Categories
FEATURED NEWS

เหนือวิกฤต ฝุ่น PM2.5 สูง ลำพูนนำ-แม่ฮ่องสอนท้าทาย

คนเหนือระทม! ฝุ่นพิษ-สังคมแก่-รายได้ฝืด

กรุงเทพฯ, 20 มีนาคม 2568 – สกสว. หนุน SDG Move จัดเวทีระดมสมองเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในภาคเหนือ

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) ให้การสนับสนุน ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการจัดเวที นำเสนอข้อมูลความท้าทายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับภูมิภาค และรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียระดับพื้นที่ (ภาคเหนือ)”สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยความร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และทีมงานระดับภาคเหนือ

ภาควิชาการร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน

ในโอกาสนี้ ผศ. ดร.ไพรัช พิบูลย์รุ่งโรจน์ ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เน้นบทบาทของมหาวิทยาลัยในการพัฒนาที่ยั่งยืน ผ่านการวิจัยและนวัตกรรมที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม

ด้าน ศ.สุริชัย หวันแก้ว ประธานเครือข่ายวิชาการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนประเทศไทย (SDSN Thailand) กล่าวถึงความสำคัญขององค์ความรู้และความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษา ในการเป็นศูนย์กลางขับเคลื่อนสังคมสู่ความยั่งยืน พร้อมผลักดันให้เกิด นโยบายแบบบูรณาการ ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับนานาชาติ

SDG Index เผยลำพูนคะแนนสูงสุดในภาคเหนือ แต่แม่ฮ่องสอนยังเผชิญปัญหา

จากการนำเสนอข้อมูล SDG Index ระดับจังหวัดและภูมิภาค ของทีม SDG Move พบว่า ภาคเหนือเผชิญกับปัญหาหลักที่เกี่ยวข้องกับ 8 เป้าหมายของ SDGs ได้แก่:

  • SDG 1: การขจัดความยากจน
  • SDG 2: การขจัดความหิวโหย
  • SDG 3: สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
  • SDG 8: งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
  • SDG 9: โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม และอุตสาหกรรม
  • SDG 11: เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
  • SDG 12: การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน
  • SDG 17: หุ้นส่วนความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

ค่าฝุ่น PM2.5 ที่สูงขึ้น ถูกจัดอยู่ใน SDG 11 (เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน) ซึ่งสะท้อนถึง ปัญหามลพิษทางอากาศที่รุนแรงในหลายจังหวัดของภาคเหนือ

แม่ฮ่องสอนมีคะแนน SDG Index ต่ำสุด และเป็นจังหวัดที่เผชิญความท้าทายอย่างมากในเรื่อง:

  • SDG 1: การขจัดความยากจน
  • SDG 5: ความเท่าเทียมทางเพศ
  • SDG 6: น้ำสะอาดและสุขาภิบาล
  • SDG 11: เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
  • SDG 13: การรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • SDG 15: ระบบนิเวศบนบก

ขณะที่ ลำพูนมีคะแนน SDG Index สูงสุด ในภาคเหนือ แต่ยังต้องแก้ไขปัญหา สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (SDG 3) และเมืองและชุมชนที่ยั่งยืน (SDG 11) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน

3 ปัญหาเร่งด่วนที่ภาคเหนือเผชิญ

  1. มลพิษ PM 2.5 ที่รุนแรงขึ้นทุกปี
    • ภาคเหนือประสบปัญหาค่าฝุ่นสูงสุดในประเทศ
    • มีผลต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ
  2. สังคมสูงวัย และมาตรการรองรับที่ยังไม่เพียงพอ
    • ต้องพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมดูแลผู้สูงอายุ
    • เพิ่มมาตรการสนับสนุนด้านสุขภาพและสวัสดิการ
  3. รายได้ต่ำและค่าครองชีพสูง
    • รายได้ของประชาชนไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น
    • ปัญหาการเข้าถึงที่อยู่อาศัยยังเป็นอุปสรรคสำคัญ

แนวทางแก้ไขและข้อเสนอแนะ

  1. ศึกษาวิจัยผลกระทบและสาเหตุของ PM2.5
    • พัฒนานโยบายแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองอย่างมีประสิทธิภาพ
    • สนับสนุนเกษตรกรเปลี่ยนไปใช้วิธีการเผาที่ลดมลพิษ
  2. ปรับปรุงการจัดการศึกษาสู่ตลาดแรงงาน
    • เชื่อมโยงการศึกษาให้ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม
    • ส่งเสริมอาชีพใหม่ที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจดิจิทัล
  3. เพิ่มการสนับสนุนด้านที่อยู่อาศัย
    • วิจัยแนวทางช่วยให้ประชาชนเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม
    • ลดความเหลื่อมล้ำด้านการถือครองที่ดิน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 ระบุว่า:

  • ค่าฝุ่น PM2.5 ในภาคเหนือสูงกว่ามาตรฐานองค์การอนามัยโลก (WHO) ถึง 4 เท่า ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน
  • ประชากรสูงวัย (60 ปีขึ้นไป) ในภาคเหนือคิดเป็น 22% ของประชากรทั้งหมด สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ
  • รายได้เฉลี่ยของประชาชนในภาคเหนืออยู่ที่ 8,500 บาทต่อเดือน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่ 12,000 บาท

สรุป

การพัฒนาที่ยั่งยืนในภาคเหนือยังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะ ปัญหาฝุ่น PM2.5 สังคมสูงวัย และค่าครองชีพสูง ขณะที่ ลำพูนมีความก้าวหน้า แต่แม่ฮ่องสอนยังคงเป็นจังหวัดที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างมาก เวทีระดมสมองครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญในการออกแบบแนวทางพัฒนาให้เหมาะสมกับพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567 / สกสว.

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มอบแสงสว่าง โครงการแว่นตา ช่วย 400 ผู้สูงวัยเชียงราย

 กระทรวง พม. ร่วมมือกับมูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย และห้างแว่นท็อปเจริญ มอบแว่นสายตาให้ผู้สูงวัยด้อยโอกาส

กรุงเทพฯ, 19 มีนาคม 2568 – หอประชุมภูชี้ฟ้า โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 62 จังหวัดเชียงราย นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นประธานในพิธีเปิด โครงการแว่นตาผู้สูงวัยในสมเด็จพระเทพรัตนฯ เพื่อให้บริการตรวจวัดสายตาและประกอบแว่นให้แก่ผู้สูงวัยที่อยู่ในสภาวะยากลำบากและมีปัญหาด้านสายตา

โดยมีผู้เข้าร่วมงานสำคัญ ได้แก่

  • นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
  • รศ.พญ.นวลจันทร์ ปราบพาล กรรมการอำนวยการและเลขาธิการมูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย
  • นายกันตพงศ์ รังษีสว่าง อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ
  • นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
  • นายนพศักดิ์ ตรีพรชัยศักดิ์ ประธานกรรมการเจ้าหน้าที่บริหาร ห้างแว่นท็อปเจริญ
  • นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย

พร้อมด้วย คณะผู้บริหารกระทรวง พม. หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนในพื้นที่ ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีเปิดโครงการนี้

เป้าหมายของโครงการ และการดำเนินการ

นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวว่า โครงการแว่นตาผู้สูงวัยในสมเด็จพระเทพรัตนฯ เป็นความร่วมมือระหว่าง กระทรวง พม., มูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย และห้างแว่นท็อปเจริญ เพื่อให้บริการตรวจวัดสายตาและประกอบแว่นสำหรับผู้สูงวัยที่มีอายุ ตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป ที่มีปัญหาด้านสายตา โดยในครั้งนี้มีจำนวน 400 คน ที่ได้รับการคัดเลือกจาก ศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูง จังหวัดเชียงราย เพื่อเข้ารับบริการตรวจวัดสายตาประกอบแว่นจาก ทีมผู้เชี่ยวชาญและเครื่องมือที่ทันสมัยของห้างแว่นท็อปเจริญ

โครงการนี้ ได้รับพระราชทานพระราชานุญาตให้ใช้ชื่อโครงการแว่นตาผู้สูงวัยในสมเด็จพระเทพรัตนฯ และเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม 2552 โดยมีการต่อระยะเวลาดำเนินโครงการทุก 5 ปี เพื่อเป็นพระราชกุศล ปัจจุบันอยู่ในระยะที่ 5 ของโครงการ (1 มกราคม 2568 – 31 ธันวาคม 2572)

ประโยชน์ของโครงการและผลกระทบเชิงบวก

โครงการนี้มุ่งเน้นให้ผู้สูงวัยที่อยู่ในภาวะยากลำบาก สามารถมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในด้านต่าง ๆ ได้แก่:

  • สุขภาพและความเป็นอยู่ – สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้สะดวกขึ้น ลดอุบัติเหตุจากการมองเห็นไม่ชัดเจน
  • เศรษฐกิจและอาชีพ – ผู้สูงวัยสามารถกลับมาทำงานได้บางส่วนหรือช่วยเหลือครอบครัวได้มากขึ้น
  • สังคมและจิตใจ – ทำให้ผู้สูงวัยมีความมั่นใจในตนเอง ลดภาวะซึมเศร้าและความโดดเดี่ยว

โครงการนี้สะท้อนถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ที่ทรงห่วงใยสุขภาพสายตาของประชาชนไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงวัยที่ขาดโอกาส” นายวราวุธ กล่าว

ความคิดเห็นจากฝ่ายต่าง ๆ

ในมุมของภาครัฐ กระทรวง พม. และภาคีเครือข่ายต่างเห็นพ้องว่าโครงการนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรการกุศล ที่สามารถช่วยเหลือประชาชนในระดับชุมชนได้อย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่ตั้งข้อสังเกตบางส่วน มองว่าโครงการนี้ยังครอบคลุมไม่ทั่วถึงในระดับประเทศ และอาจต้องมีการขยายโครงการให้ครอบคลุมพื้นที่ห่างไกลมากขึ้น พร้อมทั้ง เพิ่มจำนวนผู้ได้รับสิทธิ์ให้มากขึ้นในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสายตาในผู้สูงวัย

ข้อมูลจาก กระทรวงสาธารณสุข ปี 2567 ระบุว่า:

  • ประชากรสูงวัยในประเทศไทย (60 ปีขึ้นไป) มีจำนวนกว่า 13 ล้านคน หรือประมาณ 20% ของประชากรทั้งประเทศ
  • ประมาณ 45% ของผู้สูงวัยมีปัญหาด้านสายตา โดยเฉพาะภาวะสายตายาวตามวัย
  • ผู้สูงวัยในพื้นที่ชนบทมีโอกาสเข้าถึงบริการตรวจวัดสายตาเพียง 30% เท่านั้น เนื่องจากข้อจำกัดด้านรายได้และการเดินทาง

สรุป

โครงการแว่นตาผู้สูงวัยในสมเด็จพระเทพรัตนฯ เป็นโครงการที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในสภาวะยากลำบาก การให้บริการตรวจวัดสายตาและแจกแว่นฟรี ช่วยให้ผู้สูงวัยสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ดีขึ้นและไม่เป็นภาระของครอบครัว อย่างไรก็ตาม การขยายโครงการให้ครอบคลุมทั่วประเทศเป็นประเด็นที่ควรพิจารณาต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย / กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ซื้อหนี้ประชาชน ‘ศิริกัญญา’ ชี้ เสี่ยงซ้ำรอยดิจิทัลวอลเล็ต

ซื้อหนี้เสีย: ‘ทักษิณ’ ชูแนวคิดใหม่, ‘ศิริกัญญา’ เตือนผลกระทบ”

กรุงเทพฯ, 19 มีนาคม 2568 – รองหัวหน้าพรรคประชาชน ตั้งคำถามโครงการซื้อหนี้ หวั่นกระทบความน่าเชื่อถือของรัฐบาล

น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวถึงแนวคิดของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เสนอให้รัฐบาลรับซื้อหนี้เสียจากประชาชน โดยยืนยันว่าจะไม่ใช้เงินจากภาครัฐ ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยว่ารัฐบาลจะใช้เงินจากแหล่งใด

ข้อกังวลเกี่ยวกับแนวทางการจัดการหนี้

น.ส.ศิริกัญญา ระบุว่า รูปแบบการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้นั้นมีทั้งกรณีที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย พร้อมตั้งคำถามว่าการซื้อหนี้เสียจากธนาคารพาณิชย์จะเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดหรือไม่ เนื่องจากธนาคารพาณิชย์อาจได้รับประโยชน์สูงสุดจากโครงการนี้ ในขณะที่ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบ

นอกจากนี้ แนวคิดเรื่อง การนำลูกหนี้ออกจากเครดิตบูโร ก็อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อในอนาคต หากไม่มีข้อมูลทางเครดิตของประชาชนเลย อาจทำให้การกู้เงินใหม่เป็นไปได้ยากขึ้น เธอเสนอว่า ควรมีแนวทางเปลี่ยนสถานะลูกหนี้เป็น ลูกหนี้ประวัติดี” มากกว่าการลบประวัติทั้งหมด

เปรียบเทียบกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

น.ส.ศิริกัญญา ยังตั้งข้อสังเกตว่า แผนการซื้อหนี้ประชาชนอาจซ้ำรอยปัญหาของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่ยังไม่มีแนวทางชัดเจนจากกระทรวงการคลัง และเคยเผชิญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการหลายครั้ง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนและตลาดการเงิน

การที่ยังไม่มีแผนการที่ชัดเจน อาจเป็นการพูดเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน แต่หากทำไม่ได้จริงก็อาจส่งผลเสียหายต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาล” น.ส.ศิริกัญญากล่าว

งบประมาณที่ต้องใช้และศักยภาพของภาคเอกชน

แนวคิดของนายทักษิณ ระบุว่าจะซื้อหนี้เสียทั้งหมดจากธนาคารพาณิชย์ ซึ่งหนี้เสีย (NPL) มีมูลค่ารวมกว่า 1.2 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน บริษัทบริหารสินทรัพย์ในประเทศไทย 87 แห่ง จัดการหนี้เสียรวมเพียง 3 แสนล้านบาท เท่านั้น หากต้องการซื้อหนี้ทั้งหมด ต้องใช้เงินไม่น้อยกว่า 3-5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณที่สูงมาก

น.ส.ศิริกัญญา ยังระบุว่า รัฐบาลต้องมีความชัดเจนเกี่ยวกับแหล่งเงินทุนที่ใช้ และตั้งคำถามว่า หากไม่มีเงินจากภาครัฐ เงินจะมาจากไหน และใครจะเป็นผู้บริหารหนี้เหล่านี้

ท่าทีของกระทรวงการคลัง

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงแนวคิดนี้ว่า การปรับโครงสร้างหนี้สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การยืดระยะเวลาชำระหนี้และลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นมาตรการที่สถาบันการเงินเคยดำเนินการมาก่อน

แนวทางหนึ่งที่อาจนำมาใช้คือ การตั้งหน่วยงานบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ โดยทำงานร่วมกับสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นเจ้าของหนี้ ในขณะที่ภาครัฐจะมีบทบาทช่วยกำกับดูแล อย่างไรก็ตาม รายละเอียดการดำเนินงานยังอยู่ระหว่างการพิจารณา

เราต้องดูข้อมูลทั้งหมดก่อน และจะหารือกับสมาคมธนาคารไทยเกี่ยวกับแนวทางที่เหมาะสม” นายพิชัยกล่าว

ทักษิณ ชินวัตร ยืนยันแนวคิดช่วยเหลือประชาชน

นายทักษิณ ชินวัตร กล่าวบนเวทีปราศรัยที่จังหวัดพิษณุโลก ยืนยันว่าแผนการซื้อหนี้เป็นนโยบายที่คิดร่วมกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยมุ่งหวังให้ประชาชนสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ โดยไม่ต้องใช้เงินจากภาครัฐ แต่จะเป็นการให้ภาคเอกชนลงทุนแทน

สถิติที่เกี่ยวข้องกับปัญหาหนี้ครัวเรือน

ข้อมูลจาก TTB Analytics ปี 2567 ระบุว่า:

  • หนี้ครัวเรือนไทยมีมูลค่ารวม 16.3 ล้านล้านบาท ณ ไตรมาส 3 ปี 2567
  • บัญชีลูกหนี้ที่ไม่สามารถระบุตัวตน (Anonymous Account) มากกว่า 84 ล้านบัญชี มีหนี้คงค้างกว่า 13.6 ล้านล้านบาท
  • หนี้เสีย (NPL) ที่อยู่ในระบบมีมูลค่ากว่า 1.2 ล้านล้านบาท

สรุป

แนวคิดการซื้อหนี้ของประชาชนจากธนาคารพาณิชย์ที่เสนอโดย นายทักษิณ ชินวัตร กำลังเป็นประเด็นถกเถียงในแวดวงการเมืองและเศรษฐกิจ โดย ฝ่ายสนับสนุนมองว่าเป็นการช่วยเหลือประชาชนที่มีภาระหนี้สินหนัก ในขณะที่ฝ่ายคัดค้านกังวลว่า อาจเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด และเพิ่มภาระทางการเงินโดยไม่แน่ชัดว่าเงินทุนจะมาจากแหล่งใด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : TTB Analytics, 2567 / กระทรวงการคลัง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ เชียงรายลงพื้นที่ ช่วยผู้ประสบภัยพายุแม่ลาว

เชียงรายวิกฤต พายุถล่มหนัก รพ.เสียหาย ผู้ว่าฯ เร่งช่วยเหลือ


เชียงราย, 19 มีนาคม 2568 – พายุฤดูร้อนพัดถล่มหลายอำเภอในเชียงราย ส่งผลให้บ้านเรือนและสถานที่ราชการเสียหายหนัก นายรุ่งโรจน์ ตันวุฒิ นายอำเภอแม่ลาว ได้นำเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จิตอาสา และประชาชนในพื้นที่ เร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัย จากเหตุพายุฤดูร้อนที่พัดถล่ม อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย โดยมุ่งเน้น การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่เสียหายและซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชน รวมถึงสถานที่ราชการ เช่น โรงเรียนอนุบาลป่าก่อดำ ตำบลป่าก่อดำ ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนัก อาคารอเนกประสงค์และอาคารเรียนได้รับความเสียหายหลายจุด

พายุที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 18 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 18.20 น. ทำให้เกิดฝนตกหนักและพายุลูกเห็บพัดถล่มในพื้นที่อย่างรุนแรง หลายครอบครัวกำลังเร่งซ่อมแซมหลังคาบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายจากแรงลมที่พัดกระหน่ำ

ผู้ว่าฯ เชียงราย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจผู้ประสบภัย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยม โรงพยาบาลแม่ลาว ซึ่งได้รับความเสียหายหนักจากพายุ อาคารผู้ป่วยในไม่สามารถรองรับผู้ป่วยเพิ่มเติมได้ โครงสร้างหลังคาของห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ (ห้องแล็บ) เสียหายจนไม่สามารถให้บริการได้ และมีน้ำรั่วซึมในหลายจุด

มาตรการเร่งด่วนของโรงพยาบาลแม่ลาว

เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย โรงพยาบาลแม่ลาวได้ออกประกาศให้ผู้ป่วยที่มีอาการดีขึ้นสามารถกลับบ้านได้ก่อนกำหนด พร้อมทั้ง ประสานโรงพยาบาลเครือข่าย เพื่อรองรับผู้ป่วย ดังนี้:

  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ รับผู้ป่วยที่มีภาวะฉุกเฉิน
  • โรงพยาบาลสมเด็จพระญาณสังวร รับผู้ป่วยที่ต้องนอนพักรักษาตัวและมีอาการคงที่
  • โรงพยาบาลพาน ให้บริการตรวจเลือดเร่งด่วน

ทางโรงพยาบาลยังได้เคลื่อนย้าย อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีมูลค่าสูง ออกจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำฝนและไฟฟ้าลัดวงจร พร้อม ประสานเทศบาลตำบลป่าก่อดำ ในการจัดการกับสิ่งกีดขวางที่ส่งผลกระทบต่อการเดินทางเข้าออกโรงพยาบาล ทั้งนี้ ได้มีการ ตั้งศูนย์รายงานการบาดเจ็บ ณ ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลแม่ลาว เพื่อรับแจ้งเหตุและดูแลผู้ได้รับบาดเจ็บจากพายุฤดูร้อน

แผนฟื้นฟูและการช่วยเหลือจากภาครัฐ

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า อำเภอแม่ลาวได้รับผลกระทบหนักที่สุด และทางจังหวัดพร้อมให้การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ โดยได้สั่งการให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งสำรวจความเสียหายและดำเนินการแจกจ่ายวัสดุก่อสร้าง เช่น กระเบื้องและอุปกรณ์ซ่อมแซมบ้านเรือน ให้แก่ผู้ประสบภัย

ในส่วนของ โรงพยาบาลแม่ลาว จะเสนอของบประมาณจาก เขตตรวจสุขภาพ เพื่อเร่งซ่อมแซม ขณะที่ สถานศึกษา จะเสนอของบประมาณจาก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และ วัดที่ได้รับผลกระทบ จะได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ จังหวัดเชียงรายได้เปิดให้ประชาชน ลงทะเบียนผู้ประสบภัยผ่านแอปพลิเคชัน “พ้นภัย” เพื่อขอรับความช่วยเหลือเพิ่มเติมจาก สภากาชาดไทย

รายงานความเสียหายจากสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย

สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.) รายงานว่าพายุครั้งนี้เกิดขึ้นในพื้นที่ อำเภอแม่ลาว เป็นหลัก ครอบคลุม 4 ตำบล ได้แก่ ตำบลจอมหมอกแก้ว, ตำบลป่าก่อดำ, ตำบลบัวสลี และตำบลดงมะดะ โดยส่งผลกระทบต่อ:

  • โรงพยาบาลแม่ลาว เสียหายหนักในหลายจุด
  • โรงเรียนอนุบาลจอมหมอกแก้ว หลังคาหอประชุมพังเสียหาย
  • ศาลาการเปรียญวัดดอนจั่น และห้องน้ำวัด ได้รับความเสียหาย
  • ป้ายปั๊ม ปตท. ถูกแรงลมพัดจนได้รับความเสียหาย

มี ผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย จากการถูกป้ายเวทีล้มทับบริเวณหัวไหล่

พายุยังส่งผลกระทบในพื้นที่ อำเภอพาน, อำเภอป่าแดด, อำเภอเวียงเชียงรุ้ง, อำเภอเมืองเชียงราย และเทศบาลนครเชียงราย โดยมีบ้านเรือนเสียหาย รวมอย่างน้อย 15 หมู่บ้านใน 8 ตำบล และมีหน่วยงานราชการเสียหาย 2 แห่ง รวมถึงวัดอีก 1 แห่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการสำรวจเพิ่มเติม

สถิติที่เกี่ยวข้องกับพายุฤดูร้อนในภาคเหนือ

  • พายุฤดูร้อนในภาคเหนือมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 15% ต่อปี เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน
  • เชียงรายเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อนบ่อยที่สุดในภาคเหนือ โดยเฉลี่ย 5-7 ครั้งต่อปี
  • ในปี 2567 พายุฤดูร้อนสร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 500 ล้านบาททั่วประเทศ

สรุป

พายุฤดูร้อนที่พัดถล่มจังหวัดเชียงรายส่งผลให้หลายพื้นที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะ อำเภอแม่ลาว ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ทางจังหวัดเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งเข้าช่วยเหลือประชาชนและดำเนินมาตรการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้โดยเร็ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย / กรมอุตุนิยมวิทยา ปี 2567

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ม.แม่ฟ้าหลวงปลื้มปีติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานปริญญา

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ประจำปีการศึกษา 2566 รุ่นที่ 22 พร้อมทรงประกอบพิธีเททองหล่อพระรูป

 
เชียงราย, 18 มีนาคม 2568 – พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ประจำปีการศึกษา 2566 รุ่นที่ 22 โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดี ทูลเกล้าฯ ถวายสูจิบัตร ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.วันชัย ศิริชนะ นายกสภามหาวิทยาลัย (อธิการบดีผู้ก่อตั้ง) กราบบังคมทูลสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
 
สำหรับปีนี้ มีผู้สำเร็จการศึกษาเข้ารับพระราชทานปริญญาดุษฎีบัณฑิต มหาบัณฑิต และบัณฑิต เป็นจำนวนกว่า 2,600 คน จากสำนักวิชา แพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ นวัตกรรมสังคม จีนวิทยา การแพทย์บูรณาการ ศิลปศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การจัดการ เทคโนโลยีดิจิทัลประยุกต์ อุตสาหกรรมเกษตร นิติศาสตร์ วิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง วิทยาศาสตร์สุขภาพ พยาบาลศาสตร์ และเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ เป็นบัณฑิตชาวต่างชาติ จำนวน 73 คน จากชาวต่างชาติที่สำเร็จการศึกษาในปีนี้ทั้งหมด 116 คน จากหลายประเทศ เช่น จีน, เมียนมา, ศรีลังกา, ภูฏาน, เกาหลี, กัมพูชา, ออสเตรเลีย, แอฟริกาใต้, ญี่ปุ่น, อเมริกา, อินโดนีเซีย, โซมาเลีย เป็นต้น
 
มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเปิดสอน 67 หลักสูตร ใน 15 สำนักวิชา ทั้งระดับอนุปริญญา ปริญญาตรี โท และ เอก จัดการเรียนการสอนโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลาง และมีภาษาที่สองเป็นภาษาจีน ตลอดมานั้น ทำให้บัณฑิตที่จบจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงมีทักษะและความสามารถ ที่จะร่วมพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้า การรับรู้ในวัฒนธรรมที่หลากหลาย เป็นพลเมืองโลกได้อย่างสมบูรณ์ โดยปัจจุบันมีผู้สำเร็จการศึกษากว่า 40,000 คน กระจายการทำงานอยู่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
โอกาสนี้ พระราชทานพระราโชวาทความว่า…พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ข้าพเจ้ามาปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงประจำปีการศึกมา 2566 ในวันนี้. ขอแสดงความชื่นชมต่อผู้ทรงคุณวุฒิและบัณฑิตทุกคนที่ได้รับเกียรติและความสำเร็จ.
 
บัณฑิตทั้งหลายต่างก็สำเร็จการศึกษา สมกับที่ได้ตั้งใจพากเพียรมาโดยตลอดเเล้ว ต่อไปก็ถึงวาระที่จะต้องออกไปทำงาน และดำเนินชีวิตในสังคมร่วมกับผู้อื่น. การที่จะดำเนินชีวิตและประกอบกิจการงาน ให้สำเร็จผลที่ดีที่เจริญได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยความคิดที่ดีที่ถูกต้องเป็นพื้นฐาน. ในเรื่องนี้ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทไว้ ความว่า “ความคิดนั้นสำคัญมากถือได้ว่าเป็นแม่บทใหญ่ของคำพูดและการกระทำทั้งปวง. กล่าวคือ ถ้าคนเราคิดดี คิดถูกต้องทั้งตามหลักวิชาและคุณธรรม คำพูดและการกระทำก็เป็นไปในทางที่ดีที่เจริญ. แต่ถ้าคิดไม่ดีไม่ถูกต้อง คำพูดและการกระทำก็อาจก่อก่อให้เกิดความเสื่อมเสียหาย ทั้งแก่ตัวเองและส่วนรวมได้. ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่บุคคลจะพูดจะทำสิ่งใด จำเป็นต้องหยุดคิดเสียก่อนว่า กิจที่จะทำ คำที่จะพูดนั้นผิดหรือถูก เป็นคุณประโยชน์หรือเป็นโทษเสียหาย เป็นสิ่งที่ควรพูด ควรกระทำ หรือควรงดเว้น. เมื่อคิดพิจารณาได้ดังนี้ ก็จะสามารถยับยั้งคำพูดที่ไม่สมควร หยุดยั้งการกระทำที่ไม่ถูกต้อง พูดและทำแต่สิ่งที่จะสัมฤทธิ์ผลเป็นคุณ เป็นประโยชน์ และเป็นความเจริญ.” จึงขอให้บัณฑิตทุกคน น้อมนำพระบรมราโชวาทที่ได้เชิญมานี้ ไปเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตและประกอบกิจการงานสืบไป.
 
ในพระปรมาภิไทยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขออวยพรให้บัณฑิตทุกคนและผู้ที่มาร่วมในพิธีนี้ทุกท่าน ประสบความสุขสวัสดี และมีความเจริญรุ่งเรืองโดยทั่วกัน.
 
จากนั้น สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีเททองหล่อพระรูปสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ประทับคู่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ณ มณฑลพิธีลานพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรฯ และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี อีกทั้งเพื่อเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของบุคลากรทางการแพทย์และผู้มารับบริการที่ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ซึ่งจะประดิษฐาน ณ บริเวณด้านหน้าอาคารโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เหมืองทองคำต้นน้ำกก กมธ.วอนรัฐ เร่งแก้ปัญหา

วิกฤตแม่น้ำกก เหมืองทองคำ ผลกระทบข้ามแดน

กรุงเทพฯ, 19 มีนาคม 2568 – กมธ.การที่ดินฯ เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากเหมืองทองคำ

เมื่อวันพุธที่ 19 มีนาคม 2568 เวลา 14.00 น. ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา นายพูนศักดิ์ จันทร์จำปี ประธานคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายสมดุลย์ อุตเจริญ ส.ส.พรรคประชาชน และคณะ ได้ร่วมแถลงข่าวเกี่ยวกับ วิกฤตสิ่งแวดล้อมและผลกระทบข้ามพรมแดนจากการทำเหมืองทองคำ ซึ่งกำลังส่งผลกระทบต่อพื้นที่ ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ โดยเฉพาะในลุ่มน้ำกก

ชาวบ้านตำบลท่าตอนรวมตัวเรียกร้องปกป้องแม่น้ำกก

ปัจจุบัน ประชาชนกว่า 700 คน ในพื้นที่ตำบลท่าตอน ได้ออกมารวมตัวกันเพื่อเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งปกป้อง แม่น้ำกก จากผลกระทบที่เกิดจากเหมืองแร่ทองคำที่อยู่ห่างจากชายแดนไทยประมาณ 7 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของอำเภอแม่อาย นอกจากนี้ ดินโคลนจากกระบวนการทำเหมืองแร่ ได้ทำให้น้ำในแม่น้ำกกขุ่นข้น อาจมีการปนเปื้อนของสารเคมีที่ใช้สกัดแร่ ซึ่งส่งผลให้ระบบนิเวศถูกทำลาย มีปลาตายจำนวนมาก ประชาชนไม่มีน้ำสะอาดใช้ และเด็กในพื้นที่ต้องเติบโตท่ามกลางปัญหามลพิษ

ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและภัยพิบัติที่เกิดขึ้น

นอกจากปัญหามลพิษทางน้ำแล้ว ยังมีข้อสังเกตว่าช่วงฤดูน้ำหลากที่ผ่านมา หมู่บ้านทั้งสองฝั่งแม่น้ำกกถูกน้ำท่วมและมีโคลนตมจำนวนมาก เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบหลายสิบปี สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศในพื้นที่ ซึ่งอาจมีความเกี่ยวข้องกับการทำเหมืองแร่ทองคำ

กมธ.การที่ดินฯ เรียกร้องให้รัฐบาลไทยดำเนินการเร่งด่วน

นายพูนศักดิ์ จันทร์จำปี กล่าวว่า การทำเหมืองแร่ทองคำไม่เพียงแต่สร้างความร่ำรวยให้แก่บริษัทไม่กี่แห่ง แต่กลับสร้างผลกระทบอย่างหนักต่อสิทธิของชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดย คณะกรรมาธิการฯ ได้เสนอให้รัฐบาลไทย เร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำ ในแม่น้ำกก พร้อมส่งคณะทำงานลงพื้นที่ เพื่อตรวจสอบผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอย่างเร่งด่วน

นอกจากนี้ กมธ. ยังเสนอให้รัฐบาลผลักดัน มาตรการความร่วมมือระหว่างประเทศด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันการทำลายลุ่มน้ำข้ามพรมแดน รวมถึงปัญหามลพิษทางอากาศ ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้งสองประเทศในขณะนี้

การตรวจสอบคุณภาพน้ำและขยายการสืบสวนไปยังพื้นที่แม่สาย

นอกจากการตรวจสอบลุ่มน้ำกกแล้ว คณะกรรมาธิการฯ ยังได้ขอมติให้ตรวจสอบพื้นที่ อำเภอแม่สาย ซึ่งมีข้อห่วงกังวลจากภาคประชาชนว่า ต้นน้ำแม่สายอาจได้รับผลกระทบจากเหมืองแร่ทองคำเช่นกัน โดยประเด็นนี้มีการหารือกับ กรมควบคุมมลพิษ เพื่อเร่งดำเนินการตรวจสอบให้เร็วที่สุด พร้อมชี้แจงต่อสาธารณชนเพื่อสร้างความกระจ่างและลดความตื่นตระหนกของประชาชน

ความสำคัญของมาตรการปกป้องสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน

นายพูนศักดิ์ยังเน้นว่า ประเด็น มลพิษข้ามแดน ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ ปัญหามลพิษทางอากาศจากฝุ่น PM 2.5 เท่านั้น แต่ยังรวมถึงปัญหามลพิษทางน้ำ ซึ่งประเทศไทย ในฐานะประเทศหลักของลุ่มน้ำโขง ควรดำเนินการเพื่อจัดทำ มาตรฐานหรือระเบียบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดน เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

สถิติที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ในประเทศไทย

ข้อมูลจาก กรมควบคุมมลพิษ ปี 2567 ระบุว่า:

  • ประเทศไทยมีเหมืองแร่ทองคำที่เปิดดำเนินการกว่า 12 แห่งทั่วประเทศ
  • มากกว่า 60% ของพื้นที่ลุ่มน้ำในภาคเหนือมีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนโลหะหนักจากอุตสาหกรรมเหมืองแร่
  • ประชาชนกว่า 1.2 ล้านคนในพื้นที่ลุ่มน้ำสำคัญของประเทศ ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำเสียและมลพิษทางน้ำ

สรุป

การทำเหมืองแร่ทองคำส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำกกและแม่สาย กมธ.การที่ดินฯ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยเร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำ และผลักดันความร่วมมือระดับนานาชาติเพื่อปกป้องทรัพยากรข้ามพรมแดน ประชาชนในพื้นที่ยังคงเรียกร้องความยุติธรรมและสิทธิในชุมชนของตนเอง ซึ่งเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายในการร่วมกันแก้ไขปัญหาเพื่ออนาคตของสิ่งแวดล้อมและประชาชนในพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมควบคุมมลพิษ, 2567 / คณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ผู้ใหญ่สูบ เด็กป่วย! อันตรายควันมือ 2-3 บุหรี่ไฟฟ้า

บุหรี่ไฟฟ้าภัยร้าย! เด็กปอดพัง IQ ลด

กรุงเทพฯ, 18 มีนาคม 2568 – วงเสวนาเตือนภัยควันบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า ส่งผลร้ายแรงต่อเด็ก

พญ.พิมพ์ชนก จันทร์สวัสดิ์ กุมารแพทย์โรคระบบทางเดินหายใจ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต) กล่าวในวงเสวนา ร่วมป้องกันเด็กเล็กจากควันบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า” ซึ่งจัดโดย มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ (มสบ.) และได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่โรงแรมเบสท์ เวสเทิร์น จตุจักร กรุงเทพฯ โดยเน้นถึงอันตรายของ ควันบุหรี่มือสองและมือสาม ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเด็กเล็กและทารกในครรภ์

บุหรี่ไฟฟ้า อันตรายกว่าที่คิด

พญ.พิมพ์ชนก อธิบายว่า บุหรี่มวนและบุหรี่ไฟฟ้าล้วนมีสารนิโคติน ซึ่งทำให้เกิดการเสพติด โดยนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้ามักเป็น นิโคตินสังเคราะห์ ที่สามารถเข้าสู่ปอดและกระแสเลือดได้มากกว่าบุหรี่มวน นอกจากนี้ บุหรี่ไฟฟ้ายังมีสารโลหะหนัก เช่น เหล็ก นิกเกิล และแคดเมียม ที่เกิดจากขดลวดภายในอุปกรณ์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งและส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจโดยตรง

การสูบบุหรี่ไฟฟ้าเหมือนกับการสูดโลหะหนักเข้าไปเต็ม ๆ ไม่ต่างจากการเดินผ่านร้านอ็อกเหล็กแล้วหายใจเอาสารพิษเข้าไปในปอด” พญ.พิมพ์ชนกกล่าว

บุหรี่ไฟฟ้าซอมบี้ และอันตรายจากสารเสพติดแฝง

อีกหนึ่งประเด็นที่น่ากังวลคือ น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าในปัจจุบันสามารถผสมสารเสพติด เช่น เอโทมีเดท (Etomidate) และเคตามีน ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ที่ใช้ในทางการแพทย์ ทำให้เกิดอาการมึนเมาหรือถึงขั้นหมดสติ ทั้งนี้ บุหรี่ไฟฟ้าหลายรูปแบบยังถูกออกแบบให้มีลักษณะคล้ายของเล่น (Toypod) เพื่อจูงใจให้เด็กและเยาวชนทดลองใช้

ผลกระทบของควันบุหรี่ต่อเด็กและทารก

เด็กมี อัตราการหายใจเร็วกว่าผู้ใหญ่ ทำให้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกายมากกว่า นอกจากนี้ ปอดของเด็กมีขนาดเล็กกว่าผู้ใหญ่ถึง 100 เท่า ทำให้ได้รับผลกระทบจากควันบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้ามากกว่าผู้ใหญ่หลายเท่า กรณีของเด็ก 12 ปี ในจังหวัดบุรีรัมย์ ที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพียงไม่กี่เดือนจนปอดพังและต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนเป็นตัวอย่างของอันตรายที่เกิดขึ้นจริง

หากเด็กจำนวนมากต้องเผชิญกับภาวะปอดล้มเหลว แต่ยังไม่มีการรักษาที่เหมาะสม เช่น การปลูกถ่ายปอด ประเทศอาจเผชิญปัญหาสุขภาพในระดับวิกฤติ” พญ.พิมพ์ชนกกล่าว

ควันบุหรี่มือสองและมือสาม ภัยเงียบที่เลี่ยงไม่ได้

ควันบุหรี่มือสอง คือควันที่ผู้ไม่สูบต้องสูดดมจากผู้ที่สูบบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้าโดยตรง ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง เช่นเดียวกับ ควันบุหรี่มือสาม ซึ่งหมายถึงสารพิษที่ตกค้างตามเสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ และในอากาศภายในบ้านหรือรถยนต์

กรณีตัวอย่าง คุณตาผู้สูบบุหรี่ ซึ่งพาหลานเข้ารักษาในห้อง ICU เนื่องจากอาการหอบหืดกำเริบอย่างรุนแรง เมื่อแพทย์ขอให้เลิกบุหรี่ ผู้ตาตอบว่า ‘เดี๋ยวก็แก่ตายแล้ว’ แต่เมื่อแพทย์อธิบายว่า หลานอาจเสียชีวิตก่อนเพราะผลกระทบจากควันบุหรี่ สุดท้ายจึงยอมเลิกสูบ และสุขภาพของเด็กดีขึ้น

เราไม่มีทางสูบบุหรี่โดยไม่ทำร้ายผู้อื่นได้ เพราะสารพิษจากบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า ไม่ได้หายไปไหน แต่ยังคงตกค้างและกระจายอยู่ในอากาศที่ทุกคนต้องสูดดม” พญ.พิมพ์ชนกกล่าวทิ้งท้าย

สถิติที่เกี่ยวข้องกับควันบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในเด็ก

ข้อมูลจาก กระทรวงสาธารณสุข ปี 2567 ระบุว่า:

  • เด็กไทยกว่า 30% อาศัยอยู่ในครัวเรือนที่มีผู้สูบบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้า
  • จำนวนเด็กที่เข้ารับการรักษาด้วยโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจจากควันบุหรี่เพิ่มขึ้น 15% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ควันบุหรี่มือสองเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตกว่า 65,000 รายต่อปีในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีทั่วโลก

สรุป

การสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าไม่เพียงเป็นอันตรายต่อตัวผู้สูบเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะควันบุหรี่มือสองและมือสามที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ การตระหนักถึงผลกระทบเหล่านี้และการออกมาตรการป้องกันที่เข้มงวด จะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยขึ้นสำหรับเด็กไทยในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข, 2567 / คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายพายุถล่ม เสียหายหนัก เร่งช่วยด่วน

พายุฤดูร้อนถล่มเชียงราย หลายอำเภอเสียหายหนัก ผู้ว่าฯ เร่งสั่งการช่วยเหลือด่วน

เชียงราย, 18 มีนาคม 2568 – พายุฤดูร้อนสร้างความเสียหายในหลายพื้นที่

สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย รายงานว่า เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 18.00-19.30 น. เกิดพายุฝนและลมกระโชกแรงจาก พายุฤดูร้อน ส่งผลให้หลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงรายได้รับความเสียหายหนัก โดยเฉพาะใน 2 อำเภอ 5 ตำบล ได้แก่ ตำบลจอมหมอกแก้ว, ตำบลป่าก่อดำ, ตำบลบัวสลี, ตำบลดงมะดะ อำเภอแม่ลาว และตำบลธารทอง อำเภอพาน ขณะที่ฝนตกกระจายไปทั่ว 7 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองเชียงราย, อำเภอแม่จัน, อำเภอเทิง, อำเภอพาน, อำเภอแม่ลาว, อำเภอเวียงชัย และอำเภอพญาเม็งราย

อำเภอแม่ลาวได้รับผลกระทบหนักสุด

นายรุ่งโรจน์ ตันวุฒิ นายอำเภอแม่ลาว เปิดเผยว่า พายุฤดูร้อนที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงและกินเวลานานประมาณ 30 นาที ส่งผลให้ 15 หมู่บ้านใน 4 ตำบล ได้แก่ ตำบลจอมหมอกแก้ว, ตำบลป่าก่อดำ, ตำบลบัวสลี และตำบลดงมะดะ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะ ตำบลจอมหมอกแก้วและตำบลป่าก่อดำ ซึ่งได้รับผลกระทบมากที่สุด

สถานที่ราชการที่ได้รับความเสียหาย ได้แก่:

  • โรงเรียนอนุบาลจอมหมอกแก้ว
  • โรงเรียนป่าก่อดำ
  • โรงพยาบาลแม่ลาว
  • วัดห้วยส้านดอนจั่น ได้รับผลกระทบจากหลังคาพังเสียหาย

ผู้บาดเจ็บและผลกระทบต่อโรงพยาบาลแม่ลาว

มีรายงาน ผู้ได้รับบาดเจ็บ 4 ราย โดยมี 1 รายแขนหัก และ 1 รายได้รับบาดเจ็บจากหน้าต่างพัดใส่จนหมดสติ ต้องส่งตัวเข้ารักษาที่ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์

นอกจากนี้ ตึกผู้ป่วยในของโรงพยาบาลแม่ลาว ได้รับความเสียหายจากพายุจนไม่สามารถให้บริการประชาชนได้ โดยต้องใช้เวลาปรับปรุงฟื้นฟู ประมาณ 3-5 วัน ส่งผลให้ต้องมีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปยัง โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์และโรงพยาบาลสมเด็จพระญาณสังวร ที่อำเภอเวียงชัย

ผู้ว่าฯ เชียงราย สั่งการเร่งด่วนให้หน่วยงานเร่งช่วยเหลือ

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้สั่งการให้ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ประสานกับฝ่ายปกครองอำเภอต่าง ๆ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อน ให้เร่งดำเนินการ สำรวจความเสียหาย และให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนโดยเร็วที่สุด

เบื้องต้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำเครื่องจักรเข้าฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงการแจกจ่ายถุงยังชีพให้กับประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และผู้ที่ไม่สามารถซ่อมแซมบ้านเรือนได้ด้วยตนเอง

สถิติที่เกี่ยวข้องกับพายุฤดูร้อนในภาคเหนือ

ข้อมูลจาก กรมอุตุนิยมวิทยา ปี 2567 ระบุว่า:

  • พายุฤดูร้อนในภาคเหนือมีแนวโน้มเกิดถี่ขึ้น โดยเฉพาะช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนของทุกปี
  • เชียงรายเป็นจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อนบ่อยครั้ง โดยเฉลี่ย 5-7 ครั้งต่อปี
  • ในปี 2567 พายุฤดูร้อนทำให้เกิดความเสียหายในพื้นที่ภาคเหนือ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 500 ล้านบาท

สรุป

พายุฤดูร้อนที่พัดถล่มจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ ได้สร้างความเสียหายให้กับหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอำเภอแม่ลาวและอำเภอพาน ซึ่งมีบ้านเรือนพังเสียหาย รวมถึงสถานที่ราชการ โรงเรียน และโรงพยาบาลได้รับผลกระทบ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการช่วยเหลือประชาชนโดยเร็วที่สุด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและฟื้นฟูพื้นที่ให้กลับสู่สภาพปกติโดยเร็ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย / กรมอุตุนิยมวิทยา, 2567

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

เชียงรายส่งนักกีฬา หนุน 2 ล้านบาท ชิงชัยชลบุรี

ทัพนักกีฬาเชียงราย! ลุยศึกระดับชาติ พร้อมใจสู้

เชียงราย, 18 มีนาคม 2568 – พิธีส่งตัวนักกีฬาสู่การแข่งขันระดับชาติ จังหวัดเชียงรายได้จัดพิธีส่งตัวนักกีฬาเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 40 ฉลามเยาวชลเกมส์” และกีฬาอาวุโสแห่งชาติ ครั้งที่ 7 ข้าวหลามเกมส์” ณ จังหวัดชลบุรี โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นางรัตนา จงสุทธานามณี นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย, นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย, นางชญานันท์ เชื้อศิริถาวร ผู้อำนวยการสำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการบริหารสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมงาน ณ ลานอนุสาวรีย์พ่อขุนมังรายมหาราช

พิธีให้พรและกำลังใจแก่นักกีฬา

ในโอกาสนี้ พระครูขันติพลาธร รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย ได้ทำพิธีให้พร ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่นักกีฬาก่อนออกเดินทางไปแข่งขัน

การแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 40 “ฉลามเยาวชลเกมส์”

การแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 40 ฉลามเยาวชลเกมส์” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 มีนาคม – 3 เมษายน 2568 จังหวัดเชียงรายได้ส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันใน 26 ชนิดกีฬา รวมทั้งสิ้น 291 คน พร้อม ผู้ฝึกสอนและผู้ควบคุมทีม โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) จำนวน 1,399,854 บาท

การแข่งขันกีฬาอาวุโสแห่งชาติ ครั้งที่ 7 “ข้าวหลามเกมส์”

การแข่งขันกีฬาอาวุโสแห่งชาติ ครั้งที่ 7 ข้าวหลามเกมส์” จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 20 – 26 เมษายน 2568 จังหวัดเชียงรายส่งนักกีฬาเข้าร่วม 10 ชนิดกีฬา รวมทั้งสิ้น 142 คน พร้อม ผู้ฝึกสอนและผู้ควบคุมทีม ได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) จำนวน 623,586 บาท

การสนับสนุนจากสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย

นางรัตนา จงสุทธานามณี นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย ยังได้มอบชุดวอร์มจำนวน 470 ชุด ให้กับนักกีฬา ผู้ฝึกสอน และผู้ควบคุมทีม เพื่อใช้ในการแข่งขันครั้งนี้

เป้าหมายและความคาดหวังของจังหวัดเชียงราย

นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายมีความพร้อมและภาคภูมิใจที่ได้ส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันระดับชาติ โดยเชื่อมั่นว่าด้วยความมุ่งมั่นและการเตรียมตัวที่ดี นักกีฬาจังหวัดเชียงรายจะสามารถสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมและนำชื่อเสียงมาสู่จังหวัด พร้อมทั้งให้กำลังใจนักกีฬาให้ตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีที่สุด และขอให้ประสบความสำเร็จในการแข่งขันครั้งนี้

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติและอาวุโสแห่งชาติ

ข้อมูลจาก การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ปี 2567 ระบุว่า:

  • การแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติมีจำนวนนักกีฬาเข้าร่วมมากกว่า 15,000 คน จาก 77 จังหวัดทั่วประเทศ
  • กีฬาอาวุโสแห่งชาติเป็นการแข่งขันที่มีผู้สูงอายุเข้าร่วมกว่า 3,500 คน จากทุกภูมิภาคของไทย
  • งบประมาณสนับสนุนการจัดการแข่งขันทั้งสองรายการรวมกว่า 200 ล้านบาท

สรุป

จังหวัดเชียงรายได้เตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติและกีฬาอาวุโสแห่งชาติ ด้วยการสนับสนุนนักกีฬาอย่างเต็มที่ทั้งด้านงบประมาณและอุปกรณ์ เพื่อให้สามารถสร้างผลงานที่ดีและนำชื่อเสียงกลับมาสู่จังหวัด การแข่งขันครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของนักกีฬาเชียงรายให้ก้าวสู่ระดับประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

จับบุหรี่ไฟฟ้า 260,000 ชิ้น นายกฯ สั่งขยายผล

ปฏิบัติการทลายเครือข่ายบุหรี่ไฟฟ้า Operation Smoke Out

นนทบุรี, 18 มีนาคม 2568 – นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พร้อมด้วย นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พลตำรวจโทสำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี และคณะ ร่วมแถลงผลปฏิบัติการ Operation Smoke Out ที่สามารถบุกยึดโกดังเก็บบุหรี่ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของประเทศในอำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี พบของกลางมากกว่า 260,000 ชิ้น มูลค่ารวมกว่า 130 ล้านบาท

รัฐบาลย้ำความจริงจังในการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า

นายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ทำงานร่วมกันปราบปรามเครือข่ายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน พร้อมกำชับให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เดินหน้าสร้างการรับรู้เกี่ยวกับโทษของบุหรี่ไฟฟ้าให้กับประชาชน โดยเน้นการปราบปรามทั้งระดับผู้ค้าปลีกและเครือข่ายนำเข้า

นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำว่า หากพบเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด จะดำเนินการอย่างเด็ดขาดโดยไม่มีข้อยกเว้น

กระบวนการสืบสวนและผลการจับกุม

ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นผลจากการสืบสวนที่ใช้เวลานานถึง 8 เดือน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลร่วมกับตำรวจภูธรภาค 1 และฝ่ายปกครองจังหวัดนนทบุรีได้เข้าตรวจค้น 10 จุด ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี ยึดของกลางได้ดังนี้:

  • พอตบุหรี่ไฟฟ้าพร้อมใช้ หัวพอต และน้ำยาสำหรับเติมแต่งกลิ่นต่าง ๆ กว่า 260,000 ชิ้น
  • คลังเก็บสินค้าเครือข่ายบุหรี่ไฟฟ้า 6 จุด
  • บ้านพักที่ใช้เป็นจุดกระจายสินค้า 4 จุด

จากการจับกุมพบ ผู้เกี่ยวข้อง 5 ราย ให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ดูแลสินค้าและจัดจำหน่าย ส่วนเจ้าของเครือข่ายหลัก เจ้าหน้าที่กำลังเร่งติดตามตัว

เส้นทางการนำเข้าและกระบวนการจำหน่าย

เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่า เครือข่ายนี้ลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าผ่านทางท่าเรือแหลมฉบังจากประเทศจีน และกระจายสินค้าไปทั่วประเทศผ่านระบบออนไลน์ การจับกุมครั้งนี้ถือเป็นการตัดวงจรธุรกิจมูลค่าสูงของเครือข่ายดังกล่าว

บทลงโทษทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ผู้ที่เกี่ยวข้องจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ดังนี้:

  • พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 ฐานขายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างผิดกฎหมาย
  • พระราชบัญญัติศุลกากร มาตรา 246 วรรค 1 ฐานช่วยซ่อนเร้นและช่วยจำหน่ายสินค้าหนีภาษี
  • ประกาศกระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. 2557 ฐานนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งเป็นสินค้าต้องห้าม
  • พระราชบัญญัติศุลกากร มาตรา 242 ฐานนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้ผ่านพิธีการทางศุลกากร

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย

ข้อมูลจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ (NSO) ปี 2567 ระบุว่า:

  • อัตราการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชนไทยเพิ่มขึ้น 30% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
  • กลุ่มอายุ 15-24 ปี เป็นกลุ่มที่มีการใช้บุหรี่ไฟฟ้าสูงที่สุด
  • ตลาดบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายในไทยมีมูลค่ากว่า 3,500 ล้านบาทต่อปี

สรุป

ปฏิบัติการ Operation Smoke Out ครั้งนี้เป็นการจับกุมครั้งใหญ่ที่ช่วยลดการแพร่กระจายของบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายในประเทศไทย รัฐบาลยืนยันจะดำเนินการปราบปรามเครือข่ายเหล่านี้อย่างเข้มงวด พร้อมยกระดับมาตรการป้องกันเพื่อให้เยาวชนไทยปลอดภัยจากภัยคุกคามของบุหรี่ไฟฟ้า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสถิติแห่งชาติ (NSO), 2567

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News