัติระดับจังหวัด ที่จะสร้างความมั่นคงและปลอดภัยให้กับประชาชนเชียงรายในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลตำบลเวียงเทิง
  • อำเภอเทิง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

พายุ “วิภา” จ่อเชียงราย! ผู้ว่าฯ นำทัพตรวจน้ำ มทบ.37 เตรียมพร้อมรับมือ 24 ชม.

เชียงรายเฝ้าระวังน้ำ “วิภา” ไม่ประมาท! ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่แม่น้ำกก-อิง ยันระดับน้ำลด – มทบ.37 เตรียมกำลังพลพร้อมรับมือ 24 ชั่วโมง

เชียงราย, 18 กรกฎาคม 2568 – ติดตามสถานการณ์อย่างเข้มข้นรับมือพายุ “วิภา” ฝนหนักกลางเดือนกรกฎาคม จังหวัดเชียงรายยังคงเดินหน้าติดตามสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือนอิทธิพลของพายุโซนร้อน “วิภา” ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบให้ภาคเหนือมีฝนตกหนักระลอกใหม่ โดยเฉพาะในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2568 ที่สถานการณ์น้ำเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ เพราะเชียงรายมีแม่น้ำสายหลักหลายสายไหลผ่านใจกลางเมือง และเคยประสบเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในอดีต

ในภาวะเสี่ยงนี้ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย จึงนำคณะเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจและติดตามระดับน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำอิงด้วยตนเอง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่ารัฐบาลจังหวัดไม่ประมาทและเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ ขณะที่ มณฑลทหารบกที่ 37 หรือ มทบ.37 ได้สั่งตรวจความพร้อมกำลังพลและยุทโธปกรณ์ สนับสนุนการบรรเทาสาธารณภัยตลอด 24 ชั่วโมง

แม่น้ำกก ระดับน้ำลดต่อเนื่อง สัญญาณบวกต่อเมืองเชียงราย

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 18 กรกฎาคม 2568 นายชรินทร์ ทองสุข พร้อมด้วยนายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย และเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ได้ร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์ระดับน้ำในแม่น้ำกก บริเวณใต้สะพานขัวพญามังราย เขตเทศบาลนครเชียงราย ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของระบบเฝ้าระวังน้ำหลาก

จากการตรวจสอบพบว่า ระดับน้ำแม่น้ำกกยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยที่สถานีสะพานพ่อขุนเม็งราย ต.แม่ยาว อ.เมืองเชียงราย ระดับน้ำวัดได้ 4.72 เมตร (ณ เวลา 12.00 น.) ต่ำกว่าเกณฑ์วิกฤติที่ 5.50 เมตร ส่วนที่สถานีสะพานขัวพญามังราย (ชุมชนบ้านใหม่) ต.ริมกก วัดได้ 3.30 เมตร ต่ำกว่าเกณฑ์วิกฤติที่ 5.00 เมตร เช่นกัน

นายชรินทร์ ทองสุข เปิดเผยว่า “จังหวัดเชียงรายได้ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดและมีการประชุมร่วมทุกวัน พร้อมกับแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะริมแม่น้ำกกให้เฝ้าระวัง แต่ไม่ควรตื่นตระหนก และขอให้ติดตามข้อมูลจากทางราชการเป็นหลัก”

ด้านนายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย ระบุว่า ขณะนี้ได้เปิดบานประตูระบายน้ำทั้ง 11 บานเต็มที่ และใช้ระบบติดตามน้ำ 24 ชั่วโมง หากพบว่าน้ำจากต้นน้ำ (อำเภอแม่อาย) มีปริมาณมากขึ้น จะสามารถคำนวณเวลาและแจ้งเตือนล่วงหน้าได้ทัน (ประมาณ 10–12 ชั่วโมงถึงตัวเมืองเชียงราย)

นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการขุดลอกลำน้ำกกในจุดวิกฤติ เพื่อขจัดเนินทรายที่ขวางทางน้ำ ทำให้การไหลของน้ำในช่วงสะพานฮ่องอ้อถึงหาดเชียงรายคล่องตัวมากขึ้น ลดความเสี่ยงจากน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ลุ่มต่ำ ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการป้องกันน้ำท่วม

แม่น้ำอิง ระดับน้ำยังต่ำกว่าค่าวิกฤติ แต่คงเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น

ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายชรินทร์ ทองสุข พร้อมคณะ ได้ออกตรวจติดตามสถานการณ์น้ำในแม่น้ำอิง เขตอำเภอเทิง โดยลงพื้นที่สถานีเตือนภัยบ้านสันทรายงาม ตำบลสันทรายงาม อำเภอเทิง ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่เฝ้าระวังสำคัญ

จากการตรวจวัดระดับน้ำในแม่น้ำอิง พบว่าอยู่ที่ 8.462 เมตร ซึ่งต่ำกว่าระดับวิกฤติ แต่ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 19-24 กรกฎาคม ที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าจะมีฝนตกหนักจากอิทธิพลของพายุ “วิภา” ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายจึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมมือกันเฝ้าระวัง พร้อมเตรียมความพร้อมอุปกรณ์และบุคลากรสำหรับให้ความช่วยเหลือทันทีหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน

มณฑลทหารบกที่ 37 ปลุกศักยภาพ “บรรเทาสาธารณภัย” เตรียมเคลื่อนกำลังภายใน 1 ชั่วโมง

ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ที่กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 ค่ายเม็งรายมหาราช พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมทบ.37 ได้สั่งตรวจความพร้อมของชุดปฏิบัติการบรรเทาสาธารณภัย นำโดยพันเอก บุรฉัตร ภูนาเมือง หัวหน้าฝ่ายกิจการพลเรือน ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 36 นาย จากหลายหน่วยงาน เช่น โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช กองร้อยทหารสารวัตร และแผนกยุทธโยธา พร้อมยานพาหนะปฏิบัติการ 5 คัน

การตรวจความพร้อมในครั้งนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าหากได้รับคำสั่ง หน่วยจะสามารถเคลื่อนย้ายกำลังพล ยานพาหนะ และยุทโธปกรณ์ไปช่วยเหลือประชาชนได้ภายใน 1 ชั่วโมง พลตรี จักรวีร์ เน้นย้ำว่า “กำลังพลทุกนายต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน พร้อมสนับสนุนการบูรณาการทำงานกับจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอด 24 ชั่วโมง”

เชียงราย “ไม่ประมาท” บูรณาการทุกภาคส่วน รับมือสถานการณ์น้ำ

เหตุการณ์ครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงความพร้อมและความเข้มแข็งของจังหวัดเชียงราย ในการบริหารจัดการภัยพิบัติและตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินในยุคที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยขึ้นอย่างรวดเร็ว
จุดแข็งที่เห็นได้ชัด ได้แก่

  • การติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด: ผู้ว่าราชการจังหวัดลงพื้นที่ตรวจสอบด้วยตนเองและประชุมร่วมกับหน่วยงานต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
  • การบริหารจัดการน้ำ: โครงการชลประทานใช้วิธีบริหารประตูระบายน้ำ ขุดลอกแม่น้ำ และใช้ระบบเตือนภัยแบบเรียลไทม์
  • การสื่อสารกับประชาชน: มีการแจ้งเตือนผ่านสื่อท้องถิ่น และเน้นย้ำให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนกแต่ควรเตรียมพร้อม
  • ความพร้อมของหน่วยทหาร: มทบ.37 สามารถระดมกำลังเข้าช่วยเหลือภายในเวลา 1 ชั่วโมงหลังรับแจ้ง
  • การประสานงานทุกภาคส่วน: จากฝ่ายจังหวัด ชลประทาน ปภ. กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน จนถึงกองทัพ สะท้อนความเข้าใจในบทเรียนอดีต และมุ่งเน้นการป้องกันมากกว่าการเยียวยา

ข้อควรจับตา:

  • การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่คาดเดาได้ยาก อาจเปลี่ยนสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
  • พื้นที่เสี่ยงน้ำป่า ดินถล่ม และลุ่มต่ำริมแม่น้ำยังคงต้องเฝ้าระวัง
  • การนำข้อมูลและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาพัฒนา “ระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า” ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

บทเรียนจากอดีตคือการ “ไม่ประมาท” และการบูรณาการทุกภาคส่วนอย่างมีแผนงาน จะเป็นหัวใจสำคัญในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเชียงรายอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • โครงการชลประทานเชียงราย
  • ส่วนอุทกวิทยาที่ 2 เชียงราย สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ
  • มณฑลทหารบกที่ 37
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายน้อมรำลึก “แม่ฟ้าหลวง” จัดพิธีทานหา สืบสานพระราชปณิธานยั่งยืน

ณ อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวงศูนย์รวมดวงใจแห่งการรำลึกและสืบสานพระราชปณิธาน

เชียงราย, 18 กรกฎาคม 2568 – เชียงรายน้อมรำลึก “แม่ฟ้าหลวง” จัดพิธีทานหา แสดงความกตัญญูในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ บรรยากาศที่อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง (ไร่แม่ฟ้าหลวง) อำเภอเมืองเชียงราย เต็มไปด้วยความสงบและความศรัทธา เมื่อคณะผู้บริหารจังหวัดเชียงราย นำโดย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัด ร่วมด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย, ข้าราชการ, ทหาร, ตำรวจ, นายอำเภอทั้ง 18 อำเภอ, ผู้บริหารสถานศึกษา, ผู้นำชุมชน, และประชาชนหลากหลายชาติพันธุ์ มาร่วมพิธี “ทานหาแม่ฟ้าหลวง” เพื่อรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ “แม่ฟ้าหลวง” ของชาวไทยภูเขา

พระราชกรณียกิจจากวิสัยทัศน์สู่ต้นแบบการพัฒนาโลก

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเป็นพระราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 และพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ 9 พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ความเจริญก้าวหน้า โดยเฉพาะพื้นที่สูงในจังหวัดเชียงราย ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของปัญหายาเสพติด ความยากจน และการทำลายป่า

ด้วยสายพระเนตรอันกว้างไกล สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเห็นว่าการ “ให้โอกาส” สำคัญกว่าการลงโทษ พระราชดำรัส “คนดีไม่มีใครอยากเป็นคนไม่ดี แต่เขาไม่มีโอกาส ไม่มีทางเลือก” กลายเป็นปรัชญาสำคัญของโครงการพัฒนาดอยตุงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่มุ่งเน้นการให้ทางเลือกอาชีพและความมั่นคงในชีวิตแก่ชาวบ้าน โดยเชื่อว่าหากมีอาชีพและสุขภาพที่ดี ก็จะหลุดพ้นจากวงจรความยากจนและความไม่รู้

จุดเปลี่ยนแห่งดอยตุงจาก “สามเหลี่ยมทองคำ” สู่ต้นแบบความยั่งยืน

เมื่อครั้งพระองค์เสด็จฯ ถึงดอยตุงในปี 2530 พื้นที่ป่าเสื่อมโทรมอย่างหนัก ชุมชนหลากหลายชาติพันธุ์กว่า 29 หมู่บ้านขาดโอกาสทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม พระองค์ทรงมีพระราชดำริ “ตกลงจะมาสร้างบ้านที่นี่ แต่ถ้าไม่มีโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ฉันก็จะไม่มา” สะท้อนพระราชหฤทัยแน่วแน่ที่จะเปลี่ยนแปลงพื้นที่แห่งนี้ให้เป็น “บ้าน” ที่มีทั้งป่าและผู้คนอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน

โครงการพัฒนาดอยตุงแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 ระยะ:

  • ระยะ “อยู่รอด” สนองความต้องการพื้นฐาน
  • ระยะ “พอเพียง” ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและยกระดับอาชีพ
  • ระยะ “ยั่งยืน” มุ่งสร้างชุมชนที่บริหารจัดการตนเองได้

สิ่งที่เกิดขึ้นในรอบ 30 ปีคือป่าไม้ดอยตุงขยายจาก 28% เป็น 77% (หรือ 87% ในบางช่วงเวลา) พื้นที่ที่เคยปลูกฝิ่นกลายเป็นพื้นที่เกษตร วิสาหกิจชุมชน และท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ รายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึง 18 เท่า เร็วกว่าค่าเฉลี่ยประเทศถึง 3 เท่า จนยูเอ็นและ UNODC ยอมรับให้ “ดอยตุงโมเดล” เป็นแบบอย่างของโลกในการแก้ปัญหายาเสพติดและพัฒนาชนบทแบบครบวงจร

สะท้อนรากเหง้าความกตัญญูและพลังศรัทธาชุมชน

พิธีทานหาในวันนี้ถือเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีต่อพสกนิกร โดยเฉพาะชาวไทยภูเขา ซึ่งต่างยกย่องพระองค์ว่า “แม่ฟ้าหลวง” หรือ “แม่ของแผ่นดิน” ไม่เพียงเพราะพระราชกรณียกิจด้านการแพทย์ เช่น การจัดตั้งหน่วยแพทย์อาสา (พอ.สว.) เพื่อดูแลผู้ป่วยในถิ่นทุรกันดารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการบุกเบิกโครงการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด (บ้านผาหมี) การพัฒนาอาชีพ สร้างโรงเรียน สร้างสาธารณูปโภค และก่อตั้งมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ซึ่งเป็นศูนย์กลางองค์ความรู้ของภาคเหนือ

ในพิธีทานหา บรรยากาศเต็มไปด้วยความเคารพและความกตัญญูยิ่งยวด เมื่อคุณหญิงพวงร้อย ดิศกุล ณ อยุธยา และอาจารย์นคร พงษ์น้อย ได้นำถวายเครื่องราชสักการะ ณ พระราชานุสาวรีย์ ท่ามกลางการร่วมแรงร่วมใจของข้าราชการ ผู้นำชุมชน และเยาวชนรุ่นใหม่ แสดงให้เห็นว่าสายใยแห่งความผูกพันระหว่าง “แม่ฟ้าหลวง” กับประชาชนยังคงเหนียวแน่น ไม่เสื่อมคลาย

พระราชมรดกที่ยังคงขับเคลื่อนสังคมและชุมชน

นอกเหนือจากโครงการพัฒนาดอยตุง สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนียังมีพระราชกรณียกิจมากมายในเชียงราย ไม่ว่าจะเป็นการก่อตั้งมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง พระตำหนักดอยตุง สวนแม่ฟ้าหลวง พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคีรี หรือแม้แต่การริเริ่มโครงการต้นแบบด้านการจัดการขยะเป็นศูนย์ ส่งเสริมศิลปะวัฒนธรรมล้านนา (อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง) และผลักดันผลิตภัณฑ์ “ดอยตุง” สู่ตลาดโลก

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ยังคงดำเนินการสืบสานพระราชปณิธาน ส่งเสริมโมเดล “ธุรกิจที่ทำให้โลกดีขึ้น” ขยายผลสู่การพัฒนาชุมชนในประเทศและต่างประเทศ ภายใต้หลักการ “มหาวิทยาลัยที่มีชีวิต” และ “ชุมชนต้องช่วยเหลือตัวเองได้”

พระราชมรดกเพื่ออนาคตและแรงบันดาลใจสำหรับการพัฒนา

ปรัชญา “ช่วยชาวบ้านให้ช่วยตัวเอง” ที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงวางรากฐานไว้ กลายเป็นแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนในศตวรรษที่ 21 ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นฟูป่าไม้ การแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างองค์รวม หรือการสร้างโอกาสทางการศึกษาและเศรษฐกิจ “ดอยตุงโมเดล” ไม่ได้หยุดอยู่แค่เชียงราย แต่ขยายผลไปยังประเทศเพื่อนบ้านและกลายเป็นกรณีศึกษาของโลกในเวทีสหประชาชาติ

พระราชกรณียกิจที่ครอบคลุมตั้งแต่ “การปลูกป่า ปลูกคน” ไปจนถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างความมั่นคงให้กับชุมชน ตอกย้ำว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนต้องอาศัยการให้โอกาส มองเห็นคุณค่าและศักยภาพในตัวคน เป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้สังคมไทยเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

พิธีทานหาแม่ฟ้าหลวงในวันนี้ คือการยืนยันถึงพระราชมรดกอันทรงคุณค่าของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ยังคงสร้างแรงบันดาลใจให้กับชุมชน ผู้บริหาร นักพัฒนา และประชาชนทุกหมู่เหล่า ตราบจนวันนี้และตลอดไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์
  • อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง
  • สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์
  • รายงานสรุปโครงการพัฒนาดอยตุงฯ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

เซ็นทรัล เชียงรายผนึกเรือนจำกลาง! เปิด “ลอกคลองเพื่อชุมชน” สร้างโอกาสใหม่ผู้ต้องขัง แก้วิกฤตน้ำท่วม

เซ็นทรัล เชียงราย ผนึกเรือนจำกลาง เปิดโครงการ “ลอกคลองเพื่อชุมชน” สร้างโอกาสใหม่ผู้ต้องขัง แก้วิกฤติน้ำท่วม

เชียงราย, 18 กรกฎาคม 2568 – ในยุคที่ปัญหาสิ่งแวดล้อมและความเหลื่อมล้ำทางสังคมกำลังเป็นประเด็นสำคัญของสังคมไทย ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ได้ก้าวขึ้นมาเป็นต้นแบบการดำเนินธุรกิจเพื่อสังคมอย่างแท้จริง ด้วยการเปิดตัวโครงการ “ลอกคลองเพื่อชุมชน” ที่ไม่เพียงแต่มุ่งแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสทางอาชีพให้กับผู้ต้องขังในเรือนจำกลางเชียงราย เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568

จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง

เรื่องราวของโครงการนี้เริ่มขึ้นจากการสังเกตปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในพื้นที่โดยรอบศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ซึ่งประสบปัญหาน้ำท่วมขังในช่วงฤดูฝนอย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลักมาจากระบบระบายน้ำที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ทำให้ร่องระบายน้ำตื้นเขิน เต็มไปด้วยตะกอนและเศษขยะ

ผู้บริหารเซ็นทรัล เชียงราย ตระหนักดีว่าปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการดำเนินการเพียงฝ่ายเดียว จึงได้มองหาพันธมิตรที่เหมาะสมในการดำเนินงาน และเมื่อมองไปที่เรือนจำกลางเชียงราย ซึ่งมีผู้ต้องขังที่ต้องการโอกาสในการพัฒนาทักษะและสร้างรายได้ ก็เกิดเป็นแนวคิดที่จะสร้างประโยชน์ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน

วันสำคัญของการส่งมอบโอกาส

ในช่วงเช้าของวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 บรยากาศในบริเวณเรือนจำกลางจังหวัดเชียงรายมีความพิเศษแตกต่างจากทุกวัน เมื่อคุณสายัณห์ นักบุญ ผู้อำนวยการศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร เดินทางมาเพื่อเป็นสักขีพยานในพิธีเปิดโครงการที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนมากมาย

การมอบเงินสนับสนุนโครงการจำนวน 10,000 บาท แด่คุณนวรัตน์ จันทร์จิเรศรัศมี นักทัณฑวิทยาชำนาญการพิเศษ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย ไม่ใช่เพียงการส่งมอบเงินทุน แต่เป็นการส่งมอบความหวังและโอกาสใหม่ให้กับผู้ต้องขังที่จะได้มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับสังคม

ขอบเขตและเป้าหมายของโครงการ

โครงการ “ลอกคลองเพื่อชุมชน” มีเป้าหมายที่ชัดเจนและสามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม กิจกรรมหลักคือการทำความสะอาดและขุดลอกร่องระบายน้ำสาธารณะเป็นระยะทางยาวกว่า 450 เมตร ครอบคลุมพื้นที่ทำงานรวม 1,800 ตารางเมตร ซึ่งเป็นบริเวณโดยรอบศูนย์การค้าที่มีความสำคัญต่อการระบายน้ำของพื้นที่

การดำเนินงานจะแบ่งออกเป็นหลายขั้นตอน เริ่มจากการสำรวจพื้นที่ วางแผนการทำงาน การเตรียมอุปกรณ์ จนถึงการขุดลอกและทำความสะอาดอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะใช้แรงงานจากผู้ต้องขังที่ผ่านการคัดเลือกและมีความเหมาะสมในการทำงานประเภทนี้

ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากโครงการนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขัง แต่ยังรวมถึงการปรับปรุงทัศนียภาพของพื้นที่ให้สวยงาม การเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ และที่สำคัญคือการส่งเสริมสุขอนามัยของประชาชนในพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง

มิติใหม่ของการฟื้นฟูผู้กระทำผิด

หากมองในมุมของการฟื้นฟูและพัฒนาผู้ต้องขัง โครงการนี้ถือเป็นนวัตกรรมทางสังคมที่น่าสนใจ เพราะไม่ได้เน้นเพียงการให้งานทำ แต่เป็นการสร้างประสบการณ์การทำงานที่มีความหมายและส่งผลดีต่อสังคมอย่างเป็นรูปธรรม

คุณสายัณห์ นักบุญ ได้อธิบายปรัชญาเบื้องหลังโครงการว่า “เซ็นทรัล เชียงราย มีความมุ่งมั่นในการเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน โครงการนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการตอกย้ำความร่วมมืออันดีกับเรือนจำกลางเชียงราย ในการสร้างโอกาสและมอบกำลังใจให้กับผู้ต้องขัง เราเชื่อว่าการให้โอกาสคือการสร้างอนาคตที่ดีให้กับสังคม”

ความคิดนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์จากการมองผู้ต้องขังเป็นภาระของสังคม กลายเป็นการมองเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีศักยภาพในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับสังคม หากได้รับโอกาสและการพัฒนาที่เหมาะสม

ความต่อเนื่องของการร่วมมือ

โครงการ “ลอกคลองเพื่อชุมชน” ไม่ใช่การเริ่มต้นความร่วมมือระหว่างเซ็นทรัล เชียงราย กับเรือนจำกลางเชียงราย แต่เป็นการต่อยอดความสัมพันธ์อันดีที่มีมาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา

การสนับสนุนที่สำคัญคือการมอบพื้นที่พิเศษ ณ ชั้น G โซน Northern Village (นอร์เทิร์น วิลเลจ) ให้เรือนจำกลางเชียงรายนำผลิตภัณฑ์จากฝีมือผู้ต้องขังมาจัดจำหน่ายโดยไม่คิดค่าเช่าพื้นที่ ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญในการสร้างรายได้และส่งเสริมทักษะอาชีพให้กับผู้ต้องขัง

การดำเนินการนี้ไม่เพียงช่วยให้ผู้ต้องขังมีรายได้ แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นใจและศักดิ์ศรีในตนเอง เมื่อพวกเขาเห็นว่าผลงานของตนเองได้รับการยอมรับจากสังคมและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง

การสนับสนุนแบบ 360 องศา

สำหรับกิจกรรมลอกคลองในครั้งนี้ เซ็นทรัล เชียงราย ไม่ได้ให้การสนับสนุนเพียงด้านการเงินเท่านั้น แต่เป็นการสนับสนุนแบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นค่าดำเนินการจ้างแรงงานผู้ต้องขัง การจัดเตรียมอาหารกลางวันและเครื่องดื่มตลอดระยะเวลาการปฏิบัติงาน รวมถึงการอำนวยความสะดวกและดูแลด้านความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด

การดูแลเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดและความเป็นมนุษย์ในการดำเนินโครงการ เพราะการให้ผู้ต้องขังออกมาทำงานนอกกำแพงเรือนจำไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีการประสานงานและดูแลอย่างรอบคอบในทุกด้าน

ผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม

เมื่อวิเคราะห์ผลลัพธ์ของโครงการนี้ในระยะสั้นและระยะยาว จะพบว่ามีผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมหลายมิติ

ในระยะสั้น การขุดลอกคลองจะช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและการประกอบธุรกิจของคนในพื้นที่ การปรับปรุงระบบระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นจะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคที่เกี่ยวข้องกับน้ำขัง และสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นให้กับชุมชน

ในระยะยาว การสร้างโอกาสให้ผู้ต้องขังได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมจะช่วยลดอัตราการกลับมากระทำผิดซ้ำ เนื่องจากพวกเขาได้รับการพัฒนาทักษะ สร้างความมั่นใจ และรู้สึกว่าตนเองยังมีคุณค่าและสามารถทำประโยชน์ให้กับสังคมได้

นอกจากนี้ โครงการยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับองค์กรอื่นๆ ในการดำเนิน CSR ที่สร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงการทำเพื่อสร้างภาพลักษณ์ แต่เป็นการแก้ไขปัญหาสังคมอย่างเป็นระบบ

ความท้าทายและข้อจำกัด

แม้โครงการนี้จะมีเป้าหมายที่ดี แต่ก็มีความท้าทายและข้อจำกัดที่ต้องพิจารณา การทำงานกับผู้ต้องขังต้องมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด และต้องมีการประสานงานที่ดีระหว่างหน่วยงานต่างๆ

การสร้างความเข้าใจกับชุมชนเกี่ยวกับการให้ผู้ต้องขังออกมาทำงานก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทาย เนื่องจากอาจมีความกังวลในเรื่องความปลอดภัย แม้ว่าผู้ต้องขังที่เข้าร่วมโครงการจะผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มงวดแล้วก็ตาม

ทิศทางอนาคตของการพัฒนาอย่างยั่งยืน

เซ็นทรัล เชียงราย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการ “ลอกคลองเพื่อชุมชน” จะเป็นต้นแบบสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนและสร้างสรรค์ในรูปแบบใหม่ ซึ่งสามารถขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ และสร้างเป็นเครือข่ายการทำงานเพื่อสังคมที่แข็งแกร่ง

การมองการพัฒนาแบบองค์รวมที่คำนึงถึงทั้งปัญหาสิ่งแวดล้อม การสร้างโอกาสทางสังคม และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในทุกกลุ่ม เป็นแนวทางที่น่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการสร้างสังคมที่เข้มแข็งและเท่าเทียมมากขึ้น

โครงการนี้แสดงให้เห็นว่า เมื่อภาคเอกชนและภาครัฐทำงานร่วมกันด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนและวิธีการที่เหมาะสม สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกที่ยั่งยืนได้อย่างเป็นรูปธรรม และที่สำคัญคือการสร้างความหวังและโอกาสใหม่ให้กับผู้คนที่สังคมมักจะมองข้าม

สำหรับจังหวัดเชียงรายและประชาชนในพื้นที่ โครงการนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ไขปัญหาการระบายน้ำที่เป็นปัญหาเรื้อรัง แต่ยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืนต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย
  • เรือนจำกลางจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FOOD

ตำนานเชียงราย! ภัตตาคารยูนนานฝ่าวิกฤต สร้างรสชาติแท้รับปีทองไทย-จีน

“ภัตตาคารยูนนาน หัวใจที่ไม่ยอมแพ้ของทายาทรุ่นสอง สร้างตำนานอาหารจีนยูนนานแท้ที่เชียงราย ในปีทองแห่งมิตรภาพไทย-จีน

เชียงราย, 19 กรกฎาคม 2568 – ในปีที่ไทยและจีนเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต 50 ปี ที่ขนานนามว่า “ปีทองแห่งมิตรภาพ” (Golden Year of Friendship) มีเรื่องราวหนึ่งที่สะท้อนถึงพลังแห่งการฟื้นคืนและความแข็งแกร่งของสายสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมไทย-จีน ผ่านหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ของ “นิธิพงษ์ เสรีวิชยสวัสดิ์” ทายาทรุ่นที่ 2 ของ “ภัตตาคารยูนนาน” ร้านอาหารจีนยูนนานเก่าแก่คู่เมืองเชียงรายกว่า 35 ปี ที่ประสบความสำเร็จในการดำรงรสชาติแท้และวัฒนธรรมจีนท่ามกลางวิกฤตการณ์ต่างๆ

วิกฤตที่หลอมรวมจิตวิญญาณบทพิสูจน์ความมุ่งมั่นแบบครอบครัว

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2563-2564 ถือเป็นช่วงเวลาที่ทดสอบความอดทนของธุรกิจอาหารทั่วโลก ภัตตาคารยูนนานก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น “ร้านต้องปิดให้บริการนานถึง 2 เดือน รายได้หดหายไปเกือบทั้งหมด แต่ค่าใช้จ่ายยังคงเดิม” คุณนิธิพงษ์เล่าถึงสถานการณ์ในวันนั้นด้วยความทรงจำอันหนักหนา

แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในช่วงวิกฤตนี้ คือการจัดการที่สะท้อนถึงแก่นแท้ของความเป็นครอบครัว “ผมพยายามช่วยกันประคับประคองพนักงานเท่าที่ทำได้ บางคนให้ช่วยปรับปรุงร้าน หรือช่วยจัดส่งอาหารเดลิเวอรี่ ส่วนคนที่ไม่สะดวกก็ต้องให้พักงานไปก่อน บางคนก็ขอกลับบ้านไปทำสวน พอสถานการณ์ปกติก็กลับมาทำงานด้วยกันครับ”

ไม่นานหลังจากสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย ภัตตาคารต้องเผชิญกับอีกหนึ่งบททดสอบครั้งใหญ่ คือวิกฤตน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในเชียงราย “หลังจากน้ำลด ร้านเราใช้เวลาประมาณ 1 เดือนกว่าจะกลับมาเปิดได้ปกติครับ เพราะต้องซ่อมแซมหลายอย่าง ทั้งอุปกรณ์ในครัว พื้นร้าน และระบบไฟฟ้าที่เสียหายทั้งหมดเลยครับ”

ความท้าทายที่มาพร้อมกับวิกฤตน้ำท่วมนี้ กลับเป็นช่วงเวลาที่ทีมงานแสดงออกถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวอย่างชัดเจน “ช่วงนั้นพนักงานที่ได้รับผลกระทบก็ให้กลับบ้านไปซ่อมแซม ทำความสะอาดบ้าน ส่วนคนที่ไม่ได้รับผลกระทบก็มาช่วยกันทำความสะอาดและซ่อมร้านด้วยกันครับ”

เชียงรายประตูสู่มิตรภาพไทย-จีนและศูนย์กลางวัฒนธรรมยูนนาน

การเลือกเชียงรายเป็นฐานของภัตตาคารยูนนานไม่ใช่เรื่องบังเอิญ คุณนิธิพงษ์อธิบายว่า “เริ่มจากความชอบทำอาหารและความหลงใหลในอาหารจีนของคุณพ่อ ประกอบกับเชียงรายเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ในตัวเอง ทั้งภูมิประเทศที่สวยงาม วัฒนธรรมที่หลากหลาย และประชากรที่เปิดกว้างต่อสิ่งใหม่ๆ”

ในบริบทของปี 2568 ซึ่งเป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน เชียงรายได้รับการยอมรับในฐานะจุดยุทธศาสตร์สำคัญของความร่วมมือไทย-จีน ตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายภาสกร บุญญะลักษณ์ เคยกล่าวว่า “ภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย ตั้งอยู่ในตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่จะได้รับประโยชน์จากโอกาสต่างๆ”

จังหวัดเชียงรายมีประวัติศาสตร์ความเชื่อมโยงกับชุมชนชาวจีนยูนนานมายาวนาน และในปัจจุบันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระเบียงเศรษฐกิจสำคัญภายใต้โครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ของจีน ซึ่งเป็นโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับจีน

ถอดรหัสเอกลักษณ์ความแตกต่างของอาหารยูนนานที่ไม่เหมือนใคร

อาหารยูนนานมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากอาหารจีนภาคอื่นๆ อย่างชัดเจน คุณนิธิพงษ์อธิบายว่า “อาหารยูนนานมีรสชาติที่กลมกล่อมแต่ชัดเจน มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น การใช้สมุนไพรจีน การหมักดอง และกลิ่นหอมของพริกแห้งหรือผักพื้นบ้านที่หาได้จากแถบยูนนาน”

เมนูเด็ดที่เป็นตัวแทนของร้าน คือ “ขาหมูน้ำแดงยูนนาน” ซึ่งคุณนิธิพงษ์อธิบายกรรมวิธีการทำด้วยความภาคภูมิใจว่า “เมนูนี้สะท้อนรากวัฒนธรรมการกินของชาวจีนยูนนานได้อย่างลึกซึ้ง เราใช้เวลาตุ๋นนานหลายชั่วโมงจนหนังและเนื้อเปื่อยนุ่ม รสชาติกลมกล่อม หอมสมุนไพร และเสิร์ฟพร้อมหมั่นโถวนึ่ง อร่อยกลมกล่อมมากครับ”

ในด้านการคัดเลือกวัตถุดิบ ภัตตาคารยูนนานนำเสนอแนวทางการผสมผสานระหว่างความเป็นสากลกับการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น “เรานำเข้าวัตถุดิบบางตัวจากจีน เช่น พริกหอม และเครื่องเทศบางชนิด แต่เราก็ผสมผสานกับวัตถุดิบท้องถิ่นของเชียงรายด้วย เช่น ผักสด เนื้อสด และเครื่องเทศ เพราะเราอยากสนับสนุนเกษตรกรในพื้นที่ด้วย”

บรรยากาศวัฒนธรรมส่งผ่านประสบการณ์จีนผ่านทุกรายละเอียด

การเข้าใจถึงความสำคัญของ “ประสบการณ์รวม” ทำให้ภัตตาคารยูนนานให้ความสำคัญกับการตกแต่งและบรรยากาศอย่างมีเอกลักษณ์ “ร้านตกแต่งสไตล์จีน โดยเน้นโทนสีแดงและทองซึ่งสื่อถึงความมั่งคั่งและเจริญรุ่งเรืองตามความเชื่อของชาวจีน เสริมด้วยประติมากรรมมังกรและหงส์ที่คุณพ่อให้ช่างท้องถิ่นปั้นด้วยมืออย่างประณีต ซึ่งอยู่คู่กับร้านมานานกว่า 35 ปี กลายเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยม”

คุณนิธิพงษ์มองว่าการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าไม่ได้จำกัดอยู่แค่รสชาติอาหารเท่านั้น “ผมอยากให้ลูกค้ารู้สึกถึงรสชาติอาหารจีนแท้ๆ และการได้มาทานอาหารที่ให้ความรู้สึกเหมือนทานอยู่ที่บ้าน แล้วใช้เวลาร่วมกับครอบครัวในมื้ออาหารสุดพิเศษ รวมถึงการต้อนรับแบบเป็นกันเอง และเรื่องราวของอาหารแต่ละจานครับ”

การปรับตัวสู่ยุคใหม่ตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่

ในยุคที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและคุณค่าทางโภชนาการ คุณนิธิพงษ์ได้พัฒนาเมนูใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าว “ทางร้านจึงได้เพิ่มเมนูสุกี้ยูนนาน ซึ่งเป็นอาหารที่เน้นผัก และใช้ไก่ดำในการต้มซุป ช่วยบำรุงร่างกาย เป็นเมนูที่อยากให้สายสุขภาพได้ลองครับ”

การปรับตัวนี้สะท้อนถึงความเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง และความสามารถในการสร้างสมดุลระหว่างการรักษาอัตลักษณ์ดั้งเดิมกับการตอบสนองความต้องการใหม่ๆ

โอกาสทางธุรกิจในปีทองแห่งมิตรภาพ

ในบริบทของปี 2568 ที่ประเทศไทยและจีนกำหนดให้เป็น “ปีทองแห่งมิตรภาพ” คุณนิธิพงษ์มองเห็นทั้งโอกาสและความท้าทายที่ชัดเจน “ความท้าทายหลักคือการทำให้คนรู้จักและเข้าใจอาหารจีนยูนนาน เพราะบางคนอาจไม่คุ้นเคย แต่ในขณะเดียวกัน นี่ก็เป็นโอกาสที่ดีมาก เพราะเชียงรายเป็นเมืองที่เปิดรับวัฒนธรรมใหม่ๆ ถ้าทำให้ดี คนจะบอกต่อกันเองครับ”

การที่รัฐบาลไทยและจีนได้ลงนาม “ข้อตกลงร่วมระหว่างรัฐบาลราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมและการสร้างชุมชนไทย-จีนที่มีอนาคตร่วมกัน” ส่งผลให้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

บทบาทของภาคธุรกิจเอกชนในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ไทย-จีน

เรื่องราวของภัตตาคารยูนนานสะท้อนถึงบทบาทสำคัญของภาคเอกชนในการสร้างสะพานเชื่อมวัฒนธรรม ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด “people-to-people connectivity” ที่เป็นหนึ่งในเสาหลักสำคัญของโครงการ Belt and Road Initiative

จากการศึกษาของนักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พบว่าชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลในภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย กลายเป็นกลุ่มศูนย์กลางสำคัญที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนในพื้นที่ภายใต้โครงการ Belt and Road Initiative

มรดกแห่งรสชาติและแรงบันดาลใจสำหรับผู้ประกอบการ

“อยากชวนทุกท่านมาเปิดใจลองอาหารยูนนานครับ หวังว่าทุกคนจะได้ประสบการณ์ใหม่ๆ และความอบอุ่นเหมือนได้ไปประเทศจีนจริงๆ” คุณนิธิพงษ์กล่าวทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มที่สะท้อนถึงความมั่นใจในอนาคตของกิจการ

เรื่องราวของภัตตาคารยูนนานไม่ใช่เพียงเรื่องราวของร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่เป็นตัวอย่างของการสานต่อมรดกวัฒนธรรม การปรับตัวเผชิญวิกฤต และการเป็นส่วนหนึ่งของการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ไทย-จีนในระดับรากหญ้า ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของความเข้าใจและความร่วมมือระหว่างสองประเทศ

ในปีที่ทั้งไทยและจีนเฉลิมฉลอง 50 ปีแห่งมิตรภาพ เรื่องราวของคุณนิธิพงษ์และภัตตาคารยูนนานเป็นเครื่องยืนยันว่า ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างสองประเทศไม่ได้เกิดขึ้นจากการเจรจาระดับรัฐบาลเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดจากการปฏิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจในระดับชุมชน ที่สั่งสมมาอย่างต่อเนื่องนานหลายทศวรรษ

17 กุมภาพันธ์ 2568 หลิวจงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะ ประเทศจีน เข้ามาที่ภัตตาคารยูนนาน เชียงราย

ข้อมูลติดต่อ:

  • ภัตตาคารยูนนาน
    นิธิพงษ์ เสรีวิชยสวัสดิ์
    211/6 ถ.แควหวาย ต.รอบเวียง
    อ.เมือง จ.เชียงราย 57000
    โทร. 086-429-7949 , 053-713-263, 053-714-992

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Yunnan Restaurant ภัตตาคารยูนนาน
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย กระทรวงมหาดไทย
  • กรมการจีนโพ้นทะเล กระทรวงการต่างประเทศ
  • สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
  • สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP)
  • สถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์
  • ศูนย์ศึกษาจีน คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  • สำนักข่าวสินหัว (เอเชียพลัส)
  • องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • หอการค้าไทย-จีน
  • สมาคมผู้ประกอบการไทยเชื้อสายจีน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เฉลิมฉลอง 10 ปีความร่วมมือ! มฟล. จัด Global Coffee and Tea Forum ยกระดับเชียงราย

ม.แม่ฟ้าหลวง เปิดเวทีใหญ่ “Global Coffee and Tea Association Forum 2025” ดันเชียงรายสู่ศูนย์กลางชา-กาแฟโลก

เชียงราย, 17 กรกฎาคม 2568 – เชียงรายชูศักยภาพ “Tea & Coffee Destination” พลิกบทบาทสู่เวทีโลก กำลังสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มระดับโลก เมื่อสถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) จับมือกับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB และบริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด เปิดฉากงานประชุมและนิทรรศการนานาชาติ “Global Coffee and Tea Association Forum 2025: Shaping the Future Together” อย่างเป็นทางการในวันที่ 17 กรกฎาคม 2568 ณ โรงแรมเลอเมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท กำหนดจัดต่อเนื่องถึง 20 กรกฎาคมนี้ มุ่งปลุกกระแสใหม่ให้เชียงรายก้าวสู่ศูนย์กลางอุตสาหกรรมชา-กาแฟระดับอาเซียนและระดับโลก

เชียงราย ก้าวสู่ “Tea and Coffee Destination” ระดับโลก

เป้าหมายหลักของงานในครั้งนี้ คือการวางรากฐานให้เชียงรายเป็น “Chiang Rai Tea and Coffee Destination” ที่ตอบโจทย์ทั้งในฐานะแหล่งผลิต แปรรูป และค้าชา-กาแฟคุณภาพสูง รวมถึงเป็นจุดศูนย์กลางเทศกาลและงานประชุมระดับนานาชาติ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายรุจติศักดิ์ รังษี ได้กล่าวต้อนรับผู้แทนและผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายประเทศ พร้อมย้ำถึงบทบาทสำคัญของเชียงรายที่เป็นแหล่งปลูกชาและกาแฟอันดับต้นๆ ของไทย

ผศ.ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดี มฟล. กล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการ โดยเน้นถึงโอกาสครั้งสำคัญที่สถาบันฯ ได้เป็นเจ้าภาพประชุมระดับโลก สะท้อนวิสัยทัศน์ของเชียงรายในการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมนี้

ด้าน ผศ.ดร.ปิยาภรณ์ เชื่อมชัยตระกูล หัวหน้าสถาบันชาและกาแฟ มฟล. ในฐานะผู้จัดงาน กล่าวว่า จุดมุ่งหมายสำคัญคือการผนึกกำลังระหว่างรัฐ เอกชน และประชาสังคม เพื่อยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมชา-กาแฟไทยให้ก้าวไกล เชื่อมต่อเครือข่ายกับผู้ประกอบการ นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก

ลงนาม MOU วิจัยชาจีน-ไทย จุดเปลี่ยน 10 ปี สู่อนาคตอุตสาหกรรม

หนึ่งในไฮไลท์สำคัญของงานปีนี้คือ การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงกับสถาบันวิจัยชาสาธารณรัฐประชาชนจีน ฉลองครบรอบ 10 ปีแห่งความร่วมมือทางวิชาการ (2015-2025) ที่เกิดขึ้นระหว่างสถาบันชาและกาแฟ มฟล. กับสถาบันวิจัยชาแห่งสถาบันวิทยาศาสตร์การเกษตรจีน (Tea Research Institute, Chinese Academy of Agricultural Sciences) การจับมือครั้งนี้จะเป็นการปูทางให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ วิจัย และเทคโนโลยี เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมชาและกาแฟของทั้งสองประเทศ และขยายผลความร่วมมือสู่ภูมิภาค

กิจกรรมเข้มข้น 4 วัน แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ระดับโลก

งานประชุม “Global Coffee and Tea Association Forum 2025” มีการออกแบบกิจกรรมที่เข้มข้นต่อเนื่องตลอด 4 วันเต็ม:

  • วันที่ 18 กรกฎาคม 2568: จัดประชุมโต๊ะกลม “Shaping Future Together” และทัศนศึกษาไร่ชาชุยฟง เยี่ยมชมมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง พร้อมนิทรรศการชาและกาแฟ
  • วันที่ 19-20 กรกฎาคม 2568: งานแสดงสินค้าชา-กาแฟ ณ อุทยานศิลปวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง และกิจกรรม “A Cup to Village” ที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสประสบการณ์จากไร่ชาจริง

ภายในงานยังมีเวทีบรรยายพิเศษโดยผู้เชี่ยวชาญระดับโลก อาทิ ศาสตราจารย์ Ming Zhe Yao จากสถาบันวิจัยชาจีน (China Tea Research Institute), คุณชัยพัฒน์ จาตุรงค์กุล ผู้อำนวยการสิงห์ปาร์คเชียงราย, คุณ Sharyn Johnston จากสมาคมผู้เชี่ยวชาญชาออสเตรเลีย รวมถึงผู้แทนจากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงที่มาถ่ายทอดความสำเร็จในระบบนิเวศกาแฟดอยตุง

นอกจากนี้ยังมีสมาคมกาแฟและชาจากญี่ปุ่น เดนมาร์ก อินโดนีเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ เมียนมาร์ และผู้ประกอบการชั้นนำทั่วอาเซียน มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือในระดับภูมิภาคและสากล

ปักหมุด “เชียงรายฮับชา-กาแฟ” ผลักดันเศรษฐกิจใหม่ของภูมิภาค

การประชุมในครั้งนี้นอกจากจะยกระดับสถานะของเชียงรายบนเวทีโลกแล้ว ยังเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในเชิงพื้นที่ ด้วยภูมิอากาศที่เหมาะสม พื้นที่เพาะปลูกชา 91,541 ไร่ (68.94% ของพื้นที่ปลูกชาทั่วประเทศ) และพื้นที่กาแฟกว่า 54,000 ไร่ (25% ของพื้นที่ปลูกกาแฟทั้งประเทศ) ประกอบกับประสบการณ์และนวัตกรรมของผู้ประกอบการในพื้นที่ เชียงรายจึงพร้อมก้าวสู่การเป็น “ศูนย์กลางชา-กาแฟของเอเชีย”

แนวโน้มของอุตสาหกรรมในอนาคตจะมุ่งเน้นไปที่การผลิตที่ยั่งยืน การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การสร้างมูลค่าเพิ่มจากการวิจัยและนวัตกรรม ไปจนถึงการจัดงานเทศกาลชา-กาแฟระดับนานาชาติที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกมาร่วมสัมผัสประสบการณ์ตรงในเชียงราย

โอกาสทองของเชียงรายบนเวทีเศรษฐกิจสร้างสรรค์

งาน “Global Coffee and Tea Association Forum 2025” สะท้อนความสำเร็จของการบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน วิชาการ และประชาสังคม เพื่อสร้างโอกาสใหม่ให้กับเชียงราย ไม่ใช่แค่ “แหล่งผลิตวัตถุดิบ” แต่เป็นผู้นำใน “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” และเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมชา-กาแฟระดับภูมิภาคและโลก

ความสำเร็จครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ผลักดันให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นมีโอกาสขยายตลาดในระดับโลก สถาบันวิชาการไทยมีเวทีวิจัยและนวัตกรรมที่สร้างอิทธิพลอย่างแท้จริง และผู้บริโภคทั่วโลกได้สัมผัสคุณภาพชาและกาแฟไทยโดยตรง

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายข้างหน้าคือการรักษามาตรฐานคุณภาพ การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตที่ยั่งยืน และการสร้างเครือข่ายระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างจริงจัง เชียงรายจะกลายเป็น “ฮับ” ชา-กาแฟแห่งเอเชีย และสร้างภาพจำใหม่บนแผนที่อุตสาหกรรมโลกอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน)
  • บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด
  • ข้อมูลจากการแถลงข่าวและงาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ถึงที่! เชียงราย-พอ.สว. ลุย “ขุนตาล” เสริมแกร่ง “Chiangrai Clinic Center”

บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ถึงที่! จังหวัดเชียงรายและ พอ.สว. ลุย “ขุนตาล” มอบบริการถึงบ้าน พร้อมเสริมแกร่ง “Chiangrai Clinic Center”

เดินหน้าสู่ชุมชน สร้างสุขใกล้ตัว

เชียงราย, 17 กรกฎาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายยังคงยืนหยัดในนโยบาย “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน” อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อวันที่ 16-17 กรกฎาคม 2568 นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำทีมคณะทำงานเดินทางสู่บ้านทุ่งศรีเกิด หมู่ 3 ตำบลยางฮอม อำเภอขุนตาล จัดกิจกรรม “จังหวัดเคลื่อนที่” ควบคู่กับหน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) ครั้งที่ 18 ประจำปี 2568 เพื่อส่งมอบบริการภาครัฐถึงมือประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ลดภาระค่าใช้จ่ายและเวลาในการเดินทาง พร้อมเสริมคุณภาพชีวิตและสร้างโอกาสใหม่

กิจกรรมในวันนี้ได้รับความร่วมมืออย่างอบอุ่นจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นนายอำเภอขุนตาล คณะกรรมการและสมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย กิ่งกาชาดอำเภอขุนตาล และหน่วยงานราชการต่างๆ ที่พร้อมใจตั้งบูธบริการแบบครบวงจร

บริการครบวงจรถึงบ้าน เพื่อคนทุกกลุ่ม

หัวใจของ “จังหวัดเคลื่อนที่” คือการนำบริการหลากหลายของภาครัฐสู่หน้าประตูบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ห่างไกลที่การเข้าถึงบริการพื้นฐานเป็นเรื่องท้าทาย

  • ด้านสุขภาพ: หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. นำทีมแพทย์ พยาบาล และบุคลากรสาธารณสุข ให้บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป ทันตกรรม ฉีดวัคซีน และให้คำปรึกษาสุขภาพแก่ประชาชนในพื้นที่
  • เยี่ยมผู้ป่วยติดเตียง-ผู้สูงอายุ: คณะรองผู้ว่าฯ เชียงราย พร้อมนายแพทย์เอกชัย คำลือ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุในบ้านหนองข่วง หมู่ 3 ตำบลยางฮอม จำนวน 5 ราย มอบกำลังใจและถุงยังชีพ สะท้อนถึงความห่วงใยต่อกลุ่มเปราะบาง
  • เหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย: มอบถุงยังชีพ 100 ชุดแก่ประชาชนในพื้นที่ และเปิดรับบริจาคดวงตา-อวัยวะ สร้างโอกาสแห่งชีวิตใหม่
  • ส่งเสริมอาชีพ: กรมประมงมอบพันธุ์ปลาให้แก่ผู้นำชุมชน เพื่อเสริมสร้างแหล่งอาหารโปรตีนและสนับสนุนการเลี้ยงชีพในพื้นที่

อบจ.เชียงราย เสริมแกร่ง “Chiangrai Clinic Center” เคลื่อนที่

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทหลักในการบูรณาการพัฒนาท้องถิ่น โดยนางนภาภัณฑ์ ต่วนชะเอม เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย พร้อมนายนิรันดร์ ไร่แดง สมาชิก อบจ.ขุนตาล เขต 1 ได้เข้าร่วมเปิดงานและร่วมกิจกรรมอย่างใกล้ชิด

ภายในงานมีการจัดตั้ง “Chiangrai Clinic Center เคลื่อนที่” เพื่อรับเรื่องร้องทุกข์ แก้ไขปัญหา และอำนวยความสะดวกด้านสุขภาพให้แก่ประชาชนในพื้นที่ นอกจากนี้ อบจ.เชียงราย ยังนำเครือข่ายโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ในอำเภอขุนตาลมาร่วมให้บริการอย่างครบวงจร ทั้งการรักษา ป้องกัน ส่งเสริม และฟื้นฟูสุขภาพ โดยเน้นกลุ่มเปราะบางและประชาชนในถิ่นทุรกันดาร

ความร่วมมือในวันนี้จึงเป็นภาพสะท้อนของการประสานงานระหว่างภาครัฐ ผู้นำท้องถิ่น ภาคประชาชน และอาสาสมัครพอ.สว. ที่ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังเพื่อพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตคนเชียงราย

“จังหวัดเคลื่อนที่” โมเดลเข้าถึงบริการภาครัฐอย่างแท้จริง

“หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน” และหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยลดช่องว่างการเข้าถึงบริการในพื้นที่ห่างไกลของเชียงราย ซึ่งเป็นจังหวัดใหญ่และมีภูมิประเทศที่หลากหลาย ประเด็นสำคัญที่เด่นชัดจากกิจกรรมนี้ ได้แก่

  • ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการ: การนำบริการของรัฐถึงบ้านโดยตรง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง และผู้ที่เดินทางลำบาก ลดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายของประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม
  • บูรณาการความร่วมมือทุกระดับ: การทำงานร่วมกันของผู้ว่าราชการจังหวัด อำเภอ อบจ. รพ.สต. เหล่ากาชาด และภาคเอกชน แสดงถึงความพร้อมและความร่วมมือที่จริงจังของทุกภาคส่วน
  • เข้าถึงกลุ่มเปราะบางอย่างใกล้ชิด: การเยี่ยมบ้านผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุ สะท้อนความใส่ใจและการบริการที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง
  • พลังของ อบจ.: การจัดตั้งศูนย์คลินิกเคลื่อนที่และเครือข่าย รพ.สต. มาร่วมให้บริการ สะท้อนถึงบทบาทนำขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการยกระดับคุณภาพชีวิตคนในชุมชน

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่สำคัญ คือการผลักดันกิจกรรมให้มีความต่อเนื่อง มีทรัพยากรสนับสนุนเพียงพอ และติดตามผลลัพธ์ระยะยาวเพื่อปรับปรุงบริการให้ตอบโจทย์ประชาชนได้ดียิ่งขึ้น

ข้อเสนอแนะและมุมมองอนาคต

ในอนาคต โครงการนี้ควรขยายขอบเขตบริการ เช่น การให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล การส่งเสริมอาชีพใหม่ การดูแลสุขภาพจิต และสร้างศูนย์ข้อมูลให้ประชาชนเข้าถึงบริการรัฐได้ง่ายขึ้น ทุกภาคส่วนควรร่วมขับเคลื่อนกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ “รอยยิ้มและสุขภาพดี” ไม่ใช่เพียงแค่วันนี้ แต่กลายเป็นวิถีชีวิตที่ยั่งยืนของคนเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • เหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย
  • อำเภอขุนตาล
  • หน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

แม่น้ำสาย-รวก-โขง สารหนูเกินมาตรฐานคุกคามชีวิต คนเชียงรายจี้รัฐเร่งเจรจาเมียนมา

แม่น้ำสาย-รวก-โขง สารหนูเกินมาตรฐานคุกคามชีวิต คนเชียงรายรวมพลังจี้รัฐบาลไทยเร่งเจรจาเมียนมา

เชียงราย, 16 กรกฎาคม 2568 – วิกฤต “สารหนู” สะท้อนวิกฤตข้ามพรมแดน โดยเฉพาะ “สารหนู” ในแม่น้ำสาย รวก โขง และกก ของจังหวัดเชียงราย กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่สะท้อนถึงความเปราะบางของทรัพยากรน้ำและวิถีชีวิตประชาชนในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา โดยแม่น้ำเหล่านี้เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ของชีวิตและการเกษตรของคนเชียงราย ซึ่งปัจจุบันต้องเผชิญภัยเงียบที่คาดว่ามีต้นตอจากเหมืองแร่ในฝั่งเมียนมา

ประชุมเวทีรับฟังเสียงประชาชนจุดเริ่มต้นของการผลักดันเชิงนโยบาย


ณ ห้องประชุมเทศบาลตำบลแม่สาย เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 ได้มีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำปนเปื้อนโลหะหนัก โดยมีนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน ท่ามกลางผู้เข้าร่วมอย่างคับคั่งจากหน่วยงานราชการ นักวิชาการ ภาคประชาชน และสื่อมวลชน เวทีนี้ได้เปิดพื้นที่ให้ชุมชนระบายความกังวลและเรียกร้องให้รัฐแก้ปัญหาอย่างจริงจัง

รองผู้ว่าฯ เชียงรายยืนยันว่า หน่วยงานราชการไม่นิ่งนอนใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น มีการตรวจสอบคุณภาพน้ำเดือนละ 2 ครั้ง ทั้งในแม่น้ำสายหลักและสาขา รวมถึงน้ำประปาและพืชผลทางการเกษตรอย่างต่อเนื่อง พร้อมเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณชนผ่านช่องทางเพจประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย และศูนย์ข้อมูล AIM เพื่อสร้างความมั่นใจในความโปร่งใสของภาครัฐ

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เกษตรกรรม และสุขภาพ

แม้จะได้รับคำยืนยันเรื่องคุณภาพน้ำประปาและพืชผลว่ายังอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย แต่ชาวบ้านและนักวิชาการยังคงวิตกกังวลถึงผลกระทบระยะยาว โดยเฉพาะในพื้นที่เกาะช้าง ซึ่งเป็นแหล่งเกษตรกรรมสำคัญ ชาวบ้านเกรงว่าการใช้น้ำปนเปื้อนโลหะหนักจะกระทบต่อคุณภาพพืชผลและสุขภาพในอนาคต

เวทีนี้ยังมีการตั้งข้อสังเกตถึง “โครงการเขื่อนปากแบง” ซึ่งอาจทำให้สารพิษตกตะกอนสะสมมากขึ้น เมื่อแม่น้ำโขงนิ่งตัว เกิดอ่างน้ำขนาดใหญ่ นักวิชาการและประชาชนจึงเสนอให้รัฐให้ความสำคัญกับการวิจัยและหามาตรการแก้ไขปัญหาระยะยาว

บทบาทของชุมชนและความโปร่งใสของข้อมูล

ภาคประชาชนและนักวิชาการเสนอแนวทางให้รัฐเร่งวิจัยหาต้นตอและแก้ไขปัญหาสารปนเปื้อนในระยะยาว รวมถึงสร้างฐานข้อมูลคุณภาพน้ำและดินที่เป็นระบบ สนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชนในการเฝ้าระวังมลพิษ และเสนอให้รัฐรายงานสถานการณ์ต่อเนื่องและโปร่งใส

สิทธิมนุษยชนข้ามพรมแดน ยื่นหนังสือถึง AICHR – ก้าวสู่เวทีเจรจาระดับภูมิภาค

ในช่วงท้ายของเวที ได้มีการยื่นหนังสือผ่าน ผศ.ดร.ภาณุภัทร จิตเที่ยง จาก AICHR (ASEAN Intergovernmental Commission on Human Rights) เพื่อขอให้คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนอาเซียนเข้าตรวจสอบกรณีนี้ ถือเป็นการยกระดับปัญหาจากพื้นที่ท้องถิ่นสู่เวทีระดับภูมิภาค โดย AICHR พร้อมสนับสนุนพื้นที่ต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมในกรอบอาเซียน

นอกจากนี้ ยังมีข่าวดีจากฝั่งรัฐบาลไทย เมื่อ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย แจ้งว่า รัฐบาลเมียนมาตอบรับคำเชิญของไทยในการหารือที่กรุงเนปิดอว์ ระหว่างวันที่ 4-8 สิงหาคมนี้ โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าคณะผู้แทน นับเป็นการแสดงความสำคัญของรัฐบาลต่อการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง

ปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน กับอนาคตความมั่นคงของชุมชนลุ่มน้ำ

กรณีสารหนูปนเปื้อนในลุ่มน้ำชายแดนเชียงรายนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการบริหารจัดการทรัพยากรข้ามพรมแดนที่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ ข้อมูลจากทั้งฝั่งไทยและเมียนมาชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างในมาตรฐานและแนวทางตรวจวัดคุณภาพน้ำ ยิ่งตอกย้ำถึงความจำเป็นในการยกระดับการเจรจาระดับรัฐและอาเซียน พร้อมทั้งต้องสร้างระบบฐานข้อมูลและเครือข่ายเฝ้าระวังที่แข็งแกร่งให้ประชาชนมีบทบาทนำ

ขณะที่ความร่วมมือระหว่างภาคประชาชน นักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชน และรัฐ จะเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย และสร้างแนวทางแก้ไขที่ยั่งยืน ไม่เพียงแต่ลดผลกระทบในระยะสั้น แต่ยังปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของคนลุ่มน้ำในระยะยาว

ในอนาคต หากสามารถยกระดับกลไกการแก้ไขปัญหาให้ครอบคลุมทั้งด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และมนุษยชนได้จริง เชียงรายและลุ่มน้ำชายแดนไทย-เมียนมาจะเป็นต้นแบบของการบริหารจัดการปัญหาข้ามพรมแดนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ข้อมูลจาก เวทีฟังเสียงประชาชนลุ่มน้ำสาย รวด โขง ผลกระทบจากสายน้ำปนเปื้อน เหมืองแร่ที่ต้นน้ำ
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • เพจ AIM ศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อการรับรู้และติดตามสถานการณ์น้ำเชียงราย
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เชียงรายคว้าอันดับ 1 เมืองรองท่องเที่ยวไทย ครึ่งปีแรก 2568 รายได้ทะลุเป้า

เชียงรายผงาดแชมป์เมืองรองท่องเที่ยวอันดับ 1 ของประเทศ สร้างรายได้เกือบ 2.6 หมื่นล้านบาท

เชียงราย, 16 กรกฎาคม 2568 – อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยมีข่าวดีเป็นอย่างยิ่งในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 เมื่อจังหวัดเชียงรายก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งเมืองรองท่องเที่ยวอันดับ 1 ของประเทศ ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาถึง 3.38 ล้านคน และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 25,958 ล้านบาท ตัวเลขที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมของนโยบายกระจายการท่องเที่ยวสู่ภูมิภาคและความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจฐานรากในท้องถิ่น

ข้อมูลสถิติเผยความสำเร็จที่น่าประทับใจ

ข้อมูลล่าสุดจากเพจ The Rankings ซึ่งอ้างอิงตัวเลขทางการจากกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน 2568 แสดงให้เห็นภาพความสำเร็จที่ชัดเจนของเชียงราย โดยจังหวัดนี้สามารถครองตำแหน่งอันดับ 12 จาก 77 จังหวัดทั่วประเทศในด้านจำนวนผู้เยี่ยมเยือนสูงสุด และยืนหยัดในอันดับ 9 สำหรับรายได้จากการท่องเที่ยวสูงสุด

เมื่อจำกัดขอบเขตการพิจารณาเฉพาะภาคเหนือ 17 จังหวัด เชียงรายยิ่งโดดเด่นมากขึ้นเมื่อขึ้นสู่ตำแหน่งรองแชมป์ รองจากเชียงใหม่เท่านั้น ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยว 3,378,757 คน และรายได้ 25,958 ล้านบาท ความสำเร็จนี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของเชียงรายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของภาคเหนือให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด

การแข่งขันในกลุ่มเมืองรองที่ทวีความเข้มข้น

ภาพรวมของการแข่งขันในกลุ่มเมืองรองแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจของแผนที่การท่องเที่ยวไทย โดยเชียงรายสามารถทิ้งห่างคู่แข่งในกลุ่มเมืองรองได้อย่างชัดเจน จากสถิติ 5 อันดับแรกเมืองรองที่มีผู้เยี่ยมเยือนสูงสุด ประกอบด้วย เชียงราย (3,378,757 คน) นำหน้าสุพรรณบุรี (3,344,043 คน) สมุทรสงคราม (3,046,131 คน) อุดรธานี (2,559,369 คน) และอุบลราชธานี (2,413,180 คน) ตามลำดับ

การที่เชียงรายสามารถเก็บเกี่ยวผลสำเร็จเช่นนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากการวางแผนเชิงกลยุทธ์และการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชนท้องถิ่น ที่ร่วมกันสร้างสรรค์และพัฒนาเชียงรายให้เป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจยิ่งขึ้น

คุณนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและนายกสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือ

กลยุทธ์การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวที่ประสบความสำเร็จ

คุณนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและนายกสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลการท่องเที่ยวใน 17 จังหวัดของภาคเหนือ เผยให้เห็นถึงปัจจัยเบื้องหลังความสำเร็จของเชียงรายในครั้งนี้

“สิ่งหนึ่งที่เราต้องการให้แต่ละจังหวัดขับเคลื่อนและผลักดันในการนำนักท่องเที่ยวเข้ามา คือการพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการประสานงานกับสายการบินต่างๆ ให้เห็นถึงความสำคัญของแต่ละจังหวัด” คุณนงเยาว์กล่าว

คุณนงเยาว์ชี้ให้เห็นว่า ช่วงกรีนซีซัน (ฤดูฝน) ซึ่งเป็นช่วงที่ธรรมชาติเขียวขจีและสวยงามที่สุดของเชียงราย กำลังกลายเป็นจุดขายสำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ “ในช่วงกรีนซีซัน ภูเขาและที่พักต่างๆ จะมีความสวยงามมาก เราจึงมุ่งเน้นการอัดแคมเปญให้นักท่องเที่ยวทั่วประเทศและทั่วโลกได้มาสัมผัสวิถีชีวิต ศิลปวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ต่างๆ ในเชียงราย รวมถึงชา-กาแฟคุณภาพสูงท่ามกลางบรรยากาศที่บริสุทธิ์”

กลยุทธ์นี้เป็นการเปลี่ยนแปลงมุมมองจากการมองว่าฤดูฝนเป็นช่วงท่องเที่ยวต่ำ (Low Season) มาเป็นจุดขายพิเศษที่มีความโดดเด่นและแตกต่างจากช่วงอื่นๆ การเน้นย้ำถึงเอกลักษณ์ด้านความหลากหลายทางชาติพันธุ์ การปลูกชา-กาแฟในพื้นที่ดอยสูง และบรรยากาศที่เงียบสงบ ล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างและน่าจดจำให้กับนักท่องเที่ยว

ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจที่กว้างไกล

ความสำเร็จของเชียงรายในฐานะเมืองรองท่องเที่ยวอันดับ 1 มีผลกระทบทางเศรษฐกิจที่กว้างไกลกว่าตัวเลขรายได้ 25,958 ล้านบาท การหลั่งไหลของนักท่องเที่ยวกว่า 3.3 ล้านคนในครึ่งปีแรก ส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นในหลายมิติ

เงินที่นักท่องเที่ยวใช้จ่ายไม่ได้กระจุกตัวเฉพาะในธุรกิจขนาดใหญ่ แต่ไหลลงสู่ระบบเศรษฐกิจฐานรากอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ค่าที่พักในรีสอร์ทและโรงแรมท้องถิ่น ค่าอาหารในร้านอาหารและแผงลอย ค่าการเดินทางและขนส่ง ค่าซื้อสินค้าหัตถกรรมและของฝากจากชุมชน ค่าบริการไกด์ท้องถิ่น และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

การเจริญเติบโตของภาคการท่องเที่ยวในเชียงรายยังกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก และการยกระดับคุณภาพการบริการ ซึ่งจะสร้างประโยชน์ต่อเนื่องแก่ประชาชนในพื้นที่และธุรกิจที่เกี่ยวข้องในระยะยาว

การกระจายรายได้สู่ภูมิภาคที่เป็นจริง

ผลสำเร็จของเชียงรายสะท้อนให้เห็นถึงการทำงานของนโยบายกระจายการท่องเที่ยวสู่ภูมิภาคที่เริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรม การที่จังหวัดซึ่งไม่ใช่เมืองหลักทางการท่องเที่ยวสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากกว่า 3 ล้านคน และสร้างรายได้เกือบ 2.6 หมื่นล้านบาท เป็นสัญญาณที่ดีของการลดการกระจุกตัวในกรุงเทพมหานครและเชียงใหม่

การเติบโตนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดภาระจากเมืองหลักที่อาจเกิดปัญหาการท่องเที่ยวล้นเมือง (Over-tourism) แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสให้จังหวัดอื่นๆ ได้เรียนรู้และปรับใช้แนวทางที่ประสบความสำเร็จ เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวของตนเองให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ความท้าทายและโอกาสในอนาคต

แม้ว่าเชียงรายจะประสบความสำเร็จอย่างน่าประทับใจในปัจจุบัน แต่การรักษาและพัฒนาต่อยอดความสำเร็จนี้ให้ยั่งยืนจำเป็นต้องมีการเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น

ความท้าทายสำคัญประการแรกคือการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นจุดขายหลักของเชียงราย การเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวอย่างรวดเร็วอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ คุณภาพอากาศ และความสงบเงียบที่เป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ หากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม

ความท้าทายด้านที่สองคือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้รองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ทั้งในเรื่องของเส้นทางคมนาคม ที่พัก ระบบสาธารณูปโภค และบริการต่างๆ ที่จำเป็นต้องขยายขีดความสามารถอย่างเป็นระบบ

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายเหล่านี้ก็มาพร้อมกับโอกาสมากมาย เชียงรายมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชื่อมโยงภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง การที่ตั้งอยู่ใกล้พรมแดนกับเมียนมารและลาวเป็นจุดแข็งสำคัญในการสร้างเส้นทางการท่องเที่ยวข้ามพรมแดนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ

นอกจากนี้ การมีฐานทางการเกษตรที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะการปลูกชาและกาแฟคุณภาพสูง ยังเป็นโอกาสในการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและการท่องเที่ยวเพื่อสัมผัสกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

เพื่อให้เชียงรายสามารถรักษาความเป็นผู้นำในกลุ่มเมืองรองท่องเที่ยวและพัฒนาต่อยอดความสำเร็จอย่างยั่งยืน ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวเสนอแนะแนวทางการดำเนินงานในหลายมิติ

ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยว ควรมุ่งเน้นการสร้างความหลากหลายของกิจกรรมท่องเที่ยวให้ครอบคลุมทุกกลุ่มนักท่องเที่ยว ทั้งการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เชิงวัฒนธรรม เชิงผจญภัย และเชิงสุขภาพ เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างจุดขายที่แข็งแกร่งมากขึ้น

ด้านการตลาดและการประชาสัมพันธ์ ควรใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและสื่อสังคมออนไลน์ในการสร้างการรับรู้และประสบการณ์ที่น่าประทับใจ การเล่าเรื่องราว (Storytelling) ที่มีเอกลักษณ์และสร้างความผูกพันทางอารมณ์จะช่วยให้เชียงรายติดอยู่ในความทรงจำของนักท่องเที่ยวและกลายเป็นแรงบันดาลใจในการกลับมาเยือนอีกครั้ง

ด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคล จำเป็นต้องยกระดับความรู้และทักษะของผู้ประกอบการและบุคลากรในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ทั้งด้านการบริการ ภาษาต่างประเทศ และการเข้าใจวัฒนธรรมของนักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆ

ก้าวใหม่ของการท่องเที่ยวไทย

ความสำเร็จของเชียงรายในการขึ้นสู่ตำแหน่งเมืองรองท่องเที่ยวอันดับ 1 ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวกว่า 3.3 ล้านคนและรายได้เกือบ 2.6 หมื่นล้านบาทในครึ่งปีแรกของปี 2568 เป็นมากกว่าตัวเลขทางสถิติ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในแผนที่การท่องเที่ยวไทย

การเติบโตนี้สะท้อนให้เห็นถึงพลังของการท่องเที่ยวในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและการสร้างโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลจากเมืองหลัก ขณะเดียวกันก็เป็นแรงบันดาลใจให้จังหวัดอื่นๆ ในการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวของตนเอง

การที่เชียงรายสามารถประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้ เกิดจากการผสมผสานระหว่างทรัพยากรธรรมชาติที่งดงาม ความหลากหลายทางวัฒนธรรม การวางแผนเชิงกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ และการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

ในขณะที่ประเทศไทยเตรียมก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความสำเร็จของเชียงรายจึงเป็นส่วนหนึ่งของจิ๊กซอว์ใหญ่ที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เพจ The Rankings
  • กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • สมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือ
  • สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News