Categories
AROUND CHIANG RAI LIFESTYLE

MV “ทัก” วง LYKN สุดปัง! เบื้องหลังออกแบบโดย MY DANCE เชียงราย

LYKN เผยเบื้องหลังความสำเร็จ MV “ทัก (FIRST SIGHT)” ร่วมกับนักเต้นรุ่นใหม่จากเชียงราย

บอยกรุ๊ปน้องใหม่ LYKN (ไลแคน) ศิลปินที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในวงการ T-POP ได้ปล่อย MV เพลงใหม่ “ทัก (FIRST SIGHT)” พร้อมทะยานขึ้นอันดับ 1 เทรนด์ X (Twitter) ในประเทศไทยด้วยแฮชแท็ก #LYKN_FirstSightMV ในวันเดียวกับการเปิดตัว วันที่ 14 พฤษภาคม 2568  เบื้องหลังความสำเร็จของ MV นี้มีเรื่องราวที่น่าสนใจซ่อนอยู่ โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมของนักเต้นรุ่นใหม่จากจังหวัดเชียงราย ที่ได้ร่วมแสดงในผลงานชิ้นนี้

จุดเริ่มต้นของ LYKN: จากรายการเซอร์ไววัลสู่วงการ T-POP

LYKN เป็นบอยกรุ๊ปที่ผ่านการแข่งขันอันเข้มข้นจากรายการเซอร์ไววัล Project Alpha ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความสามารถในหลากหลายด้าน ทั้งการร้อง เต้น เล่นดนตรี และการแสดง ตลอดการแข่งขัน ผู้ชมได้เห็นการพัฒนาและการเติบโตของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดได้สมาชิกทั้ง 5 คนที่ผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการและการโหวตจากผู้ชมทั่วประเทศ ซึ่งประกอบด้วย

  1. วิลเลี่ยม จักรภัทร แก้วพันธุ์พงษ์
  2. เลโก้ รพีพงศ์ ศุภธินีกิตติ์เดชา
  3. ตุ้ย ชยธร ไตรรัตนประดิษฐ์
  4. ฮง พิเชฐพงศ์ จิรเดชสกุลวงศ์
  5. นัท ธนัท ด่านเจษฎา

LYKN ได้เริ่มเส้นทางในวงการ T-POP ด้วยซิงเกิลแรก “เลิกกับเขาเดี๋ยวเหงาเป็นเพื่อน (MAY I?)” ก่อนที่จะมาถึงผลงานล่าสุด “ทัก (FIRST SIGHT)” ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก

เบื้องหลังท่าเต้น “ทัก” การผสมผสานวัฒนธรรมและการสื่อสารผ่านศิลปะการเคลื่อนไหว

สิ่งที่น่าสนใจในเบื้องหลังของ MV “ทัก (FIRST SIGHT)” คือการออกแบบท่าเต้นที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วบนโซเชียลมีเดีย โดยผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือ “ครูสายเมฆ และ”ครูยุ้ย”  MY Dance Academy นักออกแบบท่าเต้นชาวจังหวัดเชียงรายที่ไม่เพียงแต่ออกแบบและสอนท่าเต้นให้กับศิลปินเท่านั้น แต่ยังได้นำนักเต้นรุ่นใหม่จากเชียงรายทั้ง 8 คนมาร่วมแสดงใน MV นี้ด้วย

ในการสัมภาษณ์พิเศษ “ครูสายเมฆ และ”ครูยุ้ย”ได้เปิดเผยถึงแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ท่าเต้นในเพลง “ทัก” ว่า “ท่าหลักให้จำคือท่าเสยผม ครับ มาจากอริยาบทของการทักทาย ตามชื่อเพลง ‘ทัก’ และการเสยผมเหมือนจะเป็นการทักทายได้หลายวัฒนธรรมแบบวัยรุ่น ที่ไม่รู้สึกว่าต้องแบ่งแยกภาษา แต่ก็สามารถสื่อได้ว่า ‘หวัดดีคร้าบ’ อะไรประมาณนี้” นอกจากนี้ยังมีการผสมผสานระหว่างการสื่อสารของเนื้อหาเพลง คอนเซปต์ และพื้นฐานการเต้นที่แข็งแรง เพื่อส่งเสริมให้ศิลปินดูดีและตอบโจทย์กับเพลงและดนตรี

วิสัยทัศน์ของเชียงรายแหล่งบ่มเพาะศิลปินระดับโลก

ครูสายเมฆและครูยุ้ย ของ MY Dance Academy สถาบันสอนเต้นจังหวัดเชียงราย มีความเชื่อมั่นในศักยภาพของเด็กเชียงรายว่าสามารถก้าวไปสู่ระดับโลกได้ โดยเน้นย้ำว่า “เชื่อเสมอครับว่า เด็กเชียงราย สามารถไประดับโลกได้ เรามีตัวอย่างคนเชียงรายที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานระดับโลกมากมาย ทั้งในด้าน ศิลปะ ดนตรี และวิชาการ ทั้งที่ทำผลงานในประเทศและนานาชาติ”

เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า จังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่โดดเด่นในเรื่องการบ่มเพาะด้านสุนทรียศาสตร์และการลงลึกในศาสตร์ต่างๆ เนื่องจากมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการ “หมกมุ่น” ในวิชาที่สนใจ พร้อมกับสามารถรักษาสมดุลของชีวิตได้เป็นอย่างดี

การสร้างโอกาสและการลดช่องว่างระหว่างเมืองใหญ่และเมืองรอง

การนำนักเต้นจากเชียงรายมาร่วมงานกับ LYKN ในครั้งนี้มีความหมายมากกว่าการเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ MV เพลงฮิต แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสและลดช่องว่างระหว่างเมืองใหญ่และเมืองรอง ครูสายเมฆและครูยุ้ยได้แบ่งปันความรู้สึกว่า “มันคือความประทับใจที่ตอนเด็กๆ เราฝันว่า อยากมีโอกาสแบบนี้ อยากเก่งพอจะมาทำอะไรแบบนี้บ้าง อยากเรียน อยากรู้แบบนี้บ้าง อยากมีโอกาสในการเข้าถึงต่างๆ ที่เหมือนกับเด็กในเมืองใหญ่”

เขายังกล่าวอีกว่า “วันนี้มันคืออีกก้าวแรกที่พิสูจน์ว่า ความอดทนของคน Gen ก่อนหน้า ที่กล้าลองผิดลองถูก ลงทุน ลงแรงในการทำอะไรบางอย่างทั้งชีวิตแบบไม่หยุดไม่ท้อ มันช่วย ‘ย่นระยะทางและระยะเวลา’ ให้คน Gen ถัดไปได้จริงๆ”

ความท้าทายและอุปสรรคในการทำงาน

การทำงานร่วมกันระหว่างทีมงานในกรุงเทพฯ และเชียงรายไม่ได้เป็นเรื่องง่าย ครูสายเมฆได้เปิดเผยถึงความท้าทายในการทำงานครั้งนี้ว่า “ระยะทาง-ภัยพิบัติ-วันหยุดยาว ครบครับ ต้องบินไปกลับ เชียงราย-กทม หลายสิบรอบมากเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ระหว่างทางก็เจอแผ่นดินไหว เจอ timeline ที่ต้องขยับ ประสบภัยไปด้วยกัน ต้องจัดแจงตารางให้ทุกคนสามารถทำงานช่วงหยุดยาวสงกรานต์ด้วย”

แม้จะมีอุปสรรคมากมาย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความเป็นมืออาชีพของทุกฝ่าย ทั้งค่าย ทีมงาน และศิลปิน ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาและทำให้ผลงานออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม

เสียงสะท้อนจากนักเต้นรุ่นใหม่ ประสบการณ์และการเรียนรู้

นักเต้นรุ่นใหม่จากเชียงรายทั้ง 8 คนที่ได้ร่วมแสดงใน MV “ทัก (FIRST SIGHT)” ต่างมีความรู้สึกตื่นเต้นและประทับใจกับโอกาสครั้งนี้ พวกเขาได้เรียนรู้และสัมผัสประสบการณ์การทำงานในวงการบันเทิงอย่างมืออาชีพ

ณิชนันท์ กันยานนท์ (นาน่า) อายุ 14 ปี นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม และวัชรวีร์ เกาะทอง (ทรีทรี) อายุ 12 นักเรียนชั้น ม.1 โรงเรียนเชียงรายวิทยาคม กล่าวว่า “รู้สึกดีใจมากๆที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการถ่ายทำ music video เพลงทัก ของพี่ๆวง LYKN ทั้งในระหว่างการซ้อมและการถ่ายทำรู้สึกว่าทั้งพี่ๆศิลปินทั้งทีมงานและแด้นเซอร์ทุกคนเป็นกันเองมากๆ รู้สึกประทับใจที่ทุกๆคนทุ่มเทและตั้งใจกันมากๆทำให้ผลงานออกมาดีมากๆ เลย”

ณภัทร บุญประกอบ (หมีพู) อายุ 21 ปี จาก MY Dance Academy กล่าวว่า “ดีใจมากครับ เพราะว่าปกติเป็นแฟนคลับของทางวง (LYKYOU) อยู่แล้วครับผม เลยรู้สึกว่าโอกาสครั้งนี้ต้องรับไว้ให้ได้ครับผม” เขายังเผยอีกว่าประทับใจช่วงที่ได้ถ่ายท่อนเต้นพร้อมวง LYKN เพราะศิลปินมีพลังล้นมาก และได้เรียนรู้การทำงานของฝั่ง Entertainment ความเป็นมืออาชีพ การวางตัว และพลังงานที่ได้รับจากศิลปิน

ศุภกานต์ ปัญญาพล (ส้มโอ) อายุ 26 ปี และ ณิชารี ปงรังษี (พิมพ์) อายุ 16 ปี ชั้น ม.5 โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม แบ่งปันความรู้สึกพร้อมกันว่า “ตื่นเต้นและดีใจมากๆค่ะ เพราะมันเป็นความฝันเลยไม่คิดว่าจะได้ทำ และต้องขอบคุณครูยุ้ยครูเมฆมากๆค่ะ ที่ได้ให้โอกาสที่มีค่านี้ให้กับทั้งสองคน” เธอยังกล่าวว่าระหว่างการฝึกซ้อมมีพลังงานและความมืออาชีพของนักเต้นเต็มไปในห้องซ้อม และในวันถ่าย MV ก็ได้รับพลังงานและความออร่าของศิลปินส่งมาให้ “บูสๆ กันฉ่ำ”

การเติบโตและการพัฒนาของวงการเต้นในเชียงราย

การร่วมงานกันระหว่าง LYKN และนักเต้นจากเชียงรายในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างผลงานที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการพัฒนาศักยภาพของนักเต้นรุ่นใหม่ในจังหวัดเชียงรายอีกด้วย ครูสายเมฆได้ให้คำแนะนำแก่เด็กๆ ชาวเชียงรายที่มีความฝันอยากจะเป็นนักเต้นหรือนักออกแบบท่าเต้นในอนาคตว่า “ขอให้ ‘เชื่อมั่น’ ว่าตัวเองทำได้ ‘เคารพ’ ในความฝันของตัวเอง และ ‘ดื้อ’ พอจะเอาชนะความเหนื่อยล้า ความยาก ความท้อแท้ที่เราจะต้องเจอระหว่างทาง ‘ลงลึก’ ให้พอ จนกว่าจะ ‘รู้จริง'”

เขาเปรียบเทียบการพัฒนาตัวเองเหมือนกับการปลูกถั่วงอก “เติมน้ำไปไม่รู้หรอกว่านานเท่าไหร่ แต่วันที่มันพ้นหน้าดินเมื่อไหร่ มันก็จะเติบโตไม่มีหยุดตราบที่เราไม่หยุดพัฒนาครับ เด็กเชียงรายคือเมล็ดพันธุ์ที่อยู่ในพื้นที่ๆ ดินดีมากครับ ขอแค่ไม่ยอมแพ้ และเชื่อมั่น ทำได้แน่นอนครับ”

การสะท้อนความเป็นมืออาชีพผ่านประสบการณ์ของนักเต้นรุ่นใหม่

ประสบการณ์การทำงานร่วมกับศิลปินและทีมงานมืออาชีพได้สร้างความประทับใจและเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับนักเต้นรุ่นใหม่จากเชียงราย พวกเขาได้เรียนรู้ถึงความเป็นมืออาชีพ การรับผิดชอบต่อหน้าที่ และการทำงานในวงการบันเทิง

โมนะ วังวิญญู (โมโม่) อายุ 16 ปี นักเรียนชั้นม.5 โรงเรียนปิติศึกษา เล่าว่า “สิ่งนึงที่ประทับใจมากๆคือความเป็นกันเองและ energy ในกองถ่ายที่ทุกคนทำเต็มที่ focus, จริงจัง และสนุกสุดๆ” เธอยังกล่าวถึงช่วงเวลาที่ประทับใจว่า “มีตอนที่พี่ๆ LYKN hype up ทีม dancer คอยถามว่าเหนื่อยมั้ยแล้วก็ให้กำลังใจกับ energy กันทั้งกับ dancer และในวง หนูได้ fist bump กับพี่เลโก้ด้วยค่ะ!”

นีรชา ณ ลำพูน (ขวัญ) อายุ 14 ปี นักเรียนชั้นม.3 โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม แบ่งปันความรู้สึกว่า “รู้สึกดีใจและตื่นเต้นมากๆเลยค่ะที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ mv เพลง ‘ทัก’ ของพี่ๆวง LYKN จากตอนแรกที่หนูเต้น cover เพลงของพี่เค้าแต่ตอนนี้หนูกลับได้มาเต้นใน mv เค้าแล้ว”

อารยา สัทธานนท์ (มีน) อายุ 17 ปี นักเรียนชั้นม.5 โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม กล่าวว่า “ประทับใจในการทำงาน ของทั้งแดนเซอร์ด้วยกัน ทั้งทีมงานเบื้องหลังต่างๆและพี่ๆศิลปิน ทุกคนมีความ professional และทุ่มเทให้กับงาน” เธอยังเล่าถึงประสบการณ์ที่ประทับใจที่สุดว่า “ตอนท้ายๆที่ถ่าย ทุกคนช่วยบิ้วกันและกัน จนสุดท้ายทุกคนเต้นได้สุดยอดมากๆ”

การสร้างแรงบันดาลใจและวิสัยทัศน์สู่อนาคต

การร่วมงานระหว่าง LYKN และนักเต้นจากเชียงรายในครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างผลงานที่มีคุณภาพและได้รับความนิยมเท่านั้น แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจและเปิดโอกาสให้กับเยาวชนในพื้นที่ห่างไกลได้แสดงศักยภาพและพัฒนาตัวเองสู่วงการบันเทิงระดับประเทศ

โมนะ วังวิญญู (โมโม่) ได้แบ่งปันสิ่งที่เธอได้เรียนรู้จากประสบการณ์ครั้งนี้ว่า “ได้เรียนรู้หลายอย่างเลยค่ะ อย่างแรกเลยการที่เอาตัวเองไปอยู่นอก comfort zone, ในสิ่งแวดล้อมที่ท้าทายความสามารถความรับผิดชอบตัวเองมันทำให้เราต้องกลายเป็น professional เลยค่ะ ซึ่งไม่มีทางอื่นที่จะได้เห็นว่าทำงาน (แบบ pro) จริงๆมันเป็นยังไงนอกจากเราอยู่ในสถานการณ์และได้ทำจริงๆ อย่างที่สองคือ work ethics ที่ได้เห็นและเรียนรู้จากทั้งโคช, พี่ๆ LYKN, พี่ๆ main dancers, staff หนูว้าวกับความตั้งใจทำและรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองในทุกคนมากเลยค่ะ”

ความสำเร็จของ MV “ทัก (FIRST SIGHT)” และอนาคตของวงการเต้นในเชียงราย

ความสำเร็จของ MV “ทัก (FIRST SIGHT)” ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงศักยภาพของ LYKN ในฐานะศิลปินหน้าใหม่ในวงการ T-POP เท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสและสร้างพื้นที่สำหรับนักเต้นรุ่นใหม่จากจังหวัดเชียงรายได้แสดงความสามารถบนเวทีระดับประเทศ

การทำงานร่วมกันระหว่างศิลปินจากกรุงเทพฯ และนักเต้นจากเชียงรายไม่เพียงแต่สร้างผลงานที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการกระจายโอกาสและลดช่องว่างระหว่างศิลปินในเมืองใหญ่และเมืองรอง สร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนในพื้นที่ห่างไกลได้เห็นว่าความฝันของพวกเขาสามารถเป็นจริงได้ หากมีความมุ่งมั่นและไม่ยอมแพ้

สถิติและข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมบันเทิงและการเต้นในประเทศไทย

ความสำเร็จของ MV “ทัก (FIRST SIGHT)” ของวง LYKN สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมบันเทิงและ T-POP ในประเทศไทย โดยมีข้อมูลสถิติที่น่าสนใจดังนี้

  1. การเติบโตของตลาด T-POP: ตามรายงานจากสมาคมอุตสาหกรรมบันเทิงไทย ในปี 2567 มูลค่าตลาด T-POP ในประเทศไทยมีมูลค่าสูงถึง 5,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากปี 2566 และคาดว่าจะเติบโตถึง 7,200 ล้านบาทในปี 2568
  2. การขยายตัวของโรงเรียนสอนเต้น: จำนวนโรงเรียนสอนเต้นในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจาก 450 แห่งในปี 2563 เป็น 780 แห่งในปี 2567 โดยมีการเติบโตในจังหวัดเมืองรองถึง 45% ในช่วงเวลาเดียวกัน
  3. การกระจายตัวของโอกาสทางอาชีพ: นักเต้นอาชีพในประเทศไทยมีประมาณ 8,500 คนในปี 2567 โดย 68% อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และ 32% อยู่ในภูมิภาคอื่นๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการกระจายตัวของโอกาสทางอาชีพที่เพิ่มขึ้น
  4. การมีส่วนร่วมของเยาวชนในกิจกรรมด้านศิลปะ: ตามข้อมูลจากกระทรวงวัฒนธรรม ในปี 2567 มีเยาวชนไทยอายุ 12-25 ปี เข้าร่วมกิจกรรมด้านศิลปะและวัฒนธรรมเพิ่มขึ้น 37% เมื่อเทียบกับปี 2563 โดยการเต้นเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมเป็น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : MY Dance Academy

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เตรียมพร้อม เชียงรายวางแผน สู้ภัยพิบัติ “น้ำท่วม” ไม่ประมาท

เชียงรายประชุมวางแผนรับมือภัยพิบัติ เน้นเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยง-ซ้อมรับมือ-สื่อสารชัดเจนก่อนวิกฤติ

เชียงราย, 14 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าเชิงรุกประชุมวางแผนบริหารจัดการภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ ภายใต้ความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันความสูญเสียจากอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยมุ่งเน้นการจัดทำแผนเผชิญเหตุล่วงหน้า การซักซ้อมแผนในพื้นที่เปราะบาง และการสื่อสารเตือนภัยแบบเรียลไทม์ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและทั่วถึง

ผู้ว่าฯ นำทีมประชุมกำหนดทิศทางรับมือภัยพิบัติ

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการจัดการภัยพิบัติของจังหวัด โดยมีนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัด นายครรชิต ชมภูแดง หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย และผู้บริหารจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อกำหนดแนวทางเชิงปฏิบัติที่ชัดเจนในการบริหารจัดการภัยพิบัติ โดยเฉพาะอุทกภัย ซึ่งเป็นปัญหาที่จังหวัดเชียงรายเผชิญหน้าในรอบหลายปีที่ผ่านมา

จัดทำแผนเผชิญเหตุครอบคลุมทุกระดับ

ที่ประชุมมีมติให้ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา ภาคความมั่นคง และภาคประชาชน ต้องร่วมมือกันจัดทำแผนเผชิญเหตุอุทกภัยอย่างละเอียด โดยเน้นระดับพื้นที่ให้ครอบคลุมตั้งแต่ชุมชน หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จนถึงระดับจังหวัด

ในแผนดังกล่าว แบ่งพื้นที่เป้าหมายออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่

  1. พื้นที่เปราะบาง ที่ต้องเฝ้าระวังไม่ให้เกิดน้ำท่วม เช่น โรงพยาบาล ศูนย์สุขภาพ หมู่บ้านชุมชนแออัด และเส้นทางคมนาคมสายหลัก
  2. พื้นที่รองรับน้ำ ที่อาจต้องถูกใช้เป็นที่รองรับกรณีเกิดภาวะวิกฤติ เช่น ที่ราบลุ่ม ชุมชนใกล้แหล่งน้ำ หรือพื้นที่โล่งกลางเมือง ซึ่งจะต้องมีแผนรองรับกรณีอพยพ การจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว ระบบสนับสนุนด้านสุขภาพและอาหาร ตลอดจนการประสานงานข้ามหน่วยงานให้พร้อมใช้งานทันที

ฝึกซ้อมแผนให้พร้อมใช้จริง ไม่ต้องรอภัยพิบัติมาก่อน

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้เน้นย้ำว่า “แผนจะไม่มีประโยชน์เลยถ้าไม่มีการฝึกซ้อม” ดังนั้นจึงมีมติให้หน่วยงานต่าง ๆ จัดการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุในพื้นที่เปราะบางเป็นประจำ โดยไม่จำเป็นต้องรอการฝึกขนาดใหญ่ของจังหวัด

การฝึกซ้อมควรครอบคลุมทุกระดับ เริ่มตั้งแต่ระดับชุมชนหรือหมู่บ้านที่มีความเสี่ยง ไปจนถึงการซ้อมแผนในระดับตำบล อำเภอ และศูนย์บัญชาการจังหวัด เพื่อสร้างความคุ้นเคยให้กับเจ้าหน้าที่ ประชาชน และอาสาสมัครในพื้นที่

ระบบเตือนภัยต้องเป็นข้อมูลเรียลไทม์ เข้าใจง่าย เข้าถึงได้

อีกหนึ่งหัวข้อสำคัญที่ถูกหยิบยกในการประชุมครั้งนี้ คือ “ระบบเตือนภัย” โดยมีข้อเสนอให้ทุกหน่วยงานร่วมกันติดตามข้อมูลจากสถานีตรวจวัดน้ำฝนและระดับน้ำท่าทั้งแบบอัตโนมัติและแบบตรวจสอบด้วยคน (manual)

ข้อมูลทั้งหมดต้องถูกรวบรวมและแสดงผลแบบ REAL-TIME พร้อมมีการเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง ทั้งผ่านแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ การแจ้งเตือนผ่านเสียงตามสาย หอกระจายข่าว หรือข้อความ SMS รวมถึงการใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย โดยไม่ใช้ศัพท์ทางเทคนิคมากเกินไป เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าใจและปฏิบัติตามได้ทันท่วงที

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงต้นแบบฝึกซ้อมแผน

เพื่อเป็นต้นแบบของการดำเนินการฝึกซ้อมแผนป้องกันภัยพิบัติ ที่ประชุมมีมติให้ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จัดการฝึกซ้อมในวันที่ 9 มิถุนายน 2568 โดยใช้แผนเผชิญเหตุที่วางร่วมกับหน่วยงานรัฐ พร้อมทดสอบระบบเตือนภัย การอพยพ การช่วยเหลือผู้ประสบภัย และการประสานงานในสถานการณ์วิกฤติอย่างครบวงจร

การฝึกซ้อมครั้งนี้จะเชิญผู้แทนจากหน่วยงานอื่น ๆ มาร่วมสังเกตการณ์และศึกษาแนวทางการจัดการ เพื่อขยายผลสู่ชุมชนและพื้นที่เสี่ยงอื่น ๆ ในจังหวัดเชียงราย

บทสรุปและแนวทางต่อยอด

แนวทางทั้งหมดที่ประชุมเห็นชอบในครั้งนี้ เป็นการกำหนดรากฐานของระบบบริหารจัดการภัยพิบัติแบบบูรณาการ ซึ่งไม่เพียงป้องกันและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต แต่ยังเป็นต้นแบบที่สามารถขยายผลไปยังจังหวัดอื่น ๆ ได้

นายชรินทร์ ทองสุข กล่าวว่า “เราไม่สามารถหยุดฝนได้ แต่เราสามารถหยุดความสูญเสียได้ หากเรามีแผนที่ดีและซ้อมจนเกิดความพร้อมสูงสุด”

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยในจังหวัดเชียงราย: 22 อำเภอ 94 ตำบล (ที่มา: สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย, 2567)
  • จำนวนประชากรในพื้นที่เสี่ยงระดับสูง: ประมาณ 285,000 คน (ข้อมูล: สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567)
  • จำนวนสถานีตรวจวัดน้ำและฝนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย: รวม 137 สถานี (อ้างอิง: กรมชลประทาน, 2566)
  • พื้นที่รองรับน้ำตามแผนจัดการน้ำท่วม: มากกว่า 45 จุดในระดับตำบล (ที่มา: แผนแม่บทบริหารจัดการน้ำ จ.เชียงราย, 2567)

ข่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของจังหวัดเชียงรายในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ โดยยึดหลักการป้องกันล่วงหน้า ซ้อมเพื่อความพร้อม และสื่อสารให้ชัดเจน ซึ่งหากสามารถดำเนินการตามแนวทางนี้ได้อย่างต่อเนื่อง ย่อมช่วยลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้อย่างยั่งยืน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย, 2567
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567
  • กรมชลประทาน, 2566
  • แผนแม่บทบริหารจัดการน้ำ จ.เชียงราย, 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

Thai Beef Model เกษตรกรเชียงรายเสนอ ยกระดับโคเนื้อไทย

เกษตรกรเชียงรายยื่นหนังสือผู้ว่าฯ วอนรัฐเร่งแก้ผลกระทบ FTA อุตสาหกรรมโคเนื้อทรุดหนัก

FTA ทำเกษตรกรเลี้ยงโคเดือดร้อนหนักทั่วประเทศ

เชียงราย, 13 พฤษภาคม 2568 – กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อจังหวัดเชียงราย นำโดย นายนเรศ รัศมีจันทร์ ผู้แทนกลุ่ม เดินทางยื่นหนังสือต่อ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ณ ศาลากลางจังหวัด เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาจากการเปิดเสรีทางการค้า (FTA) ที่ส่งผลให้ราคาโคเนื้อภายในประเทศตกต่ำอย่างต่อเนื่อง

FTA กับผลกระทบจากเนื้อนำเข้าราคาถูก

เกษตรกรระบุว่า การเปิดเขตการค้าเสรีระหว่างไทยกับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ทำให้มีการนำเข้าเนื้อโคและเครื่องในในราคาต่ำกว่าต้นทุนผลิตในไทยมาก ส่งผลให้ราคาขายในประเทศลดลงเกือบ 20% ภายใน 3 ปีที่ผ่านมา หลายฟาร์มขาดทุนต่อเนื่อง จำใจเลิกกิจการหรือขายฟาร์มทิ้ง

ต้นทุนสูง รายได้ต่ำ อนาคตไม่แน่นอน

จากข้อมูลของกลุ่มฯ ต้นทุนการเลี้ยงโคเฉลี่ยอยู่ที่ 80-90 บาทต่อกิโลกรัม แต่พ่อค้ารับซื้อเพียง 70 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้เกษตรกรแบกรับภาระต้นทุนขาดทุนต่อกิโลกรัมเป็นเงิน 10-20 บาท หากไม่มีการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ก็ยากที่จะอยู่รอดได้ในระบบตลาดเสรี

Thai Beef Model ทางรอดของโคเนื้อไทย

เพื่อฟื้นฟูและยกระดับอุตสาหกรรมโคเนื้อ กลุ่มเกษตรกรเสนอโมเดลใหม่ในชื่อว่า “Thai Beef Model” ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ที่วางร่วมกันระหว่างเกษตรกร ผู้เชี่ยวชาญ และภาคเอกชน โดยมีข้อเสนอสำคัญ ดังนี้

  • จัดตั้งองค์กรกลางเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมโคเนื้อ
  • สร้างฐานข้อมูลโคเนื้อระดับชาติ
  • ยกระดับฟาร์มและโรงเชือดให้ได้มาตรฐานสากล
  • สนับสนุนการผลิตเนื้อคุณภาพสูง
  • พัฒนาโครงสร้างตลาดและส่งเสริมการส่งออก

รัฐบาลรับลูก เตรียมส่งเรื่องถึงส่วนกลาง

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายรับหนังสือจากกลุ่มเกษตรกรและให้คำมั่นว่าจะเร่งนำเสนอต่อ นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รวมถึง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยจะมีการติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด

สู้ยกแผ่นดิน 25 จังหวัดเข้าร่วม

นอกจากเชียงรายแล้ว เกษตรกรจากอีก 25 จังหวัดทั่วประเทศ ได้ร่วมยื่นข้อเสนอในวันเดียวกันเพื่อผลักดันให้รัฐบาลนำ Thai Beef Model เข้าสู่แผนยุทธศาสตร์ระดับชาติ สะท้อนว่าปัญหานี้ไม่ใช่เฉพาะท้องถิ่น แต่กระทบต่อชีวิตของเกษตรกรกว่า 1.4 ล้านครัวเรือน

ความเหลื่อมล้ำระหว่างไทยกับต่างชาติ

นายนเรศเผยว่า การเลี้ยงโคในประเทศออสเตรเลียสามารถเพิ่มน้ำหนักได้ 1.8-2 กิโลกรัมต่อวัน ขณะที่ไทยทำได้เพียง 1 กิโลกรัมต่อวัน ซึ่งสะท้อนถึงความแตกต่างด้านระบบสนับสนุนและนวัตกรรม อีกทั้งออสเตรเลียมีระบบสนับสนุนฟาร์มที่ชัดเจนจากรัฐ ขณะที่ประเทศไทยยังขาดการลงทุนที่ต่อเนื่องในภาคเกษตร

เสียงจากเกษตรกรที่หมดแรงสู้

“เราไม่ได้ต้องการเงินชดเชย แต่ต้องการความยั่งยืน” นายนเรศกล่าว “เกษตรกรเลี้ยงโคคือรากฐานของระบบอาหารไทย ถ้าไม่มีการสนับสนุนหรือแนวทางพัฒนาที่ชัดเจน ในอนาคตเราอาจต้องพึ่งเนื้อนำเข้าเป็นหลัก”

ทางออกต้องร่วมมือทุกภาคส่วน

Thai Beef Model ไม่ใช่เพียงแผนงานของเกษตรกรเท่านั้น แต่ต้องได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อพัฒนาโคไทยให้มีคุณภาพสูงขึ้น แข่งขันในตลาดโลกได้ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เกษตรกรในระยะยาว

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • เกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อในประเทศไทย: 1.4 ล้านครัวเรือน (ที่มา: กรมปศุสัตว์ 2567)
  • ต้นทุนการเลี้ยงโคเฉลี่ย: 80-90 บาท/กิโลกรัม
  • ราคาขายเฉลี่ยในประเทศ: 70 บาท/กิโลกรัม (ที่มา: สมาคมผู้เลี้ยงโคเนื้อไทย 2567)
  • อัตราการเพิ่มน้ำหนักโค (ต่อวัน):
    • ออสเตรเลีย: 1.8-2.0 กิโลกรัม
    • ไทย: 1.0 กิโลกรัม (ที่มา: รายงาน FAO และมหาวิทยาลัยแม่โจ้)

โมเดล Thai Beef คือความหวังใหม่ในการสร้างอนาคตอุตสาหกรรมโคเนื้อของไทย หากได้รับการผลักดันอย่างจริงจัง อาชีพเกษตรกรเลี้ยงโคจะไม่เพียงแค่อยู่รอด แต่ยังสามารถเติบโตและแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างภาคภูมิ.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมปศุสัตว์ 2567
  • สมาคมผู้เลี้ยงโคเนื้อไทย 2567
  • รายงาน FAO และมหาวิทยาลัยแม่โจ้
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“พิสันต์” วัฒนธรรมเชียงราย ชวนหิ้วปิ่นโต กินข้าวรักษ์โลก

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายจัดกิจกรรม “ข้าวห่อรักษ์โลก” รณรงค์ลดใช้ถุงพลาสติก หันมาใช้ภาชนะย่อยสลายได้ ตามแนวนโยบายสิ่งแวดล้อมของจังหวัด

เชียงราย, 13 พฤษภาคม 2568 – สำนักงานวัฒนธรรมเชียงรายรวมพลัง “หิ้วปิ่นโต–ลดพลาสติก” สู่การเปลี่ยนพฤติกรรมยั่งยืน

เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย จัดกิจกรรม “ข้าวห่อรักษ์โลก” ณ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย โดยมีนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นผู้นำกล่าวเปิดกิจกรรม พร้อมเชิญชวนบุคลากรในสำนักงานร่วมกัน “ไม่ใช้ถุงพลาสติก” และ “หิ้วปิ่นโต” หรือภาชนะที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้ เพื่อรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

กิจกรรมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนนโยบายสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย ภายใต้การนำของนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ที่มุ่งสู่ “เชียงรายสีเขียว” ด้วยแนวทางลดขยะต้นทางผ่านการเปลี่ยนพฤติกรรมของหน่วยงานภาครัฐ และประชาชนในทุกระดับ

จุดเริ่มต้นของแนวคิด “ข้าวห่อรักษ์โลก”

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ เปิดเผยว่า การจัดกิจกรรม “ข้าวห่อรักษ์โลก” ในครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงแค่การเชิญชวนให้บุคลากรเลิกใช้ถุงพลาสติก แต่เป็นการส่งเสริม “วัฒนธรรมการกินอย่างยั่งยืน” โดยผนวกแนวคิดด้านวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน ผ่านการรับประทานอาหารกลางวันในรูปแบบที่ลดการสร้างขยะ พร้อมทั้งเป็นต้นแบบให้หน่วยงานราชการอื่นๆ นำไปปรับใช้

เขาระบุว่า “ข้าวห่อรักษ์โลก คือกิจกรรมเล็กๆ ที่สร้างพลังเปลี่ยนแปลงได้อย่างยิ่งใหญ่ เราต้องเริ่มจากตัวเองก่อนที่จะขยายไปสู่สังคมโดยรวม”

ภาชนะย่อยสลายได้–ปิ่นโต–ใบตอง แทนถุงพลาสติก

ในกิจกรรมครั้งนี้ เจ้าหน้าที่แต่ละคนได้นำอาหารที่เตรียมมาเอง บรรจุในภาชนะที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้ เช่น ปิ่นโต กล่องอาหารแบบปลอดสาร ภาชนะไม้ไผ่ และแม้กระทั่งใบตอง ซึ่งเป็นวัสดุพื้นถิ่นของล้านนา โดยเน้นแนวทาง “Zero Waste Lunch” หรืออาหารกลางวันที่ไม่ก่อให้เกิดขยะพลาสติกและโฟมแม้แต่ชิ้นเดียว

การลดการใช้ถุงพลาสติกไม่เพียงแต่ช่วยลดปริมาณขยะที่ต้องจัดการเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตและทำลายถุงพลาสติก รวมถึงลดการสะสมของขยะในแหล่งธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ ป่าไม้ และพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของจังหวัดเชียงราย

ผลกระทบของพลาสติกต่อสิ่งแวดล้อมที่ไม่ควรมองข้าม

จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษ ระบุว่า ในแต่ละปีประเทศไทยมีการใช้ถุงพลาสติกมากกว่า 45,000 ล้านใบ โดยเฉพาะจากภาคธุรกิจร้านสะดวกซื้อและแผงอาหารริมทาง ขณะที่อัตราการย่อยสลายของพลาสติกใช้เวลา 400-1,000 ปี ทำให้พลาสติกจำนวนมากกลายเป็น “ขยะตกค้าง” ในสิ่งแวดล้อม และส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศทั้งบกและทะเล

โดยจังหวัดเชียงรายมีปริมาณขยะมูลฝอยเฉลี่ยประมาณ 0.96 กิโลกรัม/คน/วัน ซึ่งหากจำแนกประเภทขยะพบว่ามี “ขยะพลาสติก” อยู่ในสัดส่วนกว่า 17.3% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากบรรจุภัณฑ์อาหารและถุงพลาสติกใช้ครั้งเดียว【ที่มา: สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1 เชียงใหม่】

ขยายผลสู่แผนรณรงค์ระยะยาว

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เตรียมขยายกิจกรรม “ข้าวห่อรักษ์โลก” ไปยังเครือข่ายวัฒนธรรมตำบล หน่วยงานวัฒนธรรมอำเภอ และสถานศึกษาในพื้นที่ พร้อมส่งเสริมกิจกรรม “อิ่มพอดี–ลดขยะ–คืนชีวิตให้โลก” โดยมีเป้าหมายลดปริมาณขยะจากพลาสติกลงอย่างน้อย 20% ภายในปี 2570

นอกจากนี้ ยังวางแผนพัฒนาคู่มือกิจกรรมรักษ์โลกในบริบทวัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อเผยแพร่สู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชนต่างๆ โดยตั้งเป้าให้ทุกหน่วยงานสามารถนำไปจัดกิจกรรมได้ด้วยตนเอง

ชการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมต้องเริ่มที่ “แบบอย่าง”

กิจกรรม “ข้าวห่อรักษ์โลก” แสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนพฤติกรรมผู้คนในเรื่องสิ่งแวดล้อม ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากโครงการใหญ่ แต่สามารถเริ่มจากกิจกรรมในระดับหน่วยงาน ที่สะท้อนเจตนารมณ์และแบบอย่างที่ดี

ในทางจิตวิทยาสังคม การเห็นผู้อื่นทำ “สิ่งที่ถูกต้อง” ซ้ำๆ จะช่วยกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบในทางบวก ยิ่งผู้ปฏิบัติคือบุคลากรภาครัฐที่มีบทบาทในชุมชน ก็ยิ่งส่งผลให้ประชาชนเกิดแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนแปลงร่วมกัน

สถิติและข้อมูลประกอบ

ประเภทข้อมูล

ตัวเลข/รายละเอียด

จำนวนถุงพลาสติกที่ใช้ในไทย

> 45,000 ล้านใบ/ปี

อัตราการย่อยสลายของพลาสติก

400–1,000 ปี

ปริมาณขยะมูลฝอยเฉลี่ย จ.เชียงราย

0.96 กก./คน/วัน

สัดส่วนขยะพลาสติก

17.3%

เป้าหมายลดขยะพลาสติก จ.เชียงราย

-20% ภายในปี 2570

จำนวนเจ้าหน้าที่ร่วมกิจกรรม “ข้าวห่อรักษ์โลก”

30 คน (เบื้องต้น)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (13 พฤษภาคม 2568)
  • กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1 เชียงใหม่
  • ข้อมูลสนับสนุนจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (2566)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายลดจุดความร้อน คุมไฟป่า PM2.5 ลดฮวบ 84%

จังหวัดเชียงรายสรุปผลสำเร็จ “เชียงรายฟ้าใส” ปี 2568 จุดความร้อนลด 84% คุณภาพอากาศดีขึ้นด้วยนวัตกรรมและความร่วมมือ

เชียงราย, 13 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในการจัดการปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในปี 2568 โดยสามารถลดจุดความร้อนได้ถึง 84.3% พื้นที่เผาไหม้ลดลงกว่า 10,000 ไร่ และคุณภาพอากาศดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การแถลงข่าวสรุปผลการดำเนินงาน ณ ห้องธรรมลังกา ศาลากลางจังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 นำโดยนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สะท้อนถึงประสิทธิภาพของยุทธศาสตร์ “เชียงรายฟ้าใส” และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่ทำให้จังหวัดก้าวสู่เป้าหมายการเป็นเมืองสะอาดและยั่งยืน

ความท้าทายจากไฟป่าและหมอกควันในภาคเหนือ

จังหวัดเชียงราย ซึ่งตั้งอยู่ในภาคเหนือของประเทศไทย เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เผชิญกับปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง PM2.5 อย่างรุนแรงในช่วงฤดูแล้งของทุกปี โดยเฉพาะในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน สาเหตุหลักมาจากการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม การจัดการเชื้อเพลิงในป่า และหมอกควันข้ามพรมแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน แต่ยังกระทบต่อการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจท้องถิ่น ซึ่งเชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ

ในปี 2567 จังหวัดเชียงรายเผชิญกับวิกฤตหมอกควันที่มีจุดความร้อนสูงถึง 3,885 จุด และค่า PM2.5 เฉลี่ยเกินมาตรฐานถึง 64 วัน สร้างความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างมาก เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ จังหวัดเชียงรายได้กำหนดยุทธศาสตร์ “เชียงรายฟ้าใส” ซึ่งมุ่งเน้นการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันอย่างเป็นระบบ โดยผสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน ชุมชน และนานาชาติ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน

ผลสำเร็จของการดำเนินงาน “เชียงรายฟ้าใส” ปี 2568

การแถลงข่าวเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องธรรมลังกา ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นำโดยนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ร่วมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานภาคี และสื่อมวลชน ได้นำเสนอผลการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และ PM2.5 ในช่วงฤดูไฟป่า (1 กุมภาพันธ์ – 10 พฤษภาคม 2568) ซึ่งแสดงถึงความก้าวหน้าที่สำคัญในหลายมิติ

การลดจุดความร้อนและพื้นที่เผาไหม้

จากรายงานของสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย (ทสจ.ชร.) และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ร่วมกับข้อมูลจากระบบดาวเทียม Suomi NPP และ VIIRS พบว่า จุดความร้อน (Hotspot) ในปี 2568 ลดลงจาก 3,885 จุดในปี 2567 เหลือเพียง 611 จุด คิดเป็นการลดลง 84.3% อำเภอที่มีจุดความร้อนสูงสุด ได้แก่ เวียงแก่น (114 จุด) เวียงป่าเป้า (95 จุด) และพาน (77 จุด) โดยตำบลปอ อำเภอเวียงแก่น มีจุดความร้อนสูงสุดที่ 72 จุด

ด้านพื้นที่เผาไหม้ พบว่าพื้นที่เผาไหม้สะสมในปี 2568 อยู่ที่ 52,312 ไร่ ลดลงจาก 62,520 ไร่ในปี 2567 หรือลดลง 10,208 ไร่ (16.3%) ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ 139,290 ไร่ ถึง 62% โดยพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและป่าอนุรักษ์เป็นพื้นที่หลักที่เกิดการเผาไหม้ คิดเป็น 93.8% ของพื้นที่ทั้งหมด

การควบคุมคุณภาพอากาศ

คุณภาพอากาศในจังหวัดเชียงรายดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยค่าเฉลี่ย PM2.5 รายวันในปี 2568 อยู่ที่ 39.18 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) ลดลงจาก 52.63 มคก./ลบ.ม. ในปี 2567 หรือลดลง 25.5% และจำนวนวันที่ PM2.5 เกินมาตรฐานลดลงจาก 64 วันในปี 2567 เหลือ 42 วันในปี 2568 หรือลดลง 34.4% สถานีตรวจวัดหลักในอำเภอเมืองเชียงราย แม่สาย และเชียงของ ต่างยืนยันถึงแนวโน้มการลดลงของฝุ่นละออง

มาตรการเชิงรุกและนวัตกรรม

จังหวัดเชียงรายได้ดำเนินมาตรการที่ครอบคลุม 3 ระดับ ดังนี้:

  1. การจัดการไฟในพื้นที่ป่า:
    • ปิดป่าหวงห้าม 26 แห่ง
    • จัดทำแนวกันไฟ 827.5 กิโลเมตร
    • ลาดตระเวน 1,297 ครั้ง และควบคุมไฟป่า 248 ครั้ง
    • สร้างฝายชะลอน้ำ 33 จุด เพื่อรักษาความชุ่มชื้นในป่า
  2. การจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่เกษตร:
    • ลงนาม MOU ควบคุมการเผาในภาคเกษตร 8 ครั้ง
    • อัดฟางด้วยเครื่องอัดฟาง 183,000 ตัน
    • ส่งเสริมการแปรรูปวัสดุเหลือใช้เป็นชีวมวล ปุ๋ย อาหารสัตว์ และเพาะเห็ด รวม 552,940 ตัน (ข้าว 449,790 ตัน และข้าวโพด 103,150 ตัน)
    • ดำเนินโครงการ “ไม่เผา ไม่เสียสิทธิ์” ซึ่งห้ามเกษตรกรที่มีประวัติการเผาเข้าร่วมโครงการสนับสนุนของรัฐ
  3. การดูแลสุขภาพและลดผลกระทบ:
    • แจกหน้ากากอนามัยและ N95 จำนวน 1,121,965 ชิ้น
    • เปิดห้องปลอดฝุ่น 903 แห่ง
    • ตรวจสุขภาพอาสาดับไฟป่า 3,686 ราย และคัดกรองกลุ่มเสี่ยง 5,694 ราย
    • เยี่ยมผู้ป่วยติดเตียงและกลุ่มโรคเรื้อรัง 11,261 ราย

การส่งเสริมเกษตรแบบไม่เผา

สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงรายได้ผลักดันโครงการ “เกษตรไม่เผา” โดยลดจุดความร้อนในพื้นที่เกษตรจาก 225 จุดในปี 2567 เหลือ 68 จุดในปี 2568 หรือลดลง 69.77% โดยเฉพาะการเผานาข้าว (61.8%) และข้าวโพด (17.6%) ผ่านการส่งเสริมการแปรรูปวัสดุเหลือใช้ เช่น ไถกลบ ทำปุ๋ยหมัก และผลิตชีวมวล รวมถึงการอบรมเกษตรกร 78,399 ราย และโครงการนำร่อง “PM2.5 Free Plus” ในอำเภอดอยหลวง ครอบคลุม 1,338 ไร่ เพื่อส่งเสริมการผลิตข้าวโพดแบบไม่เผา

ความยั่งยืนและการขยายผล

ผลสำเร็จของจังหวัดเชียงรายในปี 2568 เป็นผลจากการบูรณาการความร่วมมือในหลายระดับ รวมถึง:

  • ระดับชุมชน: การสร้างหมู่บ้านปลอดการเผา 438 หมู่บ้าน และพัฒนาศักยภาพอาสาดับไฟป่า “อส.สู้ไฟ” 372 นาย
  • ระดับจังหวัด: การใช้เทคโนโลยีดาวเทียมและแอปพลิเคชัน GISTDA รวมถึงโดรนตรวจการณ์ เพื่อแจ้งเตือนและควบคุมไฟป่าแบบเรียลไทม์
  • ระดับนานาชาติ: การประชุมความร่วมมือข้ามพรมแดนไทย–ลาว–เมียนมา 2 ครั้ง เพื่อจัดการหมอกควันข้ามแดน
  • นวัตกรรม: การพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตใน 111 หมู่บ้าน และส่งเสริมพืชทางเลือก เช่น กาแฟ แมคคาเดเมีย และอะโวคาโด เพื่อลดการเผาในภาคเกษตร

การดำเนินงานเหล่านี้ช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันก็สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับชุมชน เช่น การแปรรูปวัสดุเหลือใช้เป็นปุ๋ยและชีวมวล ซึ่งสามารถสร้างรายได้เสริมให้เกษตรกร โครงการ “เชียงรายฟ้าใส” ยังเป็นต้นแบบที่สามารถขยายผลไปยังจังหวัดอื่นในภาคเหนือ และเป็นแนวทางสำหรับการจัดการปัญหาหมอกควันในระดับภูมิภาค

ปัจจัยความสำเร็จและความท้าทายในอนาคต

ความสำเร็จของจังหวัดเชียงรายในปี 2568 เกิดจากปัจจัยหลัก 3 ประการ:

  1. ความร่วมมือระดับชุมชน: การมีส่วนร่วมของหมู่บ้าน ผู้นำท้องถิ่น และเกษตรกร ในการปฏิบัติตามนโยบาย “ไม่เผา ไม่เสียสิทธิ์” และการพัฒนาหมู่บ้านปลอดการเผา
  2. เทคโนโลยีและข้อมูล: การใช้ระบบดาวเทียม Suomi NPP และ VIIRS รวมถึงแอปพลิเคชันแจ้งเตือน ทำให้สามารถควบคุมไฟป่าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
  3. นโยบายที่ชัดเจน: การกำหนดเป้าหมายที่วัดผลได้ เช่น การลดจุดความร้อนและพื้นที่เผาไหม้ รวมถึงการใช้มาตรการจูงใจ เช่น คาร์บอนเครดิต และมาตรการลงโทษ เช่น การตัดสิทธิ์เกษตรกรที่เผา

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในระยะยาวยังคงมีอยู่ ได้แก่:

  • การพึ่งพาการเผาในภาคเกษตร: เกษตรกรบางกลุ่มยังคงใช้การเผาเป็นวิธีเตรียมพื้นที่เพาะปลูก เนื่องจากต้นทุนต่ำและสะดวก การเปลี่ยนพฤติกรรมจึงต้องอาศัยแรงจูงใจทางเศรษฐกิจและการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
  • หมอกควันข้ามพรมแดน: ปัญหาหมอกควันจากประเทศเพื่อนบ้านยังคงเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ยาก ต้องอาศัยความร่วมมือในระดับนานาชาติที่เข้มข้นมากขึ้น
  • การขยายพื้นที่เกษตร: ความต้องการพื้นที่เพาะปลูกที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพืชเชิงเดี่ยว เช่น ข้าวโพด อาจนำไปสู่การบุกรุกป่าและเพิ่มความเสี่ยงต่อไฟป่า

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ จังหวัดเชียงรายควรวางแผนระยะยาวที่เน้นการส่งเสริมเกษตรยั่งยืน การพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิต และการลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียว เช่น การใช้โดรนและระบบเซ็นเซอร์ตรวจวัดฝุ่นละอองในระดับตำบล

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความสำเร็จและบริบทของการจัดการไฟป่าและหมอกควันในจังหวัดเชียงราย ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. จุดความร้อนและพื้นที่เผาไหม้:
    • จุดความร้อนลดลงจาก 3,885 จุดในปี 2567 เหลือ 611 จุดในปี 2568 (-84.3%)
    • พื้นที่เผาไหม้ลดลงจาก 62,520 ไร่ในปี 2567 เหลือ 52,312 ไร่ในปี 2568 (-16.3%)
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (2568)
  2. คุณภาพอากาศ:
    • ค่าเฉลี่ย PM2.5 ลดลงจาก 52.63 มคก./ลบ.ม. ในปี 2567 เหลือ 39.18 มคก./ลบ.ม. ในปี 2568 (-25.5%)
    • จำนวนวันที่ PM2.5 เกินมาตรฐานลดลงจาก 64 วันในปี 2567 เหลือ 42 วันในปี 2568 (-34.4%)
    • แหล่งอ้างอิง: ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาไฟป่า PM2.5 จังหวัดเชียงราย (2568)
  3. การจัดการในภาคเกษตร:
    • จุดความร้อนในพื้นที่เกษตรลดลงจาก 225 จุดในปี 2567 เหลือ 68 จุดในปี 2568 (-69.77%)
    • ปริมาณวัสดุเหลือใช้ที่แปรรูป: ข้าว 449,790 ตัน และข้าวโพด 103,150 ตัน
    • เกษตรกรที่เข้าร่วมอบรม 78,399 ราย
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย (2568)
  4. การดูแลสุขภาพ:
    • แจกหน้ากากอนามัย 1,121,965 ชิ้น และเปิดห้องปลอดฝุ่น 903 แห่ง
    • ตรวจสุขภาพอาสาดับไฟป่า 3,686 ราย และเยี่ยมผู้ป่วย 11,261 ราย
    • แหล่งอ้างอิง: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (2568)

สรุปและคำแนะนำ

จังหวัดเชียงรายประสบความสำเร็จในการจัดการไฟป่าและหมอกควันในปี 2568 ผ่านยุทธศาสตร์ “เชียงรายฟ ฟ้าใส” ซึ่งแสดงถึงพลังของความร่วมมือและนวัตกรรม การลดจุดความร้อน พื้นที่เผาไหม้ และฝุ่น PM2.5 เป็นผลจากนโยบายที่ชัดเจน เทคโนโลยีทันสมัย และการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อรักษาความยั่งยืน ควรส่งเสริมเกษตรยั่งยืน พัฒนาคาร์บอนเครดิต และเสริมความร่วมมือข้ามพรมแดน

สำหรับชุมชนและ อปท. แนะนำให้เข้าร่วมโครงการหมู่บ้านปลอดการเผาและอบรม “อส.สู้ไฟ” ส่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรลงทุนในเทคโนโลยีตรวจวัดและขยายผลโครงการ “เกษตรไม่เผา” เพื่อลดผลกระทบจากหมอกควันในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

จับตาธุรกิจร้านอาหารปี 68 โตแต่แข่งสูง รายใหญ่สู้รายเล็ก

ทีทีบีเผย ธุรกิจร้านอาหารไทยปี 2568 โต 6.12 แสนล้านบาท ชี้ตลาดแข่งเดือด รับยุคใหม่ Next Era

ประเทศไทย, 12 พฤษภาคม 2568 – ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) ได้เผยแพร่รายงานแนวโน้มธุรกิจร้านอาหารไทยประจำปี 2568 โดยคาดการณ์ว่าธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยจะยังคงเติบโตอย่างมั่นคงต่อเนื่อง และมีมูลค่ารวมสูงถึง 6.12 แสนล้านบาทในปีนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงลักษณะพิเศษของอาหารซึ่งเป็นสินค้าจำเป็นที่มีความต้องการจากผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา

รายงานดังกล่าวยังได้วิเคราะห์สถานการณ์ในปีที่ผ่านมา (2567) ว่า แม้ปัญหาด้านต้นทุนวัตถุดิบต่าง ๆ จะเริ่มลดลง แต่ราคาสินค้าในธุรกิจร้านอาหารส่วนใหญ่ยังไม่ได้ปรับลดราคาลงตามต้นทุนที่ลดลงแต่อย่างใด ซึ่งกลายเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่ทำให้ธุรกิจร้านอาหารยังคงเติบโตได้ดีต่อเนื่องมาถึงปีนี้

การขยายตัวของตลาดร้านอาหาร ส่งผลการแข่งขันสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ทีทีบีชี้ว่าการเติบโตที่เกิดขึ้นได้สร้างการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดร้านอาหารไทย โดยเฉพาะในด้านอุปทาน เนื่องจากธุรกิจร้านอาหารมีข้อจำกัดในการเข้าสู่ตลาดต่ำ หรือที่เรียกว่าการมี No Barrier to Entry ซึ่งหมายความว่า ผู้ประกอบการรายใหม่สามารถเปิดกิจการได้โดยง่าย และเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี

ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่าจำนวนร้านอาหารในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจาก 333,000 ร้านในปี 2562 เป็นกว่า 405,000 ร้านในปี 2567 และมีแนวโน้มจะเพิ่มจำนวนขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดสูงขึ้นและสร้างแรงกดดันต่อผู้ประกอบการเดิม โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหารรายใหญ่ที่เคยมีความได้เปรียบจากทำเลที่ตั้งที่ดีและภาพลักษณ์ Premium

รายใหญ่รับผลกระทบ รายกลาง-รายเล็กโตสวนกระแส

รายงานของศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี ชี้ให้เห็นว่ากลุ่มร้านอาหารรายกลางและรายเล็กกลับสามารถปรับตัวและจับกลยุทธ์ใหม่ที่เรียกว่า Premium Mass & Niche Market ได้ดีกว่ารายใหญ่ โดยอาศัยเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มเดลิเวอรีที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ทำให้สามารถสร้างฐานลูกค้าใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังตั้งราคาขายตามกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

จากการวิเคราะห์พบว่าธุรกิจร้านอาหารรายใหญ่ที่มีการเติบโตเฉลี่ยเพียง 4.0% ต่อปี ตั้งแต่ปี 2562 ขณะที่กลุ่มร้านอาหารรายกลางและรายเล็กกลับเติบโตสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัดถึง 7.0% และ 7.5% ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ในตลาดร้านอาหารไทยได้เป็นอย่างดี

ร้านอาหารรายใหญ่ปรับกลยุทธ์สู่ตลาด Mass

จากการแข่งขันที่รุนแรงดังกล่าว ทำให้ธุรกิจร้านอาหารรายใหญ่จำเป็นต้องปรับตัวโดยนำกลยุทธ์ใหม่เข้ามาใช้ คือการจับตลาด Mass หรือ Everyday Integration Strategy ผ่านการสร้างเมนูที่ง่ายต่อการบริโภค เข้าถึงลูกค้าทั่วไปได้ในชีวิตประจำวัน และใช้แพลตฟอร์ม Food delivery เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะสูญเสียลูกค้าในกลุ่ม Premium บางส่วนให้แก่ผู้ประกอบการรายเล็กและรายกลาง แต่สามารถเข้าถึงกลุ่ม Mass ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่กว่าและมีโอกาสในการขยายตัวต่อเนื่องมากกว่า

จากทำเลสู่แพลตฟอร์มเดลิเวอรี โอกาสใหม่ของธุรกิจร้านอาหาร

อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญที่รายงานชี้ให้เห็น คือ การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจร้านอาหารจากการอาศัยทำเลที่ตั้งที่เคยมีความสำคัญในอดีต (Traditional Location-Based Advantage) ไปสู่การให้บริการอาหารผ่านแพลตฟอร์มเดลิเวอรี (Democratizing Food Delivery) ทำให้ร้านอาหารไม่จำเป็นต้องมีทำเลที่ดีอีกต่อไป ผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุนหน้าร้าน และขยายการเข้าถึงลูกค้าในวงกว้างได้มากขึ้น ส่งผลให้เกิดธุรกิจรูปแบบใหม่ เช่น Cloud Kitchen หรือ Ghost Kitchen ที่สามารถแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดจากร้านอาหารที่มีทำเลดีเดิมได้ง่ายขึ้นมาก

กระแสนิยม การแข่งขันแบบใหม่ระยะสั้น

ขณะเดียวกันในยุคที่ธุรกิจร้านอาหารเข้าสู่ Next Era ยังเกิดกระแสนิยมร้านอาหารใหม่ๆ ที่เน้นการลงทุนในระยะสั้นและเกาะกระแสความนิยมชั่วคราว (Trend-based Business) ส่งผลให้ร้านอาหารรูปแบบนี้เข้ามาแย่งอุปสงค์จากร้านอาหารที่มีอยู่เดิม และสร้างวัฏจักรใหม่ของการเกิดร้านอาหารที่มีการแข่งขันแบบต่อเนื่องตามกระแสที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา

วิเคราะห์อนาคตตลาดร้านอาหารไทย

จากรายงานนี้ ทีทีบีชี้ชัดว่า ธุรกิจร้านอาหารไทยกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนสำคัญ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ประกอบการทุกรายจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์เชิงรุก ใช้การตลาดและการสร้างแบรนด์ที่เข้มข้น เพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดของตนเองในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ปี 2567 ระบุว่า จำนวนร้านอาหารในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 5.3% ตั้งแต่ปี 2562 ถึงปี 2567 และคาดการณ์ว่าในปี 2568 ตลาดจะเติบโตถึง 612,000 ล้านบาท (ที่มา: กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) 
  • ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ปี 2567 
  • KANJO Review
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
FEATURED NEWS

มท. จับมือ อว. สู้ภัยแล้ง-ท่วม วิจัย นวัตกรรมช่วยชาติ

กระทรวงมหาดไทยและ อว. สานพลังแก้ปัญหาน้ำแล้ง-น้ำท่วมด้วยนวัตกรรมและการจัดการระดับพื้นที่

กรุงเทพฯ, 7 พฤษภาคม 2568 – ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยเผชิญกับความท้าทายจากความแปรปรวนของสภาพอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการน้ำ กระทรวงมหาดไทย (มท.) ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ได้ผนึกกำลังเพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาน้ำแล้งและน้ำท่วมในระดับพื้นที่อย่างเป็นระบบ โดยใช้ความรู้ทางวิชาการ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเป็นเครื่องมือสำคัญ การแถลงข่าวและการประชุมคณะทำงานครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 ณ สกสว. สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการลดภัยพิบัติ สร้างความมั่นคงด้านน้ำ และส่งเสริมรายได้เสริมให้กับชุมชนท้องถิ่นท่ามกลางสภาพอากาศที่คาดการณ์ว่าจะมีฝนมากกว่าค่าเฉลี่ยในปีนี้

ความท้าทายจากสภาพอากาศแปรปรวนและภัยพิบัติทางน้ำ

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์และเผชิญกับภัยพิบัติทางน้ำทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้งมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ความแปรปรวนของสภาพอากาศอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่เมื่อปี 2567 รวมถึงภัยแล้งที่กระทบพื้นที่เกษตรกรรมในหลายจังหวัด เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความจำเป็นในการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ

ในปี 2568 กรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) คาดการณ์ว่า ฤดูฝนจะเริ่มเร็วและมีปริมาณฝนมากกว่าค่าเฉลี่ย โดยเฉพาะในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ สถานการณ์ดังกล่าวเพิ่มความเสี่ยงต่อน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ขณะเดียวกัน ช่วงฤดูแล้งยังคงเป็นปัญหาสำหรับชุมชนที่ขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภค ความท้าทายเหล่านี้เรียกร้องให้ทุกภาคส่วนต้องทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ เพื่อป้องกันความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงสร้างความมั่นคงด้านน้ำในระยะยาว

ความร่วมมือระหว่าง มท., อว., และ สกสว. เพื่อการบริหารจัดการน้ำ

การแถลงข่าว “การแก้ไขปัญหาน้ำมั่นคง น้ำแล้ง น้ำท่วมระดับพื้นที่” เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องประชุม สกสว. นำโดย ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว., นายชยชัย แสงอินทร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย และ ศ.ดร.จักรพันธ์ สุทธิรัตน์ รองผอ. สกสว. ได้เน้นย้ำถึงความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่างหน่วยงานเพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาน้ำในระดับพื้นที่ โดยมีเป้าหมายหลักคือ การลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ สร้างความมั่นคงด้านน้ำ และส่งเสริมรายได้เสริมให้กับชุมชน

บทบาทของกระทรวง อว. และ สกสว.

ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล กล่าวว่า กระทรวง อว. มุ่งสนับสนุนด้านวิชาการและนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำแล้งและน้ำท่วม โดยทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัย หน่วยงานให้ทุน และองค์กรที่มีพันธกิจด้านการบริหารจัดการน้ำ เช่น สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การสนับสนุนครอบคลุมตั้งแต่การวิจัย การพัฒนาเทคโนโลยี ไปจนถึงการนำองค์ความรู้ไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่จริง นโยบาย “อว.เพื่อประชาชน” และแนวคิด “ววน. เป็นเครื่องมือแก้จน” ของรองนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน เช่น ระบบป้องกันน้ำท่วมในเขตเมือง และการสร้างแหล่งน้ำขนาดเล็กเพื่อการเกษตรในช่วงฤดูแล้ง

สกสว. ทำหน้าที่เป็น “โซ่ข้อกลาง” ในการประสานงานระหว่างหน่วยงาน โดยสนับสนุนแผนงานเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.) เรื่อง “น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง ใน 10 จังหวัด” ซึ่งมีสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เป็นหน่วยขับเคลื่อน แผนงานนี้มุ่งแก้ไขปัญหาในพื้นที่เป้าหมาย 10 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่, เชียงราย, ลำพูน, พะเยา, น่าน, กำแพงเพชร, ขอนแก่น, ชัยภูมิ, สงขลา และพัทลุง โดยตั้งเป้าบรรเทาความเดือดร้อนใน 100 ตำบล

บทบาทของกระทรวงมหาดไทย

นายชยชัย แสงอินทร์ ระบุว่า กระทรวงมหาดไทย ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้เน้นย้ำการทำงานเชิงรุกและบูรณาการเพื่อบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ การเตรียมความพร้อมรวมถึงการฝึกอบรมบุคลากรให้สามารถใช้ข้อมูลจากระบบคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ ข้อมูลดาวเทียม และระบบภูมิสารสนเทศ เพื่อวางแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ความร่วมมือกับกระทรวง อว. จะช่วยยกระดับการจัดการน้ำในระดับพื้นที่ให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยนำงานวิจัยและนวัตกรรมมาใช้ในการลดผลกระทบต่อประชาชน

การคาดการณ์สถานการณ์น้ำ

รศ.ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ผู้อำนวยการแผนงานเป้าหมายสำคัญ “น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง” ระบุว่า ปี 2568 ประเทศไทยอยู่ในช่วงลานีญาที่มีค่าความเป็นกลาง ซึ่งอาจนำไปสู่ฝนตกหนักในบางพื้นที่ คาดการณ์ว่าปริมาณฝนจะมากกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน โดยเฉพาะในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ฝนจะตกหนักเป็นจุดๆ และอาจก่อให้เกิดน้ำท่วมเฉพาะพื้นที่มากกว่าน้ำท่วมใหญ่ทั้งภูมิภาค สัญญาณน้ำท่วมเริ่มปรากฏตั้งแต่ช่วงสงกรานต์ 2568 สอดคล้องกับข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ

แนวทางและนวัตกรรมในการรับมือภัยพิบัติ

เพื่อรับมือกับสถานการณ์น้ำในปี 2568 คณะทำงานได้วางแผนแนวทางที่ผสมผสานระหว่างโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยมีตัวอย่างโครงการนำร่องที่น่าสนใจ ดังนี้:

  1. ระบบป้องกันน้ำท่วมในเขตเมือง: การพัฒนาระบบเตือนภัยน้ำท่วมที่แม่นยำยิ่งขึ้น โดยปรับปรุงสถานีวัดระดับน้ำขนาดเล็กและใช้ข้อมูล GIS เพื่อวิเคราะห์ปริมาณฝนและระดับน้ำในคลองย่อย ตัวอย่างเช่น การขุดลอกแม่น้ำปิงและแม่น้ำกกในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย รวมถึงการรื้อฝายเก่าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ
  2. การจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้ง: การสร้างแหล่งน้ำขนาดเล็ก เช่น ฝายแกนดินซีเมนต์ บ่อน้ำบาดาล และระบบสูบน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อสนับสนุนการเกษตรและน้ำประปาในชุมชน โครงการเหล่านี้ยังส่งเสริมการปลูกพืชที่มีมูลค่าสูง เช่น ไม้ผลและไม้ดอก เพื่อสร้างรายได้เสริม
  3. การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน: การฝึกอบรมและถ่ายทอดความรู้ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และชุมชน เพื่อให้สามารถจัดการน้ำในพื้นที่ของตนเองได้ ตัวอย่างที่ตำบลบ่อสวก จังหวัดน่าน แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการสร้างฝายแกนดินซีเมนต์ 100 ฝาย และพัฒนาระบบสารสนเทศน้ำตำบลเพื่อวางแผนการเกษตรและป้องกันน้ำท่วม

รศ.ดร.สุจริต เน้นย้ำว่า การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งอย่างยั่งยืนต้องอาศัยข้อมูลที่แม่นยำและการมีส่วนร่วมของชุมชน ระบบเตือนภัยในปัจจุบันยังขาดความละเอียดในระดับพื้นที่ย่อย ซึ่งทีมวิจัยจะปรับปรุงภายในเดือนสิงหาคม 2568 เพื่อให้ชาวบ้านสามารถอพยพและเตรียมการล่วงหน้าได้ทันท่วงที นอกจากนี้ การสร้าง “พิมพ์เขียว” การจัดการน้ำในเมืองเชียงใหม่ เชียงราย และขอนแก่น จะเป็นแนวทางสำหรับพื้นที่อื่นๆ ในอนาคต

โอกาสและความท้าทายในการบริหารจัดการน้ำ

ความร่วมมือระหว่าง มท., อว., และ สกสว. เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการบริหารจัดการน้ำของประเทศไทย การใช้แนวทางที่ผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการมีส่วนร่วมของชุมชน สามารถตอบโจทย์ความท้าทายจากความแปรปรวนของสภาพอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โครงการนำร่องใน 10 จังหวัดแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการลดความสูญเสียจากภัยพิบัติและสร้างความมั่นคงด้านน้ำให้กับชุมชน

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่สำคัญคือ การขยายผลไปยัง 45 จังหวัดที่เผชิญปัญหาน้ำแล้งและน้ำท่วมทั่วประเทศ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น เขื่อนหรือระบบชลประทาน ต้องใช้เวลาและงบประมาณสูง ดังนั้น การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและ อปท. ในการจัดการน้ำด้วยตนเองจึงเป็นแนวทางที่ยั่งยืนมากกว่า การลงทุนในสถานีวัดระดับน้ำขนาดเล็กและระบบสารสนเทศน้ำตำบล จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์และลดความเสียหายจากภัยพิบัติ

ในแง่ของโอกาส การใช้เทคโนโลยี เช่น ปั๊มน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ และการปลูกพืชที่มีมูลค่าสูง สามารถสร้างรายได้เสริมให้กับเกษตรกรและลดการพึ่งพาน้ำจากแหล่งใหญ่ การพัฒนากลไกจัดการน้ำในระดับตำบล เช่น ที่ตำบลบ่อสวก จังหวัดน่าน ยังเป็นตัวอย่างของการบริหารจัดการที่เหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่อื่นได้

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความสำคัญของการบริหารจัดการน้ำและผลกระทบจากภัยพิบัติ ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. ปริมาณฝนและสถานการณ์น้ำในปี 2568:
    • คาดการณ์ปริมาณฝนในช่วงฤดูฝน (พฤษภาคม–กันยายน 2568) จะสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10-15% ในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก
    • แหล่งอ้างอิง: กรมอุตุนิยมวิทยา และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (2568)
  2. ผลกระทบจากน้ำท่วมและน้ำแล้ง:
    • ในปี 2567 น้ำท่วมในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย สร้างความเสียหายมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท และกระทบครัวเรือนกว่า 50,000 ครัวเรือน
    • พื้นที่เกษตรกรรมที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งในปี 2567 มีมากกว่า 2 ล้านไร่
    • แหล่งอ้างอิง: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (2567)
  3. โครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ:
    • ประเทศไทยมีสถานีวัดระดับน้ำขนาดเล็กเพียง 200 แห่ง เทียบกับญี่ปุ่นที่มี 20,000 แห่ง
    • โครงการฝายแกนดินซีเมนต์ในตำบลบ่อสวก จังหวัดน่าน สร้างแล้วเสร็จ 100 ฝาย จากเป้าหมาย 200 ฝาย
    • แหล่งอ้างอิง: สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (2568)
  4. การมีส่วนร่วมของชุมชน:
    • โครงการนำร่องใน 10 จังหวัด มีเป้าหมายพัฒนา 100 ตำบล โดยมีทีมวิจัยจาก 10 มหาวิทยาลัย จำนวน 200 คน และนวัตกรรมกว่า 15 เรื่อง
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (2568)

สรุปและคำแนะนำ

ความร่วมมือระหว่างกระทรวงมหาดไทย กระทรวง อว. และ สกสว. เป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำแล้งและน้ำท่วมในระดับพื้นที่ ด้วยการใช้ความรู้ทางวิชาการ เทคโนโลยี และการมีส่วนร่วมของชุมชน โครงการนำร่องใน 10 จังหวัดจะเป็นต้นแบบสำหรับการขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ ในอนาคต การพัฒนาระบบเตือนภัยที่แม่นยำ การสร้างแหล่งน้ำขนาดเล็ก และการส่งเสริมอาชีพเสริม จะช่วยลดความสูญเสียและสร้างความมั่นคงด้านน้ำให้กับประชาชน

สำหรับชุมชนและ อปท. แนะนำให้เข้าร่วมการฝึกอบรมและใช้ระบบสารสนเทศน้ำตำบลเพื่อวางแผนการจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรเร่งลงทุนในสถานีวัดระดับน้ำและโครงสร้างพื้นฐานขนาดเล็ก เพื่อเพิ่มความพร้อมในการรับมือภัยพิบัติในฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

สรงน้ำพระธาตุจอมจ้อ นายก อบจ. นำสืบสานประเพณี

นายก อบจ.เชียงราย เปิดงานสรงน้ำพระธาตุจอมจ้อ ยิ่งใหญ่ สืบสานประเพณีวันวิสาขบูชา

เชียงรายร่วมใจสืบทอดประเพณีสำคัญทางพุทธศาสนา

เชียงราย, 11 พฤษภาคม 2568 –  ณ วัดพระธาตุจอมจ้อ อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้เดินทางมาเป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีเปิดงานประเพณีสรงน้ำพระธาตุจอมจ้อ ภายใต้ชื่องาน “ป๋าเวณีวิสาขมาส ร่วมอาบน้ำพระธาตุเจ้าจอมจ้อ” ซึ่งเป็นประเพณีที่มีความสำคัญและได้รับความศรัทธาอย่างมากจากประชาชนชาวอำเภอเทิงและพื้นที่ใกล้เคียงมาอย่างยาวนาน

ในการจัดงานครั้งนี้ พระครูสิริคันธวงศ์ เจ้าคณะอำเภอเทิง รับหน้าที่เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ โดยมีนายเอนก ปันทะยม นายอำเภอเทิง กล่าวต้อนรับ และนายมานพ อุบลศิลป์ ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอเทิง เป็นผู้กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงาน ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย ทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชนในพื้นที่

พระธาตุจอมจ้อ โบราณสถานศักดิ์สิทธิ์ของเชียงราย

พระธาตุจอมจ้อ ตั้งอยู่ที่หมู่ 20 ตำบลเวียง อำเภอเทิง เป็นโบราณสถานเก่าแก่ที่ชาวเชียงราย โดยเฉพาะชาวอำเภอเทิง เคารพศรัทธาและให้ความสำคัญอย่างสูงมายาวนาน ถือเป็นหนึ่งในพระธาตุสำคัญ “พระธาตุเก้าจอม” ของจังหวัดเชียงราย โดยทุกปีในวันวิสาขบูชา หรือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ชาวบ้านจะร่วมกันจัดพิธีสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุจอมจ้ออย่างยิ่งใหญ่ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต และเป็นการสืบทอดประเพณีที่ได้รับการปฏิบัติสืบทอดต่อกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ

การสรงน้ำพระธาตุในวันวิสาขบูชานั้น มีความเชื่อว่า เปรียบเสมือนการได้สรงน้ำพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ซึ่งถือเป็นการแสดงออกถึงความเลื่อมใสศรัทธาและการสืบทอดศาสนาพุทธให้คงอยู่กับชาวเชียงรายตลอดไป

อบจ.เชียงราย สนับสนุนกิจกรรมสืบสานประเพณี

การจัดงานครั้งนี้ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ได้ให้การสนับสนุนงบประมาณจำนวน 100,000 บาท เพื่อส่งเสริมกิจกรรมและสืบสานวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่นให้คงอยู่กับชุมชนต่อไป โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนทุกเพศทุกวัยมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สืบสานประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของท้องถิ่น รวมถึงปลูกฝังจิตสำนึกให้เด็กและเยาวชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา และนำหลักธรรมคำสอนมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองและสังคม

นายก อบจ.เชียงราย กล่าวในพิธีเปิดว่า “การที่เราได้มาร่วมกันจัดงานประเพณีสรงน้ำพระธาตุจอมจ้อในวันนี้ นับเป็นการส่งเสริมให้คนในพื้นที่เห็นความสำคัญของพระธาตุจอมจ้อ ซึ่งเป็นหนึ่งในเก้าจอมของเชียงราย และสร้างความสามัคคีในชุมชนให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น”

กิจกรรมภายในงานหลากหลายส่งเสริมการมีส่วนร่วม

ภายในงานนอกจากพิธีกรรมทางศาสนา ยังมีกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การแสดงทางศิลปวัฒนธรรมล้านนา นิทรรศการประวัติศาสตร์พระธาตุจอมจ้อ การประกวดการจัดดอกไม้ถวายพระธาตุ รวมถึงการออกร้านจำหน่ายสินค้าและอาหารพื้นเมืองจากชุมชนในพื้นที่ ซึ่งกิจกรรมต่างๆ นี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากประชาชนทั้งในและนอกพื้นที่จังหวัดเชียงรายที่เดินทางมาร่วมงานจำนวนมาก

ทั้งนี้ นายเอนก ปันทะยม นายอำเภอเทิง กล่าวเสริมว่า “การจัดงานครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วนในอำเภอเทิง ไม่ว่าจะเป็นคณะสงฆ์ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สภาวัฒนธรรม และประชาชนทั่วไป ซึ่งทุกฝ่ายต่างมีบทบาทสำคัญในการสืบทอดประเพณีที่งดงามนี้ให้คงอยู่กับอำเภอเทิงต่อไป”

วิเคราะห์และแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

จากการจัดงานที่มีความพร้อมและการสนับสนุนจากภาคส่วนต่างๆ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของอำเภอเทิง ในการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สำคัญของจังหวัดเชียงรายในอนาคต โดยเฉพาะการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สนใจประเพณีพื้นบ้านล้านนา ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับชุมชนและจังหวัดได้เป็นอย่างดี

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรวางแผนประชาสัมพันธ์เชิงรุก ทั้งในสื่อออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อขยายการรับรู้ไปสู่นักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ รวมทั้งส่งเสริมให้เยาวชนในพื้นที่ได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการร่วมกิจกรรม เพื่อให้การอนุรักษ์และสืบสานประเพณีดำเนินไปได้อย่างยั่งยืน

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการจัดงานทางวัฒนธรรมในเชียงราย

จากข้อมูลของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (2567) พบว่า แต่ละปีมีงานประเพณีท้องถิ่นสำคัญของจังหวัดเชียงรายมากกว่า 100 งาน สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติได้กว่า 1 ล้านคน สร้างรายได้ให้แก่จังหวัดกว่า 500 ล้านบาทต่อปี (ที่มา: รายงานประจำปี สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ปี 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานประจำปี สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ปี 2567
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายปลูก “พระศรีมหาโพธิฯ” มิ่งมงคลทั่วแผ่นดิน

พิธีปลูก “พระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตร” จังหวัดเชียงราย สะท้อนพลังศรัทธาและความสามัคคีของพุทธศาสนิกชน

เชียงราย, 11 พฤษภาคม 2568 – ในวันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญยิ่งของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก จังหวัดเชียงรายได้จัดพิธีปลูก “พระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตร” ณ พุทธมณฑลสมโภช 750 ปี เมืองเชียงราย ตำบลบัวสลี อำเภอแม่ลาว ด้วยความศรัทธาและความพร้อมเพรียงของพุทธศาสนิกชน ข้าราชการ และผู้นำชุมชนจากทุกอำเภอในจังหวัด พิธีนี้ไม่เพียงเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของชาวเชียงรายในการสืบสานพระพุทธศาสนาและส่งเสริมความร่มเย็นเป็นสุขในสังคม

ความหมายของวันวิสาขบูชาและพระราชศรัทธา

วันวิสาขบูชา ถือเป็นวันสำคัญที่ระลึกถึงการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในปี 2568 วันวิสาขบูชาตรงกับวันที่ 11 พฤษภาคม ซึ่งนับเป็นโอกาสพิเศษที่พุทธศาสนิกชนทั่วโลกจะได้ร่วมกันทำความดีและบำเพ็ญกุศลเพื่อความเป็นสิริมงคล ในประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชศรัทธาอันมั่นคงในฐานะพุทธมามกะและอัครศาสนูปถัมภก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานต้นพระศรีมหาโพธิ์เพื่อปลูกใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ พร้อมพระราชทานนามว่า “พระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตร” ซึ่งมีความหมายว่า “พระศรีมหาโพธิ์พระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”

ต้นพระศรีมหาโพธิ์ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งปัญญา ความร่มเย็น และความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา การปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ในครั้งนี้ยังมีความสำคัญยิ่ง เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสพระราชพิธีสมมงคลพระชนมายุเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระปฐมบรมกษัตริยาธิราชแห่งราชวงศ์จักรี

จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันยาวนาน เป็นหนึ่งในจังหวัดที่ได้รับพระราชทานต้นพระศรีมหาโพธิ์ และได้จัดพิธีปลูกอย่างยิ่งใหญ่ที่พุทธมณฑลสมโภช 750 ปี เมืองเชียงราย พิธีนี้ไม่เพียงเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ยังเป็นการรวมพลังของพุทธศาสนิกชนในจังหวัดเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาให้มั่นคงสืบไป

บรรยากาศและขั้นตอนพิธีอันศักดิ์สิทธิ์

พิธีปลูก “พระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตร” ที่จังหวัดเชียงรายเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 11 พฤษภาคม 2568 ณ พุทธมณฑลสมโภช 750 ปี เมืองเชียงราย ตำบลบัวสลี อำเภอแม่ลาว โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีฝ่ายฆราวาส และพระราชวชิรคณี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วยพระรัตนมุนี ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย นำพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ 10 รูป และพระสังฆาธิการจังหวัดเชียงรายอีก 73 รูป ร่วมประกอบพิธี

ขบวนอัญเชิญอันงดงาม

ก่อนเริ่มพิธี เวลา 09:00 น. นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นผู้นำขบวนอัญเชิญ “พระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตร” พร้อมด้วยดินมงคลและน้ำศักดิ์สิทธิ์จากแหล่งน้ำสำคัญใน 18 อำเภอของจังหวัดเชียงราย ขบวนนี้ประกอบด้วยหัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ และเจ้าหน้าที่จากทุกภาคส่วน โดยมีคณะช่างฟ้อนจากอำเภอแม่ลาวจำนวน 140 คน ร่วมฟ้อนรับขบวนอย่างสง่างาม ขบวนได้เดินเวียนรอบมณฑลปลูก 3 รอบ เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนอัญเชิญพระศรีมหาโพธิ์ ดินมงคล และคนโทน้ำศักดิ์สิทธิ์วางไว้เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

พิธีการอันศักดิ์สิทธิ์

เมื่อถึงเวลา 09:20 น. นายชรินทร์ ทองสุข ได้จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยและถวายธูปเทียนแพเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้นกล่าวสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระราชทานต้นพระศรีมหาโพธิ์ให้แก่จังหวัดเชียงราย และนำอัญเชิญพระศรีมหาโพธิ์ไปยังมณฑลปลูก

เวลา 09:29 น. ซึ่งเป็นฤกษ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทาน นายชรินทร์ ทองสุข ได้ประกอบพิธีปลูก “พระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตร” โดยมีพระสงฆ์ 10 รูป เจริญชัยมงคลคาถา พระราชวชิรคณี ประธานฝ่ายสงฆ์ นำน้ำศักดิ์สิทธิ์จากบ่อน้ำทิพย์ 18 อำเภอ ประพรมต้นพระศรีมหาโพธิ์และบริเวณมณฑลปลูก เพื่อความเป็นสิริมงคล

การเผยแพร่ธรรมะพระราชทาน

หลังพิธีปลูก ผู้เข้าร่วมพิธีได้ร่วมรับชมวิดีทัศน์ “ธรรมะนาวาวัง ธรรมะพระราชทาน เนื่องในวันวิสาขบูชา” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานเพื่อเผยแพร่หลักธรรมอันทรงคุณค่าแก่พุทธศาสนิกชน การรับชมวิดีทัศน์นี้เป็นการปลูกฝังจิตสำนึกทางศาสนาและเสริมสร้างความเข้าใจในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า

พิธีนี้มีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก ประกอบด้วยข้าราชการตุลาการ ทหาร ตำรวจ รองผู้ว่าราชการจังหวัด อัยการ หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และพุทธศาสนิกชนจากทุกอำเภอในจังหวัดเชียงราย การรวมตัวกันของทุกภาคส่วนสะท้อนถึงความสามัคคีและพลังศรัทธาที่แข็งแกร่งของชาวเชียงราย

ความสำคัญของพิธีและผลกระทบต่อชุมชน

พิธีปลูก “พระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตร” ไม่เพียงเป็นการปฏิบัติตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ยังเป็นการสร้างจุดศูนย์รวมจิตใจให้แก่พุทธศาสนิกชนในจังหวัดเชียงราย ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ปลูก ณ พุทธมณฑลสมโภช 750 ปี เมืองเชียงราย จะกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ประชาชนสามารถมากราบไหว้และปฏิบัติธรรม เพื่อความเป็นสิริมงคลและความสงบสุขในชีวิต

นอกจากนี้ พิธีนี้ยังส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงศาสนาในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีวัดและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากมาย เช่น วัดร่องขุ่น วัดพระแก้ว และวัดพระธาตุดอยตุง พุทธมณฑลสมโภช 750 ปี เมืองเชียงราย จะกลายเป็นจุดหมายใหม่สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจในวัฒนธรรมและศาสนา ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นและสร้างรายได้ให้กับชุมชน

การมีส่วนร่วมของช่างฟ้อนจากอำเภอแม่ลาวและการใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์จาก 18 อำเภอ ยังสะท้อนถึงการรวมพลังของชุมชนในทุกอำเภอของจังหวัด ซึ่งเป็นการเสริมสร้างความสามัคคีและความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ท้องถิ่น การจัดพิธีอย่างยิ่งใหญ่และเป็นระเบียบเรียบร้อยแสดงถึงความพร้อมและความมุ่งมั่นของจังหวัดเชียงรายในการรักษามรดกทางศาสนาและวัฒนธรรม

พลังศรัทธาและการสืบสานพระพุทธศาสนา

พิธีปลูก “พระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตร” ในจังหวัดเชียงราย เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการผสานระหว่างพระราชศรัทธาและพลังของชุมชน ต้นพระศรีมหาโพธิ์ไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ทางศาสนา แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจให้พุทธศาสนิกชนยึดมั่นในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะในยุคสมัยที่สังคมเผชิญกับความท้าทายทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานต้นพระศรีมหาโพธิ์ให้ปลูกพร้อมกันทั่ว 77 จังหวัด แสดงถึงวิสัยทัศน์ในการสร้างความเป็นเอกภาพของชาติผ่านศาสนา พิธีนี้ไม่เพียงเสริมสร้างความเข้มแข็งของพระพุทธศาสนาในระดับท้องถิ่น แต่ยังเป็นการย้ำเตือนถึงความสำคัญของการรักษาคุณค่าทางจิตวิญญาณในสังคมไทย

สำหรับจังหวัดเชียงราย ซึ่งมีประชากรหลากหลายทั้งชาวไทยพื้นเมือง ชาวไทยภูเขา และกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ พิธีนี้เป็นโอกาสในการรวมใจของทุกกลุ่มให้เป็นหนึ่งเดียวภายใต้ร่มพระพุทธศาสนา การมีส่วนร่วมของผู้นำชุมชน ข้าราชการ และประชาชนจากทุกอำเภอ แสดงให้เห็นถึงความสามารถของจังหวัดในการบริหารจัดการและประสานงานเพื่อให้พิธีสำเร็จลุล่วงอย่างสมบูรณ์

ในแง่ของผลกระทบระยะยาว ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ปลูกในครั้งนี้จะเป็นมรดกทางศาสนาที่ส่งต่อไปยังคนรุ่นหลัง การดูแลรักษาต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นี้จะเป็นภารกิจของชุมชน ซึ่งจะช่วยปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการปฏิบัติธรรม การที่พิธีนี้จัดขึ้นในวันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นวันที่พุทธศาสนิกชนทั่วโลกให้ความสำคัญ ยังช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของจังหวัดเชียงรายในฐานะศูนย์กลางทางศาสนาและวัฒนธรรมในภาคเหนือของประเทศไทย

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความสำคัญของพิธีปลูก “พระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตร” และบริบทของจังหวัดเชียงราย ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. จำนวนผู้เข้าร่วมพิธี:
    • พิธีปลูก “พระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตร” ที่พุทธมณฑลสมโภช 750 ปี เมืองเชียงราย มีผู้เข้าร่วมประมาณ 2,500 คน ประกอบด้วยข้าราชการ พระสงฆ์ ผู้นำชุมชน และพุทธศาสนิกชนจาก 18 อำเภอ
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (2568)
  2. ความสำคัญของวันวิสาขบูชา:
    • ในประเทศไทย มีพุทธศาสนิกชนเข้าร่วมกิจกรรมวันวิสาขบูชาทั่วประเทศกว่า 5 ล้านคน ในปี 2567 โดยส่วนใหญ่เข้าร่วมพิธีเวียนเทียนและฟังธรรม
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (2567)
  3. การท่องเที่ยวเชิงศาสนาในจังหวัดเชียงราย:
    • จังหวัดเชียงรายมีนักท่องเที่ยวที่มาเยือนวัดและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ราว 3.2 ล้านคนต่อปี (ข้อมูลปี 2567) โดยวัดร่องขุ่นและวัดพระธาตุดอยตุงเป็นจุดหมายยอดนิยม
    • แหล่งอ้างอิง: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย (2567)
  4. จำนวนวัดในจังหวัดเชียงราย:
    • จังหวัดเชียงรายมีวัดที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จำนวน 1,200 วัด และมีพระสงฆ์จำพรรษากว่า 8,000 รูป (ข้อมูลปี 2567)
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงราย (2567)

สรุปและคำแนะนำ

พิธีปลูก “พระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตร” ที่จังหวัดเชียงราย เป็นเหตุการณ์สำคัญที่แสดงถึงความศรัทธา ความสามัคคี และความมุ่งมั่นของพุทธศาสนิกชนในการสืบสานพระพุทธศาสนา ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ปลูกในครั้งนี้จะเป็นสัญลักษณ์แห่งปัญญาและความร่มเย็นของจังหวัดเชียงราย และจะกลายเป็นมรดกทางศาสนาที่ส่งต่อไปยังคนรุ่นหลัง

สำหรับพุทธศาสนิกชนและประชาชนทั่วไป แนะนำให้ติดตามกิจกรรมทางศาสนาที่พุทธมณฑลสมโภช 750 ปี เมืองเชียงราย และร่วมปฏิบัติธรรมเพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิต ส่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงศาสนาและดูแลรักษาต้นพระศรีมหาโพธิ์ให้เจริญเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างความสงบสุขและความภาคภูมิใจให้กับชาวเชียงรายและผู้มาเยือนต่อไ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

  • สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงราย (2567)

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย (2567)

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (2568)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

วิกฤตภาษีสหรัฐฯ ผู้ว่าฯ ธปท. เตือน SME เร่งปรับตัว

ประเทศไทยเผชิญพายุภาษีสหรัฐฯ มุมมองผู้ว่าการแบงก์ชาติและทางออกเพื่ออนาคต

กรุงเทพฯ, 12 พฤษภาคม 2568 – ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับความผันผวนและความไม่แน่นอน ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการค้าโลกและเศรษฐกิจภายในประเทศ ในงาน “Meet the Press: ผู้ว่าการพบสื่อมวลชน ครั้งที่ 1/2568” เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ฉายภาพสถานการณ์เศรษฐกิจไทยท่ามกลาง “พายุ” ทางเศรษฐกิจ พร้อมนำเสนอแนวทางรับมือที่เน้นความยั่งยืนและการปรับโครงสร้างเพื่ออนาคต

ความไม่แน่นอนจากพายุภาษีสหรัฐฯ

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เศรษฐกิจโลกต้องเผชิญกับความท้าทายจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่มีการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย นโยบายนี้สร้างความไม่แน่นอนในห่วงโซ่อุปทานและการค้าโลก โดย ดร.เศรษฐพุฒิ เปรียบสถานการณ์นี้เป็น “พายุ” ที่อาจกินเวลานานและไม่คลี่คลายง่าย ๆ แม้ว่าสหรัฐฯ จะเลื่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีออกไป 90 วัน แต่การเจรจากับหลายประเทศที่มีจำนวนมากทำให้มองเห็นความท้าทายในการหาข้อสรุปที่ชัดเจน

“พายุลูกนี้จะใช้เวลานาน ไม่น่าจะจบเร็ว การเจรจาคงไม่ง่าย และอาจไม่จบลงด้วยดีในทุกกรณี” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวในงานแถลงข่าว

ผลกระทบจากมาตรการภาษีนี้คาดว่าจะเริ่มชัดเจนในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 โดยจุดต่ำสุดของผลกระทบอาจอยู่ในช่วงไตรมาสที่ 4 อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าการ ธปท. มองว่าผลกระทบในครั้งนี้จะไม่รุนแรงเท่าวิกฤตโควิด-19 หรือวิกฤตการเงินปี 2540 แต่ก็ไม่ควรประมาท เนื่องจากความลึกและระยะเวลาของผลกระทบขึ้นอยู่กับผลการเจรจาระหว่างไทยและสหรัฐฯ รวมถึงการปรับตัวของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไทยและความเปราะบางของ SME

ธปท. ประเมินว่ามี 5 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่จะได้รับผลกระทบหนักจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เนื่องจากมีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในปริมาณสูง ได้แก่:

  1. เครื่องใช้ไฟฟ้า
  2. ยานยนต์และชิ้นส่วน
  3. ยางล้อ
  4. อาหารแปรรูป
  5. อิเล็กทรอนิกส์

นอกจากนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ในซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ ซึ่งต่อเนื่องไปยังสหรัฐฯ ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมที่ส่งออกไปยังจีนหรือเวียดนาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตที่มุ่งสู่สหรัฐฯ

อีกหนึ่งความกังวลสำคัญคือการที่สินค้าจากต่างประเทศอาจ “ทะลัก” เข้ามาในประเทศไทย เนื่องจากไม่สามารถส่งออกไปยังสหรัฐฯ ได้ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มเป็นกลุ่มที่เสี่ยงที่สุด เนื่องจากสินค้าราคาถูกจากจีนและประเทศอื่น ๆ อาจเข้ามาแข่งขันในตลาดไทย ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจไทย

“การทะลักเข้ามาของสินค้าต่างชาติอาจกระทบ SME ที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน ภาครัฐควรใช้มาตรการทางการค้า เช่น การตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping) และการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าอย่างเข้มงวด เพื่อปกป้องผู้ประกอบการในประเทศ” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าว

นโยบายการเงินและการคลังที่ต้องแม่นยำ

เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ ธปท. ได้ดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 2 ครั้งในปี 2568 เพื่อรองรับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ผู้ว่าการ ธปท. มองว่าอัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันเพียงพอที่จะรับมือกับผลกระทบจากพายุภาษีในขั้นต้น แต่หากสถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คาด ธปท. พร้อมทบทวนนโยบายเพิ่มเติม

“กระสุนทั้งฝั่งนโยบายการเงินและการคลังมีจำกัด ต้องใช้อย่างระมัดระวังและให้เกิดประโยชน์สูงสุด” ดร.เศรษฐพุฒิ เน้นย้ำ

ในด้านนโยบายการคลัง ผู้ว่าการ ธปท. แนะนำว่ารัฐบาลควรหลีกเลี่ยงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบ “ปูพรม” เช่น การแจกเงินผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งอาจไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากผลกระทบจากพายุภาษีมีความแตกต่างกันในแต่ละภาคส่วน การกระตุ้นการบริโภคอาจส่งผลให้เกิดการรั่วไหลของเม็ดเงินไปยังสินค้านำเข้า ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาการขาดดุลการค้า

“โครงการดิจิทัลวอลเล็ตควรได้รับการทบทวนในแง่ความคุ้มค่าและประสิทธิผล โดยเฉพาะเมื่อมีภัยคุกคามใหม่ ๆ เช่น สินค้าต่างชาติที่อาจทะลักเข้ามา” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าว พร้อมชื่นชมรัฐบาลที่รับฟังข้อเสนอของ ธปท. และยอมทบทวนโครงการดังกล่าว

ในส่วนของมาตรการเฉพาะเจาะจง ธปท. สนับสนุนการออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) สำหรับภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เช่น SME ในอุตสาหกรรมที่กล่าวถึงข้างต้น อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ต้องออกแบบให้ตรงจุดและไม่ครอบคลุมกว้างเกินไป เพื่อป้องกันการใช้ทรัพยากรอย่างไม่มีประสิทธิภาพ

โอกาสท่ามกลางวิกฤตและการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ

ดร.เศรษฐพุฒิ มองว่าพายุภาษีสหรัฐฯ เป็นโอกาสให้ประเทศไทยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว หากประเทศไทยยังยึดติดกับรูปแบบการเติบโตแบบเดิม เช่น การพึ่งพาการส่งออกสินค้าเกษตรหรืออุตสาหกรรมหนัก อาจทำให้การเติบโตชะลอตัวลงในอนาคต การปรับตัวในครั้งนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างสง่างาม

หนึ่งในแนวทางที่ผู้ว่าการ ธปท. เสนอคือการยกระดับภาคบริการ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่เน้นมูลค่าเพิ่ม เช่น การพัฒนาศูนย์สุขภาพ (Wellness Center) เพื่อตอบสนองความต้องการของสังคมสูงวัยทั้งในไทยและทั่วโลก ตลาดนี้มีศักยภาพเติบโตสูงและมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการพัฒนาโครงการสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์ของประเทศ

“ในช่วงที่โลกมีความไม่แน่นอนสูง การทำธุรกิจที่ ‘ขาวสะอาด’ มีความสำคัญ การพัฒนากาสิโนอาจทำให้ภาพลักษณ์ของไทยดู ‘สีเทา’ ซึ่งไม่เหมาะสมในบริบทปัจจุบัน” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าว พร้อมชี้ว่า การพัฒนาศูนย์สุขภาพจะสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากกว่าและสอดคล้องกับจุดแข็งของไทย

นอกจากนี้ การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ การลงทุนในเทคโนโลยี และการพัฒนาทักษะแรงงาน จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในระยะยาว โครงการอย่าง “Financial Landscape” และ “Open Data” ที่ ธปท. กำลังผลักดัน จะเป็นรากฐานสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตอย่างยั่งยืน

ความท้าทายในอนาคตการเปลี่ยนผ่านผู้ว่าการ ธปท.

ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับพายุภาษีและความท้าทายทางเศรษฐกิจ ดร.เศรษฐพุฒิกำลังจะครบวาระการดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท. ในวันที่ 30 กันยายน 2568 การคัดเลือกผู้ว่าการคนใหม่จึงเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากผู้ว่าการคนใหม่จะต้องรับมือกับความท้าทายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงการประสานงานกับรัฐบาลที่มีเป้าหมายแตกต่างกัน

คณะกรรมการคัดเลือกผู้ว่าการ ธปท. นำโดย ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง จะเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม ถึง 4 มิถุนายน 2568 ผู้สมัครที่มีศักยภาพ ได้แก่:

  1. ดร.รุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ธปท. ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ผู้มีประสบการณ์ยาวนานในนโยบายการเงินและการพัฒนาภูมิทัศน์ทางการเงิน
  2. ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์และตลาดทุน
  3. ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ ผู้มีประสบการณ์บริหารทั้งในภาครัฐและเอกชน
  4. ดร.สุทธาภา อมรวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อบาคัส ดิจิทัล ผู้มีเครือข่ายทางการเมืองและประสบการณ์ในวงการการเงิน
  5. ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ อดีตรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์และการวิจัย
  6. ดร.สันติธาร เสถียรไทย ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจอนาคต สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ผู้มีประสบการณ์ในระดับนานาชาติ

การคัดเลือกผู้ว่าการคนใหม่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางนโยบายการเงินของไทยในช่วงเวลาที่ท้าทาย ผู้ว่าการคนใหม่จะต้องมีความสามารถในการประสานงานกับรัฐบาล ขณะเดียวกันก็รักษาความเป็นอิสระของ ธปท. เพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาว

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพผลกระทบจากพายุภาษีสหรัฐฯ และสถานการณ์เศรษฐกิจไทย ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. การส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ:
    • ในปี 2567 การส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ มีมูลค่าราว 49,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 17% ของการส่งออกทั้งหมด
    • อุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ มีสัดส่วน 2.2% ของ GDP ประเทศไทย
    • แหล่งอ้างอิง: กระทรวงพาณิชย์ และธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
  2. ผลกระทบต่อ SME:
    • SME ในประเทศไทยมีสัดส่วนการจ้างงานถึง 70% ของแรงงานทั้งหมด แต่มีเพียง 30% ที่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างเป็นทางการ
    • การทะลักเข้ามาของสินค้าต่างชาติอาจทำให้ SME ในภาคสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มสูญเสียส่วนแบ่งตลาดถึง 20-30%
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
  3. อัตราดอกเบี้ยนโยบาย:
    • อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ถูกปรับลด 2 ครั้งในปี 2568 จาก 2.50% เหลือ 2.00%
    • การลดดอกเบี้ยครั้งล่าสุดมีผลตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568
    • แหล่งอ้างอิง: คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.), ธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
  4. หนี้ครัวเรือน:
    • หนี้ครัวเรือนของไทยในปี 2567 อยู่ที่ 90.8% ของ GDP ลดลงเล็กน้อยจาก 91.3% ในปี 2566
    • โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” มีผู้เข้าร่วมกว่า 500,000 ราย ณ เดือนเมษายน 2568
    • แหล่งอ้างอิง: ธนาคารแห่งประเทศไทย และศูนย์วิจัยกสิกรไทย (2568)

สรุปและคำแนะนำ

พายุภาษีสหรัฐฯ เป็นความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเผชิญในปี 2568 แต่ก็เป็นโอกาสในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งและยั่งยืนยิ่งขึ้น การดำเนินนโยบายการเงินและการคลังที่แม่นยำ การปกป้อง SME จากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม และการลงทุนในภาคบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ จะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาเศรษฐกิจไทยฝ่าพายุครั้งนี้ไปได้

สำหรับประชาชนและภาคธุรกิจ แนะนำให้ติดตามพัฒนาการของการเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทาน ส่วนรัฐบาลและ ธปท. ควรทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อออกมาตรการที่ตอบโจทย์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้ประเทศไทยสามารถยืนหยัดในเวทีเศรษฐกิจโลกได้อย่างมั่นคง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ธนาคารแห่งประเทศไทย และศูนย์วิจัยกสิกรไทย (2568)
  • คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.), ธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
  • กระทรวงพาณิชย์ และธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
  • สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE