Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

จับตา ลำไยเหนือเจอพิษซัลเฟอร์ฯ ลิ้นจี่-ทุเรียน-มะม่วง วางแผนรับมือ

เชียงรายเข้าร่วมสัมมนาจัดทำข้อมูลไม้ผลเศรษฐกิจภาคเหนือ ปี 2568 มุ่งพัฒนาฐานข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อการบริหารจัดการแบบยั่งยืน

เชียงราย, 8 พฤษภาคม 2568 – สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย มอบหมายผู้แทนเข้าร่วมการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “การจัดทำข้อมูลไม้ผลเศรษฐกิจภาคเหนือ ปี 2568” ณ โรงแรมฮอลิเดย์ การ์เดน จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจัดโดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 1 (สศท.1) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนาระบบข้อมูลไม้ผลสำคัญของภาคเหนือ ได้แก่ ลิ้นจี่ ลำไย ทุเรียน และมะม่วงน้ำดอกไม้ ให้มีความแม่นยำ ครบถ้วน และสามารถสะท้อนสถานการณ์จริงในพื้นที่เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของภาครัฐในการบริหารจัดการผลผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ

เป้าหมายการสัมมนาสู่ระบบข้อมูลไม้ผลแบบบูรณาการ

การสัมมนาครั้งนี้อยู่ภายใต้การกำกับของคณะทำงานย่อยพัฒนาระบบข้อมูลและโลจิสติกส์ ภาคเหนือ โดยมีหน่วยงานร่วมดำเนินงานหลากหลาย อาทิ สศท.1, สศท.2, สศท.12, ศูนย์สารสนเทศการเกษตร, สำนักงานเกษตรจังหวัด 17 จังหวัดภาคเหนือ, สำนักงานวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขต 1 และ 2 รวมถึงสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 6 จังหวัดเชียงใหม่

การจัดทำข้อมูลเชิงระบบในครั้งนี้เน้นการพยากรณ์ผลผลิตและสถานการณ์การผลิต รวมถึงการเชื่อมโยงกับข้อมูลด้านตลาด เพื่อให้สามารถบริหารจัดการโลจิสติกส์ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายคือการสร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีความเป็นเอกภาพ ถูกต้อง และสะท้อนสภาพพื้นที่จริง

ลิ้นจี่ ผลผลิตเพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศเอื้ออำนวย ตลาดยังคงมั่นคง

สำหรับสถานการณ์ลิ้นจี่ในภาคเหนือปี 2568 แหล่งผลิตสำคัญได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา และน่าน ข้อมูลคาดการณ์ระบุว่า

  • พื้นที่ยืนต้นลดลง 6.40% เหลือ 66,260 ไร่
  • พื้นที่ให้ผลลดลง 6.39% เหลือ 66,173 ไร่
  • ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่เพิ่มขึ้น 155.49% เป็น 465 กิโลกรัม/ไร่
  • ปริมาณผลผลิตรวมเพิ่มขึ้น 139.13% เป็น 30,745 ตัน

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นคือสภาพอากาศที่ไม่แห้งแล้งและไม่มีพายุลูกเห็บเหมือนปีที่ผ่านมา ปัจจุบันเก็บเกี่ยวแล้วราว 10% (ข้อมูล ณ วันที่ 7 พ.ค. 2568) ผลผลิตส่วนใหญ่จำหน่ายให้พ่อค้าในพื้นที่โดยตรง ราคาขายเฉลี่ยของพันธุ์ฮงฮวยเกรด AA ห่อ อยู่ที่ 120 บาท/กิโลกรัม ขณะที่พันธุ์นครพนม 1 เกรด A จำหน่ายที่ 60 บาท/กิโลกรัม

ลำไย ผลผลิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่เผชิญปัญหาส่งออกจีนจากสารตกค้าง

ลำไยยังคงเป็นไม้ผลเศรษฐกิจที่สำคัญของภาคเหนือ โดยมีแหล่งผลิตใหญ่ในเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน พะเยา และน่าน โดยข้อมูลปี 2568 ระบุว่า

  • พื้นที่ยืนต้นลดลงเล็กน้อย 0.62% อยู่ที่ 1,243,784 ไร่
  • พื้นที่ให้ผลเพิ่มขึ้น 0.13% อยู่ที่ 1,237,830 ไร่
  • ผลผลิตเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 12.27% อยู่ที่ 860 กิโลกรัม/ไร่
  • ปริมาณผลผลิตรวมเพิ่มขึ้น 12.36% เป็น 1,064,242 ตัน

แม้ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ในที่ประชุมมีข้อกังวลเกี่ยวกับการส่งออกไปยังประเทศจีน หลังตรวจพบสารซัลเฟอร์ตกค้างในลำไยอบแห้ง ซึ่งอาจส่งผลต่อราคาที่เกษตรกรจะได้รับ โดยที่ประชุมเสนอให้สำนักงานเกษตรในพื้นที่เร่งจัดทำข้อมูลผลผลิตลำไยที่คาดว่าจะเกินอีก 140,000 ตัน เพื่อเสนอคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) กำหนดมาตรการรองรับ

ทุเรียน ศักยภาพเพิ่มขึ้นชัดเจน จำเป็นต้องสร้างแบรนด์ผลผลิตคุณภาพ

ทุเรียนในภาคเหนือ โดยเฉพาะจากจังหวัดอุตรดิตถ์ สุโขทัย แพร่ และพิษณุโลก กำลังเติบโตเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ มีข้อมูลดังนี้

  • พื้นที่ยืนต้นเพิ่มขึ้น 9.51% เป็น 121,829 ไร่
  • พื้นที่ให้ผลเพิ่มขึ้น 7.21% เป็น 81,857 ไร่
  • ผลผลิตเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 6.27% เป็น 729 กิโลกรัม/ไร่
  • ปริมาณผลผลิตรวมเพิ่มขึ้น 13.88% เป็น 59,660 ตัน

ขณะนี้ผลผลิตออกสู่ตลาดแล้ว 9% โดยการบริหารจัดการในที่ประชุมได้เสนอแนวทางหลากหลาย เช่น การอบรมเกษตรกรเรื่องการดูแลสวน การสร้างนักคัดผลมืออาชีพ และการส่งเสริมการตลาดโดยใช้ Influencer รวมถึงการตั้งชื่อแบรนด์ให้กับทุเรียนแต่ละแหล่ง เช่น “ทุเรียนหลงลับแล” และ “หมอนพระร่วง”

มะม่วงน้ำดอกไม้ ผลผลิตสูงขึ้นแต่ราคาน่ากังวล

ข้อมูลมะม่วงน้ำดอกไม้ ปี 2568 แสดงให้เห็นว่า

  • พื้นที่ยืนต้นเพิ่มขึ้น 0.46% เป็น 145,145 ไร่
  • พื้นที่ให้ผลเพิ่มขึ้น 1.93% เป็น 134,686 ไร่
  • ผลผลิตเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 13.46% เป็น 809 กิโลกรัม/ไร่
  • ปริมาณผลผลิตรวมเพิ่มขึ้น 15.71% เป็น 108,993 ตัน

แม้ผลผลิตจะเพิ่มขึ้น แต่อัตราราคาจำหน่ายในช่วงต้นฤดูอยู่ในระดับต่ำเพียง 30 บาท/กิโลกรัม ทำให้เกิดความกังวลในกลุ่มเกษตรกร โดยที่ประชุมเสนอให้มีการแจ้งข้อมูลไปยัง คพจ. เพื่อหามาตรการรองรับอย่างเร่งด่วนในระดับจังหวัด

ข้อเสนอเชิงนโยบายและบทวิเคราะห์

  1. สร้างระบบฐานข้อมูลกลาง ที่บูรณาการระหว่าง สศท. สำนักงานเกษตรจังหวัด และหน่วยงานวิจัย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำแบบ Real-Time
  2. พัฒนาช่องทางการตลาดใหม่ เช่น ตลาดออนไลน์ การส่งออกโดยตรง และการจับคู่ธุรกิจ
  3. ปรับกลยุทธ์โลจิสติกส์ เพื่อลดต้นทุนการขนส่ง เพิ่มมูลค่าให้กับไม้ผล เช่น การทำโรงคัดบรรจุหรือระบบความเย็นในพื้นที่
  4. ขยายการใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ เพื่อพยากรณ์และติดตามสถานการณ์การผลิตแบบแม่นยำ
  5. เร่งสร้างแบรนด์และมูลค่าผลไม้เฉพาะถิ่น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคและตลาดต่างประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • รายงานสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 1 ปี 2568
  • สรุปสถานการณ์ผลผลิตไม้ผลเศรษฐกิจภาคเหนือ จากการสัมมนา 7-8 พฤษภาคม 2568
  • สถาบันคลังสมองของชาติ: รายงานแรงงานเกษตรภาคเหนือ ปี 2567
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์: ระบบข้อมูลการผลิตไม้ผลเศรษฐกิจ (www.moac.go.th)
  • กรมส่งเสริมการเกษตร: www.doae.go.th
  • สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย ดันวิทยาลัยไทย-เอเชีย จับมือเซ็นทรัลรีเทล มีงาน มีเงิน มีวุฒิ

เชียงรายหนุน “โครงการ 3 ม.” วิทยาลัยไทย-เอเชีย จับมือเซ็นทรัลรีเทล สร้างแรงงานฝีมือคุณภาพ เสริมโอกาสศึกษา-ทำงานให้เยาวชนด้อยโอกาส

เชียงราย, 8 พฤษภาคม 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นำโดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ประกาศสนับสนุน โครงการ 3 ม.” (มีงาน มีเงิน มีวุฒิการศึกษาเพิ่ม) ของ วิทยาลัยเทคโนโลยี ไทย-เอเชีย ซึ่งจับมือกับ เซ็นทรัลรีเทล เพื่อยกระดับโอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ พร้อมปูทางสู่การสร้างแรงงานฝีมือรองรับตลาดธุรกิจสมัยใหม่ในจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียง

ไต่ระดับปัญหา เยาวชนเชียงรายหลุดออกจากระบบการศึกษาเพิ่มขึ้น

ดร.สำรวย มหาพราหมณ์ ผู้รับใบอนุญาตวิทยาลัยเทคโนโลยี ไทย-เอเชีย เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีนักเรียนจำนวนไม่น้อยที่ออกจากระบบการศึกษาโดยยังไม่จบชั้นมัธยมปลาย หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช./ปวส.) โดยหนึ่งในสาเหตุสำคัญคือภาระทางเศรษฐกิจในครัวเรือน ทำให้ต้องเร่งเข้าสู่ตลาดแรงงานเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งเป็นการตัดโอกาสในการพัฒนาอนาคตของตนเองและประเทศโดยรวม

“เด็กบางคนมีศักยภาพ แต่ขาดโอกาสเพราะไม่มีเงิน ไม่มีเวลา ไม่มีคนสนับสนุน โครงการ 3 ม. จึงเป็นคำตอบที่มุ่งเน้นการสร้าง ‘โอกาสที่จับต้องได้’ ให้กับเด็กเหล่านี้” ดร.สำรวย กล่าว

รูปแบบโครงการ 3 ม. บูรณาการเรียนรู้-ทำงาน-สร้างรายได้

โครงการ 3 ม. มีชื่อเต็มว่า มีงาน มีเงิน มีวุฒิการศึกษาเพิ่ม” เป็นโครงการที่เกิดจากความร่วมมือของ 3 ภาคส่วน ได้แก่

  • สถาบันการศึกษา (เช่น วิทยาลัยเทคโนโลยี ไทย-เอเชีย)
  • กลุ่มธุรกิจภาคเอกชน (โดยเฉพาะเซ็นทรัลรีเทล)
  • หน่วยงานภาครัฐ (เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย)

หลักการของโครงการคือการเปิดโอกาสให้นักเรียน นักศึกษา ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ได้เรียนหนังสือควบคู่กับการทำงานจริงในสถานประกอบการในเครือเซ็นทรัล เช่น ห้าง Tops, Power Buy, Robinson, Central, GO! เป็นต้น

ระหว่างเรียน นักศึกษาจะได้รับสิทธิพิเศษ ดังนี้

  • เงินค่าตอบแทนรายเดือน
  • สวัสดิการค่าที่พัก
  • ประกันอุบัติเหตุ
  • ชุดยูนิฟอร์ม
  • โอกาสได้งานทันทีเมื่อจบหลักสูตร

โครงการนี้ไม่เพียงลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว แต่ยังเป็นการพัฒนาทักษะสายอาชีพควบคู่กับการศึกษาที่เป็นทางการ ซึ่งถือเป็นการสร้าง แรงงานฝีมือพร้อมใช้” ที่สามารถเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ทันที

นายก อบจ.เชียงรายหนุนเต็มที่ ชี้เป็นกลไกลดความเหลื่อมล้ำ

ด้าน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย กล่าวในที่ประชุมว่า โครงการนี้สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของจังหวัดคือ อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ เรียนที่ไหนก็สำเร็จได้ สำเร็จได้ก็เลี้ยงชีพได้” ซึ่งเป็นแนวทางที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและขยายโอกาสให้เด็กทุกคนสามารถเข้าถึงคุณภาพชีวิตที่ดี

“ถ้ารัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และภาคประชาชนร่วมมือกันจริงจัง จะเปลี่ยนชีวิตเด็กจำนวนมากจากความเสี่ยง สู่ความมั่นคง” นายก อบจ. ระบุ

การเชื่อมโยงสู่ระบบเศรษฐกิจจังหวัดเชียงรายและประเทศ

ความร่วมมือดังกล่าวยังสอดคล้องกับแนวโน้มการพัฒนาแรงงานในเขตเศรษฐกิจพิเศษ และการลงทุนใหม่ ๆ ในเชียงราย ทั้งในภาคค้าปลีก ท่องเที่ยว โลจิสติกส์ และการบริการ ซึ่งต้องการแรงงานฝีมือที่มีคุณภาพและสามารถปรับตัวเข้ากับโลกของงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

เชียงราย ถือเป็นหนึ่งในจังหวัดเป้าหมายในการพัฒนาแรงงานคุณภาพ เนื่องจากเป็นประตูเศรษฐกิจเหนือของประเทศ เชื่อมโยงสู่ ลาว เมียนมา และจีนตอนใต้

วิเคราะห์ประสิทธิผลและแนวโน้มในอนาคต

การเปิดทางเลือกให้นักเรียนที่ขาดโอกาสได้ศึกษาและทำงานควบคู่กัน เป็นนโยบายที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ โดยเฉพาะข้อ 4 (การศึกษาที่มีคุณภาพ) และข้อ 8 (การจ้างงานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ)

หากโครงการ 3 ม. ได้รับการขยายผลในวงกว้าง มีการสนับสนุนต่อเนื่อง และมีการติดตามผลลัพธ์อย่างเป็นระบบ จะสามารถลดอัตราการหลุดออกจากระบบการศึกษา และสร้างกลุ่มแรงงานที่ตอบโจทย์โลกอนาคตอย่างแท้จริง

สถิติที่เกี่ยวข้องและข้อมูลอ้างอิง

  • จากข้อมูลของ สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567) ระบุว่า จังหวัดเชียงรายมีนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายประมาณ 38,000 คน โดยในแต่ละปีมีนักเรียนกว่า 4,500 คน (11.8%) ที่ไม่ได้ศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา
  • ข้อมูลจาก กระทรวงแรงงาน (2567) พบว่า กลุ่มแรงงานอายุ 15-24 ปี ในเชียงรายมีอัตราการว่างงานสูงสุดในกลุ่มวัยแรงงาน อยู่ที่ 8.3%
  • การศึกษาเชิงเปรียบเทียบโดย สถาบันพัฒนาแรงงานและอาชีพ (2566) ระบุว่า ผู้ที่จบการศึกษาในระบบควบคู่กับฝึกงาน (Work-integrated Learning) มีแนวโน้มได้งานภายใน 6 เดือนสูงถึง 92%
  • รายงานของกลุ่มเซ็นทรัล ระบุว่า เครือข่ายของบริษัทมีความต้องการแรงงานใหม่ต่อปีมากกว่า 10,000 ตำแหน่ง ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในภาคค้าปลีก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ: www.nso.go.th
  • กระทรวงแรงงาน: www.mol.go.th
  • วิทยาลัยเทคโนโลยี ไทย-เอเชีย
  • กลุ่มเซ็นทรัลรีเทล: www.centralretail.com
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

“รังสิมันต์” ชี้เหมืองเมียนมาต้นตอ จี้รัฐบาลใช้การทูตและความมั่นคงแก้ไข

เชียงรายเร่งแก้ปัญหามลพิษแม่น้ำกก การประชุมระดับชาติเพื่อสุขภาพประชาชนและความมั่นคงลุ่มน้ำโขง

เชียงราย, 8 พฤษภาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัญหาการปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำสาขาในจังหวัดเชียงรายได้กลายเป็นประเด็นเร่งด่วนที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนและเศรษฐกิจท้องถิ่น การประชุมคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ ณ ห้องประชุมพญาพิภักดิ์ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ได้สะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการหาแนวทางแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นระบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน การท่องเที่ยว และความมั่นคงของลุ่มน้ำโขงในระยะยาว

วิกฤตมลพิษจากชายแดนสู่ใจกลางชุมชน

แม่น้ำกกเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชีวิตของชาวเชียงราย ทั้งในด้านการเกษตร การประมง และการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การตรวจพบสารพิษ โดยเฉพาะโลหะหนักอย่างสารหนู ในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาขาได้สร้างความกังวลให้กับประชาชนและหน่วยงานท้องถิ่น การสอบสวนเบื้องต้นระบุว่าต้นตอของปัญหามาจากการทำเหมืองทองที่ผิดกฎหมายในพื้นที่ฝั่งเมียนมา โดยเฉพาะในเขตรัฐฉานระหว่างเมืองยอนและเมืองสาด ซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของกลุ่มว้า ปัญหานี้ไม่เพียงกระทบต่อคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก แต่ยังมีความเสี่ยงที่จะขยายวงไปถึงแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การประชุมเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 นำโดยนายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ ร่วมด้วยนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ เช่น สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย การประปาส่วนภูมิภาค และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย การประชุมครั้งนี้มุ่งเน้นการรวบรวมข้อมูลและข้อเสนอเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาที่ครอบคลุมทั้งมิติสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และการทูตระหว่างประเทศ

ต้นตอปัญหาและผลกระทบที่รุนแรง

นายรังสิมันต์ โรม เปิดเผยว่า สารพิษในแม่น้ำกกมีสาเหตุหลักจากการทำเหมืองทองที่ผิดกฎหมายกว่า 30 แห่งในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งกลุ่มว้ามีบทบาทสำคัญในการควบคุมพื้นที่ดังกล่าว การใช้สารเคมีในกระบวนการสกัดทองได้ปล่อยสารพิษ เช่น สารหนูและโลหะหนักอื่นๆ ลงสู่ลำน้ำที่ไหลผ่านแม่น้ำกก ส่งผลให้เกิดการปนเปื้อนในระบบนิเวศและกระทบต่อประชาชนที่พึ่งพาแหล่งน้ำนี้ในการดำรงชีวิต

ผลกระทบจากมลพิษนี้ครอบคลุมหลายมิติ:

  • สุขภาพประชาชน: การปนเปื้อนของสารหนูในน้ำอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น โรคผิวหนังและมะเร็ง ประชาชนในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำต่างรู้สึกไม่ปลอดภัยในการใช้น้ำเพื่อการบริโภคและการเกษตร
  • การเกษตรและประมง: เกษตรกรและชาวประมงในจังหวัดเชียงรายเผชิญกับความสูญเสีย เนื่องจากน้ำที่ปนเปื้อนส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตรและสัตว์น้ำ
  • การท่องเที่ยว: จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง อาจสูญเสียความน่าสนใจหากปัญหามลพิษในแม่น้ำกกไม่ได้รับการแก้ไข
  • ความมั่นคงของชาติ: การปนเปื้อนข้ามพรมแดนไม่เพียงเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของลุ่มน้ำโขง ซึ่งประเทศไทยมีส่วนได้ส่วนเสียอย่างมาก

ในที่ประชุม นายรังสิมันต์เน้นย้ำว่า การแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือทั้งในระดับท้องถิ่นและระหว่างประเทศ การเจรจากับทางการเมียนมาและกลุ่มว้ายังไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายผลักภาระความรับผิดชอบต่อกัน เขาเสนอว่ารัฐบาลไทยควรใช้ความสัมพันธ์ทางการทูต โดยเฉพาะกับประเทศจีน ซึ่งมีอิทธิพลต่อกลุ่มว้าในด้านการค้าและการลงทุน เพื่อกดดันให้มีการควบคุมการทำเหมืองที่ผิดกฎหมาย

มาตรการรับมือและแนวทางแก้ไข

จังหวัดเชียงรายได้ดำเนินมาตรการเร่งด่วนเพื่อลดผลกระทบจากมลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาขา ดังนี้:

  1. การตรวจสอบแหล่งกำเนิดมลพิษ หน่วยงานท้องถิ่นได้ตรวจสอบการปล่อยน้ำเสียจากภาคอุตสาหกรรม ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ และชุมชนเมือง เพื่อควบคุมแหล่งมลพิษภายในประเทศ
  2. การประชาสัมพันธ์เพื่อลดความตื่นตระหนก การประปาส่วนภูมิภาคและประปาหมู่บ้านยืนยันว่าน้ำประปามีความปลอดภัยสำหรับการบริโภค พร้อมแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับระดับความเป็นพิษของสารหนูในน้ำ
  3. การเพิ่มความถี่ในการตรวจน้ำ สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่จะตรวจคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย 2 ครั้งต่อเดือน เพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
  4. การจัดตั้งคณะกรรมการลุ่มน้ำ คณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาในระดับลุ่มน้ำโขงเหนือจะประสานงานระหว่างหน่วยงานเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขในระยะยาว
  5. การศึกษาโครงสร้างฝายดักตะกอน มีการเสนอแนวคิดในการสร้างฝายดักตะกอนในแม่น้ำกก โดยแบ่งเป็นฝายชั่วคราว ฝายกึ่งถาวร และฝายถาวร เพื่อลดการสะสมของสารพิษและสนับสนุนการใช้น้ำในภาคการเกษตร

นายรังสิมันต์เสนอให้รัฐบาลตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจที่มีตัวแทนจากทุกภาคส่วน รวมถึงหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม ความมั่นคง และการทูต เพื่อกำหนดกลยุทธ์ที่ครอบคลุมทั้งการเจรจาระหว่างประเทศและการจัดการภายในประเทศ เขายังเรียกร้องให้มีการใช้แนวทางเชิงกลยุทธ์ เช่น การร่วมมือกับภาคเอกชนที่มีผลประโยชน์ในภูมิภาค เพื่อกดดันกลุ่มว้าให้ยุติการทำเหมืองที่ผิดกฎหมาย

โอกาสและความท้าทายในการแก้ไขวิกฤต

ปัญหาการปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำกกสะท้อนถึงความซับซ้อนของปัญหาข้ามพรมแดน ซึ่งต้องการความร่วมมือในหลายระดับ การที่ต้นตอของปัญหาอยู่ในเมียนมา ซึ่งมีข้อจำกัดด้านการควบคุมอำนาจในพื้นที่รัฐฉาน ทำให้การเจรจาโดยตรงกับทางการเมียนมาไม่เพียงพอ การใช้ความสัมพันธ์กับจีน ซึ่งมีอิทธิพลในภูมิภาค อาจเป็นทางออกที่เป็นไปได้ แต่ต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวังเพื่อไม่ให้กระทบต่อความสัมพันธ์ทวิภาคี

ในระดับท้องถิ่น มาตรการที่จังหวัดเชียงรายดำเนินการ เช่น การตรวจสอบคุณภาพน้ำและการประชาสัมพันธ์ เป็นก้าวแรกที่สำคัญในการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาในระยะยาวต้องอาศัยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ฝายดักตะกอน และระบบบำบัดน้ำ ซึ่งอาจต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก การระดมทุนจากรัฐบาลกลางหรือความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) หรือธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) อาจช่วยลดภาระงบประมาณของจังหวัด

โอกาสสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้คือการยกระดับความตระหนักรู้ในระดับภูมิภาคเกี่ยวกับความสำคัญของลุ่มน้ำโขง การที่ปัญหานี้มีศักยภาพที่จะกระทบต่อแม่น้ำโขงอาจกระตุ้นให้ประเทศสมาชิกในคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) เช่น ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา การสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาคจะช่วยเพิ่มน้ำหนักในการกดดันให้มีการควบคุมการทำเหมืองในเมียนมา

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่สำคัญคือการขาดความชัดเจนในการเจรจากับกลุ่มว้า ซึ่งมีอำนาจควบคุมพื้นที่รัฐฉานอย่างไม่เป็นทางการ การที่กลุ่มว้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาอื่นๆ เช่น ยาเสพติดและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทำให้การเจรจาต้องครอบคลุมประเด็นที่หลากหลาย การจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการทูตและความมั่นคงจะช่วยให้การเจรจามีประสิทธิภาพมากขึ้น

สถิติที่เกี่ยวข้อง

เพื่อให้เห็นภาพรวมของปัญหาการปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำกกและบริบทที่เกี่ยวข้อง ต่อไปนี้คือสถิติที่สำคัญ:

  • จำนวนเหมืองทองที่ผิดกฎหมายในรัฐฉาน: มากกว่า 30 แห่ง
    ที่มา: รายงานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ, 2568
  • ความยาวของแม่น้ำกก: ประมาณ 130 กิโลเมตร
    ที่มา: สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, 2567
  • ประชากรที่พึ่งพาแม่น้ำกกในจังหวัดเชียงราย: ประมาณ 200,000 คน
    ที่มา: สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง, 2567
  • จำนวนนักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย (2566): 2.5 ล้านคน (ในประเทศ 2.2 ล้านคน, ต่างประเทศ 0.3 ล้านคน)
    ที่มา: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, สำนักงานเชียงราย, 2567
  • ปริมาณสารหนูที่ตรวจพบในแม่น้ำกก (2567): สูงกว่ามาตรฐานน้ำดื่มขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในบางพื้นที่
    ที่มา: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่, 2567
  • พื้นที่เกษตรกรรมในลุ่มน้ำกก: ประมาณ 150,000 ไร่
    ที่มา: สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย, 2567

สถิติเหล่านี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของแม่น้ำกกในฐานะทรัพยากรหลักของจังหวัดเชียงราย และความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารพิษอย่างเร่งด่วน การประชุมครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระดับภูมิภาค เพื่อปกป้องทั้งสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • รายงานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ, 2568
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, 2567
  • สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง, 2567
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, สำนักงานเชียงราย, 2567
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่, 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายใจบุญ ร่วมบริจาคโลหิต ดวงตา อวัยวะ วันกาชาดโลก

จังหวัดเชียงรายจัดกิจกรรมวันกาชาดโลก 2568 ส่งเสริมการบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะ เพื่อมนุษยธรรม

เชียงราย, 8 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายร่วมกับสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัด หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และองค์กรด้านสาธารณสุข จัดกิจกรรมบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะ เนื่องในวันกาชาดโลก (World Red Cross Day 2025) ณ ห้างสรรพสินค้าโรบินสันเชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โดยมีประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก สะท้อนพลังของการให้เพื่อส่วนรวมและสร้างความตระหนักถึงภารกิจด้านมนุษยธรรมขององค์กรกาชาด

ความสำคัญของวันกาชาดโลกและบทบาทของกาชาดในระดับนานาชาติ

วันที่ 8 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันเกิดของ นายอังรี ดูนังต์ ผู้ก่อตั้งกาชาดสากล และเป็นวันที่ คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) ร่วมกับ สหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนระหว่างประเทศ (IFRC) ประกาศให้เป็น วันกาชาดโลก” เพื่อเชิดชูภารกิจด้านมนุษยธรรม การช่วยเหลือผู้เดือดร้อนจากภัยพิบัติ สงคราม และความยากลำบากต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายสำคัญในการส่งเสริมความเมตตา ความเป็นกลาง และความเป็นอิสระของภารกิจกาชาดทั่วโลก

สำหรับประเทศไทย การดำเนินกิจกรรมในวันนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักรู้แก่สาธารณชนให้เห็นถึงบทบาทของ สภากาชาดไทย ที่นอกจากจะทำหน้าที่รับบริจาคโลหิตเพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยทั่วประเทศ ยังเป็นศูนย์กลางการบริจาคดวงตาและอวัยวะ เพื่อมอบโอกาสใหม่ในการดำรงชีวิตแก่ผู้ป่วยที่รอการรักษา

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเปิดกิจกรรมอย่างเป็นทางการ

เวลา 10.00 น. วันที่ 8 พฤษภาคม 2568 นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะ ณ ชั้น 2 ห้างสรรพสินค้าโรบินสันเชียงราย โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานสาธารณสุข เจ้าหน้าที่เหล่ากาชาดจังหวัด และภาคเอกชนเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

ในโอกาสนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดได้กล่าวเปิดงานโดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการให้และการเสียสละ โดยระบุว่า “การบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะ เป็นการมอบชีวิตใหม่ให้กับผู้อื่น ถือเป็นการทำบุญสูงสุดที่ไม่มีสิ่งใดทดแทนได้ และเป็นภารกิจที่สะท้อนจิตวิญญาณของกาชาดได้อย่างชัดเจน”

บทบาทของภาคประชาสังคมในการส่งเสริมกิจกรรมบริจาค

นางสินีนาฏ ทองสุข ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยสมาชิกชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย ได้เข้าร่วมกิจกรรมและให้กำลังใจแก่ผู้มาบริจาค โดยให้ความเห็นว่า “กิจกรรมนี้ไม่เพียงสร้างคุณประโยชน์ต่อผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังช่วยปลูกฝังจิตสำนึกการแบ่งปันในสังคมอย่างแท้จริง ซึ่งจะกลายเป็นพลังขับเคลื่อนทางสังคมในระยะยาว”

บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความอบอุ่น มีประชาชนจากหลากหลายกลุ่มอายุเข้าร่วม อาทิ นักเรียน นักศึกษา ผู้สูงอายุ และประชาชนทั่วไป ซึ่งแสดงออกถึงความสมัครใจและความมีจิตอาสาอย่างแท้จริง

ผลการดำเนินกิจกรรมและจำนวนผู้บริจาค

จากการสรุปข้อมูล ณ จุดรับบริจาค พบว่า มีผู้มาลงทะเบียนเพื่อบริจาคโลหิต จำนวน 70 ราย และสามารถบริจาคได้จริง 54 ราย รวมปริมาณโลหิตที่ได้รับทั้งสิ้น 21,300 ซีซี

สำหรับการบริจาคดวงตา มีผู้แจ้งความจำนงจำนวน 23 ราย และบริจาคอวัยวะจำนวน 20 ราย ซึ่งถือเป็นสถิติที่น่าพอใจเมื่อเปรียบเทียบกับกิจกรรมในปีที่ผ่านมา

ความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน

กิจกรรมในครั้งนี้เกิดขึ้นได้จากความร่วมมือระหว่างหลายหน่วยงาน อาทิ

  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • ห้างสรรพสินค้าโรบินสันเชียงราย
  • หน่วยงานภาครัฐและองค์กรภาคเอกชนในพื้นที่

ซึ่งทุกฝ่ายให้การสนับสนุนทั้งด้านสถานที่ อุปกรณ์ โลจิสติกส์ และบุคลากรทางการแพทย์อย่างครบถ้วน

การวิเคราะห์ความสำคัญของกิจกรรมและข้อเสนอแนะ

การจัดกิจกรรมบริจาคโลหิตในวันกาชาดโลกเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการสร้างสังคมแห่งการให้ สะท้อนถึงความรับผิดชอบร่วมกันของประชาชนและภาครัฐ การบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะ ไม่ใช่เพียงการช่วยชีวิต แต่ยังเป็นการสร้างระบบการแพทย์ฉุกเฉินและการรักษาที่มีความพร้อมมากขึ้น

ในเชิงนโยบาย อาจพิจารณาขยายกิจกรรมในรูปแบบเคลื่อนที่ไปยังอำเภอต่าง ๆ หรือโรงเรียนมัธยมศึกษา เพื่อปลูกฝังจิตอาสาแก่เยาวชน และส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายการบริจาคในระยะยาว

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนผู้บริจาคโลหิตในประเทศไทย ปี 2566 (จากสภากาชาดไทย): 1.86 ล้านคน
  • ปริมาณโลหิตที่ต้องการใช้ในโรงพยาบาลทั่วประเทศ: เฉลี่ยวันละ 2,000 – 2,500 ยูนิต
  • จำนวนผู้รอเปลี่ยนไตในประเทศไทย (จากศูนย์รับบริจาคอวัยวะ): มากกว่า 6,000 ราย
  • ผู้แจ้งความจำนงบริจาคดวงตาทั่วประเทศ: ราว 23,000 ราย แต่ยังไม่เพียงพอสำหรับผู้ป่วยที่รอการปลูกถ่าย
  • จังหวัดเชียงรายมีผู้บริจาคโลหิตประจำเฉลี่ย: ปีละ 15,000 ราย (สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

รัฐบาลสั่งทุกหน่วยงาน บูรณาการ แก้ปัญหาสารพิษ วิกฤตแม่น้ำกก

วิกฤตสารหนูในแม่น้ำกก กระทบประชาชนสองจังหวัด รัฐเร่งบูรณาการแก้ไข

พบสารปนเปื้อนในแม่น้ำกกเกินมาตรฐาน

ประเทศไทย, 8 พฤษภาคม 2568 – สถานการณ์แม่น้ำกกกลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง หลังกรมควบคุมมลพิษรายงานผลตรวจสอบพบสารหนูปนเปื้อนในลำน้ำเกินค่ามาตรฐาน โดยเฉพาะช่วงที่ไหลผ่านพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลในระดับชุมชนถึงความปลอดภัยด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

รัฐมนตรี ทส. ชี้ต้องเร่งแก้ปัญหาอย่างมีส่วนร่วม

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แถลงว่า ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบในหลายมิติ ทั้งต่อทรัพยากรน้ำ ระบบนิเวศ เศรษฐกิจชุมชน และสุขภาพประชาชน ซึ่งการดำเนินการจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงานภาครัฐ และองค์กรในระดับนานาชาติ

ตั้งคณะอนุกรรมการระดับชาติขับเคลื่อนการแก้ไข

เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีระบบ ที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 มีมติแต่งตั้ง “คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน” โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นรองประธาน พร้อมหน่วยงานอีก 29 แห่งในฐานะคณะทำงาน

ใช้กลไกการทูตและเทคโนโลยีทันสมัยร่วมแก้ปัญหา

รัฐบาลไทยเดินหน้าใช้กลไกความร่วมมือทางการทูตและการทหาร เจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษจากภายนอก โดยเฉพาะในพื้นที่ต้นน้ำที่อาจมีการทำเหมืองแร่โดยไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงมอบหมายให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นำเทคโนโลยีดาวเทียมและระบบภูมิสารสนเทศมาช่วยตรวจสอบแหล่งที่มาของการปนเปื้อน

ผลการตรวจน้ำ-สัตว์น้ำ และร่างกายมนุษย์

แม้จะพบสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก แต่การประปาส่วนภูมิภาคและกรมอนามัยได้ตรวจสอบน้ำประปาแล้วพบว่ายังอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย นอกจากนี้ กรมประมงได้สุ่มตรวจสัตว์น้ำในพื้นที่และไม่พบการสะสมของสารพิษ เช่นเดียวกับตัวอย่างปัสสาวะของประชาชนในพื้นที่ก็ไม่พบสารหนูตกค้างในร่างกาย

มาตรการเฉพาะหน้าและแผนระยะยาว

ในระยะเร่งด่วน กระทรวงมหาดไทยได้จัดหาน้ำสะอาดเพื่ออุปโภคบริโภคชั่วคราวให้แก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง พร้อมกันนี้ กรมควบคุมมลพิษได้เพิ่มความถี่ในการตรวจวัดคุณภาพน้ำเป็นเดือนละ 2 ครั้ง ส่วนกรมทรัพยากรน้ำได้ควบคุมการเปิด-ปิดประตูระบายน้ำ และเตรียมความพร้อมเครื่องจักรป้องกันน้ำเสียไหลเข้าสู่ลำน้ำสาขา

ในระยะยาว จะมีการกำหนดมาตรการควบคุมและป้องกันปัญหาซ้ำซาก พร้อมจัดทำแผนฟื้นฟูระบบนิเวศของแม่น้ำกกและแหล่งน้ำที่ได้รับผลกระทบ

ประชาชนต้องไม่ตื่นตระหนก พร้อมรับข้อมูลจากรัฐ

หน่วยงานต่าง ๆ ได้รับมอบหมายให้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอย่างโปร่งใส และสร้างความเข้าใจให้ประชาชนในพื้นที่ไม่ตื่นตระหนก โดยเฉพาะผ่านช่องทางสื่อสารชุมชนและเครือข่ายอาสาสมัครในระดับตำบล

ภาพถ่ายดาวเทียมและการข่าวสนับสนุนสืบหาต้นตอ

สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ได้ร่วมมือกับกรมกิจการชายแดนทหาร ในการนำภาพถ่ายจากดาวเทียมและข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม มาประกอบการวิเคราะห์ต้นเหตุของการปนเปื้อน ซึ่งคาดว่าอยู่ในเขตพื้นที่ควบคุมของว้าเหนือ ประเทศเมียนมา ซึ่งมีการทำเหมืองแร่ในระดับอุตสาหกรรมโดยไม่ผ่านการตรวจสอบด้านสิ่งแวดล้อม

บทสรุปและแนวโน้มในอนาคต

สถานการณ์สารพิษในแม่น้ำกกเป็นสัญญาณเตือนด้านสิ่งแวดล้อมที่รุนแรง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ ความชัดเจนของข้อมูล และการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ซึ่งเป็นผู้รับผลกระทบโดยตรง

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • ผลการตรวจน้ำประปาในเขตเชียงใหม่และเชียงราย (กรมอนามัย, เมษายน 2568): ไม่พบการปนเปื้อนสารหนู
  • รายงานคุณภาพสัตว์น้ำจากกรมประมง (2568): ไม่มีการสะสมสารหนูในสัตว์น้ำตัวอย่าง
  • ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ: พบสารหนูเกินมาตรฐานเฉพาะในแม่น้ำกกช่วงต้นเดือนเมษายน 2568
  • รายงานจาก GISTDA: แหล่งที่มาสารหนูอาจมาจากการทำเหมืองในเขตชายแดนไทย-เมียนมา
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2566): ประชากรที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกกโดยตรงในเชียงรายและเชียงใหม่รวมกันกว่า 1.3 ล้านคน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมอนามัย
  • กรมประมง
  • GISTDA
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI FOOD

“แม่จันใต้เฟส” กาแฟอาข่าผสาน ปีใหม่ไข่แดง โอกาสท่องเที่ยวชุมชนยั่งยืน

เทศกาลกาแฟแม่จันใต้ 2568 เมื่อวัฒนธรรมอาข่าผสานกาแฟสู่โอกาสท่องเที่ยวเชิงชุมชนที่ยั่งยืน

เชียงราย, 8 พฤษภาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านฤดูกาลของชาวอาข่าบนดอยแม่จันใต้ ตำบลท่าก๊อ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ชุมชนเล็กๆ แห่งนี้กำลังเตรียมพร้อมสำหรับงาน Mae Jantai Coffee Fest 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-25 เมษายน 2568 งานนี้ไม่เพียงเป็นการเฉลิมฉลองประเพณีปีใหม่ไข่แดงอันเก่าแก่ของชาวอาข่า แต่ยังเป็นเวทีที่นำเสนอกาแฟคุณภาพสูงจากดอยแม่จันใต้ สะท้อนถึงการหลอมรวมวัฒนธรรมท้องถิ่นเข้ากับการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน การจัดงานในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของชุมชนในการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวผ่านกาแฟและวิถีชีวิตของชาวอาข่า

จากวงกาแฟเล็กๆ สู่เทศกาลระดับชุมชน

ย้อนกลับไปเมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว ชาวบ้านแม่จันใต้เริ่มหันมาปลูกกาแฟอย่างจริงจังในปี 2545 โดยใช้ประโยชน์จากสภาพภูมิอากาศที่เย็นสบาย ดินที่อุดมสมบูรณ์ และระดับความสูงกว่า 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการปลูกกาแฟอาราบิก้า ด้วยความมุ่งมั่นและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ชาวบ้านได้พัฒนากาแฟที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ โดยเน้นการปลูกแบบยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การรวมตัวกันใน “วงกาแฟ” ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับการปลูกและแปรรูปกาแฟ ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในชุมชน

จากวงกาแฟเล็กๆ ในวันนั้น สู่การจัดงาน Mae Jantai Coffee Fest ในวันนี้ ชุมชนแม่จันใต้ได้ก้าวข้ามความท้าทายมากมาย ทั้งการปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติ การพัฒนาเทคนิคการแปรรูปกาแฟ และการรักษาวัฒนธรรมอาข่าไว้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การจัดงานเทศกาลกาแฟครั้งแรกเมื่อปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับอย่างดีจากทั้งคนในชุมชนและผู้มาเยือน ทำให้ในปี 2568 นี้ ชาวบ้านตั้งใจยกระดับงานให้ยิ่งใหญ่ขึ้น โดยผสานประเพณีปีใหม่ไข่แดงเข้ากับการชิมกาแฟและการประกวดเมล็ดกาแฟที่มีมาตรฐานสากล

ประเพณีปีใหม่ไข่แดง หรือ “ขึ่มสึ ขึ่มมี้ อาเผ่ว” ในภาษาอาข่า เป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองและรำลึกถึงบรรพบุรุษ รวมถึงการเตรียมตัวสำหรับฤดูกาลเพาะปลูกใหม่ การที่ชุมชนแม่จันใต้นำประเพณีนี้มารวมกับการชิมกาแฟแสดงถึงความคิดสร้างสรรค์ในการเชื่อมโยงวัฒนธรรมเก่ากับโอกาสใหม่ๆ ทางเศรษฐกิจ งานนี้ไม่เพียงเป็นการส่งเสริมกาแฟคุณภาพสูง แต่ยังเป็นการเปิดประตูให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสวิถีชีวิตและวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวอาข่า

เทศกาลกาแฟแม่จันใต้และการประกวดเมล็ดกาแฟ

งาน Mae Jantai Coffee Fest 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 24-25 เมษายน 2568 ณ หมู่บ้านแม่จันใต้ มีเป้าหมายเพื่อยกระดับกาแฟของชุมชนให้เป็นที่รู้จักในระดับที่กว้างขึ้น พร้อมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงชุมชนที่ยั่งยืน หนึ่งในไฮไลต์ของงานคือการประกวดเมล็ดกาแฟ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่ชุมชนท้องถิ่นจัดการแข่งขันด้วยมาตรฐานสากล โดยมีคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรต่างๆ เช่น SCATH, CCL และทีมดอยตุง เข้ามาช่วยประเมินคุณภาพกาแฟ

ในปีที่ผ่านมา การประกวดเมล็ดกาแฟได้รับความสนใจอย่างมาก โดยมีกาแฟทั้งหมด 32 ตัวอย่างจากทั้งในหมู่บ้านแม่จันใต้และหมู่บ้านใกล้เคียง แบ่งเป็นกระบวนการแปรรูปแบบ Wash (10 ตัวอย่าง), Honey (9 ตัวอย่าง) และ Dry/Natural (13 ตัวอย่าง) การคัดเลือกกาแฟเริ่มต้นจากการรวบรวมสารกาแฟโดยทีมงานในชุมชน ซึ่งกำหนดให้แต่ละครัวเรือนส่งกาแฟตัวอย่าง 1 กิโลกรัม จากนั้นกาแฟจะถูกส่งไปคั่วโดยผู้เชี่ยวชาญจาก “เจ้าไม้-มือคั่วแห่งอาข่าอ่ามา” ซึ่งต้องคั่วทั้งหมด 48 รอบเพื่อให้ได้กาแฟที่พร้อมสำหรับการชิม

วันที่ 24 เมษายน 2568 จะเป็นวันชิมกาแฟ (Cupping Day) โดยคณะกรรมการ 9 คน ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญอย่างอาจารย์นิวัตรจาก SIXSENSE, คุณสาโรจน์จาก The Roastery By Roj CCL, และตัวแทนจากดอยตุง จะชิมกาแฟทั้งหมดใน 5 รอบ ได้แก่ รอบ Calibrate, Wash, Honey, Dry และรอบพิเศษ การชิมดำเนินการตั้งแต่ 9.00 น. ถึง 18.00 น. โดยใช้แนวทางการประเมินของ SCATH ซึ่งเน้นความเข้มข้นและความแม่นยำ กรรมการต้องบันทึกรสชาติและให้คะแนนอย่างละเอียด เพื่อให้ผลการตัดสินมีความน่าเชื่อถือและสามารถนำไปพัฒนาคุณภาพกาแฟในอนาคต

ผลการแข่งขันในปีที่ผ่านมาเผยให้เห็นถึงความหลากหลายและศักยภาพของกาแฟแม่จันใต้ โดย 5 อันดับแรกประกอบด้วย:

  1. เกชา เนเชอรัล โดยคุณอาทู เบเชกู่ (88.79 คะแนน) – กาแฟจากสายพันธุ์เกชาที่เพาะจากเมล็ดจากปานามา มีรสชาติซับซ้อนและเป็นที่จับตามอง
  2. ซุนด้า เนเชอรัล โดยคุณกฤตเมธ โยเบี๊ยะ (87.93 คะแนน) – สายพันธุ์ใหม่จากเกาะชวา โดดเด่นด้วยกลิ่นดอกไม้และความหวาน
  3. ส้มผานกกก (ออเร้นจ์เบอร์บอน) ฮันนี่ โดยคุณสินธพ จือปา (86.75 คะแนน) – สายพันธุ์เก่าแก่ที่ถูกค้นพบใหม่และได้รับความนิยม
  4. ลูกเหลืองรวม เนเชอรัล โดยคุณสิงหา จือปา (86.68 คะแนน) – การผสมผสานของสายพันธุ์คาติมอร์, คาทุย, คาทูร่า และเบอร์บอน
  5. บาเที่ยน โดยคุณสุรพล มณีเอกพันธุ์ (86.63 คะแนน) – สายพันธุ์ใหม่จากเคนยาที่มีศักยภาพสูง

ผลการแข่งขันนี้ไม่เพียงแสดงถึงคุณภาพของกาแฟแม่จันใต้ แต่ยังสะท้อนถึงความทุ่มเทของเกษตรกรในการพัฒนาการปลูกและแปรรูปกาแฟ คำแนะนำจากคณะกรรมการจะถูกส่งกลับไปยังเกษตรกรเพื่อใช้ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตต่อไป

วันที่ 25 เมษายน 2568 จะเป็นวันประกาศผลรางวัล ซึ่งจัดขึ้นพร้อมกับการเฉลิมฉลองประเพณีปีใหม่ไข่แดง ผู้มาเยือนจะได้สัมผัสวัฒนธรรมอาข่าผ่านการแต่งกายพื้นเมือง การสาธิตการตำข้าวปุก (ข้าวเหนียวตำผสมงา) และการแสดงดนตรีและการเต้นรำพื้นเมือง การผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมและกาแฟทำให้งานนี้เป็นมากกว่าการชิมกาแฟ แต่เป็นประสบการณ์ที่เชื่อมโยงผู้คนกับชุมชน 

โอกาสและความท้าทายของแม่จันใต้

งาน Mae Jantai Coffee Fest 2025 เป็นมากกว่าเทศกาลกาแฟ แต่เป็นการเปิดโอกาสให้ชุมชนแม่จันใต้ก้าวสู่เวทีที่กว้างขึ้นในอุตสาหกรรมกาแฟและการท่องเที่ยว การที่ชุมชนสามารถจัดการแข่งขันเมล็ดกาแฟด้วยมาตรฐานสากลแสดงถึงความมุ่งมั่นและศักยภาพในการยกระดับกาแฟของตนเองให้เทียบชั้นกับแหล่งปลูกกาแฟชั้นนำอื่นๆ ในประเทศไทย เช่น ดอยช้างหรือน่าน อย่างไรก็ตาม ชุมชนยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการที่ต้องได้รับการแก้ไขเพื่อให้งานนี้เติบโตอย่างยั่งยืน

หนึ่งในความท้าทายหลักคือข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การขาดแคลนไฟฟ้าในหมู่บ้าน ซึ่งทำให้ต้องคั่วกาแฟล่วงหน้า 2 วัน แทนที่จะเป็น 1 วันตามมาตรฐานสากล การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การติดตั้งระบบไฟฟ้า จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดงานและดึงดูดผู้มาเยือนได้มากขึ้น นอกจากนี้ การขาดแคลนทรัพยากรด้านการประชาสัมพันธ์ทำให้งานนี้ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง การสนับสนุนจากหน่วยงานท้องถิ่นหรือองค์กรด้านการท่องเที่ยวจะช่วยขยายการรับรู้เกี่ยวกับงานนี้ไปสู่กลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ

อีกหนึ่งความท้าทายคือการรักษาวัฒนธรรมอาข่าในยุคที่ชุมชนบางแห่งเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ ชุมชนแม่จันใต้ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรักษาประเพณีปีใหม่ไข่แดงไว้ได้อย่างดี แต่การผสมผสานวัฒนธรรมเข้ากับการพัฒนาเศรษฐกิจต้องทำอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้สูญเสียอัตลักษณ์ของชุมชน การอบรมทักษะด้านการท่องเที่ยวให้กับเยาวชนในชุมชนจะช่วยให้คนรุ่นใหม่มีส่วนร่วมในการสืบสานวัฒนธรรมและพัฒนาเศรษฐกิจไปพร้อมกัน

โอกาสที่สำคัญของงานนี้คือการสร้างรายได้ให้กับชุมชนผ่านการท่องเที่ยวและการจำหน่ายกาแฟ การที่กาแฟแม่จันใต้ได้รับรางวัลในระดับชุมชนและเริ่มเป็นที่รู้จักในวงการกาแฟ จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตของเกษตรกร การพัฒนาแบรนด์กาแฟแม่จันใต้และการสร้างเครือข่ายกับร้านกาแฟหรือผู้จัดจำหน่ายจะช่วยให้กาแฟของชุมชนเข้าถึงตลาดที่กว้างขึ้น นอกจากนี้ การท่องเที่ยวเชิงชุมชนที่เน้นการเรียนรู้วิถีชีวิตและการปลูกกาแฟจะดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สนใจประสบการณ์ที่แท้จริงและยั่งยืน 

ศักยภาพของกาแฟและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

งาน Mae Jantai Coffee Fest 2025 แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของชุมชนแม่จันใต้ในการใช้กาแฟและวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม การที่ชุมชนสามารถจัดการแข่งขันเมล็ดกาแฟด้วยมาตรฐานสากลเป็นตัวบ่งชี้ถึงความพร้อมในการแข่งขันในอุตสาหกรรมกาแฟที่มีการแข่งขันสูง สายพันธุ์กาแฟที่หลากหลาย เช่น เกชา, ซุนด้า, และบาเที่ยน รวมถึงเทคนิคการแปรรูปที่พัฒนาขึ้น เช่น Natural และ Anaerobic Process แสดงถึงความก้าวหน้าทางเทคนิคและความคิดสร้างสรรค์ของเกษตรกร

ในแง่ของการท่องเที่ยว งานนี้มีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สนใจทั้งกาแฟและวัฒนธรรมท้องถิ่น จังหวัดเชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว โดยมีแหล่งท่องเที่ยวอย่างวัดร่องขุ่นและดอยตุง การเพิ่มแม่จันใต้เข้าไปในแผนที่การท่องเที่ยวของจังหวัดจะช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนห่างไกล การพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงไร่กาแฟ ไร่ชา และชุมชนชาวเขาจะสร้างประสบการณ์ที่หลากหลายและน่าจดจำสำหรับนักท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงชุมชนต้องคำนึงถึงความยั่งยืน การจัดการจำนวนนักท่องเที่ยวให้เหมาะสมกับขนาดของชุมชนจะช่วยป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของชาวบ้าน การฝึกอบรมมัคคุเทศก์ท้องถิ่นและการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ที่พักและร้านอาหาร จะช่วยเพิ่มความพร้อมของชุมชนในการต้อนรับนักท่องเที่ยว การร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่น เช่น เทศบาลนครเชียงราย หรือองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) จะช่วยให้ชุมชนได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณและความรู้

ในแง่ของเศรษฐกิจ การที่กาแฟแม่จันใต้เริ่มได้รับการยอมรับในระดับชุมชนและมีศักยภาพในระดับชาติ จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร การสร้างแบรนด์กาแฟแม่จันใต้และการพัฒนาช่องทางการจำหน่าย เช่น การขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ออนไลน์หรือการร่วมมือกับร้านกาแฟในเมืองใหญ่ จะช่วยให้กาแฟของชุมชนเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น การสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐหรือเอกชนในการพัฒนาการตลาดและบรรจุภัณฑ์จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับกาแฟแม่จันใต้

สถิติที่เกี่ยวข้อง

เพื่อให้เห็นภาพรวมของบริบทงาน Mae Jantai Coffee Fest 2025 และศักยภาพของกาแฟแม่จันใต้ ต่อไปนี้คือสถิติที่เกี่ยวข้อง:

  • จำนวนตัวอย่างกาแฟในการประกวด: 32 ตัวอย่าง (Wash 10, Honey 9, Dry/Natural 13)
    ที่มา: รายงานการแข่งขันเมล็ดกาแฟ Mae Jantai Coffee Fest 2024, ทีมงานชุมชนแม่จันใต้
  • ระดับความสูงของดอยแม่จันใต้: 1,312-1,521 เมตรจากระดับน้ำทะเล
    ที่มา: เอกสารข้อมูลภูมิศาสตร์, องค์การบริหารส่วนตำบลท่าก๊อ, 2567
  • พื้นที่ปลูกกาแฟในจังหวัดเชียงราย: ประมาณ 180,000 ไร่ (กาแฟอาราบิก้าประมาณ 80%)
    ที่มา: สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย, 2567
  • จำนวนนักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย (2566): 2.5 ล้านคน (ในประเทศ 2.2 ล้านคน, ต่างประเทศ 0.3 ล้านคน)
    ที่มา: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, สำนักงานเชียงราย, 2567
  • รายได้จากกาแฟในภาคเหนือของประเทศไทย: ประมาณ 3,000 ล้านบาทต่อปี
    ที่มา: กรมส่งเสริมการเกษตร, 2567
  • จำนวนครัวเรือนในหมู่บ้านแม่จันใต้: ประมาณ 200 ครัวเรือน (ส่วนใหญ่เป็นชาวอาข่า)
    ที่มา: สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง, 2567
  • เปอร์เซ็นต์พื้นที่ปลูกกาแฟใต้ร่มไม้ในแม่จันใต้: เกือบ 100%
    ที่มา: รายงานการวิจัยโดย ผศ.วิสูตร อาสนวิจิตร, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา, 2567

สถิติเหล่านี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของกาแฟและการท่องเที่ยวในฐานะเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชนแม่จันใต้และจังหวัดเชียงราย การที่ชุมชนสามารถรักษาพื้นที่ป่าสมบูรณ์และปลูกกาแฟใต้ร่มไม้แสดงถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาที่ยั่งยืน การสนับสนุนจากหน่วยงานท้องถิ่นและองค์กรด้านกาแฟจะช่วยให้งาน Mae Jantai Coffee Fest กลายเป็นงานประจำปีที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวและยกระดับชื่อเสียงของกาแฟแม่จันใต้ในระดับชาติและนานาชาต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อตั้งนครเชียงรายนิวส์
  • มนรัตน์ ก.บัวเกษร  ผู้ร่วมก่อตั้งนครเชียงรายนิวส์
  • Galleryกาแฟดริป เชียงใหม่
  • ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิสูตร อาสนวิจิตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา และนักวิจัยภายใต้โครงการวิจัยย่อยที่ 1
  • Sinthop Sumio Coffee
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

คึกคัก ทหารใหม่ มทบ.37 เริ่มฝึก “ผบ.” ให้โอวาทสร้างขวัญ

มทบ.37 เปิดฝึกทหารใหม่! พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 เน้นย้ำดูแลเข้ม

ประเทศไทย, 8 พฤษภาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.00 น. ณ สนามฝึกของหน่วยฝึกทหารใหม่ มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) ค่ายเม็งรายมหาราช อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 (ผบ.มทบ.37) ได้เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกทหารใหม่ รุ่นปี 2568 ผลัดที่ 1 อย่างเป็นทางการ โดยมีผู้บังคับบัญชา หน่วยฝึกทหารใหม่ เจ้าหน้าที่ ผู้ฝึกสอน และญาติของทหารใหม่เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและตื่นเต้นของทั้งผู้รับการฝึกและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง

จุดเริ่มต้นของความมุ่งมั่น การเตรียมพลในยุคใหม่ของกองทัพบก

การฝึกทหารใหม่รุ่นปี 2568 ผลัดที่ 1 ถือเป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญของกองทัพบกในการสร้างกำลังพลที่มีคุณภาพ โดยมุ่งเน้นให้การฝึกฝนทั้งด้านระเบียบวินัย ความเข้มแข็งทางร่างกาย จิตใจ และจิตสำนึกในหน้าที่ของการเป็นทหารที่ดี พลตรี จักรวีร์ ได้เน้นย้ำในคำกล่าวให้โอวาทต่อเจ้าหน้าที่และผู้ฝึกสอนทุกนายให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบสูงสุด พร้อมดูแลน้องทหารใหม่เสมือนญาติพี่น้อง

“น้องคนเล็กของกองทัพบกเหล่านี้ คืออนาคตของกองทัพ พวกเขาจะเป็นผู้สืบทอดภารกิจในการปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราทุกคนต้องช่วยกันบ่มเพาะและฝึกฝนพวกเขาให้มีระเบียบวินัย ความรู้ ความสามารถ และความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง” พลตรีจักรวีร์กล่าวในพิธี

ธงประจำหน่วยฝึก สัญลักษณ์แห่งเกียรติภูมิและความภาคภูมิใจ

ภายในพิธี พลตรีจักรวีร์ยังได้ทำพิธีมอบธงประจำหน่วยฝึกทหารใหม่ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติภูมิของหน่วย และปลุกขวัญกำลังใจแก่ทหารใหม่ทุกนาย ธงประจำหน่วยฝึกเป็นเครื่องหมายของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความภาคภูมิใจในสังกัด และเป็นแรงผลักดันให้ทหารใหม่มุ่งมั่นในการฝึกอย่างเต็มศักยภาพ

การรับธงประจำหน่วยจึงไม่ใช่แค่พิธีกรรมเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็นการยืนยันว่าทหารใหม่ได้ก้าวเข้าสู่การเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวกองทัพอย่างแท้จริง และจะได้รับการฝึกฝนอย่างเต็มที่ทั้งทางร่างกายและจิตใจตามหลักสูตรที่กำหนดโดยกองทัพบก

แนวทางการฝึก สร้างพลเมืองที่เข้มแข็ง ทั้งกาย ใจ และคุณธรรม

หลักสูตรการฝึกทหารใหม่ของกองทัพบกในปัจจุบัน ไม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะการฝึกยุทธวิธีหรือทักษะทางทหารเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการฝึกระเบียบวินัยพื้นฐาน การอบรมคุณธรรมจริยธรรม การส่งเสริมให้เป็นพลเมืองดีของประเทศ รวมถึงการปลูกฝังจิตสำนึกในการรับใช้สังคม

ทั้งนี้ หน่วยฝึกทหารใหม่ มทบ.37 ได้มีการเตรียมความพร้อมทั้งบุคลากรและทรัพยากรอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาอาหารที่มีคุณภาพ สถานที่พักที่ปลอดภัย และระบบสุขภาพที่ครบถ้วน เพื่อให้ทหารใหม่สามารถเข้ารับการฝึกได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยตลอดระยะเวลาการฝึก

ความร่วมมือและการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน

ผบ.มทบ.37 ได้เน้นย้ำถึงบทบาทของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฝึกทหารใหม่ว่า ต้องมีความพร้อมในการดูแล เอาใจใส่ และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับน้องทหารใหม่ รวมถึงการประสานงานกับภาคประชาชนในพื้นที่ ทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้การฝึกเป็นไปอย่างราบรื่นและสร้างประโยชน์ต่อชุมชนโดยรอบค่ายทหารอีกด้วย

“ทหารใหม่เหล่านี้จะเป็นตัวแทนของกองทัพบกในการปฏิบัติภารกิจต่างๆ หากได้รับการดูแล ฝึกฝน และสนับสนุนอย่างเหมาะสม เขาจะเติบโตเป็นทหารที่มีคุณภาพ สมตามความคาดหวังของกองทัพบก” พลตรีจักรวีร์กล่าวเพิ่มเติม

เส้นทางจากพลเรือนสู่ทหาร การเปลี่ยนผ่านที่สำคัญของชีวิต

การเกณฑ์ทหารและเข้าสู่การฝึกถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตชายไทยหลายคน จากพลเรือนธรรมดาที่เคยอยู่ในสังคมทั่วไป ต้องปรับตัวสู่การเป็นกำลังพลของชาติ ซึ่งในช่วงเริ่มต้นของการฝึก ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ ความท้าทาย และการปรับตัวสูงสุด

มทบ.37 ได้เตรียมกิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์ภายในหน่วย เช่น กิจกรรมสันทนาการ กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ และการสื่อสารระหว่างครูฝึกกับผู้รับการฝึก เพื่อให้ทหารใหม่สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ลดความเครียด และเพิ่มกำลังใจในการใช้ชีวิตในค่าย

ยกระดับมาตรฐานการฝึกทหารใหม่ให้ทันสมัย

ภายใต้การบริหารของ ผบ.มทบ.37 การฝึกทหารใหม่ได้รับการวางแผนอย่างมีระบบ โดยใช้การประเมินผลเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณควบคู่กัน ทั้งการวัดผลด้านร่างกาย จิตใจ ระเบียบวินัย และความรู้พื้นฐานด้านการทหาร รวมถึงการประเมินความพึงพอใจของทหารใหม่ต่อระบบการฝึก เพื่อให้สามารถปรับปรุงหลักสูตรและแนวทางให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

อีกทั้งยังเตรียมแนวทางส่งเสริมทักษะด้านอาชีพหลังปลดประจำการ เพื่อให้ทหารใหม่สามารถนำทักษะที่ได้รับไปใช้ในชีวิตจริง ไม่ว่าจะเข้าสู่ตลาดแรงงานหรือกลับไปพัฒนาอาชีพในครอบครัว

ความสำคัญของการฝึกทหารใหม่ในยุคสมัยใหม่

ในยุคที่สังคมเผชิญความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การฝึกทหารใหม่ไม่ใช่เพียงการเตรียมพลเพื่อความมั่นคงเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการสร้างเยาวชนชายให้เติบโตเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ พร้อมทั้งมีคุณธรรม จริยธรรม และจิตสำนึกในความรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศชาติ

การฝึกที่มีระบบ ดูแลเอาใจใส่ และมีเป้าหมายที่ชัดเจน จึงเป็นหัวใจของการพัฒนาทหารใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของสังคมยุคใหม่ ซึ่งกองทัพบก โดยเฉพาะ มทบ.37 ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในเป้าหมายดังกล่าวผ่านพิธีเปิดและแนวทางการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการฝึกทหารใหม่ รุ่นปี 2568 ผลัดที่ 1

  • จำนวนทหารใหม่เข้ารับการฝึกที่ มทบ.37: ประมาณ 650 นาย
  • หน่วยฝึกที่เข้าร่วม: หน่วยฝึกทหารใหม่ มทบ.37
  • ระยะเวลาการฝึก: 10 สัปดาห์ (พฤษภาคม–กรกฎาคม 2568)
  • จำนวนผู้ฝึกสอนและเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง: กว่า 120 นาย
  • กิจกรรมการฝึก: การฝึกบุคคลท่ามือเปล่า, การยิงปืนพื้นฐาน, การใช้ชีวิตในสนาม, การฝึกทักษะภาวะผู้นำ
  • ประชากรชายไทยเกณฑ์ทหารทั่วประเทศ ปี 2568: ประมาณ 92,000 คน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมยุทธศึกษาทหารบก
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
  • มณฑลทหารบกที่ 37
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
FEATURED NEWS

หนุนการศึกษา “ร้อยพลังฯ” จับมือ สพฐ. พัฒนา 95 โรงเรียน

ร้อยพลังการศึกษา” จับมือ “สพฐ” จัดประชุม “ผอ.” 95 ร.ร.ในเครือข่าย เชื่อมต่อพลัง “ชุมชน” หนุนนักเรียน

ประเทศไทย, 8 พฤษภาคม 2568 – จากการรายงานของผู้สื่อข่าว โครงการ “ร้อยพลังการศึกษา” ซึ่งดำเนินการโดยมูลนิธิยุวพัฒน์ ได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ โดยเชิญผู้อำนวยการจากโรงเรียนในเครือข่ายจำนวน 95 แห่งทั่วประเทศเข้าร่วมระดมความคิดเห็น เพื่อวางแนวทางความร่วมมือระหว่างโรงเรียนกับชุมชนในการพัฒนานักเรียนกว่า 320,000 คน ที่อยู่ในโครงการอย่างยั่งยืน

จุดเริ่มต้นของความร่วมมือ สานพลังรัฐและภาคประชาสังคม

การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นต่อเนื่องจากการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง สพฐ. และมูลนิธิยุวพัฒน์ เมื่อปี 2567 โดยมีเป้าหมายขยายผลการใช้ 8 เครื่องมือพัฒนานักเรียน ภายใต้โครงการร้อยพลังการศึกษา สู่โรงเรียนที่มีความต้องการในการยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ พร้อมกับใช้ศักยภาพของชุมชนเข้ามาร่วมสนับสนุนอย่างเป็นระบบ

การประชุมจัดขึ้น ณ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทาราไลฟ์ กรุงเทพฯ โดยมีผู้อำนวยการโรงเรียนจากทั่วประเทศทั้งในเขตเมืองและชนบทเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ปรับกลยุทธ์การดำเนินโครงการ และหารือแนวทางการขับเคลื่อนร่วมกับชุมชนในบริบทเฉพาะของแต่ละพื้นที่

บทบาทของโรงเรียนและชุมชน แกนกลางของการพัฒนาที่ยั่งยืน

นายวิษณุ ทรัพย์สมบัติ ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานการศึกษา สพฐ. กล่าวว่า สถานศึกษาในปัจจุบันต้องเผชิญกับข้อจำกัดหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณ อุปกรณ์การเรียน หรือความพร้อมของผู้ปกครองและชุมชน การดึงภาคประชาชนและภาคีในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วม จึงถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการยกระดับคุณภาพนักเรียนแบบองค์รวม

“โรงเรียนและชุมชนต้องทำงานร่วมกันให้แน่นแฟ้น โดยใช้พลังของชุมชนเป็นแรงเสริมผ่านกิจกรรมระดมทรัพยากร ประชาสัมพันธ์ สร้างความเข้าใจ และส่งเสริมความร่วมมือระยะยาวให้เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืน” นายวิษณุกล่าว

ความเห็นจากมูลนิธิยุวพัฒน์ การศึกษาเป็นทางออกของทุกปัญหา

นายวิเชียร พงศธร ประธานกรรมการมูลนิธิยุวพัฒน์ ระบุว่า ความท้าทายของสังคมไทยในปัจจุบันสะท้อนปัญหาในหลายมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล ซึ่งล้วนมีรากมาจากการศึกษาที่ไม่ทั่วถึงและไม่มีคุณภาพ

“ร้อยพลังการศึกษาไม่ได้เพียงพัฒนาโรงเรียน แต่ต้องการเชื่อมพลังจากภาคประชาชน ภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน เข้าด้วยกันเพื่อวางรากฐานให้เยาวชนไทยกลายเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ” นายวิเชียรกล่าว

การเสวนาและกรณีศึกษาที่เป็นรูปธรรม

ไฮไลต์สำคัญของการประชุมคือเวทีเสวนาหัวข้อ พลังความร่วมมือของโรงเรียนและชุมชนในการพัฒนานักเรียน” ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้บริหารโรงเรียนที่เคยดำเนินการร่วมกับชุมชนมาแล้ว นำกรณีศึกษา 5 พื้นที่มาแบ่งปัน ได้แก่:

  • โรงเรียนศรีวินิตวิทยาคม จ.สิงห์บุรี
    ระดมทุนผ่านการทอดผ้าป่าเพื่อตั้งกองทุนบำรุงรักษาห้องคอมพิวเตอร์ ทำต่อเนื่องทุกปี
  • โรงเรียนนราสิกขาลัย จ.นราธิวาส
    มี “รัฐบาลเยาวชนอาสา” และเครือข่าย “แกนนำครอบครัวคุณธรรม” จากนักเรียนทุนยุวพัฒน์
  • โรงเรียนบ้านสบเตี๊ยะ จ.เชียงใหม่
    ทำกิจกรรม “ครอบครัวสัมพันธ์” โดยชุมชนมีส่วนร่วมทั้งติดตามพฤติกรรมและเยี่ยมบ้าน
  • โรงเรียนวังเหนือวิทยา จ.ลำปาง
    สร้างวิสัยทัศน์ร่วมกับชุมชน ขยายสู่การพัฒนาโปรแกรม Youth Counselor ร่วมกับครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงจากมูลนิธิ Teach for Thailand
  • โรงเรียนบ้านหนองคาง จ.ประจวบคีรีขันธ์
    ประสานงานกับมูลนิธิกระจกเงาเพื่อขอรับคอมพิวเตอร์มือสอง และร่วมมือกับวิทยาลัยอาชีพในพื้นที่ซ่อมแซมอุปกรณ์

โครงการร้อยพลังการศึกษา พัฒนาทุนมนุษย์ผ่านนวัตกรรม 8 เครื่องมือ

โครงการร้อยพลังการศึกษา หรือ Thailand Collaboration for Education (TCFE) ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 2558 โดยมีเป้าหมายลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาในประเทศไทย ผ่านการทำงานร่วมกันระหว่างโรงเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือและภาคีที่มีองค์ความรู้เฉพาะด้าน โดยเครื่องมือหลัก 8 ประการ ได้แก่

  1. ทุนการศึกษา โดยมูลนิธิยุวพัฒน์
  2. สื่อดิจิทัลวิชาคณิตศาสตร์/วิทยาศาสตร์ จาก Learn Education
  3. สื่อดิจิทัลภาษาอังกฤษ จาก Winner English
  4. ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลง จากมูลนิธิ Teach For Thailand
  5. พัฒนาเด็กปฐมวัย โดย ICAP
  6. แนะแนวอาชีพ โดยแพลตฟอร์ม a-chieve
  7. พัฒนาโรงเรียนคุณธรรม โดยมูลนิธิยุวพัฒน์
  8. พัฒนาโภชนาการเด็ก โดยโครงการ FOOD FOR GOOD

ณ ปี 2568 โครงการได้ขยายผลไปยังโรงเรียนกว่า 250 แห่งทั่วประเทศ และมีเด็กและเยาวชนได้รับโอกาสกว่า 320,000 คน

พลังร่วมจากพื้นที่สู่การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ

แม้โครงการร้อยพลังการศึกษาจะเน้นการพัฒนาโรงเรียนเป็นรายพื้นที่ แต่เมื่อมองในภาพรวม กลไกของการสร้างความร่วมมือระหว่างโรงเรียนและชุมชนที่เกิดขึ้นกำลังส่งผลสะเทือนเชิงบวกต่อระบบการศึกษาของไทยในระดับฐานราก โดยเฉพาะในโรงเรียนขนาดเล็ก โรงเรียนในพื้นที่ชายขอบ หรือโรงเรียนที่ประสบปัญหาเรื่องทรัพยากรอย่างหนัก

จุดแข็งของโครงการนี้คือการใช้ “ทุนทางสังคม” ที่มีอยู่ในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นบุคลากร ผู้นำท้องถิ่น องค์กรภาคี หรือแม้แต่ผู้ปกครอง มาช่วยเสริมกำลังของโรงเรียน ซึ่งแตกต่างจากโครงการที่เน้นการพึ่งพางบประมาณจากรัฐเพียงด้านเดียว

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ที่การสร้าง “ความต่อเนื่อง” และ “ความยั่งยืน” หลังจากหมดการสนับสนุนจากภาคีบางราย หรือเมื่องบประมาณเปลี่ยนแปลง ซึ่งจุดนี้ สพฐ. และมูลนิธิยุวพัฒน์ยังคงต้องหารือถึงรูปแบบการสนับสนุนระยะยาวอย่างรอบคอบ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนโรงเรียนที่เข้าร่วมประชุม: 95 แห่ง
  • จำนวนเด็กที่ได้รับโอกาสจากโครงการ: มากกว่า 320,000 คน (ปี 2558–2568)
  • จำนวนเครื่องมือหลักที่ใช้ในโครงการ: 8 เครื่องมือพัฒนา
  • จังหวัดที่มีการยกตัวอย่างกรณีศึกษาความร่วมมือ: 5 จังหวัด ได้แก่ สิงห์บุรี, นราธิวาส, เชียงใหม่, ลำปาง, ประจวบคีรีขันธ์
  • โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ: มากกว่า 250 แห่งทั่วประเทศ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

CopsCombat2025 ตำรวจไทยโชว์บู๊ ‘เชียงราย’ โชว์เหนือมีคว้าทองกลับบ้าน

ตำรวจเชียงรายคว้าชัย Cops Combat 2025 รุ่นน้ำหนักเกิน 85 กก.” สร้างชื่อเสียงในเวทีระดับประเทศ

ประเทศไทย, 8 พฤษภาคม 2568 – รายงานข่าวจากกรุงเทพมหานครระบุว่า การแข่งขันกีฬาศิลปะการต่อสู้ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในรายการ “Cops Combat 2025” ซึ่งจัดขึ้น ณ เวทีมวยราชดำเนิน เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ตำรวจจากทั่วประเทศ โดยเฉพาะในรอบชิงชนะเลิศที่มีการประลองฝีมืออย่างเข้มข้นจากผู้เข้าแข่งขันหลากหลายสังกัด ซึ่งหนึ่งในไฮไลต์ของการแข่งขันคือชัยชนะของเจ้าหน้าที่ตำรวจจากจังหวัดเชียงราย

ตำรวจภูธรภาค 5 สร้างผลงานโดดเด่น

ในการแข่งขันครั้งนี้ ข้าราชการตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค 5 จังหวัดเชียงราย ได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมแข่งขันจำนวน 2 นาย ใน 2 รุ่นน้ำหนัก ได้แก่

  1. ส.ต.อ.เมธาสิทธิ์ กาวี ตำแหน่ง ผบ.หมู่ (ป.) สภ.เวียงชัย จังหวัดเชียงราย คว้าชัยชนะในรุ่นน้ำหนักเกิน 85 กิโลกรัม ได้อย่างสง่างาม
  2. ร.ต.อ.เขตต์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา รองสารวัตร นปพ. ภ.จว.เชียงราย ทำหน้าที่เป็นโค้ชผู้จัดการทีม และเข้าร่วมแข่งขันในรุ่นน้ำหนักไม่เกิน 56 กิโลกรัม

สำนักงานตำรวจภูธรจังหวัดเชียงรายได้แสดงความยินดีต่อความสำเร็จของ ส.ต.อ.เมธาสิทธิ์ ที่สามารถสร้างชื่อเสียงให้แก่หน่วยงานในระดับประเทศ และได้ให้กำลังใจแก่ ร.ต.อ.เขตต์ ในการแข่งขันครั้งต่อไป

บรรยากาศการแข่งขันคึกคักท่ามกลางเสียงเชียร์

การแข่งขัน Cops Combat 2025 จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ เวทีมวยราชดำเนิน โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากหลากหลายสังกัด ทั้งชายและหญิง เข้าร่วมแข่งขันในรายการดังกล่าวจำนวนมาก การแข่งขันแบ่งออกเป็นทั้งหมด 16 รุ่นน้ำหนัก รวมกว่า 48 คู่แข่งขัน โดยการแข่งขันในแต่ละคู่ดำเนินไปในรูปแบบ 1 ยก ใช้เวลาชก 3 นาที เพื่อให้ผู้เข้าแข่งขันสามารถแสดงทักษะการต่อสู้ป้องกันตัวในเวลาจำกัด

บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความคึกคัก สนุกสนาน และเต็มเปี่ยมไปด้วยเสียงเชียร์จากเพื่อนร่วมอาชีพและประชาชนที่เดินทางมาร่วมชมอย่างเนืองแน่น โดยเฉพาะในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่เวลา 13.30 น. เป็นต้นไป ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมอย่างยิ่ง

Cops Combat กีฬาที่พัฒนาทักษะพร้อมเสริมสร้างร่างกายและจิตใจ

โครงการ “Cops Combat” เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมกีฬาประจำปีของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทบทวนและฝึกฝนทักษะการต่อสู้ป้องกันตัว ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่ โดยเฉพาะในการเผชิญเหตุการณ์ฉุกเฉิน การควบคุมสถานการณ์ และการรับมือกับผู้กระทำผิด

การแข่งขันยังเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพร่างกาย ความแข็งแรง และความมั่นใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งเสริมสร้างความสามัคคีในหมู่ตำรวจจากหลากหลายพื้นที่ทั่วประเทศ

ผู้เข้าแข่งขันจากทั่วประเทศรวมพลังในสนามเดียวกัน

ผู้มีสิทธิ์เข้าแข่งขันในรายการนี้ต้องเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดต่างๆ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั่วประเทศ อาทิ

  • กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1-9
  • กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.)
  • กองบัญชาการตำรวจสันติบาล (บช.ส.)
  • กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.)
  • กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (บช.ตชด.)
  • กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (บช.ทท.)
  • กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.)
  • โรงเรียนนายร้อยตำรวจ (รร.นรต.)
  • รวมถึงหน่วยงานอื่นๆ ภายใต้สำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

การรวมตัวกันของเจ้าหน้าที่จากหลากหลายสังกัดเช่นนี้ ส่งผลให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และเป็นโอกาสในการเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างพื้นที่

ผบ.ตร.ร่วมเปิดการแข่งขัน มอบขวัญกำลังใจนักกีฬา

ในพิธีเปิดการแข่งขัน ได้รับเกียรติจาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มาเป็นประธานในพิธี โดยกล่าวเปิดการแข่งขันอย่างเป็นทางการ พร้อมกล่าวชื่นชมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทุ่มเทฝึกซ้อมและเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้

ทั้งนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ จะทำหน้าที่มอบเหรียญรางวัลให้กับผู้ชนะการแข่งขันในแต่ละรุ่น เพื่อเป็นเกียรติประวัติและเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานต่อไป

ตำรวจรุ่นใหม่กับความพร้อมรอบด้าน

การแข่งขัน Cops Combat ไม่ได้เป็นเพียงเวทีกีฬาธรรมดา แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มของการพัฒนาข้าราชการตำรวจไทยรุ่นใหม่ที่มุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพทั้งด้านร่างกายและจิตใจ พร้อมรับมือกับสถานการณ์ความไม่สงบในสังคมอย่างมืออาชีพ

ชัยชนะของตำรวจเชียงรายในครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่เหรียญรางวัล แต่ยังสะท้อนถึงคุณภาพของกำลังพลและการฝึกฝนที่เข้มข้นในระดับพื้นที่ ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้หน่วยงานในภูมิภาคอื่นๆ เดินหน้าในการพัฒนาบุคลากรด้านทักษะการต่อสู้เชิงยุทธวิธีต่อไป

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขัน

  • ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดในรายการ Cops Combat 2025: 96 คน (ชาย/หญิง)
  • แบ่งการแข่งขันออกเป็น 16 รุ่นน้ำหนัก
  • แข่งขันแบบ 1 ยก 3 นาที จำนวน 48 คู่
  • รุ่นน้ำหนักเกิน 85 กก. มีผู้เข้าแข่งขัน 6 คน
  • ส.ต.อ.เมธาสิทธิ์ กาวี ชนะคะแนนแบบเอกฉันท์ในรอบชิงชนะเลิศ
  • ผู้ชมในเวทีมวยราชดำเนินประมาณ 1,200 คน
  • มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก 13 กองบัญชาการ และ 5 โรงเรียนตำรวจ เข้าร่วมการแข่งขัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

  • กองประชาสัมพันธ์ ตร.

  • ผู้สื่อข่าวสนามเวทีมวยราชดำเนิน

  • สำนักงานตำรวจภูธรภาค 5

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สารหนูทะลักแม่น้ำกก “โรม” จี้รัฐบาลแก้เหมืองทองว้า

วิกฤตแม่น้ำกก สารพิษจากเหมืองทองคำฝั่งเมียนมาคุกคามความมั่นคงและสุขภาพคนไทย

สถานการณ์คุณภาพน้ำกกและแม่น้ำสายพบสารหนูเกินมาตรฐานหลายเท่า

สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยผลตรวจคุณภาพน้ำแม่น้ำกกและแม่น้ำฝาง ซึ่งเก็บตัวอย่างเมื่อวันที่ 21-24 เมษายน 2568 ครอบคลุม 15 จุดในเชียงรายและเชียงใหม่ โดยพบว่าน้ำมีความขุ่นผิดปกติและตรวจพบ “สารหนู” (Arsenic) เกินค่ามาตรฐานในหลายจุดอย่างน่าตกใจ

ตัวอย่างเช่นที่สะพานเฉลิมพระเกียรติ 1 อำเภอเมืองเชียงราย พบค่าสารหนู 0.012 mg/L และสูงสุดที่บ้านจะเด้อ ตำบลดอยฮาง ที่ระดับ 0.019 mg/L ซึ่งมากกว่าค่ามาตรฐาน 0.01 mg/L ถึงเกือบสองเท่า ขณะที่ในเขตอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ มีจุดหนึ่งที่มีค่าถึง 0.037 mg/L

ร่วมลงพื้นที่ ย้ำภัยเงียบที่ต้องเร่งจัดการ

พระอาจารย์มหานิคม มหาภินิกฺขมโน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าตอน ให้สัมภาษณ์ว่า การปนเปื้อนของโลหะหนักในลำน้ำกกมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงหน้าแล้งที่ปริมาณน้ำน้อยลง สารพิษจึงเข้มข้นขึ้น ซึ่งกระทบทั้งการเกษตรและอาหารประจำวันของประชาชน โดยขอให้รัฐตรวจสอบสัตว์น้ำและพืชผลที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกกอย่างเร่งด่วน

ในวันเดียวกัน รังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ ได้เดินทางลงพื้นที่แม่อายและเชียงราย เพื่อติดตามปัญหาดังกล่าว พร้อมระบุว่าสารหนูและตะกั่วมีค่าที่น่าเป็นห่วงและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ต้นตอปัญหาเหมืองทองผิดกฎหมายในเขตอิทธิพลของกลุ่มว้าในเมียนมา

ข้อมูลจากการตรวจสอบพบว่าแหล่งต้นน้ำของแม่น้ำกกและสาย ไหลมาจากพื้นที่เขตอิทธิพลของกลุ่มว้า (UWSA) ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งมีเหมืองทองคำผิดกฎหมายกว่า 30 แห่ง ปล่อยตะกอนสารพิษลงแม่น้ำโดยไม่มีมาตรการควบคุม ส่งผลให้ประเทศไทยซึ่งอยู่ปลายน้ำรับผลกระทบเต็ม ๆ

นายโรมกล่าวว่า ปัญหานี้ไม่เพียงกระทบต่อคุณภาพน้ำ แต่ยังลุกลามไปถึงเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและสุขภาพประชาชน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

หน่วยงานรัฐยืนยันไม่มีการทำเหมืองในเขตประเทศไทย

นางสลีลญา คำภาแก้ว นายอำเภอแม่อาย ชี้แจงว่า การตรวจสอบในพื้นที่แม่อายไม่พบกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับโลหะหนัก พร้อมเน้นย้ำว่าอำเภอแม่อายไม่ได้เป็นต้นเหตุของปัญหา การแก้ไขต้องทำในระดับประเทศ โดยปัจจุบันมีการแจกจ่ายน้ำดื่มสะอาดให้ชาวบ้านฟรีและเร่งตรวจสอบปลาและดินตะกอนเพิ่มเติม

ข้อเรียกร้องเร่งใช้การทูตและความร่วมมือระหว่างประเทศ

นายรังสิมันต์ โรม กล่าวอย่างหนักแน่นว่า แม้สถานการณ์ในเมียนมาจะซับซ้อนจากสงครามกลางเมือง แต่รัฐบาลไทยต้องแสดงความชัดเจน ใช้ช่องทางการทูต รวมถึงประเทศที่มีสัมพันธ์ดีกับกลุ่มว้า เพื่อกดดันให้ยุติกิจกรรมเหมืองทองที่เป็นต้นเหตุของปัญหา

“ถ้าไม่แก้วันนี้ ปัญหาจะลุกลามต่อเนื่อง คนไทยจะไม่ได้อยู่ในประเทศไทยอย่างปลอดภัย” นายโรมกล่าว

เหมืองทองฝั่งเมียนมาปล่อยตะกอนลงแม่น้ำกก

ผู้สื่อข่าวยังได้รับคลิปวิดีโอจากชาวบ้าน ซึ่งเผยให้เห็นภาพการระบายตะกอนจากเหมืองทองในเขตรัฐฉานลงสู่แม่น้ำกกอย่างชัดเจน ยืนยันถึงการดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมายของเหมืองดังกล่าวที่ยังดำเนินอยู่

กมธ.มั่นคงฯ นัดถกแนวทางร่วมกับส่วนราชการในเชียงราย

วันที่ 8 พฤษภาคม 2568 คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ มีกำหนดประชุมร่วมกับหน่วยงานราชการจังหวัดเชียงราย เพื่อสรุปสถานการณ์และหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน เน้นการบูรณาการระหว่างหน่วยงานสิ่งแวดล้อม ความมั่นคง สาธารณสุข และการต่างประเทศ

วิกฤตนี้ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือความมั่นคงระดับชาติ

กรณีสารหนูและตะกั่วในแม่น้ำกก ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพหรือสิ่งแวดล้อม แต่สะท้อนถึงปัญหาโครงสร้างความมั่นคงระหว่างประเทศ รัฐบาลต้องใช้ทั้งกลยุทธ์ระหว่างประเทศและการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อแก้ปัญหานี้

หากยังปล่อยให้กลุ่มอิทธิพลดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมายข้ามพรมแดนต่อไปโดยไม่มีการควบคุม สถานการณ์จะยิ่งซับซ้อนและรุนแรงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สถิติและข้อมูลอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง

  • ค่าสารหนูในแม่น้ำกกสูงสุด: 0.037 mg/L (มาตรฐานไม่เกิน 0.01 mg/L)
  • ค่าสารตะกั่วในแม่น้ำกก: 0.076 mg/L (มาตรฐานไม่เกิน 0.05 mg/L)
  • เหมืองทองผิดกฎหมายในรัฐฉาน: กว่า 30 แห่ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค 1
  • สส.ปั๋น – ชิตวัน ชินอนุวัฒน์
  • พรรคประชาชน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE