Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทหารสร้างฝายชะลอน้ำ เชียงรายยั่งยืน ตามรอยพ่อหลวง

มณฑลทหารบกที่ 37 จัดกำลังพลสร้างฝายชะลอน้ำ เสริมความยั่งยืนให้ชุมชน

โครงการสร้างฝายชะลอน้ำเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ

เชียงราย, 10 มีนาคม 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 นำกำลังพลลงพื้นที่สร้างฝายชะลอน้ำแบบกึ่งถาวร ณ สถานีพัฒนาการเกษตรที่สูง ตามพระราชดำริ บ้านธารทอง ตำบลแม่เงิน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย โดยมีเป้าหมายเพื่อบริหารจัดการน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ชุมชนและเสริมสร้างความสมดุลทางธรรมชาติ

ปฏิบัติการ “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

ภายใต้แนวคิด “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” กำลังพลของมณฑลทหารบกที่ 37 นำโดย ร้อยตรี ณัฐพล บุญทับ หัวหน้าชุดประสานงานสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูง ตามพระราชดำริ บ้านธารทอง ได้ร่วมแรงร่วมใจทำงานร่วมกับหัวหน้าสถานีพัฒนาการเกษตร เจ้าหน้าที่ และคนงานในพื้นที่ รวมถึงเจ้าหน้าที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชเชียงราย โดยการสร้างฝายดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำและป่าไม้

ลักษณะของฝายชะลอน้ำแบบกึ่งถาวร

ฝายชะลอน้ำแบบกึ่งถาวรที่จัดสร้างในครั้งนี้เป็นการผสมผสานระหว่างวัสดุตามธรรมชาติและวัสดุก่อสร้าง เพื่อให้มีความคงทน แข็งแรง และสามารถดูแลรักษาได้ง่าย เหมาะสมกับพื้นที่ต้นน้ำที่มีลักษณะคดเคี้ยวและลาดชันสูง โดยฝายจะช่วยชะลอการไหลของน้ำ ป้องกันการพังทลายของหน้าดิน และกักเก็บน้ำเพื่อให้เกิดประโยชน์กับชุมชนตลอดทั้งปี

ประโยชน์ของฝายชะลอน้ำ

  • ชะลอความเร็วของน้ำ ลดความรุนแรงของน้ำหลากในฤดูฝน
  • แก้ไขปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง โดยช่วยกักเก็บน้ำไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง
  • ดักตะกอนหน้าดิน ลดการชะล้างดินจากต้นน้ำ
  • เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับป่าไม้ ช่วยให้ระบบนิเวศฟื้นตัวอย่างยั่งยืน
  • เสริมสร้างความมั่นคงทางน้ำ ให้กับเกษตรกรและชุมชนโดยรอบ

ปฏิบัติการเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

การดำเนินโครงการนี้ยังเป็นการถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี แสดงถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่ทรงให้ความสำคัญกับการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชน

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำและฝายชะลอน้ำ

  • จากข้อมูลของกรมทรัพยากรน้ำ พบว่าประเทศไทยมีการสร้างฝายชะลอน้ำไปแล้วกว่า 100,000 ฝาย ทั่วประเทศ
  • ฝายชะลอน้ำสามารถช่วยกักเก็บน้ำได้เฉลี่ย 50-100 ลูกบาศก์เมตร ต่อฝาย ขึ้นอยู่กับขนาดและพื้นที่
  • การสร้างฝายในพื้นที่ป่าต้นน้ำช่วยลดความเร็วของน้ำไหลลงได้ถึง 30-50% เมื่อเทียบกับพื้นที่ไม่มีฝาย
  • ชุมชนที่มีฝายชะลอน้ำสามารถลดปัญหาภัยแล้งได้มากถึง 40% จากสถิติของกรมชลประทาน

สรุปภาพรวมโครงการ

โครงการสร้างฝายชะลอน้ำของมณฑลทหารบกที่ 37 เป็นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ช่วยบริหารจัดการน้ำ เพิ่มความมั่นคงทางน้ำ และส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้คงอยู่ต่อไป นับเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือระหว่างภาครัฐและประชาชนที่มุ่งสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

แก้รถติด ‘สนามบินเชียงราย’ สร้างทางลอด 849 ล้าน เสร็จปี 70

กรมทางหลวงชนบทเร่งแก้รถติดหน้าสนามบินเชียงราย เสริมศักยภาพการเดินทาง

โครงการก่อสร้างทางลอดช่วยบรรเทาปัญหาการจราจร

กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้เดินหน้าโครงการก่อสร้างทางลอดบริเวณทางแยกศูนย์ราชการ ถนนสาย ชร.1023 อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด โดยเฉพาะบริเวณหน้าสนามบินนานาชาติแม่ฟ้าหลวง ซึ่งถือเป็นจุดคอขวดที่ส่งผลต่อการเดินทางของประชาชนและนักท่องเที่ยว โครงการนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2570

เสริมโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มขีดความสามารถในการเดินทาง

นายมนตรี เดชาสกุลสม อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า ทช. ได้เริ่มดำเนินการปรับปรุงถนนและเตรียมก่อสร้างทางลอด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโครงข่ายถนนให้สามารถรองรับปริมาณจราจรที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาปัญหารถติด แต่ยังช่วยยกระดับเศรษฐกิจการค้าและการท่องเที่ยวของภาคเหนือตอนบนอีกด้วย

รายละเอียดโครงการก่อสร้างทางลอด

โครงการนี้ประกอบไปด้วย:

  • ก่อสร้างอุโมงค์ลอดทางแยก ขนาด 4 ช่องจราจร (ไป-กลับ) ความยาว 425.50 เมตร
  • ขยายสะพานข้ามแม่น้ำกก ให้มีความกว้างของช่องจราจรมากขึ้น ตลอดระยะทาง 410 เมตร
  • ปรับปรุงถนนบริเวณแยกศูนย์ราชการ รวมถึงติดตั้งระบบไฟฟ้าแสงสว่างและสาธารณูปโภคอื่น ๆ
  • ระยะทางดำเนินการทั้งหมด 1.635 กิโลเมตร
  • งบประมาณก่อสร้าง 849.800 ล้านบาท

ผลกระทบและมาตรการรองรับการก่อสร้าง

ในช่วงที่ดำเนินการก่อสร้าง ทช. ได้ติดตั้งมาตรการความปลอดภัยต่าง ๆ เช่น ป้ายเตือนลดความเร็ว และสัญญาณไฟกระพริบ เพื่อให้ประชาชนสามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจน ทั้งนี้ ทช. ได้ขออภัยในความไม่สะดวกและจะรายงานความคืบหน้าของโครงการเป็นระยะ

การพัฒนาโครงข่ายถนนรองรับอนาคต

หลังจากโครงการแล้วเสร็จ จะสามารถแก้ไขปัญหาการจราจรที่แออัดหน้าสนามบินนานาชาติแม่ฟ้าหลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังรองรับการขยายตัวของชุมชนและการพัฒนาเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย โดยการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมหลักให้มีความสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการจราจรในเชียงราย

  • จากข้อมูลของกรมทางหลวง พบว่า ปริมาณจราจรบริเวณหน้าสนามบินเชียงรายเพิ่มขึ้น กว่า 20% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
  • สนามบินนานาชาติแม่ฟ้าหลวงรองรับผู้โดยสารเฉลี่ย 2.5 ล้านคนต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
  • ถนนสาย ชร.1023 เป็นเส้นทางหลักที่ใช้เชื่อมต่อสนามบินกับตัวเมืองเชียงราย โดยมีปริมาณรถยนต์ผ่านเข้า-ออกกว่า 30,000 คันต่อวัน

สรุปภาพรวมโครงการ

โครงการก่อสร้างทางลอดบริเวณหน้าสนามบินเชียงราย เป็นโครงการที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัดเชียงราย ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาการจราจร เพิ่มศักยภาพการเดินทาง และเสริมสร้างเศรษฐกิจการค้าการท่องเที่ยวของพื้นที่ให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สาวๆ เที่ยวชิลล์ที่ “เชียงราย” ปลอดภัยสุดเป็น อันดับ 2 ของโลก

เชียงรายติดอันดับ 2 เมืองที่ปลอดภัยที่สุดในโลกสำหรับนักเดินทางหญิงสายดิจิทัล

Time Out จัดอันดับ “เชียงราย” เมืองปลอดภัยอันดับสองของโลกสำหรับผู้หญิงนักเดินทางสายดิจิทัล

เชียงราย – วันที่ 10 มีนาคม 2568 Time Out และ Holidu เผยผลสำรวจล่าสุดเกี่ยวกับเมืองที่ปลอดภัยที่สุดในโลกสำหรับ นักเดินทางหญิงสายดิจิทัล (Female Digital Nomads) โดยผลการจัดอันดับระบุว่า เชียงราย ได้รับการจัดให้อยู่ใน อันดับที่ 2 ของโลก รองจาก ไทเป ประเทศไต้หวัน ซึ่งเป็นอันดับหนึ่ง

การสำรวจดังกล่าวอ้างอิงจากข้อมูลของ Nomads.com และใช้เกณฑ์การวิเคราะห์หลายปัจจัย เช่น ความปลอดภัยเมื่อต้องเดินทางคนเดียว ความเป็นมิตรต่อผู้หญิง และกฎหมายเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศในสถานที่ทำงาน ผลการสำรวจชี้ว่า เชียงรายเป็นเมืองที่ มีความปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับผู้หญิงที่ทำงานทางไกลและเดินทางคนเดียว

หญิงดิจิทัลโนแมด” เทรนด์ใหม่มาแรง! อิสระ ทำงานได้ทั่วโลก

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น “หญิงดิจิทัลโนแมด” หรือ “Female Digital Nomads” กำลังเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้หญิงที่ต้องการอิสระในการใช้ชีวิตและการทำงาน

“หญิงดิจิทัลโนแมด” หมายถึง ผู้หญิงที่ทำงานโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ในโลก โดยไม่จำเป็นต้องมีสำนักงานประจำ พวกเธอมีความยืดหยุ่นในการทำงานและสามารถเดินทางไปในสถานที่ต่างๆ ได้ตามต้องการ

ลักษณะสำคัญของหญิงดิจิทัลโนแมด

  • ทำงานทางไกล (Remote Work): ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น อินเทอร์เน็ต, คอมพิวเตอร์, และแอปพลิเคชันต่างๆ ในการทำงาน
  • อิสระในการเดินทาง: สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ที่มีอินเทอร์เน็ต ทำให้พวกเธอสามารถเดินทางและใช้ชีวิตในสถานที่ต่างๆ ได้อย่างอิสระ
  • ความยืดหยุ่น: มีความยืดหยุ่นในการจัดการเวลาและสถานที่ทำงาน ทำให้พวกเธอสามารถสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานได้
  • ทักษะดิจิทัล: มีทักษะและความเชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการทำงาน เช่น การตลาดออนไลน์, การเขียน, การออกแบบกราฟิก, หรือการพัฒนาเว็บไซต์

ข้อดีของการเป็นหญิงดิจิทัลโนแมด

  • อิสระในการใช้ชีวิตและการทำงาน
  • โอกาสในการเดินทางและสัมผัสวัฒนธรรมที่หลากหลาย
  • ความยืดหยุ่นในการจัดการเวลา
  • โอกาสในการสร้างรายได้จากทั่วโลก

ข้อเสียที่ต้องพิจารณา

  • ความไม่แน่นอนของรายได้
  • ความท้าทายในการจัดการเวลาและการสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน
  • ความเหงาและความโดดเดี่ยว
  • ความท้าทายในการจัดการเรื่องภาษีและกฎหมายในต่างประเทศ

ถึงแม้ว่าการเป็นหญิงดิจิทัลโนแมดจะมีข้อเสียที่ต้องพิจารณา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทรนด์นี้กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงที่ต้องการอิสระในการใช้ชีวิตและการทำงาน

เหตุผลที่เชียงรายได้รับเลือกเป็นเมืองปลอดภัยสำหรับนักเดินทางหญิง

  1. ความปลอดภัยในการเดินทางและการใช้ชีวิต

จากรายงาน Holidu ระบุว่า เชียงรายได้รับคะแนนสูงเป็นอันดับสามของโลกในหัวข้อ ความปลอดภัยเมื่อต้องเดินคนเดียว” โดยมีคะแนนสูงถึง 93.18 เทียบกับกรุงเทพฯ ที่ได้เพียง 79.44 คะแนน นอกจากนี้ อัตราอาชญากรรมในเชียงรายยังอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ในเอเชีย

  1. ความเป็นมิตรต่อชาวต่างชาติและผู้หญิง

เชียงรายเป็นเมืองที่มีอัตราส่วนของนักเดินทางหญิงสายดิจิทัลต่อผู้ชายสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก แสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงที่ทำงานทางไกลมีแนวโน้มจะพบเจอและสร้างเครือข่ายกับเพื่อนร่วมอาชีพได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังได้รับคะแนนสูงในด้าน ความเป็นมิตรต่อชาวต่างชาติ” โดยผู้คนในท้องถิ่นมีความต้อนรับและเปิดกว้างต่อผู้มาเยือน

  1. สภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับการทำงานทางไกล
  • ค่าครองชีพต่ำกว่าหลายเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ และภูเก็ต
  • อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง มีให้บริการทั่วเมือง
  • คาเฟ่และพื้นที่ทำงานร่วม (Co-working Spaces) มีให้เลือกมากมาย

นักเดินทางที่ทำงานทางไกลสามารถใช้ชีวิตและทำงานได้อย่างสะดวกสบาย โดยไม่ต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงเกินไป

อันดับเมืองที่ปลอดภัยที่สุดในเอเชียสำหรับนักเดินทางหญิงสายดิจิทัล

  1. ไทเป,ไต้หวัน (อันดับ 1 ของโลก)
  2. เชียงราย,ประเทศไทย (อันดับ2 ของโลก)
  3. ปีนัง,มาเลเซีย (อันดับ5 ของโลก)
  4. เกาสง,ไต้หวัน (อันดับ7 ของโลก)
  5. อูบุด,อินโดนีเซีย (อันดับ10 ของโลก)
  6. หนานจิง,จีน (อันดับ 17 ของโลก)
  7. โซล,เกาหลีใต้ (อันดับ 22 ของโลก)
  8. เชียงใหม่,ประเทศไทย ( อันดับ 26 ของโลก)
  9. กรุงเทพฯ,ประเทศไทย (อันดับ 31 ของโลก)
  10. แทจ็อน,เกาหลีใต้ (อันดับ 44 ของโลก)

ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเชียงราย

ด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

  • ดึงดูดนักเดินทางสายดิจิทัลจากทั่วโลก
  • เพิ่มการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจเกี่ยวกับพื้นที่ทำงานร่วม
  • ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติของเชียงราย

ด้านสังคมและความปลอดภัย

  • ช่วยกระตุ้นการพัฒนานโยบายด้านความปลอดภัยในเมือง
  • ทำให้เชียงรายกลายเป็นต้นแบบของเมืองปลอดภัยสำหรับผู้หญิง
  • เพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับสิทธิของผู้หญิงในที่ทำงาน

ความคิดเห็นที่แตกต่างเกี่ยวกับผลการจัดอันดับ

ฝ่ายที่สนับสนุนมองว่า:

  • เชียงรายเป็นเมืองที่เงียบสงบ ปลอดภัย และมีวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์
  • ความปลอดภัยสูงกว่ากรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ของไทย
  • เป็นโอกาสดีในการพัฒนาเชียงรายให้เป็นศูนย์กลางของ Digital Nomads

ฝ่ายที่กังวลมองว่า:

  • แม้จะเป็นเมืองที่ปลอดภัย แต่อาจต้องพัฒนาสาธารณูปโภคเพิ่มเติม
  • ยังขาดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับชาวต่างชาติ เมื่อเทียบกับเชียงใหม่
  • อาจทำให้ค่าครองชีพในพื้นที่สูงขึ้น และกระทบต่อคนท้องถิ่น

บทสรุป: เชียงราย เมืองแห่งโอกาสสำหรับนักเดินทางสายดิจิทัล

การจัดอันดับครั้งนี้เป็นการยืนยันว่า เชียงรายเป็นเมืองที่มีศักยภาพสูงสำหรับนักเดินทางสายดิจิทัล โดยเฉพาะผู้หญิง เมืองนี้มีความปลอดภัยสูง ค่าครองชีพที่เหมาะสม และเป็นมิตรกับผู้มาเยือน หากสามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการเพิ่มเติม เชียงรายอาจกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของ Digital Nomads ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต

สัมผัสวิถีชีวิตช้างอย่างใกล้ชิดที่ Elephant Family Chiang Rai!

สำหรับผู้ที่สนใจกิจกรรมของ Elephant Family Chiang Rai สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 081 022 6807 โดยทางสถานที่มีโปรแกรมให้เลือก 2 รูปแบบ ได้แก่:

  • โปรแกรมเต็มวัน (1 Day Trip): ราคา 2,500 บาท
  • โปรแกรมครึ่งวัน (Half Day Trip): ราคา 1,800 บาท

ทั้งสองโปรแกรมรวมบริการรถรับส่ง อาหารกลางวัน และไกด์คอยดูแลตลอดกิจกรรม ทำให้ผู้เข้าร่วมได้รับประสบการณ์ที่น่าประทับใจและเรียนรู้เกี่ยวกับช้างอย่างใกล้ชิด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : timeout / Elephant Family Chiang Rai / The Northern Report

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

ภูเขาน้ำแข็งยักษ์เกยตื้นสัตว์นับล้านรอด

ภูเขาน้ำแข็ง A23a เกยตื้นนอกเกาะเซาท์จอร์เจีย นักวิทยาศาสตร์ชี้กระทบระบบนิเวศระยะสั้น

ภูเขาน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในโลกเกยตื้นในเขตน้ำตื้นของมหาสมุทรแอตแลนติกใต้

เซาท์จอร์เจีย – วันที่ 9 มีนาคม 2568 British Antarctic Survey (BAS) รายงานว่า ภูเขาน้ำแข็ง A23a ซึ่งเป็นภูเขาน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้เกยตื้นอยู่ในเขตน้ำตื้น ห่างจากชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะเซาท์จอร์เจียประมาณ 80 กิโลเมตร โดยเกาะแห่งนี้เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ป่าจำนวนมาก เช่น เพนกวินและแมวน้ำหลายล้านตัว

ภูเขาน้ำแข็ง A23a มีขนาด ใหญ่เป็นสองเท่าของมหานครลอนดอน และมีน้ำหนักเกือบ ล้านล้านตัน หลังจากแตกตัวออกจากหิ้งน้ำแข็งฟิลช์เนอร์-รอนน์ (Filchner-Ronne Ice Shelf) ของทวีปแอนตาร์กติกามาตั้งแต่ปี 1986 และติดอยู่กับพื้นมหาสมุทรเป็นเวลานานกว่า 30 ปี ก่อนจะหลุดออกมาและเริ่มเคลื่อนตัวขึ้นเหนือในปี 2020

ผลกระทบต่อระบบนิเวศและอุตสาหกรรมประมง

ผลกระทบต่อเพนกวินและแมวน้ำ

นักวิทยาศาสตร์เคยแสดงความกังวลว่า การเคลื่อนที่ของภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อแหล่งอาหารของสัตว์ในพื้นที่ โดยเฉพาะ เพนกวินมะกะโรนี (Macaroni Penguin) ซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ อย่างไรก็ตาม ลอรา เทย์เลอร์ (Laura Taylor) นักวิทยาศาสตร์ของ BAS ระบุว่า ฤดูผสมพันธุ์ของเพนกวินและแมวน้ำกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว จึงคาดว่าผลกระทบต่อสัตว์เหล่านี้จะมีน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้

ผลกระทบต่อระบบนิเวศใต้ทะเล

การเกยตื้นของภูเขาน้ำแข็งในเขตน้ำตื้นอาจสร้างความเสียหายต่อสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บริเวณก้นทะเล เช่น ปะการัง ฟองน้ำ และทากทะเล อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์นาดีน จอห์นสัน (Prof Nadine Johnston) จาก BAS ระบุว่า การละลายของ A23a จะช่วยปล่อยสารอาหารปริมาณมหาศาลสู่มหาสมุทร ซึ่งจะช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับระบบนิเวศ

กระบวนการละลายของภูเขาน้ำแข็งและผลกระทบต่อมหาสมุทร

ภูเขาน้ำแข็ง A23a มีความสูงถึง 300 เมตร และเริ่มแสดงสัญญาณของการสลายตัว โดยนักวิทยาศาสตร์คาดว่า บางส่วนของภูเขาน้ำแข็งอาจแตกตัวออกมาในไม่ช้า ซึ่งกระบวนการนี้อาจใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปี โดยปัจจุบัน ขนาดของภูเขาน้ำแข็งลดลงจาก 3,900 ตารางกิโลเมตร เหลือเพียง 3,234 ตารางกิโลเมตร

แพลงก์ตอนพืชบ่งชี้สารอาหารจากภูเขาน้ำแข็ง

หนึ่งในสัญญาณที่บ่งบอกว่าภูเขาน้ำแข็ง A23a กำลังปล่อยสารอาหารคือ การเพิ่มขึ้นของแพลงก์ตอนพืช (Phytoplankton bloom) ซึ่งทำให้เกิดแถบสีเขียวรอบๆ ภูเขาน้ำแข็ง ปรากฏการณ์นี้สามารถตรวจสอบได้จาก ภาพถ่ายดาวเทียม และมีบทบาทสำคัญต่อระบบนิเวศในมหาสมุทร

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเพิ่มขึ้นของภูเขาน้ำแข็งแตกตัว

แม้วงจรชีวิตของภูเขาน้ำแข็งจะเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ แต่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้มีภูเขาน้ำแข็งแตกตัวจากทวีปแอนตาร์กติกามากขึ้น โดยอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นในมหาสมุทรส่งผลให้:

  • ภูเขาน้ำแข็งแตกตัวเร็วขึ้น
  • กระแสน้ำอุ่นทำให้ภูเขาน้ำแข็งละลายเร็วขึ้น
  • ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อชายฝั่งทั่วโลก

สถิติที่เกี่ยวข้องกับภูเขาน้ำแข็งและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ข้อมูลจาก National Snow and Ice Data Center (NSIDC) ปี 2567 ระบุว่า:

  • ปัจจุบัน มีภูเขาน้ำแข็งมากกว่า 60 ลูก ที่มีขนาดใหญ่กว่า 10 ตารางกิโลเมตร ในมหาสมุทรแอนตาร์กติกา
  • อุณหภูมิเฉลี่ยของมหาสมุทรแอนตาร์กติกาเพิ่มขึ้น 1.5°C ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา
  • การละลายของน้ำแข็งแอนตาร์กติกา ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเฉลี่ย 3.5 มิลลิเมตรต่อปี

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับผลกระทบของ A23a

ฝ่ายสนับสนุนมองว่า:

  • การละลายของ A23a ช่วยเพิ่มสารอาหารในมหาสมุทร ซึ่งจะทำให้เกิดการเติบโตของแพลงก์ตอนและช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิตใต้ทะเล
  • การเกยตื้นของภูเขาน้ำแข็งไม่ส่งผลกระทบต่อเพนกวินและแมวน้ำมากนัก เนื่องจากสัตว์เหล่านี้สามารถปรับตัวและหาอาหารในพื้นที่อื่นได้
  • เป็นกระบวนการธรรมชาติของระบบนิเวศแอนตาร์กติกา ซึ่งเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในอดีต

ฝ่ายคัดค้านแสดงความกังวลว่า:

  • อาจสร้างอุปสรรคต่ออุตสาหกรรมประมง เนื่องจากการแตกตัวของน้ำแข็งอาจทำให้เกิดสิ่งกีดขวางในเส้นทางเดินเรือ
  • กระทบต่อสัตว์ทะเลขนาดเล็กและระบบนิเวศใต้ทะเล โดยเฉพาะปะการัง ฟองน้ำ และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นมหาสมุทร
  • เป็นผลพวงจากภาวะโลกร้อน ซึ่งอาจทำให้เกิดภูเขาน้ำแข็งแตกตัวเพิ่มขึ้นในอนาคต

บทสรุป: ความสำคัญของการติดตามผลกระทบในระยะยาว

การเกยตื้นของภูเขาน้ำแข็ง A23a เป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ที่สำคัญทางธรณีวิทยาและสิ่งแวดล้อม นักวิทยาศาสตร์ยังคงเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงของภูเขาน้ำแข็งอย่างใกล้ชิด ทั้งในแง่ของ ผลกระทบต่อระบบนิเวศในมหาสมุทร และความเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในอนาคต

ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการฟื้นฟูระบบนิเวศ หรือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับการเดินเรือและสัตว์ป่า การศึกษาเกี่ยวกับ A23a จะเป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้โลกสามารถเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : bbc / Brian Matthews / Reuters

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

‘เจษฎา’ เฉลยไทยปลอดภัยไหม เมียนมาสร้าง “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์”

รัสเซียลงนามสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในเมียนมา ไทยจับตาความปลอดภัยใกล้ชายแดน

เมียนมาจับมือรัสเซีย พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใกล้ชายแดนไทย

เมียนมา – วันที่ 8 มีนาคม 2568 พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา และประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือก่อสร้าง โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor หรือ SMR) ใน เขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากชายแดนไทยที่จังหวัดกาญจนบุรีเพียง 132 กิโลเมตร และห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 300 กิโลเมตร

ข้อตกลงดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของ ความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์ ระหว่างสองประเทศ ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2023 โดยรัสเซียเสนอความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยี พลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ ให้แก่เมียนมา ทั้งนี้ ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า โรงไฟฟ้าดังกล่าวจะมีกำลังการผลิต 110 เมกะวัตต์ และใช้ เครื่องปฏิกรณ์ RITM-200N ที่พัฒนาโดยบริษัท Rosatom ซึ่งเป็นผู้ผลิตและพัฒนาเทคโนโลยีนิวเคลียร์รายใหญ่ของรัสเซีย

เครื่องปฏิกรณ์ RITM-200N คืออะไร?

ตามข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานนิวเคลียร์ (รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำจุฬาฯ และ ผศ.ดร.พงษ์แพทย์ เพ่งวาณิชย์ จากภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ) เครื่องปฏิกรณ์ที่คาดว่าจะถูกนำมาติดตั้งในเมียนมาคือ RITM-200N ซึ่งเป็น เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบโมดูลาร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor – SMR)

จุดเด่นของเครื่องปฏิกรณ์ชนิดนี้ ได้แก่:

  • มีขนาดเล็ก กำลังการผลิต 55 เมกะวัตต์ต่อเครื่อง
  • สามารถติดตั้งและใช้งานในพื้นที่จำกัด
  • ใช้ระบบหล่อเย็นแบบปิด ลดความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อม
  • พัฒนาขึ้นเพื่อใช้กับโรงไฟฟ้าขนาดเล็กและเรือตัดน้ำแข็งของรัสเซีย
  • มีมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูงตามข้อกำหนดของ IAEA

อย่างไรก็ตาม แม้เทคโนโลยีจะได้รับการออกแบบมาให้ปลอดภัย แต่ความกังวลเกี่ยวกับการบริหารจัดการของรัฐบาลทหารเมียนมา รวมถึงความไม่มั่นคงทางการเมืองของประเทศ อาจเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

ผลกระทบต่อไทย และความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม

โครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในเมียนมา สร้างความกังวลให้กับประชาชนในไทย เนื่องจาก ที่ตั้งของโรงไฟฟ้าอยู่ใกล้ชายแดนจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งหากเกิดอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ ผลกระทบอาจลุกลามถึงพื้นที่ในประเทศไทยได้

ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงานให้ความเห็นว่า แม้เทคโนโลยี SMR จะมีความปลอดภัยสูงกว่าระบบปฏิกรณ์รุ่นเก่า แต่ความเสี่ยงที่แท้จริงอยู่ที่มาตรฐานการควบคุมของรัฐบาลเมียนมา ซึ่งขาดเสถียรภาพทางการเมืองและยังมีสงครามกลางเมืองในหลายพื้นที่”

นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับ การจัดการกากนิวเคลียร์ ซึ่งหากไม่มีมาตรการควบคุมที่เข้มงวด อาจส่งผลกระทบต่อแม่น้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติ ที่ไหลผ่านเข้าสู่ประเทศไทย

พม่าขาดแคลนพลังงานอย่างหนัก ผลักดันโครงการนิวเคลียร์

การตัดสินใจสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของรัฐบาลทหารเมียนมา มีเป้าหมายหลักเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนพลังงานของประเทศ เนื่องจากปัจจุบัน เมียนมามีกำลังผลิตไฟฟ้ารวมเพียง 2,400 เมกะวัตต์ แต่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าถึง 4,400 เมกะวัตต์

ข้อมูลจากกระทรวงพลังงานเมียนมาระบุว่า:

  • พม่าใช้พลังงานไฟฟ้าจาก เขื่อนเป็นหลัก (55%) แต่หลายแห่งได้รับความเสียหายจากสงคราม
  • โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ (35%) มีปัญหาขาดแคลนเชื้อเพลิงจากมาตรการคว่ำบาตร
  • พลังงานหมุนเวียน เช่น แสงอาทิตย์ และลม (10%) ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น

สถิติและสถานการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วโลก

ตามรายงานของ ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ปี 2567 พบว่า:

  • ปัจจุบันทั่วโลกมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์กว่า 440 แห่ง และกำลังก่อสร้างเพิ่มเติม 60 แห่ง
  • โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ SMR มีเพียง 5 แห่งที่ใช้งานจริง เช่นในรัสเซียและจีน
  • ประเทศที่มีแผนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ SMR ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
  • อัตราการเติบโตของพลังงานนิวเคลียร์ทั่วโลก คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 15% ภายในปี 2050

ความคิดเห็นที่แตกต่างเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ในเมียนมา

ฝ่ายสนับสนุน

  • เชื่อว่าโครงการนี้จะช่วย แก้ปัญหาพลังงานขาดแคลน ของเมียนมา
  • โรงไฟฟ้าแบบ SMR มีขนาดเล็ก ควบคุมง่าย และปลอดภัยกว่าระบบเก่า
  • อาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของเมียนมา และลดการพึ่งพาการนำเข้าไฟฟ้า

ฝ่ายคัดค้าน

  • กังวลเกี่ยวกับ มาตรฐานความปลอดภัย และการบริหารจัดการของรัฐบาลทหารเมียนมา
  • ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ หากเกิดอุบัติเหตุหรือมีการรั่วไหลของกัมมันตรังสี
  • ผลกระทบทางการเมือง อาจทำให้ความตึงเครียดในภูมิภาคเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะไทยและประเทศเพื่อนบ้าน

บทสรุป: ไทยควรเตรียมรับมืออย่างไร?

แม้ว่าโครงการนี้จะเป็นความร่วมมือระหว่างรัสเซียและเมียนมา แต่ ไทยควรเตรียมมาตรการรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น:

  • การเฝ้าระวังระดับรังสีในพื้นที่ชายแดน
  • การร่วมมือกับองค์กรสากล เช่น IAEA เพื่อตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัย
  • การสร้างแผนฉุกเฉินในกรณีเกิดอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์

ท้ายที่สุด โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งนี้อาจกลายเป็น จุดเปลี่ยนสำคัญของอาเซียน หากดำเนินการได้อย่างมีมาตรฐาน แต่หากขาดการควบคุมที่ดี ก็อาจเป็น ภัยคุกคามที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Jessada Denduangboripant / thairath

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

จับหนุ่ม ‘แม่สลอง’ ฟอกเงินแก๊งคอลฯ วันละ 30 ล้านบาท ได้ส่วนแบ่งอื้อ

ตำรวจ ปอท. จับกุมตัวการสำคัญฟอกเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์กว่า 70 เครือข่าย หลอกคนไทยวันละ 30 ล้านบาท

ปฏิบัติการทลายเครือข่ายฟอกเงินข้ามชาติบนดอยแม่สลอง

เชียงราย – วันที่ 8 มีนาคม 2568 ตำรวจ ปอท. เข้าจับกุม นายบุรพล อายุ 21 ปี ผู้ต้องหาคดีฟอกเงินให้เครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ โดยสามารถจับกุมได้ที่บ้านพักใน หมู่ 6 ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 1842/2567 ลงวันที่ 25 เมษายน 2567 ในข้อหา มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่นและโดยทุจริตหรือหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ข้อมูลอันเป็นเท็จที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน”

การจับกุมครั้งนี้เป็นผลมาจากปฏิบัติการ “Lockdown the Cat” ซึ่งดำเนินการโดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เพื่อกวาดล้างเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ที่มีการฉ้อโกงประชาชนทั่วประเทศ โดยก่อนหน้านี้ ตำรวจสามารถจับกุม บัญชีม้า คนจัดหาบัญชีม้า พนักงานคอลเซ็นเตอร์ และล่ามแปลภาษาของหัวหน้าเครือข่ายชาวจีน ก่อนขยายผลไปถึงนายบุรพล ซึ่งเป็นตัวการสำคัญในการฟอกเงินให้แก๊งดังกล่าว

เผยพฤติกรรมการฟอกเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์

จากการสอบสวน นายบุรพล ให้การรับสารภาพว่า ทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศฟอกเงินในปอยเปต ประเทศกัมพูชา โดยมีเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ หลอกลวงคนไทยกว่า 70 เครือข่าย ใช้บริการฟอกเงินของตนเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบทางการเงิน โดยมีบอสชาวจีนเป็นผู้ควบคุมระบบ

เงินที่ถูกหลอกจากเหยื่อวันละ 30 ล้านบาท จะถูกโอนผ่านบัญชีม้า ก่อนเข้าสู่กระบวนการฟอกเงินผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจเทรดเงินดิจิทัล และโอนผ่านบัญชีต่างประเทศ โดยนายบุรพลจะได้รับส่วนแบ่ง 8-12% ของเงินที่ฟอกได้ คิดเป็นรายได้ต่อเดือนจำนวนมหาศาล

ปฏิบัติการจับกุมและผลกระทบต่ออาชญากรรมทางการเงิน

ปฏิบัติการครั้งนี้ถือเป็น ความก้าวหน้าสำคัญในการปราบปรามเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ในประเทศไทย โดยตำรวจ ปอท. ให้ข้อมูลว่า ตั้งแต่ต้นปี 2567 จนถึงปัจจุบัน มีการจับกุมผู้เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์แล้วกว่า 500 ราย และสามารถยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินได้มูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท

พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผู้บัญชาการตำรวจ ปอท. เปิดเผยว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นอาชญากรรมที่สร้างความเสียหายต่อประชาชนอย่างมาก การจับกุมครั้งนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปฏิบัติการต่อเนื่องในการกวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ” พร้อมย้ำว่า ตำรวจยังคงเดินหน้าตรวจสอบและติดตามเส้นทางการเงินของเครือข่ายเหล่านี้อย่างเข้มข้น

สถิติเกี่ยวกับอาชญากรรมทางไซเบอร์และแนวทางป้องกัน

จากข้อมูลของ ศูนย์ต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์ (CCIB) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า:

  • มูลค่าความเสียหายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในปี 2567 สูงถึง 10,000 ล้านบาท
  • กว่า 85% ของเหยื่อเป็นผู้สูงอายุและคนวัยเกษียณ ที่ตกเป็นเป้าหมายของการหลอกลวง
  • ช่องทางหลักที่ใช้ในการหลอกลวงคือการโทรศัพท์ผ่าน VoIP และการส่ง SMS ปลอม
  • บัญชีม้าในประเทศไทยมีมากกว่า 50,000 บัญชี ที่ถูกใช้ในการโอนเงินผิดกฎหมาย

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับมาตรการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ฝ่ายสนับสนุนมาตรการปราบปรามมองว่า การที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวการฟอกเงินครั้งนี้ได้ แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์” นอกจากนี้ยังเชื่อว่า การใช้เทคโนโลยีและปฏิบัติการเชิงรุกจะช่วยลดจำนวนเหยื่อที่ตกเป็นเป้าหมายของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่มีมุมมองแตกต่างระบุว่า ถึงแม้การจับกุมครั้งนี้เป็นเรื่องดี แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้” เนื่องจากเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์มีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายประเทศในการสืบสวนและปิดช่องโหว่ทางกฎหมาย

บทสรุป: ก้าวต่อไปในการปราบปรามเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์

การจับกุม นายบุรพล และการขยายผลสู่เครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ ถือเป็นความก้าวหน้าสำคัญของ ตำรวจ ปอท. ในการสกัดกั้นเส้นทางการเงินของอาชญากรรมไซเบอร์ อย่างไรก็ตาม การป้องกันปัญหานี้ยังต้องอาศัย ความร่วมมือจากภาครัฐ เอกชน และประชาชน ในการเฝ้าระวัง และแจ้งเบาะแส เพื่อให้สามารถดำเนินคดีและยับยั้งการกระทำผิดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ประชาชนควรเพิ่มความระมัดระวัง ไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวทางโทรศัพท์ หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์ต้องสงสัย และตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนทำธุรกรรมทางการเงิน หากพบเบาะแสการกระทำผิด สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ สายด่วน ปอท. โทร 1441 หรือ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์แห่งชาติ โทร 1599

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เปิดอาชีพผู้ต้องขัง ‘ราชทัณฑ์’ ปันสุขฯ คืนคนดีสู่สังคม

กรมวังผู้ใหญ่ประจำพระองค์ฯ ติดตามโครงการราชทัณฑ์ปันสุข สร้างอาชีพ คืนคนดีสู่สังคม

ติดตามการดำเนินโครงการพัฒนาและฝึกอาชีพผู้ต้องขัง

เชียงราย,วันที่ 7 มีนาคม 2568 – พลอากาศเอก สมคิด สุขบาง กรมวังผู้ใหญ่ประจำพระองค์ 908 กรรมการมูลนิธิราชทัณฑ์ปันสุข ทำความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และรองประธานกรรมการกองทุนกำลังใจฯ ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานตามโครงการกำลังใจในพระดำริพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ณ เรือนจำชั่วคราวดอยฮาง อำเภอเมืองเชียงราย

ในโอกาสนี้ ได้เป็นประธานเปิด อาคารแสดงผลิตภัณฑ์ฝีมือผู้ต้องราชทัณฑ์ ภายใต้แนวคิด “สร้างคน สร้างโอกาส สร้างอาชีพ คืนคนดีสู่สังคม” โดยมี นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นางจิรภา สินธุนาวา รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมให้การต้อนรับ

เยี่ยมชมกิจกรรมฝึกอาชีพผู้ต้องขังเพื่อคืนสู่สังคม

ภายในงาน พลอากาศเอก สมคิด สุขบาง และคณะ ได้เยี่ยมชมฐานฝึกอาชีพต่าง ๆ อาทิ การนวดแผนไทย การเลี้ยงสัตว์ การเพาะปลูกสมุนไพร การผลิตปุ๋ยจากมูลไส้เดือน รวมถึงการแสดงผลิตภัณฑ์จากโครงการกำลังใจ และกิจกรรมราชทัณฑ์ปันโอกาส สร้างอาชีพ เช่น ร้านกาแฟและร้านอาหารที่ดำเนินการโดยผู้ต้องขัง

โครงการกำลังใจฯ ตามแนวพระราชดำริ สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ต้องขัง

เรือนจำชั่วคราวดอยฮาง ดำเนินการภายใต้โครงการกำลังใจในพระดำริ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ซึ่งได้น้อมนำหลัก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาใช้ เพื่อให้ผู้ต้องขังสามารถพึ่งพาตนเองได้เมื่อพ้นโทษ ทั้งนี้การฝึกอาชีพ เช่น งานช่างไม้ งานเกษตร และงานฝีมือ ช่วยเพิ่มโอกาสการประกอบอาชีพและลดอัตราการกระทำผิดซ้ำ

นโยบาย 8 มิติ ยกกำลัง 2 สร้างคนดีคืนสังคม

ปัจจุบันเรือนจำกลางเชียงราย ดำเนินโครงการ “รวมพลังขับเคลื่อน 8 มิติ ยกกำลัง 2 สร้างคนดีคืนสังคม” อย่างจริงจัง โดยมุ่งเน้นให้ ผู้ต้องขังมีทักษะอาชีพที่สามารถนำไปใช้หลังพ้นโทษ เช่น การฝึกช่างไม้ ที่มีการผลิตเครื่องเรือนจำหน่าย ทั้ง โต๊ะรับแขก โต๊ะอาหาร โต๊ะกาแฟ และจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์

ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

ในช่วงบ่าย พลอากาศเอก สมคิด สุขบาง ได้เดินทางไปยัง มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เพื่อติดตามความร่วมมือระหว่างเรือนจำและมหาวิทยาลัยฯ ในการสนับสนุนการศึกษาและพัฒนาอาชีพผู้ต้องขัง จากนั้นได้เดินทางต่อไปยัง อำเภอเวียงเชียงรุ้ง เพื่อติดตามความก้าวหน้าของ นายสุรพล ดอนเลย ผู้ต้องขังที่พ้นโทษแล้วสามารถประกอบอาชีพทำสวนพริกส่งออกต่างประเทศได้อย่างประสบความสำเร็จ

สถิติโครงการราชทัณฑ์ปันสุข และผลกระทบทางสังคม

จากข้อมูลของ กรมราชทัณฑ์ (2567) พบว่า

  • อัตราการกระทำผิดซ้ำของผู้ที่ผ่านโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ลดลง กว่า 45%
  • ผู้ต้องขังที่ผ่านการฝึกอาชีพมีโอกาสได้งานทำหลังพ้นโทษมากขึ้น 70%
  • มีผู้ต้องขังเข้าร่วมโครงการฝึกอาชีพในเรือนจำกลางเชียงราย มากกว่า 1,500 คนต่อปี
  • รายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของผู้ต้องขังมีมูลค่ากว่า 5 ล้านบาทต่อปี

บทสรุป: ก้าวต่อไปของโครงการราชทัณฑ์ปันสุข

โครงการราชทัณฑ์ปันสุข ถือเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาผู้ต้องขังให้สามารถคืนสู่สังคมได้อย่างยั่งยืน การฝึกอาชีพและการสร้างโอกาสทำงานเป็นปัจจัยที่ช่วยลดปัญหาอาชญากรรมและการกระทำผิดซ้ำ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาโครงการในระยะยาวต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ต้องขังที่พ้นโทษไปแล้วสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมั่นคงและไม่หวนกลับไปกระทำผิดอีก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

วิ่ง-ปั่น ขึ้นดอยตุง 1000 คนร่วมใจ ไหว้สาพระธาตุ

เชียงรายจัดกิจกรรม “วิ่ง – ปั่น 2007 ปีสืบสาน สู่ลานพระธาตุดอยตุง” ส่งเสริมสุขภาพและอนุรักษ์วัฒนธรรม

กิจกรรมออกกำลังกายเชื่อมโยงประเพณีและความศรัทธา

เชียงราย,9 มีนาคม 2568 เวลา 07.00 น. จังหวัดเชียงรายจัดกิจกรรม วิ่ง – ปั่น 2007 ปีสืบสาน สู่ลานพระธาตุดอยตุง” เพื่อส่งเสริมสุขภาพและร่วมสืบทอดวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยได้รับเกียรติจาก นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วย นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ กล่าวรายงาน ณ สถานีขนส่งดอยตุง (ท่ารถม่วง) ตำบลแม่ไร่ อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย

ผู้เข้าร่วมกว่า 1,000 คน ร่วมสร้างบรรยากาศแห่งสุขภาพและศรัทธา

กิจกรรมครั้งนี้ได้รับความสนใจอย่างมากจากประชาชนในจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียง รวมถึงผู้เข้าร่วมจาก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยมีผู้สมัครเข้าร่วมทั้งสิ้น 1,000 คน แบ่งเป็น ประเภทปั่นจักรยาน 431 คน และประเภทวิ่ง 569 คน

จังหวัดเชียงรายเดินหน้าส่งเสริมประเพณีนมัสการพระธาตุดอยตุง

กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของงาน “2007 ปี สืบมา หกเป็งล่องฟ้า ไหว้สาพระธาตุดอยตุง” ซึ่งเป็นประเพณีสำคัญของจังหวัดเชียงรายที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและวัฒนธรรม เช่น การเดินจาริกแสวงบุญ พิธีสืบชะตาหลวงแบบล้านนา และพิธีสรงน้ำพระธาตุดอยตุง เพื่อให้ประชาชนและพุทธศาสนิกชนได้มีโอกาสร่วมทำบุญและแสดงความเคารพต่อพระธาตุดอยตุง

กำหนดการงานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง 2568

จังหวัดเชียงรายกำหนดจัดงานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง ประจำปี 2568 ระหว่างวันที่ 12-13 มีนาคม 2568วัดพระธาตุดอยตุง ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย โดยมีไฮไลท์สำคัญ ได้แก่:

  • พิธีสมโภชน้ำสรงพระราชทาน
  • พิธีบวงสรวงพระธาตุดอยตุง
  • กิจกรรมทำบุญตักบาตร
  • พิธีสืบชะตาหลวงแบบล้านนา

สถิติกิจกรรมและผลกระทบต่อสุขภาพชุมชน

จากการสำรวจพบว่า การจัดกิจกรรมลักษณะนี้ช่วยส่งเสริมสุขภาพประชาชนและลดอัตราการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ได้ถึง 30% จากสถิติของกระทรวงสาธารณสุข นอกจากนี้ ยังมีผลสำรวจจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายที่ระบุว่า กว่า 85% ของผู้เข้าร่วมกิจกรรม รู้สึกพึงพอใจและต้องการให้มีการจัดกิจกรรมต่อเนื่องในปีถัดไป

บทสรุป: กิจกรรมที่ควรค่าแก่การสืบสาน

กิจกรรม วิ่ง – ปั่น 2007 ปีสืบสาน สู่ลานพระธาตุดอยตุง” ไม่เพียงแต่ช่วยส่งเสริมสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการอนุรักษ์และสืบทอดวัฒนธรรมล้านนาให้คงอยู่ต่อไป การที่ภาครัฐและประชาชนให้ความร่วมมือกันในกิจกรรมลักษณะนี้ ถือเป็นแนวทางที่ดีในการพัฒนาเชียงรายให้เป็นเมืองแห่งสุขภาพและศรัทธาอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

หนุ่มจมแพเปียก ‘แม่สรวย’ ทีมแพทย์ช่วยชีวิตรอดปาฏิหาริย์

ปกครองอำเภอแม่สรวย ตรวจสอบกรณีคนจมน้ำแพเปียก

วันที่ 8 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 15.30 น. ได้มีรายงานข่าวสารในสื่อสังคมออนไลน์ กรณี “เหตุมีชายจมน้ำในสถานที่ท่องเที่ยวล่องแพเปียกแม่สรวย” โดยมีเจ้าหน้าที่งานฉุกเฉินโรงพยาบาลเวียงป่าเป้า ที่อยู่ในพื้นที่ขณะเกิดเหตุสามารถช่วยเหลือผู้ประสบภัยจมน้ำจนมีชีพจร และได้ประสานโรงพยาบาลแม่สรวยเข้ามารับตัวเพื่อไปรักษาต่อ

จากการตรวจสอบข้อมูลกับโรงพยาบาลแม่สรวย สำนักงานสาธารณสุขอำเภอแม่สรวย และกำนันตำบลแม่สรวย พบว่าผู้ประสบเหตุเป็นชายอายุประมาณ 45 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย โดยมาพักอาศัยอยู่ในพื้นที่บ้านสันกลาง หมู่ 2 ตำบลแม่สรวย ซึ่งเป็นบริเวณแหล่งท่องเที่ยวล่องแพเปียกเขื่อนแม่สรวย ขณะเกิดเหตุคาดว่าผู้ประสบเหตุได้ลงเล่นน้ำแล้วเกิดหมดสติจมน้ำ

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายชื่นชมเจ้าหน้าที่ รพ.เวียงป่าเป้า

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ได้ออกแถลงการณ์ชื่นชมเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเวียงป่าเป้า ที่ให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยจมน้ำจนสามารถกลับมามีสัญญาณชีพ โดยเจ้าหน้าที่ที่ร่วมปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ ได้แก่

  1. นายแพทย์สามารถ จันทร์ฤทธิ์ นายแพทย์ชำนาญการ ทำหน้าที่ Leader
  2. นางพีระดา ชัยวรรณะ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ ทำหน้าที่ Commander
  3. นายธนาวุฒิ แก้วปัญญา พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ ทำหน้าที่ CPR
  4. นายภัทรกร ต๊ะต้องใจ เจ้าพนักงานสาธารณสุขชำนาญงาน ทำหน้าที่ CPR
  5. นายอนุพงศ์ ชัยชุม ผู้ช่วยเหลือคนไข้ ทำหน้าที่ CPR
  6. นายทัศนะ สมต๊ะมา ผู้ช่วยเหลือคนไข้ ทำหน้าที่ CPR
  7. นายรัชพล ทุเรียน พนักงานขับรถ ทำหน้าที่ CPR
  8. นายเจษฎา อารุณ นักศึกษาพยาบาลปีที่ 4 มหาวิทยาลัยพะเยา ทำหน้าที่ CPR

นายแพทย์วัชรพงษ์ คำหล้า นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวชื่นชมเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกท่านที่สามารถช่วยชีวิตประชาชนได้อย่างทันท่วงที แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทและความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์ในการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน นอกจากนี้ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายยังขอขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนร่วมในภารกิจครั้งนี้ ซึ่งเป็นตัวอย่างของความเสียสละและความเป็นมืออาชีพของบุคลากรสาธารณสุขที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชนอย่างเต็มกำลัง

มาตรการป้องกันและดูแลความปลอดภัยในพื้นที่ล่องแพเปียก

หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว นายอำเภอแม่สรวย ได้สั่งการให้ นายกเทศมนตรีตำบลเวียงสรวย ดูแลมาตรการรักษาความปลอดภัยทางน้ำในบริเวณที่มีการจัดกิจกรรมล่องแพเปียก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นอีก โดยเน้นมาตรการสำคัญ ได้แก่

  • การกำหนดพื้นที่เล่นน้ำที่ปลอดภัยและการติดตั้งป้ายเตือน
  • การจัดเตรียมเจ้าหน้าที่กู้ภัยและอุปกรณ์ช่วยชีวิตประจำจุดเสี่ยง
  • การให้ผู้ประกอบการแพเปียกมีมาตรการเฝ้าระวัง และควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวต่อรอบให้เหมาะสม

สถานการณ์ความปลอดภัยทางน้ำในเชียงราย

จากข้อมูลของสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย พบว่าในปี 2567 มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์จมน้ำในจังหวัดเชียงรายรวม 28 ราย และมีผู้บาดเจ็บจากการจมน้ำกว่า 50 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุหลักจากการเล่นน้ำในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวโดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม

ความคิดเห็นที่แตกต่างเกี่ยวกับมาตรการรักษาความปลอดภัย

เหตุการณ์ครั้งนี้ได้นำไปสู่การแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างออกเป็นสองด้าน ด้านหนึ่งประชาชนและนักท่องเที่ยวเห็นว่าควรมีมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวดมากขึ้น เช่น การบังคับให้สวมเสื้อชูชีพตลอดเวลา การมีเจ้าหน้าที่ประจำจุด และการเพิ่มการตรวจสอบมาตรฐานของผู้ประกอบการล่องแพเปียก

ขณะที่อีกฝ่ายมองว่าการเพิ่มมาตรการที่เข้มงวดเกินไป อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในท้องถิ่น และอาจทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกไม่สะดวกในการมาเยือน ดังนั้นแนวทางที่เหมาะสมควรเป็นการหาจุดสมดุลระหว่างการดูแลความปลอดภัยและการรักษาบรรยากาศของการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ

ทั้งนี้ คาดว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการหารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถรองรับการท่องเที่ยวในพื้นที่ได้อย่างปลอดภัย และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

จีนฟ้องลาว 555 ล้านดอลลาร์ ค้างจ่ายค่าเขื่อนน้ำอู “ไข่มุกแห่งเอเชีย” โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง

จีนฟ้องลาว 555 ล้านดอลลาร์! ค้างจ่ายค่าเขื่อน “ไข่มุกแห่งเอเชีย”

สปป.ลาว , 9 มีนาคม 2568 – บริษัทน้ำอูพาวเวอร์ (Nam Ou Power) ซึ่งเป็นหน่วยงานในเครือของบริษัทพาวเวอร์ไชน่า (PowerChina) ได้ยื่นฟ้องบริษัทการไฟฟ้าลาว (Electricite du Laos – EdL) ต่อศูนย์อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศของสิงคโปร์ (SIAC) เพื่อเรียกร้องค่าใช้จ่ายที่ค้างชำระเป็นจำนวน 555 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อันเนื่องมาจากค่าไฟฟ้าที่เกิดจากโครงการเขื่อนไฟฟ้าน้ำอูทั้ง 7 แห่ง (Nam Ou River Cascade Hydropower) มูลค่าการลงทุนกว่า 2.73 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ข้อพิพาทด้านพลังงานและผลกระทบต่อเศรษฐกิจลาว

บริษัทน้ำอูพาวเวอร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดำเนินการโดยรัฐบาลจีน ได้ดำเนินการก่อสร้างและบริหารเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำอูซึ่งมีความยาว 350 กิโลเมตรในประเทศลาว โครงการดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative) ของจีน ที่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงานและการคมนาคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

แหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องระบุว่าคดีนี้เป็นกรณีแรกของการฟ้องร้องระหว่างหน่วยงานที่ดำเนินการโดยรัฐบาลจีนต่อรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลลาวผ่านกระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงปัญหาทางการเงินที่ลาวกำลังเผชิญ

ที่มาของข้อพิพาทและรายละเอียดทางกฎหมาย

ข้อมูล 6 มีนาคม 2568 พบว่า บริษัทน้ำอูพาวเวอร์ อ้างว่า EdL มีหนี้ค้างชำระเป็นจำนวน 486.27 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 65.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเกิดจากใบแจ้งหนี้รายเดือนที่ออกระหว่างเดือนมกราคม 2020 ถึงธันวาคม 2024 การฟ้องร้องครั้งนี้มีมูลค่ารวมคิดเป็นประมาณ 4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของลาวในปี 2020

เอกสารที่ยื่นต่อ SIAC ยังระบุว่า บริษัทน้ำอูพาวเวอร์เรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเติมอีก 3.02 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจาก EdL ชำระเงินส่วนใหญ่ด้วยสกุลเงินกีบของลาว ทั้งที่ตามข้อตกลงระบุว่าต้องชำระเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างน้อย 85%

ความเชื่อมโยงกับโครงสร้างพื้นฐานจีนในลาว

ลาวเป็นประเทศที่ลงทุนอย่างหนักในโครงการไฟฟ้าพลังน้ำ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะเป็น “แบตเตอรี่แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” (Battery of Southeast Asia) ผ่านการส่งออกพลังงานไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ไทย เวียดนาม และจีน อย่างไรก็ตาม โครงการขนาดใหญ่เหล่านี้รวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว ได้สร้างภาระหนี้สินให้กับประเทศเป็นจำนวนมาก

ในปี 2020 EdL ได้โอนอำนาจการควบคุมส่วนใหญ่ของหน่วยส่งไฟฟ้าไปยังบริษัทไชน่าเซาเทิร์นพาวเวอร์กริด (China Southern Power Grid) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของจีน เนื่องจากภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นประกอบกับวิกฤตเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้รัฐบาลลาวต้องเผชิญกับความยากลำบากทางการเงิน และใกล้เข้าสู่ภาวะผิดนัดชำระหนี้ (Sovereign Default)

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสถานะของลาวในเวทีโลก

ลาวต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงและทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่ลดลงอย่างรวดเร็ว โดยมูลค่าของเงินกีบลาวลดลงเกือบ 60% ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าพุ่งสูงขึ้น และทำให้ประเทศต้องพึ่งพาเงินทุนจากจีนมากขึ้น

นักวิเคราะห์ชาวตะวันตกมองว่าการลงทุนของจีนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานในลาวช่วยเพิ่มอิทธิพลของจีนในประเทศที่มีภาระหนี้สูง อย่างไรก็ตาม จีนได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยยืนยันว่าการลงทุนของตนเป็นไปเพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ

แนวโน้มของคดีและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

ในขณะที่คดีดังกล่าวกำลังอยู่ระหว่างกระบวนการทางอนุญาโตตุลาการในสิงคโปร์ นักวิเคราะห์บางรายมองว่า หาก EdL ไม่สามารถชำระหนี้ได้ อาจนำไปสู่การโอนกรรมสิทธิ์หรือความเป็นเจ้าของของโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของลาวไปยังบริษัทจีน ซึ่งอาจเพิ่มการพึ่งพาจีนในระยะยาว

นอกจากนี้ หากมีการพิจารณาคดีให้บริษัทน้ำอูพาวเวอร์เป็นฝ่ายชนะ ลาวอาจต้องเจรจาปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มเติม หรืออาจต้องขอความช่วยเหลือจากองค์กรทางการเงินระหว่างประเทศ เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) หรือธนาคารโลก (World Bank) เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ

ข้อสรุปและแนวทางข้างหน้า

กรณีพิพาทระหว่างบริษัทน้ำอูพาวเวอร์และการไฟฟ้าลาวเป็นตัวอย่างของความซับซ้อนของโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่มีการลงทุนข้ามชาติ และยังสะท้อนถึงปัญหาทางการเงินที่ลาวกำลังเผชิญในปัจจุบัน

ในระยะสั้น ลาวอาจต้องหาทางออกผ่านการเจรจากับจีนเพื่อลดภาระหนี้ หรือหาทางปรับโครงสร้างทางการเงินเพื่อให้สามารถบริหารจัดการทรัพยากรของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนในระยะยาว อาจจำเป็นต้องมีการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจและนโยบายทางการเงิน เพื่อให้ประเทศสามารถพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น และลดการพึ่งพาเงินทุนจากต่างชาติ

ในขณะที่มุมมองจากฝั่งจีนคือการรักษาความมั่นคงของการลงทุนและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แต่ในมุมของนักวิเคราะห์ตะวันตก อาจเห็นว่าการลงทุนดังกล่าวเป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ของจีนที่ช่วยเสริมสร้างอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นประเด็นที่ยังคงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : reuters

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News