Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ซ้อมแผนน้ำท่วมเชียงราย เตรียมพร้อมรับมือ 2568

เชียงรายเตรียมพร้อมรับมืออุทกภัยปี 2568 ผนึกกำลังทุกภาคส่วน เสริมระบบเตือนภัย-ซักซ้อมแผนรับมือ ยกระดับความปลอดภัยประชาชน

เชียงราย, 3 มิถุนายน 2568 — ท่ามกลางความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปในทุกปี จังหวัดเชียงรายในฐานะจังหวัดที่มีภูมิประเทศติดลุ่มน้ำสำคัญของภาคเหนือ ยังคงให้ความสำคัญกับการรับมือและเตรียมความพร้อมเพื่อบรรเทาผลกระทบจากปัญหาอุทกภัย ซึ่งอาจเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง

การประชุมใหญ่ ผนึกกำลังหลายฝ่าย

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 3 มิถุนายน 2568 ณ ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดประชุมอบรมการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยจังหวัดเชียงราย ประจำปี 2568 โดยมี พล.ต. จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 (ผบ.มทบ.37/ผบ.ศบภ.มทบ.37) มอบหมายให้ พ.อ. สิงหนาท โลสุยะ เสนาธิการมณฑลทหารบกที่ 37/เสธ.ศบภ.มทบ.37 เข้าร่วมประชุม ร่วมกับ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน พร้อมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกว่า 15 หน่วยงาน เช่น สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, ปภ., หน่วยกู้ภัย, มูลนิธิเพื่อนพึ่งพา และหน่วยงานท้องถิ่น

ปัญหาอุทกภัย บทเรียนจากอดีตสู่การวางแผนปี 2568

การประชุมในครั้งนี้มีเป้าหมายชัดเจน คือ การทบทวนมาตรการป้องกันน้ำท่วมในปี 2567 และเสนอแนะแนวทางป้องกันและลดความเสี่ยงในปี 2568 ซึ่งเชียงรายนับเป็นจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเกือบทุกปี สร้างความเสียหายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยเฉพาะอำเภอแม่สาย อำเภอเมืองเชียงราย และพื้นที่ติดแม่น้ำกก แม่น้ำโขง

ไพโรจน์ แอบยิ้ม ผู้ทรงคุณวุฒิลุ่มน้ำโขงเหนือ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ได้นำเสนอแนวทางป้องกันน้ำท่วมปี 2568 พร้อมข้อสังเกตว่า

  1. การวิเคราะห์หน้าตัดลำน้ำยังไม่ครอบคลุมข้อมูลขุดลอกล่าสุด จึงต้องสำรวจสภาพปัจจุบันอย่างละเอียดมากขึ้น
  2. ควรขยายขอบเขตสำรวจให้เลยฝายเชียงราย เพื่อประเมินผลกระทบต่อการท่วมในพื้นที่
  3. แนะนำให้เพิ่มการสำรวจริมตลิ่ง เพื่อประเมินขอบเขตการขยายตัวของพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม

ระบบเตือนภัยน้ำท่วมปรับปรุง-ยกระดับ

อีกประเด็นสำคัญคือการนำเสนอระบบเตือนภัยน้ำท่วมแม่น้ำกก โดย ผศ.ดร.พงศ์พันธุ์ กาญจนการุณ ผู้ทรงคุณวุฒิลุ่มน้ำโขงเหนือ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ที่ระบุว่าระยะเวลาแจ้งเตือนภัยปัจจุบัน (จากสถานีสะพานมิตรภาพแม่นาวาง-ท่าตอน ถึงสะพานขังพญามังราย) มีเวลาประมาณ 11 ชั่วโมง ก่อนที่น้ำจะเข้าสู่เขตเมืองเชียงราย ควรเสริมระบบ Flood Mark หรือ Flood Map เพื่อแจ้งเตือนขอบเขตที่ชัดเจน พร้อมแนะนำให้เฝ้าระวังระบบอัตโนมัติในช่วงฤดูฝนเดือนสิงหาคม-กันยายน ที่อาจขัดข้องจากสภาพอากาศ

แผนฝึกอบรม-ซักซ้อมสร้างเครือข่ายปฏิบัติการจริง

จังหวัดเชียงรายได้กำหนดการฝึกอบรมการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยปี 2568 ในเดือนกรกฎาคม โดยจัดกิจกรรมครอบคลุม 3 วัน ได้แก่

  • วันแรก: ประชุมเชิงปฏิบัติการ ทบทวนแผนบรรเทาสาธารณภัย ศึกษาความรู้เกี่ยวกับการจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์
  • ภาคบ่าย: ฝึกจำลองสถานการณ์น้ำท่วมและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
  • วันที่สอง: อบรมพัฒนาเครือข่ายเครื่องจักรกลสาธารณภัย
  • วันที่สาม: ซักซ้อมแผนอุทกภัยอำเภอแม่สาย โดยผนวกแผนงานของ ปภ. 15 จังหวัด ร่วมกับ มทบ.37 ใช้งบประมาณจากมูลนิธิเพื่อนพึ่งพา

ความท้าทายใหม่ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

สถานการณ์อุทกภัยในปัจจุบันซับซ้อนมากขึ้นจากผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ฝนตกหนักมากกว่าค่าเฉลี่ย การละลายของหิมะบนภูเขาในประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำกก แม่น้ำโขงผันผวนรวดเร็ว การเตรียมพร้อมจึงต้องยึดข้อมูลจริงและปรับตัวอย่างต่อเนื่อง

การบูรณาการคือคำตอบ

จากการประชุมในครั้งนี้ ชี้ให้เห็นว่าการรับมืออุทกภัยของเชียงรายไม่ได้จำกัดอยู่เพียงหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่ต้องเกิดจากความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น ภาคประชาชน นักวิชาการ และมูลนิธิเอกชน เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีบทบาทและพร้อมตอบสนองสถานการณ์ได้จริง หากบูรณาการแผนงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เชียงรายจะสามารถลดผลกระทบจากอุทกภัยได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และเศรษฐกิจของพื้นที่

เชียงรายเดินหน้าสู่เมืองปลอดภัยจากอุทกภัย

แผนเตรียมความพร้อมรับมืออุทกภัยปี 2568 ของจังหวัดเชียงราย เป็นตัวอย่างของการวางแผนเชิงรุกและยืดหยุ่น พร้อมผสานพลังกับเทคโนโลยีและฐานข้อมูลจริง สะท้อนการเรียนรู้และปรับตัวจากอดีตสู่อนาคต เพื่อให้ประชาชนเชียงรายอุ่นใจในทุกฤดูฝน

ประชุมการฝึกอบรมการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยจังหวัดเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานประชุมเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยจังหวัดเชียงราย 3 มิ.ย. 2568
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ www.onwr.go.th
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย www.disaster.go.th
  • มณฑลทหารบกที่ 37
  • มูลนิธิเพื่อนพึ่งพา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

รมว.สาธารณสุข ห่วงโควิด เพิ่มมาตรการป้องกันกลุ่มเปราะบาง

รัฐมนตรีสมศักดิ์ห่วงสถานการณ์โควิด 19 หลังผู้ป่วยเพิ่มช่วงฤดูฝนและเปิดเทอม แนะป้องกันเข้มข้น ย้ำความรุนแรงลดลง-รักษาได้

ประเทศไทย, 3 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางบรรยากาศฤดูฝนที่มาเยือนพร้อมกับการเปิดภาคเรียนใหม่ ประเทศไทยต้องเผชิญหน้ากับการระบาดของโรคโควิด 19 ระลอกใหม่อีกครั้ง โดยมีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความห่วงใยของรัฐบาลและหน่วยงานสาธารณสุขที่ต้องเร่งสร้างความเข้าใจและความตระหนักรู้ให้ประชาชนทุกกลุ่ม

เริ่มต้นด้วยความห่วงใยจากรัฐมนตรี

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 หลังได้รับรายงานผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดใหญ่ และโควิด 19 มักจะแพร่กระจายได้ง่าย โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และประชาชนที่อยู่ในพื้นที่แออัด

ในวันที่ 3 มิถุนายน 2568 ที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน อธิบดีกรมการแพทย์ พร้อมด้วย นพ.สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ และ นพ.สุทัศน์ โชตนะพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ร่วมกันแถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 และแนวทางการรักษา

สถานการณ์ล่าสุด อัตราการป่วยสูงขึ้นแต่รุนแรงลดลง

นพ.ทวีศิลป์ เปิดเผยข้อมูลว่า ปี 2568 นี้ ประเทศไทยพบผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด 19 รวม 69 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเสี่ยง 608 (ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว) และกระจุกตัวในเมืองใหญ่หรือแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น กรุงเทพมหานคร 22 ราย, ชลบุรี 8 ราย, จันทบุรี 7 ราย, เชียงใหม่ 3 ราย อัตราเสียชีวิตอยู่ที่ 0.106 ต่อประชากรแสนคน สะท้อนให้เห็นว่าโรคไม่ได้มีความรุนแรงมากขึ้น

สำหรับยอดผู้ป่วยสะสมตั้งแต่ต้นปีจนถึง 3 มิถุนายน 2568 อยู่ที่ 324,692 ราย หรือคิดเป็นอัตราป่วย 500.20 ต่อประชากรแสนคน โดยจังหวัดที่พบอัตราป่วยสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, ชลบุรี, ระยอง, ภูเก็ต และนครปฐม มีการระบาดเป็นกลุ่มก้อนในสถานศึกษา 12 เหตุการณ์ เรือนจำ 6 เหตุการณ์ ค่ายทหาร 4 เหตุการณ์ และโรงพยาบาล 2 เหตุการณ์

ปัจจัยเร่งการระบาด ฝนตก-เปิดเทอม

นพ.สุทัศน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค อธิบายว่า ช่วงฤดูฝนและเปิดเทอมเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ รวมถึงโควิด 19 แพร่ระบาดได้ง่าย โดยเฉพาะในโรงเรียนที่นักเรียนอยู่รวมกลุ่มกันมาก จึงพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 16 ของปีเป็นต้นมา โดยสัปดาห์ที่ 22 มีผู้ป่วยสูงถึง 93,621 ราย และล่าสุดในสัปดาห์นี้พบอีก 28,392 ราย

สายพันธุ์หลักที่ระบาดในปัจจุบันคือ XEC ซึ่งแม้จะติดเชื้อได้ง่าย แต่อาการโดยรวมไม่รุนแรง ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการคล้ายไข้หวัดทั่วไป อัตราการนอนรักษาในโรงพยาบาลต่ำมาก และส่วนใหญ่หายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยาต้านไวรัส

แนวทางการป้องกันและรักษาเน้นมาตรการส่วนบุคคล

นพ.สกานต์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เน้นย้ำว่า แนวทางการดูแลรักษาในกรณีที่มีอาการเล็กน้อย โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง สามารถรักษาตามอาการ เช่น ใช้ยาลดไข้ แก้ไอ ลดน้ำมูกได้เหมือนไข้หวัดทั่วไป ไม่จำเป็นต้องใช้ยาต้านไวรัส ยกเว้นในกลุ่มเสี่ยง 608 หรือเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี ที่ควรรีบพบแพทย์ทันที

"รัฐมนตรีสมศักดิ์" ห่วงสถานการณ์โควิด 19 หลังผู้ป่วยเพิ่มขึ้นช่วงฤดูฝนและเปิดเทอม มอบกรมการแพทย์-กรมควบคุมโรค แจงแนวทางปฏิบัติตัวและการรักษา แนะยกระดับป้องกันเข้ม ทั้งเว้นระยะห่าง ล้างมือ เลี่ยงสถานที่แออัด

สำหรับประชาชนทั่วไป หากป่วยควรสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาอย่างน้อย 5 วัน ล้างมือบ่อยๆ และหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด เพื่อลดการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น โดยเฉพาะผู้สูงอายุในบ้าน และกลุ่มเปราะบาง สำหรับโรงเรียน หากพบเด็กนักเรียนป่วยหลายราย ให้หยุดเรียนเฉพาะบุคคล ไม่จำเป็นต้องปิดทั้งชั้นหรือทั้งโรงเรียน

มาตรการเสริมที่แนะนำคือ การเข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลควบคู่ไปกับมาตรการป้องกันโควิด 19 เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสเกิดอาการรุนแรง

มั่นใจยารักษา-เตียงพร้อมรองรับผู้ป่วย

นพ.สกานต์กล่าวว่า ปัจจุบันระบบสาธารณสุขมีเตียงและยารักษาเพียงพอ ทั้งยาเรมดิซีเวียร์ แพกซ์โลวิด และยาโมลนูพิราเวียร์สำหรับกลุ่มอาการปานกลางหรือมีแนวโน้มรุนแรง หากอาการไม่มากหรือไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาการให้ยาหรือรับไว้ในโรงพยาบาลตามความเหมาะสม

วิเคราะห์แนวโน้มและข้อควรระวัง

แม้สถานการณ์จะดูผ่อนคลายกว่าในอดีต แต่ภาครัฐยังคงจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุที่ยังคงเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องได้รับการปกป้องอย่างเข้มข้น หากร่วมมือกันทั้งภาครัฐ โรงเรียน สถานประกอบการ และประชาชน จะสามารถลดจำนวนผู้ป่วยและควบคุมการระบาดได้

ข้อควรระวังสำคัญ

  • ผู้ป่วยโควิด 19 ที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง สามารถใช้ชีวิตและทำงานได้ตามปกติ
  • หากป่วยควรใส่หน้ากาก 5-7 วัน หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด
  • กลุ่มเสี่ยง ควรรีบพบแพทย์หากมีอาการ
  • เน้นการป้องกันส่วนบุคคล เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ
  • เข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่เสริมภูมิคุ้มกัน

สรุป

สถานการณ์โควิด 19 ระลอกใหม่ในฤดูฝนและช่วงเปิดภาคเรียนปีนี้ แม้จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นแต่ระดับความรุนแรงของโรคลดลงอย่างชัดเจน ระบบสาธารณสุขยังคงควบคุมและดูแลสถานการณ์ได้ดี การร่วมมือของประชาชนในการป้องกันส่วนบุคคลจะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยลดการแพร่ระบาดและสร้างความมั่นใจให้กับสังคมไทย

นพ.สกานต์กล่าวว่า หากมีอาการป่วยเพียงเล็กน้อยจะแยกว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด หรือโควิด 19 ได้ยาก แต่แนวทางการดูแลรักษาเบื้องต้นเหมือนกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 กระทรวงสาธารณสุข
  • ข่าวสำนักงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงสาธารณสุข
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มะม่วงเชียงรายวิกฤต ราคาดิ่ง เกษตรกรขาดทุนหนัก

วิกฤตราคามะม่วงตกต่ำในรอบหลายปี เกษตรกรเชียงรายขาดทุนหนัก เสียงสะท้อนจากชุมชนถึงภาครัฐ

เชียงราย, 3 มิถุนายน 2568 — เช้าตรู่ในฤดูเก็บเกี่ยวที่ควรจะเต็มไปด้วยความหวังของชาวสวนมะม่วง อำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย กลับถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง เมื่อมีภาพมะม่วงจำนวนมากถูกนำมาทิ้งข้างทาง เผยให้เห็นอีกด้านของปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังเล่นงานเกษตรกรไทยอย่างรุนแรงในปีนี้

จากสวนสู่ข้างทาง จุดเริ่มต้นของวิกฤต

ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังบ้านกระแล หมู่ 7 ตำบลแม่เปา ซึ่งเป็นแหล่งปลูกมะม่วงที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ ได้พบกับนายปรีชา ลักษณาการ กำนันตำบลแม่เปา ซึ่งเป็นเจ้าของสวนมะม่วงกว่า 200 ไร่ ภายในสวนแห่งนี้ปลูกมะม่วงหลากหลายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นน้ำดอกไม้สีทอง โชคอนันต์ อาร์ทูอีทู มหาชนก และแก้วขมิ้น โดยผลผลิตจะถูกส่งไปยังล้ง จุดรับซื้อกลาง มีพ่อค้าแม่ค้าตลาดไทมารับไปขายในตลาดกรุงเทพฯ บ้าง หรือส่งออกไปยังประเทศจีนและมาเลเซีย

ปีนี้กลับกลายเป็นปีที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายปี ราคามะม่วงร่วงหนักสวนทางกับต้นทุนที่พุ่งสูง ทำให้เกิดภาพเศร้าใจเมื่อเกษตรกรต้องนำมะม่วงที่ตกเกรดหรือมีแมลงวันเจาะมาเททิ้งไว้ข้างถนน ภาพเหล่านี้กลายเป็นประเด็นในโลกโซเชียล สะท้อนวิกฤตการณ์ที่ชาวสวนกำลังเผชิญ

เสียงจากคนทำสวนขายก็ขาดทุน ทิ้งก็เจ็บปวด

นายปรีชาเผยว่า แม้ชาวสวนในพื้นที่จะพยายามควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวดด้วยการห่อผลมะม่วงทุกลูก เพื่อป้องกันแมลงและสร้างมาตรฐาน แต่ก็ยังไม่วายประสบปัญหาราคาตกต่ำอย่างหนัก “ปีที่แล้ว มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเกรด A ขายได้ 80 บาท/กก. แต่ปีนี้ลดเหลือแค่ 21-22 บาท/กก. ส่วนมะม่วงแก้วขมิ้นที่กำลังได้รับความนิยม ปีที่แล้วขาย 40 บาท/กก. ปีนี้เหลือแค่ 11-12 บาท/กก. เรียกว่าราคาตกทุกสายพันธุ์” กำนันปรีชากล่าว

สำหรับมะม่วงที่ถูกนำไปทิ้งข้างทาง ส่วนใหญ่มักเป็นมะม่วงตกเกรดหรือถูกแมลงวันเจาะจนขายไม่ได้ “เราเองไม่อยากทิ้ง แต่ตลาดไม่รับซื้อ ราคาก็ตกต่ำมาก” นายปรีชาย้ำ

เศรษฐกิจโลกดิ่ง ต้นทุนสูง กระทบหนักถึงชาวสวนรายย่อย

สาเหตุที่ทำให้ราคามะม่วงตกต่ำในปีนี้ มาจากหลายปัจจัย ทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว มาตรการกีดกันการค้าของสหรัฐอเมริกา รวมถึงการแข่งขันจากประเทศผู้ผลิตอื่น ส่งผลกระทบต่อการส่งออกและราคาภายในประเทศโดยตรง

ขณะที่ต้นทุนการผลิต เช่น ค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลง และค่าจ้างแรงงานเก็บเกี่ยวยังคงสูงไม่เปลี่ยนแปลง หลายคนบ่นกับกำนันว่า ถึงทำงานหนักแค่ไหนแต่ก็แทบไม่มีเงินเหลือ “เราเองก็ต้องให้กำลังใจชาวสวน ว่าถึงปีนี้จะขาดทุนอย่างไร ก็ต้องดูแลรักษาต้นไว้ เผื่อปีหน้าราคากลับมาดีขึ้น” กำนันปรีชากล่าวอย่างมีความหวัง

วิกฤตการณ์ในโลกออนไลน์และข้อเท็จจริงในพื้นที่

ในสื่อสังคมออนไลน์มีการแชร์ภาพมะม่วงถูกนำไปทิ้งเป็นจำนวนมาก หลายฝ่ายแสดงความห่วงใยต่อเกษตรกรในพื้นที่ นายปรีชาให้ข้อมูลว่า “ในพื้นที่ตำบลแม่เปา ยังไม่พบเห็นการนำมะม่วงไปทิ้งแบบที่แชร์กัน อาจจะเป็นมะม่วงจากพื้นที่ใกล้เคียงที่ไม่ผ่านมาตรฐานตลาดหรือถูกแมลงเจาะ”

ข้อเสนอจากชุมชน อยากเห็นรัฐช่วยเหลือแบบเป็นรูปธรรม

สิ่งที่ชาวสวนคาดหวังจากภาครัฐไม่ใช่เพียงนโยบายระยะสั้น แต่ต้องการมาตรการช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม เช่นเดียวกับที่เคยทำในช่วงราคาหอมกระเทียมตกต่ำ จังหวัดให้กำนันผู้ใหญ่บ้านทั่วจังหวัดช่วยซื้อคนละ 1 ถุง (10 กก./ถุง) เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกร

“ปีนี้ราคามะม่วงตกต่ำสุดในรอบหลายปี อยากให้จังหวัดใช้มาตรการเดียวกันนี้กับชาวสวนมะม่วงบ้าง จะช่วยให้พวกเรามีกำลังใจและสามารถดำรงอาชีพต่อไปได้” กำนันปรีชาย้ำข้อเรียกร้อง

อนาคตเกษตรกรเชียงรายอยู่ที่ไหน?

แม้ว่าชาวสวนบางส่วนในพื้นที่อาจรอดจากวิกฤตราคาตกต่ำด้วยการรักษาคุณภาพผลผลิตเพื่อให้ได้ราคาดี แต่สำหรับชาวสวนรายย่อยที่ต้นทุนน้อย หรือประสบปัญหาผลผลิตตกเกรด กลับเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักสุด หากไม่เร่งแก้ปัญหานี้อย่างเป็นระบบ อาจนำไปสู่การสูญเสียรายได้หลักของครอบครัว เกิดปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว และท้ายที่สุดอาจต้องละทิ้งอาชีพทำสวนมะม่วงที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน

วิกฤตครั้งนี้จึงเป็นสัญญาณเตือนสำคัญถึงภาครัฐ ในการทบทวนมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านการสนับสนุนตลาด ผลักดันการแปรรูป และส่งเสริมช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลาย ลดการพึ่งพาตลาดส่งออกเพียงอย่างเดียว

สรุป

ปัญหาราคามะม่วงตกต่ำในอำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของเกษตรกรไทยที่ต้องเผชิญกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ต้นทุนการผลิตที่สูง และขาดกลไกช่วยเหลือที่เหมาะสมจากภาครัฐ เสียงจากชุมชนจึงเป็นสิ่งที่ควรได้รับการรับฟังและนำไปปรับใช้อย่างเร่งด่วน เพื่อปกป้องอาชีพและคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยให้เดินหน้าต่อไปได้ในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สัมภาษณ์นายปรีชา ลักษณาการ กำนันตำบลแม่เปา อ.พญาเม็งราย จ.เชียงราย
  • ข่าวช่อง 7HD “มะม่วงราคาตกต่ำหนักสุดในรอบหลายปี” เผยแพร่ 3 มิถุนายน 2568
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ www.moac.go.th
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สารหนูเกินมาตรฐานทส. ชี้แม่น้ำกก-สายยังน่าห่วง

รมว.ทส. สั่งเร่งติดตามและแก้ไขปัญหาสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกก-สาย-โขง จ.เชียงราย เดินหน้าประชุมมาตรการเข้มข้นเพื่อคืนคุณภาพชีวิตประชาชน

เชียงราย, 3 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์วิกฤตมลพิษสารหนูในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง กลายเป็นประเด็นสำคัญที่หน่วยงานรัฐทุกระดับต้องขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วน หลังการตรวจพบค่าปนเปื้อนสารหนูในแหล่งน้ำธรรมชาติของจังหวัดเชียงรายเกินกว่าค่ามาตรฐานซ้ำซ้อนหลายจุด สร้างความวิตกกังวลต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมโดยรวม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ยืนยันเดินหน้าแก้ไขปัญหาทั้งเชิงรุกและระยะยาว เพื่อเร่งคืนคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ประชาชนในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม

วิกฤตสารหนูข้ามพรมแดนในพื้นที่ลุ่มน้ำเชียงราย

ตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ปัญหาการปนเปื้อนของสารหนูในลุ่มน้ำสำคัญของภาคเหนือโดยเฉพาะแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ถูกจับตามองจากประชาชน สื่อมวลชน และนักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศ ข้อมูลการตรวจวัดคุณภาพน้ำจากกรมควบคุมมลพิษและกรมทรัพยากรน้ำพบค่าการปนเปื้อนสารหนู ซึ่งเป็นโลหะหนักที่เป็นอันตรายสูงต่อร่างกายมนุษย์และสัตว์น้ำ เกินมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกและประเทศไทยกำหนดไว้ สร้างความวิตกกังวลเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะกับประชาชนในพื้นที่ซึ่งต้องใช้น้ำในชีวิตประจำวัน

สถานการณ์ดังกล่าวซับซ้อนยิ่งขึ้น เมื่อพบว่าแหล่งกำเนิดมลพิษส่วนใหญ่มีต้นทางมาจากนอกประเทศ ครอบคลุมพื้นที่ต้นน้ำในเขตชายแดนเมียนมาและพื้นที่ชายแดนจีน ซึ่งควบคุมและตรวจสอบต้นเหตุโดยตรงได้ยาก รัฐบาลไทยจึงต้องดำเนินงานเชิงรุก ทั้งมาตรการเฉพาะหน้าและแผนความร่วมมือระหว่างประเทศ

รมว.ทส. สั่งประชุมเร่งรัดมาตรการ รับมือผลกระทบสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์หลังร่วมลงนามถวายพระพรในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ณ พระบรมมหาราชวัง ว่าได้ติดตามสถานการณ์นี้อย่างต่อเนื่อง และในวันที่ 4 มิถุนายน 2568 ได้มอบหมายให้นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ ประชุมติดตามมาตรการแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน ตามกรอบที่คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ที่มีรองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เป็นประธาน เพื่อเร่งรัดการปฏิบัติงานและคลายข้อห่วงใยจากประชาชนในพื้นที่

รัฐมนตรีฯ ย้ำว่า แม้มาตรการที่ทำได้ในทันทีอาจเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาปลายเหตุ เช่น การออกแบบระบบดักตะกอนเพื่อชะลอการกระจายของสารปนเปื้อนและเพิ่มจุดตรวจวัดคุณภาพน้ำ แต่ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานดำเนินการอย่างใกล้ชิด ทั้งกรมทรัพยากรน้ำ (ทน.) และกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) จะต้องเพิ่มจำนวนและความถี่ของการเก็บตัวอย่างน้ำ ครอบคลุมตลอดลำน้ำและสาขา ทั้งน้ำผิวดิน ตะกอนดิน สัตว์หน้าดิน ไปจนถึงตรวจระดับสารพิษในร่างกายของประชาชนกลุ่มเสี่ยง

แม่น้ำกก-สาย ยังเกินมาตรฐานในบางจุด

รายงานจากกรมควบคุมมลพิษเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2568 ระบุว่า แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งเชื่อมต่อกับแม่น้ำโขงและประเทศเพื่อนบ้าน ยังพบค่าการปนเปื้อนของสารหนูเกินกว่าค่ามาตรฐานในการตรวจวัดทั้งน้ำผิวดินและตะกอนดิน โดยเฉพาะในพื้นที่ก่อนถึงจุดที่น้ำไหลผ่านฝายเชียงรายไปยังแม่น้ำโขง พบว่าหลังผ่านฝายดังกล่าว ค่าสารปนเปื้อนมีแนวโน้มลดลง สาเหตุจากกระแสน้ำถูกลดความเร็ว ส่งผลให้มีการตกตะกอนเพิ่มมากขึ้น

ส่วนแม่น้ำสาขา เช่น แม่น้ำกรณ์ แม่น้ำลาว และแม่น้ำสรวย คุณภาพน้ำยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้จะพบสารหนูในตะกอนเกินค่ามาตรฐานสำหรับการปกป้องสัตว์หน้าดิน แต่ยังไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพมนุษย์ในขณะนี้

ความร่วมมือระหว่างประเทศ ความท้าทายที่ต้องใช้เวลา

ดร.เฉลิมชัย เน้นว่า การแก้ไขปัญหาสารหนูที่ต้นเหตุต้องอาศัยกระบวนการเจรจาและความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งกับเมียนมาและจีนซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำ แม้จะต้องใช้เวลานาน แต่รัฐบาลไทยมุ่งมั่นประสานความร่วมมือผ่านเวทีทวิภาคีและภูมิภาค พร้อมทั้งผลักดันข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อมและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำร่วมกัน เพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในอนาคต

ขณะเดียวกัน มาตรการในประเทศต้องเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนประชาชนให้งดกิจกรรมทางน้ำในพื้นที่เสี่ยง ให้ใช้น้ำเฉพาะแหล่งที่ผ่านการรับรองคุณภาพ และจัดหาน้ำดื่มน้ำใช้ที่ปลอดภัยสำหรับประชาชนกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์

การสื่อสารและแจ้งเตือนประชาชน สร้างความเชื่อมั่นในมาตรการรัฐ

รมว.ทส. ฝากถึงประชาชนในพื้นที่ จ.เชียงราย และใกล้เคียง ให้ติดตามข่าวสารและประกาศแจ้งเตือนจากหน่วยงานรัฐอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสุขภาพและความปลอดภัย ให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด อย่าตื่นตระหนกจนเกินไป เนื่องจากทุกหน่วยงานกำลังร่วมมือกันอย่างเต็มที่ เพื่อเฝ้าระวังและเร่งแก้ไขสถานการณ์ให้คลี่คลายโดยเร็วที่สุด

วิเคราะห์และแนวโน้มผลกระทบ

กรณีปนเปื้อนสารหนูในลุ่มน้ำเชียงรายถือเป็นแบบอย่างสำคัญของวิกฤตสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน ที่ต้องอาศัยทั้งมาตรการภายในประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ ขณะที่ภาคประชาชนจำเป็นต้องได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน พร้อมแนวทางปฏิบัติอย่างปลอดภัยและต่อเนื่อง หากสถานการณ์คลี่คลายได้ จะเป็นบทเรียนสำคัญในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมระดับภูมิภาคสำหรับอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • รายงานตรวจวัดคุณภาพน้ำแม่น้ำกก-สาย-โขง (กรมควบคุมมลพิษ, 1 มิ.ย. 2568)
  • ค่าสารหนูเกินมาตรฐานในน้ำผิวดินและตะกอนในหลายจุด (กรมควบคุมมลพิษ)
  • การเพิ่มจุดและความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอน (กรมทรัพยากรน้ำ)
  • แนวทางความร่วมมือระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหาสารพิษข้ามพรมแดน (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
  • แนวทางแจ้งเตือนและเฝ้าระวังประชาชน (กรมควบคุมมลพิษ, สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมทรัพยากรน้ำ
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ENTERTAINMENT

มิลลิ-บัวขาว Soft Power ไทยเขย่าโลก!

มิลลิ-บัวขาว สร้างปรากฏการณ์ Soft Power ไทยบนเวที Head in the Clouds สหรัฐฯ กระหึ่มโลก!

สหรัฐอเมริกา, 2 มิถุนายน 2568 – ปรากฏการณ์ “Soft Power” ของไทยยังคงสร้างแรงสั่นสะเทือนในเวทีระดับนานาชาติ เมื่อนักร้องแร็ปเปอร์ชื่อดัง “มิลลิ” หรือ ดนุภา คณาธีรกุล สร้างความฮือฮาอีกครั้งกลางเทศกาลดนตรีระดับโลก Head in the Clouds Festival 2025 ณ ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา โดยนำศิลปะแม่ไม้มวยไทยขึ้นเวที พร้อมตำนานนักมวยขวัญใจคนไทย “บัวขาว บัญชาเมฆ” ร่วมแสดงกับเพลง “ONE PUNCH” จุดกระแสความสนใจสื่อทั่วโลก ดันชื่อเสียงไทยสู่สายตาชาวโลกอย่างงดงาม

จุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์ Soft Power บนเวทีดนตรีโลก

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา “มิลลิ” เป็นหนึ่งในศิลปินหญิงที่มีบทบาทสำคัญในการนำวัฒนธรรมไทยไปสู่สากล ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ “ข้าวเหนียวมะม่วง” กลางคอนเสิร์ต Coachella 2022 ที่สร้างกระแส “Mango Sticky Rice” ระดับโลก หรือการขึ้นแสดงในเวทีต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

ในปี 2568 มิลลิได้รับเชิญให้ขึ้นเวที Head in the Clouds Festival ซึ่งจัดโดยค่าย 88rising ที่ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา เธอได้สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการเชิญ “บัวขาว บัญชาเมฆ” นักมวยไทยซูเปอร์สตาร์ระดับโลก ขึ้นแสดงแม่ไม้มวยไทยโชว์บนเวทีโลกคู่กับเสียงเพลง “ONE PUNCH” ถือเป็นครั้งแรกที่มวยไทยขึ้นเวทีดนตรีอินเตอร์ในรูปแบบนี้

บัวขาวบัญชาเมฆสัญลักษณ์ความแข็งแกร่งของไทยสู่โลก

“บัวขาว บัญชาเมฆ” เจ้าของแชมป์โลก K-1 และราชันย์มวยไทย ได้รับเกียรติขึ้นโชว์ลีลาเตะต่อยในงานเดียวกันนี้ ท่ามกลางเสียงเชียร์และความสนใจจากผู้ชมชาวไทยและนานาชาติ การแสดงดังกล่าวกลายเป็นไฮไลต์ประจำคืน สะท้อนพลังวัฒนธรรมไทยผ่านมวยไทยอย่างเต็มภาคภูมิ

บัวขาวมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะนักมวยไทยที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยไปทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปและญี่ปุ่น ตลอดชีวิตการชกมวยระดับอาชีพกว่า 350 ไฟต์ และสถิติชนะมากกว่า 240 ไฟต์ ถือเป็นนักกีฬาไทยที่ได้รับการยอมรับในเวทีโลก

4EVE ร่วมสร้างชื่อเสียง T-Pop ไทยสู่สายตาโลก

นอกจากมิลลิและบัวขาวแล้ว งาน Head in the Clouds ครั้งนี้ยังมีเกิร์ลกรุ๊ป T-Pop สุดฮอตของไทยอย่าง “4EVE” ขึ้นเวทีแสดงความสามารถด้านดนตรีและการแสดง ท่ามกลางแฟนเพลงต่างชาติที่ให้การตอบรับอย่างล้นหลาม ถือเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ของวงดนตรีไทยในเวทีนานาชาติ

มิลลิกับพลัง Soft Power ไทย สะท้อนผ่านวัฒนธรรมร่วมสมัย

ตลอดเส้นทางการเป็นศิลปิน มิลลิได้นำวัฒนธรรมไทยไปเผยแพร่ผ่านดนตรี แฟชั่น และศิลปะการแสดง ไม่ว่าจะเป็นการนำข้าวเหนียวมะม่วงหรือแม่ไม้มวยไทยขึ้นเวทีต่างประเทศ เธอเป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่กล้าสร้างสรรค์และนำเสนอเอกลักษณ์ความเป็นไทยให้คนทั่วโลกรู้จัก

ไม่เพียงเท่านั้น มิลลิยังเป็นศิลปินหญิงไทยคนแรกที่ได้ขึ้นแสดงในเวที Coachella พร้อมสร้างไวรัลข้าวเหนียวมะม่วง กระตุ้นยอดขายผลไม้ไทยในตลาดโลกเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2565 อีกทั้งยังมีบทบาทในฐานะศิลปินแร็ปเปอร์หญิงรุ่นใหม่ที่ได้รับการยอมรับในวงการเพลงระดับนานาชาติ

มิลลิในบทบาทนักมวยหญิง

ก่อนหน้านี้ มิลลิสร้างเซอร์ไพรส์ให้แฟนคลับด้วยการขึ้นชกมวยไทยในรายการ FAIRTEX FIGHT มวยมันพันธุ์เอ็กซ์ตรีม ที่เวทีมวยลุมพินี รามอินทรา พิกัด 50 กิโลกรัม ภายใต้ชื่อ “อำนวยจิต สิทธิ์แลกซื้อ” แม้จะแพ้ให้กับจีตัว จินสือ นักชกสาวจีน แต่ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ชมทั่วโลกทั้งในแง่ของความกล้าและการส่งเสริมศิลปะมวยไทยในคนรุ่นใหม่

วิเคราะห์ผลลัพธ์และความสำเร็จของ Soft Power ไทย

การแสดงของมิลลิและบัวขาวใน Head in the Clouds สะท้อนให้เห็นศักยภาพของ Soft Power ไทยในการสร้างกระแสระดับโลก ทั้งดนตรี แฟชั่น อาหาร และศิลปะการต่อสู้ ถูกนำเสนออย่างมีชั้นเชิง สร้างภาพจำใหม่ๆ ของประเทศไทยในสายตาชาวโลก ตอกย้ำการเป็น “ผู้นำด้าน Soft Power” แห่งเอเชีย

เหตุการณ์นี้ยังช่วยตอกย้ำยุทธศาสตร์การส่งออกวัฒนธรรมไทยให้เป็นที่รู้จักและยอมรับมากขึ้นในตลาดโลก ส่งผลเชิงบวกต่อการท่องเที่ยว เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และอุตสาหกรรมบันเทิงไทยในระยะยาว

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • มิลลิเป็นศิลปินหญิงไทยคนแรกที่ขึ้นแสดงใน Coachella (2022) ทำไวรัลข้าวเหนียวมะม่วง เพิ่มยอดส่งออกข้าวเหนียว-มะม่วง 2 เท่า (กระทรวงพาณิชย์, 2565)
  • บัวขาว บัญชาเมฆ มีสถิติการชกอาชีพกว่า 350 ไฟต์ ชนะมากกว่า 240 ไฟต์ (บัญชาเมฆ ยิม, 2567)
  • Head in the Clouds Festival จัดโดย 88rising, ปี 2568 มีผู้เข้าร่วมกว่า 50,000 คน (เว็บไซต์ 88rising)
  • อุตสาหกรรมดนตรีไทยปี 2566–2567 มูลค่าตลาดรวมกว่า 3,100 ล้านบาท (ศูนย์วิจัยกสิกรไทย)
  • ศิลปินไทยขึ้นเวที Head in the Clouds Festival ได้แก่ มิลลิ, 4EVE, ร่วมสร้าง Soft Power ไทย (กรมส่งเสริมวัฒนธรรม)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม
  • บัญชาเมฆ ยิม
  • กระทรวงพาณิชย์
  • เว็บไซต์ 88rising
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

แฟรนไชส์ซบ การเมืองกดดัน ค่าเช่าพุ่งวอนรัฐช่วยพยุง

ธุรกิจแฟรนไชส์ไทยอ่วม! ผู้ประกอบการวอนรัฐช่วยเปิดพื้นที่ค้าขายฟรี สู้พิษเศรษฐกิจ-การเมือง กำลังซื้อหด ค่าเช่าพุ่ง ปิดสาขาเพิ่ม

ประเทศไทย, 2 มิถุนายน 2568 – ภาพรวมธุรกิจแฟรนไชส์ไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ยังคงต้องเผชิญความท้าทายอย่างหนัก ภาวะเศรษฐกิจและกระแสการเมืองที่ไม่แน่นอน กำลังซื้อของผู้บริโภคหดตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อยอดขายจนผู้ประกอบการแฟรนไชส์ต้องปรับตัวครั้งใหญ่ หลายรายทยอยปิดสาขาเพื่อหนีค่าเช่าที่เพิ่มสูง วอนรัฐบาลเร่งเปิดพื้นที่ค้าขายฟรีและสนับสนุนช่องทางสร้างรายได้ใหม่

เริ่มต้นจากบรรยากาศเศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อเงียบทั่วประเทศ

นายสุทธิชัย พนิตนรากุล นายกสมาคมแฟรนไชส์และไลเซนส์ และเจ้าของแฟรนไชส์ THE Waffle เปิดเผยถึงสถานการณ์ธุรกิจแฟรนไชส์ว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 สมาชิกในสมาคมต่างประสบปัญหาเดียวกัน คือ “กำลังซื้อเงียบ ยอดขายตกต่ำ” หลายร้านค้าประคองธุรกิจได้ลำบาก แม้การปิดกิจการอาจดูไม่ชัดเจน แต่สาขาที่อยู่ไม่ได้ก็ทยอยหายไปแล้ว ที่เหลือในตลาดล้วนแต่เป็นผู้ประกอบการที่ผ่านการปรับตัวครั้งใหญ่

ทั้งนี้ โอกาสขยายตลาดแฟรนไชส์ปี 2568 เหลือเพียง 4-5% ต่ำกว่าปกติที่ควรเติบโตเกิน 10% สะท้อนภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย กำลังซื้อในประเทศนิ่ง ทั้งจากคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ การออกไปกินเที่ยวลดลงอย่างเห็นได้ชัด และเงินหมุนเวียนในประเทศก็ชะลอตัว

ปัญหาต้นทุน-ค่าเช่าพื้นที่เพิ่ม ผู้ประกอบการรายย่อยอ่วม

“ค่าเช่าแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาขาในศูนย์การค้า-ห้างสรรพสินค้า หลายแห่งต้องทยอยปิด เพราะสู้ค่าเช่าไม่ไหว” นายสุทธิชัยกล่าว ทั้งนี้ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ค่าเช่าพื้นที่ในห้างสรรพสินค้าขยับขึ้นถึง 50% จากเดิมที่รายย่อยเคยเช่าในราคา 10,000 บาทต่อรอบการขาย ปัจจุบันขยับเป็น 15,000–18,000 บาท ขณะที่ยอดขายโตแค่ 2-3% เท่านั้น

ธุรกิจแฟรนไชส์จึงต้องเรียกร้องให้รัฐเร่งหาทางช่วยเหลือ เสนอเปิดเวทีค้าขายฟรีสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่หรือให้เช่าพื้นที่ในอัตราต่ำ 2 ปีแรก ควรจัดสรรพื้นที่ค้าปลีกในสัดส่วน 30% เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายเล็ก-รายใหม่ได้สร้างอาชีพ ลดภาระต้นทุน และกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านมาตรการภาครัฐ

กำลังซื้อชะลอตัว ค้าปลีกหวั่น “ร้าง” เหมือนสิงคโปร์

นายสุทธิชัยสะท้อนว่า หากยังปล่อยให้ค่าเช่าแพงแต่รายได้ไม่โต ภาคค้าปลีกจะได้รับผลกระทบหนักในระยะยาว คนเดินห้างลดลงและอาจกลายเป็น “ศูนย์การค้าร้าง” เช่นที่เคยเกิดขึ้นในสิงคโปร์เมื่อสิบปีก่อน ทั้งนี้ ภาคเอกชนฝากความหวังไว้กับงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาทของรัฐ ว่าควรนำไปสนับสนุนธุรกิจ-แรงงานในประเทศอย่างแท้จริง เพื่อให้รายได้หมุนเวียนภายในระบบเศรษฐกิจไทย

อุปสรรคเข้าถึงแหล่งทุนใหม่ รายย่อยปรับตัวยาก

ธุรกิจแฟรนไชส์เป็นช่องทางหารายได้เสริมของแรงงานไทย แต่ผู้ประกอบการรายใหม่กลับเข้าถึงแหล่งทุนได้ยาก สถาบันการเงินเข้มงวดขึ้น กำลังซื้อนิ่ง ธุรกิจเดิมก็ต้องรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้น จึงจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากรัฐอย่างเร่งด่วน ทั้งในด้านเงินทุน สนับสนุนพื้นที่ค้าขายฟรี และมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อระยะสั้น

ตัวเลขธุรกิจแฟรนไชส์และเศรษฐกิจไตรมาสแรก

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เผยว่า การจดทะเบียนเลิกกิจการไตรมาสแรกปี 2568 (ม.ค.-มี.ค.) มีถึง 3,107 ราย เพิ่มขึ้น 10.61% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ทุนจดทะเบียนเลิกสะสม 11,859 ล้านบาท ส่วนธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด ได้แก่ ก่อสร้าง 307 ราย, อสังหาริมทรัพย์ 137 ราย และร้านอาหาร/ภัตตาคาร 129 ราย

การจดทะเบียนตั้งธุรกิจใหม่ไตรมาสแรกปี 2568 มี 23,823 ราย ลดลง 4.72% จากปีก่อน แม้ทุนจดทะเบียนรวมจะเพิ่มขึ้นถึง 79,920 ล้านบาท (+17.63%) อัตราส่วนตั้ง:เลิกธุรกิจอยู่ที่ 7:1

ความเชื่อมั่น SME ลดลงต่อเนื่อง

สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME เดือนมีนาคม 2568 อยู่ที่ 51.5 ลดลงจากเดือนก่อนที่ 52.1 เป็นการลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ปัจจัยสำคัญมาจากกำลังซื้อในประเทศที่ชะลอตัว โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาทระยะที่ 2 ยังไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน

ภาคการท่องเที่ยวที่เคยเป็นตัวขับเคลื่อนหลักก็เริ่มชะลอลง จำนวน นทท. ต่างชาติลดลง ขณะที่ภาคการเกษตรได้รับผลกระทบจากราคาตกต่ำและภัยธรรมชาติ ทำให้ธุรกิจรายย่อยในภูมิภาคเปราะบางมากขึ้น

ภาคธุรกิจพบจุดอ่อนใหญ่ 3 ด้าน

SME D Bank รายงานจาก “Business Health Check” พบว่าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีจุดอ่อน 3 ด้านหลักคือ

  1. การบริหารจัดการการเงิน (คะแนนเฉลี่ย 1.8/5) โดยเฉพาะกลุ่มรายย่อยที่ไม่แยกบัญชีส่วนตัวกับธุรกิจ ขาดความรู้บัญชี
  2. นวัตกรรมและเทคโนโลยี (2.6/5) รายย่อยไม่รู้เทคโนโลยีที่เหมาะกับธุรกิจ รายเล็กขาดแผนหรือนโยบายด้านนวัตกรรม กลางไม่สร้างวัฒนธรรมองค์กรให้เกิดนวัตกรรม
  3. การสื่อสารการตลาด (3.6/5) รายย่อยขาดทักษะโซเชียล มีเดีย รายเล็กขาดการวิเคราะห์ผลลัพธ์การตลาด รายกลางขาดบูรณาการข้อมูล

วิเคราะห์สถานการณ์และแนวโน้มผลกระทบ

จากภาพรวมข้างต้นสะท้อนว่า ธุรกิจแฟรนไชส์ในไทยกำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งปัจจัยเศรษฐกิจภายใน ความไม่แน่นอนทางการเมือง และต้นทุนดำเนินธุรกิจที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากรัฐไม่เข้ามาแก้ไขและสนับสนุนให้ตรงจุด โดยเฉพาะการเปิดพื้นที่ค้าขายฟรี หรือลดต้นทุนค่าเช่า คาดว่าผู้ประกอบการรายย่อยจะทยอยปิดกิจการเพิ่มขึ้น กระทบทั้งอุตสาหกรรมค้าปลีก เศรษฐกิจชุมชน และแรงงานไทยในภาพรวม

แม้ตลาดแฟรนไชส์ไทยยังคงมีศักยภาพเติบโตในระยะยาว แต่สถานการณ์ในปี 2568 บ่งชี้ชัดว่าจำเป็นต้องอาศัยมาตรการเชิงรุกและความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อรักษาระบบนิเวศธุรกิจแฟรนไชส์ไทยให้ผ่านวิกฤตนี้ไปได้อย่างมั่นคง

สถิติสำคัญและแหล่งอ้างอิง

  • เลิกกิจการไตรมาส 1/2568: 3,107 ราย (+10.61%) ทุนจดทะเบียนเลิก 11,859 ล้านบาท (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • ตั้งธุรกิจใหม่ไตรมาส 1/2568: 23,823 ราย (-4.72%) ทุนจดทะเบียน 79,920 ล้านบาท (+17.63%) (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • ดัชนี SME เดือนมีนาคม 2568: 51.5 ลดลงจาก 52.1 (สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม)
  • ผลการตรวจ Business Health Check: เอสเอ็มอีไทยพบจุดอ่อน 3 ด้านหลัก (SME D Bank)
  • ตลาดแฟรนไชส์โตเพียง 4-5% ต่ำกว่าปกติที่ 10% (สมาคมแฟรนไชส์และไลเซนส์)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สมาคมแฟรนไชส์และไลเซนส์
  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
  • สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
  • SME D Bank
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

กรมประมงเฝ้าระวังน้ำกก-สาย สรุปขอเลี่ยงหรือกินปลาได้

กรมประมงเข้มตั้งทีมเฉพาะกิจเฝ้าระวังสัตว์น้ำแม่น้ำกก-สาย ชี้ผลตรวจยังไม่เกินมาตรฐาน แต่ขอประชาชนเลี่ยงบริโภคชั่วคราว

เชียงราย, 2 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางความกังวลของประชาชนในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ต่อสถานการณ์สารปนเปื้อนในแหล่งน้ำธรรมชาติ กรมประมงเดินหน้ายกระดับมาตรการเฝ้าระวัง ตั้ง “ทีมเฉพาะกิจ” ตรวจสอบคุณภาพสัตว์น้ำข้ามพรมแดนอย่างต่อเนื่อง พร้อมแนะประชาชนเลี่ยงบริโภคสัตว์น้ำจากแม่น้ำสองสายนี้ชั่วคราว แม้ผลตรวจเบื้องต้นยังไม่เกินค่ามาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยของสาธารณชน

จุดเริ่มต้นของปัญหาและมาตรการรับมือ

สถานการณ์การปนเปื้อนของสารโลหะหนักในแม่น้ำสายและแม่น้ำกกเริ่มกลายเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญ หลังมีรายงานปลาบางชนิดมีตุ่มแดงผิดปกติ รวมถึงมีประชาชนในเขตอำเภอแม่สายเกิดอาการผื่นแดงหลังใช้น้ำจากบ่อในครัวเรือน สร้างความวิตกกังวลในวงกว้าง ทั้งด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพประมงและชาวบ้านที่อาศัยแหล่งน้ำเป็นหลัก

กรมประมงโดยนางฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดี ได้เปิดเผยถึง “แผนเฉพาะกิจตรวจติดตามและเฝ้าระวังสารปนเปื้อนสัตว์น้ำ” ในแม่น้ำสายและแม่น้ำกก ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยง 4 จุดหลักทั้งในเชียงรายและเชียงใหม่ ได้แก่ บ้านโป่งนาคำ, สะพานแม่ฟ้าหลวง, หลังวัดสันธาตุถึงสบกก (เชียงราย) และชายแดนไทย-เมียนมา หมู่บ้านแก่งตุ๋ม อำเภอแม่อาย (เชียงใหม่) โดยเน้นการเก็บตัวอย่างปลาสำคัญ เช่น ปลาสร้อย ปลาซ่า ปลาค้าว และปลากด ทุก 2 สัปดาห์ ตั้งแต่พฤษภาคมถึงกันยายน 2568

ข้อมูลผลการตรวจสอบล่าสุด

จากการเก็บตัวอย่างสัตว์น้ำตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พบว่า สารพิษสำคัญ ได้แก่ สารหนู (As), ปรอท (Hg), ตะกั่ว (Pb) และแคดเมียม (Cd) รวมถึงการตรวจเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และพยาธิวิทยาในปลายังคงอยู่ในระดับที่ “ไม่เกินค่ามาตรฐาน” ตามเกณฑ์สากล โดยเฉพาะในปลากินพืชมีการตกค้างของโลหะหนักในระดับต่ำ ส่วนปลากินเนื้อ พบค่าสารปรอทสูงกว่าปลากินพืชแต่ยังไม่เกินมาตรฐาน

กรณีปลามีตุ่มแดง จากการวินิจฉัยพบว่าเกิดจากปรสิตและเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง ไม่พบในอวัยวะภายใน และยังไม่พบการติดเชื้อไวรัส ขณะที่ผลตรวจสารปนเปื้อนในปลาทั้ง 3 รอบที่เก็บมา ยังคงต่ำกว่าค่ามาตรฐาน อันเป็นข้อมูลสำคัญยืนยันว่าสถานการณ์ยังไม่ส่งผลต่อสุขภาพประชาชนในวงกว้าง

คำแนะนำและการสื่อสารกับสาธารณชน

ถึงแม้ผลการตรวจสอบจะยังไม่พบอันตราย กรมประมงได้แนะนำประชาชน “หลีกเลี่ยงบริโภคสัตว์น้ำที่จับได้จากแม่น้ำสายและแม่น้ำกกในระยะนี้” เพื่อความปลอดภัยสูงสุด โดยเฉพาะในช่วงฤดูปลามีไข่ที่ควรให้ธรรมชาติฟื้นฟู และป้องกันการสะสมของโลหะหนักในห่วงโซ่อาหาร

พร้อมกันนี้กรมประมงยังย้ำว่าสัตว์น้ำที่จำหน่ายตามท้องตลาดส่วนใหญ่เป็นสัตว์น้ำที่มาจากการเพาะเลี้ยงในระบบปิด ไม่ใช้น้ำจากแม่น้ำทั้งสองสาย ดังนั้นประชาชนยังสามารถมั่นใจในความปลอดภัยของอาหารทะเลและสัตว์น้ำที่ซื้อบริโภคได้ตามปกติ

ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและเสียงสะท้อนของชุมชน

ประมงอำเภอเชียงแสนร่วมเวทีเสวนา “ทวงคืนสายน้ำกกขอคนปลายน้ำ” เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 ซึ่งจัดโดยเครือข่ายประชาชนเชียงแสน-แม่สาย และศูนย์เฝ้าระวังและตอบโต้ภัยพิบัติมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มีการพูดคุยถึงมาตรการตรวจสอบสิ่งแวดล้อมทั้งน้ำ พืช ดิน และสัตว์ เป็นระยะ รวมถึงแผนรับมือภัยพิบัติและการร่วมมือของรัฐ เอกชน และประชาชนในพื้นที่

เสียงสะท้อนจากคนในชุมชนระบุว่า ปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อรายได้และจิตใจของผู้ประกอบอาชีพประมง ราคาปลาตกต่ำและขายยากเนื่องจากผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่น แม้หน่วยงานรัฐจะเร่งชี้แจงข้อมูลและลงพื้นที่เก็บตัวอย่างเป็นระยะ แต่ความวิตกกังวลยังคงอยู่ โดยเฉพาะเรื่องการสะสมของสารพิษในปลากินเนื้อและความเป็นไปได้ที่จะเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร

มาตรการเพิ่มเติมด้านสาธารณสุขและการติดตามผู้ได้รับผลกระทบ

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันตรวจสอบกรณีประชาชนในบ้านแม่สาย ตำบลเวียงพางคำ ที่มีอาการผื่นแดงหลังใช้น้ำจากบ่อ โดยทีมแพทย์เฉพาะทางลงพื้นที่ตรวจร่างกาย เบื้องต้นพบว่าเป็นผื่นแพ้เหงื่อและยังไม่พบความผิดปกติรุนแรง พร้อมกับเก็บตัวอย่างน้ำในบ่อ 6 จุดเพื่อนำส่งตรวจวิเคราะห์อย่างละเอียดเพิ่มเติม

เจ้าหน้าที่ได้เน้นย้ำประชาชนในพื้นที่เสี่ยงหลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากแหล่งธรรมชาติที่ยังไม่ได้ผ่านการปรับปรุงคุณภาพ หากพบอาการผิดปกติ เช่น ผื่นคัน แสบผิวหนัง หรืออ่อนเพลีย ให้รีบพบแพทย์ทันที

แนวทางแก้ไขและผลกระทบในระยะยาว

แม้ข้อมูลทางวิชาการในขณะนี้จะระบุว่าสารปนเปื้อนอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน แต่ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่า ควรดำเนินการเฝ้าระวังระยะยาว พร้อมเสริมความเข้มแข็งในการฟื้นฟูระบบนิเวศแหล่งน้ำ พัฒนาแผนรับมือร่วมกับภาคประชาชน และสนับสนุนงานวิจัยเพื่อประเมินผลกระทบสะสมของสารโลหะหนักในห่วงโซ่อาหาร

นอกจากนี้ ยังควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนทั้งด้านความรู้ การสื่อสารความเสี่ยง และสร้างทางเลือกในอาชีพให้แก่กลุ่มผู้ประกอบอาชีพประมงที่ได้รับผลกระทบ

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • กรมประมงเก็บตัวอย่างปลาทุก 2 สัปดาห์ใน 4 จุดเสี่ยงหลักตั้งแต่ พ.ค.–ก.ย. 2568
  • ผลตรวจปลากินพืช-กินเนื้อ 3 รอบ ไม่พบโลหะหนักเกินมาตรฐาน (กรมประมง)
  • กลุ่มชาวบ้านผู้ประกอบอาชีพประมงในลุ่มน้ำกก-สายได้รับผลกระทบรายได้ตกต่ำ (ข้อมูลจากเครือข่ายประชาชนเชียงแสน-แม่สาย)
  • ประชาชนบ้านแม่สาย 1 หมู่ 1 พบอาการผื่นแดงหลังใช้น้ำบ่อในครัวเรือน ตรวจสอบโดย สสจ.เชียงราย รพ.แม่สาย และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมประมง
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • โรงพยาบาลแม่สาย
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย
  • เครือข่ายประชาชนเชียงแสน-แม่สาย
  • ศูนย์เฝ้าระวังและตอบโต้ภัยพิบัติมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

ท่องเที่ยวเวียดนามฟีเวอร์ ไทยเสียแชมป์ตลาดเอเชีย

เวียดนามฟีเวอร์! นักท่องเที่ยวทะลุ 7.6 ล้าน ไทยชะลอตัว-ตลาดจีนแห่เที่ยวเวียดนาม แซงไทยในตลาดหลักเอเชีย

ประทเศไทย, 1 มิถุนายน 2568 – การท่องเที่ยวเวียดนามกลายเป็นประเด็นร้อนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนามเปิดเผยสถิติชี้ว่า เวียดนามต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงถึง 7.67 ล้านคน ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 23.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา นับเป็นการขยายตัวที่น่าจับตา สะท้อนภาพเวียดนามในฐานะ “แม่เหล็ก” ดึงดูดนักท่องเที่ยวรายใหม่จากทั่วโลก

เวียดนามแรงแซงไทย นักท่องเที่ยวจีน-เกาหลีหันเป้าหมายใหม่

ข้อมูลล่าสุด (อัปเดต 12 พฤษภาคม 2568) ระบุว่า ตลาดนักท่องเที่ยวที่เข้าเยือนเวียดนามสูงสุดคือจีน 1.95 ล้านคน ตามด้วยเกาหลีใต้ 1.58 ล้านคน ขณะที่ไทย ซึ่งเคยเป็นจุดหมายหลักสำหรับตลาดทั้งสองกลุ่ม กลับถูกเวียดนามแซงหน้าอย่างชัดเจน โดยสถิติระบุว่า นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าไทยช่วงต้นปีมีเพียง 1.82 ล้านคน ส่วนกลุ่มเกาหลีใต้ ไทยมีนักท่องเที่ยวราว 600,000 คน ขณะที่เวียดนามดึงกลุ่มนี้ได้ถึง 1.58 ล้านคน หรือมากกว่าประมาณ 3 เท่า

ตลาดสำคัญอื่นๆ อาทิ ไต้หวัน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และกัมพูชา ก็เติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ฟิลิปปินส์ (+98.3%) กัมพูชา (+79.6%) และลาว (+44.7%) ต่างมีอัตราเติบโตสูง ส่วนไทย (+3.1%) และมาเลเซีย (+0.3%) กลับขยายตัวได้เพียงเล็กน้อย

แนวโน้มเปลี่ยนทิศทางการท่องเที่ยวในภูมิภาค

สถานการณ์ที่เวียดนามแซงหน้าไทยในกลุ่มตลาดหลักอย่างจีนและเกาหลีใต้ สะท้อนความเปลี่ยนแปลงสำคัญในภูมิทัศน์อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของภูมิภาค โดยในอดีต ไทยเคยเป็นจุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวจีนและเกาหลีมาโดยตลอด แต่ปัจจุบันนักท่องเที่ยวทั้งสองชาติกลับเลือกเวียดนามเป็นปลายทางมากขึ้น เนื่องจากหลายปัจจัย เช่น นโยบายดึงดูดการท่องเที่ยวเชิงรุก การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ตอบโจทย์นักเดินทางรุ่นใหม่

ไทยยังคงตัวเลขรวมสูงแต่แนวโน้มชะลอตัว

แม้ไทยจะยังมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมสูงกว่า โดยข้อมูลสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค.–25 พ.ค. 2568 ไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวรวมกว่า 13 ล้านคน แต่สัปดาห์ล่าสุดกลับมีแนวโน้มชะลอตัวลง นักท่องเที่ยวลดลง 5.11% โดยเฉพาะกลุ่มจีน เกาหลีใต้ และมาเลเซีย ลดลง 8.26%, 1.72% และ 1.42% ตามลำดับ สะท้อนแรงกดดันด้านการแข่งขันจากเวียดนามและความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในภูมิภาค

ตลาดจีนซึ่งเคยเป็น “หมุดทองคำ” ของไทย เริ่มแปรเปลี่ยนฐานความนิยม โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เข้าเวียดนามสูงกว่าของไทยอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ กลุ่มนักท่องเที่ยวจากเกาหลีใต้ซึ่งถือเป็น “กำลังซื้อหลัก” ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ก็เลือกเวียดนามเพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็ว

วิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่เปลี่ยนทิศการท่องเที่ยว

หนึ่งในปัจจัยหลักที่นักวิเคราะห์ชี้ชัด คือการที่เวียดนามใช้นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนาเส้นทางบินตรง การเปิดเมืองใหม่ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ รวมถึงราคาค่าครองชีพที่เหมาะสม ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาค่าเงินบาทแข็ง อัตราค่าครองชีพสูง รวมถึงความกังวลในเรื่องความปลอดภัยที่ถูกหยิบยกในสื่อระหว่างประเทศ

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้ความเห็นว่า สาเหตุหลักของการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวจีน ญี่ปุ่น และต่างชาติส่วนหนึ่งมาจากความกังวลเรื่องความปลอดภัยและอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทที่แข็งค่า ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวในไทยสูงขึ้น ทำให้เวียดนามกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับกลุ่มนี้

ทิศทางการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน กลายเป็นความท้าทายของไทย

รายงานจาก Lao Tien Times ในงาน Thailand Tourism Forum 2025 เมื่อ 7 พฤษภาคม 2568 ชี้ว่า ไทยกำลังตกเป็นรองในด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยมีเพียง 109 โรงแรม หรือไม่ถึง 1% ของโรงแรมทั่วประเทศ ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานสากลด้านความยั่งยืน ขณะที่แพลตฟอร์มการจองและเทคโนโลยี AI เริ่มให้ความสำคัญกับสถานประกอบการที่มีใบรับรองมาตรฐานอย่างเข้มงวด ส่งผลให้โรงแรมไทยที่ไม่ผ่านมาตรฐานอาจถูกกันออกจากตลาดสำคัญ เช่น การเดินทางเพื่อธุรกิจและกลุ่ม MICE

อาลิสา ศิวายะธร CEO Sivatel Bangkok Hotel กล่าวในงานว่า กระแสความต้องการท่องเที่ยวเชิงรับผิดชอบกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่แค่ “เทรนด์” อีกต่อไป แต่เป็น “มาตรฐานใหม่ของโลก” โดยเฉพาะนักเดินทางจากยุโรปที่มีการออกกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมเข้มข้นมากขึ้น

แม้ผู้บริโภคไทยจะมีความสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยพบว่าในปี 2567-2568 มีโพสต์เกี่ยวกับการลดใช้พลาสติกและขยะกว่า 6,800 โพสต์บนโซเชียลมีเดีย และมีผู้มีส่วนร่วมมากกว่า 1.2 ล้านครั้ง ข้อมูลจากผลสำรวจระบุว่า 65% ของนักท่องเที่ยวไทยยินดีจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ยั่งยืน และ 62% ยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อเลี่ยงการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว แต่ราคายังเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มเลือกวิธีที่ประหยัดมากกว่าสิ่งแวดล้อม

ลาวโดดเด่นบนเวทีโลก ผลักดันเมืองหลวงพระบางสู่มาตรฐานโลก

ขณะที่ไทยกำลังดิ้นรนกับมาตรฐานความยั่งยืน ลาวกลับมีความคืบหน้าสำคัญ หลวงพระบางได้รับรางวัลอันดับ 3 ใน Green Destinations Top 100 Story Awards สาขาการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว (Destination Management) ณ งาน ITB Berlin เมื่อเดือนมีนาคม 2568 นอกจากนี้ หลวงพระบางอยู่ระหว่างการเตรียมตัวขอรับรอง Green Destination Certification อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะยกระดับภาพลักษณ์เมืองมรดกโลกให้สูงขึ้นไปอีกขั้น

สถิติล่าสุดระบุว่าในปีที่ผ่านมา หลวงพระบางมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวลาวและต่างชาติกว่า 2.3 ล้านคน สร้างรายได้มากกว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น น้ำตกกวงสี วัดเชียงทอง ภูสี และตลาดกลางคืน ยังคงเป็นแม่เหล็กสำคัญ

ทางออกและมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวไทย

นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่ารัฐบาลกำลังเร่งดำเนินมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ “สวัสดีหนีห่าว” ที่นำผู้ประกอบการและ KOL จากจีนเข้าร่วมงานโปรโมตประเทศไทย พร้อมขยายตลาด “Long haul” หรือกลุ่มเดินทางไกล ขณะที่ยังต้องรักษาตลาด “Short haul” หรือกลุ่มระยะใกล้ โดยมีมาตรการเสริมสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกผ่านระบบ ตม.6

นางสาวฐาปนีย์ ยังยืนยันว่า ไทยมีศักยภาพขยายตลาดใหม่ พร้อมย้ำถึงมาตรการเชิงรุกที่จะทำให้ตลาดจีนและกลุ่มเป้าหมายสำคัญกลับมาเติบโตในครึ่งปีหลัง

วิเคราะห์แนวโน้ม อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในปี 2568

สถานการณ์การแข่งขันของเวียดนามและไทยในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับกลยุทธ์ของไทย ทั้งในแง่ของการขยายตลาดใหม่ การยกระดับมาตรฐานความยั่งยืน และการเสริมสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยและประสบการณ์ท่องเที่ยว ตลอดจนการเน้นกลยุทธ์การตลาดที่สอดคล้องกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ ความคุ้มค่า และความรับผิดชอบต่อสังคม

สถิติสำคัญและแหล่งอ้างอิง

  • เวียดนามมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 7.67 ล้านคน ช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 (+23.8%) (อ้างอิง: สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม)
  • ไทยมีนักท่องเที่ยวสะสมกว่า 13 ล้านคน (1 ม.ค.–25 พ.ค. 2568) (อ้างอิง: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา)
  • นักท่องเที่ยวจีนเยือนเวียดนาม 1.95 ล้านคน ไทย 1.82 ล้านคน (อ้างอิง: สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา)
  • นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้เยือนไทย 600,000 คน ขณะที่เวียดนาม 1.58 ล้านคน (อ้างอิง: สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม)
  • ไทยมีโรงแรมที่ได้รับการรับรองมาตรฐานความยั่งยืนเพียง 109 แห่ง (<1%) (อ้างอิง: Siam Commercial Bank Economic Intelligence Center, Lao Tien Times)
  • หลวงพระบาง ลาว มีนักท่องเที่ยว 2.3 ล้านคน รายได้ 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (อ้างอิง: กรมการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมลาว, ITB Berlin 2025)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • Siam Commercial Bank
  • Economic Intelligence Center
  • Lao Tien Times
  • งาน ITB Berlin 2025
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

เชียงรายเปิดศึกบาส 3×3 ชิงถ้วยพระราชทาน

เชียงรายจัดศึกบาสเกตบอล 3×3 “UTCC Championship 2025” ระดับภูมิภาค คึกคัก สานฝันเยาวชนสู่เวทีระดับชาติ

เชียงราย, 31 พฤษภาคม 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และหอการค้าไทย เปิดศึกบาสเกตบอลสามคน “3×3 UTCC Championship 2025” รอบคัดเลือกระดับภูมิภาค ณ ยิมเนเซียม 1 สนามกีฬากลางองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยมี นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดการแข่งขันอย่างเป็นทางการ สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการกีฬาบาสเกตบอลเยาวชนไทย

เสริมสร้างโอกาสและศักยภาพเยาวชนผ่านกีฬา

งานแข่งขันบาสเกตบอล 3×3 UTCC Championship 2025 ครั้งนี้ เป็นหนึ่งในกิจกรรมสำคัญที่มุ่งหวังจะส่งเสริมให้เยาวชนในแต่ละภูมิภาคได้มีเวทีแสดงออกถึงศักยภาพทางด้านกีฬา เสริมสร้างทักษะชีวิต ความสามัคคี น้ำใจนักกีฬา และทักษะการทำงานเป็นทีม ภายใต้ความร่วมมือระหว่างหอการค้าไทยและมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งเล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาเยาวชนไทยให้มีโอกาสเติบโตอย่างรอบด้าน

แนวคิดและวัตถุประสงค์การจัดงาน

นายนิทัศน์ ศรีรัตนประสิทธิ์ ประธาน YEC เชียงราย ในฐานะผู้แทนคณะกรรมการจัดงาน ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์หลักของการแข่งขันในครั้งนี้ว่า ต้องการสนับสนุนให้เยาวชนได้แสดงศักยภาพด้านกีฬา ส่งเสริมการออกกำลังกายอย่างสร้างสรรค์ พร้อมกับปลูกฝังคุณลักษณะที่ดีงาม ผ่านกีฬาบาสเกตบอล 3×3 ซึ่งได้รับความนิยมและขยายตัวอย่างรวดเร็วในกลุ่มเยาวชนทั่วประเทศ โดยการแข่งขันระดับภูมิภาคนี้ ถือเป็นหนึ่งในแปดสนามที่จัดขึ้นครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย

พิธีเปิดและบรรยากาศการแข่งขัน

ในพิธีเปิดการแข่งขัน บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคักจากกองเชียร์ ครูผู้ฝึกสอน ผู้ปกครอง และนักกีฬาที่เดินทางมาจากหลายจังหวัดในภาคเหนือ รวมถึงจังหวัดใกล้เคียง ทุกคนต่างมีความมุ่งมั่นและตั้งใจในการลงสนามแข่งขันเพื่อคว้าชัยชนะและสิทธิ์เข้าแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศต่อไป

รองนายก อบจ.เชียงราย กล่าวในพิธีเปิดว่า “องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย รู้สึกเป็นเกียรติและยินดีที่ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมนี้อย่างเต็มที่ เพราะนอกจากจะส่งเสริมสุขภาพและศักยภาพเยาวชนแล้ว ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างเยาวชนจากหลายพื้นที่ ให้มีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเรียนรู้ซึ่งกันและกัน”

รูปแบบและประเภทการแข่งขัน

การแข่งขันแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

  • รุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี ชาย
  • รุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี หญิง
  • รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี ชาย

โดยทีมชายเปิดรับสมัคร 24 ทีม ส่วนทีมหญิงรับสมัคร 12 ทีม เพื่อคัดเลือกตัวแทนไปแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อันทรงเกียรติยิ่งใหญ่

บทบาทของกีฬาในการพัฒนาเยาวชน

บาสเกตบอล 3×3 นับเป็นรูปแบบกีฬาที่กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มเยาวชน เพราะกติกาเข้าใจง่าย ใช้พื้นที่แข่งขันน้อย เหมาะสมกับยุคสมัยที่ต้องการความคล่องตัว นอกจากนี้ ยังเป็นกีฬาที่สร้างเสริมทักษะการสื่อสาร ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และความสามัคคีในทีมได้เป็นอย่างดี

จากสถิติของสมาคมกีฬาบาสเกตบอลแห่งประเทศไทย พบว่า จำนวนทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันบาสเกตบอล 3×3 ทั่วประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 15% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงการเติบโตของความนิยมในกลุ่มเยาวชนไทย

ผลลัพธ์และแนวโน้มในอนาคต

การแข่งขันบาสเกตบอล 3×3 UTCC Championship 2025 รอบคัดเลือกครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงเวทีแข่งขันชิงชัยเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชน ก่อให้เกิดโอกาสในการค้นหานักกีฬาดาวรุ่งรุ่นใหม่ที่จะก้าวไปสู่ทีมชาติไทยในอนาคต ขณะเดียวกันยังมีส่วนช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย โดยมีผู้เดินทางเข้าร่วมงานกว่า 600 คน ซึ่งคาดว่าตลอดการแข่งขันจะสร้างรายได้ให้กับธุรกิจท้องถิ่น อาทิ โรงแรม ร้านอาหาร และการขนส่งไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท

การส่งต่อคุณค่าผ่านกิจกรรมกีฬา

การจัดการแข่งขันบาสเกตบอล 3×3 ในระดับภูมิภาคครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงพลังของกีฬาในการขับเคลื่อนสังคมเยาวชนไทย ให้รู้จักการพัฒนาอย่างสร้างสรรค์ อยู่ร่วมกันอย่างมีน้ำใจ และกล้าที่จะแข่งขันอย่างสุจริต พร้อมเตรียมความพร้อมสู่เวทีระดับประเทศและระดับนานาชาติในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • จำนวนผู้เข้าร่วมและชมการแข่งขันตลอดทั้งรอบคัดเลือกในเชียงรายประมาณ 600 คน (ข้อมูลโดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย)
  • การแข่งขันระดับภูมิภาคจัดขึ้น 8 สนามทั่วประเทศ โดยมีทีมชายสมัคร 24 ทีม และทีมหญิง 12 ทีมต่อสนาม (อ้างอิง: สมาคมกีฬาบาสเกตบอลแห่งประเทศไทย)
  • สถิติการเพิ่มขึ้นของทีมบาสเกตบอล 3×3 เฉลี่ยปีละ 15% ใน 3 ปีที่ผ่านมา (ที่มา: สมาคมกีฬาบาสเกตบอลแห่งประเทศไทย)
  • การแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานฯ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นรางวัลสูงสุดสำหรับการแข่งขันบาสเกตบอล 3×3 เยาวชนในไทย (อ้างอิง: สมาคมกีฬาบาสเกตบอลแห่งประเทศไทย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
  • หอการค้าไทย
  • YEC เชียงราย
  • สมาคมกีฬาบาสเกตบอลแห่งประเทศไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

นิทรรศการภาพถ่ายที่เชียงราย สะท้อนหลากหลายวัฒนธรรมไทย

เชียงรายเปิดนิทรรศการ “ภาพถ่ายพหุวัฒนธรรมในประเทศไทย” จุดประกายคุณค่าความหลากหลายในสังคมไทย

เชียงราย, 31 พฤษภาคม 2568 – สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เปิดงาน “นิทรรศการภาพถ่าย: พหุวัฒนธรรมในประเทศไทย” หนึ่งในโครงการสำคัญที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ภายใต้โครงการพัฒนาการสร้างสรรค์งานศิลปะร่วมสมัย เพื่อสร้างคุณค่าทางสังคม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ณ หอแก้วพิพิธภัณฑ์ของโบราณ อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง (ไร่แม่ฟ้าหลวง) โดยจัดแสดงอย่างต่อเนื่องระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม ถึง 31 สิงหาคม 2568

จุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์นิทรรศการ

พิธีเปิดนิทรรศการจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่เปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์ โดยมีนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยผู้นำจากองค์กรสำคัญทั้งด้านศิลปะ วัฒนธรรม การท่องเที่ยว และการศึกษา อาทิ อ.นคร พงษ์น้อย ผู้อำนวยการอุทยานศิลปวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง, ผู้แทนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย, สมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์, สมาคมขัวศิลปะเชียงราย, มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, ประธานชมรมเชียงรายโฟโต้, ศิลปินเชียงราย, ช่างภาพ, และสื่อมวลชนจำนวนมาก

คุณอภินันท์ บัวหภักดี หัวหน้าโครงการฯ อดีตบรรณาธิการอนุสาร อ.ส.ท. นักเขียนและช่างภาพผู้มากประสบการณ์ นำทีมช่างภาพมืออาชีพทั้ง 8 คน ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านภาพถ่ายหายากกว่า 100 ภาพที่บันทึกการเดินทางบนแผ่นดินไทยตลอดกว่า 30 ปี

นิทรรศการที่หลอมรวมหลากหลายชาติพันธุ์บนผืนแผ่นดินไทย

นิทรรศการ “พหุวัฒนธรรม สยามสมัย รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย” ไม่เพียงนำเสนอภาพถ่ายสวยงาม แต่ยังถ่ายทอดวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ภาษา และความเชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ จากขุนเขาดอยสูงถึงผืนน้ำกว้างไกล สู่ท้องทุ่งอันอุดมทั่วประเทศไทย ภาพแต่ละภาพคือเรื่องเล่าเกี่ยวกับความหลากหลายทางชาติพันธุ์ที่หล่อหลอมความเป็นไทยอย่างลึกซึ้ง ผู้ชมจะได้สัมผัสความงดงามแห่งความร่วมมือ ความเข้าใจ และการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขของคนทุกกลุ่มบนผืนแผ่นดิน “ขวานทอง” แห่งนี้

ภายในพิธีเปิดยังได้รับเกียรติจากกลุ่มชาติพันธุ์อาข่าจากอำเภอแม่จัน และกลุ่มชาติพันธุ์อาข่าบ้านเมืองรวง ซึ่งเป็นบุคคลในภาพถ่ายหายาก ร่วมสร้างสีสันในงาน ขณะเดียวกันมีการอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ถ่ายทอดเทคนิคและประสบการณ์จากช่างภาพชื่อดัง เพื่อเปิดมุมมองใหม่ด้านศิลปะและวัฒนธรรมแก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป

เสริมสร้างความเข้าใจและการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม

หัวใจสำคัญของโครงการนี้คือการสื่อสารให้เด็ก เยาวชน และประชาชน ตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของความหลากหลายทางวัฒนธรรม โครงการเน้นย้ำการเคารพในความแตกต่าง รู้รักสามัคคี และเกื้อกูลกันในทุกกลุ่มชาติพันธุ์ อันเป็นรากฐานสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในสังคมไทย

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีเวทีเสวนาพหุวัฒนธรรม หัวข้อ “พหุวัฒนธรรมกับการท่องเที่ยว” โดยผู้นำด้านศิลปะและการท่องเที่ยว อาทิ นคร พงษ์น้อย ผู้อำนวยการอุทยานศิลปวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง, วิสูตร บัวชุม ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย และอภินันท์ บัวหภักดี หัวหน้าโครงการฯ ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์

ถ่ายทอดเรื่องราวจากผู้สร้างสรรค์งานศิลป์

รายชื่อช่างภาพที่ร่วมสร้างสรรค์ผลงานประกอบด้วย อภินันท์ บัวหภักดี, นันทพัฒน์ สุรสิงห์โตทอง, อดุล ตัณฑโกศัย, จิระพงษ์ วงศ์วิวัฒน์, Taro Evolutions, ชนาธิป อินทรวิชะ, จิตติมา ผลเสวก และกิ่งทอง มหาพรไพศาล แต่ละคนมีผลงานเป็นที่ยอมรับในวงการภาพถ่ายและศิลปะร่วมสมัย

คุณอภินันท์ บัวหภักดี กล่าวว่า นิทรรศการนี้จัดแสดงขึ้นเพื่อเป็นเวทีให้ช่างภาพมืออาชีพได้เล่าความงามของชีวิตและวัฒนธรรมไทยผ่านภาพถ่าย ให้เยาวชนและประชาชนได้เปิดใจรับความหลากหลาย สร้างแรงบันดาลใจในการอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียว

โอกาสสำหรับเยาวชนและนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

โครงการยังมุ่งเน้นให้เกิดการมีส่วนร่วมของเยาวชน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ด้วยการจัด workshop เรื่องเล่าจากภาพถ่ายท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยเชิญช่างภาพทั้งสายกล้องโปรและกล้องมือถือมาแบ่งปันเทคนิคและประสบการณ์ ผู้สนใจสามารถสมัครร่วมกิจกรรมได้ผ่าน QR Code และ Facebook Page ของโครงการ

นอกจากนี้ โครงการยังเตรียมจัดทำหนังสือภาพ (Photo book) “ชุมชนวัฒนธรรมในประเทศไทย พหุวัฒนธรรมสยามสมัยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย” ในรูปแบบ e-book เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงเนื้อหาเชิงลึกและภาพถ่ายหายาก คาดว่าจะเปิดให้ดาวน์โหลดได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้

สะท้อนผลลัพธ์และแนวโน้มเชิงวัฒนธรรมในอนาคต

การจัดนิทรรศการในครั้งนี้ นับเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ด้านวัฒนธรรมร่วมสมัยของจังหวัดเชียงรายและประเทศไทย กระตุ้นให้เกิดการรับรู้ถึงความงดงามของวัฒนธรรมหลากหลายชาติพันธุ์บนผืนแผ่นดินเดียวกัน ขณะเดียวกันยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ สร้างความเข้าใจอันดีในหมู่ประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า โครงการนี้ช่วยยกระดับความตระหนักรู้เรื่อง “พหุวัฒนธรรม” ให้แก่คนไทย โดยหวังว่าประสบการณ์จากนิทรรศการจะเป็นแรงผลักดันให้สังคมไทยเปิดกว้าง รับฟัง และยอมรับความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์ เพื่อความสงบสุขและความมั่นคงทางสังคมในระยะยาว

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • นิทรรศการภาพถ่าย “พหุวัฒนธรรมในประเทศไทย” เป็น 1 ใน 23 โครงการที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ประจำปี 2568
  • มีภาพถ่ายหายากจาก 8 ช่างภาพมืออาชีพมากกว่า 100 ภาพ แสดงต่อเนื่อง 3 เดือน (31 พฤษภาคม – 31 สิงหาคม 2568)
  • คาดว่ามีผู้เข้าร่วมงานในพิธีเปิดและกิจกรรมกว่า 500 คน (ข้อมูลจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย)
  • รายได้จากการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในพื้นที่จังหวัดเชียงรายเติบโตต่อเนื่องกว่า 8% ต่อปี (ที่มา: สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
  • อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง (ไร่แม่ฟ้าหลวง)
  • สมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
  • เพจ Facebook: เที่ยวไปตามใจหนุ่มพเนจร / หนุ่ม พเนจร / นิทรรศการภาพถ่ายพหุวัฒนธรรมในประเทศไทย
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE