Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ยืนยันความปลอดภัย แม้น้ำปนเปื้อนเล็กน้อย ผลตรวจเลือดนักโทษเชียงรายไม่พบสารพิษ

เรือนจำกลางเชียงรายชี้แจงผลตรวจเลือดผู้ต้องขัง “ไม่พบโลหะหนักตกค้าง” แม้ตรวจพบน้ำใช้มีสารตะกั่วเกินมาตรฐาน เดินหน้าวางมาตรการแก้ปัญหาคุณภาพน้ำอย่างเข้มข้น

เชียงราย, 19 มิถุนายน 2568 –  กระแสความกังวลต่อคุณภาพน้ำในพื้นที่จังหวัดเชียงรายยังคงเป็นประเด็นร้อนแรง ล่าสุด นายพัศพงศ์ ใจคล่องแคล่ว ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย ได้ออกมาเปิดเผยข้อเท็จจริงต่อสื่อมวลชนและสาธารณชน กรณีสื่อออนไลน์บางสำนักนำเสนอข่าวถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดกับผู้ต้องขังภายในเรือนจำ จากการบริโภคน้ำที่อาจปนเปื้อนโลหะหนัก โดยเฉพาะสารตะกั่ว ซึ่งเป็นอันตรายหากสะสมในร่างกาย

กระบวนการตรวจสอบที่เข้มงวด – ผลตรวจเลือดชี้ชัด “ปลอดภัย”

ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย เปิดเผยว่าหลังจากได้รับทราบข้อกังวลดังกล่าว ทางเรือนจำมิได้นิ่งนอนใจ โดยได้ประสานงานกับศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย เพื่อดำเนินการเก็บตัวอย่างน้ำประปาภายในเรือนจำส่งตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ ผลการตรวจสอบล่าสุดพบว่าน้ำประปาที่ใช้มีสารตะกั่วปนเปื้อนในระดับ 0.011-0.015 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าค่ามาตรฐานที่กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กำหนดไว้ที่ 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร

เนื่องจากเรือนจำกลางเชียงรายตั้งอยู่นอกเขตบริการของการประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงราย จึงต้องผลิตน้ำประปาใช้เอง ซึ่งเมื่อผลตรวจคุณภาพน้ำบ่งชี้ถึงความเสี่ยงในระดับดังกล่าว ทางเรือนจำได้เดินหน้าอย่างเร่งด่วนในการตรวจสุขภาพผู้ต้องขัง โดยเฉพาะกลุ่มที่อาศัยอยู่ในเรือนจำและใช้ชีวิตกับน้ำจากแหล่งเดียวกันมาเป็นเวลานาน

ผลตรวจเลือด “สุ่มตัวอย่างผู้ต้องขัง 3 ราย” ครอบคลุมผู้ที่อยู่ในเรือนจำ 3 ปี, 5 ปี และ 10 ปี

เพื่อความโปร่งใสและอ้างอิงตามหลักวิชาการ เรือนจำกลางเชียงรายได้ส่งตัวอย่างเลือดของผู้ต้องขัง 3 ราย ซึ่งมีประวัติอยู่ในเรือนจำยาวนานแตกต่างกัน (3 ปี, 5 ปี, 10 ปี) และบริโภคน้ำประปาจากแหล่งเดียวกัน ส่งตรวจที่ห้องปฏิบัติการของเชียงรายแลปคลินิก ผลการตรวจเลือดระบุชัดเจนว่า “ไม่พบสารตะกั่วหรือสารหนูตกค้างในร่างกาย” ทั้งหมดอยู่ในเกณฑ์ปกติ

ยังไม่พบอาการป่วยหรือผิดปกติในผู้ต้องขัง – พร้อมยกระดับมาตรการเฝ้าระวัง

ขณะเดียวกัน สถานพยาบาลภายในเรือนจำยังคงเฝ้าระวังและตรวจตราสุขภาพผู้ต้องขังอย่างต่อเนื่อง และจนถึงขณะนี้ยังไม่พบผู้ต้องขังรายใดมีอาการผิดปกติหรือแสดงอาการเจ็บป่วยที่เกี่ยวเนื่องกับการได้รับสารโลหะหนักจากน้ำประปาที่ใช้

มาตรการป้องกันและแก้ไขระยะยาว – ย้ำความสำคัญด้านสุขภาพและความปลอดภัย

ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย ย้ำว่าทางเรือนจำให้ความสำคัญสูงสุดต่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้ต้องขังในความดูแล และพร้อมเดินหน้าดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการหาทางปรับปรุงระบบผลิตน้ำประปาในเรือนจำให้ได้มาตรฐาน ปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มเติมกระบวนการกรองน้ำ เพิ่มการสุ่มตรวจและรายงานผลตรวจอย่างสม่ำเสมอ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานด้านสาธารณสุขและสร้างความมั่นใจแก่ผู้ต้องขัง ญาติผู้ต้องขัง และประชาชนโดยรวม

บทวิเคราะห์

กรณีดังกล่าวสะท้อนถึงความสำคัญของมาตรการเฝ้าระวังและความโปร่งใสของหน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับปัญหาคุณภาพน้ำที่กระทบประชาชนกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ต้องขัง การดำเนินการอย่างรวดเร็วในการตรวจสอบและเปิดเผยผลตรวจต่อสาธารณชน คือกลไกสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและลดความตื่นตระหนกของสังคม ขณะเดียวกัน ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงความจำเป็นในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำสะอาดในพื้นที่ที่อยู่นอกระบบประปาหลัก เพื่อป้องกันปัญหาในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สัมภาษณ์ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย
  • เชียงรายแลปคลินิก
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

AOT ปั้นไทยฮับบินภูมิภาค รุกเปิดเส้นทาง สู่ประตูเชียงราย

AOT รุกปั้นไทยสู่ศูนย์กลางการบินภูมิภาค เปิดเวทีประชุม IATA พร้อมขยายเส้นทางบิน เชื่อมเชียงราย-สิงคโปร์ รอปลดล็อกเที่ยวบินตรงไทย-อเมริกา

แคนาดา, 19 มิถุนายน 2568 –  รายงานจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด หรือ AOT ในโลกของอุตสาหกรรมการบินที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ได้แสดงบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายการเป็น Aviation Hub ของภูมิภาค ล่าสุด นายเอนก ธีระวิวัฒน์ชัย รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานยุทธศาสตร์ และคณะกรรมการจัดสรรเวลาของประเทศไทย (Slot Coordination Committee) ได้เป็นตัวแทนเข้าร่วมการประชุมจัดสรรเวลาการบินของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA Slot Conference) ครั้งที่ 156 ณ เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 การประชุมนี้นับเป็นหนึ่งในเวทีที่สำคัญที่สุดของอุตสาหกรรมการบินโลก มีผู้แทนจากท่าอากาศยานกว่า 300 แห่ง สายการบินกว่า 250 สาย และผู้แสดงสินค้าจากทั่วโลกกว่า 1,300 คน

ก้าวสำคัญสู่ฤดูหนาว 2568/2569 – พัฒนาเครือข่ายการบิน สู่มาตรฐานสากล

วัตถุประสงค์หลักของการประชุมครั้งนี้ คือการสนับสนุนการจัดสรรเวลาการบิน (Slot) สำหรับฤดูหนาว 2568/2569 เพื่อให้กำหนดการบินของสายการบินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามมาตรฐานสากล AOT ได้ใช้เวทีนี้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและเจรจาความร่วมมือกับท่าอากาศยานและสายการบินชั้นนำ อาทิ ท่าอากาศยานนานาชาติ San Francisco, British Airways, Air Canada, Alaska Airlines, Norse Atlantic Airlines, Air New Zealand และ Virgin Australia Airlines เพื่อต่อยอดเครือข่ายการบินเชื่อมต่อระหว่างประเทศ ขยายโอกาสด้านการท่องเที่ยว การค้า และเศรษฐกิจของไทย

เจรจา FAA ปลดล็อกบินตรงไทย-อเมริกา จุดเปลี่ยนเชื่อมโลกตะวันตก

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ AOT ได้หารือกับท่าอากาศยานนานาชาติ San Francisco คือการเตรียมความพร้อมรองรับเส้นทางบินตรงระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกา ภายหลังที่ FAA (Federal Aviation Administration) ของสหรัฐอเมริกา ประกาศเลื่อนระดับความปลอดภัยของการบินไทยกลับสู่ Category 1 ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นระดับนานาชาติ เปิดทางสายการบินไทยกลับเข้าสู่เครือข่ายเส้นทางบินข้ามทวีปอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนในการดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวและนักลงทุนจากสหรัฐฯ เข้าสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“Scoot” เตรียมบินตรงสิงคโปร์-เชียงราย พร้อมบินตรงเชียงราย-มาเลเซียปลายปี

ไฮไลต์สำคัญสำหรับชาวเชียงรายและภาคเหนือ คือแผนการเจรจากับสายการบิน Scoot จากสิงคโปร์ เตรียมเปิดเส้นทางบินตรง สิงคโปร์-ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ภายในปลายปี 2568 เพื่อรองรับกระแสท่องเที่ยว เมืองรอง สู่ตลาดนานาชาติแบบไร้รอยต่อ นอกจากนี้ จากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้คาดว่ายังจะมีเส้นทางใหม่ “เชียงราย-กัวลาลัมเปอร์” ที่สายการบินไทยแอร์เอเชีย เคยเปิดให้บริการ เมื่อเริ่มวันที่ 2 พฤศจิกายน 2567 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 สัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน (อังคาร พฤหัสบดี เสาร์) ที่ผ่านมา ถือเป็นหารเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางระหว่างสองประเทศได้สะดวกยิ่งขึ้น

การขยายเครือข่ายเส้นทางบินใหม่ๆ นี้ ไม่เพียงแต่สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างศักยภาพท่าอากาศยานเชียงรายให้เป็นประตูหลักสู่ภาคเหนือของไทย ในการรองรับการเดินทางระหว่างประเทศ และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม

ไทยเตรียมรับบทเจ้าภาพ IATA Slot Conference ครั้งที่ 158 – สะท้อนศักยภาพการบริหารจัดการท่าอากาศยาน

AOT ยังเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม IATA Slot Conference ครั้งที่ 158 ในวันที่ 9-11 มิถุนายน 2569 ณ ศูนย์ประชุมเซ็นทาราแกรนด์ บางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ กรุงเทพฯ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 39 ปีที่ไทยได้มีโอกาสจัดเวทีสำคัญระดับโลกนี้ นอกจากจะเปิดโอกาสให้ประเทศไทยแสดงศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานท่าอากาศยานแล้ว ยังเสริมบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางการบินของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกอย่างแท้จริง

วิเคราะห์และบทสรุป

ความเคลื่อนไหวของ AOT บนเวที IATA Slot Conference สะท้อนความพร้อมและยุทธศาสตร์การพัฒนาท่าอากาศยานไทยสู่มาตรฐานสากล โดยเฉพาะในมิติของการจัดสรรเวลาการบิน เพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐาน และขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศ ขณะเดียวกันยังช่วยกระจายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสู่ภูมิภาค โดยเฉพาะ “เชียงราย” ที่กำลังเติบโตเป็นศูนย์กลางใหม่ของการบินและการท่องเที่ยวภาคเหนือ

คาดว่าการเปิดเส้นทางบินใหม่ เชียงราย-กัวลาลัมเปอร์ และ เชียงราย-สิงคโปร์ ในช่วงปลายปีนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ไม่เพียงแต่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการลงทุนในพื้นที่ แต่ยังยกระดับภาพลักษณ์ของเชียงรายบนเวทีนานาชาติ สู่เป้าหมาย “ศูนย์กลางการบินภูมิภาค” ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)
  • สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

THACCA จัดใหญ่ 12 จังหวัดซ้อม Pitch แผนพัฒนาเมืองสู่เวทีโลก

 “อวดเมือง Pitching” เวทีปลุกพลัง 12 จังหวัดสร้างสรรค์เทศกาลระดับชาติ เตรียมชิงเจ้าภาพแลนด์มาร์คเทศกาลในงาน THACCA SPLASH – Soft Power Forum 2025

กรุงเทพฯ, 19 มิถุนายน 2568 –  ในยุคที่ Soft Power กลายเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เมืองทั่วประเทศต่างตื่นตัวกับโอกาสใหม่ผ่านการต่อยอดทุนวัฒนธรรม สู่เทศกาลที่โดดเด่นและมีอัตลักษณ์ของตนเอง ล่าสุดกรุงเทพฯ เปิดบ้านต้อนรับ 12 จังหวัดเข้าร่วมโครงการ “อวดเมือง Pitching” เพื่อเฟ้นหาจังหวัดเจ้าภาพแลนด์มาร์คเทศกาลท่องเที่ยวไทยปี 2569 ที่จะเป็นต้นแบบของเมืองน่าลงทุน น่าอยู่ และน่าเที่ยว บนเวที THACCA SPLASH – Soft Power Forum 2025

จุดเริ่มต้นและเป้าหมาย

เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568 ณ ห้องบอลรูม โรงแรมแลนด์มาร์ค กรุงเทพฯ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) และ Thailand Creative Culture Agency (THACCA) จัดกิจกรรม Mentoring Workshop ภายใต้โครงการ “อวดเมือง Pitching” โดยคัดเลือก 12 จังหวัดต้นแบบจากนักจัดเทศกาลทั่วประเทศ ผ่านกระบวนการนำเสนอแนวคิดและไอเดียเทศกาลท้องถิ่นที่ทรงพลัง

งานนี้มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อยกระดับเทศกาลท้องถิ่นให้กลายเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาเมือง โดยผลักดันให้แต่ละจังหวัดสร้างจุดขายใหม่บนฐานทุนทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของท้องถิ่น พร้อมรองรับการเป็นเจ้าภาพเทศกาลใหญ่ระดับประเทศในอนาคต

 “Chiang Rai BREW Festival” พลิกวิถีล้านนา สู่ Soft Power

การเลือก Chiang Rai BREW Festival เป็นแลนด์มาร์คเทศกาลนำร่อง เกิดจากแนวคิดที่ผสานอัตลักษณ์ท้องถิ่นเข้ากับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยเทศกาลนี้หยิบ “ชา” และ “กาแฟ” ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของเชียงรายมาเป็นหัวใจหลัก สะท้อนรากเหง้าทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญา และพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ริเริ่มส่งเสริมการปลูกกาแฟบนพื้นที่สูง ทดแทนพืชเสพติด เมื่อครั้งพระราชทานต้นกาแฟให้ชนเผ่าบนดอยช้าง และสืบสานสู่ชาอัสสัมพันธุ์ล้านนาของดอยแม่สลอง

เทศกาลนี้ไม่ได้เป็นเพียงงานเฉลิมฉลอง หากแต่เป็นเวทีบูรณาการทุกภาคส่วน ตั้งแต่เกษตรกร ผู้ประกอบการ สถาบันการศึกษา ภาครัฐ เอกชน และชุมชนชาติพันธุ์ เชื่อมโยงให้เกิดระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) สร้างรายได้จากต้นน้ำถึงปลายน้ำ พร้อมต่อยอดภูมิปัญญาดั้งเดิมสู่สินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม

เวิร์กช็อปเข้มข้น เสริมแกร่งทุกมิติ

ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ประธานกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และรองประธานคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “จากรากวัฒนธรรมสู่พลังสร้างชาติ : การขับเคลื่อน Soft Power ไทยผ่านเทศกาลท้องถิ่น” สะท้อนบทบาทของงานเทศกาลในฐานะสะพานเชื่อมทุนวัฒนธรรมและเศรษฐกิจยุคใหม่

นอกจากเวทีความรู้ ยังมี 7 MENTORS ตัวจริงระดับประเทศจากอุตสาหกรรม MICE และเทศกาล มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ติดอาวุธไอเดีย และให้คำแนะนำเจาะลึกในทุกมิติ ตั้งแต่การบริหารจัดการเทศกาลให้ยั่งยืน กลยุทธ์สร้างมูลค่าเพิ่ม การตลาดสร้างแบรนด์เมือง ไปจนถึงการพัฒนา Content ที่สามารถตอบโจทย์นักลงทุน นักท่องเที่ยว และผู้อยู่อาศัยอย่างครบถ้วน

สู่รอบ Final City Pitching เวที Soft Power แห่งชาติ

ผลจากกิจกรรม Mentoring Workshop ครั้งนี้ จะถูกนำไปใช้ต่อยอดในเวที Final City Pitching รอบสุดท้าย ภายใต้ธีม “น่าลงทุน น่าอยู่ น่าเที่ยว” ในงาน THACCA SPLASH – Soft Power Forum 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8–11 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ฮอลล์ 1–4 ชั้น G โดยแต่ละจังหวัดจะได้อวดแลนด์มาร์ค “ชวนเมือง Dream Box” ที่บูธเมืองพาวิลเลียน พร้อมนำเสนอแนวคิดและศักยภาพในฐานะเจ้าภาพเทศกาลปี 2569

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมไมซ์และเทศกาลในประเทศไทย เมื่อจังหวัดต่าง ๆ ได้รับโอกาสในการแสดงศักยภาพ สร้างเครือข่ายกับผู้เชี่ยวชาญ และขยายโอกาสทางเศรษฐกิจสู่เวทีนานาชาติ

วิเคราะห์และบทสรุป

โครงการ “อวดเมือง Pitching” ไม่ได้เป็นเพียงการแข่งขันนำเสนอแผนพัฒนาเมืองเท่านั้น หากแต่เป็นเวทีบ่มเพาะผู้นำเทศกาลท้องถิ่นรุ่นใหม่ เสริมพลังท้องถิ่นด้วยทุนวัฒนธรรม และผลักดัน Soft Power ไทยให้ขยายสู่ระดับโลกอย่างยั่งยืน ภายใต้ความร่วมมือของภาครัฐและภาคเอกชน ตอกย้ำภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางเทศกาลสร้างสรรค์ของภูมิภาคอาเซียน

การเดินหน้าปั้นแลนด์มาร์คเทศกาลทั่วประเทศในปีนี้ จึงเป็นก้าวสำคัญที่เชื่อมโยงชุมชน ท้องถิ่น และความคิดสร้างสรรค์ ให้เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่อย่างแท้จริง

Soft Power – จุดแข็ง จุดท้าทาย ของเชียงราย

Chiang Rai BREW Festival สะท้อนความกล้าในการต่อยอด Soft Power ไทยให้ก้าวพ้นกรอบศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิม สู่การใช้ “พืชเศรษฐกิจ” อย่างชากาแฟเป็นเครื่องมือสร้างภาพจำใหม่ และพลิกบริบทการท่องเที่ยวสู่สายประสบการณ์ การเชื่อมโยงเทศกาลนี้กับพระราชปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 9 และแนวคิดพัฒนาที่ยั่งยืนของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและแรงบันดาลใจอย่างลึกซึ้ง

อย่างไรก็ตาม การดันชากาแฟเป็นซอฟต์พาวเวอร์หลักของเชียงรายอาจเผชิญข้อท้าทายในการสื่อสารกับนักท่องเที่ยวบางกลุ่มที่ยังยึดติดภาพจำเดิมของ Soft Power ไทย แต่ในอีกมุมหนึ่ง หากเชียงรายสามารถผสานเรื่องเล่าและประสบการณ์เข้ากับการท่องเที่ยว อาจเป็นโมเดลใหม่ของเทศกาลสร้างสรรค์ไทยในเวทีโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA)
  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)
  • Thailand Creative Culture Agency (THACCA)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

เกาะกูด สยบข่าวลวง ยืนยันดินแดนไทย ไร้ข้อสงสัย

เจาะลึกปัญหาข่าวลวงเกาะกูด: ความจริงที่ต้องรู้เพื่อรักษาความสมานฉันท์

ตราด,วันที่ 18 มิถุนายน 2568 – โรงแรมตราดซิตี้ ในงานครบรอบ 34 ปีประชามติตราด และ 28 ปี สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติส่วนภูมิภาคจังหวัดตราด การเสวนาในหัวข้อ “เจาะปัญหาข่าวลวง ข่าวปลอม กรณีเกาะกูด จังหวัดตราด” ได้นำเสนอประเด็นร้อนที่ครองความสนใจของทั้งสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไป เกาะกูด ดินแดนแห่งท้องทะเลบูรพาที่งดงามด้วยธรรมชาติและวัฒนธรรม กลับถูกพูดถึงในฐานะประเด็นข้อพิพาทด้านเขตแดนระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา โดยมีข่าวลือและข้อมูลที่บิดเบือนทำให้เกิดความสับสนและความกังวลในหมู่ประชาชน

การเสวนาครั้งนี้มีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ ผศ.ดร.เสาวนีย์ วรรณประภา ผู้ช่วยคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี จันทบุรี, นายสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี อดีตบรรณาธิการบริหาร The Nation, นายกฤษฎาพงษ์ แววคล้ายหงษ์ แอดมินตราดทีวีและเว็บไซต์ตราดออนไลน์ และ นายเดชาธร จันทร์อบ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เกาะกูด ร่วมกันถกประเด็นอย่างเข้มข้นเพื่อคลายปมปัญหาข่าวลวงและนำเสนอข้อเท็จจริงในมิติต่างๆ

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี บรรณาธิการบริหาร 'The Nation'

ปฐมบทแห่งความขัดแย้ง เกาะกูดกับประเด็นเขตแดน

เรื่องราวของเกาะกูดเริ่มต้นจากความซับซ้อนของเขตแดนทางทะเลในอ่าวไทย ซึ่งนายสุภลักษณ์ได้อธิบายอย่างละเอียดถึงที่มาของปัญหา เขากล่าวว่า ประเทศไทยและกัมพูชามีการอ้างสิทธิในพื้นที่ทับซ้อน (Overlapping Claims Area – OCA) ในอ่าวไทยตั้งแต่ปี 2516 โดยพื้นที่ดังกล่าวครอบคลุมราว 26,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรปิโตรเลียมที่มีศักยภาพสูง อย่างไรก็ตาม การเจรจาเพื่อแบ่งเขตและพัฒนาทรัพยากรร่วมกันยังไม่บรรลุผล โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเกาะกูด ซึ่งกัมพูชาเคยอ้างสิทธิในอดีต แต่ในทางนิตินัย เกาะกูดได้รับการยืนยันว่าเป็นของประเทศไทยตามสนธิสัญญาระหว่างสยามและฝรั่งเศสในปี 2450 และการอยู่อาศัยของประชากรไทยในพื้นที่นี้อย่างต่อเนื่อง

นายสุภลักษณ์ย้ำว่า “ในทางกฎหมายระหว่างประเทศ เกาะกูดเป็นของไทยอย่างชัดเจนทั้งในแง่นิตินัยและพฤตินัย ไม่มีเอกสารใดจากกัมพูชาที่สามารถยืนยันการอ้างสิทธิได้อย่างถูกต้อง” เขายังชี้ว่า การเจรจาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนไม่ได้หมายถึงการยอมจำนนหรือเสียดินแดน แต่เป็นการหาทางออกเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะทรัพยากรปิโตรเลียม ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อตกลงการพัฒนาร่วม (Joint Development Area) คล้ายกรณีของไทยและมาเลเซีย

นายกฤษฎาพงษ์ แววคล้ายหงษ์ แอดมินตราดทีวีและเวปไซด์ตราดออนไลน์

ข่าวลวง ภัยเงียบที่บั่นทอนความมั่นใจ

ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารไหลเวียนอย่างรวดเร็วผ่านโซเชียลมีเดีย ข่าวลวงเกี่ยวกับเกาะกูดกลายเป็นประเด็นที่สร้างความตื่นตระหนก โดยเฉพาะเมื่อมีการปล่อยข้อมูลที่บิดเบือน เช่น การอ้างว่าเกาะกูดกำลังจะถูกยกให้กัมพูชา หรือมีการสู้รบในพื้นที่ นายกฤษฎาพงษ์ แววคล้ายหงษ์ จากตราดทีวี ซึ่งเป็นสื่อท้องถิ่นที่มีผู้ติดตามกว่า 250,000 คน เปิดเผยว่า “ในช่วงสองปีที่ผ่านมา มีการนำประเด็นเกาะกูดมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยเฉพาะในช่วงที่กระแสการเมืองร้อนแรง บางครั้งสื่อบางแห่งหรือกลุ่มบุคคลพยายามสร้างความตื่นตระหนกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว”

เขายังเล่าถึงความท้าทายในการนำเสนอข่าวสารในฐานะสื่อท้องถิ่นว่า “เราไม่สามารถนำเสนอข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน เพราะมันอาจกระทบต่อการท่องเที่ยวและความมั่นใจของประชาชน เราเช็คข้อมูลจากหลายแหล่ง โดยเฉพาะจากนายก อบต. เกาะกูด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลที่เผยแพร่มีความถูกต้องและไม่สร้างความเสียหาย”

ผศ.ดร.เสาวนีย์ วรรณประภา ผู้ช่วยคณบดี คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ รำไพพรรณี จันทบุรี

ด้าน ผศ.ดร.เสาวนีย์ เน้นย้ำถึงบทบาทของนักวิชาการและการสอนนิเทศศาสตร์ในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการตรวจสอบข้อมูล “ในฐานะนักวิชาการ เราเน้นให้นักศึกษาเรียนรู้การตรวจสอบแหล่งข่าว โดยเฉพาะในยุคที่ข่าวลวงแพร่กระจายง่ายผ่านโซเชียลมีเดีย การเช็คข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือและการวิเคราะห์อย่างรอบด้านเป็นสิ่งสำคัญ” เธอยังแนะนำว่า การเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอาจนำไปสู่ผลกระทบร้ายแรง เช่น การละเมิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 ซึ่งกำหนดโทษสำหรับการแชร์ข้อมูลเท็จ

เสียงจากเกาะกูดความจริงจากคนในพื้นที่

นายเดชาธร จันทร์อบ นายก อบต. เกาะกูด ตัวแทนของประชาชนในพื้นที่ ยืนยันว่า ชีวิตของชาวเกาะกูดยังคงดำเนินไปอย่างปกติ แม้จะเผชิญกระแสข่าวลวง “ชาวเกาะกูดไม่ได้ตื่นตระหนก เรายังใช้ชีวิตตามปกติ การท่องเที่ยวในช่วงโลว์ซีซั่นอาจลดลงบ้าง แต่เมื่อเทียบกับช่วงที่มีข่าวลือหนักๆ ปีที่แล้ว การท่องเที่ยวลดลงถึง 30% เพราะนักท่องเที่ยวบางส่วนกลัวว่าจะมีสู้รบหรือสถานการณ์ไม่ปลอดภัย แต่ตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้น นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมา โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่รู้จักเกาะกูดผ่านโซเชียลมีเดีย

นายเดชาธร จันทร์อบ นายก อบต.เกาะกูด

นายเดชาธรยังย้ำว่า “เกาะกูดคือหัวใจของคนไทยและเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดตราดอย่างชัดเจน เราไม่กังวลเรื่องการสูญเสียดินแดน เพราะมีหลักฐานทั้งทางประวัติศาสตร์และการอยู่อาศัยที่ยืนยันความเป็นไทย” เขายังเรียกร้องให้สื่อมวลชนนำเสนอข่าวอย่างสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน

สื่อมวลชน ผู้กำหนดทิศทางความเข้าใจ

นายสุภลักษณ์ ซึ่งมีประสบการณ์ในวงการสื่อมวลชนมากว่า 30 ปี กล่าวถึงหลักการสำคัญของการรายงานข่าวว่า “สื่อมวลชนต้องรายงานตามความเป็นจริง โดยไม่เลือกข้างหรือสร้างวาทกรรมที่บิดเบือน การนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้องอาจสร้างความเสียหายต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและความรู้สึกของประชาชน” เขายังเล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับชายแดนไทย-กัมพูชา โดยยกตัวอย่างกรณีเขาพระวิหาร ซึ่งเคยเกิดความขัดแย้งจากการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก สร้างความเสียหายต่อชุมชนท้องถิ่นที่หวังพึ่งพาการท่องเที่ยว

“การเจรจาคือทางออกที่ดีที่สุด” นายสุภลักษณ์กล่าว “ในยุโรปมีตัวอย่างมากมายที่ชุมชนในเขตแดนสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ต้องขีดเส้นแบ่งแยกอย่างเข้มงวด เราไม่ควรปล่อยให้วาทกรรมชาตินิยมหรือผลประโยชน์ทางการเมืองมากำหนดทิศทางของสื่อ”

งาน 34 ปีประชามติตราด และ 28 ปี สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติส่วนภูมิภาคจังหวัดตราด ที่โรงแรมตราดชิตี้ อ.เมือง จ.ตราด

ทางออกของปัญหาข่าวลวง

การเสวนาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ข่าวลวงเกี่ยวกับเกาะกูดไม่ได้เป็นเพียงปัญหาของการสื่อสาร แต่ยังสะท้อนถึงความท้าทายในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว วิทยากรทั้งสี่ท่านเห็นพ้องกันว่า การแก้ไขปัญหานี้ต้องเริ่มจากการสร้างความตระหนักรู้ในหมู่ประชาชนและสื่อมวลชน โดยเฉพาะการตรวจสอบข้อมูลก่อนเผยแพร่ การนำเสนอข่าวในเชิงสร้างสรรค์ และการส่งเสริมความเข้าใจในบริบทของพื้นที่ทับซ้อน

ผศ.ดร.เสาวนีย์ เสนอว่า “การศึกษาและการอบรมเยาวชนให้รู้เท่าทันสื่อเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในโรงเรียนและชุมชนท้องถิ่น เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของข่าวลวง” ขณะที่นายกฤษฎาพงษ์เน้นย้ำถึงบทบาทของสื่อท้องถิ่นในการเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ “เราต้องทำงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ เช่น อบต. และกองทัพเรือ เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน”

นายเดชาธรทิ้งท้ายด้วยข้อความที่สร้างความมั่นใจว่า “เกาะกูดคือบ้านของเรา และเราจะปกป้องมันด้วยความสมานฉันท์ ไม่ใช่ด้วยความขัดแย้ง ทุกคนที่มาเกาะกูดจะได้สัมผัสกับความสวยงามและความสงบสุขที่เรามี”

ร่วมสร้างความจริงเพื่ออนาคต

การเสวนาครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยคลายปมปัญหาข่าวลวงเกี่ยวกับเกาะกูด แต่ยังเป็นการย้ำเตือนถึงความรับผิดชอบของสื่อมวลชน นักวิชาการ และผู้นำชุมชนในการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องและสร้างสรรค์ เกาะกูดไม่ใช่แค่ดินแดนแห่งความงามทางธรรมชาติ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความสมานฉันท์ระหว่างพี่น้องไทยและกัมพูชา การรักษาความสงบสุขและความมั่นใจของประชาชนจึงเป็นภารกิจร่วมกันของทุกฝ่าย

ในยุคที่ข่าวลวงสามารถจุดกระแสได้ในพริบตา การยึดมั่นในความจริงและการเจรจาด้วยเหตุผลคือกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหา เกาะกูดจะยังคงเป็นอัญมณีแห่งท้องทะเลบูรพา และเป็นบ้านของคนไทยที่พร้อมต้อนรับทุกคนด้วยความอบอุ่นและรอยยิ้ม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การเสวนา “เจาะปัญหาข่าวลวง ข่าวปลอม กรณีเกาะกูด จังหวัดตราด” จัดโดยสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติส่วนภูมิภาคจังหวัดตราด
  • ข้อมูลจาก ผศ.ดร.เสาวนีย์ วรรณประภา, นายสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี, นายกฤษฎาพงษ์ แววคล้ายหงษ์, และนายเดชาธร จันทร์อบ
  • เอกสารสนธิสัญญาระหว่างสยามและฝรั่งเศส (2450) และบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2544
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE FEATURED NEWS

พลังศิลปะพลิกชีวิต พุทธรักษ์ ดาษดา สู่มิติใหม่ 7-Eleven Art Gallery

เมื่อ 7-Eleven กลายเป็นแกลเลอรี่ศิลปะ เรื่องราวแห่งการสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงชุมชนกับศิลปะ

ในยามที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และคนเราเริ่มมองหาความหมายใหม่ในชีวิตประจำวัน มีเรื่องราวหึ่งหนึ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ ในจุดที่เราไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นไปได้ นั่นคือการเปลี่ยนโฉมร้านสะดวกซื้อธรรมดาให้กลายเป็นพื้นที่แห่งศิลปะ ที่ไม่เพียงแต่สร้างความสวยงาม แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมระหว่างชุมชนกับความงาม สร้างเอกลักษณ์และเปิดโอกาสให้ศิลปินรุ่นใหม่ได้แสดงความสามารถ

เรื่องราวนี้เริ่มต้นจากโครงการ “7-Eleven Art Gallery” ซึ่งเกิดขึ้นจากแนวคิดที่ต้องการให้ร้านค้าปลีกเป็นมากกว่าแค่สถานที่ซื้อของ แต่เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน เป็นจุดหมายปลายทางที่มีความหมาย และเป็นแลนด์มาร์คที่สะท้อนเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ ผ่านกระบวนการ Co-Creation ที่เชื่อมโยงงานศิลปะ วัฒนธรรม และแบรนด์เข้าด้วยกัน

การเดินทางสู่การเปลี่ยนแปลงในเชียงราย

ในจังหวัดเชียงราย ซีพี ออลล์ ได้ร่วมมือกับขัวศิลปะ (พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย) ในการสร้างงานศิลปะแห่งแรกที่ร้าน 7-Eleven สาขาหอนาฬิกา 2 ด้วยผลงานชื่อ “The Magical Land” ในปี 2024 ที่สื่อถึงความมหัศจรรย์ของวิถีชีวิตของผู้คน ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ และความหลากหลายทางศิลปะวัฒนธรรม รวมถึงพืชผลทางการเกษตรกรรมของชุมชนและเส้นทางท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่รวมเป็นจังหวัดเชียงราย

ความสำเร็จของงานชิ้นแรกนำไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานที่สองที่สาขาชุมชนห้วยปลากั้ง ด้วยผลงานชื่อ “The Wonderland” ในปี 2025 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่น่าสนใจยิ่งขึ้น

พุทธรักษ์ ดาษดา ศิลปินผู้ซ่อนเรื่องราวไว้ในชื่อ

เบื้องหลังความสำเร็จของผลงาน “The Wonderland” คือศิลปินหญิงชื่อ “อิ๋ม-พุทธรักษ์ ดาษดา” ซึ่งชื่อนี้เป็นชื่อจริงเสียงจริงที่มารดาตั้งให้ มิใช่ชื่อในวงการอย่างที่หลายคนเข้าใจ

ตามข้อมูลของ the cloud ชื่อของ อิ๋ม-พุทธรักษ์ ดาษดา คือ “ถ้ามี ‘ษา’ มันจะเหมือนดอกไม้ใช่ไหม ตั้งแต่เวลาใครประกาศชื่อเรา เขาจะเติม ‘ษา’ ให้ กลายเป็น ‘พุทธรักษา’ แม่บอกว่าอิ๋มเกิดวันพุธ เลยเป็นพุทธรักษ์” เธอชี้แจงท่ามกลางกรอบรูป เฟรมผ้าใบ แจกันดอกไม้ แมลงสตัฟฟ์ในขวดโหล และสารพัดของกระจุกกระจิกที่คับคั่งอยู่ในห้องทำงานของ ‘ดาษดาสตูดิโอ’

เรื่องราวของพุทธรักษ์เริ่มต้นจากการตัดสินใจที่กล้าหาญและเสี่ยงภัย นั่นคือการลาออกจากงานประจำเพื่อออกมาทำงานศิลปะเต็มตัว ด้วยการรวบรวมเงินเก็บทั้งหมดเพื่อจัดแสดงเดี่ยวครั้งแรกของตัวเอง (Solo Art Exhibition)

“ในระหว่างนั้นที่แสดงงาน ก็เจอผู้คนมากมายที่มาชมผลงาน พูดคุย ซัพพอร์ตผลงานและติดตามผลงานเสมอ จากครั้งนั้นมาจนถึงทุกวันนี้” เธอเล่าด้วยความซาบซึ้ง

สิ่งที่เป็นแรงขับเคลื่อนให้เธอทำงานต่อไปคือการได้รับกำลังใจจากผู้คนที่ติดตามผลงาน ไม่เพียงแต่การซื้อขายผลงานเท่านั้น แต่ยังมีคนเดินทางมาเยี่ยมชมสตูดิโอ ส่งกำลังใจ และบอกว่าผลงานของเธอเป็นแรงบันดาลใจและทำให้พวกเขาสบายใจเมื่อได้เห็น

กระบวนการสร้างสรรค์ที่ซับซ้อนแต่ลงตัว

การทำงาน Mural Art ขนาดใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย พุทธรักษ์อธิบายกระบวนการทำงานที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย มีทีมเพ้นท์ มีทีมติดตั้งนั่งร้านให้มีความปลอดภัย และตัวเธอเองเป็นคนออกแบบเรื่องราวทั้งหมดของงาน ลงพื้นที่สำรวจและนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานในแต่ละครั้ง

ทีมที่มาทำงานร่วมจะเป็นคนที่จบทางด้านศิลปะและนักศึกษาศิลปะที่ผ่านการคัดเลือก เพื่อให้งานลุล่วงด้วยความสมบูรณ์และตรงตามวิสัยทัศน์ของศิลปิน การมีทีมเวิร์คที่ดีทำให้สามารถรับงาน Mural Art ในพื้นที่ใหญ่ขึ้น หรือพื้นที่ที่ไม่เคยทำได้ในอนาคต

“The Wonderland” ผลงานที่เชื่อมโยงชุมชนกับศิลปะ

ผลงาน “The Wonderland” ที่สาขาห้วยปลากั้งไม่ใช่แค่ภาพสวยงามบนกำแพง แต่เป็นผลงานที่เกิดจากการลงพื้นที่อย่างจริงจัง พุทธรักษ์ได้ลงไปสำรวจพื้นที่ พูดคุยกับผู้คน จึงได้รู้ที่มาที่ไปของชื่อหมู่บ้านที่มีความเกี่ยวข้องกับปลากั้ง ซึ่งเป็นปลาสายพันธุ์หนึ่งที่ลักษณะคล้ายปลาช่อน ที่เมื่อก่อนเคยมีมากมายในลำธารของชุมชนแห่งนี้

ผลงานนี้เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ที่มีความหมายลึกซึ้ง ทั้งดอกโบตั๋นที่เป็นเนื้อหาหลักของผลงาน มีสมญานามราชาแห่งเหล่ามวลดอกไม้ เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง ร่ำรวย โชคลาภ ความซื่อสัตย์ และมีเมตตา ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของความมีเกียรติยศ

แมงสี่หูห้าตาจากตำนานล้านนาปรากฏอยู่ในผลงาน เป็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งในตำนานว่าด้วยวัดพระธาตุดอยเขาควายแก้ว อำเภอเมืองเชียงราย ที่มีลักษณะมีหูสองคู่และตาห้าดวง รับประทานถ่านไฟร้อนเป็นอาหาร และถ่ายมูลเป็นทองคำ ตามความเชื่อของภาคเหนือเชื่อว่าเป็น “เทพเจ้าแห่งโชคลาภเงินทอง ความอุดมสมบูรณ์”

นกผีเสื้อในผลงานเป็นสิ่งมีชีวิตที่ศิลปินเพิ่มความแฟนตาซีเข้าไป เป็นตัวแทนที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่โดยรอบและเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอุทยานลำน้ำกก แม่น้ำในภาพเป็นสายธารที่หล่อเลี้ยงสัพชีวิตของผู้คน สัตว์ต่างๆ ผืนดิน ต้นไม้ ก่อให้เกิดเป็นชุมชนที่เชื่อมโยงและช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน

ปลากั้งที่บินตามดอกไม้เป็นการเปรียบเทียบกับผู้คนที่มาใช้ชีวิตและอาศัยชุมชนห้วยปลากั้งเป็นที่อยู่อาศัยและประกอบสัมมาอาชีพมาจนถึงปัจจุบันไม่ต่างจากเมื่อครั้งอดีต

เด็กในดอกไม้เป็นตัวแทนของผู้คนที่อยู่ร่วมกันในพื้นที่ ที่มีความหลากหลายทั้งเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรมและประเพณี สื่อถึงการผลิบานของผู้คนในรุ่นต่อๆไป รวมถึงในวัดห้วยปลากั้งเองที่พระอาจารย์พบโชคยังอุปการะเด็กชายขอบที่ยากไร้ในการให้ที่พัก อาหาร และให้การศึกษากับเด็กๆเหล่านี้

ความลงตัวระหว่างศิลปะกับแบรนด์

สิ่งที่น่าสนใจในผลงานนี้คือการผสมผสานระหว่างเอกลักษณ์ของชุมชนกับอัตลักษณ์ของแบรนด์อย่างลงตัว พุทธรักษ์ได้สอดแทรกสีแดง ส้ม เขียว ขาว ซึ่งเป็นสีสัญลักษณ์ของ 7-Eleven เข้าไปในกลีบดอกไม้ของดอกโบตั๋นที่เป็นองค์ประกอบหลักของผลงาน เพื่อสื่อถึงการอยู่ร่วมกันระหว่างชุมชนและ 7-Eleven ที่ผสมกลมกลืนซึ่งกันและกันอย่างอ่อนน้อม พร้อมกับยินดีดูแลและช่วยเหลือกิจกรรมทางสังคมกับชุมชนโดยรอบ

พลังของศิลปะในการเปลี่ยนแปลงสังคม

เมื่อถูกถามถึงพลังของศิลปะในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อผู้คนและสังคม พุทธรักษ์มองว่างานศิลปะในพื้นที่สาธารณะมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงและสร้างความเข้าใจระหว่างคนในชุมชน การที่ผู้คนได้เห็นเรื่องราวของตนเองถูกสะท้อนผ่านงานศิลปะ ทำให้เกิดความภูมิใจและความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกัน

มากกว่านั้น งานศิลปะยังเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดเรื่องราว ประวัติศาสตร์ และภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คนรุ่นใหม่ได้รับรู้และสืบทอดต่อไป เช่นเดียวกับการนำเรื่องราวของแมงสี่หูห้าตาจากตำนานล้านนามาสู่สายตาของคนรุ่นใหม่ในรูปแบบที่ทันสมัยและเข้าถึงได้ง่าย

ความฝันและเป้าหมายในอนาคต

พุทธรักษ์มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการพัฒนาตัวเองและงานศิลปะ เธอกำลังเตรียมตัวและเก็บรวบรวมผลงานเพื่อจัดแสดงเดี่ยวที่ต่างประเทศ ซึ่งเป็นความฝันที่เธอหวังจะทำให้เป็นจริงในอนาคตอันใกล้

ในขณะเดียวกัน เธอยังคงสร้างสรรค์ผลงานอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดนิ่ง และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาทักษะและเทคนิคของตนเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

ข้อคิดสำหรับคนที่อยากก้าวเข้าสู่เส้นทางศิลปะ

สำหรับใครที่กำลังคิดจะเริ่มต้นหรือพัฒนาตนเองบนเส้นทางศิลปะ พุทธรักษ์มีข้อแนะนำที่มาจากประสบการณ์จริง เธอเชื่อมั่นว่าการทำงานด้านศิลปะ (Fine Art) สามารถเป็นอาชีพได้ สามารถหล่อเลี้ยงทางใจและทางกายให้เราไม่ต่างกันกับสายอาชีพอื่นๆเลย

“ในทางความสุนทรีย์ภายในจิตใจ จึงส่งผลมาสู่ทางกระบวนการการใช้ชีวิต ระบบการทำงาน เรารู้ว่าเรารัก เราชอบ และถนัดในด้านใด มีเป้าหมายและมุ่งมั่นทำอย่างจริงจังและต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ไม่ท้อถอย หาความรู้ ศึกษาและฝึกฝนตัวเองอยู่เสมอ” เธอแนะนำ

เมื่อศิลปะกลายเป็นสะพานเชื่อมโลก

โครงการ 7-Eleven Art Gallery และผลงาน “The Wonderland” ของพุทธรักษ์ ดาษดา เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าศิลปะมีพลังในการเปลี่ยนแปลงพื้นที่และสร้างความหมายใหม่ให้กับสิ่งที่เราคุ้นเคย ร้านสะดวกซื้อที่เคยเป็นแค่จุดซื้อของใช้ประจำวัน กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่คนอยากแวะไปชม เป็นแลนด์มาร์คที่สร้างความภูมิใจให้กับชุมชน และเป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบันน และอนาคตเข้าด้วยกัน

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ในเชียงราย แต่เป็นส่วนหนึ่งของกระแสโลกที่กำลังให้ความสำคัญกับการนำศิลปะมาใช้ในพื้นที่สาธารณะ เพื่อสร้างคุณค่าทางสังคมและวัฒนธรรม มากกว่าการมองเพียงแค่ผลกำไรทางธุรกิจ

ผลงานของพุทธรักษ์แสดงให้เห็นว่าศิลปินรุ่นใหม่ของไทยมีความสะามารถและวิสัยทัศน์ที่จะสร้างงานศิลปะที่มีคุณค่าทั้งในด้านความงามและความหมายทางสังคม โดยไม่สูญเสียเอกลักษณ์ท้องถิ่นหรือความเป็นไทย

เรื่องราวนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เราทุกคนได้เห็นว่า ศิลปะไม่ใช่สิ่งที่อยู่ห่างไกลหรือเข้าถึงได้ยาก แต่สามารถอยู่ร่วมกับเราในชีวิตประจำวันได้อย่างกลมกลืน และที่สำคัญคือ ศิลปะมีพลังในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่แท้จริงต่อสังคมและชุมชนของเรา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักข่าว นครเชียงรายนิวส์
  • ขัวศิลปะเชียงราย (พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย)
  • ซีพี ออลล์
  • การสัมภาษณ์พิเศษกับ พุทธรักษ์ ดาษดา ศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงาน “The Wonderland”
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

หน่วยงานรัฐผนึกกำลัง เก็บตัวอย่างดินแม่น้ำ 3 สาย ตรวจโลหะหนัก

ภาครัฐลุยตรวจตะกอนดิน 3 แม่น้ำใหญ่ ตรวจหาสารโลหะหนัก ยกระดับมาตรการสิ่งแวดล้อม สร้างความมั่นใจแก่ประชาชน

เชียงราย, 17 มิถุนายน 2568 – ในห้วงเวลาที่ประชาชนจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ลุ่มน้ำภาคเหนือเผชิญความกังวลต่อปัญหามลพิษและสารปนเปื้อนข้ามพรมแดน หน่วยงานภาครัฐได้เร่งเดินหน้าดำเนินมาตรการเชิงรุก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ โดยเฉพาะการตรวจสอบตะกอนดินจากลำน้ำสายสำคัญของพื้นที่

ขยายผลเก็บตัวอย่าง “ตะกอนดิน” บนลำน้ำหลัก

วันที่ 17 มิถุนายน 2568 เจ้าหน้าที่สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่ ร่วมกับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย ปลัดอำเภอแม่สาย และเจ้าหน้าที่กรมการทหารช่าง ลงพื้นที่ดำเนินการเก็บตัวอย่างตะกอนดินในสามลำน้ำหลัก ได้แก่ แม่น้ำรวก แม่น้ำสาย และแม่น้ำกก จุดมุ่งหมายเพื่อประเมินความปลอดภัยจากการขุดลอกลำน้ำ รวมถึงตรวจสอบการปนเปื้อนของโลหะหนักและสารอันตรายต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน

พื้นที่แรกที่เจ้าหน้าที่ลงตรวจสอบคือบริเวณบ้านวังลาว ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน ซึ่งเป็นจุดท้ายของโครงการขุดลอกแม่น้ำรวกและเชื่อมต่อกับอำเภอแม่สาย เจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างดินทรายโดยบรรจุถุงพลาสติก ถุงละราว 1 กิโลกรัม เพื่อนำส่งวิเคราะห์ที่ห้องปฏิบัติการของกรมควบคุมมลพิษและกรมโรงงานอุตสาหกรรม ผลการวิเคราะห์คาดว่าจะได้ภายใน 2 สัปดาห์ ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำคัญในการประเมินความเหมาะสมต่อการใช้ประโยชน์จากดินดังกล่าวในอนาคต

การขุดลอกแม่น้ำสาย ความร่วมมือข้ามแดนไทย-เมียนมา

สำหรับลำน้ำสาย ซึ่งเป็นลำน้ำหลักที่พาดผ่านชายแดนไทย-เมียนมา การขุดลอกและวางแนวพนังกั้นน้ำดำเนินการโดยกรมการทหารช่างของไทย โดยตะกอนดินทรายที่ขุดขึ้นมาก็มีการบรรจุในถุงบิ๊กแบ็คอย่างรัดกุม ไม่ก่อให้เกิดฝุ่นฟุ้งกระจายออกสู่ภายนอก ขณะที่ฝั่งเมียนมา รัฐบาลเมียนมารับผิดชอบนำตะกอนไปทิ้งในพื้นที่ที่กำหนดไว้อย่างเป็นระบบในฝั่งตนเอง ลดผลกระทบต่อประชาชนสองฝั่งแดน

หาดเชียงราย” กับการขุดลอกแม่น้ำกก – สะท้อนความห่วงใยต่อสุขภาพประชาชน

ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่เดินทางไปยังบริเวณ “หาดเชียงราย” ซึ่งเป็นพื้นที่ชุมชนริมแม่น้ำกกที่ได้รับผลกระทบจากการขุดลอกแม่น้ำอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างตะกอนดินจากบริเวณนี้ก็ถูกรวบรวมส่งตรวจในห้องปฏิบัติการเช่นเดียวกัน เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

มาตรฐานวิชาการและความร่วมมือหลากหลายภาคส่วน

การตรวจวิเคราะห์ตะกอนดินแบ่งออกเป็น 2 แนวทางสำคัญ

  1. ตรวจมาตรฐานคุณภาพดิน เพื่อประเมินว่าสามารถนำตะกอนที่ได้ไปใช้ประโยชน์ด้านเกษตรกรรมหรือเป็นพื้นที่อยู่อาศัยได้หรือไม่ กระบวนการนี้จะดำเนินการในห้องปฏิบัติการวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมของกรมควบคุมมลพิษ
  2. ตรวจสอบความเป็นของเสียอันตราย ด้วยกระบวนการ Leaching Test, TTLC และ STLC ตามมาตรฐานประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมว่าด้วยการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ. 2566 โดยประสานกับศูนย์วิจัยและเตือนภัยมลพิษโรงงานภาคเหนือ เพื่อให้ได้ผลวิเคราะห์ที่แม่นยำและรอบด้าน

ยกระดับความเชื่อมั่นประชาชน

การดำเนินการครั้งนี้ถือเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความมั่นใจให้ประชาชนว่า การขุดลอกลำน้ำที่ดำเนินอยู่ในเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียงมีการเฝ้าระวังผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชนอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ ข้อมูลที่ได้จะถูกนำมาใช้วางแผนการใช้ประโยชน์จากตะกอนดินในอนาคต และป้องกันปัญหาอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ประโยชน์ในพื้นที่เกษตรกรรมหรือพื้นที่ชุมชน

ก้าวสู่การแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืน

เมื่อผลการตรวจวิเคราะห์ตะกอนดินแล้วเสร็จ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสรุปข้อมูลและเผยแพร่ให้ประชาชนรับทราบอย่างโปร่งใส หากพบการปนเปื้อนในระดับที่ต้องเฝ้าระวัง ก็จะมีมาตรการจำกัดการใช้ประโยชน์ รวมถึงกำหนดแนวทางฟื้นฟูพื้นที่ให้เหมาะสมในระยะยาว ทั้งนี้ อาศัยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ ท้องถิ่น วิชาการ และประชาชนอย่างใกล้ชิด เพื่อยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมโรงงานอุตสาหกรรม
  • ศูนย์วิจัยและเตือนภัยมลพิษโรงงานภาคเหนือ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายผนึกกรมวิทย์ฯ หยุดมะเร็งปากมดลูก ด้วย HPV DNA Test

อบจ.เชียงรายเดินหน้ารณรงค์ “ฮ่วมแฮง ฮ่วมใจ๋ ดูแลแม่ญิงเจียงฮาย หยุดมะเร็งปากมดลูก” คิกออฟตรวจคัดกรองด้วยเทคโนโลยี HPV DNA Test สร้างสุขภาวะหญิงไทย

เชียงราย, 17 มิถุนายน 2568 – ในยุคที่ภัยสุขภาพสำหรับผู้หญิงยังคงเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญของสังคมไทย “มะเร็งปากมดลูก” ถือเป็นโรคร้ายแรงที่พรากชีวิตหญิงไทยเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ แม้เทคโนโลยีทางการแพทย์จะรุดหน้าแต่ความตระหนักรู้และการเข้าถึงบริการตรวจคัดกรองยังไม่ครอบคลุมทั่วถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) จึงเดินหน้ายกระดับสุขภาพหญิงไทย ด้วยการเปิดตัวโครงการ “ฮ่วมแฮง ฮ่วมใจ๋ ดูแลแม่ญิงเจียงฮาย หยุดมะเร็งปากมดลูก” (FINDING HPV STOP CERVICAL CANCER) เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 ณ โรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย

จุดเริ่มต้นความร่วมมือ รู้ก่อน รักษาก่อน ปลอดภัย

โครงการนี้เริ่มต้นด้วยความร่วมมือระหว่างอบจ.เชียงราย และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ภายใต้การนำของนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ที่ให้การต้อนรับนายแพทย์ยงยศ ธรรมวุฒิ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พร้อมคณะ ในกิจกรรม Kick off พร้อมด้วยการอบรมเชิงปฏิบัติการแก่ทีมสาธารณสุขระดับพื้นที่ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการรณรงค์ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทั่วทั้งจังหวัดเชียงราย

จุดเด่นของกิจกรรมในครั้งนี้อยู่ที่การแนะนำวิธีตรวจคัดกรองด้วย HPV DNA Test เทคโนโลยีใหม่ที่มีความแม่นยำสูงกว่าการตรวจแบบเดิม (Pap Smear) สามารถตรวจจับเชื้อ HPV สายพันธุ์เสี่ยงสูงทั้ง 14 สายพันธุ์ ที่เป็นต้นเหตุของมะเร็งปากมดลูกได้อย่างชัดเจน และสามารถเก็บตัวอย่างด้วยตนเองที่บ้าน สะดวก ปลอดภัย และลดความเขินอายในการรับบริการ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ สำหรับผู้หญิงไทยอายุ 30-60 ปี ทุกสิทธิ์ประกันสุขภาพ รวมถึงหญิงที่มีอายุ 15-29 ปี ในกลุ่มเสี่ยงสูง

รณรงค์สร้างความมั่นใจ “เปลี่ยนความเขินอาย เป็นความมั่นใจ”

ภายในงานมีผู้เข้าร่วมกว่า 400 คน ทั้งเจ้าหน้าที่ อสม. และตัวแทนชุมชน โดยได้รับฟังข้อมูลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งปากมดลูก อธิบายถึงแนวทาง “รู้เร็ว รักษาเร็ว โอกาสหายสูง” ยิ่งพบเร็ว โอกาสหายขาดยิ่งมาก และเน้นให้ผู้หญิงเปลี่ยนความกังวลใจ ความกลัว หรือความเขินอายในการตรวจ เป็นพลังใจในการดูแลสุขภาพตัวเอง โดยสโลแกนประจำโครงการ “เปลี่ยนความเขินอาย เป็นความมั่นใจ แม่นยำ ตรวจง่าย ได้ผลไว” ได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่น

นายก อบจ.เชียงราย ยังเชิญชวนสตรีในจังหวัด เข้ารับชุดตรวจ HPV DNA Test ได้ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ใกล้บ้าน เพราะสามารถตรวจเพียงครั้งเดียว แต่ครอบคลุมถึง 14 สายพันธุ์หลัก ลดความยุ่งยากและไม่ต้องขึ้นขาหยั่งเหมือนในอดีต

ขยายผลเฝ้าระวังและป้องกัน สร้างต้นแบบ “อยู่ที่ไหนก็ใกล้หมอ”

การดำเนินโครงการครั้งนี้ไม่เพียงตอบโจทย์นโยบาย “อยู่ที่ไหนก็ใกล้หมอ (โฮงยาใกล้บ้าน Plus)” เท่านั้น แต่ยังเดินหน้าขยายบริการครอบคลุมทุกอำเภอในเชียงราย รวมถึงหมู่บ้านและชุมชนห่างไกล ผ่านเครือข่ายอสม.ที่ได้รับการอบรมอย่างเข้มข้น เพื่อให้สามารถให้ข้อมูล รณรงค์ และติดตามผลกลุ่มเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง

ที่สำคัญ กลไกการขับเคลื่อนนี้ ได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จึงไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย และยังได้รับความร่วมมือจากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 15 แห่งทั่วประเทศ ที่ร่วมพัฒนารูปแบบคัดกรองเชิงรุกและวางระบบเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพอย่างเป็นระบบ

วิเคราะห์ผลลัพธ์และทิศทางอนาคต

การเปิดตัวโครงการในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกในหญิงไทย ผ่านการรณรงค์เชิงรุกและขยายการเข้าถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย ปูรากฐานระบบเฝ้าระวังเชิงรุกอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังสร้างต้นแบบการดูแลสุขภาพที่สามารถนำไปขยายผลในระดับประเทศ

ความสำเร็จของโครงการในระยะยาวขึ้นอยู่กับความร่วมมือระหว่างภาครัฐ หน่วยบริการสุขภาพในท้องถิ่น เครือข่าย อสม. และความตื่นตัวของหญิงไทยในการดูแลสุขภาพตนเอง ยิ่งมีการขยายผลไปยังกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ห่างไกลมากเท่าใด โอกาสที่จะหยุดวงจรมะเร็งปากมดลูกในไทยก็ยิ่งใกล้ความจริงมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
  • สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

เหนือรับมือฝน! รองนายกฯ ประเสริฐ สั่งเข้มคุณภาพน้ำ-กันอุทกภัย

รองนายกรัฐมนตรี “ประเสริฐ” ลงพื้นที่ภาคเหนือ สั่งการเข้มทุกหน่วย แก้ปัญหาคุณภาพน้ำ-ป้องกันอุทกภัย ชูแผนบูรณาการข้ามจังหวัดและประชาสัมพันธ์โปร่งใส

เชียงใหม่, 16 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์คุณภาพน้ำและภัยพิบัติในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่รัฐบาลเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด ภายใต้ความห่วงใยของนายกรัฐมนตรี ที่มอบหมายให้คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งผลักดันมาตรการทั้งเชิงรุกและระยะยาว เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตของประชาชนในหลายจังหวัดสำคัญ โดยเฉพาะเชียงราย เชียงใหม่ และลำพูน ซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ของลุ่มน้ำภาคเหนือ

การประชุมติดตามสถานการณ์ – ผนึกกำลังวางแผนรับมือแบบรอบด้าน

วันที่ 16 มิถุนายน 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เป็นประธานการประชุมติดตามความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก แม่น้ำโขง และมาตรการป้องกันอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดทั้งสาม ได้แก่ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร (เชียงใหม่) นายชรินทร์ ทองสุข (เชียงราย) และนายวิวัฒน์ อินทร์ไทยวงศ์ (ลำพูน) ร่วมรายงานสถานการณ์และแนวทางปฏิบัติ ผ่านการประชุม ณ สำนักงานชลประทานที่ 1 จ.เชียงใหม่

ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และส่วนราชการที่รับผิดชอบในพื้นที่ ได้ร่วมกันนำเสนอผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำ แนวทางการเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่อาจมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม–กันยายน ขณะที่ จ.ลำพูน อาจเผชิญน้ำท่วมในเดือนตุลาคม

ข้อสั่งการของรัฐบาล – ย้ำ “โปร่งใส ตรวจสอบได้ ดูแลประชาชนถึงรากหญ้า”

นายประเสริฐฯ ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ระบุชัดว่ารัฐบาลตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหามลพิษข้ามพรมแดน โดยเฉพาะสารหนูและโลหะหนักที่ตรวจพบในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง จึงสั่งการให้กรมควบคุมมลพิษร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในจุดเสี่ยง เผยแพร่ข้อมูลผลตรวจวัดคุณภาพน้ำและความเสี่ยงต่อสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และต้องมีระบบเตือนภัยด้านคุณภาพน้ำที่รวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์

นอกจากนี้ ให้กรมควบคุมโรค กรมอนามัย และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ตรวจสุขภาพประชาชนในพื้นที่อย่างครอบคลุม โดยเน้นการคัดกรองโรคจากสารหนูและโลหะหนัก พร้อมติดตามผลในระยะยาว ส่วนการประปาส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายให้จัดเตรียมน้ำดื่มสะอาดสำรอง วางแผนระยะยาวในการจัดหาแหล่งน้ำดิบคุณภาพดี และพัฒนาระบบประปาหมู่บ้านให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเสี่ยงอย่างยั่งยืน

กรมทรัพยากรน้ำได้รับมอบหมายให้เร่งสำรวจ ออกแบบจุดชะลอน้ำและฝายดักตะกอนตามแผนงานเดิม โดยให้รับฟังเสียงประชาชนในพื้นที่อย่างรอบด้าน และพัฒนาแหล่งน้ำผิวดินแห่งใหม่ให้เพียงพอต่อความต้องการ ขณะเดียวกันกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ และหน่วยงานท้องถิ่นต้องเร่งประเมินและเยียวยาผลกระทบทั้งในภาคเกษตรและการท่องเที่ยว พร้อมแนะแนวทางปรับตัวและฟื้นฟูอาชีพสำหรับผู้ได้รับผลกระทบ

รับมือฝนใหญ่–แผนป้องกันอุทกภัยเต็มพิกัด

สทนช. คาดการณ์ฤดูฝนปีนี้ พื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะเชียงใหม่และเชียงราย จะมีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องจนถึงเดือนกันยายน ขณะที่ลำพูนจะได้รับผลกระทบต่อเนื่องถึงตุลาคม รองนายกรัฐมนตรีประเสริฐ จึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดโครงการขุดลอกแม่น้ำกก แม่น้ำรวก แม่น้ำปิง และการก่อสร้างพนังกั้นน้ำชั่วคราวให้แล้วเสร็จตามแผน พร้อมจัดเตรียมเครื่องมือ เครื่องจักร และระบบสนับสนุนเผชิญเหตุให้ทันต่อสถานการณ์น้ำหลากและน้ำท่วมฉับพลัน

พร้อมกันนี้ได้เน้นย้ำให้ทุกจังหวัดบูรณาการข้อมูลและเร่งประชาสัมพันธ์สถานการณ์น้ำแก่ประชาชนในพื้นที่แบบโปร่งใส ทั่วถึงและทันเหตุการณ์ เพื่อให้ประชาชนสามารถเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

เร่งตรวจสอบและลงพื้นที่–ประชาชนต้องได้รับผลลัพธ์ชัดเจน

หลังเสร็จสิ้นการประชุม รองนายกฯ ได้นำคณะลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการขุดลอกแม่น้ำปิง บริเวณอนุสาวรีย์พระเจ้ากาวิละ อ.เมืองเชียงใหม่ เพื่อตรวจประเมินประสิทธิภาพของมาตรการที่ได้ดำเนินการไปแล้ว พร้อมรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากชุมชนท้องถิ่นโดยตรง

วิเคราะห์และข้อเสนอเชิงนโยบาย

การประชุมครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนความตั้งใจของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาน้ำและอุทกภัยในภาคเหนือแบบองค์รวม ด้วยการผนึกกำลังหลายหน่วยงาน ขับเคลื่อนการบูรณาการนโยบายและข้อมูลทั้งในระดับพื้นที่และส่วนกลาง การประชาสัมพันธ์ที่โปร่งใส และการรับฟังประชาชนในทุกมิติ จะเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความมั่นใจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

เชียงราย รับมือน้ำท่วมปี 68 ผู้ว่าฯ นำทัพเตรียมพร้อมเต็มสูบ

ผู้ว่าฯ เชียงราย นำทีมร่วมประชุม บกปภ.ช. เตรียมพร้อมรับมืออุทกภัยฤดูฝน 2568 และติดตามแผนฝึกซ้อมเต็มรูปแบบ

เชียงราย, 16 มิถุนายน 2568 – ในช่วงฤดูฝนปี 2568 จังหวัดเชียงรายต้องเผชิญกับความท้าทายเรื่องภัยพิบัติทางน้ำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอุทกภัยที่มีโอกาสเกิดขึ้นซ้ำรอยในหลายพื้นที่ ตามประวัติศาสตร์เหตุการณ์น้ำหลากและน้ำท่วมใหญ่ในรอบหลายปีที่ผ่านมา กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) ได้ขับเคลื่อนการประชุมระดับชาติ เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือสถานการณ์ดังกล่าว ภายใต้ความร่วมมือของทุกภาคส่วน

วางโครงสร้างบริหารจัดการน้ำและภัยพิบัติ – มาตรการเชิงรุก

การประชุมครั้งสำคัญนี้ จัดขึ้นในวันที่ 16 มิถุนายน 2568 โดยมีนายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน พร้อมด้วย นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และหัวหน้าส่วนราชการจากส่วนกลางและภูมิภาคร่วมประชุมผ่านระบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ไปยังจังหวัดที่มีความเสี่ยงอุทกภัยทั่วประเทศ

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้นำทีมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมจากห้องประชุมธรรมลังกา ศาลากลางจังหวัดเชียงราย รายงานสถานการณ์น้ำในพื้นที่อย่างละเอียด โดยจังหวัดเชียงรายมีอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและเล็ก 126 แห่ง ปัจจุบันมีปริมาณน้ำเฉลี่ย 53.29% ของความจุรวม 190.842 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งยังบริหารจัดการได้ตามแผน Rule Curve นอกจากนี้ จังหวัดยังเร่งดำเนินโครงการขุดลอกตะกอนดินในอ่างเก็บน้ำ แก้มลิง และหน้าฝายทดน้ำ เพื่อเพิ่มศักยภาพการระบายน้ำหลาก มีปริมาณดินขุดรวมกว่า 5 ล้านลูกบาศก์เมตร

ยกระดับระบบเตือนภัย–เครือข่ายภาคประชาชน

เชียงรายได้ลงทุนติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติ 4 จุด ในพื้นที่แม่สาย และมีแผนติดตั้งอุปกรณ์วัดระดับน้ำ (STAFF GAUGE) อีก 21 จุด ตลอดแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ควบคู่กับการอบรมเครือข่ายประชาชนจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อเสริมศักยภาพการแจ้งเตือนภัยและประสานข้อมูลในภาวะฉุกเฉินอย่างทั่วถึง

สำหรับการฝึกซ้อมตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน จังหวัดเชียงรายร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ กำหนดจัดการฝึก Table Top Exercise (TTX) และฝึกปฏิบัติจริง (Field Exercise) ในพื้นที่แม่สายและชุมชนริมแม่น้ำกก รวม 3 กิจกรรมใหญ่ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ตลอดจนเตรียมความพร้อมเครื่องจักรกลหนัก รถดูดเลน เครื่องสูบน้ำ และกำลังพลประจำจุดเสี่ยงทุกอำเภอ รวมถึงจัดลำดับความสำคัญเฝ้าระวังพื้นที่สำคัญอย่างโรงพยาบาล ท่าอากาศยาน สนามบิน และสถานีผลิตไฟฟ้า

ชูบทบาทการสื่อสารข้อมูลจริง – คลายกังวลปัญหาสารปนเปื้อนน้ำกก

นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเน้นย้ำในที่ประชุมว่า จังหวัดเชียงรายยังต้องเผชิญปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำ ซึ่งเป็นผลกระทบจากกิจกรรมเหมืองแร่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน (เมียนมา) ที่ไหลลงสู่แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) ได้ประสานเจรจากับรัฐบาลเมียนมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อหาทางออกเชิงระบบและลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในระยะยาว พร้อมเน้นการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง ให้ประชาชนได้รับข่าวสารอย่างชัดเจนและครบถ้วน เพื่อลดความตื่นตระหนกและสร้างศักยภาพในการป้องกันตนเองจากสารปนเปื้อน

การมีส่วนร่วมของชุมชน–กุญแจสำคัญสู่ความยั่งยืน

การประชุมในครั้งนี้ถือเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความพร้อมด้านบริหารจัดการภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างข้อมูล สาธารณูปโภค หรือเครือข่ายความร่วมมือจากภาคประชาชน ตั้งแต่ระดับครัวเรือนไปจนถึงระดับจังหวัด ทั้งยังได้เน้นย้ำเรื่องแผนซ้อมและการกระจายข้อมูลจริงที่มีคุณภาพ เพื่อเสริมศักยภาพในการเผชิญเหตุและลดความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนให้ได้มากที่สุด

บทสรุปและข้อเสนอแนะ

จากมาตรการต่าง ๆ ที่จังหวัดเชียงรายร่วมกับส่วนกลางกำลังดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการน้ำ เตรียมพื้นที่เสี่ยง การเฝ้าระวังแจ้งเตือนภัย การบูรณาการข้อมูล และการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน ล้วนเป็นรากฐานสำคัญในการปกป้องประชาชนจากภัยธรรมชาติและสร้างความมั่นใจในคุณภาพชีวิตในระยะยาว หากทุกภาคส่วนยังคงเดินหน้าทำงานอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าจะสามารถลดผลกระทบและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพในฤดูฝนนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.)
  • ศูนย์ข้อมูลข่าวสารจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • รายงานสถานการณ์น้ำและแผนบริหารจัดการน้ำจังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย
    (ข้อมูล ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สารหนูแม่น้ำกกยังสูง เชียงรายเร่งตรวจน้ำ-ปลา ประชาชนวอนขอผลชัดเจน

จังหวัดเชียงรายเดินหน้าแก้ปัญหาคุณภาพน้ำและพร้อมรับมืออุทกภัย บูรณาการหน่วยงานรัฐ-ชุมชนสร้างความเชื่อมั่นประชาชน

เชียงราย, 16 มิถุนายน 2568 – ในช่วงฤดูฝนปี 2568 จังหวัดเชียงรายต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ทั้งด้านคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายสำคัญและความเสี่ยงต่ออุทกภัยในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง ซึ่งถือเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของชุมชน

ประชุมเร่งด่วนบูรณาการทุกภาคส่วน


วันที่ 16 มิถุนายน 2568 ที่ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมผ่าน VDO Conference กับจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธาน เพื่อรายงานและติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ และการป้องกันอุทกภัย

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายรายงานว่า ผลการตรวจคุณภาพน้ำโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 พบสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง โดยเฉพาะในช่วงหลังฝายเชียงรายที่ค่าความเข้มข้นของสารหนูเกินมาตรฐานในระยะนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการเปิดประตูน้ำช่วงน้ำหลากและการขุดลอกลำน้ำที่ทำให้ตะกอนสารหนูลอยขึ้นปะปนในน้ำ อย่างไรก็ตาม ระดับสารหนูหลังฝายยังต่ำกว่าช่วงต้นน้ำกก

ตั้งศูนย์เฝ้าระวัง-ลงพื้นที่ตรวจเข้ม


จังหวัดเชียงรายจึงได้จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม 3 จุดหลัก คือ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย สะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 และสามเหลี่ยมทองคำ พร้อมเสนอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทีมตรวจสอบเคลื่อนที่เข้าสู่หมู่บ้าน/ชุมชน และเพิ่มความถี่ในการตรวจน้ำประปา โดยผลตรวจล่าสุดพบว่ายังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

ขณะเดียวกัน สำนักงานประมงจังหวัดเชียงรายได้เก็บตัวอย่างสัตว์น้ำในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย เพื่อตรวจสอบสารปนเปื้อนและโรคในตัวปลาอย่างสม่ำเสมอ เดือนละ 2 ครั้ง เช่นเดียวกับการเก็บตัวอย่างพืชผักที่ใช้น้ำจากแม่น้ำสายส่งตรวจที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์จังหวัดเชียงราย ซึ่งยังไม่พบว่ามีค่าปนเปื้อนเกินมาตรฐาน

ด้านสุขภาพประชาชน สาธารณสุขจังหวัดเชียงรายเร่งดำเนินการเชิงรุก ทั้งตรวจร่างกาย เฝ้าระวังอาการผิดปกติ และประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนรับทราบสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมเปิด รพ.สต. ให้เป็นจุดเฝ้าระวังและรับแจ้งอาการผิดปกติที่อาจเกิดจากการบริโภคน้ำหรือสัตว์น้ำปนเปื้อน

แผนรับมืออุทกภัย เครื่องมือ-เครื่องจักรพร้อมรับสถานการณ์


ในด้านการรับมืออุทกภัย จังหวัดได้ทบทวนแผนและพื้นที่เสี่ยงทั่วลุ่มน้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำโขง และแม่น้ำรวก โดยติดตั้งโทรมาตร (อุปกรณ์วัดระดับน้ำ) กว่า 21 จุดตลอดแม่น้ำกก และพร้อมจัดซ้อมแผนรับมือภัยในเดือนมิถุนายน 2568 มีการติดตั้งเครื่องสูบน้ำในพื้นที่เสี่ยง เช่น แม่สาย เทิง แม่จัน พร้อมทั้งบริหารจัดการข้อมูล 24 ชั่วโมงผ่านศูนย์บัญชาการประจำจังหวัด

หน่วยงานกรมการทหารช่างได้สร้างแนวป้องกันน้ำในแม่สายและขุดลอกแม่น้ำรวก รวมถึงความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการขุดลอกแม่น้ำสายเพื่อป้องกันน้ำท่วมข้ามพรมแดน นอกจากนี้ ยังวางแผนสำรองเผชิญเหตุในระดับหมู่บ้านเพื่อดูแลพื้นที่สำคัญ เช่น โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ สนามบิน และสถานีผลิตน้ำประปา

ภาคประชาชน-ชุมชนร่วมมือ สร้างความมั่นใจในแหล่งอาหาร


เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 นายณัฐรัฐ พรเดชอนันต์ ประมงจังหวัดเชียงราย พร้อมเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดงมหาวัน ได้ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างปลาจากแม่น้ำกกเพื่อตรวจหาสารปนเปื้อน สะท้อนถึงความห่วงใยของชาวบ้านต่อแหล่งอาหารหลัก ซึ่งมีรายได้เสริมจากการจับปลาขาย แต่ต้องหยุดชะงักไปช่วงหนึ่งจากกระแสข่าวสารปนเปื้อนในน้ำ โดยชาวบ้านเรียกร้องให้หน่วยงานเร่งประกาศผลตรวจอย่างโปร่งใสและรวดเร็ว เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของชุมชน

วิเคราะห์แนวโน้ม-สร้างเสถียรภาพระยะยาว


การแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำและการบริหารจัดการภัยพิบัติในจังหวัดเชียงรายในขณะนี้ สะท้อนถึงความพยายามของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น และชุมชน ในการสร้างระบบเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพ ภารกิจที่ต้องดำเนินการต่อเนื่อง คือการสื่อสารสร้างความเข้าใจและความร่วมมือกับประชาชนให้รู้เท่าทันต่อสถานการณ์ อาศัยกลไกวิทยาศาสตร์การแพทย์และการควบคุมคุณภาพอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงระยะยาวต่อสุขภาพของประชาชนและความมั่นคงด้านอาหารในจังหวัด

สรุป


แม้สถานการณ์คุณภาพน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำกกจะยังคงน่าห่วง แต่จากการบูรณาการความร่วมมือของทุกภาคส่วน ควบคู่กับการลงมือปฏิบัติจริง การตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ และการสื่อสารกับประชาชนอย่างโปร่งใส ถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้กับประชาชนในจังหวัดเชียงรายได้อย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1
  • สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์จังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า จ.เชียงราย
    (ข้อมูล ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News