Categories
EDITORIAL WORLD PULSE

ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา 75 ปี แห่งการเติบโต

75 ปีความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ยิ่งรู้ ยิ่งเข้าใจ ยิ่งร่วมมือ สู่อนาคตประชาชนสองแผ่นดิน

จุดเริ่มต้นแห่งมิตรภาพ รากฐานทางการทูตและวัฒนธรรมอันมั่นคง

เมื่อย้อนเวลากลับไปในปี พ.ศ. 2493 ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและราชอาณาจักรกัมพูชาได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังตื่นตัวหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งสองประเทศมีพรมแดนติดกัน และวัฒนธรรมที่โยงใยกันอย่างแน่นแฟ้น นี่คือจุดตั้งต้นของ “สะพานมิตรภาพ” ที่ไม่ใช่เพียงระดับรัฐบาล แต่หยั่งรากลึกสู่หัวใจของประชาชน ชุมชน และภาคส่วนต่างๆ ในสังคม

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาต้องผ่านอุปสรรคหลากหลาย ทั้งเรื่องพรมแดน ความแตกต่างทางวัฒนธรรม และความเข้าใจผิดที่ถูกปลูกฝังจากอดีต อย่างไรก็ดี ด้วยจิตวิญญาณแห่งการสร้างสรรค์และความมุ่งมั่นในการร่วมมือ ทั้งสองชาติสามารถเดินข้ามความยากลำบาก ผ่านการเจรจาอย่างมีวุฒิภาวะ การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และโครงการร่วมมือหลากหลายที่เกิดขึ้นในทุกภูมิภาค

เมืองชายแดนอย่างจังหวัดสระแก้วของไทยและจังหวัดบันเตียเมียนเจย (Banteay Meanchey) ของกัมพูชา กลายเป็นศูนย์กลางการค้าขายและแลกเปลี่ยนสินค้า ความคึกคักของตลาดชายแดน กิจกรรมวัฒนธรรม งานประเพณีข้ามพรมแดน และความสัมพันธ์ระหว่างเยาวชนทั้งสองประเทศ ล้วนขยายขอบเขตของมิตรภาพให้แน่นแฟ้นขึ้นในทุกยุคสมัย

แกนกลางแห่งความร่วมมือ เศรษฐกิจ การลงทุน การค้า และประชาชน เศรษฐกิจและการค้าไทย-กัมพูชา เส้นทางที่เติบโตต่อเนื่อง

ข้อมูลจาก คุณนฤมล รินเรืองสิน รองประธานสมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา (Thai Business Council in Cambodia- TBCC) ชี้ว่า ในปี 2567 มูลค่าการค้าระหว่างไทยและกัมพูชาทะยานสูงถึง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปกัมพูชา ได้แก่ อาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค วัสดุก่อสร้างและเครื่องจักรกลการเกษตร ขณะที่กัมพูชาส่งออกสินค้าการเกษตรและวัตถุดิบสำคัญมายังประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

ธุรกิจไทยยังขยายตัวในกัมพูชาอย่างมั่นคง เช่น ปตท. ซึ่งมีสถานีบริการน้ำมัน 184 แห่ง คาเฟ่อเมซอนกว่า 154 สาขา และกลุ่มค้าปลีกอย่างบิ๊กซี แมคโคร เซเว่น อีเลฟเว่น ของซีพี ออลล์ ที่มีทั้งหมด 120 แห่ง ขยายสาขาในเมืองสำคัญของกัมพูชา เช่น พนมเปญ สีหนุวิลล์ และเสียมราฐ เอสซีจีลงทุนก่อสร้างโรงงานปูนซิเมนต์ อย่าง K Cement โรงงานผลิตพีวีซี และไทยยังมีบทบาทสำคัญในธุรกิจสุขภาพและการแพทย์ โดยเฉพาะโรงพยาบาลรอยัลพนมเปญในเครือโรงพยาบาลกรุงเทพและเครือข่ายคลินิกไทย

คุณชลธิศ เทพยศ ที่ปรึกษาฝ่ายพาณิชย์ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ย้ำว่ากัมพูชาเปิดกว้างอย่างจริงจังต่อนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะการออกนโยบายยกเว้นภาษี 12 ปี และยกเว้นอากรนำเข้าเครื่องจักรในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยแสดงความสนใจขยายธุรกิจในกัมพูชามากขึ้นทุกปี

เกษตรกรรมและอุตสาหกรรมการยกระดับความร่วมมือเพื่อความมั่นคงอาหารภูมิภาค

กัมพูชามีศักยภาพสูงด้านการผลิตมะม่วงหิมพานต์ มะม่วง ทุเรียน และข้าวโพด โดยเฉพาะบริเวณทะเลสาบโตนเลสาบซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญ ไทยจึงสามารถเข้าไปลงทุนในโรงงานแปรรูปทุเรียนอบแห้ง มะม่วงแห้ง เพื่อตอบสนองตลาดในประเทศและต่างประเทศ ขณะเดียวกันรัฐบาลกัมพูชาเน้นพัฒนาพื้นที่สี่จังหวัดสำคัญ ได้แก่ กระแจะ สตึงแตรง รัฒนคีรี มณฑลคีรี เพื่อดึงดูดนักลงทุนไทยในอุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร

การลงทุนและห่วงโซ่อุปทานความเชื่อมโยงใหม่ของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

ตุลย์ ไตรโสรัส เอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ กล่าวว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การลงทุนของไทยในกัมพูชาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สภาธุรกิจไทย-กัมพูชา (Thai Business Council in Cambodia) รายงานว่า ไทยเป็นนักลงทุนอันดับ 4 ในกัมพูชา ครอบคลุมธุรกิจค้าปลีก พลังงาน เกษตร อุตสาหกรรมอาหาร และบริการทางการแพทย์ รวมถึงเทคโนโลยีใหม่และดิจิทัล

การพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ระหว่างสองประเทศช่วยให้สินค้าไทยมีโอกาสเข้าสู่ตลาด CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ได้สะดวกขึ้น ขณะเดียวกันกัมพูชาก็สามารถใช้ไทยเป็นประตูออกสู่ตลาดสากลผ่านนิคมอุตสาหกรรมและด่านโลจิสติกส์ชายแดน

การศึกษาและวัฒนธรรม สร้างพื้นฐานความเข้าใจระหว่างประชาชน ความร่วมมือทางการศึกษา สะพานแห่งโอกาสสำหรับเยาวชน

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ของไทยและมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเกษตรในกัมพูชาได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในการพัฒนาบุคลากรสาขาเกษตร อุตสาหกรรมเกษตร และเทคโนโลยีแปรรูปอาหาร ขณะที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีและมหาวิทยาลัยพระตะบอง ร่วมมือกันจัดหลักสูตรภาษาไทยพิเศษ ซึ่งได้รับความนิยมในหมู่นักศึกษากัมพูชา โดยในปี 2567 จำนวนนักศึกษากัมพูชาที่เลือกเรียนภาษาไทยเพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อนหน้า

นอกจากนั้น วัฒนธรรมไทยได้รับความนิยมสูงในกัมพูชา สะท้อนผ่านละคร ภาพยนตร์ เพลง และศิลปินไทยที่ครองใจเยาวชนกัมพูชา กระแส Soft Power นี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการเชื่อมโยงความรู้สึกและความเข้าใจระหว่างประชาชน

กิจกรรมเยาวชนและโครงการแลกเปลี่ยน สร้างมิตรภาพข้ามพรมแดน

นายฮก โซะเพีย (H.E. Mr. Hok Sophea) รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา และคณะ เพื่อรับฟังข้อมูลนโยบายด้านการต่างประเทศของกัมพูชา และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นการรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่าง 2 ประเทศในทุกๆ ระดับชั้น  ตลอด 75 ปีที่ผ่านมา โครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาและเยาวชนระหว่างสองชาติขยายตัวต่อเนื่อง เช่น โครงการโฮมสเตย์และโครงการ Summer Camp สำหรับนักเรียนมัธยมปลาย กิจกรรมเยาวชนเหล่านี้ช่วยให้เยาวชนได้เรียนรู้วิถีชีวิต วัฒนธรรม และสร้างสายสัมพันธ์ที่จะหล่อเลี้ยงมิตรภาพในอนาคต

การท่องเที่ยวเชื่อมโยงเศรษฐกิจและวัฒนธรรมด้วยประสบการณ์จริง นักท่องเที่ยวไทย-กัมพูชา ตัวเลขที่เติบโตสู่เป้าหมายร่วม

ในปี 2567 นักท่องเที่ยวไทยเดินทางมากัมพูชาจำนวนกว่า 2.6 ล้านคน ถือเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดในกัมพูชา ขณะที่ไทยก็เป็นจุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวกัมพูชา แคมเปญ “Two Kingdoms, One Destination” ที่ทั้งสองประเทศร่วมกันส่งเสริม สร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวข้ามพรมแดนใหม่ ๆ เช่น การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ เส้นทางมรดกโลก และกิจกรรมวัฒนธรรมร่วม

กิจกรรมเด่น เช่น ฟุตบอลมิตรภาพเดือนกุมภาพันธ์ 2568 และวิ่งมาราธอนข้ามสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชาในเดือนมีนาคม 2568 มีผู้เข้าร่วมกว่า 700 คน ช่วยสร้างความผูกพันระหว่างชุมชนชายแดน

โลจิสติกส์และคมนาคมพื้นฐานเศรษฐกิจอนาคต

การพัฒนาความเชื่อมโยงระหว่างเมืองสำคัญของทั้งสองชาติด้วยถนน รถไฟ เรือ และเที่ยวบินตรง มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว พร้อมผลักดันให้เกิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่รองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

การรับมือกับความท้าทาย การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและความมั่นคงอาหาร

การเข้าไปได้ลองศึกษาดูงานภาคการเกษตรของกัมพูชาที่ไร่ La Plantation ซึ่งเป็นไร่พริกไทย และผลไม้ ใน จ.กำปอต และเป็น Argro-Tourism Site ที่ได้รับการรับรองโดยกระทรวงท่องเที่ยวของกัมพูชา เห็นได้ว่าทั้งสองประเทศให้ความสำคัญกับความร่วมมือด้านการเกษตรยั่งยืนและการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และประสบการณ์จริงด้านสิ่งแวดล้อมช่วยให้ไทยและกัมพูชารับมือกับปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างความมั่นคงอาหารในภูมิภาค 

เสียงจากภาคประชาชนและนักวิชาการมุมมองใหม่ต่อความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา สัมภาษณ์และข้อคิดเห็นจากผู้นำชุมชนและผู้เชี่ยวชาญ

ในการเดินทางเยือนกรุงพนมเปญของคณะสื่อมวลชนไทย มีการสัมภาษณ์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับทั้งเจ้าหน้าที่รัฐบาลกัมพูชา ผู้นำชุมชน และนักธุรกิจไทยในพื้นที่ ซึ่งต่างสะท้อนมุมมองว่า ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชามีความแน่นแฟ้นจากระดับผู้นำสู่ระดับประชาชน แม้จะมีประเด็นละเอียดอ่อน เช่น ปัญหาเขตแดน OCA (Overlapping Claim Area) แต่ทั้งสองชาติยังคงให้ความสำคัญกับการเจรจาและเคารพซึ่งกันและกัน

ฝ่ายค้านในทั้งสองประเทศยังมีบทบาทในการกำหนดทิศทางนโยบายสาธารณะ โดยเฉพาะในกัมพูชา ซึ่งเยาวชนกว่า 30% ต้องการปฏิรูปการเมือง ผู้เชี่ยวชาญเน้นว่าความสำเร็จในการพัฒนาร่วมต้องฟังเสียงประชาชนและไม่ผูกขาดการตัดสินใจไว้ในกลุ่มอำนาจเดิม

บทบาทของสื่อและการตรวจสอบข้อมูลจุดเปลี่ยนของความเข้าใจ

ในยุคที่โซเชียลมีเดียเป็นปัจจัยสำคัญต่อการรับรู้ข่าวสาร ข้อมูลผิดพลาดและข่าวปลอมสามารถสร้างความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชนได้ง่าย สถานเอกอัครราชทูตไทยและสมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา ตลอดจนสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ จึงร่วมกันผลักดันโครงการอบรมสื่อทั้งสองประเทศ ส่งเสริมการรายงานข่าวที่สร้างสรรค์ และการตรวจสอบข้อมูลอย่างเป็นระบบ อ้างอิงจากการเข้าพบ Dr. Vannarith Chheang ประธานที่ปรึกษารัฐสภาแห่งชาติ (Chairman of advisory council of the National Assembly of the Kingdom of Cambodia)

ประสบการณ์จริงจากทีมข่าว “ยิ่งรู้ยิ่งเข้าใจ” กับบทเรียนจากพนมเปญ เมื่อการเดินทางเปลี่ยนมุมมอง

ทีมข่าวไทยที่เดินทางร่วมกับคณะสื่อมวลชนต่างชาติ สัมผัสบรรยากาศพนมเปญเมืองหลวงที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว อาคารสูงทันสมัย ถนนหนทางสะอาด ผู้คนมีระเบียบวินัยและเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม การได้สัมผัสชีวิตจริงของคนกัมพูชา เปลี่ยนความคิดที่เคยมีจากภาพจำเก่าๆ ที่รับรู้ผ่านข่าวหรืออคติทางประวัติศาสตร์ กลายเป็นความเข้าใจใหม่ที่ลึกซึ้ง

หลายคนเล่าว่า “ความแตกต่างทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นเพียงเปลือกนอก แต่หัวใจของประชาชนทั้งสองประเทศเหมือนกัน คืออยากให้ครอบครัวมีความสุข มีบ้านที่ปลอดภัย มีอาชีพมั่นคง และมีโอกาสทางการศึกษา”

มิตรภาพที่แท้จริง สื่อมวลชน นักธุรกิจ และเจ้าหน้าที่การทูตในบทบาท ‘คนกลาง’

สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ อธิบายว่า บทบาทของ “คนกลาง” คือการฟังและเข้าใจหัวใจคนทั้งสองฝั่ง ไม่ใช่แค่ถ่ายทอดความเห็นแต่เป็นสะพานที่เชื่อมโยงความเข้าใจระหว่างกันโดยไม่ใช้อีโก้

การพบปะกับสมาคมนักข่าวกัมพูชาและสมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา เปิดมุมมองใหม่ว่า แม้สื่อกัมพูชาจะยังไม่เสรีอย่างเต็มที่ แต่สามารถควบคุมกระแสข่าวปลอมได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลกัมพูชาเปิดรับฟังเสียงประชาชนและให้โอกาสแก่ผู้ประกอบการรายใหม่

ความสำเร็จและโอกาสในอนาคต

  • การค้ารวม 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 (อ้างอิง: กระทรวงพาณิชย์แห่งประเทศไทย)
  • ไทยเป็นนักลงทุนต่างชาติอันดับ 4 ในกัมพูชา (อ้างอิง: สภาธุรกิจไทย-กัมพูชา)
  • นักท่องเที่ยวไทยเดินทางมากัมพูชามากถึง 2.6 ล้านคนในปีเดียว (อ้างอิง: การท่องเที่ยวแห่งชาติกัมพูชา)
  • นักศึกษากัมพูชาที่เลือกเรียนภาษาไทยเพิ่มขึ้น 20% (อ้างอิง: มหาวิทยาลัยพระตะบอง)
  • โครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนและทุนการศึกษาร่วมกว่า 2,000 ทุน

ความท้าทายที่ต้องจับตาหลังสื่อไทยแลกเปลี่ยนข้อมูลสื่อกัมพูชาได้ นายปุย เกีย นายกสมาคมฯ ของคณะสื่อมวลชนกัมพูชาจากสมาคมนักข่าวกับพูชา (Club of Cambodian Journalists)

  • ข่าวสารผิดพลาดในโซเชียลมีเดียและปัญหาข่าวปลอม
  • ความผันผวนทางเศรษฐกิจโลกและการแข่งขันด้านห่วงโซ่อุปทาน
  • โครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ชายแดนที่ต้องพัฒนา
  • ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและช่องว่างระหว่างรุ่น

ข้อเสนอเพื่อความร่วมมือและเติบโตอย่างยั่งยืน

  1. ส่งเสริมการอบรมสื่อมวลชนและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง
  2. ขยายโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนและนักศึกษาอย่างต่อเนื่อง
  3. เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งถนน รถไฟ และด่านชายแดนให้มีมาตรฐานสูงขึ้น
  4. สนับสนุนการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ การแปรรูปสินค้าเกษตร และนวัตกรรมเทคโนโลยีร่วม
  5. เสริมสร้างกลไกเจรจาแก้ปัญหาข้อพิพาทโดยใช้ช่องทางระหว่างประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ

บทความโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อตั้ง สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ 
เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้ร่วมก่อตั้ง สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย ยันจัดงาน “เชียงรายไพรด์ 2025” ที่เซ็นทรัล

เชียงรายไพรด์ 2025 – งานแห่งความกล้าหาญและความเท่าเทียม สะท้อนพลังบวกในสังคมและปักหมุดเชียงรายสู่เมืองต้นแบบแห่งความหลากหลายของประเทศไทย

เชียงราย, 28 พฤษภาคม 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ร่วมแถลงข่าวเตรียมความพร้อมการจัดงาน “เชียงรายไพรด์ 2025” เพื่อส่งเสริมสิทธิความเท่าเทียมทางเพศ และเสริมสร้างพลังบวกแก่ชุมชน LGBTQIA+ จังหวัดเชียงรายเดินหน้าเป็นพื้นที่ต้นแบบแห่งความหลากหลายและการยอมรับความแตกต่าง หวังสร้างวัฒนธรรมใหม่แห่งความเท่าเทียมในสังคม

 

เชียงรายจับมือทุกภาคส่วน ประกาศจัด “เชียงรายไพรด์ 2025”

เมื่อวันพุธที่ 28 พฤษภาคม 2568 เวลา 15.00 น. ที่ห้องธรรมปัญญา องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายให้นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย แถลงข่าวร่วมกับนายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย และนายพงศ์ภีระ พัฐภีระพงศ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิเอ็มพลัสเชียงราย พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ตัวแทนภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และอินฟลูเอ็นเซอร์ชื่อดัง รวมถึงเยาวชนและกลุ่ม LGBTQIA+ เข้าร่วมงานอย่างคึกคัก สะท้อนพลังการขับเคลื่อนของทุกภาคส่วนในพื้นที่

ผลักดันสิทธิความเท่าเทียมทางเพศ และพลังบวกในสังคม

นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย ระบุว่า “เชียงรายไพรด์ 2025” ถือเป็นเวทีสำคัญในการแสดงออกถึงพลังแห่งความกล้าหาญ การยืนหยัด และการสนับสนุนสิทธิของพี่น้องผู้มีความหลากหลายทางเพศในจังหวัดเชียงรายและสังคมไทยโดยรวม ย้ำว่า อบจ.เชียงรายให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน ความเสมอภาค และการอยู่ร่วมกันอย่างเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มาโดยตลอด

รองนายก อบจ.เชียงราย ยังกล่าวอีกว่า “ความหลากหลายทางเพศเป็นส่วนหนึ่งของความงดงามในวัฒนธรรมของสังคม ควรได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง เชียงรายคือพื้นที่ที่ทุกคนสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างปลอดภัย ภาคภูมิใจ และมีคุณค่า”

การจัดงาน “เชียงรายไพรด์ 2025” สร้างพื้นที่ปลอดภัยและเฉลิมฉลองอัตลักษณ์

งาน “เชียงรายไพรด์ 2025” จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน 2568 ณ ลานกาสะลอง ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ด้วยความร่วมมือจากมูลนิธิเอ็มพลัสเชียงราย และเครือข่ายภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน ภายในงานจะมีกิจกรรมเฉลิมฉลองและขบวนพาเหรดแห่งความภาคภูมิใจ รณรงค์ให้เกิดการยอมรับในความหลากหลายทางเพศ เวทีเสวนา และกิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อชุมชน LGBTQIA+ พร้อมกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในท้องถิ่น

งานนี้ได้รับความร่วมมือจากศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ภาคธุรกิจ ภาคการท่องเที่ยว และภาคการศึกษาในจังหวัดอย่างกว้างขวาง เพื่อยกระดับภาพลักษณ์ของเชียงรายสู่เมืองแห่งความเท่าเทียมในระดับสากล

มุมมองและเสียงจากชุมชน LGBTQIA+ และเยาวชน

ภายในงานแถลงข่าวมีอินฟลูเอ็นเซอร์ชื่อดังของเชียงราย อาทิ ซัดดัมโซคิ้ว และมิว ลำสูลำ ที่มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตในฐานะบุคคลหลากหลายทางเพศ พร้อมทั้งตัวแทนเยาวชนจากโครงการ MPLUS Ambassador ร่วมเวทีเสวนา ส่งเสียงของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการสังคมที่เปิดกว้าง เป็นธรรม และให้คุณค่ากับทุกอัตลักษณ์

ผู้แทนเยาวชนได้กล่าวว่า “ความหวังของคนรุ่นใหม่ คือการสร้างสังคมที่ทุกคนรู้สึกมีคุณค่า มีพื้นที่ให้แสดงออกอย่างอิสระ ปลอดภัย และปราศจากอคติ”

ผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชนและภาพลักษณ์เชียงราย

การจัดงาน “เชียงรายไพรด์ 2025” ไม่เพียงสร้างพลังบวกและแรงบันดาลใจให้กับผู้เข้าร่วมงาน แต่ยังส่งผลดีต่อภาพลักษณ์จังหวัดเชียงรายในฐานะพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกเพศ เพิ่มโอกาสทางการท่องเที่ยว ส่งเสริมเศรษฐกิจและวัฒนธรรมในท้องถิ่น ให้จังหวัดเชียงรายเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวและกลุ่ม LGBTQIA+ จากทั่วประเทศ

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรม Pride ในหลายจังหวัด มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในต้นแบบของการจัดงาน Pride สามารถสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวในช่วงจัดงานกว่า 250 ล้านบาท และคาดว่าจังหวัดเชียงรายจะได้รับประโยชน์ในลักษณะเดียวกัน

การพัฒนาอย่างยั่งยืนและแนวทางขับเคลื่อน

อบจ.เชียงราย และภาคีเครือข่ายยังเดินหน้าส่งเสริมบทบาทชุมชน LGBTQIA+ ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ผ่านกิจกรรมให้ความรู้ การรณรงค์เชิงนโยบาย และการสร้างพื้นที่ปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการสนับสนุนการมีส่วนร่วมในกิจกรรมสาธารณะ และการพัฒนาทักษะเยาวชน เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมในทุกมิติ

จากข้อมูลของมูลนิธิเอ็มพลัส พบว่าจังหวัดเชียงรายมีประชากร LGBTQIA+ กว่า 6,000 คน หรือร้อยละ 2.5 ของประชากรทั้งจังหวัด และมีอัตราการเปิดเผยตัวตนในที่สาธารณะเพิ่มขึ้นกว่า 10% ต่อปี ในช่วงสามปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงบรรยากาศที่เปิดกว้างและการยอมรับในพื้นที่

การวิเคราะห์และแนวโน้มอนาคต

เชียงรายไพรด์ 2025 เป็นมากกว่างานเฉลิมฉลอง แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างสังคม ประชาชน เยาวชน ภาคเอกชน และหน่วยงานรัฐต่างเห็นพ้องร่วมกันว่า “ความหลากหลายคือพลังในการขับเคลื่อนสังคมไทย” การจัดงานในครั้งนี้จะนำไปสู่การวางรากฐานของสังคมประชาธิปไตยที่ยั่งยืน ลดอคติทางเพศ และเสริมสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว

สถิติและแหล่งอ้างอิง

  • จำนวนประชากร LGBTQIA+ จังหวัดเชียงราย กว่า 6,000 คน (มูลนิธิเอ็มพลัส, 2567)
  • รายได้จากการจัดงาน Pride ของเชียงใหม่ปี 2566 กว่า 250 ล้านบาท (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567)
  • งาน Pride ส่งผลต่อการรับรู้สิทธิและอัตราการเปิดเผยตัวตนของบุคคลหลากหลายทางเพศ เพิ่มขึ้นกว่า 10% ต่อปี (มูลนิธิเอ็มพลัส, 2566)
  • อุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับ LGBTQIA+ มีการเติบโตเฉลี่ย 8% ต่อปี (สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ, 2566)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • มูลนิธิเอ็มพลัสเชียงราย
  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
  • อินฟลูเอ็นเซอร์และตัวแทนเยาวชนโครงการ MPLUS Ambassador
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ปิดตลาดสายลมจอย ‘ชั่วคราว’ เร่งสร้างพนังกั้นน้ำพร้อมจัดพื้นที่เยียวยา

อำเภอแม่สายสั่งปิดตลาดสายลมจอย 2 เดือน เร่งสร้างพนังกั้นน้ำชั่วคราวกึ่งถาวร หลังเผชิญน้ำท่วมใหญ่ – พร้อมเยียวยาผลกระทบ พ่อค้าแม่ค้ากว่า 100 รายได้พื้นที่ค้าขายใหม่

เชียงราย, 29 พฤษภาคม 2568 – จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ต้องเผชิญกับความเสียหายหนัก โดยเฉพาะตลาดสายลมจอย ซึ่งเป็นแหล่งค้าขายสำคัญของชุมชนชายแดนและเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในพื้นที่เหนือสุดของไทย

ผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่ สู่คำสั่งปิดตลาดสายลมจอย

เหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม ได้สร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือน ร้านค้า และทรัพย์สินในพื้นที่อำเภอแม่สาย โดยเฉพาะตลาดสายลมจอยที่ตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำสาย พ่อค้าแม่ค้ากว่า 100 รายต่างได้รับความเดือดร้อน สินค้าหลายชนิดได้รับความเสียหาย และพื้นที่ค้าขายต้องหยุดชะงักลงอย่างกะทันหัน

หลังเกิดเหตุ ฝ่ายปกครองนำโดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย มีคำสั่งให้นายอำเภอแม่สายและสำนักงานธนารักษ์ เชิญผู้ประกอบการร้านค้าตลาดสายลมจอยเข้าร่วมประชุมที่ห้องประชุมชั้น 4 อาคาร OSS ณ ที่ว่าการอำเภอแม่สาย เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม เวลา 10.00 น. เพื่อแจ้งข้อสั่งการเรื่อง “การหยุดค้าขายชั่วคราวในตลาดสายลมจอย” พร้อมเหตุผลสำคัญคือ ต้องเร่งรัดการสร้างพนังกั้นน้ำแบบชั่วคราว-กึ่งถาวรโดยกรมการทหารช่าง เพื่อป้องกันปัญหาน้ำป่าหลากและน้ำท่วมซ้ำซ้อนในฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง

การตอบสนองของผู้ประกอบการและมาตรการบรรเทาผลกระทบ

ในที่ประชุม ผู้ประกอบการร้านค้าต่างรับทราบและยินยอมปฏิบัติตามข้อสั่งการ แม้จะต้องหยุดค้าขายเป็นเวลา 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป แต่ได้เสนอขอพื้นที่ค้าขายชั่วคราวเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในการดำรงชีวิต ซึ่งทางอำเภอแม่สายได้ตอบรับและร่วมมือกับภาคเอกชน เช่น คุณอัมพร ศรีสมุทร เจ้าของโรงแรมปิยะพรฮิลล์ อนุเคราะห์สถานที่ชั่วคราวให้พ่อค้าแม่ค้าใช้เป็นแหล่งค้าขายใหม่บริเวณทางเข้าซอยการประปาส่วนภูมิภาค สาขาแม่สาย

ขั้นตอนดำเนินการเบื้องต้น ตัวแทนผู้ประกอบการได้รวบรวมรายชื่อและลงทะเบียนร้านค้าที่ประสงค์จะเข้ามาขายสินค้าในพื้นที่ชั่วคราวนี้ โดยกำนันตำบลเวียงพางคำรับผิดชอบจัดหาเต็นท์และแบ่งล็อกพื้นที่ร้านค้ารายละประมาณ 1.5 เมตร เพื่อความเป็นระเบียบและรองรับผู้ค้าจำนวนมาก

นอกจากนี้ ทางอำเภอแม่สายยังได้จัดสรรพื้นที่จำหน่ายสินค้าชั่วคราวเพิ่มเติมบริเวณถนนและลานด้านหลังสถานีตำรวจภูธรแม่สาย ใกล้ตลาดดอยเวา เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินการค้าขายต่อเนื่องและฟื้นฟูรายได้ โดยไม่ต้องย้ายออกจากพื้นที่อำเภอมากนัก

เร่งรัดสร้างพนังกั้นน้ำ “ชั่วคราว-กึ่งถาวร” ป้องกันแม่น้ำสายล้นตลิ่ง

สาเหตุหลักของการปิดตลาดในครั้งนี้คือ ความจำเป็นในการเร่งสร้างพนังกั้นน้ำแบบชั่วคราวกึ่งถาวรโดยกรมการทหารช่าง เพื่อให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2568 ตามแผนงานที่วางไว้ พร้อมรับมือฤดูฝนและพายุที่คาดว่าจะมาในช่วงกลางปีนี้

แผนการก่อสร้างพนังกั้นน้ำดังกล่าวถือเป็นมาตรการเร่งด่วน หลังจากปัญหาน้ำป่าหลากและแม่น้ำสายล้นตลิ่งได้สร้างความเสียหายอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในปี 2568 ที่มีสถิติฝนตกหนักและปริมาณน้ำมากกว่าค่าเฉลี่ย ส่งผลให้ระดับน้ำแม่น้ำสายสูงเกินจุดวิกฤติในหลายจุดตลอดแนวพรมแดน

การเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่น

ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดแค่ผู้ประกอบการร้านค้าเท่านั้น แต่ยังลุกลามไปถึงครอบครัวแรงงาน พ่อค้าแม่ค้า รวมทั้งเศรษฐกิจชุมชนรอบข้าง ดังนั้น ฝ่ายปกครองจึงให้ความสำคัญกับการจัดหาพื้นที่ค้าขายใหม่อย่างเร่งด่วน และจัดการระบายสินค้าที่ได้รับความเสียหายบางส่วน เช่น ผ้า เสื้อผ้า ของใช้เบ็ดเตล็ด ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าได้นำมาวางขายในราคาพิเศษเพื่อหมุนเวียนเงินทุนกลับมาใช้ดำรงชีวิตอีกครั้ง

นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือจากประชาชน นักท่องเที่ยว และหน่วยงานในพื้นที่ที่พร้อมสนับสนุนและให้กำลังใจแก่ผู้ค้า เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจชายแดนให้กลับมาแข็งแรงโดยเร็วที่สุด

คลี่คลายปมปัญหาและมองไปข้างหน้า

แม้การปิดตลาดสายลมจอยจะสร้างความเดือดร้อนในระยะสั้น แต่ถือเป็นมาตรการที่จำเป็นเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในระยะยาว เมื่อพนังกั้นน้ำเสร็จสมบูรณ์แล้ว พื้นที่ตลาดจะได้รับการปรับปรุงและเตรียมเปิดให้บริการอีกครั้ง พร้อมมาตรการป้องกันน้ำท่วมที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ในขณะเดียวกัน บทเรียนจากน้ำท่วมใหญ่ในครั้งนี้ จะถูกนำไปปรับใช้ในการวางแผนจัดการภัยพิบัติในอนาคต เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและระบบเตือนภัยในอำเภอแม่สาย รวมถึงการบริหารจัดการพื้นที่ริมน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยไม่กระทบต่อความปลอดภัย

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

  • ปี 2567-2568 อำเภอแม่สายประสบเหตุฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน ระดับน้ำในแม่น้ำสายสูงเกินจุดวิกฤติ (ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา)
  • ตลาดสายลมจอยมีร้านค้ากว่า 100 ร้าน และเป็นแหล่งทำรายได้หลักให้กับครอบครัวในพื้นที่กว่า 200 ครัวเรือน (ข้อมูลจากอำเภอแม่สาย)
  • การก่อสร้างพนังกั้นน้ำคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือน แล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2568 เพื่อรับมือฤดูฝนและพายุ (ข้อมูลจากกรมการทหารช่าง)
  • มูลค่าความเสียหายจากเหตุน้ำท่วมใหญ่ปีนี้ยังอยู่ระหว่างการประเมินของสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานธนารักษ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานอำเภอแม่สาย
  • กรมการทหารช่าง
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • คุณอัมพร ศรีสมุทร (เจ้าของโรงแรมปิยะพรฮิลล์)
  • กำนันตำบลเวียงพางคำ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ช่วย รมต. ลงเชียงราย เร่งแก้ปัญหาสารปนเปื้อน

รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาสารปนเปื้อนและอุทกภัยลุ่มน้ำกก–สาย เชียงราย เน้นบูรณาการทุกภาคส่วน มั่นใจคุณภาพน้ำปลอดภัย

ประเทศไทย, 28 พฤษภาคม 2568 –พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นำคณะผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนหน่วยงานจากส่วนกลาง ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายอย่างต่อเนื่องเพื่อติดตามผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหาสารปนเปื้อน (สารหนู) ในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย รวมถึงประเมินสถานการณ์อุทกภัยที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ โดยได้รับความร่วมมือจากรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย หน่วยงานระดับอำเภอ กรมการทหารช่าง และองค์กรที่เกี่ยวข้องในระดับจังหวัดและภูมิภาค

วิกฤตสิ่งแวดล้อมกับความหวังของคนเชียงราย

ปัญหาสารปนเปื้อนในลำน้ำกกและแม่น้ำสาย ถือเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลใจให้กับประชาชนในจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียงมาอย่างต่อเนื่อง จากผลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำที่ผ่านมาพบการปนเปื้อนของสารหนูในบางจุด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพชุมชน รวมถึงความปลอดภัยด้านประมง เกษตรกรรม และการใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน

โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนและฤดูน้ำหลาก ปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นและน้ำท่วมขังในบางพื้นที่ได้ทำให้ประชาชนในหลายอำเภอ โดยเฉพาะแม่สายและเชียงแสน ต้องเผชิญกับทั้งปัญหาสารปนเปื้อนและความเสี่ยงจากอุทกภัยในเวลาเดียวกัน

 

ความร่วมมือเชิงบูรณาการ เร่งฟื้นฟูคุณภาพน้ำและระบบป้องกันน้ำท่วม

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องประชุมธรรมลังกา ศาลากลางจังหวัดเชียงราย พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก พร้อมคณะผู้แทนจากสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมประชุมรับฟังรายงานสถานการณ์จากนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม สาธารณสุข ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกภาคส่วน

ที่ประชุมได้นำเสนอภาพรวมการดำเนินงานในช่วงปีที่ผ่านมา โดยมีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อแก้ไขปัญหาสารปนเปื้อนในน้ำแบบเฉพาะกิจ มีการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำเป็นระยะ ร่วมกับมาตรการเสริมสร้างความเข้าใจและให้ข้อมูลแก่ประชาชนอย่างตรงไปตรงมา รวมถึงโครงการพัฒนาระบบประปาให้ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยง เพื่อสร้างความมั่นใจว่าประชาชนจะมีน้ำสะอาดใช้อย่างเพียงพอ

พลเอก นิพัทธ์ เน้นย้ำว่ารัฐบาลภายใต้การนำของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญอย่างสูงสุดกับความปลอดภัยและสุขภาพของประชาชน โดยเน้นการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง โปร่งใส และชัดเจน พร้อมเปิดเผยว่ารัฐบาลพร้อมสนับสนุนทุกมาตรการที่จังหวัดเชียงรายนำเสนอ และจะเร่งขับเคลื่อนให้การแก้ไขปัญหาเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง

ติดตามสถานการณ์อุทกภัย-สารปนเปื้อนแม่สายอย่างใกล้ชิด

หลังการประชุมคณะฯ ได้ลงพื้นที่สวนสาธารณะหาดนครเชียงราย ประเมินสถานการณ์น้ำท่วมริมแม่น้ำกก และตรวจงานขุดลอกเพื่อระบายน้ำ พร้อมเดินทางต่อไปยังเขื่อนเชียงรายและอำเภอแม่สาย เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำสาย

ในเวลา 14.30 น. พลเอก นิพัทธ์ พร้อมคณะ ได้รับมอบหมายจากนายภูมิธรรม เวชยชัย เดินทางเข้าสู่ศูนย์บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ (OSS) ที่ว่าการอำเภอแม่สาย เพื่อรับฟังรายงานจากนายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีนายอิทธิพล ช่างกลึงดี ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจราชการที่ 16 ร่วมติดตามสถานการณ์

จุดสำคัญคือการลงพื้นที่ชุมชนหัวฝาย เพื่อตรวจสอบความคืบหน้าของโครงการก่อสร้างแนวพนังกั้นน้ำชั่วคราวและกึ่งถาวรบริเวณริมแม่น้ำสาย ซึ่งดำเนินงานโดยกรมการทหารช่าง นำโดยพลโท สิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง รายงานว่าขณะนี้หน่วยงานได้เร่งขุดลอกลำน้ำรวก ระยะทางรวม 18 กิโลเมตร เพื่อเพิ่มศักยภาพในการระบายน้ำและป้องกันน้ำท่วมขังในฤดูฝนปีนี้

การสื่อสารสร้างความเข้าใจ มุ่งมั่นลดความตื่นตระหนกและสร้างความมั่นใจ

นายภูมินทร ปลั่งสมบัติ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำถึงบทบาทของสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย ในการรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง และสื่อสารข่าวสารให้ประชาชนรับรู้ตรงกันทุกภาคส่วน โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาพน้ำและมาตรการป้องกันน้ำท่วม เพื่อคลายความวิตกกังวลและสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัย

พลเอก นิพัทธ์ ยืนยันกับประชาชนจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ชายแดนว่า น้ำประปาในพื้นที่ปลอดภัย สามารถบริโภคได้ตามมาตรฐาน ขณะที่น้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายยังคงใช้เพื่อการประมงและการเกษตรได้อย่างปกติ หน่วยงานสาธารณสุขจังหวัดได้ออกตรวจคัดกรองและดูแลสุขภาพประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันผลกระทบระยะยาวจากการปนเปื้อนสารหนู

การวิเคราะห์และข้อสังเกต จากวิกฤตสู่โอกาสสร้างระบบบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

เหตุการณ์ในครั้งนี้สะท้อนถึงความเข้มแข็งของการประสานงานระหว่างรัฐบาลกลาง จังหวัด และท้องถิ่นในการรับมือกับภัยพิบัติและปัญหาสิ่งแวดล้อมเชิงซ้อน แม้จะต้องเผชิญกับปัจจัยหลายประการ เช่น ภัยธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผลกระทบจากกิจกรรมในพื้นที่ต้นน้ำฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน (เมียนมา) แต่ด้วยระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำและการแจ้งเตือนแบบบูรณาการ ส่งผลให้สามารถควบคุมและบริหารสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ยังพบว่ามาตรการขุดลอกลำน้ำและก่อสร้างแนวพนังกั้นน้ำ ได้ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดน้ำท่วมในช่วงฤดูฝน และลดผลกระทบต่อชุมชนในเขตลุ่มน้ำสายและลุ่มน้ำกกอย่างเห็นได้ชัด โดยชาวบ้านและเกษตรกรสามารถดำเนินชีวิตตามปกติได้ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา

สถิติและแหล่งอ้างอิง

  • ผลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำ: กรมควบคุมมลพิษ (2568) รายงานว่าปริมาณสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ลดลงสู่ค่ามาตรฐานใน 90% ของจุดตรวจวัดในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา
  • น้ำประปาจังหวัดเชียงราย: การประปาส่วนภูมิภาค รายงานคุณภาพน้ำผ่านเกณฑ์มาตรฐาน WHO ทุกสถานี
  • ขุดลอกลำน้ำรวก: กรมการทหารช่าง รายงานดำเนินการขุดลอกระยะทาง 18 กิโลเมตร เสร็จสมบูรณ์แล้ว 14 กิโลเมตร
  • เฝ้าระวังสุขภาพประชาชน: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย รายงานการคัดกรองสุขภาพประชาชนในเขตเสี่ยงกว่า 7,000 คน ไม่พบผู้ป่วยโรคเฉียบพลันจากสารหนูในรอบ 6 เดือน
  • ข้อมูลประชาสัมพันธ์: สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย, OSS อำเภอแม่สาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักนายกรัฐมนตรี
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมการทหารช่าง
  • การประปาส่วนภูมิภาค
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ (OSS) อำเภอแม่สาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

สมาคมนักข่าวไทย-กัมพูชา วอนสื่อหยุดข่าวลือชายแดน

เหตุการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี – สื่อสองชาติร่วมเรียกร้องหยุดข่าวลวง หวังความสงบและสันติวิธี

ประเทศไทย, 28 พฤษภาคม 2568 –ได้เกิดเหตุการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ภายหลังจากที่ทหารไทยซึ่งลาดตระเวนพื้นที่บริเวณดังกล่าว พบว่ามีกำลังทหารกัมพูชาเข้ามาขุดคูเลตหรือสนามเพลาะ พร้อมสร้างจุดที่ตั้งบริเวณแนวชายแดนดังกล่าว จนต้องมีการเข้าไปเจรจาให้ถอนกำลังและยุติกิจกรรมดังกล่าว เนื่องจากถือเป็นการละเมิดบันทึกข้อตกลงร่วมไทย-กัมพูชา หรือ MOU 2543 เป็นครั้งที่สองในรอบปีนี้

เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้สถานการณ์บริเวณชายแดนตึงเครียดขึ้นในทันที แม้จะยังไม่มีรายงานการบาดเจ็บหรือสูญเสียชีวิตแน่ชัด แต่ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเสี่ยงสำคัญที่อาจนำไปสู่การปะทะหรือความขัดแย้งขยายวงกว้าง หากไม่มีการจัดการด้วยความรอบคอบและร่วมมือกันทั้งสองฝ่าย

จุดเริ่มต้นของเหตุปะทะความเคลื่อนไหวในพื้นที่สีเทา

เหตุการณ์เริ่มต้นจากการที่ทหารไทยปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนตามแนวชายแดนตามปกติ เพื่อป้องกันการรุกล้ำและรักษาความสงบในพื้นที่ ต่อมาได้ตรวจพบว่ามีกำลังทหารจากฝั่งกัมพูชา เข้ามาขุดคูสนามเพลาะ ซึ่งเป็นกิจกรรมต้องห้ามภายใต้ MOU2543 ซึ่งเป็นบันทึกข้อตกลงว่าด้วยมาตรการรักษาความสงบชายแดนไทย-กัมพูชา ที่สองประเทศได้ร่วมลงนามและยึดถือปฏิบัติมายาวนาน

เมื่อทหารไทยได้เข้าไปเจรจาขอให้ถอนกำลังออกจากพื้นที่ ฝ่ายกัมพูชายังไม่ยินยอมโดยทันที ทำให้บรรยากาศในพื้นที่ชายแดนตึงเครียดมากขึ้น อย่างไรก็ดี จากการปฏิบัติการของทั้งสองฝ่าย ยังไม่มีรายงานการใช้กำลังรุนแรงหรือเกิดความเสียหายใดๆ แต่สถานการณ์ยังคงเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

ปมปัญหา MOU2543 เส้นแบ่งที่ยังคลุมเครือ

MOU2543 เป็นบันทึกข้อตกลงสำคัญซึ่งรัฐบาลไทยและกัมพูชาได้ลงนามร่วมกันเมื่อปี 2543 ว่าด้วยการห้ามดำเนินการใดๆ ที่อาจเปลี่ยนแปลงสภาพที่เป็นอยู่ตามแนวชายแดนที่ยังไม่มีข้อสรุปอย่างเป็นทางการ (Pending Boundary) โดยเฉพาะในพื้นที่พิพาทหรือยังไม่ได้ตกลงเขตแดนที่ชัดเจน

อย่างไรก็ตาม การตีความขอบเขตพื้นที่และเจตนาของ MOU2543 ในแต่ละฝ่ายยังคงแตกต่างกันอยู่บ้าง ทำให้เกิดจุดอ่อนไหวและการกระทบกระทั่งเป็นระยะๆ ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่มักจะยุติได้ด้วยกลไกการเจรจาและการควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่ร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ทั้งสองประเทศ

บทบาทของสื่อมวลชนจุดเปลี่ยนแห่งความเข้าใจ หรือซ้ำเติมปัญหา

ภายหลังเหตุการณ์ปะทะดังกล่าว ทั้งสโมสรนักข่าวกัมพูชา (CCJ) และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (TJA) ได้ออกแถลงการณ์ร่วมอย่างเร่งด่วน สืบเนื่องจากการสังเกตการณ์ว่ามีสื่อบางแห่ง โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย ได้นำเสนอข้อมูลที่ขาดแหล่งอ้างอิงชัดเจน หรือข้อมูลผิดพลาดเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งสร้างความสับสนและความเข้าใจผิดอย่างกว้างขวางในทั้งสองประเทศ

ทั้ง CCJ และ TJA แสดงความกังวลอย่างมากต่อการเผยแพร่ข่าวสารที่ไม่มีที่มาที่ไป หรือมีเจตนาให้เกิดความเข้าใจผิด เพราะนอกจากจะเพิ่มความตึงเครียดในพื้นที่แล้ว ยังบั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนสองชาติที่สะสมความไว้เนื้อเชื่อใจมาอย่างยาวนาน

ข้อเรียกร้องจากสององค์กรสื่อความรับผิดชอบต่อสังคมต้องมาก่อนยอดแชร์

CCJ และ TJA ได้จัดประชุมออนไลน์ฉุกเฉินในวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เพื่อกำหนดแนวทางรับมือสถานการณ์ข่าวสารเกี่ยวกับพื้นที่ชายแดน และได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

  1. เรียกร้องให้สื่อมวลชนในทั้งสองประเทศใช้ความระมัดระวังสูงสุด หลีกเลี่ยงการนำเสนอข้อมูลที่ไม่มีแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ หรือข้อมูลที่เป็นเท็จ โดยเฉพาะกรณีที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์บริเวณชายแดน เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองหรือสร้างความแตกแยก
  2. ขอความร่วมมือจากผู้ใช้โซเชียลมีเดียในทั้งสองประเทศให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนแชร์ข่าวสารใดๆ ที่เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เพราะการกระทำดังกล่าวอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดในวงกว้าง และยากต่อการควบคุมผลกระทบ

การแก้ไขปัญหาการทูตยังเป็นทางออกที่ดีที่สุด

ทั้งสององค์กรย้ำความหวังว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะได้รับการคลี่คลายผ่านกลไกทางการทูต และการหารืออย่างสร้างสรรค์ระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามจนกระทบต่อความสัมพันธ์อันยาวนานทั้งในระดับประชาชนและรัฐชาติ โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไทยและกัมพูชาสามารถผ่านพ้นจุดวิกฤตลักษณะนี้ได้ด้วยสันติวิธี และการเปิดพื้นที่ให้เจรจาอย่างตรงไปตรงมา

ความเปราะบางของพรมแดนกับโอกาสในการป้องกันวิกฤต

สถานการณ์ปะทะที่ช่องบกในครั้งนี้สะท้อนถึง “ความเปราะบาง” ของเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งเป็นเส้นแบ่งที่ทั้งสองประเทศยังต้องตกลงรายละเอียดกันอีกมาก ขณะที่โซเชียลมีเดียและการสื่อสารยุคใหม่ กลายเป็นทั้งโอกาสในการแจ้งเตือนและ “ดาบสองคม” ที่อาจเร่งให้เกิดความตึงเครียดหากขาดการกลั่นกรองข้อเท็จจริง

ในขณะที่กระแสข่าวสารบนโซเชียลมีเดียเคลื่อนไหวรวดเร็ว สื่อกระแสหลักและองค์กรวิชาชีพสื่อจึงต้องมีบทบาทคัดกรอง ปกป้องประโยชน์สาธารณะ และไม่ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกำลังเปราะบาง การเปิดพื้นที่พูดคุย แลกเปลี่ยน และใช้กลไกการทูตจึงยังเป็นวิธีที่ทั้งสองประเทศควรยึดถืออย่างมั่นคง

สถิติและแหล่งอ้างอิง

  • สถิติการปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา: จากข้อมูลกระทรวงกลาโหมไทย รายงานว่าในช่วงปี 2566-2568 มีเหตุการณ์ความตึงเครียดชายแดนรวม 6 ครั้ง โดย 2 ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี (ที่มา: กระทรวงกลาโหม)
  • มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ปี 2567 อยู่ที่ 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ที่มา: กระทรวงพาณิชย์)
  • จำนวนการแชร์ข้อมูลข่าวปลอมเกี่ยวกับชายแดนไทย-กัมพูชา ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2568 พบว่ามีกว่า 3,500 ครั้งบนโซเชียลมีเดีย (ที่มา: กองตรวจสอบข่าวปลอม สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ)
  • ข้อมูลความร่วมมือด้านสื่อ: สโมสรนักข่าวกัมพูชา (CCJ) และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (TJA)
  • รายละเอียดบันทึกข้อตกลง MOU2543: กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กระทรวงกลาโหม
  • กระทรวงพาณิชย์
  • กองตรวจสอบข่าวปลอม สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
  • สโมสรนักข่าวกัมพูชา (CCJ)
  • สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (TJA)
  • กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลเชียงรายต้อนรับสปสช. พัฒนาสาธารณสุข

เทศบาลนครเชียงรายต้อนรับ สปสช. ศึกษาดูงานการพัฒนาระบบสุขภาพท้องถิ่น มุ่งสร้าง “เมืองแห่งความสุข” อย่างยั่งยืน

เชียงราย, 27 พฤษภาคม 2568 – เทศบาลนครเชียงราย เปิดบ้านต้อนรับคณะศึกษาดูงานจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อนำเสนอแนวทางการยกระดับระบบบริการสาธารณสุขแบบบูรณาการ ที่เน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนทุกกลุ่มวัยบนฐานของการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในพื้นที่ พร้อมเดินหน้ายกระดับ “นครเชียงราย เมืองน่าอยู่ นครแห่งความสุข” อย่างเป็นรูปธรรม

ภายใต้การนำของ พ.จ.อ. อัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา ปลัดเทศบาล ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมคณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่เทศบาล ได้ให้การต้อนรับ นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ นายแพทย์สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ, นายแพทย์พงศ์เทพ วงศ์วัชระไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และ นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข

เชียงรายเมืองน่าอยู่” เริ่มต้นจากชุมชนเข้มแข็ง

เทศบาลนครเชียงรายได้นำเสนอแนวคิด “เมืองสร้างคน คนสร้างเมือง” ซึ่งเป็นแกนหลักในการพัฒนาเมืองอย่างต่อเนื่องผ่านการบูรณาการทุกภาคส่วน ตั้งแต่หน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาชน องค์กรเอกชน และสถาบันการศึกษา โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางการวางนโยบาย เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในด้านสาธารณสุขที่เป็นกลไกสำคัญของคุณภาพชีวิต

ความร่วมมือระดับชาติสู่พื้นที่จริง

การต้อนรับคณะจาก สปสช. ครั้งนี้ มุ่งแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และประเมินความก้าวหน้าในการดำเนินงานด้านสุขภาพของเทศบาลนครเชียงราย ที่ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ, กองทุนสุขภาพระดับท้องถิ่น, สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), รวมถึงหน่วยบริการสุขภาพในพื้นที่และสถาบันการศึกษาชั้นนำในภาคเหนือ

มหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมเป็นเครือข่าย ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย, มหาวิทยาลัยพะเยา, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาเชียงราย ซึ่งมีบทบาทในการสนับสนุนองค์ความรู้ การวิจัย และการพัฒนากำลังคนด้านสุขภาพชุมชน

สามมิติสู่เมืองแห่งความสุข

การดำเนินการขับเคลื่อนเมืองแห่งความสุขของเทศบาลนครเชียงราย ถูกจัดวางภายใต้แนวคิด นครเชียงราย เมืองน่าอยู่ นครแห่งความสุข” ใน 3 มิติ ได้แก่

  1. สุขภาพดี – ประชาชนเข้าถึงบริการด้านสุขภาพอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง กลุ่มคนพิการ และผู้มีรายได้น้อย
  2. สังคมดี – การสร้างความร่วมมือระหว่างภาคส่วนและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาพื้นที่ของตนเอง
  3. สิ่งแวดล้อมดี – การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ การจัดการขยะ การส่งเสริมพื้นที่สีเขียว เพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน

กองทุนสุขภาพท้องถิ่น กลไกสำคัญของความยั่งยืน

เทศบาลนครเชียงรายได้เป็นหนึ่งในพื้นที่ต้นแบบที่บริหารจัดการกองทุนสุขภาพในระดับท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีกองทุนสุขภาพ 3 รูปแบบสำคัญที่ดำเนินการแล้ว ดังนี้

  • กองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่น (กปท.): ทั่วประเทศมีการจัดตั้งแล้วกว่า 7,760 แห่ง
  • กองทุน LTC (Long Term Care): สำหรับการดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน จัดตั้งแล้ว 7,423 แห่ง
  • กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพระดับจังหวัด: มีการดำเนินงานแล้ว 72 แห่ง จากทั้งหมด 76 แห่งในประเทศไทย (ข้อมูล ณ เมษายน 2568)

ผลงานจริง ประชาชนสัมผัสได้

นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี กล่าวว่า “เทศบาลนครเชียงรายถือเป็นตัวอย่างของพื้นที่ที่สามารถบูรณาการกองทุนจากหลายหน่วยงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยไม่มีงบประมาณซ้ำซ้อน และมีระบบติดตามผลที่วัดได้จริง ส่งผลให้ประชาชนในทุกกลุ่มวัยได้รับการดูแลที่มีคุณภาพ ทั้งด้านสุขภาพกาย ใจ และสังคม”

จากการรายงานผลลัพธ์ของการดำเนินงานในรอบปี 2567 พบว่า เทศบาลสามารถให้บริการประชาชนได้ครอบคลุมกว่า 96% ของจำนวนประชากรในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่เข้าถึงบริการเพิ่มขึ้นถึง 82% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเริ่มโครงการ

วิเคราะห์ผลกระทบของการดำเนินโครงการสุขภาพท้องถิ่น

ผลกระทบเชิงบวก

  • ประชาชนได้รับบริการด้านสุขภาพแบบองค์รวม ครอบคลุมทุกกลุ่มวัย
  • งบประมาณด้านสาธารณสุขมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการซ้ำซ้อน
  • การบูรณาการระหว่างหน่วยงานรัฐและชุมชน ทำให้เกิดนโยบายจากล่างขึ้นบน (Bottom-Up Policy)
  • สร้างความร่วมมือระยะยาวกับภาคการศึกษาและภาคประชาสังคม

ข้อท้าทาย

  • ความต่อเนื่องของโครงการยังขึ้นอยู่กับงบประมาณประจำปี
  • ความแตกต่างทางบริบทชุมชนอาจทำให้การดำเนินงานไม่เท่ากันในแต่ละพื้นที่
  • ความเข้าใจและทักษะของบุคลากรท้องถิ่นในการบริหารกองทุนยังต้องได้รับการพัฒนา

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากข้อมูล สปสช. ณ เมษายน 2568 ประเทศไทยมี 7,760 กองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่น, 7,423 กองทุน LTC และ 72 กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพระดับจังหวัด
  • เทศบาลนครเชียงรายมีประชากรประมาณ 71,000 คน โดยมีหน่วยบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิจำนวน 12 แห่ง
  • ร้อยละ 96 ของประชากรในเขตเทศบาลเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพประจำปี
  • เทศบาลใช้จ่ายงบประมาณเฉลี่ยต่อหัวในการพัฒนาระบบสุขภาพ ประมาณ 256 บาท/คน/ปี โดยมีแนวโน้มลดลงเนื่องจากการบริหารแบบบูรณาการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • เทศบาลนครเชียงราย

  • สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

  • สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

  • สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข

  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

  • รายงานติดตามผลโครงการกองทุนสุขภาพเทศบาลนครเชียงราย ปี 2567

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเคลื่อนที่ มอบสุขถึงบ้าน แก้ปัญหาชุมชน

อบจ.เชียงราย ร่วมขับเคลื่อนโครงการ “หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้ม” ส่งความสุข-บริการถึงบ้าน สร้างคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนให้ชุมชน

เชียงราย, 27 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้านโยบาย “รัฐบริการเชิงรุก” ด้วยการนำหน่วยงานภาครัฐออกให้บริการถึงพื้นที่ห่างไกล ผ่านโครงการ “หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน” ซึ่งจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องประจำปีงบประมาณ 2568 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐอย่างเท่าเทียม พร้อมรับฟังปัญหาเพื่อหาทางออกอย่างมีส่วนร่วม

ในครั้งนี้จัดขึ้น ณ บ้านป่าลัน หมู่ 5 ตำบลปงน้อย อำเภอดอยหลวง จังหวัดเชียงราย โดยมี นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี ณ วัดป่าอรัญญวิเวก พร้อมด้วย นางสุวาภรณ์ จิตต์พลีชีพ รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย, นายสุทัศน์ ลิ้มวณิชย์กุล นายอำเภอดอยหลวง และ นายแพทย์เอกชัย คำลือ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย เข้าร่วม พร้อมบูรณาการกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ผู้นำท้องถิ่น และอาสาสมัคร พอ.สว.

จาก “หน่วยรัฐประจำจังหวัด” สู่ “รัฐบริการเชิงรุกถึงบ้าน”

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมาย นางนภาภัณฑ์ ต่วนชะเอม เลขานุการ อบจ. พร้อมด้วยบุคลากรกองสาธารณสุข ร่วมลงพื้นที่กับโครงการในครั้งนี้ เพื่อรับฟังปัญหาอย่างใกล้ชิด และตรวจเยี่ยมผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงในพื้นที่จำนวน 5 ราย ตอกย้ำภารกิจหลักของ อบจ. ในฐานะองค์กรท้องถิ่นที่ใส่ใจสุขภาวะของประชาชน

โครงการนี้ถือเป็นรูปธรรมของการขับเคลื่อน ยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพชีวิตในถิ่นทุรกันดาร โดยนำบริการรัฐหลากหลายด้านมาไว้ในพื้นที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการทางการแพทย์ การตรวจสุขภาพ การให้คำปรึกษาด้านสวัสดิการ การเกษตร การศึกษา รวมถึงการเปิดช่องทางร้องเรียน-ร้องทุกข์ต่อหน่วยงานภาครัฐได้โดยตรง

ลดภาระ เพิ่มโอกาส สร้างสุขใกล้บ้าน

หัวใจสำคัญของโครงการ คือการทำให้ประชาชนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางไกลเพื่อเข้ารับบริการที่จำเป็น ซึ่งจากการสัมภาษณ์ประชาชนในพื้นที่ต่างสะท้อนเสียงตรงกันว่า “สะดวก รวดเร็ว ไม่รู้สึกถูกทอดทิ้ง” ขณะที่ผู้ป่วยติดเตียงในชุมชนได้รับการเยี่ยมเยียนและตรวจสุขภาพถึงบ้าน ถือเป็นการฟื้นฟูสุขภาพกายใจในเวลาเดียวกัน

อีกทั้งหน่วยงานที่เข้าร่วมในครั้งนี้ยังได้มอบ ถุงยังชีพ 100 ชุด, ข้าวสาร 50 ถุง, ผ้าห่มกันหนาว 100 ชุด, และ พันธุ์ปลา 20 ถุง ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น พร้อมส่งเสริมการพึ่งพาตนเองในครัวเรือน

Clinic Center ช่องทางเชื่อมรัฐ-ชุมชนอย่างใกล้ชิด

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ยังได้เปิด “Clinic Center” เป็นหน่วยงานประสานงานกลางที่เปิดรับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ และคำแนะนำจากประชาชนโดยตรง โดยเฉพาะปัญหาด้านสาธารณสุข การศึกษา สิ่งแวดล้อม และโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าไปแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น

Clinic Center ยังมีบทบาทในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยประชาชนสามารถเสนอแนวคิดการพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง และเป็นเจ้าของโครงการต่างๆ ได้มากขึ้น สอดคล้องกับหลักการ “ประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา”

บูรณาการหน่วยงาน รัฐ-เอกชน-อาสาสมัคร ผนึกกำลังเพื่อท้องถิ่น

ความสำเร็จของโครงการครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึง พลังของความร่วมมือ ระหว่างหน่วยงานราชการระดับจังหวัด อำเภอ อบจ. โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เหล่ากาชาด และภาคประชาชน อาสาสมัคร พอ.สว. ที่ร่วมกันสนับสนุนทั้งทรัพยากร กำลังคน และความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการแบบครบวงจร

การมีส่วนร่วมของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในอำเภอดอยหลวง ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ อบจ.เชียงราย ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการติดตามข้อมูลสุขภาพประชาชนอย่างต่อเนื่อง และเชื่อมโยงเข้าสู่ระบบข้อมูลสาธารณสุขจังหวัด

วิเคราะห์ผลลัพธ์ของโครงการ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข”

ผลกระทบเชิงบวก

  • ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงบริการของรัฐได้สะดวกและทั่วถึง
  • ผู้ป่วยติดเตียงได้รับการดูแลต่อเนื่อง ไม่ถูกทอดทิ้ง
  • ลดความเหลื่อมล้ำด้านบริการสาธารณะ
  • เสริมสร้างความเชื่อมั่นในระบบราชการและการบริหารงานของ อบจ. และหน่วยงานท้องถิ่น

ข้อสังเกตเชิงลบ/ความท้าทาย

  • บางพื้นที่ยังขาดอุปกรณ์การแพทย์และบุคลากรเฉพาะทาง
  • ความต่อเนื่องของโครงการขึ้นอยู่กับงบประมาณและการประสานงาน
  • ความต้องการของประชาชนในบางประเด็นอาจยังไม่ได้รับการตอบสนองอย่างครอบคลุม

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากข้อมูลของ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (พ.ศ. 2567) พบว่า ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลกว่า 28% เคยไม่ได้รับบริการสาธารณสุขเพราะไม่มีรถรับส่งหรือค่าเดินทาง
  • โครงการ “หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน” ปี 2567 จัดขึ้นรวม 18 ครั้งใน 18 อำเภอ ครอบคลุมประชาชนกว่า 35,000 ราย
  • รายงานผลการเยี่ยมผู้ป่วยติดเตียงในจังหวัดเชียงราย ปี 2567 ระบุว่า กว่า 3,700 ราย อยู่ในพื้นที่เสี่ยงขาดการดูแลหากไม่มีโครงการเยี่ยมบ้านแบบเคลื่อนที่
  • กรมการปกครอง ระบุว่า โครงการจังหวัดเคลื่อนที่สามารถลดภาระการเดินทางของประชาชนได้เฉลี่ย กว่า 850 บาท/ครัวเรือน/ครั้ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
  • รายงานโครงการจังหวัดเคลื่อนที่ 2567-2568
  • เหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

รัฐเร่งแก้สารปนเปื้อนแม่น้ำกก เน้นความปลอดภัยชาวเชียงราย

เชียงรายเดินหน้าแก้ปัญหาคุณภาพน้ำผิวดิน รัฐบาลเร่งตั้งศูนย์บัญชาการส่วนหน้า-เตรียมหารือรัฐบาลเมียนมา หลังพบสารปนเปื้อนแม่น้ำกก

เชียงราย, 27 พฤษภาคม 2568 – ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมครั้งสำคัญ เมื่อปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำกกที่ไหลผ่านจังหวัดเชียงรายมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น จนรัฐบาลต้องตั้ง “ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ส่วนหน้า” เพื่อรับมือและปกป้องสุขภาพของประชาชนอย่างเร่งด่วน

การประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ครั้งที่ 1/2568 จัดขึ้นที่ห้องประชุมจอมกิตติ ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุม ร่วมด้วย นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรองประธานคณะอนุกรรมการฯ

ไต่ระดับปัญหา แม่น้ำกกกับสารปนเปื้อนปริศนา

จากรายงานของ สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 พบว่ามีค่าการปนเปื้อนของสารบางชนิดในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ที่ผิดปกติจากมาตรฐานในหลายจุด แม้ยังไม่สามารถชี้ชัดแหล่งที่มาโดยตรงได้ แต่มีข้อสันนิษฐานว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับเหมืองแร่ทองคำบริเวณฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน

รองนายกรัฐมนตรีกล่าวอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ” และย้ำว่ารัฐบาลกำลังเดินหน้าในการประสานความร่วมมือระดับนโยบายกับรัฐบาลเมียนมา เพื่อหาทางออกที่ยั่งยืนในการจัดการต้นตอของมลพิษ

สั่งตั้งศูนย์บัญชาการส่วนหน้า รับมือภาวะฉุกเฉิน

ในการประชุมครั้งนี้ ได้มีการสั่งการตั้ง ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ส่วนหน้า” โดยมอบหมายให้นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ เป็นประธาน เพื่อประสานงานระหว่างจังหวัดกับส่วนกลางอย่างใกล้ชิด ข้อมูลจะถูกสื่อสารถึงประชาชนอย่างโปร่งใสและรวดเร็ว รวมถึงดำเนินการติดตามสารปนเปื้อนในน้ำ พืชผัก สัตว์น้ำ ดิน และสุขภาพประชาชนอย่างเข้มข้น

กรมควบคุมมลพิษและกรมอนามัยได้ร่วมกันนำ ชุดตรวจ Rappit Test มาใช้ตรวจวัดสารปนเปื้อนเบื้องต้น รู้ผลภายใน 20 นาที ขณะที่ตัวอย่างน้ำจะถูกส่งต่อไปยังห้องแล็บในส่วนกลางเนื่องจากเชียงรายและเชียงใหม่ยังไม่มีห้องปฏิบัติการวิเคราะห์สารเฉพาะทางในระดับลึก

ยืนยันน้ำประปาสะอาด ปลาป่วยเกิดจากแบคทีเรีย

อีกประเด็นที่ประชาชนในพื้นที่ให้ความสนใจคือความปลอดภัยของน้ำประปาและปลาที่บริโภคได้หรือไม่ ในเรื่องนี้ นายสุทัศน์ นุชปาน รองผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค เปิดเผยขั้นตอนการผลิตน้ำประปาของสถานีวังคำ ซึ่งมีการตรวจสอบคุณภาพน้ำดิบตลอดกระบวนการ รวมถึงใส่คลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อโดยไม่กระทบสุขภาพ และส่งน้ำเข้าสู่หอถังสูงอย่างปลอดภัย

ส่วนปลาที่พบการเจ็บป่วยนั้น จากผลตรวจของกรมประมงและกรมอนามัย พบว่าเกิดจาก พยาธิใบไม้และแบคทีเรีย ไม่พบสารหนูในเนื้อปลาตามที่เป็นข่าวในช่วงก่อนหน้านี้ รัฐบาลจึงขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก และติดตามข้อมูลจากหน่วยงานรัฐอย่างใกล้ชิด

ลงพื้นที่จริง สร้างความมั่นใจให้ประชาชน

หลังจบการประชุม รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นำคณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม สถานีผลิตน้ำวังคำ และห้องแลปการประปาส่วนภูมิภาคเชียงราย โดยมี นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม เพื่อตรวจสอบกระบวนการผลิตน้ำประปา และขั้นตอนการทดสอบคุณภาพน้ำด้วยตนเอง

คณะได้ร่วมกันดื่มน้ำประปาเพื่อแสดงความมั่นใจในคุณภาพน้ำที่จ่ายให้ประชาชน พร้อมลงพื้นที่ต่อที่ ฝายเชียงราย ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการดักตะกอนและกรองมลพิษจากต้นน้ำ

วิเคราะห์ผลลัพธ์จากสถานการณ์ครั้งนี้

ผลกระทบเชิงบวก

  • รัฐบาลมีการตอบสนองที่รวดเร็ว สร้างความมั่นใจให้ประชาชน
  • เกิดความร่วมมือระหว่างกระทรวงและหน่วยงานท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ
  • ข้อมูลถูกสื่อสารต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส

ผลกระทบเชิงลบ

  • คุณภาพน้ำแม่น้ำกกที่เสื่อมโทรมอาจกระทบการเกษตรและประมงในระยะยาว
  • การไม่มีห้องแล็บวิเคราะห์สารในภาคเหนือ ทำให้ต้องรอผลจากส่วนกลาง ซึ่งอาจล่าช้า
  • ความไม่มั่นใจของประชาชนต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมอาจกระทบการท่องเที่ยวในอนาคต

แผนระยะสั้น-ยาวในการฟื้นฟูและป้องกัน

รัฐบาลได้มีแนวทางดำเนินการใน 2 ระยะ คือ

  • ระยะสั้น: จัดตั้งหลุมดักตะกอนในแม่น้ำเพื่อดักจับสารปนเปื้อนเบื้องต้น พร้อมกำหนดจุดตรวจสอบคุณภาพน้ำในพื้นที่เสี่ยง
  • ระยะยาว: ออกแบบและก่อสร้างฝายดักตะกอนแบบถาวร โดยมี “แก้มลิง” สำรองน้ำ พร้อมทั้งศึกษาการจัดหาน้ำดิบสำรองเพื่อความมั่นคงด้านน้ำในอนาคต

ขณะนี้ กรมทรัพยากรน้ำ ได้เริ่มดำเนินการออกแบบโครงสร้างฝายดักตะกอนและระบบแก้มลิงแล้ว คาดว่าจะใช้เวลาไม่นานในการออกแบบและเปิดประมูลก่อสร้าง

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากการเก็บตัวอย่างน้ำในแม่น้ำกก โดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 ในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2568 รวม 6 ครั้ง พบว่า สารปนเปื้อนลดลงหลังผ่านฝายเชียงรายในอัตราเฉลี่ย 17.6%
  • จากข้อมูลกรมควบคุมมลพิษ (พ.ค. 2568) สารที่พบในน้ำได้แก่ โลหะหนักบางชนิด เช่น สังกะสี (Zn), ทองแดง (Cu) แต่ยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเฉลี่ยไม่เกิน 0.5 มก./ลิตร
  • ประชาชนในเขตการใช้น้ำประปาส่วนภูมิภาคเชียงราย มีมากกว่า 65,000 คน ซึ่งอาศัยน้ำจากแม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำดิบหลัก
  • การประปาส่วนภูมิภาคระบุว่า มีการเก็บตัวอย่างน้ำตรวจวิเคราะห์ ทุก 2 วัน และรายงานผลรายสัปดาห์เข้าส่วนกลาง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
  • กระทรวงมหาดไทย
  • การประปาส่วนภูมิภาค
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมอนามัย
  • กรมประมง
  • กรมทรัพยากรน้ำ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

นักท่องเที่ยวจีนหาย KKP ชี้ความปลอดภัยลดลง

วิกฤตนักท่องเที่ยวจีนในประเทศไทย โอกาสและความท้าทายในการฟื้นฟูการท่องเที่ยว

ประเทศไทย, 26 พฤษภาคม 2568 – อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย ซึ่งเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของชาติ กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญ เมื่อจำนวนนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเคยเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ลดลงอย่างน่าตกใจในช่วงต้นปี 2568 สถานการณ์นี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของธุรกิจท่องเที่ยวในเมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่างเชียงราย ภูเก็ต และกรุงเทพฯ แต่ยังทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า “นักท่องเที่ยวจีนหายไปไหน?” และประเทศไทยจะปรับตัวอย่างไรเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับโลก

ความหวังที่พังทลายหลังตรุษจีน

ในช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 นักท่องเที่ยวจีนถือเป็นกำลังสำคัญของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย โดยในปี 2562 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยถึง 11 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 28% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด และสร้างรายได้กว่า 5.3 แสนล้านบาทต่อปี ด้วยตัวเลขที่สูงเช่นนี้ ประเทศไทยจึงคาดหวังว่านักท่องเที่ยวจีนจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการระบาด โดยเฉพาะเมื่อจีนเริ่มผ่อนคลายนโยบาย Zero-COVID และเปิดประเทศในช่วงปลายปี 2565

ในช่วงปลายปี 2567 ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนเริ่มแสดงสัญญาณการฟื้นตัว โดยมีจำนวนเฉลี่ย 560,000 คนต่อเดือน ซึ่งคิดเป็น 60-70% ของระดับก่อนโควิด-19 ความหวังพุ่งสูงขึ้นเมื่อช่วงเทศกาลตรุษจีนในเดือนมกราคม 2568 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยถึง 660,000 คน ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่จีนเปิดประเทศ อย่างไรก็ตาม ความหวังนี้กลับพังทลายลงอย่างรวดเร็ว เมื่อตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน 2568 ลดลงเกือบครึ่ง เหลือเพียง 300,000 คนต่อเดือน หรือเพียง 30% ของระดับก่อนโควิด-19

สถานการณ์นี้สร้างความกังวลอย่างมากในหมู่ผู้ประกอบการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในเมืองอย่างเชียงราย ซึ่งเป็นจุดหมายยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจีนที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ คำถามที่ตามมาคือ สาเหตุใดที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนลดลงอย่างรุนแรง และประเทศไทยจะรับมือกับวิกฤตนี้ได้อย่างไร KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ได้วิเคราะห์สถานการณ์นี้และชี้ให้เห็นถึงปัจจัยเชิงโครงสร้างและชั่วคราวที่ส่งผลต่อการลดลงของนักท่องเที่ยวจีน พร้อมทั้งเสนอแนะแนวทางการปรับตัวเพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

สาเหตุของการหดตัวของนักท่องเที่ยวจีน

KKP Research ได้ระบุถึงสามปัจจัยหลักที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงต้นปี 2568 ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยเชิงโครงสร้างและชั่วคราว ดังนี้:

  1. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการท่องเที่ยวของชาวจีน
    ปัจจัยเชิงโครงสร้างที่สำคัญคือการที่นักท่องเที่ยวจีนหันมาให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวภายในประเทศมากขึ้น ตามนโยบายของรัฐบาลจีนที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน ข้อมูลจาก China Tourism Academy ระบุว่า ในปี 2567 นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางภายในประเทศฟื้นตัวถึง 93.6% ของระดับปี 2562 ในขณะที่นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางไปต่างประเทศฟื้นตัวเพียง 86.5% เท่านั้น การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเติบโตเพียง 4.8% ในปี 2567 ตามข้อมูลของ National Bureau of Statistics of China ยังส่งผลให้กำลังซื้อของนักท่องเที่ยวจีนลดลง ทำให้หลายคนเลือกท่องเที่ยวในประเทศที่มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจากนักท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ไปสู่นักท่องเที่ยวอิสระ (Free Individual Traveler: FIT) เป็นอีกปัจจัยสำคัญ ในอดีต นักท่องเที่ยวจีนที่มาไทยมีสัดส่วนกรุ๊ปทัวร์สูงถึง 40% ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคที่อยู่ระหว่าง 10-20% อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในปี 2567 พบว่านักท่องเที่ยวจีนที่เป็นกรุ๊ปทัวร์ลดลงเหลือเพียง 20% ในขณะที่นักท่องเที่ยวอิสระเพิ่มขึ้นเป็น 80% การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้การกระตุ้นการท่องเที่ยวด้วยกลยุทธ์เน้นราคาต่ำ เช่น ทัวร์ราคาถูก อาจไม่ได้ผลอีกต่อไป เนื่องจากนักท่องเที่ยวอิสระให้ความสำคัญกับปัจจัยอื่น เช่น คุณภาพการบริการ ความปลอดภัย และประสบการณ์ที่หลากหลายมากขึ้น

  1. ภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยที่เสื่อมถอย
    ปัญหาความปลอดภัยกลายเป็นปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวจีน จากการสำรวจของ Dragon Trail International ในเดือนเมษายน 2568 พบว่า 52% ของนักท่องเที่ยวจีนที่ตอบแบบสอบถามมองว่าประเทศไทยไม่ปลอดภัย เพิ่มขึ้นจาก 38% ในเดือนกันยายน 2567 ซึ่งสูงกว่าประเทศคู่แข่งอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเวียดนาม ที่การรับรู้ด้านความปลอดภัยไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก

เหตุการณ์สำคัญที่กระทบต่อภาพลักษณ์ของไทย ได้แก่ การลักพาตัวดาราชาวจีนในช่วงต้นปี 2568 การปราบปรามธุรกิจสีเทาที่สร้างความกังวลในหมู่นักท่องเที่ยว และเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดเล็กในบางพื้นที่ของประเทศไทย ซึ่งถูกขยายความในสื่อจีน โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวอิสระที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากกว่ากรุ๊ปทัวร์ การรับรู้ด้านความปลอดภัยที่ลดลงนี้สะท้อนจากข้อมูลการจองเที่ยวบินขาเข้าไทยที่ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 ในขณะที่เที่ยวบินขาออกจากจีนไปยังญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และมาเลเซียกลับฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

  1. การแข่งขันจากจุดหมายปลายทางอื่น
    ปัจจัยทั้งเชิงโครงสร้างและชั่วคราวคือการที่นักท่องเที่ยวจีนหันไปเลือกจุดหมายปลายทางอื่นในภูมิภาคเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เวียดนาม และมาเลเซีย ซึ่งมีข้อได้เปรียบในด้านความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยว คุณภาพการบริการ และภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย ข้อมูลจาก International Air Transport Association (IATA) แสดงให้เห็นว่า เที่ยวบินจากจีนไปยังญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น 15% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 ในขณะที่เที่ยวบินไปไทยลดลง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า การเปลี่ยนแปลงนี้แสดงให้เห็นว่า ความน่าสนใจของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางลดลง เมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค

กลยุทธ์รับมือและโอกาสใหม่

เพื่อรับมือกับวิกฤตนี้ KKP Research เสนอว่าประเทศไทยจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาความปลอดภัยและการสร้างความหลากหลายให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมาย ดังนี้:

  1. การฟื้นฟูภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย
    การแก้ไขปัญหาความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการในระยะยาว Dragon Trail International ระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนรู้สึกปลอดภัยมากที่สุดคือการออกคำแนะนำด้านการเดินทางในเชิงบวกจากรัฐบาลจีน และการเพิ่มมาตรการความปลอดภัยโดยรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่ง 50% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่ามีความสำคัญ รองลงมาคือการรับข้อมูลเชิงบวกจากสื่อสังคมออนไลน์และเพื่อนนักท่องเที่ยว (25%) และการเลือกสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความเสี่ยงต่ำหรือการซื้อประกันการเดินทาง (20%) ในทางกลับกัน การเดินทางกับกรุ๊ปทัวร์หรือการมีไกด์ท้องถิ่นไม่ได้ช่วยเพิ่มความรู้สึกปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวจีนมากนัก

รัฐบาลไทยจึงควรประสานงานกับรัฐบาลจีนเพื่อปรับปรุงการรับรู้ด้านความปลอดภัย รวมถึงลงทุนในแคมเปญประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ที่ได้รับความนิยมในจีน เช่น WeChat และ Douyin เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ การเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยในแหล่งท่องเที่ยว เช่น การติดตั้งกล้องวงจรปิดและการเพิ่มกำลังตำรวจท่องเที่ยว จะช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นได้

  1. การกระจายกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมาย
    ในระยะสั้น การพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนเพียงกลุ่มเดียวอาจเป็นความเสี่ยง KKP Research แนะนำให้มุ่งเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวยุโรปและเอเชียใต้ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากอินเดีย ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตสูง เนื่องจากเศรษฐกิจอินเดียเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีอัตราการเติบโตของ GDP อยู่ที่ 7.8% ในปี 2567 ตามข้อมูลของ International Monetary Fund (IMF) ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 นักท่องเที่ยวยุโรปและเอเชียใต้ฟื้นตัวถึง 120% ของระดับปี 2562 และคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด

นักท่องเที่ยวยุโรปมีฤดูกาลท่องเที่ยวในช่วงปลายปีถึงต้นปี ซึ่งช่วยเติมเต็มช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวจีนลดลง ในขณะที่นักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางมากในช่วงกลางปี (พฤษภาคม-มิถุนายน) ซึ่งเป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวของไทย อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของทั้งสองกลุ่มนี้แตกต่างจากนักท่องเที่ยวจีนอย่างชัดเจน นักท่องเที่ยวยุโรปให้ความสำคัญกับแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ อาหารริมทาง และการช้อปปิ้งของที่ระลึก ส่วนนักท่องเที่ยวอินเดียชื่นชอบกิจกรรมยามค่ำคืน การนวดและสปา และการช้อปปิ้งเสื้อผ้าและเครื่องหนัง

การปรับนโยบายการท่องเที่ยวจึงควรเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายใหม่ เช่น การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ในภาคเหนือและอีสานสำหรับนักท่องเที่ยวยุโรป และการส่งเสริมสถานบันเทิงและสปาคุณภาพสูงในกรุงเทพฯ และพัทยาสำหรับนักท่องเที่ยวอินเดีย

  1. การยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยว
    การเปลี่ยนแปลงสู่การท่องเที่ยวคุณภาพสูงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวอิสระที่มีกำลังซื้อสูง การพัฒนาการบริการ การเพิ่มความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยว และการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเชิงนิเวศจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับประเทศไทย นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น แพลตฟอร์มจองที่พักและกิจกรรมออนไลน์ที่สะดวกและเข้าถึงได้ง่าย จะช่วยตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวอิสระทั้งจากจีนและกลุ่มอื่นๆ

โอกาสท่ามกลางวิกฤต

การลดลงของนักท่องเที่ยวจีนในช่วงต้นปี 2568 เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย แม้ว่าปัญหานี้จะมีทั้งปัจจัยเชิงโครงสร้างและชั่วคราว แต่ก็เป็นโอกาสให้ประเทศไทยทบทวนและปรับปรุงกลยุทธ์การท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไป การพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนเพียงกลุ่มเดียวในอดีตได้แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของอุตสาหกรรม เมื่อเผชิญกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว

ในระยะสั้น การแก้ไขปัญหาความปลอดภัยและการประชาสัมพันธ์เชิงบวกจะช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนได้บ้าง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวอิสระที่ยังมีศักยภาพในการกลับมา อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว การกระจายกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายไปสู่นักท่องเที่ยวยุโรปและอินเดียจะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างความสมดุลให้กับอุตสาหกรรม การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวและการยกระดับคุณภาพการบริการจะทำให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันกับจุดหมายปลายทางอื่นในภูมิภาคได้อย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวสู่การท่องเที่ยวแบบอิสระยังเป็นโอกาสให้ประเทศไทยพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพที่เน้นประสบการณ์เฉพาะตัว เช่น การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในเชียงราย การท่องเที่ยวเชิงนิเวศในภาคใต้ หรือการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในกรุงเทพฯ การพัฒนาเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง แต่ยังช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่นและส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนนักท่องเที่ยวจีนในประเทศไทย:
    • ปี 2562: 11 ล้านคน (28% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด)
    • ปี 2567: เฉลี่ย 560,000 คนต่อเดือน (60-70% ของระดับก่อนโควิด-19)
    • มกราคม 2568: 660,000 คน
    • กุมภาพันธ์-เมษายน 2568: เฉลี่ย 300,000 คนต่อเดือน (30% ของระดับก่อนโควิด-19)
      ที่มา: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (www.mots.go.th)
  • การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีน:
    • นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางในประเทศ: ฟื้นตัว 93.6% ของระดับปี 2562
    • นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางไปต่างประเทศ: ฟื้นตัว 86.5% ของระดับปี 2562
      ที่มา: China Tourism Academy (www.ctaweb.org)
  • สัดส่วนนักท่องเที่ยวจีน:
    • ปี 2562: กรุ๊ปทัวร์ 40%, นักท่องเที่ยวอิสระ 60%
    • ปี 2567: กรุ๊ปทัวร์ 20%, นักท่องเที่ยวอิสระ 80%
    • การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวอิสระ: 77.4% (5.3 ล้านคน)
    • การฟื้นตัวของกรุ๊ปทัวร์: 33.4% (1.4 ล้านคน)
      ที่มา: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (www.mots.go.th)
  • การรับรู้ด้านความปลอดภัย:
    • เดือนกันยายน 2567: 38% ของนักท่องเที่ยวจีนมองว่าไทยไม่ปลอดภัย
    • เดือนเมษายน 2568: 52% ของนักท่องเที่ยวจีนมองว่าไทยไม่ปลอดภัย
      ที่มา: Dragon Trail International (www.dragontrail.com)
  • การเติบโตของนักท่องเที่ยวยุโรปและเอเชียใต้:
    • ช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568: ฟื้นตัว 120% ของระดับปี 2562
    • สัดส่วน: คิดเป็น 1 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด
      ที่มา: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (www.mots.go.th)
  • การเติบโตของเศรษฐกิจอินเดีย:
    • ปี 2567: GDP เติบโต 7.8%
      ที่มา: International Monetary Fund (www.imf.org)
  • ข้อมูลเที่ยวบิน:
    • เที่ยวบินจากจีนไปญี่ปุ่นและเกาหลีใต้: เพิ่มขึ้น 15% ในไตรมาสแรกของปี 2568
    • เที่ยวบินจากจีนไปไทย: ลดลง 10% ในไตรมาสแรกของปี 2568
      ที่มา: International Air Transport Association (www.iata.org)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (www.kkpfg.com)
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (www.mots.go.th)
  • China Tourism Academy (www.ctaweb.org)
  • Dragon Trail International (www.dragontrail.com)
  • International Monetary Fund (www.imf.org)
  • International Air Transport Association (www.iata.org)
  • National Bureau of Statistics of China (www.stats.gov.cn)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

มรดกวัฒนธรรมล้านนา ใส่ขันดอกเมืองเชียงราย

เชียงรายจัดยิ่งใหญ่! ประเพณีสืบสานเดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก ใส่ขันดอกเมืองเชียงราย ปี ๒๕๖๘

เปิดฉากงดงาม สืบทอดวัฒนธรรมเมืองเหนือ

เชียงราย,25 พฤษภาคม 2568 – เวลา 18.00 น. ณ วัดกลางเวียง ตำบลเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย มีการจัดงาน “ประเพณีสืบสานเดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก ใส่ขันดอกเมืองเชียงราย” อย่างยิ่งใหญ่ เพื่อสืบทอดและอนุรักษ์ประเพณีเก่าแก่ของชาวล้านนาให้คงอยู่สืบไป โดยในพิธีเปิดงานได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.พลวัฒ ประพัฒน์ทอง เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วย แม่ครูบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ช่างฟ้อน) พ.ศ.2559 และตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา รวมถึงคณะศรัทธาและพุทธศาสนิกชนจำนวนมากเข้าร่วมพิธี

พิธีศักดิ์สิทธิ์ สรงน้ำสะดือเมืองเชียงราย

กิจกรรมเริ่มต้นด้วยพิธีเจริญพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล จากนั้นเข้าสู่พิธีสรงน้ำสะดือเมืองเชียงราย ซึ่งเป็นพิธีกรรมโบราณที่สืบทอดกันมานานหลายชั่วอายุคน โดยเชื่อกันว่าการสรงน้ำสะดือเมือง จะช่วยชำระล้างสิ่งไม่ดี ปกป้องบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุข พิธีนี้ได้รับความสนใจจากประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาร่วมงานจำนวนมาก เนื่องจากถือเป็นพิธีสำคัญที่สะท้อนถึงความเชื่อและความผูกพันระหว่างคนเชียงรายกับวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างชัดเจน

รวมใจศิลปินล้านนา ฟ้อนถวายเป็นพุทธบูชา

ภายในงานเต็มไปด้วยบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยวัฒนธรรมล้านนา ไฮไลต์สำคัญคือการฟ้อนฮอมบุญถวายเป็นพุทธบูชา นำโดยแม่ครูบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ศิลปินแห่งชาติ ซึ่งแสดงความงดงามและความประณีตของท่าฟ้อนล้านนาอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ยังมีการแสดงฟ้อนจากกลุ่มต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัยวัยที่สาม กลุ่มฟ้อนวัดท่าล้อม กลุ่มฟ้อนสวนตุงและโคมนครเชียงราย กลุ่มฟ้อนรักสุขภาพสันโค้งน้อย และกลุ่มฟ้อนฮอมบุญ ซึ่งล้วนได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ชมว่าเป็นการแสดงที่ช่วยปลุกจิตสำนึกรักถิ่นฐานบ้านเกิดได้เป็นอย่างดี

บรรยากาศอบอุ่น ด้วยดนตรีพื้นเมือง

อีกหนึ่งกิจกรรมที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันคือ การแสดงดนตรีพื้นเมืองล้านนา ทั้งปี่พาทย์จากคณะเฮือนดนตรีสีเขียว และการแสดงซอจากแม่ครูบัวลอยและสองเมือง เมืองพาน พร้อมลูกศิษย์ ทั้งหมดนี้สร้างบรรยากาศอบอุ่น เป็นกันเอง และยังช่วยฟื้นฟูความสนใจในศิลปะการแสดงพื้นบ้านล้านนาให้กลับมาได้รับความนิยมในหมู่คนรุ่นใหม่อีกครั้ง

วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย หนุนกิจกรรมเต็มกำลัง

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย โดยนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย นางพรทิวา ขันธมาลา นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ และนางวนิดาพร ธิวงศ์ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม พร้อมเจ้าหน้าที่ เข้าร่วมสนับสนุนการจัดกิจกรรมครั้งนี้อย่างเต็มที่ ทั้งอำนวยความสะดวกแก่คณะนักแสดง จัดเตรียมสถานที่ และดูแลพิธีทางศาสนาอย่างราบรื่น เพื่อให้การจัดงานดำเนินไปอย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพมากที่สุด

วิเคราะห์ผลลัพธ์ สืบสานมรดกเชียงราย

การจัดงานในครั้งนี้ ถือเป็นการสืบทอดประเพณีวัฒนธรรมล้านนาที่สำคัญของเชียงราย ส่งผลให้คนรุ่นใหม่ได้มีโอกาสเรียนรู้ และเข้าถึงความสำคัญของวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น การรวมตัวกันของประชาชนจำนวนมากยังสะท้อนถึงความสามัคคีและความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชน ในการรักษาและส่งเสริมประเพณีอันดีงามของเชียงรายให้คงอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืน

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

จากข้อมูลของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พบว่าในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวและผู้สนใจเข้าร่วมงานประเพณีต่างๆ ในจังหวัดเชียงรายกว่า 500,000 คน สร้างรายได้ทางเศรษฐกิจให้กับจังหวัดเชียงรายกว่า 2,500 ล้านบาท (ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567) และคาดการณ์ว่า ในปี 2568 นี้จะมีจำนวนผู้เข้าร่วมเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10 เนื่องจากการประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพและความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ ที่จัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2567). รายงานสถิตินักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ปี 2567. สืบค้นจาก: http://www.nso.go.th
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย. (2568). ข้อมูลการจัดงานประเพณีสืบสานเดือน ๘ เข้า เดือน ๙ ออก ใส่ขันดอกเมืองเชียงราย.
  • เทศบาลนครเชียงราย. (2568). รายละเอียดกิจกรรมทางวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ปี 2568.

 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE