Categories
NEWS UPDATE

ครม.แบล็กลิสต์บริษัทก่อสร้าง เจ็บตาย ปรับ ลด ถอนทะเบียน

ครม.ไฟเขียวแก้กฎกระทรวง “แบล็กลิสต์-ปรับ-ถอน” ผู้รับเหมาประมาททำคนตาย

เชียงราย, 8 เมษายน 2568 – คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการแก้ไขกฎกระทรวงสำคัญเพื่อควบคุมผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่กระทำผิดอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะกรณีประมาทเลินเล่อจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต โดยเป็นมาตรการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการก่อสร้าง และสร้างกลไกตรวจสอบการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการให้เข้มข้นยิ่งขึ้น

ยกระดับคุณภาพผู้ประกอบการก่อสร้างไทย

ตามรายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ได้มีมติอนุมัติร่างกฎกระทรวงที่เสนอโดยกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงว่าด้วยเกณฑ์การขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างจากฉบับเดิม พ.ศ. 2560 ให้ทันต่อสถานการณ์และปัญหาที่เกิดขึ้นจริง

สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ คือการเพิ่มความเข้มงวดในการคัดกรอง ตรวจสอบ และควบคุมผู้ประกอบการที่ขึ้นทะเบียนกับภาครัฐ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

เหตุผลของการแก้ไขกฎกระทรวง

สาเหตุหลักของการเสนอแก้ไขครั้งนี้ มาจากกรณีอุบัติเหตุในพื้นที่โครงการก่อสร้างที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากความประมาทในการทำงาน การใช้วัสดุไม่ได้มาตรฐาน และการขาดความรับผิดชอบต่อสังคมในกรณีเกิดเหตุไม่คาดฝัน

หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องหลายแห่ง รวมถึงกรมบัญชีกลาง ได้รายงานว่ามีผู้ประกอบการบางรายที่มีพฤติกรรมเสี่ยงซ้ำซาก ไม่ปรับปรุงมาตรฐานการทำงาน และยังคงได้รับงานกับหน่วยงานรัฐอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากข้อกฎหมายเดิมไม่มีบทลงโทษที่เข้มงวดเพียงพอ

ประเด็นหลักในร่างกฎกระทรวงฉบับใหม่

การปรับปรุงกฎกระทรวงครั้งนี้แบ่งออกเป็น 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

  1. การตรวจสอบคุณสมบัติผู้ประกอบการที่ขึ้นทะเบียน

ผู้ประกอบการที่ขึ้นทะเบียนแล้วจะต้องได้รับการตรวจติดตามคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามอย่างต่อเนื่อง จากเดิมทุก 2 ปี เปลี่ยนเป็นทุก 3 ปี โดยมีกรมบัญชีกลางเป็นผู้รับผิดชอบหลัก

  1. การเพิกถอนและระงับสิทธิการขึ้นทะเบียน

กรณีที่ผู้ประกอบการถูกปรับลดระดับชั้นถึง 3 ครั้งภายใน 2 ปี เนื่องจากกระทำผิดซ้ำซาก หรือมีพฤติกรรมประมาทร้ายแรง เช่น ทำให้เกิดการเสียชีวิตจากการก่อสร้าง จะถูกเพิกถอนใบทะเบียนทันที และสามารถยื่นขอขึ้นทะเบียนใหม่ได้หลังจากครบกำหนด 2 ปี

ในกรณีที่มีการปลอมแปลงเอกสาร หรือกระทำการทุจริตในการยื่นขอขึ้นทะเบียนหรือเลื่อนชั้น จะถูกระงับสิทธิการขึ้นทะเบียนใหม่เป็นเวลา 10 ปี

  1. การปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมสำหรับการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการถูกปรับขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุนการตรวจสอบที่แท้จริง เช่น ค่าธรรมเนียมการขึ้นทะเบียนเริ่มต้นจาก 3,000 บาท และเพิ่มขั้นบันไดตามระดับชั้นไปจนถึง 9,000 บาท สำหรับชั้นพิเศษ นอกจากนี้ ยังมีค่าธรรมเนียมใหม่สำหรับการตรวจสอบเครื่องจักรและอุปกรณ์ในอัตรา 5,000 บาทต่อครั้ง

  1. การปรับลดระดับชั้นจากการกระทำผิด

กรณีที่เกิดอุบัติเหตุจนมีผู้เสียชีวิตจากความประมาทของผู้ประกอบการ จะถูกปรับลดระดับชั้นลง 1 ชั้นเป็นเวลา 12 เดือน หากมีผู้บาดเจ็บสาหัส ระยะเวลาจะลดลงเหลือ 6 เดือน

นอกจากนี้ หากมีการทำงานล่าช้าจากที่กำหนด จะถูกปรับลดระดับชั้นลงเช่นกัน โดยมีระยะเวลาในการพักสถานะ 3 เดือน

เสียงสะท้อนจากภาคธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญ

หลายฝ่ายในแวดวงอุตสาหกรรมก่อสร้างมองว่ามาตรการนี้เป็นสิ่งที่จำเป็น แม้จะเพิ่มต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ แต่ก็จะช่วยให้เกิดการแข่งขันด้วยมาตรฐานที่ดีขึ้น

นายกฤษฎา ทรงศักดิ์ ประธานสมาคมวิศวกรรมโครงสร้างไทย ให้ความเห็นว่า “การมีบทลงโทษที่ชัดเจนจะทำให้ผู้ประกอบการตื่นตัวมากขึ้น และเป็นประโยชน์ต่อทั้งภาครัฐและประชาชนในระยะยาว”

ด้านผู้ประกอบการขนาดกลางรายหนึ่งในจังหวัดเชียงรายกล่าวว่า “แม้ต้องเสียค่าธรรมเนียมมากขึ้น แต่หากแลกกับความเชื่อมั่นจากลูกค้าและการรับงานจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ก็ถือว่าคุ้มค่า”

วิเคราะห์ผลกระทบและแนวโน้มในอนาคต

การออกกฎกระทรวงฉบับนี้สะท้อนความพยายามของภาครัฐในการจัดระเบียบวงการก่อสร้างไทยให้มีมาตรฐานที่ปลอดภัย และมีธรรมาภิบาลมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลในเรื่องของการตรวจสอบที่อาจเพิ่มภาระงานให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากไม่มีการเสริมกำลังบุคลากร อาจทำให้การบังคับใช้ล่าช้า และไม่ครอบคลุมตามเป้าหมาย

ในอนาคต ควรมีระบบรายงานผลการตรวจสอบต่อสาธารณะ เพื่อสร้างความโปร่งใส และเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีบทบาทในการตรวจสอบผู้ประกอบการที่มีพฤติกรรมเสี่ยง

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • ข้อมูลจากกรมบัญชีกลาง ปี 2567 ระบุว่า มีผู้ประกอบการที่ถูกเพิกถอนทะเบียนทั้งหมด 148 ราย เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 26
  • ศูนย์ข้อมูลก่อสร้างแห่งชาติ (NCCIC) รายงานว่า ในปี 2566 มีอุบัติเหตุจากไซต์งานก่อสร้างรวม 412 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 61 ราย และบาดเจ็บสาหัส 118 ราย
  • สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) พบว่ามีคำร้องเรียนเกี่ยวกับคุณภาพงานก่อสร้างในภาครัฐมากถึง 2,317 เรื่อง ในรอบปี 2566

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง
  • ศูนย์ข้อมูลก่อสร้างแห่งชาติ (National Construction Center Information – NCCIC)
  • สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.)
  • หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ, รายงานประจำวันที่ 8 เมษายน 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นายก อบจ. ลุยบ้านดู่ แก้ปัญหาน้ำเน่าเสียด่วน

นายก อบจ.เชียงราย เร่งแก้น้ำเน่าบ้านดู่ หลังชาวบ้านร้องเรียนเดือดร้อน

เชียงราย, 8 เมษายน 2568 – ปัญหาน้ำเน่าเสียในเขต ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมืองเชียงราย กลายเป็นวาระเร่งด่วน หลังประชาชนร้องเรียนต่อองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ถึงความเดือดร้อนที่ทวีความรุนแรงมาอย่างต่อเนื่อง

ประชาชนร้องเรียนปัญหาเน่ารุนแรง ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน

เมื่อเวลา 11.50 น. ของวันอังคารที่ 8 เมษายน 2568 นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ได้ลงพื้นที่ตำบลบ้านดู่โดยด่วน หลังได้รับรายงานจากประชาชนเรื่อง น้ำขังรอการระบายจนเกิดน้ำเน่า ส่งกลิ่นเหม็นตลอดทั้งวัน

หลายครัวเรือนในพื้นที่ต้องประสบปัญหาไม่สามารถเปิดหน้าต่างบ้านได้ และบางพื้นที่เริ่มพบสัตว์พาหะ เช่น ยุง และแมลงวัน เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างผิดปกติ

นายก อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่จริง รับฟังประชาชนโดยตรง

ทันทีที่เดินทางถึงพื้นที่ นายก อบจ.เชียงราย ได้พบกับกลุ่มชาวบ้าน พร้อมรับฟังผลกระทบและข้อเสนอแนะต่าง ๆ โดยได้เน้นย้ำว่า ทุกปัญหาที่กระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน จะได้รับการดำเนินการอย่างเร่งด่วน

จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่ามีหลายจุดในเขตชุมชนที่น้ำท่วมขังมานาน และไม่มีการระบายน้ำออกจากระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการสะสมของน้ำเสียและขยะอินทรีย์

สั่งการหน่วยงานภายในทันที บูรณาการแก้ปัญหากับท้องถิ่น

นางอทิตาธร ได้สั่งการให้ สำนักช่างของ อบจ.เชียงราย เร่งสำรวจพื้นที่ที่มีปัญหาโดยละเอียด พร้อมทั้งประสานงานกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ตำบลบ้านดู่ เพื่อเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นอย่างเร่งด่วนที่สุด

การดำเนินการครั้งนี้จะครอบคลุมทั้งการขุดลอกทางระบายน้ำที่ตื้นเขิน การติดตั้งระบบท่อระบายน้ำเพิ่มเติมในจุดที่จำเป็น และการจัดตั้งหน่วยเคลื่อนที่เร็วในการดูแลความสะอาดและความปลอดภัยของพื้นที่เสี่ยง

วางแผนระยะยาวเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต

ในระยะยาว อบจ.เชียงราย มีแผนร่วมมือกับหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมและผังเมือง เพื่อ วางระบบระบายน้ำใหม่ ที่สามารถรองรับน้ำฝนในฤดูมรสุม รวมถึงปรับปรุงระบบบำบัดน้ำเสียชุมชนให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ยังมีแนวคิดที่จะส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมผ่านโครงการ บ้านดู่ร่วมใจดูแลสิ่งแวดล้อม” โดยสร้างเครือข่ายอาสาสมัครตรวจสอบและรายงานจุดเสี่ยงน้ำเน่าเสียในพื้นที่

ปัญหาน้ำเสียส่งผลกระทบกว้างทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจ

ข้อมูลจาก สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ระบุว่า ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา มีรายงานการเจ็บป่วยจากโรคที่เกี่ยวข้องกับน้ำเสียเพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและเด็กเล็ก

ด้านภาคธุรกิจ โดยเฉพาะร้านอาหารในพื้นที่ตำบลบ้านดู่ ก็ได้รับผลกระทบไม่แพ้กัน เนื่องจากกลิ่นเหม็นรบกวนลูกค้าและทำให้ยอดขายลดลงอย่างชัดเจน

ปัญหาสิ่งแวดล้อมในเขตเมืองขยายตัว ต้องการการจัดการที่เป็นระบบ

เหตุการณ์ในตำบลบ้านดู่ สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อเมืองขยายตัวอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการวางแผนโครงสร้างพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่เพียงพอ ย่อมนำไปสู่ปัญหาสะสมทั้งในด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และความเป็นอยู่ของประชาชน

การบูรณาการระหว่างท้องถิ่นกับจังหวัด และการมีส่วนร่วมของประชาชน จะเป็นกุญแจสำคัญสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากรายงานของกรมควบคุมมลพิษ (2567) พบว่า พื้นที่เขตเมืองในภาคเหนือกว่า 43% มีปัญหาน้ำเน่าเสียจากการระบายน้ำไม่เพียงพอ
  • เชียงรายมีอัตราการร้องเรียนเกี่ยวกับกลิ่นเหม็นและน้ำเน่าในปี 2567 สูงเป็นอันดับ 5 ของประเทศ (กรมอนามัย)
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า 61% ของประชาชนในเขตเมืองต้องการให้มีการลงทุนในระบบบำบัดน้ำเสียชุมชนมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ, รายงานสถานการณ์สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ 2567
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ, รายงานการสำรวจความคิดเห็นประชาชน 2567
  • กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, รายงานภาวะสุขภาพประชาชนจากมลภาวะ 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

ลาบเมืองเหนือใครสุด เชียงรายแข่งครั้งแรก ชวนกินสุกปลอดภัย

วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมงาน “มหกรรมแข่งขันลาบ ล้านเมือง ครั้งที่ 1 ประจำปี 2568”

เมื่อวันเสาร์ที่ 5 เมษายน 2568 เวลา 17.00 น. ณ ลานกิจกรรม ล้านเมืองไนท์มาร์เก็ต จังหวัดเชียงราย ตลาดล้านเมืองได้จัดงาน “มหกรรมแข่งขันลาบ ล้านเมือง ครั้งที่ 1 ประจำปี 2568” โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมด้วยนายไพโรจน์ หาญพิทักษ์วงศ์ ผู้จัดการทั่วไปตลาดล้านเมือง กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน ซึ่งประกอบด้วยส่วนราชการ สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไปที่ให้ความสนใจเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

การแข่งขันครั้งนี้มีทีมเข้าร่วมทั้งสิ้น 10 ทีม ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้เป็น “สุดยอดทีมลาบ” เพื่อชิงตำแหน่งแชมป์สล่าลาบคนแรกของตลาดล้านเมือง โดยรางวัลสูงสุดเป็นถ้วยรางวัลชนะเลิศจากนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมเงินรางวัล 5,000 บาท รายชื่อทีมที่เข้าร่วมแข่งขันประกอบด้วย 1. ทีมลาบตาลตะวัน 2. ทีมลาบโสภี 3. ทีมลาบรูปหล่อ (โดย ตำแรด สาขาเชียงราย) 4. ทีมเสน่ห์ลาบ 5. ทีมแจ๊คคาราบาว 6. ทีมลาบลุงพันธ์ 7. ทีมดาขันข้าว 8. ทีมป้อหลวงตั้ม 9. ทีมลาบไว้ลาย และ 10. ทีมลาบป่าบงหลวง

คณะกรรมการและผลการแข่งขัน

การตัดสินการแข่งขันครั้งนี้ได้รับเกียรติจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญในด้านวัฒนธรรม อาหาร และการท่องเที่ยว ดังรายนามต่อไปนี้:

  1. คุณนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
  2. คุณพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  3. คุณเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  4. คุณณัฐพร มหาไพบูลย์ พาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  5. คุณไพโรจน์ หาญพิทักษ์วงศ์ ผู้จัดการทั่วไป (ตลาดล้านเมือง)
  6. ผศ.กนกวรรณ ปลาศิลา อาจารย์ประจำสาขาวิชาคณะคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  7. คุณกิตติ โชติชินสิริ ผู้จัดการร้านลาบลุงน้อย
  8. คุณพรศักดิ์ นันตะรัตน์ ผู้ช่วยผู้จัดการ (ตลาดล้านเมือง)
  9. คุณภัทราพร พวงมาลา หัวหน้าฝ่ายล้านเมืองไนท์วิลเลจและการตลาดประชาสัมพันธ์

ผลการแข่งขันมีดังนี้:

  • รางวัลชนะเลิศ: ทีมลาบตาลตะวัน
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1: ทีมเสน่ห์ลาบ
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2: ทีมแจ๊คคาราบาว
  • รางวัลลาบลีลา: ทีมดาขันข้าว
  • รางวัลชมเชย: ทีมลาบรูปหล่อ (โดย ตำแรด สาขาเชียงราย)
  • รางวัลประกาศนียบัตร: ทีมป้อหลวงตั้ม, ทีมลาบลุงพันธ์, ทีมลาบไว้ลาย, ทีมลาบป่าบงหลวง และทีมลาบโสภี

วัตถุประสงค์และความสำคัญของงาน

การจัดงาน “มหกรรมแข่งขันลาบ ล้านเมือง ครั้งที่ 1” มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารพื้นบ้านของล้านนา โดยเฉพาะเมนูลาบที่มีความเป็นเอกลักษณ์และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในจังหวัดเชียงราย นอกจากนี้ยังเป็นการอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมอันดีงามให้คงอยู่สืบไป รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของจังหวัด โดยดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวในพื้นที่ นอกพื้นที่ และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้เข้ามาร่วมสัมผัสประสบการณ์วัฒนธรรมท้องถิ่น

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยทีมงานนักวิชาการวัฒนธรรม ได้แก่ นายสุพจน์ ทนทาน, นายอภิชาต กันธิยะเขียว และนางสาวสุทธิดา ตราชื่นต้อง ได้เข้าร่วมงานเพื่อสนับสนุนการเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารพื้นบ้าน และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาคุณค่าทางวัฒนธรรมควบคู่ไปกับการพัฒนาสุขภาพของชุมชน

วัฒนธรรมการกินดิบ ความนิยมที่แพร่หลายในกลุ่มวัยรุ่น

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา วัฒนธรรมการบริโภคอาหารดิบ โดยเฉพาะเมนูลาบดิบ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในหมู่วัยรุ่น ซึ่งมองว่าการกินดิบเป็นทั้งประสบการณ์ที่แปลกใหม่และเป็นการเชื่อมโยงกับรากเหง้าทางวัฒนธรรมของล้านนา ความเผ็ดร้อนและรสชาติที่เข้มข้นของลาบดิบ รวมถึงความรู้สึกถึงความดั้งเดิม ทำให้เมนูนี้กลายเป็นที่ชื่นชอบในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการสัมผัสวิถีชีวิตแบบพื้นบ้าน

อย่างไรก็ตาม การบริโภคอาหารดิบอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น การติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ หรือการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย เช่น ซาลโมเนลลา และอีโคไล ซึ่งพบได้บ่อยในเนื้อสัตว์ที่ไม่ผ่านการปรุงสุก ดังนั้น การรักษาความสวยงามของวัฒนธรรมการทำลาบพื้นบ้านไว้ โดยปรับเปลี่ยนให้ปลายทางเป็นเมนูที่ปรุงสุก จึงเป็นทางเลือกที่สามารถคงเอกลักษณ์ของรสชาติและวิธีการปรุงแบบดั้งเดิมไว้ได้ พร้อมทั้งยกระดับความปลอดภัยด้านสุขภาพในเวลาเดียวกัน

กิ๋นสุก เป๋นสุข” ชวนเปลี่ยนเมนูดิบสู่เมนูสุก อร่อยและปลอดภัย

ภายในงานนี้ยังมีการรณรงค์แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” ซึ่งเป็นแนวคิดที่เชิญชวนให้ประชาชนหันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร จากเมนูดิบสู่เมนูที่ปรุงสุก เพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยยังคงรักษาความอร่อยและเอกลักษณ์ของอาหารพื้นบ้านไว้ แคมเปญนี้ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อห้ามการกินดิบโดยสิ้นเชิง แต่เน้นให้ทุกคนลองลดการบริโภคอาหารดิบ และทดลองนำเมนูดิบที่คุ้นเคยมาปรุงให้สุก เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น

ตัวอย่างเช่น ลาบดิบที่ปกติใช้เนื้อดิบเป็นส่วนประกอบหลัก สามารถปรับเป็นลาบสุกโดยนำเนื้อไปย่างหรือต้มให้สุกก่อน แล้วปรุงรสด้วยเครื่องเทศตามสูตรดั้งเดิม ซึ่งยังคงความเผ็ดจัดจ้านและกลิ่นหอมของสมุนไพรไว้ได้อย่างครบถ้วน การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ นี้ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้อโรค แต่ยังคงความสวยงามของวัฒนธรรมการปรุงอาหารล้านนาไว้ได้อย่างสมบูรณ์

กินอาหารสุกไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ต้องเสียรสชาติที่คุ้นเคย

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” เน้นย้ำว่า การกินอาหารสุกไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก และไม่จำเป็นต้องเสียรสชาติที่ทุกคนชื่นชอบไป การปรุงอาหารให้สุกด้วยความร้อนที่เหมาะสมสามารถฆ่าเชื้อโรคและพยาธิได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ลดทอนคุณค่าทางโภชนาการหรือความอร่อยของเมนูพื้นบ้าน เมนูอย่างแหนมหมกไข่ หรือก้อยดิบ ก็สามารถปรับเปลี่ยนเป็นเมนูสุกได้ เช่น การนึ่งหรืออบ ซึ่งยังคงรสชาติที่เข้มข้นและถูกปากคนไทยไว้เช่นเดิม

“เราต้องการให้ทุกคนเห็นว่าการกินอาหารสุกเป็นเรื่องง่าย และยังคงความอร่อยแบบที่คุ้นเคยไว้ได้ แคมเปญนี้จะช่วยจุดประกายให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจสุขภาพ โดยไม่ต้องละทิ้งวัฒนธรรมการกินที่เป็นเอกลักษณ์ของเรา” ตัวแทนจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายกล่าว

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ในปี 2567 พบผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงทั่วประเทศกว่า 800,000 ราย โดยส่วนหนึ่งมีสาเหตุจากการบริโภคอาหารดิบหรือปรุงไม่สุก นอกจากนี้ โรคพยาธิใบไม้ตับ ซึ่งพบมากในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีผู้ป่วยสะสมกว่า 6 ล้านคนทั่วประเทศ (ที่มา: กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, รายงานสถานการณ์โรคประจำปี 2567)

รายงานจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า การบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยทั่วโลกกว่า 600 ล้านรายต่อปี โดยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย มีผู้ป่วยจากอาหารไม่ปลอดภัยถึง 150 ล้านรายต่อปี (ที่มา: WHO, Food Safety Factsheet, 2020)

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป็นสุข” จึงเป็นแนวทางที่ผสานทั้งการอนุรักษ์วัฒนธรรมและการส่งเสริมสุขภาพอย่างลงตัว เพื่อให้คนไทยทุกวัย โดยเฉพาะวัยรุ่นที่เริ่มหันมาสนใจอาหารพื้นบ้าน ได้รับประโยชน์ทั้งจากรสชาติที่คุ้นเคยและความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

“ศุภชัย” บูรณาการเชียงราย พัฒนาท้องถิ่น วิทย์-วิจัย-นวัตกรรม

อว. ลงพื้นที่เชียงราย ติดตามขับเคลื่อน อววน. เร่งพัฒนาท้องถิ่นสู่เศรษฐกิจฐานความรู้

เชียงราย – 8 เมษายน 2568 นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำคณะผู้บริหารระดับสูงลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามการขับเคลื่อนภารกิจด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) โดยมีหน่วยงานการศึกษาระดับอุดมศึกษาในพื้นที่ ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย เข้าร่วมรายงานผลและจัดนิทรรศการนำเสนอผลงานเชิงรูปธรรม

ผลักดันเชียงรายสู่โมเดลเศรษฐกิจสร้างสรรค์ภาคเหนือ

กิจกรรมภาคเช้าจัดขึ้น ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มีการนำเสนอผลการดำเนินงานของแต่ละมหาวิทยาลัยที่เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์จังหวัด และเป้าหมายการพัฒนาประเทศ ได้แก่ การยกระดับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การสนับสนุน Soft Power ท้องถิ่น และการพัฒนากำลังคนให้สอดรับกับภาคการผลิตจริง

มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายได้นำเสนอโครงการที่สะท้อนการบูรณาการ อววน. กับการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน เช่น โครงการ “เชียงรายแบรนด์”, โครงการหนึ่งหมู่บ้าน หนึ่งเชฟอาหารไทย และ “สันสลีโมเดล” ที่ใช้การเรียนการสอนแบบไร้รอยต่อระหว่างห้องเรียน ชุมชน และธุรกิจ

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย ได้นำเสนอผลงานเด่นด้านวิจัยเชิงพาณิชย์และเทคโนโลยีประยุกต์ เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารสุขภาพ, การใช้ IoT และ AI คาดการณ์ภัยพิบัติในพื้นที่เสี่ยง รวมถึงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรม และอิเล็กทรอนิกส์ทางการแพทย์

พิธีมอบรางวัลชุมชนสร้างสรรค์ และ Smart Student

นายศุภชัยได้มอบรางวัล “ชุมชนสร้างสรรค์” ให้แก่หมู่บ้านและภาคีเครือข่ายที่มีการนำผลการวิจัยและองค์ความรู้จากมหาวิทยาลัยไปต่อยอดในเชิงพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การแปรรูปผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น และการนำภูมิปัญญามาพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยว พร้อมกันนี้ ยังได้มอบรางวัล “Smart Student 2568” ให้แก่นักศึกษาที่มีความโดดเด่นด้านวิชาการและนวัตกรรม

ภาคบ่ายเยี่ยมชม ‘มหาวิทยาลัยวัยที่สาม’ ต้นแบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต

คณะฯ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยวัยที่สาม นครเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาการเรียนรู้ตลอดชีวิตบนฐานชุมชน โดยมีทั้งหลักสูตรสำหรับผู้สูงอายุ, การส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน, โครงการเกษตรปลอดภัย Farm to Table และศูนย์จำหน่ายสินค้าชุมชน ภายใต้การสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และเทศบาลนครเชียงราย

ผู้ช่วยรัฐมนตรี อว. ยืนยันหนุนเชียงรายพัฒนาเป็น Hub ด้านการศึกษา-นวัตกรรมของภาคเหนือ

นายศุภชัยให้สัมภาษณ์ว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ได้เห็นถึง “ความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม” ระหว่างมหาวิทยาลัยและชุมชน ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของเชียงราย พร้อมยืนยันว่า อว. จะสนับสนุนงบประมาณและโครงสร้างให้แก่โครงการที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจฐานความรู้

เมื่อสอบถามถึงบทบาทของ อว. ในการรับมือภัยพิบัติในพื้นที่เสี่ยง เช่น แผ่นดินไหว ไฟป่า และหมอกควัน ท่านระบุว่า กระทรวงจะเร่งผลักดันการใช้ Big Data และ IoT ที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยในพื้นที่ เพื่อเป็นระบบแจ้งเตือนและบริหารจัดการภัยอย่างแม่นยำ

บทบาทของ RMUTL เชียงราย เด่นทั้งในเชิงวิชาการและเทคโนโลยี

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชไมพร รัตนเจริญชัย ผู้อำนวยการสำนักงานบริหาร มทร.ล้านนา เชียงราย นำเสนอผลการดำเนินงานทั้ง 3 ด้าน ได้แก่:

  • ด้านการศึกษา – หลักสูตร WIL และ Co-op ทำให้นักศึกษาได้เรียนรู้ร่วมกับสถานประกอบการจริง
  • ด้านวิจัยและนวัตกรรม – ผลงานวิจัยเชิงประยุกต์ เช่น ระบบ Smart Water Management และอาหารแปรรูปจากผลผลิตท้องถิ่น
  • ด้านภัยพิบัติ – มีศูนย์บริหารจัดการภัยพิบัติ ใช้เทคโนโลยีตรวจจับ และระบบวิเคราะห์ล่วงหน้า โดยร่วมมือกับ ปภ. และท้องถิ่น

ความคิดเห็นสองมุมมองต่อทิศทาง อววน. เชียงราย

ฝ่ายสนับสนุน มองว่า การมีสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ที่สามารถเชื่อมโยงองค์ความรู้ วิจัย และการศึกษาเข้ากับการพัฒนาท้องถิ่นได้จริง ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นที่ยั่งยืน

ในขณะที่ฝ่ายกังวล เห็นว่ายังมีข้อจำกัดด้านการเข้าถึงโครงการบางส่วน โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนที่อยู่นอกเขตเมือง หรือมีข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ รวมถึงอุปสรรคในการนำผลงานวิจัยไปใช้เชิงพาณิชย์ที่ยังต้องได้รับการสนับสนุนด้านกฎหมายและตลาด

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

  • ประเทศไทยมีสถาบันอุดมศึกษา 156 แห่งทั่วประเทศ (ที่มา: สำนักงานปลัดกระทรวง อว., 2567)
  • จังหวัดเชียงรายมีมหาวิทยาลัย 4 แห่งหลัก และวิทยาลัย/สถาบันการศึกษาอีกกว่า 20 แห่ง (ที่มา: อว. ส่วนหน้าจังหวัดเชียงราย)
  • โครงการภายใต้ อววน. ในพื้นที่เชียงราย ได้รับงบประมาณสนับสนุนรวมกว่า 120 ล้านบาท ในช่วงปี 2566–2568 (ที่มา: สกสว.)
  • ประเทศไทยมีนักศึกษาระดับอุดมศึกษาทั้งหมดประมาณ 1.7 ล้านคน โดยกว่า 55% อยู่ในสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2566)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

‘น้ำประปาเชียงราย’ ปลอดภัยจริง มีการตรวจก่อนส่งให้ประชาชนใช้

การประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงรายชี้แจงกระบวนการผลิตน้ำประปา ยืนยันปลอดภัยจากมลพิษแม่น้ำกก

เชียงราย, 8 เมษายน 2568 – ที่สถานีผลิตน้ำวังคำ การประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงราย นายทวีศักดิ์ สุขก้อน ผู้จัดการการประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงราย ได้นำคณะสื่อมวลชนและผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบและชี้แจงถึงกระบวนการผลิตน้ำประปาในเขตเทศบาลนครเชียงราย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน หลังจากเกิดความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพน้ำประปาในพื้นที่ อันเนื่องมาจากรายงานการปนเปื้อนของสารโลหะหนักและมลพิษในแม่น้ำกก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดิบหลักที่ใช้ในการผลิตน้ำประปาสำหรับประชาชนในเขตอำเภอเมืองเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียง

การเยี่ยมชมกระบวนการผลิตน้ำประปา

การเยี่ยมชมเริ่มต้นที่โรงคลองน้ำขนาด 1,000 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากสถานีผลิตน้ำวังคำประมาณ 300 เมตร โดยจุดนี้เป็นสถานที่สูบน้ำดิบจากแม่น้ำกกในเขตพื้นที่ค่ายทหาร นายทวีศักดิ์อธิบายว่า น้ำดิบที่ถูกสูบเข้ามาจะถูกนำเข้าสู่ถังน้ำเพื่อผ่านกระบวนการเติมสารเคมีสำหรับจัดการตะกอน โดยในอดีต การประปาใช้สารเคมีในรูปแบบผงที่ต้องมีการเตรียมก่อนใช้งาน ซึ่งใช้เวลานานและอาจไม่ทันต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน ปัจจุบันได้ปรับปรุงมาใช้สารเคมีในรูปแบบน้ำ เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและประสิทธิภาพในการจัดการคุณภาพน้ำ โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดน้ำท่วมหรือน้ำขุ่นสูงจากอุทกภัย ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้มีการเพิ่มสารเคมีอีกประเภทหนึ่งเพื่อยกระดับการกำจัดตะกอนให้ดียิ่งขึ้น

จากนั้น น้ำดิบที่ผ่านการเติมสารเคมีจะถูกส่งต่อไปยังถังตกตะกอน ซึ่งใช้เวลาในกระบวนการนี้ประมาณ 30 นาที สารเคมีที่เติมเข้าไปจะช่วยให้ตะกอนทั้งจากธรรมชาติและตะกอนหนัก เช่น สารอินทรีย์หรือโลหะหนัก จับตัวกันเป็นก้อนที่มีน้ำหนักมากขึ้น และตกลงสู่ก้นถัง เหลือเพียงน้ำใสที่ไหลต่อไปยังขั้นตอนถัดไป นายทวีศักดิ์ได้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของน้ำในถังตกตะกอน โดยเมื่อน้ำเคลื่อนจากด้านหนึ่งของถังไปยังอีกด้านหนึ่ง ความขุ่นจะลดลงอย่างชัดเจน จนถึงปลายถังที่น้ำแทบไม่มีตะกอนหลงเหลืออยู่เลย

น้ำใสจากถังตกตะกอนจะไหลลงสู่ระบบกรองทรายที่มีชั้นกรอง 5 ชั้น ตั้งแต่ชั้นทรายหยาบที่ด้านล่างไปจนถึงชั้นทรายละเอียดที่ด้านบน เพื่อกำจัดสิ่งปนเปื้อนขนาดเล็กที่อาจหลงเหลืออยู่ นายทวีศักดิ์ระบุว่า หลังจากผ่านระบบกรองนี้ น้ำจะถูกส่งไปยังถังเก็บน้ำสะอาดเพื่อเติมคลอรีนในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับฆ่าเชื้อโรค ก่อนจ่ายไปยังครัวเรือนในเขตบริการ เขาย้ำว่า การประปามีการตรวจวัดคุณภาพน้ำทุกวัน โดยค่าความขุ่นของน้ำที่ออกจากสถานีอยู่ที่ต่ำกว่า 1 หน่วย NTU (Nephelometric Turbidity Unit) ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 4 หน่วย NTU ตามเกณฑ์ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

การรับประกันความปลอดภัยของน้ำประปา

เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสื่อมวลชนและประชาชน นายทวีศักดิ์ได้สาธิตการทดสอบคุณภาพน้ำ โดยการวัดค่า pH ซึ่งผลลัพธ์อยู่ที่ 7.12 อยู่ในช่วงมาตรฐาน 6.5-8.5 ที่กำหนดโดยกรมอนามัย นอกจากนี้ เขายังได้ล้างหน้าด้วยน้ำประปาตรงหน้ากล้อง เพื่อแสดงให้เห็นว่าน้ำมีความปลอดภัยต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน “น้ำประปาของเราผ่านการรับรองมาตรฐานจากกรมอนามัย และมีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นช่วงน้ำท่วมหรือสถานการณ์ปกติ ระบบของเราสามารถรองรับได้” นายทวีศักดิ์กล่าว

การเยี่ยมชมยังรวมถึงการพูดคุยกับนายนิพนธ์ แสงพงษ์ วิศวกรประจำศูนย์ควบคุมการผลิต ซึ่งเป็นจุดที่เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบและบันทึกข้อมูลคุณภาพน้ำได้แบบเรียลไทม์ ผ่านกราฟและตัวชี้วัดต่างๆ ศูนย์นี้ยังทำหน้าที่เฝ้าระวังระบบจ่ายน้ำในเขตบริการรอบเมืองเชียงราย หากเกิดปัญหาการขาดน้ำหรือระบบขัดข้อง เจ้าหน้าที่จะทราบทันทีและสามารถส่งทีมช่างออกไปแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว นายนิพนธ์ระบุว่า ระบบนี้ช่วยให้การประปาสามารถตอบสนองต่อปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดผลกระทบต่อผู้ใช้น้ำในพื้นที่

ห้องปฏิบัติการควบคุมคุณภาพน้ำ

นายณรงค์ศักดิ์ สารใจ นักวิทยาศาสตร์ประจำห้องปฏิบัติการควบคุมคุณภาพน้ำ ซึ่งรับผิดชอบการตรวจสอบน้ำประปาใน 3 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย พะเยา และน่าน อธิบายว่า ห้องปฏิบัติการนี้แบ่งการทดสอบออกเป็น 3 ด้านหลัก ได้แก่

  1. คุณลักษณะทางกายภาพ: เช่น ค่าความขุ่นและ pH
  2. คุณลักษณะทางเคมี: เช่น ค่าความกระด้างและฟลูออไรด์
  3. คุณลักษณะทางชีววิทยา: เช่น การตรวจหาเชื้อโรค เช่น อีโคไลและโคลิฟอร์มแบคทีเรีย

การตรวจเชื้อโรคพื้นฐานจะดำเนินการทุกเดือน ส่วนเชื้อก่อโรคอื่นๆ เช่น ซัลโมเนลลา จะมีการตรวจทุก 6 เดือน สำหรับการตรวจสารโลหะหนัก นายพิทักษ์ มูลวิไชย นักวิทยาศาสตร์อีกท่านหนึ่ง ระบุว่า การประปาสาขาเชียงรายจะส่งตัวอย่างไปยังห้องปฏิบัติการของการประปาส่วนภูมิภาคเขตที่จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนสารพิษที่ซับซ้อนกว่านั้น เช่น สารหนูและตะกั่ว จะถูกส่งไปตรวจที่สำนักงานใหญ่ของการประปาส่วนภูมิภาคที่กรุงเทพมหานคร โดยมีการตรวจสอบเป็นประจำทุกปี นอกจากนี้ ยังมีการร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก เช่น กรมอนามัย และหน่วยงานอิสระ เพื่อยืนยันคุณภาพน้ำอย่างโปร่งใสและเป็นกลาง

ความกังวลจากสถานการณ์แม่น้ำกก

การชี้แจงครั้งนี้มีขึ้นหลังจากมีรายงานเมื่อต้นเดือนเมษายน 2568 ว่า แม่น้ำกก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดิบหลักของการประปาสาขาเชียงราย มีการปนเปื้อนของสารโลหะหนัก เช่น สารหนูและตะกั่ว ในระดับที่เกินมาตรฐานน้ำผิวดิน ส่งผลให้เกิดความกังวลในหมู่ประชาชนถึงความปลอดภัยของน้ำประปา โดยเฉพาะเมื่อสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้ออกมาเตือนถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการสัมผัสหรือบริโภคน้ำจากแม่น้ำกกโดยตรง

นายทวีศักดิ์ยืนยันว่า แม้แม่น้ำกกจะมีรายงานการปนเปื้อน แต่กระบวนการผลิตน้ำประปาของการประปาสามารถกำจัดสารปนเปื้อนเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ “เราไม่ปล่อยให้น้ำดิบที่มีปัญหาคุณภาพไหลเข้าสู่ระบบโดยไม่ผ่านการบำบัด ทุกขั้นตอนถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้” เขากล่าว พร้อมระบุว่า การประปาได้เพิ่มความถี่ในการตรวจสอบคุณภาพน้ำดิบจากแม่น้ำกกตั้งแต่ทราบผลการตรวจเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 เพื่อให้มั่นใจว่าระบบสามารถรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้น

การสื่อสารกับประชาชน

นายทวีศักดิ์กล่าวทิ้งท้ายว่า “ขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจในน้ำประปาของเรา กระบวนการผลิตและการตรวจสอบของเรามีมาตรฐานชัดเจน หากมีข้อสงสัย สามารถติดต่อสอบถามได้ที่เพจ Facebook ‘การประปาส่วนภูมิภาค สาขาเชียงราย’ หรือโทรศัพท์สายตรงของเราได้ตลอดเวลา” เขายังระบุว่า ข้อมูลผลการตรวจคุณภาพน้ำจะมีการอัปเดตผ่านช่องทางออนไลน์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ประชาชนรับทราบความเคลื่อนไหวและคลายความกังวล

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

จากสถานการณ์ดังกล่าว มีความเห็นที่แตกต่างกันในหมู่ประชาชนและผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความปลอดภัยของน้ำประปาในจังหวัดเชียงราย

ฝ่ายที่ 1: มั่นใจในน้ำประปา
การประปาส่วนภูมิภาคและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยืนยันว่า น้ำประปาที่ผ่านกระบวนการผลิตมีมาตรฐานสูงและปลอดภัยต่อการใช้งาน ด้วยระบบบำบัดที่สามารถกำจัดสารปนเปื้อน รวมถึงสารโลหะหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทดสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่องและการรับรองจากกรมอนามัยเป็นหลักฐานที่สนับสนุนว่า ประชาชนสามารถใช้งานน้ำประปาได้โดยไม่ต้องกังวล

ฝ่ายที่ 2: ยังคงกังวลถึงความเสี่ยง
ในทางกลับกัน บางส่วนของประชาชนและกลุ่มที่ติดตามสถานการณ์แม่น้ำกกมีความกังวลว่า แม้ระบบบำบัดจะมีประสิทธิภาพ แต่การปนเปื้อนของสารโลหะหนักในแหล่งน้ำดิบอาจส่งผลกระทบในระยะยาว โดยเฉพาะหากระบบเกิดข้อผิดพลาดหรือไม่สามารถรับมือกับปริมาณสารพิษที่สูงเกินคาดได้ การที่แหล่งน้ำต้นทางอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความไม่มั่นใจ

ทัศนคติเป็นกลาง: ทั้งสองฝ่ายมีมุมมองที่สมเหตุสมผล การประปาสาขาเชียงรายได้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของระบบและการตรวจสอบที่เข้มงวด ซึ่งน่าจะเพียงพอต่อการรับประกันความปลอดภัยในสถานการณ์ปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ความกังวลของประชาชนก็ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากแหล่งน้ำดิบที่มีปัญหาคุณภาพอาจเป็นความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังในอนาคต การแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ เช่น การปนเปื้อนจากเหมืองทองคำในเมียนมา ร่วมกับการสื่อสารที่โปร่งใสและการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง จะเป็นแนวทางที่สมดุลในการคลายความกังวลและรักษาความเชื่อมั่นของประชาชน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. ปริมาณการผลิตน้ำประปา: การประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงรายผลิตน้ำประปาประมาณ 30,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน เพื่อให้บริการในเขตอำเภอเมืองเชียงรายและเวียงชัย (ที่มา: รายงานประจำปี 2567, การประปาส่วนภูมิภาค)
  2. คุณภาพน้ำแม่น้ำกก: กรมควบคุมมลพิษระบุว่า ในปี 2567 แม่น้ำกกมีค่า BOD เฉลี่ย 3-5 mg/L เกินมาตรฐานน้ำผิวดินที่ 2 mg/L (ที่มา: รายงานสถานการณ์มลพิษน้ำ, 2567)
  3. การปนเปื้อนสารหนู: องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า การสัมผัสสารหนูเกิน 0.01 mg/L ในระยะยาวอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนัง (ที่มา: WHO Arsenic Fact Sheet, 2023)
  4. การใช้น้ำในเชียงราย: แม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำดิบหลักสำหรับการผลิตน้ำประปาในเขตอำเภอเมืองเชียงราย คิดเป็นร้อยละ 60 ของปริมาณน้ำที่ใช้ทั้งหมด (ที่มา: รายงานทรัพยากรน้ำ, สทนช., 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การประปาส่วนภูมิภาค
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • องค์การอนามัยโลก (WHO)
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

อบจ.เชียงราย ขานรับ ‘น้ำกก’ ปนเปื้อน เร่งตรวจน้ำประปา ไทยเตรียมประสานเมียนมา

เชียงรายเร่งแก้ปัญหาคุณภาพแม่น้ำกก หลังพบสารปนเปื้อนเกินมาตรฐาน ประสานเมียนมาเดินหน้าความร่วมมือ

สถานการณ์ล่าสุด: เจ้าหน้าที่รัฐลงพื้นที่สำรวจคุณภาพน้ำกกอย่างเร่งด่วน

จังหวัดเชียงราย – วันที่ 7 เมษายน 2568 เวลา 14.00 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย พร้อมคณะทำงาน ได้แก่ นายไพรัช มหาวงศนันท์ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุข, นางนภาภัณฑ์ ต่วนชะเอม เลขานุการ อบจ., นายสมยศ กิจดวงดี รองประธานสภา อบต.ริมกก, โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล, อสม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่สำรวจแม่น้ำกกบริเวณบ้านเมืองงิม ตำบลริมกก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เพื่อประเมินสถานการณ์คุณภาพน้ำและหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน

จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าแม่น้ำกกยังคงอยู่ในเกณฑ์ “พอใช้ถึงเสื่อมโทรม” และยังมีสภาพน้ำขุ่นแดงในหลายจุด ซึ่งเป็นลักษณะที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

นายก อบจ. เน้นย้ำมาตรการป้องกันและแจ้งเตือนประชาชน

นางอทิตาธรฯ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “เพื่อความปลอดภัยของประชาชน ขอความร่วมมือให้งดสัมผัสแม่น้ำกกโดยตรง เพราะอาจเกิดอาการระคายเคือง หรืออาการทางผิวหนังต่าง ๆ ได้ นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำประปาในพื้นที่ ว่ามีสารปนเปื้อนหรือไม่ โดยผลการตรวจจะนำมาแจ้งให้ทราบโดยเร็ว”

นายก อบจ. ยังย้ำถึงความสำคัญของการร่วมมือของภาคประชาชน ร้านค้า และสถานประกอบการต่าง ๆ ในการไม่ปล่อยน้ำเสียสู่แหล่งน้ำโดยไม่ได้ผ่านการบำบัด พร้อมแจ้งเตือนประชาชนที่มีอาการผิดปกติหลังสัมผัสน้ำ ให้รีบพบแพทย์ทันที

เรียกประชุมด่วนร่วมมหาวิทยาลัยฯ และหน่วยงานรัฐ

ในเวลา 10.00 น. ของวันเดียวกัน นางอทิตาธรฯ ได้เรียกประชุมร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขคุณภาพน้ำแม่น้ำกก ซึ่งผลการประชุมสรุปว่า คุณภาพน้ำในแม่น้ำกกอยู่ในเกณฑ์ “พอใช้ถึงเสื่อมโทรม” จึงจำเป็นต้องดำเนินมาตรการเข้มข้นร่วมกับทุกภาคส่วน

แม่น้ำกกถือเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่ไหลผ่านพื้นที่ 6 อำเภอของจังหวัดเชียงราย ได้แก่ อำเภอเมืองเชียงราย, เวียงชัย, เวียงเชียงรุ้ง, ดอยหลวง, แม่จัน และสิ้นสุดที่แม่น้ำโขงในอำเภอเชียงแสน ส่งผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมากทั้งในเรื่องการใช้น้ำเพื่อบริโภคและทำการเกษตร

ผู้ว่าฯ เชียงราย สั่งตรวจสอบตลอดเส้นน้ำต้นทางจนถึงชายแดน

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้สั่งการให้มีการตรวจสอบกิจกรรมตลอดเส้นทางน้ำ ตั้งแต่ต้นน้ำในจังหวัดเชียงใหม่ ไปจนถึงปลายน้ำในเชียงราย เพื่อหาสาเหตุที่อาจทำให้สารหนูปนเปื้อนเพิ่มขึ้น

“กิจกรรมที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือแหล่งผลิตน้ำประปาในระดับชุมชน ที่ไม่ใช่การประปาภูมิภาค ซึ่งใช้น้ำจากแม่น้ำกกโดยตรง เราจะให้ อบจ.เชียงราย และสำนักงานสาธารณสุข เก็บตัวอย่างน้ำไปตรวจที่ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพ ม.ราชภัฏเชียงราย อย่างเร่งด่วน” นายชรินทร์กล่าว

รัฐเมียนมาร่วมมือ ประสานปิดเหมืองทองคำต้นเหตุสารพิษ

การปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำกกมีแนวโน้มเกี่ยวข้องกับการทำเหมืองทองคำในเมืองสาด และเมืองยอน ประเทศเมียนมา กระทรวงมหาดไทยไทยจึงได้เร่งประสานความร่วมมือกับทางการเมียนมา

โดยนางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้นายจักรพงศ์ คำจันทร์ ผู้ว่าการ กปภ. มอบหมายให้นายพงษ์ศักดิ์ เดี่ยววิไล ผอ. กปภ.เขต 9 เข้าหารือกับ นายมีง จอ ลีน กงสุลใหญ่เมียนมา ณ สำนักงานกงสุลใหญ่ เชียงใหม่ เพื่อขอความร่วมมือในการควบคุมกิจกรรมเหมืองแร่ที่อาจเป็นต้นเหตุของสารปนเปื้อน

นายพงษ์ศักดิ์กล่าวว่า “ปัจจุบันคุณภาพน้ำประปายังคงอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย การประปาส่วนภูมิภาคได้เฝ้าระวังและปรับกระบวนการผลิตน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าน้ำประปาไม่เป็นอันตรายต่อประชาชน”

ชาวบ้านขอความชัดเจนและการแก้ปัญหาแบบยั่งยืน

ด้านชุมชนริมแม่น้ำกกในหลายพื้นที่ ต่างแสดงความกังวลใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะชาวบ้านที่ประกอบอาชีพเกี่ยวข้องกับแม่น้ำ เช่น ประมง พืชสวน และท่องเที่ยว ซึ่งล้วนได้รับผลกระทบโดยตรง

ชาวบ้านตำบลริมกก ให้สัมภาษณ์ว่า “เราหวังให้ภาครัฐหาทางแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด เพราะนอกจากสุขภาพแล้ว รายได้ของคนในชุมชนก็ลดลงทุกวัน”

สถิติและข้อมูลทางวิชาการ

อ้างอิงจากรายงานการตรวจคุณภาพน้ำจากกรมควบคุมมลพิษ (ข้อมูล ณ มีนาคม 2568):

  • สารหนู (As) ตรวจพบ 0.012 – 0.026 มิลลิกรัม/ลิตร (เกินมาตรฐานที่ 0.01)
  • ตะกั่ว (Pb) ตรวจพบสูงสุด 0.076 มิลลิกรัม/ลิตร (เกินมาตรฐานที่ 0.05)
  • ค่าความขุ่น (NTU) สูงสุดที่ 988 NTU (มาตรฐานไม่เกิน 100)
  • แบคทีเรียโคลิฟอร์มรวม พบเกินค่ามาตรฐานใน 3 จุดหลัก
  • คุณภาพน้ำตาม BOD (Biochemical Oxygen Demand) อยู่ในระดับเสื่อมโทรม

ทัศนคติเป็นกลางของทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายประชาชน: เรียกร้องให้รัฐเร่งแก้ไขอย่างยั่งยืนและโปร่งใส เพราะส่งผลกระทบทั้งต่อสุขภาพ รายได้ และวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชน

ฝ่ายภาครัฐ: ยืนยันดำเนินการเร่งด่วนตามมาตรการที่มีอย่างเต็มกำลัง ทั้งในประเทศและประสานความร่วมมือต่างประเทศ โดยเน้นย้ำคุณภาพน้ำประปายังอยู่ในมาตรฐาน และเดินหน้าตรวจสอบตลอดลำน้ำเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ (www.pcd.go.th)
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

แม่น้ำกกเริ่มวิกฤต สัตว์น้ำตาย ชาวบ้านคาดสารพิษเกินมาตรฐาน

สารหนูในแม่น้ำกก เกินค่ามาตรฐาน สัตว์น้ำตายปริศนา คนเชียงรายผวา

พบสารพิษในแม่น้ำกก ชาวบ้านไม่กล้าใช้น้ำ

เชียงราย,เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2568 – สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) หรือ สคพ.1 ได้เผยผลตรวจวิเคราะห์น้ำและตะกอนดินจากแม่น้ำกกในพื้นที่ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ และ อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย พบปริมาณ “สารหนู” เกินมาตรฐานทั้ง 3 จุด

หนึ่งในพื้นที่ตรวจวัดคือบริเวณเชิงสะพานแม่ฟ้าหลวง บ้านน้ำลัด อ.เมือง จ.เชียงราย พบค่าปนเปื้อน 0.012 มิลลิกรัมต่อลิตร ขณะที่ค่ามาตรฐานกำหนดไว้ไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร สังเกตเห็นว่าน้ำในแม่น้ำยังคงมีสีขุ่นแดง และไม่มีชาวบ้านลงเล่นน้ำหรือหาปลาเช่นเคย

เริ่มพบสัตว์น้ำลอยตายริมฝั่ง

ชาวบ้านรายงานว่าพบลูกเต่าน้ำจืดและปลาจำนวนหนึ่งลอยตายเกยฝั่ง ยังไม่มีคำยืนยันถึงสาเหตุที่ชัดเจน แต่ชาวบ้านเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับสารปนเปื้อนดังกล่าว

นายอภิชิต ปันวิชัย อายุ 51 ปี ชาวบ้านชุมชนน้ำลัด ระบุว่า “ปกติพวกเราจะใช้น้ำจากแม่น้ำกกทั้งกิน ทั้งใช้ และทำมาหากินมาตลอด แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ ไม่มีใครกล้าแตะน้ำอีกเลย แม้กระทั่งการประมงพื้นบ้านก็ต้องหยุดหมด”

เรียกร้องรัฐไทย-เมียนมา ร่วมมือแก้ปัญหา

ประชาชนในพื้นที่ต้องการให้รัฐบาลไทยประสานกับรัฐบาลเมียนมาอย่างเร่งด่วน เพื่อควบคุมและตรวจสอบการทำเหมืองหรือกิจกรรมอื่นๆ ทางตอนเหนือของแม่น้ำ ซึ่งอาจเป็นต้นตอของมลพิษที่ไหลลงสู่แม่น้ำกก

ภาครัฐในพื้นที่ได้รับคำสั่งจากผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ให้เพิ่มความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำตลอดแนวแม่น้ำกก ตั้งแต่รอยต่อกับ จ.เชียงใหม่ ไปจนถึงปลายน้ำที่ อ.เชียงแสน ก่อนแม่น้ำกกจะไหลลงสู่แม่น้ำโขง

สั่งตรวจสอบระบบประปาและแหล่งใช้น้ำทุกประเภท

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายยังมีคำสั่งให้สำนักงานสาธารณสุข การประปาส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมสำรวจแหล่งใช้น้ำในกิจกรรมต่างๆ ทั้งอุปโภค บริโภค เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยให้สรุปภายในวันที่ 9 เมษายน 2568

สคพ.1 แนะนำให้มีการตรวจคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง เดือนละ 1-2 ครั้ง และหากมีอาการผิดปกติหลังสัมผัสน้ำ เช่น ผื่น อาเจียน ควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว

กรมควบคุมมลพิษเผยคุณภาพน้ำ “เสื่อมโทรม”

ผลการตรวจวิเคราะห์ของ สคพ.1 ร่วมกับหลายหน่วยงาน พบว่าคุณภาพน้ำแม่น้ำกก ณ จุดตรวจ 3 จุดใน อ.แม่อาย มีค่าคุณภาพน้ำอยู่ในระดับ “เสื่อมโทรม” ได้แก่

  • BOD (สารอินทรีย์ในน้ำเสีย) เกินมาตรฐานทั้ง 3 จุด
  • แบคทีเรียโคลิฟอร์มและฟีคอลโคลิฟอร์ม สูงเกินค่ากำหนด บ่งชี้ถึงน้ำเสียจากชุมชน
  • แอมโมเนีย สูงจากการย่อยสลายซากพืชซากสัตว์
  • ค่าความขุ่น สูงถึง 988 NTU ที่ชายแดนไทย-พม่า (มาตรฐานไม่เกิน 100 NTU)

พบสารหนูและตะกั่วเกินมาตรฐาน

  • ตะกั่ว (Pb) พบเกินมาตรฐานในจุดที่ติดชายแดน มีค่า 0.076 มิลลิกรัมต่อลิตร (มาตรฐานไม่เกิน 0.05)
  • สารหนู (As) พบเกินทุกจุด ตรวจพบสูงสุด 0.026 มิลลิกรัมต่อลิตร (มาตรฐานไม่เกิน 0.01)

การได้รับสารหนูและตะกั่วอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบประสาท ระบบขับถ่าย และเสี่ยงเป็นมะเร็งในระยะยาว

คำเตือนต่อประชาชน

กรมควบคุมมลพิษแจ้งเตือนประชาชนให้ หลีกเลี่ยงการดื่มหรือสัมผัสน้ำจากแม่น้ำกกโดยตรง และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประเมินความเสี่ยง และปรับระบบการบำบัดน้ำประปาให้ได้มาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด

ความเห็นจากสองฝ่ายแบบเป็นกลาง

ฝ่ายชาวบ้าน: ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน หวั่นผลกระทบต่อวิถีชีวิตและสุขภาพของลูกหลานในอนาคต

ฝ่ายรัฐ: ยืนยันเร่งแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ พร้อมประสานทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน

สถิติและแหล่งข้อมูลอ้างอิง

  • ค่า BOD แม่น้ำกก เฉลี่ย 5.2 มก./ลิตร (มาตรฐานไม่เกิน 4)
  • ปริมาณสารหนูเฉลี่ย 0.012-0.026 มก./ลิตร (มาตรฐานไม่เกิน 0.01)
  • รายงานคุณภาพน้ำปี 2567 จากกรมควบคุมมลพิษ ระบุว่าแม่น้ำกกอยู่ในลำดับที่ 8 จาก 10 แหล่งน้ำที่เสื่อมโทรมที่สุดในภาคเหนือ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ (www.pcd.go.th)
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เรือนจำเชียงราย เปิดศูนย์ “หับเผยคาร์แคร์ 2 by กลางเวียง”

เรือนจำกลางเชียงรายเปิด “ศูนย์แคร์” และ “หับเผยคาร์แคร์ 2” ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ต้องขังสู่การคืนคนดีสู่สังคม

ส่งเสริมโอกาสแห่งชีวิตใหม่แก่ผู้ต้องขังผ่านการฝึกอาชีพและมีงานทำ

เชียงราย – วันที่ 6 เมษายน 2568 ณ เรือนจำกลางเชียงราย นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดป้ายอาคารอเนกประสงค์ “ศูนย์ประสานงานและส่งเสริมการมีงานทำ” (CARE) และพิธีเปิด “หับเผยคาร์แคร์ 2 by กลางเวียง” โดยมีผู้บริหารหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน ผู้แทนองค์กรชุมชน และสื่อมวลชนเข้าร่วมในพิธีอย่างพร้อมเพรียง

พิธีเปิดดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของเรือนจำกลางเชียงรายในการยกระดับมาตรการฟื้นฟูผู้ต้องขังผ่านการพัฒนาศักยภาพในด้านอาชีพ และเตรียมความพร้อมก่อนการปล่อยตัวกลับคืนสู่สังคม

เสริมศักยภาพด้วยอาชีพ เพิ่มความหวังในการเริ่มต้นใหม่

นายพัศพงศ์ ใจคล่องแคล่ว ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย กล่าวว่า เรือนจำมีบทบาทในการควบคุมผู้ต้องขังควบคู่กับการ “แก้ไขฟื้นฟูพฤตินิสัย” โดยเฉพาะการฝึกวิชาชีพที่สามารถต่อยอดเป็นอาชีพได้จริงภายหลังพ้นโทษ ซึ่งตอบสนองต่อนโยบายของกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม และสอดคล้องกับแผนพัฒนาจังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2566–2570

ภายใต้แนวทางดังกล่าว เรือนจำกลางเชียงรายจึงได้จัดตั้งศูนย์ “CARE” เพื่อทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมโยงและให้ความช่วยเหลือด้านอาชีพแก่ผู้พ้นโทษ เช่น การจัดหางาน การให้ทุนประกอบอาชีพ การแนะแนว และการประสานความร่วมมือกับภาคเอกชน

หับเผยคาร์แคร์ 2 by กลางเวียง” พื้นที่จริงเพื่อฝึกอาชีพในโลกจริง

หนึ่งในกิจกรรมที่โดดเด่นคือการเปิด “หับเผยคาร์แคร์ 2 by กลางเวียง” ซึ่งเป็นสถานที่ให้บริการล้างรถโดยทีมผู้ต้องขังที่ผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ พร้อมรับการรับรองมาตรฐานด้านการให้บริการ การดูแลลูกค้า และการใช้เครื่องมืออย่างถูกต้อง

คาร์แคร์ดังกล่าวเปิดให้บริการแก่บุคคลภายนอก และเป็นสถานที่ฝึกจริงเพื่อเตรียมความพร้อมผู้ต้องขังให้สามารถนำความรู้ไปประกอบอาชีพภายนอกได้ทันทีภายหลังการปล่อยตัว นับเป็นโมเดลการฝึกอาชีพที่ยึด “หลักเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง” (Learning by Doing) อย่างแท้จริง

ศูนย์แคร์ เชื่อมต่อ “ชีวิตหลังกรง” กับโอกาสใหม่ในสังคม

“ศูนย์แคร์” ไม่เพียงทำหน้าที่ฝึกอาชีพ แต่ยังเป็นหน่วยงานหลักในการดูแลการเปลี่ยนผ่านของผู้ต้องขังจากการอยู่ในระบบควบคุมสู่การใช้ชีวิตในสังคมอย่างปกติสุข พร้อมทั้งเป็นศูนย์กลางประสานกับหน่วยงานจัดหางาน สำนักงานพัฒนาสังคมฯ และองค์กรเอกชนในการสร้างโอกาสการมีงานทำอย่างต่อเนื่อง

ผู้พ้นโทษที่ยังขาดแคลนทุนทรัพย์สามารถติดต่อเพื่อขอรับทุนประกอบอาชีพเบื้องต้น หรือเข้าร่วมกิจกรรมเสริมพัฒนาทักษะผ่านการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่องได้

บทสะท้อนสองมุมมองต่อโครงการพัฒนาชีวิตผู้พ้นโทษ

ฝ่ายสนับสนุน เห็นว่า การฝึกอาชีพและให้โอกาสแก่ผู้พ้นโทษเป็นแนวทางที่ถูกต้องและมีมนุษยธรรม ช่วยลดโอกาสในการหวนกลับไปกระทำผิดซ้ำ และยังเป็นการคืนคนดีสู่สังคมอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ประเทศไทยยังมีอัตราการกระทำผิดซ้ำสูง การดำเนินการเชิงรุกเช่นนี้นับว่าเป็นความหวังใหม่ของระบบยุติธรรมไทย

ขณะที่ฝ่ายกังวล มองว่า แม้โครงการจะมีเจตนาดี แต่ยังมีอุปสรรคเรื่องการยอมรับจากสังคมภายนอก โดยเฉพาะผู้ประกอบการบางรายที่ยังลังเลในการจ้างผู้พ้นโทษ นอกจากนี้ยังขาดระบบติดตามผลในระยะยาวว่าผู้ที่ได้รับการฝึกฝนสามารถตั้งตัวได้จริงหรือไม่ และโอกาสเข้าถึงทุนสำหรับประกอบอาชีพก็ยังไม่ทั่วถึง

แนวทางต่อไป: การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนคือหัวใจ

ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนเสนอว่า การขับเคลื่อนงานคืนคนดีสู่สังคม ต้องอาศัย “ภาคประชาชน” และ “ภาคเอกชน” ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ ทั้งในด้านการรับผู้พ้นโทษเข้าทำงาน การสนับสนุนทุน หรือแม้แต่การเปิดพื้นที่ให้ผู้พ้นโทษได้แสดงศักยภาพ โดยไม่ตีตราหรือปิดกั้นโอกาสตั้งแต่ต้น

สถิติที่เกี่ยวข้องกับผู้พ้นโทษและการกลับเข้าสู่สังคม

  • ประเทศไทยมีผู้ต้องขังในเรือนจำทั้งหมดประมาณ 278,000 คน (ข้อมูลจากกรมราชทัณฑ์, ก.พ. 2567)
  • ผู้พ้นโทษกลับกระทำผิดซ้ำ (Recidivism rate) อยู่ที่ประมาณ 18% ภายใน 3 ปี (ที่มา: สำนักงานกิจการยุติธรรม, 2566)
  • มีผู้พ้นโทษที่ต้องการมีอาชีพอย่างเป็นระบบมากกว่า 70% แต่เข้าถึงทุนเพียง 38% (ข้อมูลจากโครงการเรือนจำแห่งการเรียนรู้)
  • กรมราชทัณฑ์มีแผนพัฒนาทักษะวิชาชีพในเรือนจำ 131 แห่งทั่วประเทศ ครอบคลุมกว่า 40 สาขาอาชีพ เช่น ช่างยนต์ ช่างไฟฟ้า ทำอาหาร เสริมสวย ฯลฯ (ที่มา: กรมราชทัณฑ์)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมราชทัณฑ์
  • กระทรวงยุติธรรม
  • สำนักงานกิจการยุติธรรม
  • แผนพัฒนาจังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2566–2570
  • สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย
  • สถิติเรือนจำทั่วประเทศ, สำนักวิจัยระบบยุติธรรม
  • โครงการเรือนจำแห่งการเรียนรู้, มูลนิธิพัฒนาศักยภาพผู้ต้องขัง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI ENTERTAINMENT

เชียงรายดังไกล “MY DANCE” คว้าชัย เวทีเต้นเอเชียตีตั๋วไประดับโลก

เด็กเชียงรายเก่งระดับโลก ความสำเร็จจาก MY DANCE ACADEMY ในการแข่งขัน UDO ASIA-PACIFIC STREET DANCE CHAMPIONSHIPS 2025

ชลบุรี, 6 เมษายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทีมนักเต้นเยาวชนจาก MY DANCE ACADEMY จังหวัดเชียงราย ได้สร้างผลงานอันน่าประทับใจและน่าภาคภูมิใจในการแข่งขัน UDO ASIA-PACIFIC STREET DANCE CHAMPIONSHIPS 2025 ซึ่งจัดขึ้น ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ศรีราชา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ระหว่างวันที่ 3-6 เมษายน 2568 การแข่งขันครั้งนี้เป็นเวทีระดับนานาชาติที่รวบรวมตัวแทนนักเต้นสตรีทแดนซ์จากทั่วทุกมุมโลก เพื่อชิงชัยความเป็นหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และคัดเลือกทีมที่โดดเด่นเพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน UDO World Championships 2025 ณ ประเทศอังกฤษ ทีมจาก MY DANCE ACADEMY ไม่เพียงแต่คว้ารางวัลสำคัญถึง 4 รางวัลเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนจากภาคเหนือของประเทศไทยที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดเชียงรายและประเทศไทยในเวทีระดับโลก

การแข่งขันครั้งนี้จัดโดย United Dance Organisation (UDO) ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรชั้นนำด้านการเต้นสตรีทแดนซ์ระดับโลก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมศักยภาพของเยาวชนผ่านการเต้น อีกทั้งยังมุ่งหวังให้เยาวชนไทยรู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ พัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีม สร้างวินัยในตนเอง และส่งเสริมการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดี นอกจากนี้ ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนและพัฒนาศักยภาพของบุตรหลานในมุมมองใหม่ๆ ที่ไม่จำกัดเพียงแค่ด้านวิชาการเท่านั้น

ความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจของ MY DANCE ACADEMY

ทีมจาก MY DANCE ACADEMY ซึ่งประกอบด้วยนักเต้นเยาวชนและผู้ใหญ่จากจังหวัดเชียงราย ได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ในการแข่งขันครั้งนี้ โดยสามารถคว้ารางวัลใหญ่ถึง 4 รางวัล และมีอีก 2 ทีมที่สร้างสีสันบนเวที

รายชื่อสมาชิกทีมและผลงาน

ทีม MY DANCE ACADEMY ประกอบด้วยสมาชิกหลากหลายวัย ซึ่งแต่ละคนมีส่วนร่วมในการสร้างผลงานอันน่าประทับใจ ดังนี้

Myda Crew Junior ( rank 10 ) รุ่น Under 12

  1. น้องโฟกัส เด็กหญิงศุภกานต์ หลิวชาญพิมพ์ อายุ 8 ปี ชั้น ป.2/2 โรงเรียนศิริมาตย์เทวี
  2. วิปครีม เด็กหญิงชนัญชิดา กองสุวรรณ์ อายุ 10 ขวบ ชั้นป.4 โรงเรียน ต้นดีศึกษา
  3. น้องใบทาย เด็กหญิงธนิสา ไกรศรี อายุ 8 ปี โรงเรียนอนุบาลเชียงราย ชั้นประถมศึกษาปีที่2/9
  4. น้องส้ม เด็กหญิง อริสา ฮาร์มเซ่น อายุ 10 ปี โรงเรียนปิติศึกษา ป.4
  5. น้องลำพูน สิบสองปันนา พนมการณ์ 9 ปี Chiangrai International School ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
  6. น้องไดมอนด์ เด็กหญิง ปวันรัตน์ จันทร์ทวีทรัพย์ อายุ 10 ปี Chaingrai International School ชั้น ป4

MY DANGER GALZ (rank 6) รุ่น Under 18

  1. ทรีทรี วัชรวีร์ เกาะทอง อายุ 12 ปี โรงเรียนพระกุมารเยซูเชียงของ ป.6
  2. พิมพ์ ณิชารี ปงรังษี อายุ 16 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.4
  3. มีน อารยา สัทธานนท์ อายุ 17 ปี  โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.4
  4. ขวัญ นีรชา ณ ลำพูน อายุ 14 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.2
  5. นาน่า ณิชนันท์ กันยานนท์ อายุ 14 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.2
  6. โมโม่ โมนะ วังวิญญู อายุ 16 ปี โรงเรียนปิติศึกษา ม.4

Myda Supercrew รุ่น Supercrew (18 คนขึ้นไป) สมาชิกทั้งหมด ทุกทีม และเพิ่มสมาชิก อีก 4 คนคือ

  1. ทอฝัน กัญพัชย์ วงค์ฮู้ อายุ 13 ปี โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย ม.2
  2. หยก หทัยชนก สุขวัฒนถาวรชัย อายุ 13 ปี โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงยงราย ชั้น ม.2
  3. น้องเจม เด็กชาย ปพนรัตน์ จันทร์ทวีทรัพย์ อายุ 9 ปี  Chiangrai International School ชั้น ป3
  4. บุ้งกี๋ เด็กหญิง ปัญจสิริ สวัสดิวงศ์ อายุ 13 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.1

La MYDA Nostra (อันดับ 4, รุ่น Ultimate Advance)

  1. ครูหมีพู นายณภัทร บุญประกอบ อายุ 21 ปี MY DANCE ACADEMY
  2. น้องเปีย นางสาววชิรญาณ์ นามวงค์ อายุ 21 ปี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  3. น้องเบลล์ นางสาวธนภูพรรณ วงค์อะทะชัย อายุ 20 ปี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  4. ครูตระกร้อ นายศุภพิชญ์ กันยะธง อายุ 34 ปี MY DANCE ACADEMY
  5. ครูส้ม นางสาวศุภกานต์ ปัญญาพล อายุ 26 ปี MY DANCE ACADEMY
Solo U10 อันดับ 3
  1. น้องโฟกัส เด็กหญิงศุภกานต์ หลิวชาญพิมพ์ อายุ 8 ปี ชั้น ป.2/2 โรงเรียนศิริมาตย์เทวี 
Solo O18 อันดับ 3
  1. ครูหมีพู นายณภัทร บุญประกอบ อายุ 21 ปี MY DANCE ACADEMY

การใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ของเยาวชนเชียงราย

ความสำเร็จของทีม MY DANCE ACADEMY ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่มาจากการฝึกซ้อมอย่างหนักและการใช้เวลาว่างของเด็กๆ และเยาวชนอย่างมีคุณค่า เด็กๆ เหล่านี้เลือกที่จะทุ่มเทให้กับการเต้น ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังช่วยพัฒนาทักษะด้านการทำงานเป็นทีม ความรับผิดชอบ และวินัยในตนเอง ครูยุ้ย ผู้อำนวยการของ MY DANCE ACADEMY กล่าวว่า “เรามุ่งหวังให้เด็กๆ ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ แทนที่จะปล่อยให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ การเต้นเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยให้เด็กๆ ได้แสดงออก และพัฒนาตัวเองในหลายด้าน”

น้องโฟกัส วัย 8 ปี ผู้คว้ารางวัล Solo U10 เล่าว่า “หนูชอบเต้นมากค่ะ หลังเลิกเรียนหนูจะมาซ้อมกับเพื่อนๆ และครูทุกวัน การเต้นทำให้หนูสนุกและมีเพื่อนเยอะขึ้น” เช่นเดียวกับน้องทอฝัน วัย 13 ปี จากทีม MYDA SUPER CREW ที่กล่าวว่า “การเต้นทำให้หนูรู้จักจัดการเวลา และมีวินัยมากขึ้น หนูภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมที่สร้างชื่อเสียงให้เชียงรายค่ะ”

การสร้างชื่อเสียงให้จังหวัดเชียงราย

ผลงานของ MY DANCE ACADEMY ในการแข่งขันครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นความสำเร็จของทีมเท่านั้น แต่ยังเป็นการยกระดับชื่อเสียงของจังหวัดเชียงรายให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ การที่ทีมจากจังหวัดทางภาคเหนือของประเทศไทยสามารถคว้ารางวัลในเวทีใหญ่ระดับเอเชียได้ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล ที่หากได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสม ก็สามารถก้าวไปสู่เวทีโลกได้อย่างสง่างาม

ครูสายเมฆ หัวหน้าผู้ฝึกสอนของทีม กล่าวว่า “เราภูมิใจมากที่เด็กๆ จากเชียงรายได้แสดงให้โลกเห็นว่าเราก็มีดีไม่แพ้ใคร การแข่งขันครั้งนี้เป็นโอกาสที่ทำให้เด็กๆ ได้พัฒนาตัวเอง และนำชื่อเสียงมาสู่จังหวัดของเรา จะเห็นได้ว่าเด็กที่ได้หรือไม่ได้รางวัลมีความสุขกับการเต้น เราเองก็ดีใจ และภูมิใจที่เชียงรายมีทีมเก่งๆ แบบนี้”

แรงบันดาลใจและการสนับสนุนจากทุกฝ่าย

ความสำเร็จของ MY DANCE ACADEMY จะไม่เกิดขึ้นได้หากขาดการสนับสนุนจากทีมผู้ฝึกสอน ผู้ปกครอง และผู้จัดงาน โดยทีมครูผู้ฝึกสอน ประกอบด้วย ครูสายเมฆ, ครูยุ้ย, ครูกร้อ, ครูหมีพู, ครูส้ม, ครูเปีย และทีมครูตึกขาว ได้ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจในการฝึกซ้อมเด็กๆ ให้พร้อมสำหรับการแข่งขัน ผู้ปกครองและครอบครัวของนักเต้นทุกคนก็มีส่วนสำคัญในการให้กำลังใจและสนับสนุนทั้งด้านการเดินทางและค่าใช้จ่ายต่างๆ

นอกจากนี้ ต้องขอขอบคุณเวที UDO ASIA-PACIFIC STREET DANCE CHAMPIONSHIPS ทีมงานผู้จัด และผู้สนับสนุนทุกท่าน ที่มอบโอกาสและพื้นที่ให้เยาวชนไทยได้แสดงศักยภาพ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเต้นรุ่นใหม่ต่อไป การแข่งขันครั้งนี้ยังปิดท้ายด้วยความสนุกสนานจากมินิคอนเสิร์ตของศิลปิน B KING OF THE MIC และ CHUN WEN CHONBURIFLOW ซึ่งเพิ่มสีสันให้กับงานได้เป็นอย่างดี

สู่เวทีโลกความหวังของเด็กเชียงราย

ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมในครั้งนี้ ทีม MY DANCE ACADEMY มีโอกาสได้ไปต่อในเวที UDO World Championships 2025 ณ ประเทศอังกฤษ ซึ่งจะเป็นอีกก้าวสำคัญที่แสดงถึงความสามารถของเยาวชนไทยในระดับโลก ความสำเร็จนี้ไม่เพียงแต่เป็นความภาคภูมิใจของทีมและจังหวัดเชียงรายเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เยาวชนไทยทั่วประเทศเห็นว่า การทุ่มเทและใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ สามารถนำพาความฝันไปสู่ความจริงได้

จากเด็กตัวเล็กๆ ในเมืองเชียงราย สู่การเป็นนักเต้นที่เก่งกาจในระดับนานาชาติ MY DANCE ACADEMY ได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ หากมีความมุ่งมั่นและการสนับสนุนที่ดีเยี่ยมจากทุกฝ่าย และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ของเด็กเชียงรายบนเส้นทางสตรีทแดนซ์ระดับโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : MY DANCE ACADEMY

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

แม่น้ำกกวิกฤต สทนช. เร่งประสานเมียนมา แก้ปัญหาสารพิษ

สทนช. ประสานนานาชาติรับมือวิกฤตคุณภาพน้ำแม่น้ำกก หลังพบสารพิษปนเปื้อน

เชียงราย, 6 เมษายน 2568 – ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า สทนช. ได้เร่งดำเนินการประสานความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศ เพื่อรับมือสถานการณ์คุณภาพน้ำแม่น้ำกก หลังมีรายงานการตรวจพบสารพิษปนเปื้อนในน้ำ บริเวณอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำ สืบเนื่องจากกิจกรรมเหมืองทองคำในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ที่ปล่อยสารเคมีลงสู่แหล่งน้ำต้นทาง

การดำเนินการของ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ดร.สุรสีห์ ระบุว่า สทนช. ได้ประสานงานกับหน่วยงานภายในประเทศ เช่น สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) และการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาเชียงราย เพื่อตรวจสอบคุณภาพน้ำและกำหนดมาตรการป้องกันผลกระทบต่อประชาชน พร้อมกันนี้ ได้ประสานกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ผ่านกรอบความร่วมมือแม่น้ำโขง-ล้านช้าง (Lancang-Mekong Cooperation: LMC) และสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission Secretariat: MRCS) เพื่อขอข้อมูลและความร่วมมือในการตรวจสอบสาเหตุ รวมถึงหาแนวทางลดผลกระทบข้ามพรมแดน

“สทนช. มุ่งมั่นคุ้มครองสุขภาพประชาชนและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำแม่น้ำกกให้ยั่งยืน โดยเราจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและประสานงานกับทุกฝ่ายเพื่อหาทางออกที่เหมาะสม” ดร.สุรสีห์กล่าว

การตรวจสอบคุณภาพน้ำครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 โดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) พบว่า แม่น้ำกกมีปริมาณสารหนู (Arsenic) และตะกั่ว (Lead) เกินมาตรฐานน้ำผิวดิน โดยผลวิเคราะห์เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 ระบุว่า สารหนูมีค่าเฉลี่ยสูงถึง 0.013-0.015 มิลลิกรัมต่อลิตร (mg/L) ซึ่งเกินมาตรฐานที่กำหนดไว้ 0.01 mg/L และตะกั่วมีค่าสูงถึง 0.06 mg/L เกินมาตรฐานที่ 0.05 mg/L สารพิษเหล่านี้หากสัมผัสหรือบริโภคโดยตรงอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคือง ผื่นคัน ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสีย และในระยะยาวอาจเสี่ยงต่อโรคมะเร็งหรือความเสียหายต่อระบบประสาท

ต้นตอปัญหาและผลกระทบ

แม่น้ำกกมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาดอยผาหม่นในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ไหลผ่านตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เข้าสู่จังหวัดเชียงราย และไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงแสน รวมระยะทางประมาณ 285 กิโลเมตร เป็นแหล่งน้ำสำคัญสำหรับการเกษตร การประมง และการผลิตน้ำประปาในพื้นที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอเมืองเชียงราย

รายงานระบุว่า สาเหตุหลักของการปนเปื้อนเกิดจากกิจกรรมเหมืองทองคำในเมืองยอนและเมืองสาด รัฐฉานใต้ ภายใต้การควบคุมของกองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Army: UWSA) ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ประมาณ 30 กิโลเมตร ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา การขุดเหมืองทองคำได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีการใช้เครื่องจักรกลหนักขุดดินและสกัดแร่ตลอด 24 ชั่วโมง ริมฝั่งแม่น้ำกก กระบวนการสกัดทองคำใช้สารเคมี เช่น สารหนูและไซยาไนด์ ซึ่งเมื่อไม่มีการบำบัดน้ำเสียอย่างเหมาะสม สารพิษเหล่านี้ถูกปล่อยลงสู่แม่น้ำโดยตรง

การทำลายป่าและการปรับสภาพภูมิประเทศเพื่อสร้างหนองน้ำสำหรับสกัดแร่ ยังส่งผลให้ไม่มีพืชพรรณคอยซับน้ำ ส่งผลให้น้ำเสียไหลลงสู่แม่น้ำกกอย่างต่อเนื่อง ปัญหานี้ทวีความรุนแรงขึ้นตั้งแต่ปี 2566 เมื่อเหมืองทองคำขยายขอบเขตการดำเนินงานจากเมืองสาดลงสู่เมืองยอน และเริ่มเข้าใกล้ชายแดนไทยมากขึ้น

การตอบสนองของหน่วยงานในจังหวัดเชียงราย

นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวถึงสถานการณ์ว่า “ขณะนี้เรายังรอผลการตรวจคุณภาพน้ำอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากพบว่ามีสารปนเปื้อนเกินมาตรฐานจริง ทางจังหวัดจะแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ทันที และดำเนินการตามขั้นตอน โดยหากสาเหตุมาจากต่างประเทศ จะต้องรายงานไปยังกระทรวงการต่างประเทศผ่านกรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศ เพื่อประสานความร่วมมือต่อไป”

นายประเสริฐ ยังระบุว่า โดยปกติจังหวัดเชียงรายมีการเก็บตัวอย่างน้ำเพื่อตรวจคุณภาพทุก 3 เดือน ใน 3 สถานีที่อำเภอเมือง และ 1 สถานีที่อำเภอเชียงแสน แต่จากสถานการณ์นี้ อาจต้องเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครอบคลุมและทันท่วงที

ด้านนายทวีศักดิ์ สุขก้อน ผู้จัดการการประปาส่วนภูมิภาค สาขาเชียงราย เปิดเผยว่า หลังทราบข่าวการปนเปื้อนจากเหมืองทองคำต้นน้ำ ทาง กปภ. ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และปรับเปลี่ยนการตรวจคุณภาพน้ำจากเดิมปีละ 2 ครั้ง เป็นทุกเดือน โดยเฉพาะการตรวจโลหะหนัก “น้ำประปาที่เราผลิตจากแม่น้ำกกในเขตอำเภอเมืองและเวียงชัย มีกระบวนการกรองและกำจัดสารปนเปื้อน รวมถึงสารหนูและตะกั่ว ซึ่งประชาชนสามารถมั่นใจในความปลอดภัยได้ ส่วนอำเภอเชียงแสนใช้น้ำจากแม่น้ำโขงเป็นหลัก จึงไม่ได้รับผลกระทบจากแม่น้ำกก” นายทวีศักดิ์กล่าว

อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่า ชุมชนท้องถิ่นที่อยู่นอกเขตบริการของ กปภ. และไม่มีระบบกรองน้ำที่สามารถกำจัดโลหะหนักได้ อาจยังเสี่ยงต่อการใช้น้ำที่มีสารปนเปื้อน ทาง กปภ. จึงได้เข้าไปให้ความรู้เกี่ยวกับการกรองน้ำเบื้องต้นแก่ชุมชนเหล่านี้

ความเคลื่อนไหวของภาคประชาชน

นางสาวจุฑามาศ ราชประสิทธิ เจ้าหน้าที่อาวุโสมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ภาคประชาชนไม่รอให้รัฐดำเนินการเพียงฝ่ายเดียว โดย 4 องค์กรภาคประชาสังคม ได้แก่ พชภ., มูลนิธิศึกษาพัฒนาประชาชนบนที่สูง, กลุ่มฅนเพื่อการเปลี่ยนแปลง และมูลนิธิร่มโพธิ์ ได้ร่วมกันจัดตั้ง “เครือข่ายข้อมูลอุทกภัยแม่น้ำกก” ตั้งแต่ปลายปี 2567 หลังเกิดน้ำท่วมใหญ่ในอำเภอเมืองเชียงรายเมื่อเดือนกันยายน 2567 ซึ่งเผยให้เห็นถึงข้อจำกัดของระบบเตือนภัยน้ำท่วมของภาครัฐ

“เราได้ติดตั้งเสาวัดระดับน้ำตามชุมชนริมแม่น้ำกกใน 7 พื้นที่ เช่น บ้านโป่งนาคำ ตำบลดอยฮาง, บ้านแก่งทรายมูล และบ้านผาใต้ ตำบลท่าตอน เพื่อให้ชาวบ้านสามารถอ่านค่าระดับน้ำและแจ้งเตือนกันเองผ่านภาพถ่ายและคลิปวิดีโอในเครือข่ายชุมชน ปัจจุบันดำเนินการแล้ว 6 ชุมชน และกำลังจะจัดอบรมอาสาสมัครเพิ่มเติมในฤดูฝนนี้” นางสาวจุฑามาศกล่าว

เธอระบุว่า การดำเนินการนี้ไม่เพียงช่วยลดความเสียหายจากน้ำท่วม แต่ยังเป็นเครื่องมือให้ชุมชนเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดวิกฤตสารพิษปนเปื้อนเช่นนี้

ไทม์ไลน์เหตุการณ์สำคัญ

  • ปี 2550: แม่น้ำกกเริ่มเปลี่ยนสีจากใสเป็นแดงขุ่น ชาวบ้านเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ
  • ปี 2566: เหมืองทองคำในรัฐฉานขยายตัวอย่างรวดเร็ว เริ่มมีการปล่อยน้ำเสียลงสู่แม่น้ำกก
  • 14 มีนาคม 2568: ชาวบ้านลุ่มน้ำกกเดินขบวนเรียกร้องให้รัฐออกมาตรการปกป้องแม่น้ำ
  • 19 มีนาคม 2568: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เก็บตัวอย่างน้ำเพื่อวิเคราะห์
  • 4 เมษายน 2568: ประกาศผลตรวจ พบสารหนูและตะกั่วเกินมาตรฐาน

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

ปัญหาคุณภาพน้ำแม่น้ำกกได้สร้างความกังวลในหมู่ประชาชนและหน่วยงานต่างๆ โดยเกิดมุมมองที่แตกต่างกันระหว่างฝ่ายที่มองว่าเป็นวิกฤตเร่งด่วน และฝ่ายที่มองว่าไม่รุนแรงนัก

ฝ่ายที่ 1: วิกฤตที่ต้องแก้ไขทันที
ภาคประชาชนและบางหน่วยงาน เช่น มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา เห็นว่าการปนเปื้อนของสารหนูและตะกั่วเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อสุขภาพและวิถีชีวิต โดยเฉพาะชุมชนที่พึ่งพาน้ำจากแม่น้ำกกโดยตรง การที่สารพิษเกินมาตรฐานถึงสองเท่าในบางจุด และมีรายงานการขยายเหมืองทองคำในเมียนมาโดยไม่มีการควบคุม บ่งชี้ถึงความจำเป็นในการดำเนินการอย่างเร่งด่วนทั้งในระดับท้องถิ่นและนานาชาติ

ฝ่ายที่ 2: ปัญหายังไม่รุนแรงมาก
ในทางกลับกัน หน่วยงานบางส่วน เช่น การประปาส่วนภูมิภาค และสำนักงานสิ่งแวดล้อมฯ มองว่าสถานการณ์ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยเฉพาะเมื่อน้ำประปายังปลอดภัยจากการบำบัด และปริมาณสารพิษที่เกินมาตรฐานอยู่ในระดับไม่สูงมากนัก การเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบและการให้ความรู้แก่ประชาชนถือว่าเพียงพอในระยะสั้น โดยไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกเกินเหตุ

ทัศนคติเป็นกลาง

ทั้งสองฝ่ายมีเหตุผลที่สมควรพิจารณา การที่สารพิษเกินมาตรฐานเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ และสมควรได้รับการแก้ไขเพื่อปกป้องประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีทางเลือกในการใช้น้ำประปา อย่างไรก็ตาม การที่หน่วยงานสามารถควบคุมคุณภาพน้ำประปาได้ และผลกระทบต่อสุขภาพยังไม่ปรากฏชัดเจนในวงกว้าง บ่งบอกว่าสถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นวิกฤตฉุกเฉิน การดำเนินการควรเน้นที่การตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง การประสานงานระหว่างประเทศ และการสร้างความตระหนักรู้ โดยไม่ปล่อยให้เกิดความตื่นตระหนกหรือละเลยปัญหา

แนวทางแก้ไขและความท้าทาย

การแก้ไขปัญหานี้มีความท้าทายหลักคือต้นตออยู่ในต่างประเทศ ซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจของหน่วยงานไทย การเจรจาผ่านกรอบ LMC และ MRCS จึงเป็นแนวทางระยะยาวที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากเมียนมา ขณะที่ในระยะสั้น การแจ้งเตือนประชาชน การเพิ่มระบบกรองน้ำในชุมชนท้องถิ่น และการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่สามารถดำเนินการได้ทันที

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. คุณภาพน้ำในแม่น้ำกก: กรมควบคุมมลพิษระบุว่า ในปี 2567 แม่น้ำกกมีค่า BOD เฉลี่ย 3-5 mg/L เกินมาตรฐานน้ำผิวดินที่ 2 mg/L (ที่มา: รายงานสถานการณ์มลพิษน้ำ, 2567)
  2. การปนเปื้อนสารหนู: องค์การอนามัยโลก (WHO) ชี้ว่า ทั่วโลกมีผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำปนเปื้อนสารหนูเกิน 0.01 mg/L มากกว่า 140 ล้านคน (ที่มา: WHO Arsenic Fact Sheet, 2023)
  3. เหมืองทองคำในเมียนมา: รายงานจาก Global Witness ปี 2023 พบว่า รัฐฉานมีเหมืองทองคำผิดกฎหมายกว่า 100 แห่ง ส่วนใหญ่ปล่อยน้ำเสียลงแหล่งน้ำโดยไม่บำบัด (ที่มา: Global Witness, 2023)
  4. น้ำท่วมในเชียงราย: สทนช. รายงานว่า ในปี 2567 จังหวัดเชียงรายเผชิญน้ำท่วมจากแม่น้ำกก 3 ครั้ง ส่งผลกระทบต่อ 15,000 ครัวเรือน (ที่มา: รายงานภัยพิบัติ, สทนช., 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สทนช.
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่)
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • WHO
  • Global Witness
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE