Categories
SOCIETY & POLITICS

4 โรคร้ายคุกคาม ผู้ป่วยมากขึ้น เร่งควบคุมโรคกระจายวัคซีน

คณะกรรมการโรคติดต่อฯ เห็นชอบแนวทางควบคุม 4 โรคสำคัญ เตรียมจัดหาวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มเป็น 6 ล้านโดส

เชียงรายเป็นหนึ่งใน 6 จังหวัดที่ได้รับการจัดสรรวัคซีนเพิ่มเติม

ประเทศไทย, 13 มีนาคม 2568 – กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เดินหน้ามาตรการควบคุมโรคติดต่อสำคัญ โดยคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ มีมติให้ ขยายแนวทางการจัดหาวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพิ่มเป็น 6 ล้านโดส สำหรับประชากรกลุ่มเสี่ยง 7 กลุ่มหลัก พร้อมกระจายวัคซีนให้กับ 6 จังหวัดที่พบการแพร่ระบาดสูง ได้แก่ พะเยา ลำพูน เชียงราย ภูเก็ต เชียงใหม่ และกรุงเทพมหานคร โดยแต่ละจังหวัดจะได้รับจัดสรร 10,000 โดส ขณะที่ค่ายทหารและเรือนจำได้รับเพิ่มเติม 30,000 โดส

แนวทางควบคุม 4 โรคสำคัญของกระทรวงสาธารณสุข

เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568 ณ กระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2568 พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ นพ.ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค โดยที่ประชุมมีมติ เห็นชอบแนวทางป้องกันและควบคุม 4 โรคสำคัญ ได้แก่:

  1. โรคไข้หวัดใหญ่
  • ปี 2568 พบผู้ป่วยสะสมแล้ว 165,333 ราย เสียชีวิต 14 ราย
  • พบการแพร่ระบาดสูงสุดในกลุ่มเด็กอายุ 5 – 9 ปี และเด็กเล็กอายุ 0 – 4 ปี
  • กระจายวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มเติมใน 6 จังหวัด และค่ายทหาร-เรือนจำ
  1. โรคไข้เลือดออก
  • แม้แนวโน้มผู้ป่วยลดลง แต่ยังมีอัตราการเสียชีวิตสูง โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและประชากรวัยทำงานอายุ 40 – 59 ปี
  • เตรียมเดินหน้าศึกษาวัคซีนไข้เลือดออกเพิ่มเติม โดยเริ่มทดลองฉีดในอาสาสมัคร 4 เมษายน 2568 ที่จังหวัดนครพนม
  1. โรคฝีดาษวานร (Mpox)
  • พบผู้ป่วยสะสม 873 ราย และเสียชีวิต 13 ราย โดย 12 ราย เป็นเพศชายที่ตรวจพบเชื้อ HIV
  • กระทรวงฯ ได้รับวัคซีนฝีดาษจำนวน 2,220 โดส จากสมาพันธ์อาเซียน เพื่อฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยงและบุคลากรทางการแพทย์
  1. โรคไวรัสตับอักเสบบีและซี
  • พบผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี 290,396 ราย แต่ได้รับการรักษาเพียง 13.33%
  • เร่งพัฒนาระบบ Hepatitis-BC-DDC เพื่อเฝ้าระวังและติดตามการรักษาอย่างครบวงจร

เชียงราย: จุดยุทธศาสตร์สำคัญในการกระจายวัคซีน

เชียงรายเป็นหนึ่งใน 6 จังหวัดที่พบอัตราการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สูง จากข้อมูลของ กรมควบคุมโรค พบว่า อัตราป่วยในจังหวัดเชียงรายเพิ่มขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อน ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่ต้องเพิ่มความระมัดระวัง พร้อมกับการสนับสนุนวัคซีนเพิ่มเติมจากกระทรวงสาธารณสุข

นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ปีนี้จังหวัดเชียงรายได้รับการจัดสรรวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้นเป็น 10,000 โดส ซึ่งจะช่วยลดการแพร่ระบาดในกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง”

มุมมองจาก 2 ฝ่ายต่อมาตรการควบคุมโรค

ฝ่ายสนับสนุน

นักวิชาการด้านสาธารณสุขมองว่า การจัดสรรวัคซีนเพิ่มเติมและการเฝ้าระวังการแพร่ระบาด เป็นมาตรการที่จำเป็น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีอัตราการติดเชื้อสูง เช่น เชียงราย เชียงใหม่ และกรุงเทพฯ นอกจากนี้ การศึกษา วัคซีนไข้เลือดออก และการขยายการฉีดวัคซีน HPV ยังเป็นการยกระดับมาตรการป้องกันโรคให้เข้าถึงประชาชนมากขึ้น

ฝ่ายกังวลเรื่องงบประมาณ

ขณะที่บางฝ่ายตั้งคำถามถึง งบประมาณที่ใช้ในการจัดซื้อวัคซีนและความคุ้มค่าในการกระจายวัคซีนในบางพื้นที่ รวมถึงประเด็นเกี่ยวกับการศึกษา วัคซีนไข้เลือดออก ที่ยังอยู่ในช่วงทดลอง ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการประเมินประสิทธิภาพก่อนนำมาใช้จริง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • อัตราการป่วยไข้หวัดใหญ่ในปี 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 165,333 ราย ทั่วประเทศ (ที่มา: กรมควบคุมโรค)
  • จังหวัดเชียงรายพบอัตราป่วยเพิ่มขึ้น 2 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2567 (ที่มา: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย)
  • ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีที่ได้รับการรักษาเพียง 13.33% (ที่มา: กระทรวงสาธารณสุข)
  • โครงการฉีดวัคซีน HPV มีการฉีดสะสม 700,860 โดส จากเป้าหมาย 1 ล้านโดส (ที่มา: กรมควบคุมโรค)

สรุป

การขยายมาตรการควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะการกระจายวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มเติม สะท้อนถึงความพยายามในการลดการแพร่ระบาดของโรคติดต่อสำคัญ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับงบประมาณและประสิทธิภาพของวัคซีนบางชนิด ซึ่งจำเป็นต้องมีการติดตามผลในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ตั๋วเครื่องบินสงกรานต์ถูกลง สุริยะจัด 124 เที่ยวบิน ลด 30%

สุริยะ สั่งเพิ่มเที่ยวบิน 124 เที่ยว พร้อมลดค่าตั๋ว 30% แก้ปัญหาราคาตั๋วเครื่องบินแพงช่วงสงกรานต์

คมนาคมเร่งอำนวยความสะดวกประชาชน เตรียมระบบขนส่งรองรับช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568

ประเทศไทย, 13 มีนาคม 2568 – นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมได้มีการประชุมร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนในช่วง เทศกาลสงกรานต์ วันที่ 11-17 เมษายน 2568 โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาตั๋วเครื่องบินราคาสูงในช่วงที่มีความต้องการเดินทางเพิ่มขึ้นอย่างมาก

สำหรับมาตรการแก้ไขปัญหาตั๋วโดยสารแพง กระทรวงคมนาคมได้สั่งการให้ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ลงพื้นที่ตรวจสอบราคาและหารือกับ 6 สายการบินหลักของไทย ได้แก่ การบินไทย, บางกอกแอร์เวย์ส, ไทยแอร์เอเชีย, นกแอร์, ไทยไลอ้อนแอร์ และไทยเวียตเจ็ท เพื่อเพิ่มเที่ยวบินพิเศษ 124 เที่ยวบิน และเพิ่มที่นั่งรวม 25,000 ที่นั่ง พร้อมทั้งกำหนด ลดราคาตั๋วเครื่องบินลง 30% จากราคาเพดาน สำหรับเที่ยวบินในประเทศที่ได้รับความนิยม

รายละเอียดเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นและมาตรการลดราคาค่าโดยสาร

เส้นทางบินที่มีการเพิ่มเที่ยวบินพิเศษและลดราคาค่าโดยสาร ได้แก่:

  • กรุงเทพฯ – เชียงใหม่
  • กรุงเทพฯ – เชียงราย
  • กรุงเทพฯ – ภูเก็ต
  • กรุงเทพฯ – กระบี่
  • กรุงเทพฯ – สมุย
  • กรุงเทพฯ – นครพนม
  • กรุงเทพฯ – อุดรธานี
  • กรุงเทพฯ – อุบลราชธานี
  • กรุงเทพฯ – ขอนแก่น
  • กรุงเทพฯ – หาดใหญ่
  • กรุงเทพฯ – นครศรีธรรมราช

ทั้งนี้ การจำหน่ายตั๋วเครื่องบินตามมาตรการดังกล่าวจะเริ่มตั้งแต่ วันที่ 11-20 มีนาคม 2568 ผ่านช่องทางจำหน่ายของแต่ละสายการบินโดยตรง เช่น เว็บไซต์, Call Center และเคาน์เตอร์ขายตั๋วที่สนามบิน

ไทยแอร์เอเชีย ขานรับมาตรการรัฐ ลดค่าตั๋ว 30% จองได้ 11-20 มีนาคม

นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย เปิดเผยว่า ทางสายการบินได้เพิ่มเที่ยวบินพิเศษใน 5 เส้นทางหลัก ได้แก่ ดอนเมือง – เชียงใหม่, ดอนเมือง – เชียงราย, ดอนเมือง – นครพนม, ดอนเมือง – อุดรธานี และดอนเมือง – อุบลราชธานี

“เพื่อรองรับความต้องการเดินทางที่เพิ่มขึ้น ไทยแอร์เอเชียได้เพิ่มเที่ยวบินในบางเส้นทาง เช่น ดอนเมือง – เชียงใหม่ จาก 17 เป็น 18 เที่ยวบินต่อวัน และดอนเมือง – อุดรธานี จาก 5 เป็น 6 เที่ยวบินต่อวัน พร้อมทั้งลดราคาตั๋วเครื่องบิน 30% จากราคาเพดาน โดยสามารถจองตั๋วได้ตั้งแต่ วันที่ 11-20 มีนาคม 2568 ผ่านเว็บไซต์ www.airasia.com, แอปพลิเคชัน AirAsia MOVE และเคาน์เตอร์จำหน่ายบัตรโดยสารที่สนามบินทั่วประเทศ

มาตรการรองรับการเดินทางช่วงสงกรานต์ 2568

  1. การเพิ่มเที่ยวรถไฟและรถโดยสาร
  • การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพิ่มขบวนรถพิเศษเสริม 5 เส้นทาง รวม 26 ขบวน ไป-กลับ ได้แก่ กรุงเทพอภิวัฒน์ – เชียงใหม่, อุบลราชธานี, อุดรธานี, ศิลาอาสน์ และยะลา คาดว่าจะรองรับผู้โดยสารได้ 758,024 คน-เที่ยว
  • บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เสริมรถโดยสารไม่ประจำทางอีก 1,000 คัน รองรับผู้โดยสารได้เพิ่มอีก 100,000 คน
  1. การเปิดทดลองใช้เส้นทางมอเตอร์เวย์ฟรี
  • M6 (บางปะอิน – นครราชสีมา) ช่วงหินกอง – เลี่ยงเมืองนครราชสีมา ระยะทาง 167 กิโลเมตร
  • M81 (บางใหญ่ – นครปฐม – กาญจนบุรี) ระยะทาง 96.41 กิโลเมตร
  1. การยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
  • ทางพิเศษบูรพาวิถีและกาญจนาภิเษก (บางพลี – สุขสวัสดิ์) ยกเว้นค่าผ่านทางวันที่ 11 – 17 เมษายน
  • ทางพิเศษศรีรัช เฉลิมมหานคร และอุดรรัถยา ยกเว้นค่าผ่านทางวันที่ 11 – 15 เมษายน
  • มอเตอร์เวย์ M7 (กรุงเทพฯ– บ้านฉาง) และ M9 (วงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ) ยกเว้นค่าผ่านทางวันที่ 11 – 17 เมษายน
  1. มาตรการเพื่อความปลอดภัยการเดินทาง
  • กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กำหนดว่า รถโดยสารไม่ประจำทางที่เดินทางเกิน 400 กิโลเมตร ต้องมีพนักงานขับรถ 2 คน หรือหยุดพักอย่างน้อย 30 นาทีทุก 4 ชั่วโมง
  • ห้ามรถบรรทุกขนส่งสินค้าเดินทางบนถนนบางสาย ระหว่างวันที่ 11 – 13 เมษายน และ 15 – 17 เมษายน
  • GPS ติดตามรถบรรทุก เพื่อลดความเร็วเกินกำหนดและป้องกันอุบัติเหตุ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • กระทรวงคมนาคม คาดการณ์ว่าช่วงสงกรานต์ มีประชาชนเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะมากกว่า 1.2 ล้านคนต่อวัน
  • สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (2567) รายงานว่า ช่วงสงกรานต์ปีที่แล้ว ราคาเฉลี่ยตั๋วเครื่องบินเพิ่มขึ้นกว่า 40% ส่งผลให้ประชาชนร้องเรียนเป็นจำนวนมาก
  • กรมทางหลวง คาดว่าปริมาณจราจรในช่วงสงกรานต์ปีนี้จะเพิ่มขึ้น 15% จากปีที่แล้ว โดยเฉพาะเส้นทางสายหลักกรุงเทพฯ – ภาคเหนือ และกรุงเทพฯ – ภาคอีสาน

สรุป

กระทรวงคมนาคมได้เร่งดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 ด้วยการเพิ่มเที่ยวบิน 124 เที่ยว พร้อมลดค่าตั๋วเครื่องบิน 30% รวมถึงเสริมระบบขนส่งสาธารณะด้านรถไฟและรถโดยสาร ทั้งนี้ การเปิดให้ทดลองใช้มอเตอร์เวย์ฟรีและมาตรการควบคุมความปลอดภัยในการเดินทางคาดว่าจะช่วยลดปัญหาจราจรติดขัด และอำนวยความสะดวกให้ประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวได้อย่างปลอดภัย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงคมนาคม / สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย / การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) / กรมทางหลวง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

24 วันสูญเสีย! ครอบครัวเหยื่อซิปไลน์ วอนเจ้าของกิจการ

ครอบครัวผู้เสียชีวิตเหตุเสาซิปไลน์ล้มที่ดอยช้าง วอนขอความรับผิดชอบจากเจ้าของกิจการ

ผ่านไป 24 วัน ครอบครัวยังเฝ้ารอความยุติธรรม

เชียงราย, 12 มีนาคม 2568 – นายวิเชียร พวกอินแสง ครอบครัวของนายวัชระ ผู้เสียชีวิตจากเหตุ เสาซิปไลน์ล้มที่ดอยช้าง ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ออกมาโพสต์เรียกร้องให้เจ้าของกิจการออกมารับผิดชอบต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต โดยระบุว่า “ผ่านมา 24 วันแล้วที่ลูกชายผมจากไป… ผมยังคงเฝ้ารอความยุติธรรม (คนตายพูดไม่ได้)

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นขณะทีมช่างกำลังทำการทดสอบระบบสลิงของซิปไลน์ ก่อนที่เสาจะล้มลง เป็นเหตุให้ นายวัชระ อายุ 34 ปี เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ และยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 3 ราย ซึ่งต่อมา ทางครอบครัวได้จัดพิธีฌาปณกิจศพ ณ สุสานบ้านปางไฮ หมู่ที่ 7 ตำบลเทพเสด็จ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ท่ามกลางญาติพี่น้องและเพื่อนร่วมกลุ่มเอ็นดูโร่ที่เดินทางมาร่วมไว้อาลัย

ครอบครัวของผู้เสียชีวิตเปิดใจ – ยังคงรอความช่วยเหลือ

นางสาวอรทัย อายุ 36 ปี ภรรยาของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า สามีของเธอเป็นเสาหลักของครอบครัว ทำงานรับจ้างเพื่อหาเลี้ยงพ่อแม่ ลูกสาววัย 11 ปี และลูกชายวัย 7 ปี ก่อนเกิดเหตุ นายวัชระได้รับว่าจ้างให้ไปแก้ไขระบบสลิงของซิปไลน์ที่ดอยช้าง เนื่องจากพบปัญหาว่า นักท่องเที่ยวที่ใช้บริการโหนสลิงไปไม่ถึงปลายทาง จึงต้องเข้าปรับปรุงและทดสอบระบบใหม่ แต่กลับเกิดอุบัติเหตุจนทำให้เขาต้องเสียชีวิต

“ทุกวันนี้ ลูกๆ ยังคงร้องไห้ถามหาพ่อ โดยเฉพาะคนเล็ก เวลาคิดถึงพ่อก็มักจะมาถามว่า พ่อไปไหน ลูกสาวคนโตก็พยายามทำใจและพูดกับแม่ว่า เราทำพิธีเผาศพพ่อไปแล้ว พ่อไม่ได้อยู่กับเราแล้ว แต่ฉันก็บอกกับลูกว่า พ่อยังอยู่กับเราเสมอ เพียงแค่เรามองไม่เห็นเท่านั้น” ภรรยาของผู้เสียชีวิตกล่าวด้วยความเศร้า

เจ้าของกิจการยังไม่แสดงความรับผิดชอบ ครอบครัวหวั่นถูกลืม

ภรรยาของผู้เสียชีวิตเปิดเผยว่า ตั้งแต่เกิดเหตุยังไม่มีเจ้าของกิจการออกมาแสดงความรับผิดชอบ หรือให้ความช่วยเหลือในด้านค่าใช้จ่ายต่างๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นค่าจัดงานศพหรือเงินช่วยเหลือเลี้ยงดูครอบครัว โดยระบุว่า “เราไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย แค่ขอให้ช่วยดูแลค่าใช้จ่ายในงานศพและเงินเลี้ยงดูลูกๆ เพียงเล็กน้อย แต่จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีใครเข้ามาพูดคุยเรื่องนี้เลย

ล่าสุด พบว่า กิจการซิปไลน์ดังกล่าวถูกสั่งปิดชั่วคราว และไม่มีผู้ดูแลออกมาแสดงตัวเป็นเจ้าของ อย่างไรก็ตาม มีการรื้อถอนเสาซิปไลน์ต้นที่ล้มออกไปหลังเกิดเหตุไม่นาน โดยจากการตรวจสอบพบว่า โครงสร้างของฐานเสา รวมถึงน็อตและท่อปูนที่ใช้ยึดสลิง มีขนาดเล็กและดูไม่มั่นคงพอที่จะรองรับน้ำหนัก หากมีนักท่องเที่ยวใช้บริการจำนวนมาก ซึ่งสร้างข้อกังวลว่า ระบบซิปไลน์ของที่นี่อาจไม่ได้มาตรฐานเพียงพอ

ข้อเรียกร้องของครอบครัวและแนวทางการดำเนินคดี

ขณะนี้ ครอบครัวของผู้เสียชีวิตได้แจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าของกิจการซิปไลน์ดังกล่าว เพื่อให้มีการสอบสวนหาสาเหตุของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น และเรียกร้องให้มีการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยของกิจการประเภทนี้ โดย สำนักงานอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและกรมโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย ได้เข้ามาตรวจสอบพื้นที่ และอยู่ระหว่างพิจารณาว่า โครงสร้างของซิปไลน์ดังกล่าวมีการก่อสร้างตามหลักวิศวกรรมหรือไม่

ด้านภาคประชาสังคมและนักสิทธิมนุษยชนบางส่วนมองว่า กรณีนี้สะท้อนถึงปัญหาความปลอดภัยในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงผจญภัยของไทย และเสนอให้ภาครัฐกำหนดมาตรฐานด้านความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความสูงและอุปกรณ์สลิง

สถิติที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุซิปไลน์

  • ศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุแห่งชาติ (2567) รายงานว่า อุบัติเหตุจากกิจกรรมซิปไลน์ในประเทศไทย มีจำนวน 15 กรณีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่ง 80% ของอุบัติเหตุเกิดจากปัญหาด้านโครงสร้างและความปลอดภัยของอุปกรณ์
  • กรมการท่องเที่ยว (2567) เปิดเผยว่า มีซิปไลน์ในประเทศไทยที่เปิดให้บริการกว่า 60 แห่ง แต่พบว่าประมาณ 30% ยังไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการอย่างถูกต้อง
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย รายงานว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จังหวัดเชียงรายมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากกิจกรรมการท่องเที่ยวแนวผจญภัย เฉลี่ยปีละ 5-7 ราย โดยสาเหตุหลักเกิดจาก ระบบอุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐานและการขาดการบำรุงรักษา

สรุป

เหตุการณ์ เสาซิปไลน์ล้มที่ดอยช้าง จังหวัดเชียงราย จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย กลายเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจเกี่ยวกับความปลอดภัยของกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงผจญภัยในประเทศไทย แม้ว่ากิจการจะถูกสั่งปิดชั่วคราว แต่ยังไม่มีเจ้าของกิจการออกมาแสดงความรับผิดชอบหรือช่วยเหลือครอบครัวของผู้เสียชีวิต

ครอบครัวของนายวัชระยังคงรอคอยความยุติธรรมและการชดเชยที่เหมาะสมจากเจ้าของกิจการ ขณะที่ภาครัฐอยู่ระหว่างการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยของสถานที่เกิดเหตุ หากพบว่ามีการละเลยมาตรการด้านวิศวกรรม อาจมีการดำเนินคดีตามกฎหมายเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นอีกในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุแห่งชาติ (2567) / กรมการท่องเที่ยว (2567) / สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผู้ว่าฯ ยันค่าล้างโคลนเอกสารครบ รอเงินเยียวยาจากส่วนกลาง

เชียงรายจัดสัมมนาสื่อมวลชน เสริมเครือข่ายประชาสัมพันธ์ พร้อมติดตามความคืบหน้างบเยียวยาน้ำท่วม

ผู้ว่าฯ เชียงรายชี้แจงสถานการณ์งบประมาณช่วยเหลือผู้ประสบภัยยังล่าช้า

เชียงราย, 12 มีนาคม 2568 – ที่บริเวณ บ่อน้ำพุร้อนป่าตึง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในกิจกรรม สัมมนาสื่อมวลชนและเครือข่ายการประชาสัมพันธ์ ภายใต้โครงการประชาสัมพันธ์ขับเคลื่อนแผนปฏิบัติราชการจังหวัดเชียงราย ครั้งที่ 2 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้าง รักษา และพัฒนาเครือข่ายด้านการประชาสัมพันธ์ พร้อมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางในการสื่อสารข้อมูลของจังหวัดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ในงานนี้ นอกจากการหารือเกี่ยวกับแนวทางการประชาสัมพันธ์แล้ว ยังมีการกล่าวถึง สถานการณ์น้ำท่วมและปัญหางบประมาณเยียวยาผู้ประสบภัยที่ยังไม่ได้รับการจัดสรรจากส่วนกลาง โดยมีการตั้งคำถามจากประชาชนว่า “งบประมาณไม่มีแล้วจริงหรือ?” เนื่องจากผ่านมาครึ่งปีแล้ว แต่เงินค่าล้างโคลนยังไม่ถูกโอนมายังพื้นที่

สถานการณ์งบประมาณช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า จังหวัดเชียงรายได้ส่งเอกสารหลักฐานความเสียหายของผู้ประสบภัยให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องครบถ้วนแล้ว แต่ยังไม่ได้รับงบประมาณสำหรับการช่วยเหลือค่าล้างโคลนจากส่วนกลาง

รายงานข่าวระบุว่า จ.เชียงรายได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมหนักในช่วง เดือนกันยายน 2567 โดยพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด ได้แก่ อำเภอแม่สาย เขตเทศบาลนครเชียงราย และอำเภอเทิง หน่วยงานต่างๆ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นแล้ว แต่ปัจจุบันยังคงมีปัญหาเรื่องเงินค่าล้างโคลนที่ผู้ประสบภัยจำนวนมากยังไม่ได้รับ

ย้อนไปเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2567 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและโฆษกศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปช.) เปิดเผยว่า รัฐบาลมีแผนเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาปรับเพิ่มเงินเยียวยาสำหรับค่าล้างโคลนครัวเรือนละ 10,000 บาท เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วมในเชียงรายครั้งนี้ทำให้เกิดปัญหาดินโคลนสะสมจำนวนมาก และต้องใช้กำลังคนและทรัพยากรจำนวนมากในการฟื้นฟู

เหตุใดงบประมาณยังไม่ถูกจัดสรร?

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2567 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยได้เสนอค่าล้างโคลนและดินสำหรับผู้ประสบอุทกภัยหลังคาเรือนละ 10,000 บาท ให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ และไม่จำเป็นต้องผ่านการอนุมัติใหม่ เนื่องจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้รับความเห็นชอบจากกรมบัญชีกลางแล้ว อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบันงบประมาณดังกล่าวยังไม่ได้ถูกโอนมายังพื้นที่ ทำให้ประชาชนยังคงต้องรอความช่วยเหลือ

นายอนุทินยืนยันว่า กระบวนการจ่ายเงินเยียวยาจะดำเนินการให้เร็วที่สุด โดยหากมีผู้ตกหล่น สามารถมาทวงสิทธิ์ได้ อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่าเหตุใดงบประมาณจึงยังไม่ถูกจัดสรรสู่พื้นที่

เชียงรายยังมีงบเหลือหรือไม่

เชียงรายได้จัดตั้ง กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ปี 2567 เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคเอกชน องค์กรเอกชน และประชาชนทั่วไปสามารถร่วมบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ โดยคณะทำงานได้กำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางการใช้จ่ายเงินกองทุนภายใต้ความเห็นชอบของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนว่ากองทุนดังกล่าวมีงบเพียงพอที่จะช่วยเหลือในกรณีค่าล้างโคลนหรือไม่

ความคิดเห็นจากประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

มุมมองของประชาชน

  1. หลายครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบยังต้องใช้เงินส่วนตัวในการล้างคราบโคลน ซึ่งเป็นภาระทางการเงินเพิ่มเติม
  2. ประชาชนบางส่วนกังวลว่า หากไม่มีงบประมาณช่วยเหลือทันก่อนฤดูฝนปี 2568 ปัญหาดินโคลนที่ยังคงตกค้างอาจทำให้เกิดน้ำท่วมซ้ำซาก
  3. มีข้อสงสัยว่าขั้นตอนการเบิกจ่ายงบประมาณจากภาครัฐล่าช้าเพราะเหตุใด และจะสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณนี้หรือไม่

มุมมองของภาครัฐ

  1. ผู้ว่าฯ เชียงรายยืนยันว่าทางจังหวัดได้ส่งเอกสารและหลักฐานทั้งหมดไปยังส่วนกลางเรียบร้อยแล้ว และกำลังรอการโอนงบประมาณจากรัฐบาล
  2. กระทรวงมหาดไทยยืนยันว่าเงินเยียวยาค่าล้างโคลนได้รับการเห็นชอบแล้ว และอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ
  3. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งตรวจสอบว่าเหตุใดการโอนงบประมาณยังไม่เกิดขึ้น และจะมีแนวทางเร่งรัดการเบิกจ่ายอย่างไร

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานว่าในปี 2567 จังหวัดเชียงรายมีผู้ประสบภัยน้ำท่วมกว่า 15,000 ครัวเรือน
  • ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ คาดการณ์ว่า ฤดูฝนปี 2568 จะมีปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้น 5-10% จากปกติ ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมซ้ำในพื้นที่เสี่ยง
  • ข้อมูลจากเทศบาลนครเชียงราย ระบุว่าความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วมในเขตเมืองเชียงรายและอำเภอแม่สาย คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 500 ล้านบาท

สรุป

ปัญหาความล่าช้าในการจ่ายเงินเยียวยาค่าล้างโคลนให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมในจังหวัดเชียงราย ยังคงเป็นที่กังวลของประชาชน แม้รัฐบาลจะยืนยันว่าเงินดังกล่าวได้รับการเห็นชอบแล้ว แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการโอนงบประมาณมายังพื้นที่

หากงบประมาณไม่ได้รับการจัดสรรทันก่อนฤดูฝนปี 2568 อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย และอาจทำให้เกิดน้ำท่วมซ้ำได้

การเร่งรัดกระบวนการเบิกจ่ายงบประมาณจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ประชาชนสามารถฟื้นฟูบ้านเรือน และลดความเสี่ยงในการเกิดน้ำท่วมซ้ำซาก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) / ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ / เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ครม.ทุ่ม 22.2 ล้าน ให้ผู้ว่าฯ เชียงราย ขุดลอก “แม่น้ำกก” แก้ปัญหาน้ำท่วม

ครม. เห็นชอบแผนแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน แม่น้ำปิง-แม่น้ำกก วงเงิน 213 ล้านบาท

เตรียมรับมือฤดูฝน ขุดลอกแม่น้ำ ปรับปรุงร่องน้ำ รื้อถอนสิ่งกีดขวางการไหลของน้ำ

กรุงเทพฯ, 11 มีนาคม 2568 – คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 เห็นชอบแผนการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างพื้นฐานของแม่น้ำปิงและแม่น้ำกก ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ภายใต้วงเงินงบประมาณรวม 213 ล้านบาท (ค่างานโยธา 193.6 ล้านบาท และค่าเผื่อเหลือเผื่อขาด 19.4 ล้านบาท) ตามข้อเสนอของกระทรวงคมนาคม (คค.) เพื่อเตรียมพร้อมรับมือฤดูฝนและป้องกันปัญหาน้ำท่วมในอนาคต

ที่มาของโครงการ

โครงการนี้เป็นผลมาจากการประชุมศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานที่ประชุม ที่ประชุมได้เห็นชอบแผนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและดินโคลนถล่มในภาคเหนือ โดยเน้นการขุดลอกลำน้ำและการรื้อถอนสิ่งก่อสร้างที่ขวางการไหลของน้ำในลำน้ำปิงและแม่น้ำกก

รายละเอียดโครงการแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน

  1. แผนแก้ไขปัญหาแม่น้ำปิง
  • โครงการขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำแม่น้ำปิง ปริมาณดินขุดลอก 752 ล้านลูกบาศก์เมตร วงเงิน 157.6 ล้านบาท
  • โครงการรื้อถอนฝายเก่า 3 แห่ง ได้แก่ ฝายพญาคำ ฝายหนองผึ้ง และฝายท่าวังตาล วงเงิน 8 ล้านบาท
  1. แผนแก้ไขปัญหาแม่น้ำกก
  • โครงการขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำแม่น้ำกก ปริมาณดินขุดลอก 337,812.5 ลูกบาศก์เมตร วงเงิน 22.2 ล้านบาท
  • กรมเจ้าท่า สำรวจออกแบบ ประเมินปริมาณงาน
  • หน่วยบัญชาการทหารพัฒนาดำเนินงานขุดลอก กม.85+000 – 88+500 ปริมาณ 189,108 ลูกบาศก์เมตร วงเงิน 12.1 ล้านบาท
  • กรมชลประทาน กม.72+000 – 72+950 บริเวณสถานีสูบน้ำบ้านฟาร์ม  ปริมาณ 148,704.5 ลูกบาศก์เมตร วงเงิน 10.1 ล้านบาท
  • ค่าเผื่อเหลือเผื่อขาด วงเงิน 2.2 ล้านบาท

 

แนวทางการดำเนินงาน

เพื่อให้โครงการสำเร็จภายในกรอบเวลาที่กำหนด รัฐบาลได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้รับผิดชอบในแต่ละด้าน ดังนี้:

  1. กรมเจ้าท่า (คค.) – รับผิดชอบงานด้านวิศวกรรมและการตรวจสอบโครงการ
  2. หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย (กห.) – รับผิดชอบดำเนินงานขุดลอกแม่น้ำ เนื่องจากมีความพร้อมด้านกำลังพลและเครื่องจักร
  3. ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย รวมถึงกรมชลประทาน (กษ.) – ดูแลการจัดหาพื้นที่ทิ้งดินจากการขุดลอกและบริหารจัดการมวลชน

โครงการทั้งหมดต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน เดือนพฤษภาคม 2568 เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือฤดูฝนที่จะมาถึง

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

ด้านสิ่งแวดล้อมและป้องกันภัยพิบัติ

  • ลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมและการกัดเซาะตลิ่งในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำปิงและแม่น้ำกก
  • ปรับปรุงโครงสร้างลำน้ำให้สามารถรองรับปริมาณน้ำฝนในฤดูฝนได้ดีขึ้น
  • ลดปัญหาการตื้นเขินของแม่น้ำที่ส่งผลต่อการระบายน้ำ

ด้านเศรษฐกิจและชุมชน

  • กระตุ้นเศรษฐกิจจากการจ้างงานภายในโครงการ
  • เพิ่มศักยภาพด้านการขนส่งสินค้าทางน้ำให้สะดวกขึ้น
  • สนับสนุนการพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำ

ข้อกังวลจากภาคประชาชนและนักวิชาการ

แม้ว่าโครงการนี้จะเป็นแนวทางที่สำคัญในการแก้ปัญหาน้ำท่วมในภาคเหนือ แต่บางฝ่ายแสดงความกังวลในประเด็นต่างๆ ได้แก่:

  1. ผลกระทบต่อระบบนิเวศ – การขุดลอกแม่น้ำอาจส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำและพืชพรรณธรรมชาติในบริเวณดังกล่าว หากไม่มีมาตรการฟื้นฟูที่เพียงพอ
  2. งบประมาณที่ใช้ – มีคำถามเกี่ยวกับความคุ้มค่าของงบประมาณในการรื้อถอนฝายเก่า ซึ่งบางส่วนอาจยังสามารถใช้ประโยชน์ได้
  3. การมีส่วนร่วมของประชาชน – ภาคประชาชนบางส่วนต้องการให้มีการรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมก่อนดำเนินการรื้อถอนโครงสร้างในแม่น้ำ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • กรมอุตุนิยมวิทยา (2567) คาดการณ์ว่าปริมาณน้ำฝนในภาคเหนือปี 2568 จะเพิ่มขึ้น 8% จากค่าเฉลี่ยปกติ อาจส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในบางพื้นที่
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (2567) รายงานว่า แม่น้ำปิงและแม่น้ำกกมีปัญหาตื้นเขินสะสมมานานกว่า 10 ปี โดยอัตราการตะกอนสะสมเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 2-5%
  • ข้อมูลจากกรมเจ้าท่า (2567) ระบุว่าการขุดลอกแม่น้ำในภาคเหนือสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำได้ 30-50% และลดโอกาสเกิดน้ำท่วมซ้ำซากในเขตเมือง

สรุป

แผนการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างพื้นฐานของแม่น้ำปิงและแม่น้ำกก ถือเป็นโครงการที่มีความสำคัญในการลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมและพัฒนาโครงสร้างลำน้ำให้สามารถรองรับปริมาณน้ำได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องมีมาตรการเสริมเพื่อป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมากขึ้น เพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมอุตุนิยมวิทยา (2567) / สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (2567) / กรมเจ้าท่า (2567)/ รายงานการประชุมคณะรัฐมนตรี (11 มีนาคม 2568)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

คุมเข้มชายแดน อ.แม่สาย ไทย-เมียนมาประชุม กำแพง-ขุดลอก

ไทย-เมียนมา ประสานงานสร้างกำแพงป้องกันตลิ่งแม่น้ำสาย หวังลดผลกระทบฤดูน้ำหลาก

เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงไทย-เมียนมา ลงพื้นที่สำรวจพิกัดแนวกำแพงป้องกันตลิ่ง

เชียงราย, 11 มีนาคม 2568 – เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ร่วมกับโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย และหน่วยประสานงานชายแดนไทย-เมียนมา ประจำพื้นที่ 1 (TBC) กรมแผนที่ทหาร ลงพื้นที่ตรวจสอบตำแหน่งค่าพิกัดแนวกำแพงหินคอนกรีตป้องกันตลิ่งในพื้นที่ชุมชนปงถุน และชุมชนท่าล้อ จังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ซึ่งตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำสายและอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดยมีการกำหนดพื้นที่ดำเนินการก่อสร้าง 3 จุด ได้แก่:

  1. จุดก่อสร้างกำแพงหินคอนกรีตป้องกันตลิ่งตรงข้ามสะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1
  2. จุดก่อสร้างกำแพงหินคอนกรีตป้องกันตลิ่งใต้สะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1
  3. จุดก่อสร้างกำแพงหินคอนกรีตป้องกันตลิ่งบริเวณหลังโรงแรมอารัว

การดำเนินงานดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างไทยและเมียนมา เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการกำหนดพิกัดแนวเขตแดน หลังจากฝ่ายเมียนมาได้ดำเนินการปรับพื้นที่ริมฝั่งเพื่อเตรียมสร้างกำแพงป้องกันน้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง ก่อนฤดูฝนปีนี้

การประชุมความร่วมมือ ไทย-เมียนมา เพื่อพัฒนาแนวป้องกันแม่น้ำสาย

นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย และคณะ ได้เดินทางไปร่วมประชุมกับฝ่ายจังหวัดท่าขี้เหล็ก ณ โรงแรมวันจีวัน โดยมีนายประสงค์เป็นประธานฝ่ายไทย และนายซอ วิน ผู้อำนวยการทรัพยากรน้ำและการพัฒนาระบบแม่น้ำ เป็นประธานฝ่ายเมียนมา

การประชุมดังกล่าวเป็นเวทีหารือเกี่ยวกับผลการสำรวจแนวเขตลำน้ำสาย-แม่น้ำรวก ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการป้องกันน้ำท่วมของทั้งสองประเทศ โดยมีการหารือเกี่ยวกับแนวทางการขุดลอกแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก เพื่อป้องกันการตื้นเขินและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในช่วงฤดูฝน

ที่ประชุมมีมติให้รายงานผลการประชุมไปยัง คณะกรรมการร่วมไทย-เมียนมา (JCR) เกี่ยวกับเส้นเขตแดนคงที่ช่วงแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก เพื่อขอความเห็นชอบในการดำเนินการขุดลอกแม่น้ำอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบันยังไม่มีการขุดลอกแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีความคาดหวังให้ดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2568 ก่อนเข้าสู่ฤดูฝน

แนวโน้มและผลกระทบจากการก่อสร้างกำแพงป้องกันตลิ่ง

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

  • ลดความเสียหายจากน้ำท่วม – กำแพงป้องกันตลิ่งสามารถช่วยลดผลกระทบจากการกัดเซาะของน้ำในช่วงฤดูฝน ทำให้ชุมชนริมแม่น้ำมีความปลอดภัยมากขึ้น
  • เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ – โครงการนี้เป็นการทำงานร่วมกันของไทยและเมียนมา ซึ่งช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสองประเทศ
  • พัฒนาแนวเขตแดนที่ชัดเจนขึ้น – การกำหนดพิกัดแนวกำแพงป้องกันตลิ่งจะช่วยให้มีการจัดการเขตแดนระหว่างสองประเทศที่เป็นระบบมากขึ้น

ข้อกังวลจากบางฝ่าย

  • ผลกระทบต่อระบบนิเวศ – นักอนุรักษ์บางกลุ่มกังวลว่าการก่อสร้างแนวกำแพงอาจส่งผลต่อกระแสน้ำและระบบนิเวศของแม่น้ำสาย รวมถึงสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าว
  • ความล่าช้าของโครงการขุดลอกแม่น้ำ – แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะเห็นพ้องต้องกันว่าควรขุดลอกแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินงานจริง ซึ่งอาจส่งผลให้การระบายน้ำในฤดูฝนไม่ได้ผลตามที่คาดการณ์ไว้

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา (2567) ระบุว่า เชียงรายมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1,800 มิลลิเมตรต่อปี และคาดการณ์ว่าปี 2568 ปริมาณฝนอาจเพิ่มขึ้น 10% ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดน้ำหลากในพื้นที่เสี่ยง
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย รายงานว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์น้ำท่วมในอำเภอแม่สายถึง 8 ครั้ง โดย 3 ครั้งเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความเสียหายรุนแรง
  • ข้อมูลจากหน่วยประสานงานชายแดนไทย-เมียนมา (TBC) ระบุว่า โครงการก่อสร้างกำแพงป้องกันตลิ่งในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา มีอัตราความสำเร็จเฉลี่ย 75% และคาดว่าโครงการปัจจุบันจะแล้วเสร็จภายใน 2 ปี

ข้อสรุป

โครงการสร้างกำแพงป้องกันตลิ่งบริเวณแม่น้ำสายเป็นความร่วมมือระหว่างไทยและเมียนมา ที่มีเป้าหมายเพื่อป้องกันปัญหาน้ำหลากและการกัดเซาะริมฝั่ง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลด้านผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและความล่าช้าของโครงการขุดลอกแม่น้ำ ซึ่งต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานนี้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทั้งสองประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมอุตุนิยมวิทยา (2567) / สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย / หน่วยประสานงานชายแดนไทย-เมียนมา (TBC)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เที่ยวเชียงรายสัมผัสธรรมชาติ 6 เส้นทางวิถีชุมชน คนกับป่า

พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ สร้างรายได้สู่ชุมชน

เชียงราย, 10 มีนาคม 2568 – นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดโครงการ 6 เส้นทางหมู่บ้านท่องเที่ยว “วิถีชุมชนคนกับป่า” ณ โรงเรียนปางมะกาดวิทยาคม ตำบลแม่เจดีย์ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย โดยมีนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย, นายพงศ์ศักดิ์ เพชรคงแก้ว นายอำเภอเวียงป่าเป้า, นางสาวทัศนาภรณ์ จันทร์ดง พัฒนาการอำเภอเวียงป่าเป้า พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกิจกรรม

พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เชื่อมโยงคนกับธรรมชาติ

อำเภอเวียงป่าเป้าถือเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติและวัฒนธรรม โดยมีหลายหมู่บ้านที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ บ้านขุนลาว บ้านห้วยคุณพระ บ้านปางมะกาด บ้านห้วยน้ำกืน บ้านห้วยมะเกลี้ยง และบ้านแม่หาง เส้นทางเหล่านี้มีจุดเด่นด้านการ ท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวิถีชุมชน ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสธรรมชาติ เที่ยวป่าต้นน้ำ ชมน้ำตก ชิมชา กาแฟอินทรีย์ และเรียนรู้วิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น

การเปิดเส้นทาง “วิถีชุมชนคนกับป่า” เป็นการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน และสร้างรายได้ให้แก่คนในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังเป็นการกระจายรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ และส่งเสริมให้การท่องเที่ยวเติบโตอย่างยั่งยืน

6 เส้นทางหมู่บ้านท่องเที่ยว เชื่อมโยงธรรมชาติและวัฒนธรรม

1. หมู่บ้านปางมะกาด (หมู่ 8 ต.แม่เจดีย์)

  • สักการะพระธาตุปางมะกาด

  • เยี่ยมชมสวนชาและกาแฟ

  • เที่ยวน้ำตกเลาลี

  • ชมสวนดอกซิมมีเดียมและดอกนางลาว

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

2. บ้านห้วยน้ำกืน (หมู่ 13 ต.แม่เจดีย์)

  • ไหว้พระเจ้าพ่อคูณสาม

  • ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ดอยป่า ดอยมด

  • ชมดอกซากุระและดอกกุหลาบพันปี

  • เยี่ยมชมสวนชาและกาแฟ

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

3. บ้านขุนลาว (หมู่ 7 ต.แม่เจดีย์ใหม่)

  • ศึกษาเส้นทางธรรมชาติ

  • เที่ยวน้ำตกขุนลาว

  • ชมสวนชาและกาแฟพันธุ์พิเศษ

  • เดินชมวิถีชีวิตชุมชน

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ สบู่กาแฟ น้ำพริกตาแดง

4. บ้านห้วยคุณพระ (หมู่ 12 ต.แม่เจดีย์ใหม่)

  • นมัสการพระที่อาราม

  • เดินชมวิถีชีวิตชุมชน

  • เยี่ยมชมสวนชาและกาแฟ

  • เช็คอินที่ “แผ่นดินหวิด”

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

5. บ้านแม่หาง (หมู่ 7 ต.ป่างิ้ว)

  • เยี่ยมชมไร่ชาในชุมชน

  • เที่ยวน้ำตกห้วยต้นซ้อ

  • ไหว้พระขอพรที่วัดแม่หาง

  • ท่องเที่ยวดอยแปคมดาบ

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

6. บ้านห้วยมะเกลี้ยง (หมู่ 8 ต.ป่างิ้ว)

  • ชมวิถีชีวิตชุมชนปกาเกอะญอ

  • นมัสการพระธาตุดุสิตาผาโง้ม

  • ไหว้พระเจ้าทันใจ

  • ศึกษาเส้นทางธรรมชาติ

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม

โครงการนี้คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในเชียงราย เพิ่มรายได้ให้ชุมชนกว่า 30% ภายในปีแรก และดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น โดยข้อมูลจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567) ระบุว่า เชียงรายมีนักท่องเที่ยวเฉลี่ยปีละกว่า 2 ล้านคน และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม บางฝ่ายแสดงความกังวลว่าการพัฒนาการท่องเที่ยวอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาขยะและการใช้ทรัพยากรที่เพิ่มขึ้น นักอนุรักษ์เสนอให้มีมาตรการควบคุมและบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการอนุรักษ์ธรรมชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567) / รายงานการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ปี 2567 / ข้อมูลจากสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (TAT)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

กฎหมายป้องกันฟ้องปิดปากสำเร็จ ไทยชาติแรกเอเชีย ACT หนุนต่อยอด

ACT สนับสนุนกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก ปลดล็อก 10 ปีแห่งการรอคอย

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันชื่นชม “รัฐสภา-ป.ป.ช.” พร้อมเสนอแนวทางเพิ่มเติม

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ออกแถลงการณ์ต้อนรับการบังคับใช้ มาตรการป้องกันการฟ้องปิดปาก (Anti-SLAPP Law) ซึ่งช่วยปกป้องผู้แจ้งเบาะแส คุ้มครองสิทธิในการแสดงออก และเสริมสร้างความมั่นใจในการต่อต้านคอร์รัปชัน ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียที่มีกฎหมายนี้

มาตรการป้องกันการฟ้องปิดปาก” สร้างความมั่นใจให้ประชาชน

นายมานะ นิมิตรมงคล ประธาน ACT ระบุว่า กฎหมายดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้แจ้งเบาะแส นักกิจกรรม และสื่อมวลชนถูกฟ้องร้องหรือคุกคามโดยไม่เป็นธรรม ซึ่งกฎหมายนี้เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้ประชาชนกล้าตรวจสอบและเปิดเผยพฤติกรรมทุจริตมากขึ้น

3 ประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งศึกษาเพิ่มเติม

  1. สิทธิผู้บริโภค – ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบและการปกปิดข้อมูลสำคัญของสินค้าและบริการ
  2. สิ่งแวดล้อม – การทำลายทรัพยากรธรรมชาติและการบุกรุกพื้นที่ป่า
  3. สิทธิมนุษยชน – การละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนโดยภาครัฐและเอกชน

ที่มาของกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก

กฎหมายนี้มีต้นกำเนิดจากข้อเรียกร้องของภาคประชาสังคมที่เห็นถึงปัญหาการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือข่มขู่และปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก โดยเริ่มต้นจากข้อเสนอของ สภาปฏิรูปแห่งชาติในปี 2558 และได้รับการผลักดันจนผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาในปี 2568

หลักการสำคัญของกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก

  1. การปกป้องสิทธิในการแสดงออก – ประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์และร้องเรียนเกี่ยวกับประเด็นสาธารณะได้โดยไม่ถูกฟ้องร้องโดยไม่มีเหตุผล
  2. การคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส – ให้การป้องกันบุคคลที่เปิดเผยข้อมูลการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ
  3. การเร่งพิจารณาคดี – ศาลสามารถพิจารณายุติคดีที่เข้าข่ายการฟ้องปิดปากได้อย่างรวดเร็ว เพื่อลดภาระของผู้ถูกฟ้อง

บทบาทของ “ป.ป.ช.” ในการบังคับใช้กฎหมาย

คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนและกำกับดูแลการบังคับใช้กฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก โดยมีหน้าที่ดังนี้:

  • ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ผู้ถูกฟ้องร้อง
  • สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี
  • ประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเพื่อป้องกันการใช้กฎหมายโดยมิชอบ

ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

  1. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน – ผู้คนจะกล้าออกมาร้องเรียนและตรวจสอบการทุจริตมากขึ้น
  2. ลดการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือข่มขู่ – นักธุรกิจและเจ้าหน้าที่รัฐที่ทุจริตจะไม่สามารถใช้กฎหมายเพื่อปิดปากผู้เห็นต่างได้
  3. เพิ่มความเชื่อมั่นของนานาชาติ – การมีกฎหมายนี้ช่วยให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นด้านสิทธิมนุษยชนและธรรมาภิบาล

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากรายงานของ Transparency International ปี 2567 พบว่า 85% ของประชาชน เห็นว่าคอร์รัปชันเป็นปัญหาหลักของประเทศ
  • สถาบันเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย ระบุว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีกรณีฟ้องปิดปากเพิ่มขึ้น กว่า 150% ในภูมิภาคเอเชีย
  • สำนักข่าว Reuters รายงานว่า กว่า 60 ประเทศทั่วโลก ได้ออกกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปากเพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน

สรุป

กฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปากถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องสิทธิของประชาชนและส่งเสริมธรรมาภิบาลในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังต้องเร่งศึกษาแนวทางเพิ่มเติมเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพสูงสุด และครอบคลุมประเด็นสิทธิผู้บริโภค สิ่งแวดล้อม และสิทธิมนุษยชนอย่างทั่วถึง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) / องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

กาแฟช็อกโลก ราคาพุ่ง 70% ผู้ค้าทั่วโลกชะลอซื้อ รอราคาลง

ราคากาแฟพุ่ง 70% โรงคั่วทั่วโลกปรับกลยุทธ์ ฝ่าวิกฤตต้นทุนพุ่ง

ภาวะตลาดกาแฟโลกเผชิญแรงกดดันจากราคาที่สูงขึ้น

เมืองฮิวสตัน รัฐเท็กซัส, 10 มีนาคม 2568 – รายงานจาก Reuters และกรุงเทพธุรกิจระบุว่า อุตสาหกรรมกาแฟทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหาราคาพุ่งสูงขึ้นถึง 70% ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 จนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้ผู้ค้าและโรงคั่วกาแฟต้องลดปริมาณการซื้อเมล็ดกาแฟลงเหลือระดับต่ำสุด เนื่องจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ซัพพลายเออร์ยังไม่สามารถโน้มน้าวให้ร้านค้าปลีกยอมรับการปรับขึ้นราคาได้

ภาคอุตสาหกรรมตกตะลึงกับราคากาแฟที่พุ่งสูงขึ้น

ภายในงานประชุมประจำปีของสมาคมกาแฟแห่งชาติสหรัฐ (NCA) ที่จัดขึ้นในเมืองฮูสตัน รัฐเท็กซัส เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่างแสดงความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มราคากาแฟอาราบิก้าในตลาดซื้อขายล่วงหน้า ICE ซึ่งเป็นตลาดอ้างอิงสำหรับการซื้อขายกาแฟทั่วโลก

เรแนน ชูเอรี ผู้อำนวยการทั่วไปของ ELCAFE C.A. ในเอกวาดอร์ เปิดเผยว่า ปีนี้เป็นครั้งแรกที่บริษัทไม่สามารถขายสินค้าล็อตการผลิตประจำปีได้หมดภายในเดือนมีนาคม โดยปัจจุบันขายได้ไม่ถึง 30% ของกำลังการผลิตปกติ

“ปกติแล้วตอนนี้เราน่าจะขายได้หมดแล้ว แต่จนถึงตอนนี้เราขายสินค้าได้ไม่ถึง 30%” ชูเอรีกล่าว

ราคากาแฟที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ลูกค้าหลายรายประสบปัญหาสภาพคล่อง ไม่สามารถซื้อเมล็ดกาแฟในปริมาณที่ต้องการได้ ขณะที่ผู้ค้าปลีกยังคงชะลอการเจรจา ทำให้สินค้าเริ่มขาดตลาดในบางพื้นที่

ปัจจัยที่ทำให้ราคากาแฟปรับตัวสูงขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าการปรับขึ้นของราคากาแฟในปีนี้มีสาเหตุมาจากปัจจัยสำคัญดังต่อไปนี้:

  • ผลผลิตลดลงในประเทศผู้ผลิตหลัก โดยเฉพาะบราซิล ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่ที่สุดของโลก
  • สภาพอากาศแปรปรวน ส่งผลต่อคุณภาพและปริมาณผลผลิตกาแฟ
  • ความต้องการที่สูงขึ้น โดยเฉพาะจากตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกา และยุโรป

ผู้ค้าและโรงคั่วกาแฟหลายรายจึงหันมาใช้กลยุทธ์การซื้อแบบ “hand to mouth” หรือการซื้อเฉพาะปริมาณที่จำเป็นในขณะนั้น เพื่อลดความเสี่ยงจากต้นทุนที่สูงขึ้น

ผู้ค้าปลีกและซูเปอร์มาร์เก็ตปฏิเสธการขึ้นราคา

สถานการณ์ราคากาแฟที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อผู้ค้าปลีกและซูเปอร์มาร์เก็ต โดยซัพพลายเออร์ไม่สามารถปรับขึ้นราคาได้ตามต้นทุนที่แท้จริง เนื่องจากผู้ค้าปลีกยังคงกดดันไม่ให้มีการปรับขึ้นราคาสินค้า ทำให้บางร้านค้าเริ่มขาดสินค้ากาแฟบนชั้นวาง

ผู้บริหารโรงคั่วกาแฟรายหนึ่งในสหรัฐเผยว่า ลูกค้าบางรายกำลังประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจ เพราะไม่สามารถขายกาแฟในราคาใหม่ได้ โดยระบุว่า:

“พวกเขาไม่รู้ว่าธุรกิจจะสามารถอยู่รอดได้หรือไม่ บางคนอาจต้องปิดกิจการ”

แนวโน้มราคาและผลกระทบต่ออุตสาหกรรม

ผลสำรวจล่าสุดของ Reuters คาดการณ์ว่า ราคากาแฟอาราบิก้าอาจลดลงถึง 30% ภายในสิ้นปี 2568 เนื่องจากราคาสูงทำให้ความต้องการลดลง นอกจากนี้ยังมีสัญญาณบ่งชี้ว่าผลผลิตกาแฟในบราซิลจะเพิ่มขึ้นในปีหน้า ซึ่งอาจช่วยให้ตลาดกลับเข้าสู่ภาวะสมดุลได้

บริษัทผู้ค้าสินค้าโภคภัณฑ์ Louis Dreyfus ระบุว่า พื้นที่เพาะปลูกกาแฟทั่วโลกกำลังขยายตัว โดยเฉพาะในประเทศอินเดีย ยูกันดา เอธิโอเปีย และบราซิล ซึ่งอาจนำไปสู่การลดลงของราคากาแฟในอนาคตหากผลผลิตมีปริมาณมากพอ

“หากบราซิลสามารถผลิตกาแฟได้ในปริมาณที่มากพอ บวกกับพื้นที่เพาะปลูกใหม่ในหลายประเทศ ราคากาแฟอาจร่วงลงอย่างรวดเร็ว” Louis Dreyfus กล่าวในงานประชุม

สถิติที่เกี่ยวข้องกับตลาดกาแฟ

  • ราคากาแฟอาราบิก้าปรับตัวสูงขึ้น 70% ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 จนถึงมีนาคม 2568 (ที่มา: Reuters)
  • โพลล์ของ Reuters คาดการณ์ว่าราคากาแฟอาจลดลง 30% ภายในสิ้นปี 2568
  • สต็อกกาแฟในโกดังสินค้าของสหรัฐฯ ลดลงเหลือเพียง 50% ของปริมาณปกติ (ที่มา: สมาคมกาแฟแห่งชาติสหรัฐ)
  • พื้นที่เพาะปลูกกาแฟขยายตัวในประเทศอินเดีย ยูกันดา เอธิโอเปีย และบราซิล เนื่องจากราคาสูงทำให้เกษตรกรเพิ่มการผลิต (ที่มา: Louis Dreyfus)

ข้อคิดเห็นจากสองมุมมอง

ฝ่ายสนับสนุนการขึ้นราคากาแฟ

ฝ่ายที่สนับสนุนให้ปรับขึ้นราคากาแฟให้สอดคล้องกับต้นทุน มองว่าเป็นแนวทางที่ช่วยให้เกษตรกรและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสามารถอยู่รอดได้ รวมถึงเป็นแรงจูงใจให้ผู้ผลิตกาแฟขยายพื้นที่เพาะปลูก เพื่อรองรับความต้องการในอนาคต

ฝ่ายที่กังวลต่อราคาที่สูงขึ้น

ในขณะที่ฝ่ายที่กังวลระบุว่าการขึ้นราคากาแฟอาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและธุรกิจร้านกาแฟ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่อาจไม่สามารถรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นได้ นอกจากนี้ ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าปลีกยังคงกดดันไม่ให้ปรับราคาขาย ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนสินค้า

สรุปภาพรวมตลาดกาแฟ

อุตสาหกรรมกาแฟทั่วโลกกำลังเผชิญแรงกดดันจากราคาที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผู้ค้าและโรงคั่วกาแฟต้องปรับกลยุทธ์เพื่อลดผลกระทบ ขณะที่ตลาดกำลังจับตาดูแนวโน้มผลผลิตในบราซิลและประเทศผู้ผลิตอื่น ๆ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคากาแฟในปีต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : reuters / กรุงเทพธุรกิจ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ตรวจเข้มกำแพง “เมียนมา” ‘อ.แม่สาย’ ป้องกันล้ำเขตแดน

ตรวจสอบการก่อสร้างกำแพงกันตลิ่งแม่น้ำสาย ป้องกันปัญหาการกัดเซาะและแนวเขตแดน

การลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการก่อสร้างกำแพงกันตลิ่ง

เชียงราย, 10 มีนาคม 2568 – เมื่อวันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2568 เวลา 13.30 น. นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย มอบหมายให้นายธีรศักดิ์ พุทธรักษา ปลัดอำเภอกลุ่มงานความมั่นคง พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการก่อสร้างกำแพงหินคอนกรีตป้องกันตลิ่งแม่น้ำสาย ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดท่าขี้เหล็ก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา การดำเนินการครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานไทยและเมียนมา เพื่อกำหนดตำแหน่งค่าพิกัดที่ชัดเจน ป้องกันปัญหาการล้ำเขตแดน และลดความเสี่ยงจากการกัดเซาะของแม่น้ำสาย

พื้นที่ดำเนินโครงการก่อสร้างกำแพงกันตลิ่ง

โครงการก่อสร้างกำแพงกันตลิ่งในเมียนมาครอบคลุมพื้นที่ 3 จุดสำคัญ ได้แก่:

  1. จุดก่อสร้างตรงข้ามสะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1
  2. จุดก่อสร้างใต้สะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1
  3. จุดก่อสร้างบริเวณหลังโรงแรมอารัว

พื้นที่ดังกล่าวเป็นจุดที่ได้รับผลกระทบจากการกัดเซาะของแม่น้ำสาย ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อที่ดินและแนวเขตแดนระหว่างสองประเทศ การก่อสร้างกำแพงหินคอนกรีตจึงเป็นแนวทางในการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

วัตถุประสงค์ของการตรวจสอบพื้นที่

การลงพื้นที่ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ:

  • ตรวจสอบตำแหน่งค่าพิกัดของพื้นที่ก่อสร้างให้ถูกต้อง
  • กำหนดหลักเขตแดนให้ชัดเจนเพื่อป้องกันปัญหาล้ำแดน
  • ประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ

ติดตามความคืบหน้าของโครงการก่อสร้างและตรวจสอบมาตรฐานการดำเนินงาน

หน่วยงานที่เข้าร่วมตรวจสอบพื้นที่

การลงพื้นที่ครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างหลายหน่วยงาน ได้แก่:

  • โยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย
  • หน่วยประสานงานชายแดนไทย-เมียนมา ประจำพื้นที่ 1 (TBC)
  • กรมแผนที่ทหาร
  • ฝ่ายปกครองอำเภอแม่สาย

ผลกระทบและแนวทางการแก้ไขปัญหากัดเซาะตลิ่ง

พื้นที่ริมแม่น้ำสายเป็นพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของกระแสน้ำ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการพังทลายของตลิ่งและการเปลี่ยนแปลงแนวแม่น้ำ หากไม่มีมาตรการป้องกันที่เหมาะสม อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่อยู่อาศัย การเกษตร และโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ โดยเฉพาะแนวเขตแดนที่ต้องกำหนดให้ชัดเจนเพื่อลดข้อพิพาทระหว่างประเทศ

การสร้างกำแพงกันตลิ่งจึงเป็นมาตรการที่สำคัญในการลดความเสี่ยงจากการพังทลายของที่ดินริมแม่น้ำ และยังช่วยให้สามารถใช้พื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำสายได้อย่างปลอดภัยและมั่นคงยิ่งขึ้น

สถิติที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการกัดเซาะตลิ่งและการก่อสร้างกำแพงป้องกัน

  • จากรายงานของกรมโยธาธิการและผังเมือง พบว่าแม่น้ำสายเป็นหนึ่งในแม่น้ำที่มีอัตราการกัดเซาะสูง โดยเฉลี่ย 1.2 เมตรต่อปี
  • สถิติจากกรมทรัพยากรน้ำระบุว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีพื้นที่ริมแม่น้ำที่ถูกกัดเซาะและสูญเสียไปมากกว่า 500 ไร่
  • โครงการกำแพงป้องกันตลิ่งที่ผ่านการก่อสร้างในพื้นที่ชายแดนสามารถลดอัตราการพังทลายของตลิ่งได้มากถึง 80%
  • ความร่วมมือด้านการบริหารจัดการแม่น้ำระหว่างไทย-เมียนมาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มีโครงการป้องกันตลิ่งมากกว่า 15 โครงการ ทั่วแนวชายแดน

ข้อคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายสนับสนุน

ฝ่ายที่สนับสนุนการก่อสร้างกำแพงกันตลิ่งให้เหตุผลว่าโครงการนี้จะช่วยป้องกันปัญหาดินพังทลาย ลดความเสี่ยงจากน้ำหลาก และป้องกันข้อพิพาทเรื่องแนวเขตแดน อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับชุมชนริมแม่น้ำและโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่

ฝ่ายที่กังวล

ในขณะที่บางฝ่ายกังวลว่าโครงการก่อสร้างอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของแม่น้ำ เช่น การเปลี่ยนแปลงการไหลของน้ำ การกัดเซาะฝั่งตรงข้าม หรือผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชุมชนที่พึ่งพาแม่น้ำสายในการดำรงชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องมีการศึกษาผลกระทบอย่างรอบคอบก่อนดำเนินโครงการ

สรุปภาพรวมโครงการ

การตรวจสอบการก่อสร้างกำแพงกันตลิ่งในพื้นที่แม่น้ำสาย จังหวัดท่าขี้เหล็ก เมียนมา เป็นความร่วมมือระหว่างไทยและเมียนมาเพื่อป้องกันการกัดเซาะของตลิ่ง ลดข้อพิพาทเรื่องแนวเขตแดน และเสริมสร้างความมั่นคงให้กับชุมชนริมแม่น้ำ อย่างไรก็ตาม การดำเนินโครงการยังต้องมีการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการพัฒนาและการอนุรักษ์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News